ครูดวงพร เขียวพระอินทร์ ตำแหน่งครู วิทยฐำนะ ครูชำนำญกำร กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสำมพรำนวทิ ยำ
ระบบนำ้ เหลือง ควำมสำคัญของระบบน้ำเหลือง - สร้ำงสำรภูมิคุ้มกันให้กบั ร่ำงกำย - ช่วยลำเลยี งสำรต่ำงๆ ให้กลบั เข้ำสู่เส้นเลือด (สำรอำหำรพวกกรดไขมนั ที่ดูดซึมจำกลำไส้เล็ก) ระบบนำ้ เหลือง ประกอบด้วย - นำ้ เหลือง ( lymph ) - หลอดน้ำเหลือง ( lymph vessel ) - ต่อมน้ำเหลือง ( lymph node )
นำ้ เหลือง ( Lymph ) คือ ? ➢ เป็นของเหลวท่ีอยรู่ ะหวำ่ งเซลล์ หรือ รอบๆ เซลล์ ซ่ึงจะถูกดูดซึมเขำ้ สู่หลอด เลือด และหลอดน้ำเหลือง
ส่วนประกอบของนำ้ เหลือง - เมด็ เลือดขำว (ชนิดลิมโฟไซต)์ จำนวนมำก - น้ำตำลโมเลกลุ เด่ียว - น้ำ - เอนไซม์ - ฮอร์โมน - โปรตีนอลั บูมิน - มีสำรต่ำง ๆ ท่ีมีโมเลกลุ เลก็ เหมือนกนั ในน้ำเลือด *ยกเวน้ เมด็ เลือดแดง และเกลด็ เลือด
หน้ำทข่ี องนำ้ เหลือง - ต่อต้ำนส่ิงแปลกปลอมหรือเชื้อโรค - หล่อเลยี้ งเซลล์ - เป็ นตวั กลำงในกำรแลกเปลย่ี นสำรต่ำงๆ ระหว่ำงเซลล์กบั หลอดเลือดฝอย - ลำเลยี งไขมันทีผ่ นังลำไส้เลก็ ไปยงั ส่วน ต่ำงๆ (ผ่ำนท่อน้ำเหลือง) เข้ำสู่กระแส เลือด
หลอดนำ้ เหลือง - มีลกั ษณะคล้ำยหลอดเลือดเวน มีลนิ้ ก้นั ป้องกนั นำ้ เหลืองไหลย้อนกลบั - ทศิ ทำงกำรไหลเข้ำสู่หัวใจทำงเดียว - ไหลเข้ำสู่ระบบเลือด โดยเปิ ดเข้ำสู่ หลอดเลือดเวนใกล้กบั หัวใจ - ต่อมนำ้ เหลือง ทำหน้ำท่ีตรวจจับส่ิง แปลกปลอมท่มี ำกบั น้ำเหลือง
นำ้ เหลืองจะไหลไปตำมท่อนำ้ เหลือง 1. แรงดนั : ท่อน้ำเหลืองขนำดเลก็ มีควำมดนั มำกกวำ่ ท่อน้ำเหลือง ขนำดใหญ่ 2. กำรหดตัว : คลำยตวั ของกลำ้ มเน้ือ ซ่ึงเป็นผนงั ของท่อน้ำเหลืองและ กลำ้ มเน้ือที่อยรู่ อบๆ ท่อน้ำเหลือง 3. กำรขยำยของทรวงอก : กำรหำยใจเขำ้ ทำใหท้ รวงอกขยำยและลด ควำมดนั ทำใหท้ ่อน้ำเหลืองบริเวณทรวงอกขยำยตวั อตั รำกำรไหลของนำ้ เหลืองประมำณ 1.5 มลิ ลลิ ติ รต่อนำที
อวยั วะนำ้ เหลือง ( Lymphatic organ ) เป็ นศูนย์กลำงในกำรผลติ เซลล์ต่อต้ำนเชื้อโรคและส่ิงแปลกปลอม ประกอบด้วย ➢ ต่อมนำ้ เหลือง ➢ ทอนซิล ➢ ต่อมไทมัส ➢ ม้ำม
ต่อมนำ้ เหลือง (Lymph node) ➢ มอี ย่เู ป็ นระยะๆ ตลอดทำงเดินของ หลอดนำ้ เหลืองท่วั ร่ำงกำย ➢ รูปร่ำงรีๆ คล้ำยรูปไข่ ➢ ภำยในมลี กั ษณะคล้ำยฟองน้ำและ เซลล์เมด็ เลือดขำวชนิดลมิ โฟไซต์ หำกมกี ำรติดเชื้อต่อมน้ำเหลืองบริเวณ หน้ำที่ น้ันจะมอี ำกำรบวมหรืออกั เสบ - กรองน้ำเหลืองและทำลำยเชื้อโรค - แหล่งทำลำยเม็ดเลือดขำวทหี่ มดอำยุ - แหล่งสร้ำงเม็ดเลือดขำวชนิดลมิ โฟไซต์
ทอนซิล ( Tonsil ) เป็ นกล่มุ ของน้ำเหลือง มี 3 คู่ - ทอนซิลท่ีคอหอย - ทอนซิลทีโ่ คนลนิ้ - ทอนซิลท่เี พดำนปำก หน้ำท่ี - ดกั จบั และทำลำยจุลนิ ทรีย์ท่ีผ่ำนมำ ในอำกำศไม่ให้เข้ำสู่หลอดอำหำรและ กล่องเสียง ถ้ำทอนซิลตดิ เชื้อมอี ำกำรอกั เสบและบวมขนึ้ และมกั มอี ำกำรเจ็บคอร่วมอย่ดู ้วย
ม้ำม (Spleen) - เป็ นอวัยวะน้ำเหลืองทีม่ ีขนำดใหญ่ทส่ี ุด - อย่บู ริเวณใต้กะบังลมด้ำนซ้ำย บริเวณด้ำนหลงั กระเพำะอำหำร หน้ำท่ี - สร้ำงเม็ดเลือดขำว ทำลำยเช้ือโรค และสิ่ง แปลกปลอมท่ีปะปนเขำ้ ไปในระบบหมุนเวยี น ของเลือด - ทำลำยเซลล์เม็ดเลือดแดง และเพลตเลตท่ี หมดอำยแุ ลว้ *หำกมีสภำพผดิ ปกติบำงอยำ่ ง เช่น เป็นมะเร็งเมด็ เลือด ม้ำมอำจกลบั ไปทำหน้ำที่ผลติ เมด็ เลือดแดงเหมือนช่วง เป็นทำรกก่อนคลอดไดอ้ ีก
ต่อมไทมสั ( Thymus gland ) - เป็ นต่อมน้ำเหลืองชนิดต่อมไร้ท่อ - อย่บู ริเวณรอบเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจ - ในเด็กต่อมไทมัสจะมขี นำดใหญ่ เมื่อโต เป็ นผ้ใู หญ่ค่อยๆมขี นำดเลก็ ลงและฝ่ อไป ในที่สุด หน้ำที่ : สร้ำงลมิ โฟไซต์ (ชนิด T- cell) เพื่อต่อต้ำนเชื้อโรคหรือส่ิงแปลกปลอมท่ี เข้ำสู่ร่ำงกำย รวมท้ังอวัยวะต่ำงๆ ท่ีได้รับ กำรปลูกถ่ำยมำจำกผ้อู ื่นด้วย
ระบบภมู ิคุม้ กัน (Immune System)
สิง่ มชี วี ติ มวี ธิ ปี ้องกันไม่ใหเ้ ชอื้ โรค แบคทเี รยี เข้าสู่ร่างกาย อยา่ งไรบ้าง??? ให้นักเรียนเขียนแผนภำพ สรุปวธิ ีกำรป้องกนั ส่ิงแปลกปลอม เข้ำสู่ร่ำงกำย
กลไกกำรสร้ำงภูมคิ ุ้มกนั 1. กลไกต่อต้ำนหรือทำลำยส่ิงแปลกปลอมแบบไม่จำเพำะ (nonspecific defense) 2. กลไกต่อต้ำนหรือทำลำยส่ิงแปลกปลอมแบบจำเพำะ (specific defense)
กลไกต่อต้ำนหรือทำลำยสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จำเพำะ (nonspecific defense) ภำยนอกเซลล์ 1. ผิวหนัง : มีเซลลห์ ลำยช้นั มีกรดแลกติก (ในเหงื่อ) ยบั ย้งั กำรเจริญของแบคทีเรีย 2. ทำงเดนิ อำหำร ทำงเดินหำยใจ ท่อปัสสำวะ ช่องคลอด : มีเยอื่ บุควบคุมกำรเขำ้ -ออกของสำร มีสำรเมือก และซิเลีย ดกั จบั สิ่งแปลกปลอม มีกรด HCl ทำลำยจุลินทรียท์ ี่ติดมำกบั อำหำร (ในกระเพำะอำหำร) 3. นำ้ ตำ นำ้ ลำย : มีไลโซไซม์ ช่วยทำลำยเช้ือโรค
กลไกต่อต้ำนหรือทำลำยสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จำเพำะ (nonspecific defense) (ต่อ) ภำยในเซลล์ 4. เม็ดเลือดขำว - พวกโมโนไซต์ : กำจดั เช้ือโรคโดยวธิ ี ฟำโกไซโทซิส - นิวโทรฟิ ล และ อิโอซิโนฟิ ล : สร้ำงแอนติบอดี
กลไกต่อต้ำนหรือทำลำยส่ิงแปลกปลอมแบบจำเพำะ (specific defense) กำรทำงำนของเมด็ เลือดขำว ชนิดลมิ โฟไซต์ ได้แก่ B-cell และ T-cell B-lymphocyte (B-cell) T-lymphocyte (T-cell) : สร้ำงและเจริญที่ “ไขกระดูก” : สร้ำงที่ “ไขกระดูก” เจริญท่ี “ต่อมไทมัส”
กำรทำงำนของ B-cell - จดจำ antigen - สร้ำง antibody ทำลำย antigen
กำรทำงำนของ T-cell T-cell แต่ละชนิดจะมคี วำมจำเพำะต่อส่ิงแปลกปลอม T-cell มี 3 ชนิด (แบ่งตำมหน้ำท่ี) 1. เซลล์ทีผ้ชู ่วย (helper T-cell หรือ CD4+) : กระตุน้ ให้ B-cell สร้ำง แอนติบอดี มำต่อตำ้ น แอนติเจน หรือ กระตุน้ กำรทำงำนของ T-cell อ่ืนๆ 2. เซลล์ทีทที่ ำลำยสิ่งแปลกปลอม (cytotoxic T-cell หรือ CD8+) (Killer T cell) : ทำลำยส่ิงแปลกปลอม เช่น เซลลม์ ะเร็ง เซลลต์ ิดเช้ือไวรัส เซลลจ์ ำกอวยั วะที่ ปลูกถ่ำย 3. เซลล์ทีกดภูมิคุ้มกนั (suppresor T-cell) : สร้ำงสำรไปกดกำรทำงำนของ B-cell หรือ T-cell
กำรสร้ำงภูมคิ ุ้มกนั ของร่ำงกำย 1. ภูมคิ ุ้มกนั ก่อเอง (active immunization) 2. ภูมคิ ุ้มกนั รับมำ (passive immunization)
ภูมคิ ุ้มกนั ก่อเอง (active immunization) เป็ นกำรนำแอนติเจนเข้ำไปกระตุ้นร่ำงกำยให้สร้ำงแอนติบอดี ภูมิคุ้มกนั ชนิดนีอ้ ยู่ ในร่ำงกำยได้นำน สำรทีใ่ ช้ฉีดกระตุ้นให้เกดิ แอนตบิ อดี มี 2 ชนิด คือ ✓ วคั ซีน (vaccine) : เชื้อโรคท่ีถูกทำใหอ้ ่อนกำลังลงแลว้ และไม่ สำมำรถทำอนั ตรำยต่อร่ำงกำยได้ - วคั ซีนจำกจุลินทรีย์ท่ีตำยแล้ว - วคั ซีนจำกจุลินทรีย์ที่มชี ีวติ ✓ ทอกซอยซ์ (toxoid) : สำรพษิ ท่ีทำใหห้ มดสภำพควำมเป็ นพษิ ท่ีใชก้ ระตนุ้ ใหร้ ่ำงกำยสร้ำงภูมิคุม้ กนั โรคได้ เช่น ทอกซอยดป์ ้องกนั โรคบำดทะยกั ทอกซอยดป์ ้องกนั โรคคอตีบ
ภูมคิ ุ้มกนั ก่อเอง (active immunization) ข้อดี ภูมิคุม้ กนั ก่อเอง ทำใหร้ ่ำงกำยเกิดภูมิคุม้ กนั อยนู่ ำน ข้อเสีย ตอ้ งใชเ้ วลำในกำรรอใหร้ ่ำงกำยมีกำรตอบสนองต่อวคั ซีน ประมำณ 4-7 วนั
ภูมคิ ุ้มกนั รับมำ (passive immunization) เป็ นวธิ ีกำรให้แอนติบอดีแก่ร่ำงกำยโดยตรงเพ่ือให้มีภูมิคุ้มกันทันที สำมำรถต่อต้ำนโรคได้ทันท่วงที เช่น ซีรัมสำหรับคอตีบ ซีรัมแก้พษิ งู เกบ็ พษิ งู (ทำให้อ่อนฤทธ์ิลง) ฉีดเข้ำไปในกระต่ำย (สร้ำงแอนติบอดี) สกัดเอำซีรัม (มีแอนติบอดี) ฉีดให้คนที่ถูกงูกัด
ภูมคิ ุ้มกนั รับมำ (passive immunization) ข้อดี แอนติบอดีใหภ้ มู ิคุม้ กนั ไดท้ นั ที ข้อเสีย แอนติบอดีอยไู่ ดไ้ ม่นำน และผปู้ ่ วยอำจแพซ้ ีรัมจำกสตั วไ์ ด้
ภูมคิ ุ้มกนั รับมำ (passive immunization) ภูมิคุ้มกนั จำกแม่ท่ถี ่ำยทอดไปยงั ลูก ผ่ำนทำงรก ( placenta ) กนิ นมแม่ในระยะแรกๆ นำ้ นมเหลือง ( Colostrum ) ภูมิคุ้มกนั แบบนีใ้ ห้ผลคุ้มกนั ทำรกเป็ นเวลำ 6 เดือน
ควำมผดิ ปกตขิ องระบบภูมคิ ุ้มกนั โรค โรคภูมแิ พ้ : โรคท่ีร่ำงกำยมปี ฏิกิริยำกับสำรบำงอย่ำง และก่อให้เกิดอันตรำยต่อร่ำงกำย โรคภูมิแพ้บำงชนิดเกีย่ วข้องกับพนั ธุกรรมด้วย
โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus : SLE) ร่ำงกำยสร้ำงภูมคิ ุ้มกนั มำต่อต้ำนเซลล์ของตนเอง เย่ือหุ้มปอดหรือเย่ือหุ้มหวั ใจ อกั เสบ (serositis) - ควำมผดิ ปกตทิ ำงไต มกั ตรวจ พบโปรตนี ในปัสสำวะ - ควำมผดิ ปกตทิ ำงระบบ ประสำททีห่ ำสำเหตุไม่ได้ เช่น ชัก หรืออำกำรทำงจิต อำกำรปวดข้อ อำกำรมีไข้/อ่อนเพลยี นำ้ หนักลด / ไม่ค่อยมแี รง มีอำกำรบวมที่ ขำ/หน้ำ มผี ื่นทผ่ี วิ หนงั ได้ง่ำย อำกำรปวดเม่ือยร่ำงกำย มีแผลในปำกบ่อย มอี ำกำรผมร่วง อำกำรปวดศีรษะ
โรคเอดส์ (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) เกดิ จำกเชื้อไวรัส : HIV : Human Immunodeficiency Virus ไวรัส HIV จะเข้ำไปทำลำย T-cell ทำให้ระบบภูมิคุ้มกนั เส่ือม/พกพร่อง ร่ำงกำยจึงอ่อนแอติดเชื้อโรคต่ำงๆ ได้ง่ำย ไวรัสจะแพร่กระจำยไปตำมอวยั วะต่ำงๆ ของร่ำงกำย รวมท้ังสำรคดั หลงั่ ต่ำงๆ ด้วย เช่น เลือด อสุจิ นำ้ นม นำ้ ตำ และนำ้ ลำย
ลกั ษณะพเิ ศษของเชื้อไวรัส HIV 1. ทำลำยเซลล์เมด็ เลือดขำว ชนิดเซลล์ทผี ู้ช่วย (ไม่มสี ำรไปกระต้นุ ให้เซลล์บี แบ่งตวั สร้ำงเซลล์พลำสมำ) 2.เชื้อ HIV เพมิ่ จำนวนเร็วและกลำยพนั ธ์ุได้ง่ำย 3. เชื้อ HIV เข้ำไปอยู่ในเมด็ เลือดขำวชนิดเซลล์ที และใช้ DNA ของเซลล์ทีในกำรเพิ่มจำนวน และแพร่ไปยงั เมด็ เลือดขำวชนิดอ่ืนๆ ทำลำยเซลล์เมด็ เลือดขำว
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: