รายงาน เร่ืองระบบหายใจ ระบบไหลเวยี นโลหิต ระบบยอ่ ยอาหาร และระบบขบั ถา่ ย จดั ทาโดย 1.นางสาว กญั ญารัตน์ กลุ พรหม เลขท่ี7 2.นางสาว จรัญญา รักษากิจ เลขที่9 3.นางสาว นิธินารถ ราชรักษ์ เลขท่ี20 4.นางสาว มนทกานต์ เพชรสวสั ด์ิ เลขที่32 5.นางสาว ศลิษา ชิราภรณ์ เลขท่ี36 6.นางสาว อรปรียา พูลพะนงั เลขที่43 7.นางสาว อรัญฐิญา หลอ่ พนั ธ์ เลขท่ี44 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 5 นาเสนอ อาจารย์ สมพงศ์ ถวาย โรงเรียนพระแสงวทิ ยา
คำนำ รายงานฉบบั น้ีเป็นส่วนหน่ึงของวชิ าสุขศึกษาและพละศกึ ษารหสั วิชา พ32101ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โดยมจี ุดประสงคเ์ พอื่ ศึกษาความรู้ทไ่ี ดจ้ ากเร่ืองระบบหายใจ ระบบไหลเวยี น โลหิต ระบบยอ่ ยอาหาร และระบบขบั ถ่าย ซ่ึงรายงานน้ีมเี น้ือหาเกี่ยวกบั ความรู้จากการทางาน ของระบบตา่ งๆ การดารงชีวิตที่ข้ึนอยกู่ บั การทางานของระบบตา่ งๆภายในร่างกาย ผจู้ ดั ทาไดเ้ ลือกหวั ขอ้ น้ีในการทารายงาน เนื่องมาจากเป็นเร่ืองทน่ี ่าสนใจ ไดร้ ู้ถึงสภาวะ สุขภาพโดยรวมและเป็นความรูใ้ นการใชช้ ีวิตประจาวนั ผจู้ ดั ทาหวงั ว่ารายงานฉบบั น้ีจะให้ ความรู้ และเป็นประโยชนแ์ ก่ผูอ้ า่ นทุก ๆ ท่าน
สารบัญ เร่อื ง หน้า ระบบหายใจ 4-7 ระบบไหลเวียนโลหติ 8-10 ระบบยอ่ ยอาหาร 11-14 ระบบขบั ถ่าย 15-16
ระบบหำยใจ (Respiratory System) มหี นา้ ทแ่ี ลกเปลีย่ นกา๊ ซให้กบั ส่ิงมีชีวติ ในมนุษยแ์ ละสัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนมระบบทางเดนิ หายใจประกอบไปดว้ ย จมูกหลอดลม ปอด และกลา้ มเน้อื ระบบทางเดินหายใจ ออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซดจ์ ะถกู แลกเปลี่ยนทป่ี อดดว้ ย กระบวนการแพร่ โดยนาออกซิเจนเขา้ สู่ร่างกายและคารบ์ อนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย องค์ประกอบของระบบหำยใจ • จมูก รูจมูกทาหนา้ ทีเ่ ป็นทางผา่ นของอากาศ กรองอากาศทหี่ ายใจเขา้ ไปยงั ชอ่ งจมกู และกรองฝ่นุ ละอองดว้ ย • หลอดลม มหี นา้ ทหี่ ลกั คอื การนาส่งอากาศจากภายนอกร่างกายเขา้ สู่ปอดเพอ่ื ทาหนา้ ท่ใี นการแลกเปลี่ยนก๊าซ ออกซิเจนเขา้ สู่เลอื ด และนาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย หลอดลมของมนุษยเ์ ริ่มต้งั แตส่ ่วนทีต่ อ่ จาก กลอ่ งเสียงลงไปส้ินสุดท่ถี งุ ลม หลอดลม มีชื่อเรียกแตกตา่ งกนั ตามขนาดและตาแหน่ง ไดแ้ ก่ 1.หลอดลมใหญ่ (Trachea) เป็นส่วนทอ่ี ยู่ต่อจากกลอ่ งเสียงยาวลงไปจนถึงจุดท่แี ยกเขา้ สู่ปอด ดา้ นซ้ายและดา้ นขวา 2.หลอดลมของปอด (Main bronchus) เป็นแขนงของหลอดลมใหญ่ ซ่ึงอยใู่ นแต่ละขา้ งของปอด เร่ิมตน้ ต่อจาก หลอดลมใหญล่ ึกเขา้ ไปในเน้ือปอด หลอดลมเหลา่ น้ีเมอ่ื อยลู่ กึ เขา้ ไป กจ็ ะมกี ารแตกแขนงแยกยอ่ ยลงไปอกี ตาม ตาแหน่งของเน้ือปอด เชน่ หลอดลมของปอดกลีบบน (upper lobe bronchus) หลอดลมของปอดกลีบลา่ ง (lower lobe bronchus) หลอดลมแขนง (segmental bronchus) เป็นตน้ 3.หลอดลมฝอย (Bronchiole) เป็นแขนงยอ่ ยของหลอดลมของปอด หลอดลมฝอยเหล่าน้ีบางส่วน นอกจากจะสามารถนากา๊ ซเขา้ สู่ปอดไดแ้ ลว้ ยงั สามารถทาหนา้ ที่ในการแลกเปลี่ยนกา๊ ซไดด้ ว้ ย แต่ ไมเ่ ป็นหนา้ ทีห่ ลกั เหมอื นถุงลม • ปอด หนา้ ที่หลกั ของปอดก็คอื การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจากส่ิงแวดลอ้ มเขา้ สู่ระบบเลือดในร่างกาย และ แลกเปลย่ี นเอากา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกจากระบบเลือดออกสู่สิ่งแวดลอ้ ม ทางานโดยการประกอบกนั ข้ึนของ
เซลลเ์ ป็นจานวนลา้ นเซลล์ ซ่ึงเซลลท์ ีว่ ่าน้ีมลี กั ษณะเล็กและบางเรียงตวั ประกอบกนั เป็นถุงเหมอื นลกู โป่ ง ซ่ึงในถงุ ลกู โป่ งน้ีเองทีม่ กี ารแลกเปล่ียนกา๊ ซต่าง ๆ • หลอดคอ หรือ คอหอย เป็นส่วนทีอ่ ย่ตู อ่ จากจมูกและปาก เป็นหลอดต้งั ตรงยาวประมาณยาวประมาณ 5 นิ้ว มี ลกั ษณะคลา้ ยกรวย หลอดคอ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคอื 1) คอหอยส่วนที่อยู่ติดต่อกบั จมกู เป็นทางผา่ นของอากาศอย่างเดียว ท่สี ่วนน้ีจะมชี ่องไปตดิ ต่อกบั หสู ่วนกลาง เรียกช่องน้ีว่า หลอดยูสเตเชียน 2) คอหอยส่วนที่อยตู่ ิดกบั ปาก เป็นทางผ่านของอาหารและอากาศ 3) คอหอยส่วนที่อยู่ติดกบั กลอ่ งเสียง เป็นทางผ่านของอากาศอย่างเดียว • หลอดเสียง หรือ กลอ่ งเสียง เป็นอวยั วะพเิ ศษลกั ษณะเป็นหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ในผชู้ าย และ 3.5 cm ใน ผูห้ ญงิ หลอดเสียงเจริญเติบโตข้นึ มาเรื่อยๆตามอายใุ นวยั เริ่มเป็นหนุ่มสาว กระบวนกำรในกำรหำยใจ ในการหายใจน้นั มีโครงกระดูกส่วนอกแกลา้ มเน้ือบริเวณอกเป็นตวั ช่วยขณะหายใจเขา้ กลา้ มเน้ือหลายมดั หดตวั ทาใหท้ รวงอกขยายออกไปขา้ งหนา้ และยกข้นึ บนในเวลาเดยี วกนั กะบงั ลมจะลดต่าลง การกระทาท้งั สองอย่างน้ี ทาให้โพรงของทรวงอกขยายใหญม่ ากข้นึ เมอื่ กลา้ มเน้อึ หยุดทางานและหยอ่ นตวั ลง ทรวงอกยบุ ลงและความดนั ในช่องทอ้ งจะดนั กะบงั ลมกลบั ข้ึนมาอยูใ่ นลกั ษณะเดมิ กระบวนการเขน่ น้ีทาใหค้ วามดนั ในปอดเพ่ิมข้นึ เมอ่ื ความดนั ในปอดเพิม่ ข้ึนสูงกวา่ ความดนั ของ บรรยากาศ อากาศจะถกู ดนั ออกจากปอดฉะน้นั จึงสรุปไดว้ ่าปัจจยั ประการแรกทท่ี าให้ อากาศมกี ารเคลอ่ื นไหวเขา้ ออกจากปอดไดน้ ้นั เกิด จากความดนั ท่แี ตกตา่ งกนั นนั่ เอง กำรแลกเปล่ียนก๊ำซและกำรใช้ออกซิเจน เมื่อเราหายใจเขา้ อากาศภายนอกเขา้ สู่อวยั วะของระบบหายใจไปยงั ถงุ ลมในปอด ท่ผี นงั ของถงุ ลมมีหลอดเลอื ด แดงฝอยติดอยู่ดงั น้นั อากาศจงึ มโี อกาสใกลช้ ิดกบั เมด็ เลอื ดแดงมากออกชิเจนก็จะผา่ นผนงั น้ีเขา้ สู่เม็ดเลือดแดง และคาร์บอนไดออกไชด์กจ็ ะออกจากเม็ดเลือดผา่ นผนงั ออกมาสู่ถงุ ลม ปกติในอากาศมีออกชิเจนรอ้ ยละ 20 แต่ อากาศท่ีเราหายใจมอี อกซิเจนรอ้ ยละ 13 กำรหำยใจเข้ำและหำยใจออก -การหายใจเขา้ และหายใจออกเกิดจากการทางานของกลา้ มเน้ือกะบงั ลมและกลา้ มยึดกระดกู ซี่โครง การหายใจเขา้ กลา้ มเน้ือกะบงั ลมหดตวั และกลา้ มเน้อื ยึดกระดูกซี่โครงดึงกระดูกซ่ีโครงใหย้ กตวั ข้ึน ปริมาตรของช่องอกทเ่ี พิ่มข้ึน ทาให้ ความดนั ในชอ่ งอกลดลง ส่งผลใหอ้ ากาศจากภายนอกเคลื่อนท่เี ขา้ สู่ปอด -การหายใจออก กลา้ มเน้ือกะบงั ลมคลายตวั จะยกตวั สูงข้นึ เป็นจงั หวะเดยี วกบั กระดูกซี่โครงลด ตา่ ลง ทาให้ปริมาตรใน ชอ่ งอกลดลง ความดนั เพม่ิ ข้นึ มากกว่าความดนั ของอากาศภายนอก อากาศจึงเคลอื่ นทีอ่ อกจากปอด
-การหายใจเขา้ และหายใจออกเกิดจากการทางานของกลา้ มเน้ือกะบงั ลมและกลา้ มยดึ กระดูกซี่โครง การหายใจเขา้ กลา้ มเน้ือกะบงั ลมหดตวั และกลา้ มเน้ือยดึ กระดูกซ่ีโครงดึงกระดูกซี่โครงให้ยกตวั ข้ึน ปริมาตรของช่องอกทเ่ี พิม่ ข้ึน ทาให้ ความดนั ในช่องอกลดลง ส่งผลให้อากาศจากภายนอกเคล่ือนท่เี ขา้ สู่ปอด -การหายใจออก กลา้ มเน้ือกะบงั ลมคลายตวั จะยกตวั สูงข้ึน เป็นจงั หวะเดียวกบั กระดูกซ่ีโครงลดต่าลง ทาใหป้ ริมาตรใน ช่องอกลดลง ความดนั เพิม่ ข้ึน มากกว่าความดนั ของอากาศภายนอก อากาศจึงเคลื่อนท่อี อกจากปอด ควำมจอุ ำกำศของปอด ความจุอากาศของปอดในแต่ละคนจะแตกต่างกนั ข้ึนอยู่กบั 1. เพศ เพศชายจะมคี วามจุปอดมากกว่าเพศหญิง 2. สภาพร่างกาย นกั กีฬามคี วามจขุ องปอดมากกวา่ คนปกติ 3. อายุ ผสู้ ูงอายุจะมีความจุปอดลดลง 4. โรคทเ่ี กิดกบั ปอด โรคบางชนิด เช่นถงุ ลมโป่ งพอง โรคมะเร็งจะทาให้มคี วามจุปอด ลดลง
- หัวใจหอ้ งบนขวา (Right atrium) เป็นส่วนทีค่ อยรบั เลอื ดจากร่างกายส่วนบนและส่วนลา่ ง ผ่านหลอด เลือดดาใหญ่ 2 เส้น คือ หลอดเลือดดาบน (superior vena cava) และหลอดเลือดดาล่าง (Inferior vena cava) - หัวใจหอ้ งลา่ งขวา (Right ventricle) เป็นส่วนทที่ าหนา้ ทร่ี ับเลือดตอ่ จากหวั ใจหอ้ งบนขวา และส่งเลอื ด ต่อไปยงั ปอดเพอื่ ทาการฟอก โดยผ่านลิน้ หวั ใจพลั โมนารี (pulmonary valve) และหลอดเลือดแดงพลั โมนารี (pulmonary arteries) - หัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) เมอ่ื เลอื ดไดร้ ับการฟอกจากปอดแลว้ จะเป็นเลือดที่มีออกซิเจนอยสู่ ูง ซ่ึง เลือดน้ีจะเดนิ ทางเขา้ สู่หวั ใจห้องบนซ้าย โดยผา่ นหลอดเลอื ดดาพลั โมนารี หรือหลอดเลอื ดดาจากปอด (pulmonary veins) จากน้นั จงึ ส่งตอ่ ไปยงั หัวใจหอ้ งลา่ งซ้าย - หัวใจหอ้ งล่างซา้ ย (Left ventricle) ทนั ทที ี่เลือดมาถงึ หัวใจส่วนน้ี เลอื ดจะถูกสูบฉีดไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายผ่านล้นิ หัวใจเอออร์ติก (Aortic valve) และหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta) ดงั น้นั หวั ใจส่วนน้ีจึงจาเป็น จะตอ้ งมีผนงั หวั ใจท่ีหนาและแขง็ แรงท่สี ุด ท้งั ยงั เป็นห้องหวั ใจท่มี ีขนาดใหญ่ที่สุดดว้ ยเพอื่ ให้กลา้ มเน้ือแข็งแรงพอท่ีจะสูบ ฉีดเลือดออกไปทว่ั ร่างกายได้
ระบบไหลเวียนโลหติ ในระบบหมุนเวยี นเลือดประกอบดว้ ย เลือด หลอดเลอื ดและหวั ใจ หวั ใจของมนุษยม์ ขี นาดเทา่ กบั กาป้ันท่ีกาแน่นของผทู้ ่ี เป็นเจา้ ของ อวยั วะท่ีสาคญั ในระบบหมุนเวียนโลหิต1 โลหิตหรือเลอื ด เป็นเน้ือเย่อื ชนิดหน่ึงทาหนา้ ที่ ลาเลยี งสารอาหารตา่ งๆ ในร่างกาย ซ่ึงประกอบดว้ ย น้า้้เลอื ด ทมี่ ีลกั ษณะเป็นของเหลวใส ไมม่ สี ี เมด็ เลอื ดสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คอื 1.1 เม็ดเลอื ดขาว เป็นเม็ดเลือดขนาดเล็กมากและเป็นเม็ดเลอื ดทมี่ ปี ริมาณมากทีส่ ุดทาหนา้ ท่ีขนส่งกา๊ ซออ็ กซิเจนจาก ปอดไปยงั เน้ือเยอ่ื ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย 1.2 เมด็ เลือดขาว มขี นาดใหญก่ วา่ เม็ดเลือดแดง ทาหนา้ ทที่ าลายเช้ือโรคที่เป็นอนั ตรายตอ่ ร่างกาย รวมท้งั สรา้ ง ภูมิคุม้ กนั โลก 1.3 เกล็ดเลือด ชว่ ยทาให้เลือดแขง็ ตวั เพ่อื ปิ ดปากแผล เม่อื เกิดบาดแผลข้นึ 2. เสน้ เลอื ดและหลอดเลอื ด 2.1 เส้นเลอื ดแดง เป็นเสน้ เลอื ดรูปทรงกระบอก ทาหนา้ ท่นี าเลือดออกจากหวั ใจไปยงั เส้นเลือดฝอย เพอ่ื นาไปเล้ยี ง ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 2.2 เส้นเลอื ดดา เป็นเสน้ เลอื ดรูปทรงกระบอก ทาหนา้ ที่นาเลอื ดกลบั สู่หัวใจ 2.3 เสน้ เลอื ดฝอย เป็นเสน้ เลอื ดท่มี ขี นาดเลก็ มาก มหี นา้ ท่ีนาเลือดจากหลอดเลอื ดแดงไปตามส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย และนาเลือดดาจากร่างกายไปยงั หลอดเลือดดา
3.หวั ใจ เป็นอวยั วะท่สี าคญั ทส่ี ุดในระบบไหลเวยี นโลหิต ทาหนา้ ท่สี ูบฉีดโลหิตไปเล้ียงร่างกาย หัวใจเป็นอวยั วะท่ีประกอบดว้ ยกลา้ มเน้ือท้งั หมด มีขนาดเท่ากบั กาป้ันของเจา้ ของ ต้งั อยู่ในทรวงอกระหวา่ งปอดท้งั 2 ขา้ ง ส่วนของหัวใจจะอยดู่ า้ นซ้ายของร่างกาย รอบ ๆ หวั ใจมีเยื่อบาง ๆ หุม้ อยู่ เรียกว่า เยื่อหุ้มหวั ใจ ภายในหัวใจแบ่งออกเป็น 4 ห้อง ดงั น้ี 1. หัวใจหอ้ งบนขวา เป็นหอ้ งท่ีรับเลือดเสีย หรือเลอื ดดาจากทุกส่วนของร่างกาย เพอ่ื ส่งต่อให้หัวใจล่างขวา 2. หัวใจหอ้ งล่างขวา จะรบั เลอื ดจากห้องบนขวาแลว้ ส่งเลือดไปฟอกทปี่ อด 3. หัวใจหอ้ งบนซา้ ย รับเลอื ดดหี รือเลือดแดงจากปอด เพือ่ ส่งตอ่ ใหล้ ่างซา้ ย 4. หัวใจหอ้ งล่างซา้ ย รบั เลือดดจี ากหอ้ งบนซ้าย แลว้ ส่งไปเล้ยี งส่วนต่าง ๆ ทวั่ ร่างกาย เลอื ด(Blood) ประกอบดว้ ย น้าเลือด หรือพลาสมา(Plasma) และเม็ดเลือดซ่ึงประกอบดว้ ยเม็ดเลอื ดแดง เมด็ เลือดขาว และเซลลเ์ ม็ดเลอื ดหรือเกลด็ เลือด(Platelet) เม็ดเลอื ดแดงมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นโปรตนี และเหล็กมชี ื่อ เรียกว่า เฮโมโกลบิน กา๊ ซออกซิเจน จะรวมตวั กบั เฮโมโกลบินแลว้ ลาเลียงไปใชย้ งั ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย เม็ดเลอื ดขาวซ่ึง ผลติ โดยมา้ ม* จะทาหนา้ ท่ีตอ่ สูก้ บั เช้ือโรคที่จะเขา้ สู่ร่างกาย ส่วนเกล็ดเลือดจะเป็นตวั ชว่ ยให้เลือดแข็งตวั เมอื่ เกดิ บาดแผล น้าเลือดประกอบดว้ ยน้าประมาณรอ้ ยละ 91 ทเี่ หลอื่ เป็นสารอาหารตา่ ง ๆ เชน่ โปรตนี วิตามนิ แร่ธาตุ เอนไซม์ และก๊าซ เสน้ เลอื ด(Blood Vessel) คอื ท่อท่ีเป็นทางใหเ้ ลือดไหลเวยี นในร่างกายซ่ึงมี 3 ระบบ คอื เส้นเลือดแดง เสน้ เลอื ดดา และเส้นเลอื ดฝอย หัวใจ(Heart) ต้งั อยูใ่ นทรวงอกระหวา่ งปอดท้งั สองขา้ งเอียงไปทางซา้ ยของแนวกลางตวั ประกอบดว้ ยกลา้ มเน้ือที่ แข็งแรงภายในมี 4 หอ้ ง
-หัวในห้องบนซ้าย(Left atrium) มีหนา้ ท่ี รับเลอื ดท่ผี ่านการฟอกที่ปอด -หวั ใจหอ้ งบนขวา(Right atrium) มีหนา้ ที่ รับเลือดทรี่ ่างกายใชแ้ ลว้ -หัวใจหอ้ งล่างขวา(Right ventricle) มีหนา้ ท่ี สูบฉีดเลอื ดไปฟอกทป่ี อด -หวั ใจหอ้ งลา่ งซ้าย(Left ventricle) มหี นา้ ท่ี สูบฉีดเลอื ดไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การไหลเวียนของเลอื ดเริ่มโดยห้องบนขวารับเลอื ดดาท่ีร่างกายใชแ้ ลว้ ส่งไปยงั หอ้ งลา่ งขวา หอ้ งลา่ งขวาจะฉีดเลอื ดดาไป ฟอกทีป่ อด ในขณะเดยี วกนั เลอื ดแดงทผี่ ่านการฟอกจากปอดจะเขา้ สู่หัวใจทางหอ้ งบนซา้ ยแลว้ ส่งตอ่ มายงั ห้องล่างซา้ ย หัวใจกจ็ ะฉีดเลอื ดแดงออกจากหอ้ งลา้ งซา้ ยเขา้ สู่เสน้ เลอื ดใหญ่ ซ่ึงตอ่ มาก็แยกออกเป็นเสน้ เลือดเล็ก และเส้นเลอื ดฝอย เพื่อนาเลอื ดไปเล้ยี งส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เลือดทใ่ี ชแ้ ลว้ กจ็ ะไหลกลบั มาท่หี วั ใจทางห้องบนขวาอีก จะหมนุ เวียนเช่นน้ี ไปตลอดชีวติ เพ่ือใหเ้ หน็ ชดั เจนขอใหด้ ูแผนภาพต่อไปน้ี การปฏิบตั ติ นเพอื่ ดแู ลรกั ษาอวยั วะภายในระบบ 1. รับประทานอาหารทม่ี ปี ระโยชน์ 2. อยู่ในทอ่ี ากาศบริสุทธ์ิ 3. พกั ผอ่ นให้มาก เพราะการพกั ผ่อนนอนหลบั จะทาให้หวั ใจเตน้ ชา้ ลง 4. ออกกาลงั กายใหเ้ หมาะสมกบั เพศและวยั 5. ทาจติ ใจใหแ้ จ่มใสร่าเริง ไมเ่ ครียด 6. งดเวน้ จากส่ิงเสพติดทุกชนิด
ระบบย่อยอำหำร (Digestive System) ระบบย่อยอาหารมหี นา้ ทยี่ อ่ ยอาหารใหล้ ะเอยี ด แลว้ ดดู ซึมผ่านเขา้ สู่กระแสเลือดเพอื่ ไปเล้ียงส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย การย่อยอาหาร (Digestion) หมายถงึ กระบวนการสลายอนุภาคอาหารให้มีขนาดเลก็ สุด จนสามารถดดู ซึมเขา้ ไปในเซลลไ์ ด้ เม่ือมนุษยร์ บั ประทานอาหารเขา้ สู่ร่างกาย จะผา่ นระบบตา่ ง ๆ ดงั น้ี - ปาก - หลอดอาหาร - กระเพาะอาหาร - ลาไส้เล็ก - ลาไส้ใหญ่ - ของเสียออกทางทวารหนกั ข้นั ตอนกำรย่อยอำหำร การย่อยอาหารมี 2 ข้นั ตอน การย่อยเชิงกล (Mechanical digestion) เป็นกระบวนการทาใหอ้ าหารมีขนาดเล็กลง เพอ่ื สะดวกตอ่ การเคลือ่ นทแ่ี ละการ เกิดปฏิกิริยาเคมีต่อไป โดยการบดเค้ยี ว รวมท้งั การบบี ตวั ของทางเดนิ อาหาร ยงั ไมส่ ามารถทาใหอ้ าหารมขี นาดเล็กสุด จึง ไม่สามารถดูดซึมเขา้ เซลลไ์ ด้ การย่อยทางเคมี (Chemical digestion) เป็นการย่อยอาหารให้มขี นาดเลก็ ทส่ี ุด โดยการเกิดปฏิกิริยาเคมีระหวา่ ง อาหาร กบั น้า โดยตรง และจะใชเ้ อนไซมห์ รือน้ายอ่ ยเขา้ เร่งปฏิกิริยา ผลจากการย่อยทางเคมีเมอื่ ถงึ จุดสุดทา้ ย จะไดส้ ารโมเลกลุ เล็กท่ีสุดทีส่ ามารถดูดซึมเขา้ สู่เซลลไ์ ด้ ซ่ึงอาหารทตี่ อ้ งมกี ารยอ่ ย ไดแ้ ก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมนั ส่วนเกลอื แร่ และวิตามินจะดูดซึมเขา้ สู่ร่างกายไดโ้ ดยตรง องค์ประกอบของระบบย่อยอำหำร อวยั วะในระบบทางเดินอาหาร ช่องปาก (Mouth cavity) กระบวนการยอ่ ยเร่ิมตน้ ท่ชี อ่ งปาก เม่อื คณุ เริ่มเค้ียวอาหาร ฟันทาหนา้ ทบี่ ดอาหารให้เป็นชิ้นเลก็ ต่อมน้าลายจะผลติ น้าลาย ออกมาคลกุ เคลา้ กบั อาหาร เพ่อื ใหง้ ่ายตอ่ การกลืนและเคลอื่ นผ่านไปยงั ส่วนต่อไป นอกจากน้ี ในน้าลายยงั มีเอนไซมอ์ ะ ไมเลส ทาหนา้ ที่ยอ่ ยอาหารจาพวกแป้งดว้ ย
หลอดอาหาร (Esophagus) หลงั จากทีเ่ รากลนื อาหารผ่านลาคอลงไป อาหารจะเคลอ่ื นผ่านหลอดอาหารดว้ ยวิธีทเี่ รียกวา่ Peritalsis ซ่ึงเป็นการ เคลือ่ นไหวของหลอดอาหารใหก้ อ้ นอาหารที่กลืนลงไปตกลงสู่กระเพาะอาหาหาร กระเพาะอาหาร (Stomach) เมอ่ื อาหารเคลือ่ นมายงั กระเพาะอาหาร กอ้ นอาหารจะกระตนุ้ ให้กระเพาะอาหารเกิดการเคลอ่ื นไหว หรือเกิดการบีบตวั และ คลายตวั เพอ่ื เป็นการคลุกเคลา้ อาหารให้ทาผสมกบั น้าย่อยท่หี ลง่ั ออกมจากตอ่ มไร้ทอ่ ในกระเพาะอาหารจะมีสภาวะเป็น กรดประมาณ pH 2 – 3 ซ่ึงเอ้อื ต่อการทางานของเอนไซมห์ รือน้าย่อย โดยอาหารจาพวกโปรตีนจะถกู ยอ่ ยท่ีกระเพาะอาหาร มากทีส่ ุดดว้ ยเอนไซมมเ์ พปซิน (Pepsin) ตบั ออ่ น (Pancreas) ตบั อ่อนทาหนา้ ทใี่ นการผลิตน้ายอ่ ยซ่ึงเป็นเอนไซมห์ ลายชนิด และมบี ทบาทในการยอ่ ยอาหารจาพวกโปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมนั น้าย่อยทผ่ี ลติ โดยดบั อ่อนจะลาเลยี งผ่านทอ่ มาสู่ทางเดนิ อาหารทีล่ าไสเ้ ลก็ ส่วนตน้ ตบั (Liver) บทบาทของตบั ในระบบทางเดินอาหารคอื ทาหนา้ ท่ผี ลติ น้าดี เพ่ือชว่ ยการย่อยไขมนั และวติ ามนิ บางชนิด โดยน้าดีทส่ี รา้ ง จากตบั จะเกบ็ ไวท้ ่ถี ุงน้าดแี ละลาเลยี งเขา้ สู่ทางเดนิ อาหารบริเวณลาไสเ้ ล็กส่วนตน้ ถงุ น้าดี (Gallbladder) ทาหนา้ ท่ีเกบ็ น้าดี (Bile) ทีผ่ ลิตมาจากตบั และปลอ่ ยน้าดีเขา้ สู่ทางเดินอาหารผ่านทอ่ น้าดี เมอื่ มอี าหารเคลอื่ นผา่ นมายงั ลาไส้ เลก็ ส่วนตน้ ลาไส้เลก็ (Small intestine) ลาไส้เลก็ ทาหนา้ ทีผ่ ลิตน้าย่อย, คลุกเคลา้ อาหารที่ใหเ้ ขา้ กบั น้าย่อยจากตบั อ่อน, และดดู ซึมสารอาหารทีย่ อ่ ยแลว้ สารอาหาร ท้งั โปรตีนน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั จะถกู ยอ่ ยอย่างสมบรู ณภ์ ายในลาไสเ้ ลก็ แบคทเี รียบางชนิดทอ่ี ยู่ในลาไสเ้ ลก็ มี บทบาทในการผลติ เอนไซมเ์ พอื่ ชว่ ยย่อยคาร์โบไฮเดรต ลาไส้ใหญ่ (Large intestine) ภายในลาไส้ใหญ่ น้าและเกลอื แร่ รวมถึงวิตามิน จะถูกดดู ซึมเขา้ สู่ระบบไหลเวยี นโลหิตผ่านทางผนงั ลาไส้ และไม่พบ กระบวนการยอ่ ยอาหารเกิดข้ึนในลาไส่ใหญ่ กากอาหารต่างๆ ที่เหลือจากการยอ่ ยจะถูกขบั ออกจากร่างกายทางทวารหนกั (Anus) แบคทีเรียเจา้ ถิ่นทีอ่ าศยั อยู่ในลาไส้ใหญม่ ีบทบาทชว่ ยป้องกนั เช้ือแปลกปลอมที่ปะปนมากบั อาหาร รวมถึงช่วยรกั ษา สมดุลภายในลาไสใ้ ห้อยูใ่ นสภาวะปกติ
แผนภาพแสดงส่วนประกอบของลาไส้เล็ก หน้ำที่ของระบบย่อยอำหำร ระบบย่อยอาหารมหี นา้ ที่เปล่ยี นแปลงอาหารให้อยูใ่ นรูปแบบสารอาหารท่ีร่างกายสามารถดูดซึมไดเ้ พือ่ ใชเ้ ป็นพลงั งานใน ร่างกาย โดยในแตล่ ะส่วนจะเคลอ่ื นยา้ ยอาหารผา่ นทางเดินอาหาร พรอ้ มท้งั เปลีย่ นแปลงอาหารใหเ้ ป็นชิ้นเลก็ ๆ ง่ายตอ่ การ ดดู ซึม และเม่อื เสร็จสิ้นกระบวนการ กากใยท่ีไม่สามารถยอ่ ยสลายไดจ้ ะกลายเป็นอจุ จาระ เพื่อกาจดั ออกจากร่างกาย โรคเกย่ี วกับระบบย่อยอำหำรทพี่ บบ่อย • กรดไหลยอ้ น เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลยอ้ นกลบั เขา้ หลอดอาหาร อาจทาใหห้ ลอดอาหารอกั เสบ มี อาการแสบหนา้ อกหรือคอ และมปี ัญหาการกลนื • โรคถุงผนงั ลาไส้อกั เสบ (Diverticulitis) เกิดจากการอกั เสบหรือการติดเช้ือของถงุ ผนงั ส่วนลา่ งของลาไสใ้ หญ่ อาจมอี าการปวดเลก็ นอ้ ยหรือปวดรุนแรงท่ีชอ่ งทอ้ งดา้ นล่างซ้าย • แผลในกระเพาะอาหาร มกั เกิดจากแบคทีเรีย Helicobacter pylori ในกระเพาะอาหาร อาจทาให้เกิดการอกั เสบใน ระยะยาวได้ • ริดสีดวงทวาร เป็นกอ้ นทเ่ี กิดจากหลอดเลอื ดทวารหนกั บวม อาจมอี าการเจบ็ และคนั เมื่ออุจจาระอาจทาให้มี เลือดออกได้ • ทอ้ งผกู เกิดจากการเคลอื่ นไหวของลาไส้นอ้ ยกวา่ ปกติ อุจจาระมกั มีลกั ษณะแหง้ แขง็ อาจทาให้อุจจาระยากและ เจ็บปวด • ทอ้ งเสีย อุจจาระเหลวและมีน้ามาก อาจเกิดจากแบคทีเรียในร่างกาย อาหาร หรือบางกรณีอาจไม่ทราบสาเหตุของ อาการทอ้ งเสีย
• นิ่วถงุ น้าดี เกิดจากการตกตะกอนของหินปูนหรือคอเลสเตอรอลในน้าดี อาจมอี าการทอ้ งอืด แน่นทอ้ ง หนาวสัน่ ปวดล้นิ ปี่ เป็นตน้ • โรคลาไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome : IBS) กลา้ มเน้ือลาไส้ใหญ่หดตวั บ่อยกว่าปกติ อาจมอี าการปวด ทอ้ งและตะคริว • แพแ้ ลคโตส เป็นภาวะที่ไมส่ ามารถถย่อยสลายแลคโตสได้ • โรคซิลแิ อค (Celiac) โรคภมู ติ า้ นทานตนเองทาลายลาไส้เล็กเมื่อผปู้ ่ วยรับประทานกลเู ตน ซ่ึงเป็นโปรตีนที่พบใน ขา้ วสาลี ขา้ วบาร์เลย์ และขา้ วไรย์ กำรดแู ลระบบย่อยอำหำร • รับประทานอาหารท่มี ไี ฟเบอร์สูง เนื่องจากไฟเบอร์มีประโยชนต์ อ่ ระบบย่อยอาหาร ช่วยส่งเสริมให้ลาไส้ เคล่อื นไหว และกระตนุ้ การขบั ถา่ ย • รบั ประทานอาหารใหห้ ลากหลาย รบั ประทานอาหารท่ีมีท้งั โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ และน้า เช่น เน้ือสตั วไ์ มต่ ดิ มนั ธญั พชื ไม่ขดั สี ผกั และผลไม้ พยายามหลกี เลย่ี งอาหารแปรรูปทอ่ี าจมสี ารอนั ตรายตอ่ ระบบ ทางเดนิ อาหาร • รับประทานอาหารทีม่ โี ปรไบโอตกิ โปรไบโอติกเป็นแบคทเี รียท่ดี ีที่ช่วยตอ่ สูก้ บั แบคทีเรียไม่ดใี นลาไส้ และยงั ช่วยบารุงลาไส้ให้สุขภาพดีอกี ดว้ ย • เค้ียวอาหารชา้ ๆ จะช่วยให้ร่างกายสามารถยอ่ ยอาหารไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เนื่องจากระบบย่อยอาหารจะเริ่มตน้ ต้งั แตใ่ นปาก การบดเค้ยี วและน้าลายจะชว่ ยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารไดง้ ่ายข้นึ • ด่ืมน้ามาก ๆ น้ามีส่วนช่วยให้อาหารไหลผ่านระบบยอ่ ยอาหารไดง้ ่ายข้นึ และชว่ ยลดปัญหาทอ้ งผูกได้ ขยบั ร่างกาย จะชว่ ยใหร้ ะบบย่อยอาหารทางานไดด้ ีข้ึน เชน่ การเดนิ หลงั รบั ประทานอาหารจะชว่ ยให้ร่างกายย่อย อาหารไดง้ า่ ยข้นึ • จดั การความเครียด ความเครียดส่งผลต่อปัญหาทางเดนิ อาหารได้ เช่น อาการทอ้ งผูก หรือทอ้ งเสีย • หลีกเล่ยี งเครื่องดืม่ แอลกอฮอลแ์ ละการสูบบหุ รี่ แอลกอฮอลอ์ าจเพิ่มปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร อาจทาให้เกิด กรดไหลยอ้ น อาการเสียดทอ้ ง และแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากน้ี การสูบบหุ ร่ียงั อาจเพมิ่ ความเสี่ยงกรดไหล ยอ้ นมากข้ึน
ระบบขบั ถ่ำย (Excretory System) การขบั ถา่ ยเป็นระบบกาจดั ของเสียจากร่างกาย และช่วยควบคุมปริมาณของน้าในร่างกายใหส้ มบรู ณป์ ระกอยดว้ ย ไต ตบั และลาไส้ เป็นตน้ ไต มหี นา้ ทขี่ บั ส่ิงทร่ี ่างกายไม่ไดใ้ ชอ้ อกจากร่างกาย อยดู่ า้ นหลงั ของช่องทอ้ งลาไสใ้ หญ่ มหี นา้ ท่ขี บั กากอาหารท่เี หลอื จากการย่อยของระบบย่อยอาหารออกมาเป็นอจุ จาระ โครงสร้ำงของระบบขบั ถ่ำย ไตเป็นอวยั วะที่กรองของเสียเพ่ือกาจดั ของเสียออกจากร่างกาย ไตของคนมี 1 คู่ อย่ใู นช่องทอ้ งสองขา้ งของ กระดกู สันหลงั ระดบั เอว มรี ูปร่างคลา้ ยเมล็ดถว่ั ตอ่ จากไตท้งั สองขา้ งมที ่อไตทาหนา้ ที่ลาเลียงน้าปัสสาวะจากไตไปเก็บไว้ ที่กระเพาะปัสสาวะ ก่อนจะขบั ถ่ายออกมานอกร่างกายทางทอ่ ปัสสาวะเป็นน้าปัสสาวะนนั่ เอง กำรดแู ลรักษำระบบขบั ถ่ำย เค้ียวอาหารใหล้ ะเอียด และรบั ประทานอาหารทชี่ ่วยในการขบั ถา่ ย คอื อาหารที่มกี ากใย เช่น ผกั ผลไม้ และ ควรดมื่ น้าให้มาก
กำรกำจดั ของเสียออกทำงไต กำรกำจัดของเสียออกทำงผวิ หนงั ในรูปของเหงือ่ เหงอื่ ประกอบไปดว้ ยน้าเป็นส่วนใหญ่ เหงอื่ จะถูกขบั ออกจาก ร่างกายทางผวิ หนงั โดยผา่ นต่อมเหง่ือซ่ึงอยู่ใตผ้ ิวหนงั ต่อมเหงอ่ื มี 2 ชนิด คือ 1. ต่อมเหง่ือขนำดเลก็ มอี ยู่ทวั่ ผวิ หนงั ในร่างกาย ยกเวน้ ท่าริมฝีปากและอวยั วะสืบพนั ธุ์ ต่อมเหงื่อขนาดเล็กมี การขบั เหงอ่ื ออกมาตลอดเวลา เหงือ่ ท่อี อกจากตอ่ มขนาดเลก็ น้ีประกอบดว้ ยน้ารอ้ ยละ 99 สารอื่นๆ ร้อยละ1 ไดแ้ ก่ เกลอื โซเดียม และยูเรีย 2. ต่อมเหงื่อขนำดใหญ่ จะอย่ทู บี่ ริเวณ รักแร้ รอบหวั นม รอบสะดือ ชอ่ งหูส่วนนอก อวยั วะเพศ บางส่วน ตอ่ มน้ีมที อ่ ขบั ถ่ายใหญ่กว่าชนิดแรกตอ่ มน้ีจะตอบสนองทางจติ ใจ สารท่ีขบั ถ่ายมกั มีกลิน่ ซ่ึงกค็ อื กลนิ่ ตวั เหงือ่ จะถกู ลาเลียงไปตามท่อทีเ่ ปิดอยู่ ทเี่ รียกวา่ รูเหง่ือ กำรกำจดั ของเสียออกทำงลำไส้ใหญ่ กากอาหารทเ่ี หลือกจากการย่อย จะถูกลาเลยี งผ่านมาทีล่ าไสใ้ หญ่ โดยลาไสใ้ หญจ่ ะทาหนา้ ทีส่ ะสมกากอาหารและ จะดดู ซึม สารอาหารท่มี ปี ระโยชน์ ตอ่ ร่างกายไดแ้ ก่ น้า แร่ธาตุ วติ ามนิ และกลูโคส ออกจากกากอาหาร ทาให้อาหารเหนียวและขน้ จนเป็นกอ้ นแข็ง จากน้นั ลาไสจ้ ะบีบตวั เพอ่ื ใหก้ ากอาหารเคล่อื นท่ีไปรวมกนั ทลี่ าไส้ตรง และ ขบั ถา่ ยสู่ภายนอกร่างกายทางทวารหนกั ทเี่ รียกว่า อจุ จำระ กำรกำจดั ของเสียทำงปอด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กา๊ ซและน้าซ่ึงเกิดจากการเผาผลาญอาหารภายในเซลลจ์ ะถูกส่งเขา้ สู่เลือด จากน้นั หวั ใจ จะสูบเลือดท่มี ีกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ไปไวท้ ี่ปอด จากน้นั ปอดจะทาการกรองกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดเ์ ก็บไว้ แลว้ ขบั ออกจากร่างกายโดยการหายใจออก ประโยชน์ของกำรขับถ่ำยของเสียต่อสุขภำพ การขบั ถา่ ยเป็นระบบกาจดั ของเสียร่างกายและชว่ ยควบคุมปริมาณของน้าในร่างกายให้สมบรู ณ์ ประกอบดว้ ย ไต ตบั และลาไส้ เป็นตน้ การปฏิบตั ิตนในการขบั ถ่ายของเสียให้เป็นปกตหิ รือกิจวตั รประจาวนั เป็นส่ิงจาเป็นอย่างยง่ิ ต่อสุขภาพอนามยั ของมนุษย์ เรา ไมค่ วรให้ร่างกายเกิดอาการทอ้ งผูกเป็นเวลานานเพราะจะทาใหเ้ กิดเป็นโรคริดสีดวงทวารหนกั ได้ กำรปัสสำวะ ถอื เป็นการขบั ถ่ายของเสียประการหน่ึง ที่ร่างกายเราขบั เอาน้าเสียในร่างกายออกมาหากไม่ขบั ถา่ ย ออกมาหรือกล้นั ปัสสาวะไวน้ านๆ จะทาให้เกิดเป็นโรคน่ิวในไตหรือทาให้กระเพาะปัสสาวะอกั เสบและไตอกั เสบได้ กำรดื่มนำ้ การรับประทานผกั ผลไมท้ ุกวนั จะชว่ ยให้ร่างกายขบั ถ่ายไดส้ ะดวกข้ึน การดม่ื น้าและรับประทาน ทานอาหารทีถ่ ูกสุขลกั ษณะ ตลอดจนการรับประทานอาหารทีม่ ีเส้นใยอาหารเป็นประจาจะทาใหร้ ่างกายขบั ถา่ ยของเสีย อย่างปกติ
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: