Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรุป 5 บทเศรษฐกิจพอเพียง.. 1 ปี63

สรุป 5 บทเศรษฐกิจพอเพียง.. 1 ปี63

Published by ชลิตดา ใจพรหม, 2020-09-09 02:05:33

Description: สรุป 5 บทเศรษฐกิจพอเพียง.. 1 ปี63

Search

Read the Text Version

สรปุ ผลการจดั กิจกรรม การเรยี นร้หู ลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ปี งบประมาณ 2563 (ไตรมาส3-4) โครงการอบรมเชิงปฏิบตั ิการเรยี นร้มู งุ่ ส่คู วามพอเพียง ในวนั ท่ี 30 มิถนุ ายน 2563 ณ ศนู ยเ์ รยี นรเู้ ศรษฐกจิ พอเพยี ง ผใู้ หญว่ ชิ ยั กา้ นบวั หมทู่ ี่ 10 ตำบลหนองปรอื อำเภอพนสั นคิ ม จงั หวดั ชลบรุ ี กศน.ตำบลวดั หลวง กศน.ตำบลวดั โบสถ์ กศน.ตำบลหนองเหยี ง กศน.ตำบลทา่ ขา้ ม และ กศน.ตำบลกฎุ โงง้ ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอำเภอพนสั นคิ ม สำนักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยจงั หวัดชลบรุ ี

คำนำ กศน.ตำบลวัดหลวง กศน.ตำบลวัดโบสถ์ กศน.ตำบลหนองเหียง กศน.ตำบลท่าข้าม และ กศน.ตำบลกุฎโง้ง สังกดั ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อำเภอพนัสนคิ ม ได้จัดทำโครงการอบรมเชิงปฏบิ ัติการเรียนร้มู ุ่งสู่ ความพอเพยี ง โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อให้ผเู้ ข้ารว่ มกิจกรรม มีความรู้ ความเข้าใจในหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงและนำ ความรู้ท่ีได้รับมาปรับใช้ในชวี ิตประจำวัน ซึ่งมีการสรุปผลการจัดกิจกรรมโครงการดังกล่าวเพ่ือต้องการทราบว่าการดำเนิน โครงการบรรลุตามวัตถปุ ระสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ บรรลุในระดับใดและได้จดั ทำเอกสารสรปุ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเสนอต่อผู้บริหาร ผู้เก่ียวข้องเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนิน โครงการใหด้ ยี งิ่ ข้นึ คณะผู้จัดทำ ขอขอบคุณผอู้ ำนวยการศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอำเภอพนัสนิคม ท่ีใหค้ ำแนะนำ คำปรึกษา ในการจดั ทำสรุปผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในครั้งน้ี หวังเป็นอย่างยิ่งวา่ เอกสารสรปุ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงฉบบั นี้ จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติงานโครงการและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในการนำไปใช้ในการจัด กิจกรรมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอธั ยาศัย ต่อไป กศน.ตำบลวัดหลวง กศน.ตำบลวัดโบสถ์ กศน.ตำบลหนองเหียง กศน.ตำบลทา่ ขา้ ม และ กศน.ตำบลกุฎโง้ง มนี าคม 2563

สารบญั หนา้ ก หวั เรอื่ ง ข คำนำ ค สารบญั สารบญั ตาราง 1 บทที่ 1 บทนำ 1 1 - หลกั การและเหตผุ ล 1 - วตั ถปุ ระสงค์ 1 - เปา้ หมายการดำเนินงาน - ผลลพั ธ์ 2 - ตัวชี้วดั ผลสำเรจ็ ของโครงการ 2 บทท่ี 2 เอกสารการศกึ ษาและงานวจิ ยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง 29 - กรอบการจดั กิจกรรมการเรียนร้หู ลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง 30 - เอกสาร/งานท่ีเก่ียวข้อง 35 บทที่ 3 วธิ ดี ำเนนิ งาน บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู บทท่ี 5 อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ บรรณานกุ รม ภาคผนวก โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเรยี นรูม้ ุ่งสคู่ วามพอเพยี ง หนังสือขออนุเคราะหว์ ิทยากร รายงานผลการจดั กจิ กรรม แบบประเมนิ ผ้รู บั บรกิ าร คณะผูจ้ ัดทำ

สารบญั ตาราง หนา้ ตารางที่ 30 30 1. ผู้เข้ารว่ มโครงการท่ตี อบแบบสอบถามไดน้ ำมาจำแนกตามเพศ 31 2. ผู้เข้ารว่ มโครงการท่ีตอบแบบสอบถามไดน้ ำมาจำแนกตามอายุ 31 3. ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการท่ตี อบแบบสอบถามได้นำมาจำแนกตามอาชพี 31 4. ผู้เข้าร่วมโครงการทตี่ อบแบบสอบถามไดน้ ำมาจำแนกตามระดับการศกึ ษา 32 5. แสดงค่าร้อยละเฉลี่ยความสำเรจ็ ของตวั ชวี้ ัด ผลผลิต ประชาชนทั่วไป 32 6. ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานความพึงพอใจฯ โครงการ ในภาพรวม 33 7. คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจฯ โครงการ ด้านบริหารจดั การ 33 8. คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจฯ โครงการ ด้านการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 9. ค่าเฉลยี่ และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจฯ โครงการ ด้านประโยชน์ทไ่ี ดร้ ับ

1 บทที่ 1 บทนำ หลกั การและเหตผุ ล “เศรษฐกจิ พอเพยี ง” เปน็ ปรชั ญาชถ้ี งึ แนวการดำรงอยู่ และปฏิบัตติ นของประชาชน ในทุกระดบั ต้ังแตร่ ะดับ ครอบครวั ระดบั ชุมชน จนถึงระดับรัฐ ท้ังในการพฒั นาและบริหารประเทศ ให้ดำเนนิ ไปในทางสายกลางโดยเฉพาะการ พัฒนาเศรษฐกิจ เพอ่ื ใหก้ ้าวทนั ตอ่ ยุคโลกาภวิ ัฒน์ อันเกิดจากการเปลย่ี นแปลงทั้งภายในและภายนอก ไมป่ ระมาท และทำ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน คำนงึ ถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสรา้ งภูมิคุม้ กันที่ดีในตวั ตลอดจนใช้ความรแู้ ละคุณธรรม ในการคดิ พดู และทำในทกุ เร่อื ง ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ ปรชั ญาท่ีมคี วามสำคญั อยา่ งยิง่ สำหรบั การขจดั ความยากจน และลดความเสี่ยงทางเศรษฐกจิ ของคนในชมุ ชน อีกท้งั ประชาชนใน ตำบลวดั หลวง ตำบลวดั โบสถ์ ตำบลหนองเหียง ตำบล ทา่ ข้าม และตำบลกฎุ โงง้ อำเภอพนสั นคิ ม ยงั ขาดความรู้ ความเข้าใจเรอ่ื งหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ทีจ่ ะเป็นพลงั ขบั เคลอื่ นบนพ้นื ฐานของการสร้างพลังอำนาจของชมุ ชน และการพัฒนาศักยภาพชุมชนให้เขม้ แขง็ พง่ึ ตนเอง เพอื่ เปน็ ฐาน รากของการพัฒนาประเทศตอ่ ไป จากเหตุผลดงั กล่าว กศน.ตำบลวดั หลวง กศน.ตำบลวัดโบสถ์ กศน.ตำบลหนองเหียง กศน.ตำบลท่าขา้ ม และ กศน. ตำบลกุฎโงง้ สังกดั ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อำเภอพนัสนคิ ม จึงไดจ้ ัดทำโครงการอบรมเชิง ปฏิบตั ิการเรยี นรมู้ ุ่งสู่ความพอเพียงขึน้ วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ให้ผเู้ ข้าร่วมกิจกรรม มีความรู้ ความเข้าใจในหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. เพือ่ ให้ผเู้ ขา้ รว่ มกิจกรรม นำความรูท้ ไ่ี ด้รับมาปรับใชใ้ นชวี ิตประจำวนั เปา้ หมาย (Outputs) เปา้ หมายเชงิ ปรมิ าณ ประชาชน 5 ตำบล ๆ ละ 5 คน ได้แก่ ตำบลวดั หลวง ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลหนองเหียง ตำบลท่าข้าม และ ตำบลกฎุ โง้ง รวมท้งั ส้ิน 25 คน เปา้ หมายเชงิ คณุ ภาพ 1. ผู้เข้ารว่ มกิจกรรม มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. ผ้เู ข้ารว่ มกิจกรรม นำความรู้ทไี่ ดร้ บั มาปรบั ใช้ในชีวิตประจำวนั ผลลพั ธ์ - ผเู้ ข้ารว่ มกิจกรรม มคี วามรู้ ความเข้าใจในหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงและนำความรูท้ ่ไี ด้รับมาปรับใช้ใน ชีวติ ประจำวัน ดชั นชี วี้ ดั ผลสำเรจ็ ของโครงการ 4.1 ตวั ชว้ี ดั ผลผลติ (Outputs) รอ้ ยและ 80 ของผู้เขา้ รว่ มกิจกรรม มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4.2 ตวั ชวี้ ดั ผลลพั ธ์ (Outcomes) รอ้ ยและ 80 ของผู้เข้าร่วมกิจกรรม นำความรู้ทีไ่ ดร้ ับมาปรบั ใช้ในชวี ติ ประจำวนั

บทที่ 2 2 เอกสารการศกึ ษาและงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ในการจดั ทำสรุปผลโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเรียนรมู้ งุ่ สู่ความพอเพยี ง คร้ังน้ี คณะผู้จดั ทำโครงการได้ ทำการคน้ คว้าเนื้อหาเอกสารการศกึ ษาและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง ดงั น้ี 1. กรอบการจัดกจิ กรรมการเรียนรหู้ ลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. เอกสาร/งานวจิ ัยท่เี กีย่ วข้อง 1. กรอบการจดั กจิ กรรมการเรยี นรหู้ ลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง นโยบายเรง่ ดว่ นเพอื่ รว่ มขบั เคลอื่ นยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาประเทศ ภารกจิ ตอ่ เนอ่ื ง 1. ดา้ นการจดั การศกึ ษาและการเรยี นรู้ 1.3 การศกึ ษาตอ่ เนอื่ ง 4) การจัดกิจกรรมการเรยี นร้ตู ามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงผา่ นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชวี ิต ใน รปู แบบตา่ งๆ ใหก้ ับประชาชน เพื่อเสริมสร้างภมู ิคุ้มกัน สามารถยนื หยัดอยไู่ ด้อยา่ งมัน่ คง และมกี ารบรหิ าร จัดการความเสี่ยง อย่างเหมาะสม ตามทศิ ทางการพฒั นาประเทศสคู่ วามสมดลุ และยั่งยนื 2. เอกสาร/งานทเี่ กย่ี วขอ้ ง โครงการอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ ารเรยี นรมู้ งุ่ สคู่ วามพอเพยี ง หลายๆ ทา่ นคงเคยได้ยนิ คำวา่ “เศรษฐกจิ พอเพยี ง” มาบอ่ ยครง้ั ซงึ่ หลายๆคนก็อาจจะเขา้ ใจกันผิดเพ้ียนไปบ้าง วา่ เช่น จงขยนั ไปทำไม ทำงานแค่พอประมาณ หรอื บางคนกบ็ อกว่าเรากนิ นอ้ ย ใช้นอ้ ย ก็อยอู่ ย่างพอเพยี งกด็ แี ล้ว อย่าไป โลภมาก บา้ ง ซง่ึ ใครท่ีคิดแบบนอ้ี ยู่ แสดงว่าทา่ นยังไมเ่ ขา้ ใจคำว่า “เศรษฐกจิ พอเพยี ง” จรงิ ๆเลยซง่ึ ในหลวงรชั กาลที่ 9 ของ เรานั้นทรงมีพระราชดำรเิ ร่ืองเศรษฐกจิ พอเพียงนม้ี าต้ังแต่วนั ท่ี 18 กรกฎาคม พ.ศ.2517 ( นบั ถงึ ปัจจบุ นั กเ็ ปน็ เวลา มากกว่า 40 ปี ) โดยทรงมพี ระราชดำรวิ า่ ด้วยเศรษฐกิจพอเพียงตอนหน่งึ วา่ “...การพัฒนาประเทศจำเปน็ ต้องทำตามลำดบั ข้นั ต้องสร้างพนื้ ฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบอ้ื งตน้ กอ่ น โดยใช้วธิ ีการและอุปกรณท์ ปี่ ระหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมอ่ื ไดพ้ นื้ ฐานความมั่นคงพรอ้ มพอสมควร และปฏิบตั ิได้แลว้ จึงคอ่ ยสรา้ งคอ่ ยเสริมความ เจรญิ และฐานะทางเศรษฐกิจขน้ั ท่ีสงู ข้นึ โดยลำดับต่อไป...”

3 จุดเรมิ่ ตน้ แนวคิดเศรษฐกจิ พอเพยี ง ผลจากการใช้แนวทางการพฒั นาประเทศไปสคู่ วามทนั สมัย ไดก้ ่อใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงแก่สงั คมไทยอยา่ งมากใน ทกุ ดา้ น ไม่วา่ จะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมอื ง วฒั นธรรม สงั คมและสิง่ แวดล้อม อกี ท้ังกระบวนการของความเปลีย่ นแปลงมี ความสลับซบั ซ้อนจนยากท่จี ะอธบิ ายใน เชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้ เพราะการเปลีย่ นแปลงทง้ั หมดต่างเป็นปัจจยั เชอื่ มโยงซงึ่ กันและกันสำหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนัน้ ได้แก่ การเพิม่ ขนึ้ ของอัตราการเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกิจ ความเจรญิ ทาง วตั ถุ และสาธารณปู โภคต่างๆ ระบบส่อื สารท่ีทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจายการศกึ ษาอย่างทวั่ ถงึ มากข้ึน แต่ผล ดา้ นบวกเหล่านีส้ ว่ นใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท หรอื ผูด้ ้อยโอกาสในสังคมน้อยแตว่ ่า กระบวนการเปล่ียนแปลงของสังคม ได้เกดิ ผลลบติดตามมาด้วย เชน่ การขยายตัวของรัฐเขา้ ไปในชนบท ไดส้ ง่ ผลใหช้ นบทเกดิ ความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการ ตอ้ งพ่ึงพงิ ตลาดและพอ่ คา้ คนกลางในการสัง่ สนิ คา้ ทนุ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพนั ธ์แบบเครอื ญาติ และการรวมกล่มุ กนั ตามประเพณีเพื่อการจัดการทรพั ยากรท่เี คยมีอยู่แตเ่ ดมิ แตก สลายลง ภูมิความรู้ท่ีเคยใช้แกป้ ัญหา และสง่ั สมปรับเปล่ยี นกันมาถูกลืมเลือนและเร่ิม สูญหายไปสิ่งสำคญั กค็ ือ ความพอเพยี งในการดำรงชวี ิต ซงึ่ เป็นเง่ือนไข พื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพ่ึงตนเอง และดำเนินชวี ติ ไปไดอ้ ย่างมศี กั ด์ิศรีภายใตอ้ ำนาจและความมีอสิ ระในการ กำหนด ชะตาชวี ิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อใหต้ นเองไดร้ ับการสนองตอบตอ่ ความต้อง การ ต่างๆ รวมท้ังความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ไดด้ ้วยตนเอง ซง่ึ ท้ังหมดน้ีถือวา่ เปน็ ศกั ยภาพพนื้ ฐานทค่ี นไทยและ สงั คมไทยเคยมอี ยู่แต่ เดมิ ต้องถกู กระทบกระเทือน ซึง่ วิกฤตเศรษฐกิจจากปญั หาฟองสบู่และปญั หาความออ่ นแอของ ชนบท รวมทง้ั ปญั หาอ่ืนๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ล้วนแตเ่ ปน็ ข้อพิสจู น์และยืนยนั ปรากฎการณน์ ไ้ี ด้เป็นอย่างดี (ทมี่ า : ขอ้ มลู เผยแพรจ่ ากมลู นธิ ชิ ยั พฒั นา ) พระราชดำรสั ทเ่ี กย่ี วกบั เศรษฐกิจพอเพยี ง “...เศรษฐศาสตร์เปน็ วิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซ้ือ เราต้องใชต้ อ้ งหาเงนิ มาสำหรับซ้อื น้ำมันสำหรับ รถไถ เวลารถไถเก่าเราตอ้ งยิ่งซ่อมแซม แตเ่ วลาใช้นั้นเราก็ตอ้ งป้อนนำ้ มนั ให้เปน็ อาหาร เสร็จแลว้ มันคายควนั ควันเราสูดเข้า ไปแล้วก็ปวดหัว สว่ นควายเวลาเราใช้เรากต็ อ้ งป้อนอาหาร ตอ้ งให้หญ้าใหอ้ าหารมันกิน แตว่ ่ามนั คายออกมา ที่มนั คาย ออกมากเ็ ป็นปุ๋ย แล้วก็ใชไ้ ดส้ ำหรับให้ที่ดินของเราไมเ่ สีย...” พระราชดำรสั เน่ืองในพระราชพธิ พี ืชมงคลจรดพระนงั คลั แรกนาขวญั ณ ศาลาดุสดิ าลยั วันที่ 9 พฤษภาคม 2529

4 “...ตามปกตคิ นเราชอบดูสถานการณใ์ นทางดี ทเี่ ขาเรยี กว่าเลง็ ผลเลิศ กเ็ หน็ ว่าประเทศไทย เรานกี่ ้าวหน้าดี การเงนิ การอตุ สาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหน่ึงก็ตอ้ งบอกวา่ เรากำลงั เสอื่ มลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีวา่ ถ้ามเี งินเท่านั้นๆ มีการกู้ เทา่ นนั้ ๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหนา้ แลว้ กป็ ระเทศก็เจรญิ มีหวังวา่ จะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยตอ้ งเตือนเขาวา่ จรงิ ตวั เลขดี แต่วา่ ถ้าเราไมร่ ะมดั ระวังในความต้องการพนื้ ฐาน ของประชาชนน้ันไมม่ ที าง...” พระราชดำรสั เนื่องในโอกาสวันเฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วนั ที่ 4 ธันวาคม 2536 “...เด๋ียวน้ปี ระเทศไทยกย็ ังอยูด่ พี อสมควร ใช้คำว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมคี นเหน็ วา่ มีคนจน คนเดือดรอ้ น จำนวน มากพอสมควร แตใ่ ช้คำวา่ พอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตภาพ...” พระราชดำรสั เน่อื งในโอกาสวันเฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันท่ี 4 ธันวาคม 2539 “...ท่เี ป็นห่วงนนั้ เพราะแม้ในเวลา ๒ ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกกไ็ ดเ้ หน็ สง่ิ ทีท่ ำให้เหน็ ได้ว่า ประชาชนยังมคี วาม เดอื ดรอ้ นมาก และมสี งิ่ ที่ควรจะแก้ไขและดำเนนิ การต่อไปทุกด้าน มภี ัยจากธรรมชาตกิ ระหนำ่ ภยั ธรรมชาตินเี้ ราคงสามารถ ทีจ่ ะบรรเทาได้หรอื แก้ไขได้ เพียงแตว่ า่ ต้องใชเ้ วลาพอใช้ มภี ยั ท่มี าจากจิตใจของคน ซ่งึ ก็แก้ไขไดเ้ หมือนกัน แตว่ ่ายากกว่าภัย ธรรมชาติ ธรรมชาตนิ นั้ เป็นสงิ่ นอกกายเรา แตน่ ิสัยใจคอของคนเปน็ ส่งิ ทีอ่ ยู่ขา้ งใน อันน้ีก็เป็นข้อหนงึ่ ทีอ่ ยากใหจ้ ัดการให้มี ความเรียบร้อย แต่กไ็ มห่ มดหวงั ...” พระราชดำรัส เนอื่ งในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลัย วนั ท่ี 4 ธันวาคม 2539 “...การจะเป็นเสือนน้ั ไมส่ ำคญั สำคัญอย่ทู ่ีเรามีเศรษฐกจิ แบบพอมพี อกนิ แบบพอมพี อกนิ นัน้ หมายความวา่ อมุ้ ชู ตวั เองได้ ใหม้ ีพอเพยี งกบั ตนเอง ความพอเพยี งนไี้ ม่ได้หมายความว่าทกุ ครอบครวั จะต้องผลติ อาหารของตัวเอง จะตอ้ งทอผา้ ใสเ่ อง อยา่ งน้ันมันเกินไป แตว่ า่ ในหมบู่ ้านหรอื ในอำเภอ จะต้องมีความพอเพยี งพอสมควร บางส่งิ บางอย่างผลิตไดม้ ากกวา่ ความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่หา่ งไกลเทา่ ไร ไมต่ ้องเสยี คา่ ขนส่งมากนกั ...” พระราชดำรสั เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลยั วนั ท่ี 4 ธนั วาคม 2539 “...เมอื่ ปี ๒๕๑๗ วันน้ันไดพ้ ูดถงึ ว่า เราควรปฏิบตั ิให้พอมพี อกิน พอมีพอกินนีก้ ็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพยี งนั่นเอง ถ้า แตล่ ะคนมีพอมีพอกนิ ก็ใชไ้ ด้ ย่ิงถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินกย็ ิง่ ดี และประเทศไทยเวลาน้นั กเ็ ริ่มจะเป็นไมพ่ อมพี อกนิ บางคนก็ มมี าก บางคนกไ็ ม่มเี ลย...” พระราชดำรัส เนอ่ื งในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลัย วนั ที่ 4 ธนั วาคม 2541

5 “...พอเพียง มีความหมายกวา้ งขวางยงิ่ กว่านี้อกี คอื คำวา่ พอ กพ็ อเพียงนีก้ ็พอแคน่ นั้ เอง คนเราถา้ พอในความ ตอ้ งการกม็ ีความโลภน้อย เม่อื มีความโลภน้อยกเ็ บยี ดเบียนคนอืน่ นอ้ ย ถา้ ประเทศใดมคี วามคดิ อนั น้ี มคี วามคิดว่าทำอะไร ตอ้ งพอเพยี ง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไมโ่ ลภอยา่ งมาก คนเราก็อย่เู ป็นสุข พอเพียงนอี้ าจจะมี มมี ากอาจจะมีของ หรหู รากไ็ ด้ แตว่ ่าต้องไมไ่ ปเบียดเบยี นคนอน่ื ...” พระราชดำรัส เนอ่ื งในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันท่ี 4 ธันวาคม 2541 “...ไฟดับถา้ มีความจำเป็น หากมีเศรษฐกจิ พอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามเี ครือ่ งปนั่ ไฟกใ็ ชป้ ่นั ไฟ หรือถา้ ขนั้ โบราณกว่า มดื ก็จุดเทียน คือมที างที่จะแก้ปญั หาเสมอ ฉะน้นั เศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นข้ันๆ แต่จะบอกวา่ เศรษฐกจิ พอเพียงน้ี ให้พอเพียง เฉพาะตัวเองร้อยเปอรเ์ ซ็นตน์ เ่ี ป็นส่งิ ทำไมไ่ ด้ จะตอ้ งมกี ารแลกเปลยี่ น ตอ้ งมีการชว่ ยกัน ถา้ มีการช่วยกัน แลกเปล่ยี นกนั ก็ ไมใ่ ชพ่ อเพียงแล้ว แต่วา่ พอเพยี งในทฤษฎีในหลวงนี้ คอื ใหส้ ามารถท่ีจะดำเนนิ งานได้...” พระราชดำรสั เนอื่ งในโอกาสวันเฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลัย วนั ที่ 23 ธันวาคม 2542 “...โครงการตา่ งๆ หรือเศรษฐกิจทใี่ หญ่ ตอ้ งมคี วามสอดคล้องกันดีทไี่ ม่ใชเ่ หมือนทฤษฎีใหม่ ท่ีใช้ท่ีดินเพียง ๑๕ ไร่ และสามารถทจ่ี ะปลกู ข้าวพอกนิ กจิ การนี้ใหญก่ วา่ แต่ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไมเ่ ขา้ ใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือน สร้างเข่ือนป่าสักก็เป็นเศรษฐกจิ พอเพียงเหมือนกัน เขานึกว่าเปน็ เศรษฐกจิ สมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกจิ พอเพยี ง แตท่ ีจ่ ริงแล้ว เปน็ เศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกนั ...” พระราชดำรสั เนื่องในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลยั วนั ที่ 23 ธันวาคม 2542 “...ฉันพดู เศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตวั เอง คือทำจากรายได้ 200-300 บาท ขึ้นไปเปน็ สองหม่นื สามหม่นื บาท คนชอบเอาคำพดู ของฉนั เศรษฐกจิ พอเพยี งไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกจิ พอเพยี ง คือทำ เปน็ Self-Sufficiency มนั ไมใ่ ช่ความหมายไม่ใช่แบบทีฉ่ ันคิด ทฉ่ี ันคิดคอื เป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขา ต้องการดทู ีวี ก็ควรใหเ้ ขามดี ู ไมใ่ ช่ไปจำกัดเขาไมใ่ ห้ซอ้ื ทวี ีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ทีฉ่ ันไป เขามี ทีวีดูแตใ่ ช้แบตเตอรี่ เขาไมม่ ไี ฟฟ้า แตถ่ า้ Sufficiency นน้ั มีทีวีเขาฟุ่มเฟอื ย เปรียบเสมอื นคนไม่มีสตางคไ์ ปตัดสูทใส่ และยงั ใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนีก้ เ็ กินไป...” พระตำหนกั เปย่ี มสุข วงั ไกลกังวล 17 มกราคม 2544

6 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ทรงเข้าพระราชหฤทยั ในความเปน็ ไปของเมืองไทยและคนไทยอย่างลกึ ซึง้ และ กว้างไกล ไดท้ รงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และชว่ ยเหลือประชาชนใหส้ ามารถพง่ึ ตนเองได้มี “ความพออยูพ่ อกิน\" และ มคี วามอสิ ระทีจ่ ะอย่ไู ดโ้ ดยไมต่ อ้ งติดยึดอยกู่ ับเทคโนโลยีและความเปล่ียนแปลงของกระแสโลกาภวิ ัฒน์ ทรงวเิ คราะหว์ ่าหาก ประชาชนพึ่งตนเองไดแ้ ล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสรมิ สร้างประเทศชาติโดยสว่ นรวมได้ในที่สดุ พระราชดำรสั ทส่ี ะท้อนถึงพระ วสิ ัยทัศนใ์ นการสรา้ งความเข้มแข็งในตนเองของประชาชนและสามารถทำมาหากนิ ให้พออยูพ่ อกนิ ได้ ดังนี้ \"….ในการสรา้ งถนน สรา้ งชลประทานใหป้ ระชาชนใชน้ นั้ จะตอ้ งชว่ ยประชาชนในทางบุคคลหรอื พัฒนาใหบ้ คุ คลมคี วามรแู้ ละ อนามยั แขง็ แรง ดว้ ยการใหก้ ารศกึ ษาและการรักษาอนามยั เพอ่ื ให้ ประชาชนในทอ้ งทสี่ ามารถทำการเกษตรได้ และค้าขายได…้ \" ในสภาวการณ์ปจั จุบัน ซ่งึ เกิดความถดถอยทางเศรษฐกจิ อย่างรุนแรงขน้ึ นจ้ี ึงทำให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจนในแนว พระราชดำรขิ อง \"เศรษฐกิจพอเพยี ง\" ซงึ่ ได้ทรงคิดและตระหนักมา ชา้ นาน เพราะหากเราไม่ไปพ่ีงพา ยดึ ติดอยกู่ บั กระแสจากภายนอก มากเกินไป จนได้ครอบงำความคิดในลักษณะด้ังเดมิ แบบไทยๆไป หมด มแี ต่ความทะเยอทะยานบนรากฐานทไี่ มม่ น่ั คงเหมือนลกั ษณะ ฟองสบู่ วกิ ฤตเศรษฐกิจเช่นนีอ้ าจไมเ่ กิดข้ึน หรือไม่หนกั หนาสาหสั จนเกิดความเดือดรอ้ นกนั ถ้วนท่ัวเช่นน้ี ดังนั้น \"เศรษฐกจิ พอเพียง\" จงึ ได้ส่อื ความหมาย ความสำคญั ในฐานะเปน็ หลักการ สังคมทีพ่ ึงยึดถือ ในทางปฏิบัติจุดเร่ิมต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจชมุ ชนท้องถ่ิน เศรษฐกิจพอเพียง เป็นทั้งหลักการและกระบวนการทางสังคม ตั้งแต่ขั้นฟื้นฟูและขยายเครือข่ายเกษตรกรรมย่ังยืน เป็นการพัฒนาขีด ความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพออยู่พอกินขึ้นไปถึงข้ันแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและทักษะ วิชาการท่ีหลากหลายเกิดตลาดซ้ือขาย สะสมทุน ฯลฯ บนพื้นฐานเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนน้ี เศรษฐกิจของ 3 ชาติ จะ พัฒนาข้ึนมาอย่างมั่นคงท้ังในด้านกำลังทุนและตลาดภายในประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากฐาน ทรัพยากรและภมู ิปญั ญาท่มี อี ยู่ภายในชาติ และทงั้ ที่จะพงึ คดั สรรเรียนรจู้ ากโลกภายนอก เศรษฐกิจพอเพยี งเปน็ เศรษฐกิจทพ่ี อเพยี งกบั ตวั เอง ทำให้อย่ไู ด้ ไม่ตอ้ งเดือดร้อน มสี ิ่งจำเปน็ ท่ที ำได้โดยตัวเองไม่ ตอ้ งแขง่ ขันกบั ใคร และมเี หลอื เพ่ือช่วยเหลือผทู้ ไี่ ม่มี อันนำไปสกู่ ารแลกเปลยี่ นในชุมชน และขยายไปจนสามารถที่จะเปน็ สินค้าส่งออก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจระบบเปดิ ที่เริ่มจากตนเองและความรว่ มมือ วิธกี ารเช่นนี้จะดงึ ศกั ยภาพของ ประชากรออกมาสร้างความเข้มแขง็ ของครอบครัว ซงึ่ มคี วามผู้พนั กบั “จติ วิญญาณ” คือ “คณุ ค่า” มากกว่า “มูลค่า” ในระบบเศรษฐกิจพอเพยี งจะจัดลำดบั ความสำคัญของ “คณุ คา่ ” มากกว่า “มูลค่า” มูลค่าน้นั ขาดจิตวิญญาณ เพราะเป็นเศรษฐกิจภาคการเงนิ ทเี่ น้นที่จะตอบสนองต่อความต้องการทไี่ ม่จำกดั ซงึ่ ไร้ขอบเขต ถา้ ไมส่ ามารถควบคมุ ได้การ ใชท้ รัพยากรอยา่ งทำลายล้างจะรวดเรว็ ขึ้นและปัญหาจะตามมา เป็นการบริโภคท่กี อ่ ให้เกิดความทุกข์หรือพาไปหาความทกุ ข์

7 และจะไมม่ ีโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ในการบรโิ ภค ท่ีจะกอ่ ให้ความพอใจและความสุข (Maximization of Satisfaction) ผบู้ ริโภคตอ้ งใช้หลักขาดทุนคือกำไร (Our loss is our gain) อย่างนี้จะควบคุมความตอ้ งการที่ไมจ่ ำกัดได้ และสามารถจะลด ความตอ้ งการลงมาได้ ก่อให้เกดิ ความพอใจและความสขุ เท่ากบั ไดต้ ระหนกั ในเรอื่ ง “คุณคา่ ” จะช่วยลดคา่ ใช้จ่ายลงได้ ไม่ ตอ้ งไปหาวธิ ที ำลายทรพั ยากรเพอื่ ให้เกดิ รายได้มาจัดสรรสิง่ ท่ีเป็น “ความอยากทไ่ี ม่มีทส่ี ิ้นสุด” และขจัดความสำคญั ของ “เงิน” ในรูปรายได้ทเี่ ปน็ ตัวกำหนดการบรโิ ภคลงไดร้ ะดับหนง่ึ แลว้ ยงั เปน็ ตวั แปรท่ีไปลดภาระของกลไกของตลาดและการ พงึ่ พงิ กลไกของตลาด ซ่งึ บุคคลโดยท่ัวไปไม่สามารถจะควบคมุ ได้ รวมทั้งไดม้ ีสว่ นในการปอ้ งกันการบริโภคเลียนแบบ (Demonstration Effects) จะไมท่ ำใหเ้ กดิ การสูญเสีย จะทำให้ไม่เกิดการบรโิ ภคเกนิ (Over Consumption) ซง่ึ กอ่ ใหเ้ กิด สภาพเศรษฐกิจดี สงั คมไมม่ ีปญั หา การพัฒนายัง่ ยนื การบรโิ ภคที่ฉลาดดงั กล่าวจะชว่ ยปอ้ งกนั การขาดแคลน แมจ้ ะไมร่ ำ่ รวยรวดเร็ว แตใ่ นยามปกติกจ็ ะทำให้รำ่ รวยมาก ขนึ้ ในยามทุกขภ์ ยั กไ็ มข่ าดแคลน และสามารถจะฟ้ืนตัวไดเ้ ร็วกว่า โดยไม่ต้องหวงั ความชว่ ยเหลือจากผ้อู ่ืนมากเกินไป เพราะฉะนั้นความพอมพี อกินจะสามารถอมุ้ ชูตัวได้ ทำใหเ้ กิดความเข้มแข็ง และความพอเพยี งนน้ั ไมไ่ ดห้ มายความว่า ทกุ ครอบครวั ตอ้ งผลิตอาหารของตวั เอง จะต้องทอผ้าใส่เอง แต่มีการแลกเปลยี่ นกันได้ระหวา่ งหมบู่ ้าน เมือง และแมก้ ระท่ัง ระหวา่ งประเทศ ที่สำคญั คือการบรโิ ภคนน้ั จะทำให้เกดิ ความรทู้ ี่จะอย่รู ่วมกบั ระบบ รกั ธรรมชาติ ครอบครวั อบอุ่น ชมุ ชน เขม้ แข็ง เพราะไมต่ ้องทงิ้ ถ่ินไปหางานทำ เพอ่ื หารายไดม้ าเพ่อื การบรโิ ภคท่ไี ม่เพียงพอ ประเทศไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรและยงั มพี อสำหรับประชาชนไทยถ้ามีการจัดสรรทด่ี ี โดยยดึ \" คุณค่า \" มากกวา่ \" มลู คา่ \" ยึดความสมั พันธ์ของ “บุคคล” กับ “ระบบ” และปรับความตอ้ งการทไ่ี มจ่ ำกัดลงมาใหไ้ ด้ตามหลกั ขาดทนุ เพือ่ กำไร และอาศัยความร่วมมือเพ่อื ให้เกิดครอบครัวท่ีเข้มแขง็ อนั เป็นรากฐานทส่ี ำคญั ของระบบสังคม การผลติ จะเสียค่าใช้จา่ ยลดลงถ้ารู้จกั นำเอาสงิ่ ที่มีอยู่ในขบวนการธรรมชาติมาปรุงแตง่ ตามแนวพระราชดำริในเรอ่ื ง ต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วซ่ึงสรุปเป็นคำพูดทีเ่ หมาะสมตามที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ตินณสลู านนท์ ทว่ี ่า “…ทรงปลูกแผน่ ดิน ปลูก ความสขุ ปลดความทุกข์ของราษฎร” ในการผลติ นน้ั จะต้องทำดว้ ยความรอบคอบไม่เหน็ แกไ่ ด้ จะต้องคดิ ถึงปจั จัยท่มี ีและ ประโยชน์ของผู้เก่ยี วข้อง มฉิ ะนนั้ จะเกดิ ปัญหาอย่างเชน่ บางคนมีโอกาสทำโครงการแตไ่ ม่ไดค้ ำนึงว่าปัจจยั ต่าง ๆ ไมค่ รบ ปจั จัยหนึ่งคือขนาดของโรงงาน หรือเครือ่ งจักรทส่ี ามารถท่ีจะปฏบิ ัติได้ แตข่ ้อสำคญั ทสี่ ุด คอื วตั ถุดิบ ถ้าไม่สามารถทจี่ ะให้ คา่ ตอบแทนวตั ถุดบิ แกเ่ กษตรกรทีเ่ หมาะสม เกษตรกรก็จะไมผ่ ลติ ยงิ่ ถ้าใชว้ ตั ถดุ ิบสำหรับใชใ้ นโรงงาน้นั เปน็ วัตถุดบิ ที่จะตอ้ ง นำมาจากระยะไกล หรือนำเข้าก็จะย่งิ ยาก เพราะวา่ วตั ถุดบิ ทน่ี ำเข้านัน้ ราคาย่งิ แพง บางปวี ัตถุดิบมีบรบิ รู ณ์ ราคาอาจจะ ตำ่ ลงมา แตเ่ วลาจะขายสงิ่ ของท่ผี ลติ จากโรงงานกข็ ายยากเหมอื นกัน เพราะมมี ากจึงทำใหร้ าคาตก หรอื กรณีใช้เทคโนโลยี ทางการเกษตร เกษตรกรรู้ดวี ่าเทคโนโลยีทำใหต้ น้ ทนุ เพ่มิ ขน้ึ และผลผลิตทเ่ี พิ่มนั้นจะลน้ ตลาด ขายได้ในราคาท่ีลดลง ทำให้ ขาดทนุ ตอ้ งเปน็ หนี้สนิ การผลติ ตามทฤษฎีใหมส่ ามารถเปน็ ตน้ แบบการคดิ ในการผลติ ทดี่ ีได้ ดงั น้ี 1. การผลิตนนั้ มุ่งใช้เป็นอาหารประจำวันของครอบครัว เพ่อื ให้มีพอเพียงในการบริโภคตลอดปี เพ่อื ใช้เปน็ อาหาร ประจำวนั และเพอ่ื จำหนา่ ย 2. การผลติ ต้องอาศยั ปัจจัยในการผลติ ซึ่งจะตอ้ งเตรยี มใหพ้ ร้อม เชน่ การเกษตรต้องมนี ้ำ การจัดให้มแี ละดูแหลง่ น้ำ จะกอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์ทั้งการผลติ และประโยชนใ์ ช้สอยอ่ืน ๆ

8 3. ปัจจัยประกอบอน่ื ๆ ท่ีจะอำนวยใหก้ ารผลติ ดำเนนิ ไปด้วยดี และเกิดประโยชนเ์ ชือ่ มโยง (Linkage) ทีจ่ ะไปเสริม ให้เกิดความย่งั ยนื ในการผลิต จะต้องร่วมมอื กนั ทุกฝา่ ยท้งั เกษตรกร ธรุ กจิ ภาครฐั ภาคเอกชน เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกจิ พอเพยี งเขา้ กับเศรษฐกจิ การคา้ และใหด้ ำเนินกิจการควบค่ไู ปดว้ ยกันได้ การผลติ จะต้องตระหนักถึงความสมั พันธร์ ะหวา่ ง “บุคคล” กบั “ระบบ” การผลิตน้นั ต้องยดึ มนั่ ในเรอ่ื งของ “คณุ ค่า” ให้มากกว่า “มลู ค่า” ดังพระราชดำรัส ซ่งึ ไดน้ ำเสนอมากอ่ นหน้านี้ที่วา่ “…บารมนี นั้ คอื ทำความดี เปรยี บเทยี บกบั ธนาคาร …ถ้าเราสะสมเงนิ ใหม้ ากเรากส็ ามารถทีจ่ ะใชด้ อกเบ้ีย ใชเ้ งนิ ที่ เปน็ ดอกเบย้ี โดยไมแ่ ตะตอ้ งทนุ แตถ่ ้าเราใชม้ ากเกดิ ไป หรอื เราไมร่ ะวงั เรากนิ เข้าไปในทนุ ทนุ มนั กน็ อ้ ยลง ๆ จนหมด …ไป เบกิ เกนิ บญั ชเี ขากต็ อ้ งเอาเรอ่ื ง ฟอ้ งเราใหล้ ม้ ละลาย เราอย่าไปเบกิ เกนิ บารมที บ่ี า้ นเมอื ง ทป่ี ระเทศไดส้ รา้ งสมเอาไวต้ งั้ แต่ บรรพบรุ ษุ ของเราให้เกนิ ไป เราตอ้ งทำบ้าง หรอื เพมิ่ พนู ใหป้ ระเทศของเราปกตมิ อี นาคตทมี่ น่ั คง บรรพบรุ ษุ ของเราแตโ่ บราณ กาล ไดส้ รา้ งบา้ นเมอื งมาจนถงึ เราแลว้ ในสมยั นที้ เ่ี รากำลงั เสยี ขวญั กลวั จะไดไ้ มต่ อ้ งกลวั ถา้ เราไมร่ กั ษาไว…้ ” การจดั สรรทรพั ยากรมาใช้เพ่อื การผลิตทคี่ ำนึงถงึ “คุณคา่ ” มากกว่า “มูลค่า” จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง “บุคคล” กับ “ระบบ” เปน็ ไปอย่างย่งั ยนื ไม่ทำลายทงั้ ทนุ สังคมและทุนเศรษฐกจิ นอกจากน้จี ะต้องไม่ตดิ ตำรา สรา้ งความรู้ รกั สามัคคี และความร่วมมอื รว่ มแรงใจ มองกาลไกลและมรี ะบบสนับสนุนทเ่ี ปน็ ไปได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรงปลกู ฝงั แนวพระราชดำริให้ประชาชนยอมรบั ไปปฏิบตั ิอยา่ งตอ่ เน่อื ง โดยใหว้ งจร การพัฒนาดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ กลา่ วคือ ทรงสรา้ งความตระหนกั แกป่ ระชาชนใหร้ บั รู้ (Awareness) ในทกุ คราเมอ่ื เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยม ประชาชนในทกุ ภูมิภาคต่าง ๆ จะทรงมพี ระราชปฏิสนั ถารใหป้ ระชาชนได้รบั ทราบถงึ สิง่ ท่คี วรรู้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกจะ ชว่ ยปอ้ งกันดินพงั ทลาย และใชป้ ุ๋ยธรรมชาติจะชว่ ยประหยัดและบำรุงดนิ การแก้ไขดนิ เปรย้ี วในภาคใต้สามารถกระทำได้ การ ตดั ไมท้ ำลายป่าจะทำให้ฝนแลง้ เปน็ ต้น ตวั อยา่ งพระราชดำรสั ทเ่ี กีย่ วกบั การสร้างความตระหนกั ให้แกป่ ระชาชน ไดแ้ ก่ “….ประเทศไทยนเ้ี ปน็ ท่ที เี่ หมาะมากในการตงั้ ถนิ่ ฐาน แตว่ า่ ตอ้ งรกั ษาไว้ ไมท่ ำใหป้ ระเทศไทยเปน็ สวนเปน็ นา กลายเปน็ ทะเลทราย กป็ อ้ งกนั ทำได้….” ทรงสรา้ งความสนใจแกป่ ระชาชน (Interest) หลายท่านคงได้ยนิ หรอื รับฟัง โครงการอนั เนอ่ื ง มาจากพระราชดำริใน พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ทม่ี ีนามเรยี กขานแปลกหู ชวนฉงน น่าสนใจตดิ ตามอย่เู สมอ เชน่ โครงการแกม้ ลิง โครงการ แกล้งดิน โครงการเส้นทางเกลือ โครงการน้ำดีไลน่ ำ้ เสยี หรือโครงการน้ำสามรส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นต้น ล้วนเชิญชวนให้ ติดตามอย่างใกลช้ ดิ แตพ่ ระองคก์ ็จะมพี ระราชาธบิ ายแตล่ ะโครงการอยา่ งละเอยี ด เป็นทีเ่ ขา้ ใจงา่ ยรวดเร็วแกป่ ระชาชนทัง้ ประเทศ ในประการต่อมา ทรงใหเ้ วลาในการประเมนิ ค่าหรอื ประเมนิ ผล (Evaluate) ดว้ ยการศกึ ษาหาขอ้ มูลตา่ ง ๆ ว่า โครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดำรขิ องพระองค์น้ันเป็นอย่างไร สามารถนำไปปฏิบัติไดใ้ นสว่ นของตนเองหรอื ไม่ ซึ่งยงั คงยึด แนวทางทใี่ ห้ประชาชนเลือกการพัฒนาด้วยตนเอง ท่ีวา่ “….ขอใหถ้ อื วา่ การงานทจี่ ะทำนั้นตอ้ งการเวลา เปน็ งานทมี่ ผี ดู้ ำเนนิ มากอ่ นแลว้ ทา่ นเปน็ ผทู้ ่จี ะเขา้ ไปเสรมิ กำลงั จงึ ตอ้ งมีความอดทนทจ่ี ะเขา้ ไปรว่ มมอื กบั ผอู้ นื่ ตอ้ งปรองดองกบั เขาใหไ้ ด้ แมเ้ หน็ วา่ มจี ดุ หนงึ่ จดุ ใดตอ้ งแกไ้ ขปรบั ปรงุ ก็ตอ้ งคอ่ ย พยายามแกไ้ ขไปตามทถี่ กู ทค่ี วร….”

9 ในขน้ั ทดลอง (Trial) เพอ่ื ทดสอบว่างานในพระราชดำริท่ีทรงแนะนำนนั้ จะไดผ้ ลหรือไม่ซึง่ ในบางกรณหี ากมี การทดลองไม่แนช่ ดั กท็ รงมักจะมิใหเ้ ผยแพรแ่ กป่ ระชาชน หากมผี ลการทดลองจนแนพ่ ระราชหฤทยั แลว้ จงึ จะออกไปสู่ สาธารณชนได้ เช่น ทดลองปลกู หญา้ แฝกเพื่ออนรุ ักษด์ นิ และนำ้ นัน้ ไดม้ ีการคน้ คว้าหาความเหมาะสมและความเปน็ ไปไดจ้ น ทวั่ ทงั้ ประเทศวา่ ดยี ง่ิ จึงนำออกเผยแพร่แก่ประชาชน เปน็ ตน้ ขน้ั ยอมรบั (Adoption) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินัน้ เมอ่ื ผา่ นกระบวนการมาหลายขั้นตอน บ่ม เพาะ และมีการทดลองมาเปน็ เวลานาน ตลอดจนทรงให้ศนู ยศ์ ึกษาการพัฒนาอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริและสถานทอี่ ่ืน ๆ เป็น แหล่งสาธิตทีป่ ระชาชนสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ถึงตวั อยา่ งแห่งความสำเร็จ ดงั นัน้ แนวพระราชดำรขิ องพระองค์จงึ เป็นสงิ่ ที่ ราษฎรสามารถพิสูจนไ์ ดว้ ่าจะไดร้ บั ผลดตี อ่ ชีวิต และความเป็นอยขู่ องตนไดอ้ ยา่ งไร แนวพระราชดำริท้ังหลายดังกล่าวข้างตน้ น้ี แสดงถึงพระวริ ยิ ะอตุ สาหะท่พี ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ทรงทมุ่ เทพระ สตปิ ัญญา ตรากตรำพระวรกาย เพอ่ื คน้ คว้าหาแนวทางการพฒั นาใหพ้ สกนิกรท้งั หลายได้มคี วามร่มเยน็ เป็นสุขสถาพรย่งั ยนื นาน นับเปน็ พระมหากรณุ าธคิ ุณอนั ใหญ่หลวงท่ไี ด้พระราชทานแก่ปวงไทยตลอดเวลามากกวา่ 50 ปี จึงกล่าวได้ว่าพระราช กรณยี กิจของพระองคน์ นั้ สมควรอย่างย่ิงที่ทวยราษฎรจกั ไดเ้ จรญิ รอยตามเบ้ืองพระยคุ ลบาท ตามท่ีทรงแนะนำ สั่งสอน อบรมและวางแนวทางไวเ้ พือ่ ให้เกิดการอย่ดู มี สี ขุ โดยถ้วนเช่นกัน โดยการพฒั นาประเทศจำเปน็ ต้องทำตามลำดับข้นึ ตอนต้อง สรา้ งพื้นฐาน คอื ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนสว่ นใหญเ่ ป็นเบอื้ งตน้ ก่อน โดยใช้วิธกี ารและอุปกรณท์ ปี่ ระหยดั แต่ ถกู ตอ้ งตาหลกั วชิ าการ เพ่อื ได้พนื้ ฐานท่ีม่นั คงพรอ้ มพอสมควรและปฏบิ ัติได้แลว้ จงึ ค่อยสร้างค่อยเสรมิ ความเจรญิ และ ฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นที่สูงข้นึ ไปตามลำดับ จะก่อให้เกดิ ความย่งั ยืนและจะนำไปสคู่ วามเข้มแข็งของครอบครวั ชุมชน และ สังคม สดุ ท้ายเศรษฐกิจดี สังคมไมม่ ปี ญั หา การพัฒนายงั่ ยนื ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง “เศรษฐกิจพอเพยี ง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริช้ีแนะแนวทางการดำเนนิ ชวี ติ แกพ่ สกนกิ รชาวไทยมาโดยตลอดนานกวา่ ๒๕ ปี ตัง้ แตก่ อ่ นเกดิ วกิ ฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมอ่ื ภายหลงั ได้ทรงเน้นยำ้ แนวทางการแก้ไขเพ่อื ใหร้ อดพ้น และสามารถดำรงอย่ไู ด้อย่างมนั่ คงและยงั่ ยนื ภายใต้กระแสโลกาภวิ ตั น์และความ เปลีย่ นแปลงต่างๆ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบตั ิตนของประชาชนในทุกระดับ ต้ังแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนา เศรษฐกจิ เพอ่ื ใหก้ า้ วทันต่อโลกยคุ โลกาภวิ ัตน์ ความพอเพียง หมายถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตุผล รวมถงึ ความจำเป็น ที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดีพอสมควร ตอ่ การมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปล่ียนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทัง้ น้ี จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมดั ระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและ การดำเนินการทุกข้ันตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นกั ทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรมความซอื่ สัตย์ สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิต ดว้ ยความอดทน ความเพียร มสี ติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปล่ียนแปลงอย่าง รวดเร็วและกว้างขวางท้ังด้านวัตถุ สังคม สงิ่ แวดล้อม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

10 ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง จงึ ประกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิ ดงั น้ี 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดที ีไ่ ม่น้อยเกนิ ไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียน ตนเองและผูอ้ น่ื เชน่ การผลิตและการบรโิ ภคทอี่ ยู่ในระดบั พอประมาณ 2. ความมีเหตผุ ล หมายถงึ การตดั สินใจเกย่ี วกบั ระดับความพอเพียงนนั้ จะตอ้ งเปน็ ไปอย่างมเี หตผุ ล โดยพิจารณา จากเหตปุ ัจจัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง ตลอดจนคำนงึ ถงึ ผลที่คาดวา่ จะเกิดข้นึ จากการกระทำนนั้ ๆ อย่างรอบคอบ 3. ภูมคิ มุ้ กนั หมายถึง การเตรียมตัวใหพ้ รอ้ มรบั ผลกระทบและการเปลีย่ นแปลงดา้ นต่างๆ ทจ่ี ะเกิดขึน้ โดยคำนงึ ถึง ความเปน็ ไปได้ของสถานการณต์ า่ งๆ ที่คาดว่าจะเกิดขน้ึ ในอนาคต โดยมี เง่ือนไข ของการตดั สนิ ใจและดำเนินกจิ กรรมต่างๆ ใหอ้ ยู่ในระดับพอเพยี ง 2 ประการ ดังน้ี 1. เงอ่ื นไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรเู้ ก่ียวกบั วชิ าการตา่ งๆ ทเี่ กี่ยวข้องรอบดา้ น ความรอบคอบทจี่ ะนำ ความรูเ้ หล่าน้ันมาพิจารณาให้เชอื่ มโยงกัน เพ่ือประกอบการวางแผนและความระมดั ระวงั ในการปฏบิ ตั ิ 2. เงอื่ นไขคณุ ธรรม ทจี่ ะตอ้ งเสริมสร้าง ประกอบด้วย มคี วามตระหนักใน คุณธรรม มีความ ซ่ือสตั ย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพยี ร ใช้สตปิ ญั ญาในการดำเนนิ ชวี ติ หลกั ความพอเพยี ง ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นท่ีจะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดี พอสมควร ตอ่ การมผี ลกระทบใด ๆ อันเกดิ จากการเปล่ยี นแปลวงทง้ั ภายนอกและภายใน พอประมาณ  พอดพี อเหมาะต่อความจำเป็น  พอควรแกอ่ ัตภาพ  ไม่มากเกนิ  ไม่นอ้ ยเกนิ ความมีเหตผุ ล  ตามหลักวิชา  ตามกฎเกณฑส์ งั คม (รวมประเพณี – วัฒนธรรม)  ตามหลักกฎหมาย  ตามหลักศีลธรรม  ตามความจำเป็นในการดำเนนิ ชีวิต / กจิ กรรม

11 ระบบภมู คิ มุ้ กนั ตวั เหตุปจั จัย → การเปลยี่ นแปลง → เกดิ ผลกระทบ 1. ดา้ นวัตถุ 2. ด้านสงั คม 3. ด้านส่ิงแวดลอ้ ม 4. ด้านวัฒนธรรม ระบบภมู คิ มุ้ กนั ดา้ นวตั ถุ ภูมิคมุ้ กนั เขม้ แขง็ ภูมคิ ุ้มกนั บกพรอ่ ง  มีเงินออม  มหี น้ไี ม่กอ่ รายได้  มีการประกนั ความเสย่ี งในอนาคต  ขาดการประกนั ความเสย่ี งในอนาคต  มกี ารลงทุนเพื่อพัฒนา  ขาดการลงทนุ เพอื่ พฒั นา  มีการวางแผนระยะยาว  ขาดการวางแผนระยะยาว ภมู ิคมุ้ กนั ในตวั (reserve ; safety net) 1. ลดหนี้ / ลบหน้ี (reduce or wipe out dept) 2. การลงทุนทเี่ ส่ยี งนอ้ ย (low-risk investment) 3. กองทุนปอ้ งกันวกิ ฤติ (stabilization fund) 4. การออม (saving) 5. การลงทุนพฒั นาสถาบัน / ประเทศชาติ (invest in development) ระบบภมู คิ มุ้ กนั ดา้ นสังคม ภูมคิ ุม้ กันเข้มแขง็ ภูมิคุม้ กันบกพรอ่ ง  รู้-รัก-สามคั คี  ระแวง-ทะเลาะเบาะแว้ง  ร่วมมอื ร่วมใจกัน  ต่างคนตา่ งอยู่  มีคุณธรรม-ใฝศ่ าสนาธรรม  ทุศีล-ห่างไกลศาสนธรรม  “สงั คมสีขาว”  เยอ่ื แห่งอบายมขุ ท้ังปวง  “อยู่เย็นเป็นสขุ ”  “อยูร่ อ้ นนอนทุกข์”  ทนุ ทางสังคมสงู  ทนุ ทางสงั คมต่ำ วธิ สี รา้ งภมู คิ มุ้ กนั ทางศลี ธรรมแกล่ กู หลาน ภูมคิ มุ้ กันทางศีลธรรม → คุ้มกันต่อสิ่งช่ัวรา้ ยทางศลี ธรรม อนั ไดแ้ ก่ โลภะ โทสะ และโมหะ 1. ฐานเครอื ญาติทีม่ ่ันคง 2. คำสอนของครอบครวั / ตระกลู 3. พาลูกเข้าวดั / ศึกษาและปฏบิ ตั ธิ รรม 4. สอนลูกใหอ้ อมและทำบญุ

12 5. ฝึก “ใจ” ใหเ้ ขม้ แข็งย่งิ ๆ ข้ึน - ขม่ ตนเอง - ปฏเิ สธความชั่ว / ยึดม่นั ความดี ระบบภมู ิคมุ้ กนั ดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม ภูมคิ มุ้ กันเข้มแขง็ ภมู คิ มุ้ กันบกพร่อง  มคี วามรู้-สำนึก และ  ขาดความรู้-ขาดสำนึก หวงแหนในสิง่ แวดล้อม  ขาดนโยบาย-ผ้บู รหิ ารไมส่ นใจ  มนี โยบายด้านสิง่ แวดล้อม  เต็มไปดว้ ย “ทกุ ขนสิ ยั ” จากฝา่ ยบริหาร  สร้าง “สุขนิสัย”  สกปรก-ขาดระเบียบ  สะอาด-เป็นระเบียบ  ทำลายธรรมชาติ  อยกู่ ับธรรมชาติ ระบบภมู คิ มุ้ กนั ดา้ นวฒั นธรรม ภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง ภมู คิ มุ้ กนั เขม้ แข็ง  ยอ่ หย่อน-ไม่ใสใ่ จ-  มนั่ คงในวฒั นธรรมไทย และเชดิ ชูวัฒนธรรม รู้สกึ เปน็ ปมด้อยใน ทอ้ งถ่นิ วัฒนธรรมไทย-  เข้าใจและเปน็ มิตรตอ่ วฒั นธรรมท้องถิน่  เหยียดหยาม-มงุ่ รา้ ย วฒั นธรรมตา่ งถ่ิน ตอ่ ต่างวฒั นธรรม ตา่ งชาติ สรปุ สามองคป์ ระกอบ ความพอเพยี ง ความพอประมาณ ความมเี หตุผล มีภมู ิคมุ้ กนั ในตวั 4 ด้าน

13 - สงั คม - ปรับพืน้ ฐานจิตใจคุณธรรม - วัตถุ - ใชห้ ลกั วชิ า/คุณธรรม - สิง่ แวดลอ้ ม - ด้านวัฒนธรรม การดำเนินชีวิต สามเงอื่ นไข 1. เงื่อนไขหลกั วชิ า ทัง้ น้ี จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมดั ระวังอย่างยง่ิ ในการนำวิชาการตา่ ง ๆ มาใชใ้ นการวางแผนและการดำเนนิ การทุกขัน้ ตอนและ 2. เง่ือนไขคุณธรรม ขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าทขี่ องรัฐ นักทฤษฎี และนกั ธรุ กจิ ในทกุ ระดบั ใหม้ สี ำนกึ ในคณุ ธรรมความซื่อสัตย์สจุ ริต และ 3. เงอ่ื นไขการดำเนินชีวติ ใหม้ คี วามรอบรู้ท่ีเหมาะสม ดำเนินชวี ิตดว้ ยความอดทน ความเพียร มสี ติ ปญั ญา และความ รอบคอบ เงอ่ื นไขคณุ ธรรม  เสรมิ สรา้ งพนื้ ฐานจติ ใจ (ครอบครัว การศึกษา ศาสนา ฯลฯ)  แก่ทุกคนในชาติ  ให้มีคุณธรรม (ยดึ มน่ั ในความดี – ความจรงิ – ความงาม)  “ซื่อสัตย์ สจุ รติ ” เงอ่ื นไขการดำเนนิ ชวี ติ  อดทน มีความเพยี ร  มีสติ  ใชป้ ญั ญา  มีความรอบคอบ สามเงอื่ นไข เงอื่ นไขคณุ ธรรม เงื่อนไขหลกั วชิ า ความรู้ เงือ่ นไขการดำเนินชวี ติ

14 จดุ เรม่ิ ตน้ แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี ง จากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปส่คู วามทันสมยั ได้ก่อใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทกุ ดา้ น ไม่วา่ จะเปน็ ด้านเศรษฐกิจ การเมอื ง วฒั นธรรม สังคมและสงิ่ แวดลอ้ ม อีกทั้งกระบวนการของความเปลยี่ นแปลงมคี วาม สลบั ซับซอ้ นจนยากทจี่ ะอธบิ ายในเชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้ เพราะการเปล่ียนแปลงทัง้ หมดตา่ งเปน็ ปจั จยั เช่อื มโยงซ่ึงกันและ กนั สำหรบั ผลของการพัฒนาในด้านบวกน้ัน ไดแ้ ก่ การเพิม่ ข้นึ ของอตั ราการเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทาง วัตถุ และสาธารณูปโภคตา่ งๆ ระบบสอ่ื สารท่ีทันสมัย หรือการขยายปรมิ าณและกระจายการศกึ ษาอย่างทวั่ ถึงมากขึน้ แตผ่ ล ด้านบวกเหลา่ นี้สว่ นใหญก่ ระจายไปถงึ คนในชนบท หรอื ผ้ดู อ้ ยโอกาสในสังคมนอ้ ย แตว่ า่ กระบวนการเปล่ียนแปลงของสังคมได้เกดิ ผลลบติดตามมาด้วย เชน่ การขยายตวั ของรัฐเข้าไปในชนบท ได้ สง่ ผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายดา้ น ทง้ั การตอ้ งพ่งึ พงิ ตลาดและพ่อค้าคนกลางในการสั่งสินค้าทุน ความเสือ่ มโทรม ของทรพั ยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพนั ธแ์ บบเครือญาติ และการรวมกลมุ่ กนั ตามประเพณเี พื่อการจดั การทรพั ยากรทเ่ี คย มอี ยูแ่ ตเ่ ดิมแตกสลายลง ภูมคิ วามรทู้ ่ีเคยใชแ้ กป้ ญั หาและสัง่ สมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่มสูญหายไป ส่งิ สำคญั กค็ ือ ความพอเพยี งในการดำรงชีวิต ซึง่ เปน็ เงอื่ นไขพนื้ ฐานทีท่ ำให้คนไทยสามารถพง่ึ ตนเอง และดำเนนิ ชีวติ ไปได้อย่างมีศกั ดิศ์ รีภายใต้อำนาจและความมีอสิ ระในการกำหนดชะตาชวี ิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและ จดั การเพอ่ื ให้ตนเองได้รบั การสนองตอบตอ่ ความต้องการตา่ งๆ รวมทง้ั ความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ไดด้ ้วยตนเอง ซึง่ ทัง้ หมดนถ้ี ือวา่ เปน็ ศกั ยภาพพ้ืนฐานทีค่ นไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่เดิม ต้องถูกกระทบกระเทอื น ซง่ึ วกิ ฤตเศรษฐกิจ จากปัญหาฟองสบ่แู ละปญั หาความออ่ นแอของชนบท รวมท้ังปญั หาอน่ื ๆ ทีเ่ กดิ ขึน้ ล้วนแตเ่ ป็นขอ้ พิสจู นแ์ ละยนื ยัน ปรากฎการณน์ ี้ไดเ้ ปน็ อย่างดี ประเทศไทยกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพยี ง มงุ่ เนน้ ใหผ้ ูผ้ ลิต หรอื ผู้บริโภค พยายามเรม่ิ ต้นผลิต หรือบริโภคภายใต้ขอบเขต ข้อจำกดั ของ รายได้ หรือทรพั ยากรที่มีอยู่ไปก่อน ซ่งึ ก็คอื หลกั ในการลดการพงึ่ พา เพิม่ ขีดความสามารถในการควบคุมการผลติ ไดด้ ว้ ย ตนเอง และลดภาวะการเสีย่ งจากการไม่สามารถควบคุมระบบตลาดได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ เศรษฐกิจพอเพยี งมิใชห่ มายความถงึ การกระเบยี ดกระเสยี นจนเกินสมควร หากแต่อาจฟมุ่ เฟอื ยได้เปน็ ครั้งคราว ตามอตั ภาพ แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ มักใชจ้ ่ายเกินตวั เกินฐานะทีห่ ามาได้ เศรษฐกจิ พอเพียง สามารถนำไปส่เู ป้าหมายของการสรา้ งความมนั่ คงในทางเศรษฐกจิ ได้ เช่น โดยพ้นื ฐานแล้ว ประเทศไทย เปน็ ประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกจิ ของประเทศจึงควรเนน้ ท่เี ศรษฐกิจการเกษตร เน้นความมั่นคงทางอาหาร เป็นการสรา้ ง ความมน่ั คงใหเ้ ปน็ ระบบเศรษฐกิจในระดบั หนึง่ จึงเปน็ ระบบเศรษฐกิจทีช่ ว่ ยลดความเสี่ยง หรอื ความไม่มน่ั คงทางเศรษฐกจิ ในระยะยาวได้ เศรษฐกจิ พอเพยี ง สามารถประยุกตใ์ ชไ้ ดใ้ นทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ ไมจ่ ำเปน็ จะต้องจำกัดเฉพาะ แตภ่ าคการเกษตร หรือภาคชนบท แมแ้ ต่ภาคการเงนิ ภาคอสงั หาริมทรัพย์ และการค้าการลงทนุ ระหว่างประเทศ โดยมี หลักการทีค่ ลา้ ยคลงึ กนั คือ เนน้ การเลอื กปฏบิ ตั อิ ย่างพอประมาณ มเี หตุมผี ล และสรา้ งภมู ิคุม้ กันให้แก่ตนเองและสังคม

15 การดำเนนิ ชวี ติ ตามแนวพระราชดำรพิ อเพยี ง พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว ทรงเขา้ ใจถงึ สภาพสังคมไทย ดังนั้น เม่ือไดพ้ ระราชทานแนวพระราชดำริ หรือพระ บรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคำนึงถงึ วิถีชีวติ สภาพสงั คมของประชาชนด้วย เพื่อไมใ่ ห้เกดิ ความขดั แยง้ ทางความคิด ที่ อาจนำไปสคู่ วามขัดแยง้ ในทางปฏบิ ัติได้ แนวพระราชดำรใิ นการดำเนินชวี ิตแบบพอเพียง 1. ยึดความประหยัด ตดั ทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟอื ยในการใชช้ ีวติ 2. ยดึ ถือการประกอบอาชพี ดว้ ยความถูกตอ้ ง ซ่อื สตั ยส์ ุจริต 3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแขง่ ขันกันในทางการค้า แบบตอ่ สู้กนั อยา่ งรุนแรง 4. ไม่หยดุ นงิ่ ท่ีจะหาทางให้ชีวติ หลุดพน้ จากความทกุ ข์ยาก ด้วย 5. การขวนขวายใฝห่ าความรใู้ ห้มรี ายได้เพ่มิ พนู ขึน้ จนถึงขัน้ พอเพียงเปน็ เปา้ หมายสำคัญ 6. ปฏิบตั ติ นในแนวทางท่ีดี ลดละสิง่ ชว่ั ประพฤติตนตามหลัก ศาสนา เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั ทฤษฎใี หมต่ ามแนวพระราชดำริ เศรษฐกจิ พอเพียง และแนวทางปฏิบัติของทฤษฎใี หม่ เปน็ แนวทางในการพฒั นาที่นำไปสูค่ วามสามารถในการพึง่ ตนเอง ในระดบั ตา่ ง ๆ อยา่ งเปน็ ขนั้ ตอน โดยลดความเสยี งเก่ยี วกบั ความผนั แปรของธรรมชาติ หรือการเปลย่ี นแปลงจากปจั จัยต่าง ๆ โดย อาศยั ความพอประมาณ และความมีเหตผุ ล การสร้างภูมิคมุ้ กนั ทดี่ ี มคี วามรู้ ความเพียร และความอดทน สติ และปัญญา การชว่ ยเหลือซึ่งกันและกัน และความสามัคคี เศรษฐกิจพอเพยี งความหมายกว้างกว่าทฤษฎีใหม่ โดยท่ีเศรษฐกจิ พอเพียงเป็นกรอบแนวคิดทช่ี บี้ อกหลักการ และ แนวทางปฏบิ ตั ิของทฤษฎใี หม่ ในขณะที่ แนวพระราชดำริเกีย่ วกบั ทฤษฎีใหม่ หรือเกษตรทฤษฎใี หม่ ซ่งึ เปน็ แนวทางการ พัฒนาการเกษตรอยา่ งเป็นขน้ั ตอนน้ัน เป็นตวั อยา่ งการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในทางปฏบิ ัติ ท่เี ป็นรูปธรรม เฉพาะในพ้นื ท่ี ทเ่ี หมาะสม ทฤษฎใี หมต่ ามแนวพระราชดำริ อาจเปรียบเทยี บกับหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง ซ่ึงมีอยู่ 2 แบบ คอื แบบพ้นื ฐาน กับ แบบกา้ วหนา้ ไดด้ ังนีค้ วามพอเพียงในระดบั บคุ คล และครอบครวั โดยเฉพาะเกษตรกรเปน็ เศรษฐกจิ พอเพยี งแบบพ้นื ฐาน เทียบได้กับทฤษฎีใหม่ ขน้ั ที่ 1 ทีม่ ุ่งแกป้ ัญหาของเกษตรกรทอ่ี ยหู่ ่างไกลแหล่งนำ้ ต้องพ่ึงนำ้ ฝน และประสบความเสยี่ งจากการท่ีน้ำไม่ พอเพียง แมก้ ระทั่งสำหรับการปลูกข้าวเพ่ือบรโิ ภค และมขี อ้ สมมติว่า มีท่ดี ินพอเพยี งในการขุดบอ่ เพ่ือแกป้ ัญหาในเรอื่ ง ดงั กลา่ ว จากการแกป้ ัญหาความเสย่ี งเรื่องนำ้ จะทำให้เกษตรกร สามารถมขี ้าวเพ่อื การบริโภคยงั ชีพในระดบั หนึ่ง และใช้ท่ีดนิ ส่วน อืน่ ๆ สนองความตอ้ งการพน้ื ฐานของครอบครวั รวมทัง้ ขายใน สว่ นที่เหลอื เพือ่ มีรายไดท้ ่ีจะใช้เป็นคา่ ใชจ้ า่ ยอ่นื ๆ ทไี่ ม่สามารถ

1166 ผลติ เองได้ ทงั้ หมดน้ีเปน็ การสร้างภูมคิ ุม้ กนั ในตวั ให้เกิดขึ้นในระดับครอบครวั อย่างไรกต็ าม แมก้ ระทั่ง ในทฤษฎีใหม่ข้ันที่ 1 กจ็ ำเป็นท่เี กษตรกรจะต้องไดร้ ับความชว่ ยเหลอื จากชมุ ชนราชการ มูลนิธิ และภาคเอกชน ตามความเหมาะสมความพอเพยี ง ในระดบั ชมุ ชน และระดับองคก์ รเปน็ เศรษฐกจิ พอเพยี งแบบก้าวหนา้ ซึง่ ครอบคลมุ ทฤษฎใี หม่ ขน้ั ท่ี 2 เป็นเรอื่ งของการสนับสนนุ ให้เกษตรกรรวมพลังกนั ในรูปกลุ่มหรอื สหกรณ์ หรอื การทีธ่ ุรกจิ ต่าง ๆ รวมตัวกัน ในลักษณะเครือขา่ ยวิสาหกจิ กลา่ วคอื เมื่อสมาชิกในแต่ละครอบครวั หรือองค์กรตา่ ง ๆ มคี วามพอเพียงขัน้ พื้นฐานเปน็ เบือ้ งตน้ แล้วกจ็ ะรวมกลุ่มกันเพอ่ื รว่ มมือกนั สรา้ งประโยชนใ์ ห้แก่กลมุ่ และส่วนรวมบนพื้นฐานของการไมเ่ บียดเบยี นกนั การ แบ่งปันช่วยเหลอื ซ่ึงกนั และกนั ตามกำลงั และความสามารถของตน ซึ่งจะสามารถทำให้ ชมุ ชนโดยรวม หรือเครือข่าย วิสาหกิจนนั้ ๆ เกิดความพอเพยี งในวถิ ปี ฏิบตั ิอยา่ งแทจ้ รงิ ความพอเพยี งในระดับประเทศ เปน็ เศรษฐกจิ พอเพยี งแบบก้าวหนา้ ซ่งึ ครอบคลุมทฤษฎีใหม่ ข้นั ที่ 3 ซง่ึ สง่ เสริมให้ชมุ ชน หรือเครอื ข่ายวสิ าหกิจ สร้างความรว่ มมอื กับองคก์ รอื่น ๆ ในประเทศ เช่น บริษัทขนาด ใหญ่ ธนาคาร สถาบนั วจิ ยั เปน็ ตน้ การสรา้ งเครือขา่ ยความร่วมมือในลักษณะเชน่ น้ี จะเป็นประโยชน์ในการสืบทอดภมู ปิ ญั ญา แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี และบทเรียนจากการพฒั นา หรอื ร่วมมือกนั พฒั นา ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงทำให้ประเทศอนั เปน็ สงั คมใหญอ่ นั ประกอบด้วยชุมชน องคก์ ร และธรุ กจิ ต่าง ๆ ที่ดำเนินชีวติ อย่างพอเพยี งกลายเป็นเครอื ข่ายชมุ ชนพอเพียงทีเ่ ชื่อมโยงกนั ด้วย หลกั ไมเ่ บียดเบยี น แบง่ ปนั และช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ได้ในท่สี ุด การผลติ ตามทฤษฎใี หมส่ ามารถเปน็ ตน้ แบบการคดิ ในการผลติ ทดี่ ไี ด้ ดงั น้ี 1. การผลิตน้นั มุ่งใชเ้ ปน็ อาหารประจำวันของครอบครัว เพ่ือใหม้ พี อเพียงในการบริโภคตลอดปี เพื่อใช้เปน็ อาหาร ประจำวันและเพือ่ จำหนา่ ย 2. การผลิตต้องอาศัยปัจจยั ในการผลติ ซึ่งจะต้องเตรียมให้พรอ้ ม เชน่ การเกษตรตอ้ งมีน้ำ การจัดให้มีและดูแหล่ง นำ้ จะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนท์ ้งั การผลติ และประโยชน์ใชส้ อยอ่ืน ๆ 3. ปจั จยั ประกอบอื่น ๆ ทจ่ี ะอำนวยให้การผลิตดำเนินไปด้วยดี และเกิดประโยชน์เช่ือมโยง (Linkage) ท่ีจะไปเสริม ให้เกดิ ความยง่ั ยนื ในการผลิต จะตอ้ งรว่ มมอื กนั ทกุ ฝา่ ยทง้ั เกษตรกร ธรุ กิจ ภาครัฐ ภาคเอกชน เพอ่ื เช่ือมโยงเศรษฐกิจ พอเพยี งเขา้ กับเศรษฐกจิ การค้า และใหด้ ำเนินกจิ การควบคูไ่ ปด้วยกนั ได้ การผลิตจะต้องตระหนักถงึ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง บคุ คล กับ ระบบ การผลิตนน้ั ต้องยดึ มน่ั ในเร่ืองของ คณุ คา่ ให้ มากกวา่ มลู คา่ ดงั พระราชดำรัส ซง่ึ ไดน้ ำเสนอมากอ่ นหน้าน้ีทีว่ า่ “…บารมนี น้ั คอื ทำความดี เปรยี บเทยี บกบั ธนาคาร …ถา้ เราสะสมเงนิ ใหม้ ากเรากส็ ามารถทีจ่ ะใช้ดอกเบยี้ ใชเ้ งนิ ท่ี เปน็ ดอกเบยี้ โดยไมแ่ ตะตอ้ งทนุ แตถ่ า้ เราใชม้ ากเกดิ ไป หรอื เราไมร่ ะวงั เรากนิ เข้าไปในทนุ ทนุ มนั กน็ อ้ ยลง ๆ จนหมด …ไป เบกิ เกนิ บญั ชเี ขากต็ อ้ งเอาเรอื่ ง ฟอ้ งเราใหล้ ม้ ละลาย เราอยา่ ไปเบกิ เกนิ บารมที ่ีบา้ นเมอื ง ทปี่ ระเทศไดส้ รา้ งสมเอาไวต้ ง้ั แต่ บรรพบรุ ษุ ของเราใหเ้ กนิ ไป เราตอ้ งทำบา้ ง หรอื เพมิ่ พนู ใหป้ ระเทศของเราปกตมิ อี นาคตทมี่ ่ันคง บรรพบรุ ษุ ของเราแตโ่ บราณ กาล ไดส้ รา้ งบา้ นเมอื งมาจนถงึ เราแลว้ ในสมยั นที้ เี่ รากำลงั เสยี ขวญั กลวั จะไดไ้ มต่ อ้ งกลวั ถา้ เราไมร่ กั ษาไว้…”

17 การนำปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งไปใช้ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงน้ี เป็นกรอบแนวความคิดและ ทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึง่ บรรจุ อยใู่ นแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 10 (พ.ศ. 2550-2554)เพ่ือมุ่งสู่การพฒั นาท่ีสมดลุ ย่ังยนื และ มภี ูมิคุ้มกัน เพื่อความอยดู่ ีมสี ุข ม่งุ สสู่ งั คมทมี่ ีความสขุ อย่าง ยั่งยนื หรือท่เี รียกวา่ สังคมสเี ขยี ว (Green Society) ด้วย หลกั การดงั กลา่ ว แผนพฒั นาฯฉบบั ท่ี 10 น้ีจะไม่เนน้ เร่อื ง ตัวเลขการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ แตย่ งั คงให้ความสำคญั ต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวลิ ักษณ์ หรอื ระบบเศรษฐกจิ ทมี่ ีความ แตกต่างกนั ระหว่างเศรษฐกิจชมุ ชนเมืองและชนบท ดร.สมเกียรติ ออ่ นวิมล เรยี กส่ิงนีว้ า่ วกิ ฤตเศรษฐกจิ พอเพยี ง คอื ความไมร่ วู้ า่ จะนำปรัชญาน้ีไปใชท้ ำอะไร กลายเปน็ วา่ ผนู้ ำสงั คมทุกคน ทง้ั นักการเมอื งและรฐั บาลใช้คำว่า เศรษฐกจิ พอเพยี ง เปน็ ขอ้ อา้ งในการทำกิจกรรมใด ๆ เพ่ือใหร้ ู้สึกว่าได้ สนองพระราชดำรัสและใหเ้ กิดภาพลักษณ์ท่ีดี หรือพดู ง่ายๆ ก็คอื เศรษฐกจิ พอเพยี ง ถูกใช้เพ่ือเป็นเคร่อื งมือเพ่ือตัวเอง ซ่งึ ความไม่เข้าใจนี้อาจเกิดจากการสับสนวา่ เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่น้นั เปน็ เรื่องเดียวกัน ทำใหม้ ีความเข้าใจว่า เศรษฐกจิ พอเพียงหมายถึงการปฏิเสธอตุ สาหกรรมแลว้ กลับไปสู่เกษตรกรรม ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงน้ี ไดร้ บั การเชดิ ชูสงู สดุ จาก สหประชาชาติ (UN)โดยนายโคฟี อนั นนั ในฐานะเลขาธกิ าร องค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวลั The Human Development Lifetime Achievement Award แก่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ 26 พฤษภาคม 2549 และได้มปี าฐกถาถงึ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงวา่ เปน็ ปรัชญาท่ี สามารถเริ่มได้จากการสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่หมู่บ้าน และสู่เศรษฐกจิ ในวงกว้างขนึ้ ในทสี่ ุด เปน็ ปรัชญาทม่ี ีประโยชน์ตอ่ ประเทศไทยและนานาประเทศ โดยทอี่ งคก์ ารสหประชาชาติไดส้ นับสนนุ ให้ประเทศต่างๆทเ่ี ป็นสมาชกิ 166 ประเทศยึดเปน็ แนวทางสกู่ ารพัฒนาประเทศแบบยัง่ ยืน ประการทสี่ ำคญั ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. พอมีพอกิน ปลกู พชื สวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไมผ้ ลไวห้ ลังบา้ น 2-3 ตน้ พอทจ่ี ะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึง ขายไป 2. พออย่พู อใช้ ทำให้บ้านนา่ อยู่ ปราศจากสารเคมี กล่นิ เหม็น ใช้แต่ของทเี่ ปน็ ธรรมชาติ (ใช้จลุ ินทรยี ผ์ สมน้ำถู พืน้ บ้าน จะสะอาดกว่าใชน้ ้ำยาเคมี) รายจา่ ยลดลง สขุ ภาพจะดขี ้นึ (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล) 3. พออกพอใจ เราต้องร้จู กั พอ ร้จู กั ประมาณตน ไม่ใครอ่ ยากใคร่มีเชน่ ผู้อน่ื เพราะเราจะหลงตดิ กบั วตั ถุ ปญั ญาจะ ไมเ่ กิด \"การจะเป็นเสือนนั้ มันไมส่ ำคัญ สำคัญอยูท่ ี่เราพออยู่พอกนิ และมีเศรษฐกจิ การเป็นอยแู่ บบพอมพี อกนิ แบบ พอมีพอกนิ หมายความว่า อุ้มชูตวั เองได้ ใหม้ พี อเพียงกับตัวเอง\" เศรษฐกจิ พอเพยี ง จะสำเร็จได้ดว้ ย ความพอดขี องตน

1918 ผลการปฏบิ ตั ติ ามแนวทาง “เศรษฐกจิ พอเพยี ง”  ชีวติ – หนา้ ทีก่ ารงาน เกดิ “สมดลุ ”  บุคคล – ครอบครวั – องค์การ – ชุมชน – ประเทศชาติ พรอ้ มรับผลกระทบจากการเปลย่ี นแปลง ทฤษฎใี หม่ ทฤษฎใี หม่ คอื ตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ รปู ธรรมของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพยี งทีเ่ ด่นชัดท่ีสุด ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริน้ี เพ่อื เป็นการชว่ ยเหลือเกษตรกรทมี่ กั ประสบปญั หาท้งั ภยั ธรรมชาติและปัจจยั ภายนอกทมี่ ีผลกระทบต่อการทำการเกษตร ให้สามารถผา่ นพ้นช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนนำ้ ไดโ้ ดยไม่ เดอื ดร้อนและยากลำบากนกั ความเสย่ี งทเี่ กษตรกร มกั พบเปน็ ประจำ ประกอบด้วย 1. ความเสี่ยงด้านราคาสนิ ค้าเกษตร 2. ความเสี่ยงในราคาและการพง่ึ พาปัจจัยการผลิตสมยั ใหม่จากตา่ งประเทศ 3. ความเส่ยี งด้านนำ้ ฝนทิง้ ชว่ ง ฝนแล้ง 4. ภยั ธรรมชาตอิ ื่นๆ และโรคระบาด 5. ความเส่ียงด้านแบบแผนการผลติ - ความเส่ยี งด้านโรคและศัตรพู ืช - ความเสีย่ งดา้ นการขาดแคลนแรงงาน - ความเสีย่ งด้านหนีส้ ินและการสญู เสียทด่ี นิ ทฤษฎีใหม่ จงึ เปน็ แนวทางหรอื หลกั การในการบรหิ ารการจัดการท่ีดินและนำ้ เพ่ือการเกษตรในท่ดี ินขนาดเล็กใหเ้ กิด ประโยชนส์ งู สุด ความสำคญั ของทฤษฎใี หม่ 1. มกี ารบรหิ ารและจดั แบง่ ท่ดี นิ แปลงเลก็ ออกเป็นสดั ส่วนที่ชัดเจน เพือ่ ประโยชน์สูงสดุ ของเกษตรกร ซึ่งไมเ่ คยมใี คร คดิ มากอ่ น 2. มกี ารคำนวณโดยใชห้ ลักวิชาการเกย่ี วกับปรมิ าณน้ำท่จี ะกักเกบ็ ให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสม ตลอดปี 3. มกี ารวางแผนที่สมบรู ณ์แบบสำหรบั เกษตรกรรายย่อย โดยมถี ึง 3 ขนั้ ตอน ทฤษฎใี หมข่ นั้ ตน้ ให้แบง่ พื้นทอี่ อกเป็น 4 สว่ น ตามอัตราส่วน 30:30:30:10 ซง่ึ หมายถงึ 1. พื้นท่ีส่วนที่หน่ึง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักนำ้ เพ่ือใชเ้ ก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสรมิ การ ปลูกพืชในฤดูแลง้ ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพชื นำ้ ตา่ งๆ 2. พน้ื ทสี่ ่วนท่ีสอง ประมาณ 30% ใหป้ ลกู ข้าวในฤดฝู นเพือ่ ใช้เปน็ อาหารประจำวันสำหรบั ครอบครัวให้เพียงพอ ตลอดปี เพือ่ ตัดค่าใช้จา่ ยและสามารถพ่ึงตนเองได้ 3. พนื้ ท่ีสว่ นทสี่ าม ประมาณ 30% ให้ปลูกไม้ผล ไมย้ ืนตน้ พชื ผกั พชื ไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพ่ือใช้เป็น อาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย 4. พน้ื ทีส่ ว่ นที่สี่ ประมาณ 10% เป็นที่อยู่อาศัย เลย้ี งสตั ว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอ่ืนๆ

19 ทฤษฎใี หมข่ นั้ ทสี่ อง เมอื่ เกษตรกรเข้าใจในหลักการและไดป้ ฏิบตั ใิ นทด่ี ินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ตอ้ งเรมิ่ ขน้ั ทส่ี อง คือใหเ้ กษตรกรรวมพลัง กนั ในรูป กลุ่ม หรอื สหกรณ์ รว่ มแรงรว่ มใจกันดำเนนิ การในดา้ น (1) การผลิต (พันธุ์พืช เตรยี มดิน ชลประทาน ฯลฯ) - เกษตรกรจะตอ้ งร่วมมอื ในการผลิต โดยเร่ิม ต้ังแต่ขั้นเตรียมดนิ การหาพันธพ์ุ ชื ปุ๋ย การจัดหาน้ำ และ อนื่ ๆ เพ่อื การเพาะปลูก (2) การตลาด (ลานตากข้าว ยุง้ เครือ่ งสขี ้าว การจำหนา่ ยผลผลิต) - เม่ือมีผลผลิตแลว้ จะต้องเตรียมการต่างๆ เพอื่ การขายผลผลิตให้ไดป้ ระโยชน์สงู สุด เชน่ การเตรียม ลานตากข้าวร่วมกนั การจดั หายงุ้ รวบรวมข้าว เตรยี มหาเครื่องสขี า้ ว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ไดร้ าคาดแี ละลด คา่ ใช้จา่ ยลงด้วย (3) การเป็นอยู่ (กะปิ น้ำปลา อาหาร เคร่ืองน่งุ หม่ ฯลฯ) - ในขณะเดียวกนั เกษตรกรตอ้ งมีความเป็นอยทู่ ่ดี ีพอสมควร โดยมีปจั จยั พน้ื ฐานในการดำรงชีวติ เชน่ อาหารการกนิ ต่างๆ กะปิ น้ำปลา เส้ือผ้า ทีพ่ อเพียง (4) สวสั ดิการ (สาธารณสุข เงนิ กู้) - แต่ละชุมชนควรมสี วสั ดภิ าพและบริการที่จำเป็น เชน่ มีสถานีอนามยั เมื่อยามป่วยไข้ หรอื มกี องทนุ ไว้ กยู้ ืมเพื่อประโยชนใ์ นกิจกรรมตา่ งๆ ของชมุ ชน (5) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศกึ ษา) - ชมุ ชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศกึ ษา เช่น มกี องทนุ เพอ่ื การศกึ ษาเล่าเรียนใหแ้ ก่เยาวชนของชม ชนเอง (6) สังคมและศาสนา - ชุมชนควรเปน็ ทร่ี วมในการพฒั นาสงั คมและจติ ใจ โดยมศี าสนาเปน็ ทย่ี ึดเหน่ยี ว โดยกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะตอ้ งได้รับความร่วมมอื จากทกุ ฝ่ายทเี่ ก่ยี วข้อง ไมว่ ่าสว่ นราชการ องคก์ รเอกชน ตลอดจนสมาชกิ ในชมุ ชนนนั้ เปน็ สำคญั ทฤษฎใี หมข่ นั้ ทส่ี าม เมื่อดำเนนิ การผา่ นพน้ ข้ันทส่ี องแล้ว เกษตรกร หรือกล่มุ เกษตรกรกค็ วรพัฒนาก้าวหนา้ ไปสู่ข้ันที่สามตอ่ ไป คอื ติดต่อ ประสานงาน เพอ่ื จัดหาทนุ หรือแหล่งเงิน เชน่ ธนาคาร หรือบริษทั ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพฒั นาคณุ ภาพ ชีวิต ทง้ั นี้ ทั้งฝา่ ยเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรอื บริษัทเอกชนจะได้รบั ประโยชน์ร่วมกัน กลา่ วคอื - เกษตรกรขายขา้ วได้ราคาสูง (ไมถ่ กู กดราคา) - ธนาคารหรอื บริษทั เอกชนสามารถซอื้ ขา้ วบรโิ ภคในราคาตำ่ (ซ้อื ข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและ มาสีเอง) - เกษตรกรซอ้ื เครอื่ งอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ เพราะรวมกนั ซือ้ เป็นจำนวนมาก (เปน็ รา้ นสหกรณ์ ราคาขายสง่ )

2202 - ธนาคารหรือบรษิ ทั เอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพอ่ื ไปดำเนนิ การในกจิ กรรมต่างๆ ใหเ้ กิดผลดี ยิง่ ขนึ้ หลกั การและแนวทางสำคญั 1. เปน็ ระบบการผลติ แบบเศรษฐกจิ พอเพียงท่เี กษตรกรสามารถเลี้ยงตวั เองไดใ้ นระดับที่ประหยดั ก่อน ท้ังนี้ ชุมชน ต้องมคี วามสามคั คี รว่ มมือร่วมใจในการช่วยเหลือซ่งึ กันและกนั ทำนองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบดั้งเดิมเพ่ือลดค่าใช้จ่ายใน การจา้ งแรงงานดว้ ย 2. เนือ่ งจากขา้ วเปน็ ปัจจยั หลักท่ีทุกครวั เรอื นจะตอ้ งบริโภค ดงั น้ัน จึงประมาณวา่ ครอบครวั หนง่ึ ทำนาประมาณ 5 ไร่ จะทำให้มขี า้ วพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซือ้ หาในราคาแพง เพือ่ ยึดหลกั พ่ึงตนเองได้อย่างมีอิสรภาพ 3. ต้องมนี ้ำเพ่อื การเพาะปลกู สำรองไว้ใชใ้ นฤดูแล้ง หรือระยะฝนทง้ิ ช่วงได้อย่างพอเพียง ดงั นนั้ จงึ จำเปน็ ตอ้ งกัน ท่ดี นิ สว่ นหนงึ่ ไว้ขุดสระน้ำ โดยมหี ลักวา่ ตอ้ งมีนำ้ เพยี งพอทีจ่ ะเพาะปลูกได้ตลอดปี ทง้ั น้ี ได้พระราชทานพระราชดำริเปน็ แนวทางวา่ ตอ้ งมีน้ำ 1,000 ลูกบาศก์เมตร ตอ่ การเพาะปลูก 1 ไร่ โดยประมาณ ฉะนั้น เม่อื ทำนา 5 ไร่ ทำพชื ไร่ หรอื ไมผ้ ล อกี 5 ไร่ (รวมเปน็ 10 ไร)่ จะตอ้ งมีนำ้ 10,000 ลกู บาศกเ์ มตรต่อปี ดังน้นั หากตั้งสมมติฐานว่า มีพ้นื ที่ 5 ไร่ ก็จะสามารถ กำหนดสตู รคร่าวๆ วา่ แต่ละแปลง ประกอบดว้ ย - นาข้าว 5 ไร่ - พืชไร่ พชื สวน 5 ไร่ - สระน้ำ 3 ไร่ ขดุ ลกึ 4 เมตร จุน้ำได้ประมาณ 19,000 ลูกบาศก์เมตร ซึง่ เปน็ ปริมาณนำ้ ทเ่ี พยี งพอที่จะ สำรองไว้ใชย้ ามฤดแู ลง้ - ท่ีอยู่อาศยั และอ่นื ๆ 2 ไร่ รวมทง้ั หมด 15 ไร่ แต่ทั้งนี้ ขนาดของสระเก็บนำ้ ขน้ึ อยูก่ ับสภาพภูมปิ ระเทศและสภาพแวดลอ้ ม ดังน้ี - ถ้าเป็นพ้นื ที่ทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน สระนำ้ ควรมีลักษณะลึก เพื่อป้องกันไมใ่ ห้นำ้ ระเหยไดม้ ากเกนิ ไป ซ่ึงจะทำใหม้ ีนำ้ ใช้ตลอดทั้งปี - ถ้าเป็นพ้ืนทีท่ ำการเกษตรในเขตชลประทาน สระนำ้ อาจมลี ักษณะลึก หรอื ต้ืน และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมีนำ้ มาเติมอยู่เร่ือยๆ การมสี ระเก็บน้ำก็เพอ่ื ให้เกษตรกรมนี ้ำใชอ้ ย่างสม่ำเสมอท้ังปี (ทรงเรยี กว่า Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดี มี ระบบน้ำหมนุ เวียนใชเ้ พอ่ื การเกษตรได้โดยตลอดเวลาอยา่ งต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในหนา้ แล้งและระยะฝนทงิ้ ช่วง แต่ มไิ ด้หมายความว่า เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรงั ได้ เพราะหากนำ้ ในสระเกบ็ น้ำไม่พอ ในกรณีมเี ขอ่ื นอยบู่ ริเวณ ใกลเ้ คยี งกอ็ าจจะต้องสูบนำ้ มาจากเข่ือน ซงึ่ จะทำใหน้ ้ำในเขอ่ื นหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเมอื่ ถงึ ฤดแู ลง้ หรอื ฝนทิ้งชว่ งใหเ้ กษตรกรใชน้ ำ้ ท่ีเก็บตนุ นัน้ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสงู สดุ โดยพจิ ารณาปลูกพชื ใหเ้ หมาะสมกับ ฤดกู าล เพอ่ื จะไดม้ ีผลผลติ อืน่ ๆ ไวบ้ รโิ ภคและสามารถนำไปขายไดต้ ลอดทงั้ ปี

21 4. การจัดแบ่งแปลงท่ีดินเพื่อให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสุดน้ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ทรงคำนวณและคำนึงจากอัตรา การถอื ครองท่ดี นิ ถัวเฉล่ียครวั เรอื นละ 15 ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพน้ื ท่ถี ือครองน้อยกว่านี้ หรอื มากกว่าน้ี ก็สามารถ ใช้อัตราสว่ น 30:30:30:10 เป็นเกณฑป์ รบั ใช้ได้ กล่าวคอื ร้อยละ 30 ส่วนแรก ขดุ สระน้ำ (สามารถเล้ยี งปลา ปลูกพืชนำ้ เชน่ ผกั บงุ้ ผกั กะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย) บนสระอาจสรา้ ง เลา้ ไก่และบนขอบสระนำ้ อาจปลูกไมย้ นื ต้นท่ไี มใ่ ชน้ ้ำมากโดยรอบได้ รอ้ ยละ 30 ส่วนทสี่ อง ทำนา ร้อยละ 30 สว่ นที่สาม ปลูกพชื ไร่ พชื สวน (ไมผ้ ล ไม้ยนื ตน้ ไม้ใชส้ อย ไมเ้ พอื่ เป็นเช้ือฟนื ไม้สรา้ งบ้าน พชื ไร่ พืชผัก สมนุ ไพร เป็นต้น) รอ้ ยละ 10 สดุ ท้าย เป็นทอี่ ยอู่ าศัยและอื่นๆ (ทางเดนิ คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปยุ๋ หมกั โรงเรอื น โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไมป้ ระดบั พชื สวนครัวหลังบา้ น เปน็ ตน้ ) อยา่ งไรก็ตาม อัตราสว่ นดงั กลา่ วเป็นสตู ร หรอื หลักการโดยประมาณเทา่ น้นั สามารถปรบั ปรุงเปลี่ยนแปลงไดต้ าม ความเหมาะสม โดยขนึ้ อยูก่ ับสภาพของพนื้ ท่ีดิน ปริมาณนำ้ ฝน และสภาพแวดลอ้ ม เชน่ ในกรณภี าคใต้ที่มฝี นตกชกุ หรอื พืน้ ทท่ี ่ีมีแหล่งนำ้ มาเตมิ สระได้ต่อเน่ือง กอ็ าจลดขนาดของบ่อ หรอื สระเกบ็ น้ำให้เล็กลง เพอื่ เก็บพ้ืนทไ่ี วใ้ ช้ประโยชนอ์ ่ืนตอ่ ไป ได้ 5 การดำเนนิ การตามทฤษฎีใหม่ มปี ัจจยั ประกอบหลายประการ ข้นึ อยู่กบั สภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมของแต่ ละทอ้ งถนิ่ ดังนนั้ เกษตรกรควรขอรบั คำแนะนำจากเจา้ หน้าที่ดว้ ย และท่ีสำคญั คือ ราคาการลงทุนคอ่ นขา้ งสงู โดยเฉพาะ อย่างยงิ่ การขดุ สระนำ้ เกษตรกรจะต้องไดร้ ับความช่วยเหลอื จากส่วนราชการ มูลนธิ ิ และเอกชน 6. ในระหว่างการขุดสระน้ำ จะมดี นิ ที่ถูกขุดขึ้นมาจำนวนมาก หน้าดนิ ซ่ึงเป็นดินดี ควรนำไปกองไว้ตา่ งหากเพ่ือ นำมาใชป้ ระโยชน์ในการปลกู พชื ต่างๆ ในภายหลัง โดยนำมาเกล่ยี คลมุ ดนิ ช้นั ล่างท่ีเปน็ ดินไมด่ ี หรืออาจนำมาถมทำขอบสระ น้ำ หรือยกร่องสำหรับปลูกไม้ผลก็จะไดป้ ระโยชน์อกี ทางหนง่ึ ตวั อยา่ งพชื ท่คี วรปลกู และสตั วท์ ค่ี วรเลยี้ ง ไมผ้ ลและผกั ยนื ตน้ : มะมว่ ง มะพรา้ ว มะขาม ขนุน ละมดุ ส้ม กล้วย นอ้ ยหนา่ มะละกอ กะท้อน แคบา้ น มะรุม สะเดา ข้ีเหล็ก กระถิน ฯลฯ ผักล้มลกุ และดอกไม้ : มนั เทศ เผือก ถ่ัวฝกั ยาว มะเขือ มะลิ ดาวเรอื ง บานไม่รโู้ รย กุหลาบ รกั และซอ่ นกลิ่น เป็น ตน้ เหด็ : เหด็ นางฟ้า เหด็ ฟาง เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นตน้ สมุนไพรและเครือ่ งเทศ : หมาก พลู พริกไท บกุ บัวบก มะเกลอื ชมุ เห็ด หญา้ แฝก และพืชผักบางชนดิ เช่น กะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลกั และตะไคร้ เป็นต้น ไม้ใชส้ อยและเช้ือเพลิง : ไผ่ มะพรา้ ว ตาล กระถนิ ณรงค์ มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจรุ ี กระถนิ สะเดา ข้เี หลก็ ประดู่ ชงิ ชนั และยางนา เป็นตน้ พืชไร่ : ขา้ วโพด ถว่ั เหลอื ง ถ่ัวลสิ ง ถ่ัวพุ่ม ถ่วั มะแฮะ ออ้ ย มนั สำปะหลงั ละหุ่ง นนุ่ เป็นตน้ พชื ไร่หลายชนดิ อาจเกบ็ เก่ยี วเมอื่ ผลผลติ ยงั สดอยู่ และจำหน่ายเปน็ พชื ประเภทผกั ได้ และมรี าคาดีกว่าเก็บเมือ่ แก่ ไดแ้ ก่ ข้าวโพด ถวั เหลือง ถ่วั ลิสง ถั่วพุ่ม ถัว่ มะแฮะ อ้อย และมนั สำปะหลัง

22 พชื บำรงุ ดินและพืชคลุมดิน : ถั่วมะแฮะ ถ่วั ฮามาตา้ โสนแอฟรกิ นั โสนพ้ืนเมือง ปอเทือง ถ่วั พรา้ ขี้เหลก็ กระถนิ รวมทงั้ ถั่วเขียวและถ่ัวพมุ่ เป็นตน้ และเมอ่ื เกบ็ เกี่ยวแลว้ ไถกลบลงไปเพอ่ื บำรงุ ดินได้ หมายเหตุ : พชื หลายชนิดใชท้ ำประโยชน์ไดม้ ากกวา่ หนึง่ ชนิด และการเลอื กปลกู พืชควรเนน้ พืชยืนตน้ ด้วย เพราะ การดูแลรักษาในระยะหลงั จะลดน้อยลง มีผลผลิตทยอยออกตลอดปี ควรเลือกพืชยืนต้นชนิดต่างๆ กัน ใหค้ วามร่มเย็นและ ชมุ่ ช้นื กบั ที่อยู่อาศัยและส่งิ แวดล้อม และควรเลือกตน้ ไมใ้ หส้ อดคลอ้ งกบั สภาพของพืน้ ท่ี เชน่ ไม่ควรปลกู ยูคาลปิ ตัสบรเิ วณ ขอบสระ ควรเป็นไมผ้ ลแทน เป็นต้น สตั ว์เลี้ยงอน่ื ๆ ได้แก่ สตั ว์น้ำ : ปลาไน ปลานิล ปลาตะเพยี นขาว ปลาดกุ เพ่อื เปน็ อาหารเสรมิ ประเภทโปรตีน และยังสามารถ นำไปจำหนา่ ยเปน็ รายไดเ้ สรมิ ได้อกี ด้วย ในบางพ้ืนทสี่ ามารถเล้ยี งกบได้ สกุ ร หรอื ไก่ เลยี้ งบนขอบสระนำ้ ทั้งนี้ มลู สุกรและไก่สามารถนำมาเป็นอาหารปลา บางแห่งอาจเล้ยี ง เปด็ ได้ ประโยชนข์ องทฤษฎใี หม่ 1. ใหป้ ระชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดบั ท่ีประหยัด ไม่อดอยาก และเลีย้ งตนเองไดต้ ามหลกั ปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพยี ง” 2. ในหนา้ แลง้ มนี ้ำน้อย กส็ ามารถเอาน้ำทีเ่ กบ็ ไวใ้ นสระมาปลูกพืชผกั ตา่ งๆ ที่ใช้น้ำนอ้ ยได้ โดยไม่ต้องเบียดเบยี น ชลประทาน 3. ในปที ่ีฝนตกตามฤดกู าลโดยมนี ้ำดีตลอดปี ทฤษฎใี หม่นีส้ ามารถสร้างรายได้ใหแ้ กเ่ กษตรกรไดโ้ ดยไมเ่ ดอื ดรอ้ นใน เรือ่ งค่าใชจ้ ่ายต่างๆ

23 เรยี นร้พู ลงั งานทดแทน ผลติ ไฟฟ้าด้วยแสงอาทติ ย์ พลังงานทดแทน พลงั งานทดแทน คือ พลังงานที่ไดม้ าจากกระบวนการทางธรรมชาติ เช่น แสงอาทิตย์ ลม ความร้อนใตพ้ ภิ พ พลังงานน้ำ พลังงานชวี ภาพ และพลังงานจากมหาสมทุ ร บทบาทของพลังงานหมนุ เวียนยังคงเพ่ิมขน้ึ ในภาคการผลติ ไฟฟ้า พลังงานความรอ้ นและความเยน็ และภาคการขนส่ง พลังงานชวี มวล พลังงานชีวมวล คอื พลงั งานทีไ่ ด้มาจากการนำชีวมวลมาใช้เปน็ เชื้อเพลงิ โดยตรง หรือผ่านกระบวนการแปรรูปเป็น ของเหลวและกา๊ ซพลงั งานชวี มวล คิดเปน็ รอ้ ยละ10 ของ การจัดหาพลงั งานปฐมภมู ิของโลก ซึ่งมีบทบาทสำคญั อยา่ งยงิ่ ใน ประเทศกำลงั พฒั นาหลายประเทศ ในการสนบั สนนุ พลังงานพนื้ ฐานสำหรบั การปรุงอาหารและการทำความรอ้ น แต่บอ่ ยคร้ัง อาจกอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบท่ีรุนแรงต่อสุขภาพและส่ิงแวดล้อม การพัฒนาของเตาปรงุ อาหารท่ีใช้ชวี มวล เช้อื เพลงิ สะอาด และ การจัดหาพลงั งานไฟฟ้าทใี่ ชเ้ ช้ือเพลงิ ชวี มวลเป็นวัตถุดิบในการผลติ ไฟฟา้ ของประเทศกำลงั พฒั นา เปน็ มาตรการสำคญั ในการ ปรับปรุงสถานการณ์ปจั จุบนั และการเข้าถงึ พลงั งานสะอาด ในปี 2573 พลังงานความรอ้ นใตพ้ ภิ พ พลังงานความรอ้ นใต้พภิ พ คือ พลังงานทสี่ ามารถนำมาผลิตพลงั งานไฟฟ้า พลงั งานความร้อน (และความเยน็ ) ท่มี ี คาร์บอนตำ่ โดยเป็นการผลิตพลงั งานท่ไี ด้มาจากน้ำทีม่ ีอุณหภมู ิสงู หรือน้ำแขง็ ทอี่ ยู่ในระดับลกึ ที่มีอณุ หภูมติ ่ำและปานกลาง รวมถึงทรัพยากรหินรอ้ นพลงั งานความร้อนใตพ้ ิภพ สามารถผลิตไดจ้ ากหลายหลายเทคโนโลยที ดแทน โดยสามารถผลิตไฟฟา้ จากพลังงานที่อยู่ในรูปไอระเหยและของเหลว เทคโนโลยคี วามร้อนใตพ้ ิภพอยู่ในระหว่างการพัฒนาใหด้ ีขนึ้ เพือ่ ขยายการใช้ เทคโนโลยีนใี้ นประเทศทม่ี ที รัพยากรทเ่ี หมาะสมสำหรบั การผลิตพลังงานความร้อนใต้พภิ พ พลังงานน้ำ พลังงานนำ้ คือ พลังงานท่ไี ด้มาจากการปน่ั กงั หนั นำ้ โดยใชก้ ารไหลของนำ้ ซงึ่ อาจเป็นน้ำจากแหลง่ น้ำธรรมชาติ เชน่ แมน่ ำ้ ลำคลอง หรือแหล่งนำ้ ทีม่ นษุ ย์สรา้ งขนึ้ เพ่อื กักเก็บนำ้ โดยน้ำจากอ่างเกบ็ นำ้ จะไหลจากที่สงู ลงสทู่ ีต่ ำ่ เพือ่ ป่ันกงั หนั น้ำ ให้เกิดพลังงาน พลงั งานนำ้ เปน็ แหลง่ พลังงานที่ใชใ้ นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนทีใ่ หญท่ ี่สดุ ในปัจจุบนั คิดเป็นรอ้ ยละ 16 ของการขายไฟฟา้ ทว่ั โลก และเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานในหลายประเทศทั่วโลก ท้ังประเทศ พัฒนาแลว้ ประเทศเกดิ ใหม่ หรือประเทศกำลงั พฒั นา พลังงานมหาสมุทร

24 พลังงานมหาสมทุ ร แบ่งเป็น 5 ประเภท ตามลกั ษณะเทคโนโลยีท่ีแตกต่างกัน ไดแ้ ก่ 1. พลังงานนำ้ ขึน้ -นำ้ ลง คือ พลังงานทไ่ี ด้จากการใช้ประโยชนจ์ ากการขึน้ -ลงของน้ำ ซ่งึ สามารถควบคุมการผลิต พลงั งานจากการสรา้ งเขื่อนบริเวณปากแมน่ ้ำ 2. พลงั งานจากกระแสน้ำข้ึน-นำ้ ลงในมหาสมุทร คอื พลงั งานท่ีได้จากการเคลอื่ นที่ของกระแสนำ้ ทะเล โดยใช้ เทคโนโลยรี ะบบ โมดูลาร์ (modular systems) ในการผลิตพลังงาน 3. พลงั งานคลนื่ คอื พลังงานทไี่ ด้จากคลื่นของมหาสมทุ ร ปรมิ าณพลงั งานคลน่ื ท่ีมากนอ้ ยขึ้นอยกู่ บั ความเรว็ คล่ืน ความสูงของคล่ืน ความยาวคล่นื และความหนาแน่นของน้ำ พลังงานคล่ืนสามารถนำไปใช้ในการผลิตไฟฟา้ ใช้เป็น แหลง่ พลังงานสำหรบั โรงงานผลติ ไฟฟา้ หรอื ใชส้ ำหรบั สบู น้ำ 4. พลงั งานจากความแตกต่างของอุณหภมู ิ คือ พลงั งานทีไ่ ด้มาจากความแตกต่างของอุณหภมู ขิ องน้ำบรเิ วณผิวน้ำและ อุณหภูมขิ องน้ำบรเิ วณนำ้ ลึก ซง่ึ สามารถใชเ้ ทคโนโลยคี วามแตกต่างของกระบวนการเปล่ยี นพลงั งานความร้อนของ มหาสมุทร (Ocean thermal energy conversion : OTEC) ในการผลติ พลงั งานประเภทนี้ 5. พลังงานจากความแตกตา่ งของความเค็ม คอื พลงั งานทไี่ ด้มาจากความเค็มที่แตกต่างกนั บรเิ วณปากแม่น้ำ ซ่ึงเปน็ บรเิ วณทีน่ ำ้ จืดผสมกบั นำ้ ทะเค็ม โดยใช้เทคโนโลยีกระบวนการออสโมซิสผนั กลบั และเปล่ียนเป็นพลังงาน พลังงานแสงอาทติ ย์ พลังงานแสงอาทติ ย์ คือ พลังงานทีไ่ ดม้ าจากการแปลงแสงแดดใหอ้ ยู่ในรปู พลังงานทีส่ ามารถใชง้ านได้ เชน่ นำไปผลติ ไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ โดยเทคโนโลยีพลงั งานแสงอาทติ ย์ผลิตกระแสไฟฟา้ สามารถจำแนกเปน็ 2 แบบ คอื 1. เทคโนโลยีผลติ ไฟฟ้าดว้ ยเซลลแ์ สงอาทิตย์ (Solar photovoltaic: PV) เป็นระบบการแปลงพลงั งานแสงอาทติ ย์เปน็ พลังงานไฟฟา้ โดยตรง เทคโนโลยีผลิตไฟฟา้ ดว้ ยเซลลแ์ สงอาทิตย์ท่ไี ดร้ บั การยอมรบั มากที่สุด ไดแ้ ก่ ระบบเซลล์ แสงอาทิตย์ซลิ ิคอน (Crystalline silicon-based systems) เทคโนโลยผี ลิตไฟฟ้าดว้ ยเซลล์แสงอาทิตย์มีข้อดี 2 ประการ คือ 1) การผลติ แผงเซลลแ์ สงอาทิตย์สามารถผลิตได้ในโรงงานท่มี ขี นาดใหญท่ ี่มีกำลังการผลติ สงู และ 2) เทคโนโลยีผลิตไฟฟา้ ด้วยเซลล์แสงอาทิตยเ์ ป็นเทคโนโลยีท่สี ามารถประกอบได้ตามขนาดที่ต้องการ 2. เทคโนโลยีผลิตไฟฟา้ ดว้ ยระบบรวมแสงอาทติ ย์ (Concentrating solar power: CSP) เป็นเทคโนโลยใี นการรวม แสงไว้ทวี่ ตั ถุรบั แสงโดยใชก้ ระจกหรือวสั ดุสะท้อนแสงและหมนุ ตามดวงอาทติ ย์เพอ่ื สะท้อนแสงและสง่ ไปยงั ตวั รบั แสงซง่ึ จะทำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานทีม่ ีอณุ หภูมสิ ูง

25 พลังงานลม พลงั งานลม คอื พลังงานท่ีได้มาจากการเคลือ่ นไหวของลมเพ่อื นำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้าจากกงั หนั ลม พลังงานลมกำลังได้รบั การพัฒนาให้เปน็ เทคโนโลยีการผลติ ไฟฟา้ ท่ีสำคัญของโลก ปัจจุบันท่ัวโลกมีการเพ่มิ กำลงั การผลิตและ การลงทุนอยา่ งต่อเนือ่ ง การปรับปรุงเทคโนโลยีส่งผลต่อการลดลงของคา่ ใชจ้ ่ายด้านพลังงานอย่างต่อเน่อื ง ใน ภาคอตุ สาหกรรมสามารถแก้ปญั หาการจำกดั ทรพั ยากรและการขยายหว่ งโซอ่ ุปทาน การปลกู ผกั แบบ”ไฮโดรโปนกิ ส์

2269 การปลูกพืชไร้ดิน (Soilless Culture) เป็นการปลกู พชื ในสารละลายธาตุอาหารพืช (Water culture หรอื Hydroponics) เป็นการปลูกพืชโดยให้รากแช่ ในสารละลายธาตอุ าหารพืช และบางสว่ นสมั ผัสอากาศ (Aeroponics) หรอื เป็นการปลูกพืชบนวัสดทุ ไี่ มใ่ ช่ดินและรดดว้ ย สารละลายธาตุอาหรพืชหรอื นำ้ ปยุ๋ (Substrats) ระบบไฮโดรโปนกิ สท์ น่ี า่ สนใจ 1. ระบบ NFT (Nutrient Film Technique) เปน็ การปลูกพชื โดยใหร้ ากสัมผัสกับสารอาหาร โดยสารอาหารจะไหลเป็น แผ่นฟลิ มบ์ างๆ หนา 1-3 มลิ ลิเมตร และสารละลายธาตุอาหารจะมีการไหลหมุนเวียนกลับมาใชอ้ ีกครง้ั 2. ระบบ DFT (Deep Flow Technique) เป็นการปลูกพชื โดยใหร้ ากสัมผสั กับสารอาหารในน้ำลกึ 3-5 เซนตเิ มตร โดย จะปลกู ในราง ในภาชนะ หรือในถาดปลูกก็ได้ 3. ระบบ DRFT (Dynamic Root Floating Technique) จะคล้ายกบั ระบบDFT เปน็ การปลูกพชื โดยให้รากสัมผัสกับ สารอาหารในนำ้ ลึก 3-5 เซนตเิ มตรและอากาศ ไฮโดรโปนกิ ส์ (Hydroponics) ทเี่ หมาะสมสำหรบั การเริ่มตน้ มือใหม่ คือ ระบบ NFT (Nutrient Film Technique) ขอ้ ดขี องการปลกู พชื แบบไฮโดรโปนกิ ส์ 1. มกี ารจดั ปจั จัยต่าง เช่น นำ้ ธาตอุ าหาร แสง และอณุ หภมู ใิ หแ้ กพ่ ืชอย่างเหมาะสม พชื จึงเจรญิ เตบิ โตเรว็ ผลผลิตมาก และสม่ำเสมอ สะอาด มีคุณภาพดี และปลูกได้ตอ่ เนอื่ งตลอดปี 2. สามารถปลูกได้ในพ้นื ที่ไม่มดี ิน หรือดินไม่เหมาะสมต่อการปลกู พืช ทำให้การใช้นำ้ ใช้ป๋ยุ เป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 3. การควบคุมโรค แมลงศัตรพู ชื ทำไดง้ ่ายกวา่ พืชปกติ 4. ใช้แรงงานน้อย

27 ขน้ั ตอนการปลกู ผกั ไฮโดรโปนกิ ส์ 1. การเตรยี มพื้นทแี่ ละโตะ๊ ปลูก ประกอบโต๊ะปลูกและตดิ ต้ังตามวิธีการประกอบชดุ ไฮโดรโปนิกส์ และนำโตะ๊ ปลูกมา วางในตำแหนง่ ทไี่ ด้รบั แสงแดดอย่างนอ้ ย 6 ชว่ั โมง/วนั 2. พนั ธุแ์ ละเมลด็ พนั ธ์ผุ กั เมล็ดพันธ์ุผกั มี 2 ชนดิ คือ 2.1 เคลือบดินเหนียว เนอ่ื งจากเมลด็ ผกั มขี นาดเลก็ ทำใหเ้ ปน็ อนั ตรายและสูญเสียไดง้ ่าย จึงมกี ารเคลอื บเมล็ด ด้วยดนิ เหนยี ว เมล็ดทเี่ คลือบจะมอี ายกุ ารเก็บรกั ษาสนั้ เน่ืองจากไดม้ กี ารกระตุ้นการงอกมาแลว้ แต่จะสะดวกสำหรบั การ ใช้งาน 2.2 ไม่เคลือบ คือเมลด็ พันธป์ุ กติ 3. การเพาะต้นกลา้ นำวัสดปุ ลกู เชน่ เพอร์ไลท์ เวอรม์ ิคูไลท์ ใสถ่ ้วยเพาะและนำเมล็ดผักใส่ตรงกลางถ้วย กลบเมลด็ และรดนำ้ ให้เปยี กและเกบ็ ไว้ในทีป่ ลอดภัย รดน้ำทกุ วนั ประมาณ 3-5 วนั เมลด็ เร่ิมงอก และเรมิ่ ใหส้ ารละลายอ่อนๆ แทน น้ำ 4. การปลกู บนราง ขนาด 1.5 เมตร 4.1 ตวั อยา่ งเติมนำ้ 10 ลติ ร และเติมสารอาหาร A และ B อย่างละ 100 ซีซี หรอื 10 ซีซ/ี นำ้ 1 ลิตร 4.2 นำต้นกล้าทแ่ี ข็งแรง อายุประมาณ 2 สปั ดาห์ ยา้ ยมาวางบนโตะ๊ ปลกู และเดนิ เคร่ืองป๊มั นำ้ 5. การดแู ลประจำวัน 5.1 รักษาระดบั น้ำใหอ้ ยู่ในระดบั ควบคมุ อยู่เสมอ เชน่ 10 ลิตร 5.2 ควบคมุ คา่ EC อยู่ระหว่าง 1-1.8 โดยเคร่อื ง EC meter ปรบั ลดโดยการเพมิ่ นำ้ และปรบั ค่า EC เพิ่มโดยการ เพ่มิ ปยุ๋ กรณีไมม่ เี ครอ่ื งวดั สามารถประมาณการเติมสารอาหาร A และ B ดังตาราง 5.3 ควบคุมคา่ pH อยู่ระหว่าง 5.2-6.8 โดยเคร่ือง pH meter หรอื pH Drop test ปรบั ลดโดยการกรดฟอสฟอ ริก หรอื กรดไนตริก (pH down) และปรบั ค่า pH เพิ่มโดยการเตมิ โปตสั เซยี มไฮดรอกไซด์ (pH up) ปริมาณ 2-3 หยด 6. การเก็บเก่ียว เก็บเก่ยี วเม่ืออายุ 45 วัน

29 บทที่ 3 วธิ ดี ำเนนิ งาน การดำเนนิ โครงการอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารเรียนร้มู ุ่งสคู่ วามพอเพยี ง ได้ดำเนนิ การตามขนั้ ตอนต่างๆ ดังนี้ 1. ขนั้ เตรยี มการ  การศกึ ษาเอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั โครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเรยี นรมู้ งุ่ สคู่ วามพอเพยี ง ผู้รับผดิ ชอบโครงการไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ เอกสารท่ีเก่ียวข้องเพ่ือเปน็ ข้อมูลและแนวทางในการดำเนนิ การโครงการอบรม เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเรยี นร้มู ุ่งสคู่ วามพอเพยี ง ดังนี้ 1. ศึกษาเอกสาร / คู่มือ ข้อมูลจากหนังสอื เก่ียวกบั การเรยี นรู้มงุ่ สู่ความพอเพยี งเพื่อเปน็ แนวทางเกย่ี วกับการจัด โครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเรยี นรู้มุ่งสูค่ วามพอเพยี ง 2. ศกึ ษาข้ันตอนการดำเนนิ โครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ัติการเรยี นรูม้ งุ่ สู่ความพอเพยี ง เพ่อื เปน็ แนวทางในการจัดเตรยี ม งาน วสั ดอุ ปุ กรณ์ และบุคลากรให้เหมาะสม  การสำรวจความตอ้ งการของประชาชนในพนื้ ที่ (ตามนโยบายของรฐั บาล) กลุ่มภารกจิ การจัดการศกึ ษานอกระบบ มอบหมายให้ ครู กศน.ตำบล สำรวจความต้องการของ กลุ่มเปา้ หมายเพ่ือทราบความต้องการทีแ่ ท้จริงของประชาชนในตำบล และมีขอ้ มลู ในการจัดกจิ กรรมทต่ี รงกบั ความตอ้ งการ ของชุมชน  การประสานงานผนู้ ำชมุ ชน / ประชาชน /วทิ ยากร 1. ครู กศน.ตำบล ไดป้ ระสานงานกบั หวั หนา้ /ผู้นำชุมชนและประชาชนในตำบลเพื่อร่วมกันปรึกษาหารอื ใน กลมุ่ เก่ยี วกับการดำเนินการจัดโครงการให้ตรงกับความตอ้ งการของชมุ ชน 2. ครู กศน.ตำบล ได้ประสานงานกบั หนว่ ยงานทเี่ ก่ยี วข้องเพอื่ จดั หาวิทยากร  การประชาสมั พนั ธโ์ ครงการฯ ครู กศน.ตำบล ได้ดำเนินการประชาสมั พนั ธ์การจดั โครงการอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการเรียนรู้มุ่งสู่ความพอเพียง เพ่อื ให้ประชาชนทราบขอ้ มูลการจัดกจิ กรรมดงั กล่าวผ่านผนู้ ำชุมชน  ประชมุ เตรยี มการ / วางแผน 1) ประชุมปรึกษาหารอื ผู้ท่เี ก่ยี วขอ้ ง 2) เขียนโครงการ วางแผนมอบหมายงานให้ฝ่ายต่างๆ เตรยี มดำเนนิ การ 3) มอบหมายหน้าท่ี แตง่ ต้ังคณะทำงาน  การรบั สมคั รผเู้ ขา้ รว่ มโครงการฯ ครู กศน.ตำบล ไดร้ ับสมัครผ้เู ข้าร่วมโครงการอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ ารเรียนรูม้ งุ่ สู่ความพอเพียง โดยให้ ประชาชนทั่วไปทอ่ี าศยั อยู่ในพื้นทตี่ ำบลวดั หลวง ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลท่าขา้ ม ตำบลหนองเหยี ง และ ตำบลกุฎโง้ง เขา้ รว่ ม เปา้ หมายจำนวน 25 คน

28  การกำหนดสถานทแ่ี ละระยะเวลาดำเนนิ การ ครู กศน.ตำบล ได้กำหนดสถานท่ใี นการจดั อบรมคือ ศนู ยเ์ รยี นรเู้ ศรษฐกจิ พอเพียง ผู้ใหญว่ ชิ ยั กา้ นบวั หมทู่ ่ี 10 ตำบลหนองปรือ อำเภอพนสั นิคม จงั หวดั ชลบรุ ี ในวันที่ 30 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2563 จำนวน 1 วัน เวลา 08.30-15.00 น. 2. ขนั้ ดำเนนิ งาน  กลมุ่ เปา้ หมาย กล่มุ เปา้ หมายของโครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารเรียนรมู้ งุ่ ส่คู วามพอเพยี งประชาชน 4 ตำบล ๆ ละ 6 คน ได้แก่ ตำบลวัดหลวง ตำบลวดั โบสถ์ ตำบลหนองเหยี ง ตำบลท่าข้าม และ ตำบลกฎุ โง้ง จำนวน 7 คน รวมทั้งสิ้น 31 คน  สถานทด่ี ำเนนิ งาน ครู กศน.ตำบล 5 ตำบล จัดกิจกรรมโครงการอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ ารเรยี นรูม้ ่งุ สู่ความพอเพยี ง โดยจัดกิจกรรมอบรมใหค้ วามรู้ ในวันที่ 30 มิถนุ ายน พ.ศ. 2563 เวลา 08.30-15.00 น. ณ ศนู ย์เรียนรูเ้ ศรษฐกจิ พอเพียง ผใู้ หญว่ ิชยั ก้านบวั หมู่ที่ 10 ตำบลหนองปรือ อำเภอพนัสนคิ ม จงั หวัดชลบุรี  การขออนมุ ตั แิ ผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรหู้ ลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กศน.ตำบล 5 ตำบล ไดด้ ำเนินการขออนมุ ตั ิแผนการจัดกิจกรรมการเรียนร้หู ลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง โครงการอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ ารเรยี นรู้มุง่ สคู่ วามพอเพยี ง ต่อสำนกั งาน กศน.จังหวัดชลบุรี เพอ่ื ให้ต้นสังกัดอนมุ ตั ิ แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง  การจดั ทำเครอ่ื งมอื การวดั ความพงึ พอใจของผรู้ ว่ มกจิ กรรม เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการตดิ ตามประเมนิ ผลโครงการ ได้แก่ แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ  ขน้ั ดำเนนิ การ / ปฏบิ ตั ิ 1. เสนอโครงการเพื่อขอความเห็นชอบ/อนมุ ัติจากตน้ สังกดั 2. วางแผนการจดั กิจกรรมในโครงการอบรมเชิงปฏิบัตกิ ารเรียนรมู้ ุ่งสคู่ วามพอเพียง โดยกำหนดตารางกจิ กรรมที่กำหนดการ 3. มอบหมายงานให้แก่ผ้รู บั ผิดชอบฝา่ ยต่างๆ 4. แตง่ ตัง้ คณะกรมการดำเนินงาน 5. ประชาสัมพนั ธ์โครงการอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ ารเรียนรู้มุ่งสู่ความพอเพยี ง 6. จดั กจิ กรรมโครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเรียนรมู้ ุง่ ส่คู วามพอเพียง ตามตารางกิจกรรมท่กี ำหนดการ 7. ตดิ ตามและประเมินผลโครงการอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ ารเรยี นรูม้ ุ่งสู่ความพอเพียง

29 3. การประเมนิ ผล  วิเคราะห์ขอ้ มลู 1. บนั ทึกผลการสังเกตจากผเู้ ข้าร่วมกิจกรรม 2. วิเคราะหผ์ ลจากการประเมินในแบบประเมินความพงึ พอใจ 3. รายงานผลการปฏบิ ัติงานรวบรวมสรุปผลการปฏิบตั งิ านของโครงการนำเสนอต่อผ้บู รหิ ารนำปัญหา ขอ้ บกพร่องไปแกไ้ ขครั้งต่อไป  คา่ สถิตทิ ใี่ ช้ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้คา่ สถิติร้อยละในการประมวลผลข้อมูลสว่ นตัวและตัวช้วี ัดความสำเร็จของโครงการ ตามแบบสอบถามคิดเปน็ รายข้อ โดยแปลความหมายคา่ สถติ ริ อ้ ยละออกมาไดด้ ังน้ี คา่ สถติ ิรอ้ ยละ 90 ขนึ้ ไป ดีมาก คา่ สถติ ริ อ้ ยละ 75 – 89.99 ดี คา่ สถิตริ ้อยละ 60 – 74.99 พอใช้ ค่าสถติ ริ ้อยละ 50 – 59.99 ปรับปรุง คา่ สถติ ริ อ้ ยละ 0 – 49.99 ปรับปรงุ เร่งด่วน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นรายข้อซ่ึงมีลักษณะเป็นค่าน้ำหนักคะแนน และ นำมาเปรียบเทยี บ ไดร้ ะดับคณุ ภาพตามเกณฑ์การประเมิน ดงั น้ี เกณฑก์ ารประเมิน (X) ค่านำ้ หนกั คะแนน 4.50 – 5.00 ระดับคุณภาพ คือ ดีมาก ค่านำ้ หนักคะแนน 3.75 – 4.49 ระดับคณุ ภาพ คอื ดี ค่านำ้ หนกั คะแนน 3.00 – 3.74 ระดบั คุณภาพ คือ พอใช้ คา่ นำ้ หนักคะแนน 2.50 – 2.99 ระดับคุณภาพ คอื ต้องปรับปรงุ คา่ นำ้ หนักคะแนน 0.00 – 2.49 ระดบั คุณภาพ คอื ตอ้ งปรบั ปรงุ เรง่ ดว่ น

30 บทท่ี 4 ผลการดำเนนิ งานและการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตอนท่ี 1 รายงานผลการจดั กิจกรรมโครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารเรยี นรมู้ งุ่ สคู่ วามพอเพยี ง การจัดกจิ กรรมโครงการอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ ารเรียนรู้มงุ่ สู่ความพอเพยี ง สรุปรายงานผลการจดั กิจกรรมได้ดงั นี้ ในการจัดกจิ กรรมอบรมให้ความรู้ตามโครงการอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ ารเรียนรมู้ ุ่งส่คู วามพอเพยี ง เป็นการอบรม ใหค้ วามรู้ โดยมี นายวชิ ยั ก้านบวั เป็นวทิ ยากรในการบรรยายใหค้ วามรู้ เรื่อง หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง หลังจาก เสร็จสนิ้ กิจกรรมดังกลา่ วแล้ว ผู้เข้ารว่ มกจิ กรรม มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและนำความรู้ที่ ได้รบั มาปรบั ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ตอนท่ี 2 รายงานผลความพงึ พอใจของโครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเรยี นรมู้ งุ่ สู่ความพอเพยี ง การจดั กจิ กรรมโครงการอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการเรยี นรมู้ งุ่ สู่ความพอเพียง ซง่ึ สรุปรายงานผลจากแบบสอบถามความ คดิ เหน็ ข้อมูลทไ่ี ด้สามารถวเิ คราะห์และแสดงคา่ สถติ ิ ดังน้ี ตารางท่ี 1 ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการทตี่ อบแบบสอบถามไดน้ ำมาจำแนกตามเพศ รายละเอยี ด เพศ หญิง ชาย 26 83.87 จำนวน (คน) 5 รอ้ ยละ 16.13 จากตารางท่ี 1 พบว่าผตู้ อบแบบสอบถามท่เี ข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง โครงการอบรมเชงิ ปฏิบัติการเรยี นรู้ม่งุ สูค่ วามพอเพียงส่วนใหญ่ เปน็ หญงิ จำนวน 26 คน คดิ เป็นร้อยละ 83.87 และ เป็นชาย 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 16.13 ตารางที่ 2 ผู้เข้ารว่ มโครงการที่ตอบแบบสอบถามได้นำมาจำแนกตามอายุ รายละเอียด ตำ่ กวา่ 15 อายุ (ป)ี 40 - 59 60 ขน้ึ ไป อายุ - 15 - 39 12 16 - 38.71 51.61 จำนวน (คน) 3 ร้อยละ 9.68 จากตารางที่ 2 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่เข้าร่วมกจิ กรรมการเรยี นรหู้ ลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โครงการอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการเรียนรู้มงุ่ สคู่ วามพอเพียงสว่ นใหญ่อายุ 60 ปีขน้ึ ไป จำนวน 16 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 51.61 รองลงมา มอี ายุ 40 – 59 ปี จำนวน 12 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 38.71 และ มีอายุ 15-39 ปี จำนวน 3 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 9.68

ตารางท่ี 3 ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการท่ีตอบแบบสอบถามไดน้ ำมาจำแนกตามอาชีพ 31 รายละเอยี ด เกษตรกรรม รบั จา้ ง อาชพี ค้าขาย อนื่ ๆ รบั ราชการ/รัฐวสิ าหกจิ - 19 - 61.29 จำนวน (คน) 11 1 - ร้อยละ 35.48 3.23 - จากตารางที่ 3 พบว่าผูต้ อบแบบสอบถามท่เี ข้าร่วมกจิ กรรมการเรียนรู้หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง โครงการอบรมเชิงปฏิบัตกิ ารเรยี นรู้มุ่งสูค่ วามพอเพียงสว่ นใหญ่ อาชพี อืน่ ๆ จำนวน 19 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 61.29 รองลงมา มอี าชีพเกษตรกรรม จำนวน 11 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 35.48 และ มอี าชีพรับจ้าง จำนวน 1 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 3.23 ตารางที่ 4 ผู้เข้าร่วมโครงการท่ีตอบแบบสอบถามได้นำมาจำแนกตามระดับการศึกษา รายละเอยี ด ระดบั การศกึ ษา การศึกษา ประถม ม.ตน้ ม.ปลาย/ปวช. ปวส./ป.ตรีขน้ึ ไป 8 จำนวน (คน) 3 7 13 25.80 รอ้ ยละ 9.68 22.58 41.94 จากตารางที่ 4 พบวา่ ผ้ตู อบแบบสอบถามท่ีเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรหู้ ลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง โครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ัติการเรียนรู้มุง่ สู่ความพอเพยี งส่วนใหญ่มรี ะดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย/ปวส จำนวน 13 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 41.94 รองลงมา ระดับ ปวส./ป.ตรี ขึน้ ไป จำนวน 8 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 25.80 มีระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 7 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 2258 และ มีระดบั ประถมศึกษา จำนวน 3 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 9.68 ตามลำดับ ตารางท่ี 5 แสดงค่าร้อยละเฉลย่ี ความสำเร็จของตัวชี้วดั ผลผลิต ประชาชนท่วั ไป เข้าร่วมโครงการจำนวน 31 คน เปา้ หมาย(คน) ผลสำเรจ็ ของโครงการ คิดเปน็ รอ้ ยละ 25 ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการ(คน) 100 31 จากตารางที่ 5 พบว่าผลสำเรจ็ ของตัวชี้วดั ผลผลติ กิจกรรมการเรียนรูห้ ลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง โครงการอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารเรยี นรู้มุ่งสู่ความพอเพยี ง มผี เู้ ขา้ รว่ มโครงการ จำนวน 31 คน คิดเปน็ ร้อยละ 100 ซึ่งบรรลุ เปา้ หมายด้านตัวชวี้ ดั ผลผลิต

32 ตารางท่ี 6 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานความพงึ พอใจของผู้เขา้ รว่ มกจิ กรรมที่มีความพึงพอใจต่อโครงการอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ ารเรียนร้มู ุ่งสู่ความพอเพยี ง ในภาพรวม รายการ ค่าเฉลีย่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ระดบั ความพึงพอใจ ดา้ นบรหิ ารจดั การ () () ดา้ นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 4.50 0.54 ดมี าก ด้านประโยชน์ท่ีไดร้ ับ 4.53 0.50 ดีมาก รวมทกุ ด้าน 4.60 0.49 ดีมาก 4.54 0.51 ดีมาก จากตารางท่ี 6 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามทม่ี ีความพงึ พอใจตอ่ โครงการอบรมเชิงปฏิบัตกิ ารเรียนรู้มงุ่ สูค่ วาม พอเพียง ในภาพรวมอยูใ่ นระดับดีมาก (=4.54) เมือ่ พจิ ารณาเปน็ รายดา้ น พบวา่ ดา้ นประโยชนท์ ่ีไดร้ ับ อยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉล่ีย (= 4.60) รองลงมาคือ ด้านการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ มีอยู่ในระดับดีมาก มคี า่ เฉลย่ี (= 4.53) และ ดา้ นบรหิ ารจดั การ อยู่ในระดับดีมาก มคี า่ เฉลี่ย (= 4.50) ตามลำดับ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน () อยรู่ ะหวา่ ง 0.49 - 0.54 แสดงว่า ผู้เขา้ รว่ มกิจกรรมมีความพึงพอใจสอดคลอ้ งกัน ตารางที่ 7 ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานความพึงพอใจของผเู้ ข้ารว่ มกิจกรรมท่ีมคี วามพึงพอใจต่อโครงการอบรมเชิง ปฏบิ ัติการเรียนรู้ม่งุ สู่ความพอเพยี ง ด้านบรหิ ารจดั การ รายการ คา่ เฉล่ีย สว่ นเบย่ี งเบน ระดบั () มาตรฐาน () ความพึงพอใจ 1. อาคารสถานท่ี 4.77 0.42 ดมี าก 2. สง่ิ อำนวยความสะดวก 4.45 0.56 ดี 3. กำหนดการและระยะเวลาในการดำเนนิ โครงการ 4.26 0.44 ดี 4. เอกสารการอบรม 4.58 0.61 ดมี าก 5. วิทยากรผู้ให้การอบรม 4.42 0.49 ดี รวม 4.50 0.54 ดีมาก จากตารางที่ 7 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามท่ีมีความพึงพอใจต่อโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเรียนรู้มุ่งสู่ความ พอเพียง ด้านบริหารจัดการ ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉล่ีย (= 4.50) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า อาคาร สถานที่ มีค่าเฉล่ีย (= 4.77) รองลงมา คือ เอกสารการอบรม มีค่าเฉล่ีย (= 4.58) ส่ิงอำนวยความสะดวก มีค่าเฉลี่ย (= 4.45) วิทยากรผู้ให้การอบรม มีค่าเฉลี่ย (= 4.42) กำหนดการและระยะเวลาในการดำเนินโครงการ มีค่าเฉล่ีย (= 4.26) ตามลำดับ โดยมีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน () อยู่ระหว่าง 0.42 - 0.61 แสดงว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความ คิดเหน็ ไปในทิศทางเดียวกนั ตามลำดบั

33 ตารางท่ี 8 ค่าเฉลย่ี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานความพึงพอใจของผเู้ ขา้ รว่ มกิจกรรมท่ีมีความพึงพอใจต่อโครงการอบรมเชิง ปฏิบัติการเรียนรู้มุ่งสคู่ วามพอเพียง ด้านการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ รายการ ค่าเฉลย่ี สว่ นเบ่ยี งเบน ระดบั () มาตรฐาน () ความพงึ พอใจ 6. การจดั กิจกรรมโครงการอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการเรียนรู้ 4.42 มงุ่ สคู่ วามพอเพยี ง 0.49 ดี 7. การใหค้ วามรเู้ รอ่ื งการเรยี นรูม้ ุ่งสู่ความพอเพยี ง 8. การตอบขอ้ ซกั ถามของวทิ ยากร 4.58 0.49 ดีมาก 9. การแลกเปลยี่ นเรียนร้ขู องผู้เข้ารับการอบรม 4.58 0.49 ดมี าก 10. การสรุปองคค์ วามรูร้ ่วมกนั 4.45 0.50 11. การวัดผล ประเมินผล การฝึกอบรม 4.55 0.50 ดี 4.48 0.50 ดีมาก รวม 4.53 0.50 ดี ดีมาก จากตารางที่ 8 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจต่อโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเรียนรู้มุ่งสู่ความ พอเพียง ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ย (= 4.53) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า การให้ความรู้เรื่องการเรียนรู้มุ่งสู่ความพอเพียง และ การตอบข้อซักถามของวิทยากร มีค่าเฉล่ีย (= 4.58) รองลงมาคือ การสรปุ องค์ความรู้รว่ มกนั มีค่าเฉล่ยี (= 4.55 ) การวัดผล ประเมินผล การฝึกอบรม มคี ่าเฉลี่ย (= 4.48 ) การแลกเปล่ียนเรียนรู้ของผู้เข้ารบั การอบรม มีคา่ เฉลี่ย (=4.45) และการจัดกิจกรรมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเรยี นรู้ มุ่งสู่ความพอเพียง ( = 4.42) ตามลำดับ โดยมีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน () อยู่ระหว่าง 0.49 - 0.50 แสดงว่า ผู้ตอบ แบบสอบถามมีความคดิ เหน็ สอดคล้องกัน ตารางที่ 9 ค่าเฉลยี่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานความพึงพอใจของผูเ้ ข้าร่วมกจิ กรรมทมี่ คี วามพงึ พอใจต่อโครงการอบรมเชิง ปฏบิ ตั ิการเรยี นรู้มุ่งสู่ความพอเพียง ดา้ นประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั รายการ ค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบน ระดบั ความ () มาตรฐาน () พึงพอใจ 12. ไดเ้ รียนรแู้ ละฝึกตนเอง เก่ียวกบั การเรยี นรู้มุ่งสู่ 4.58 ความพอเพียง 0.49 ดมี าก 13. นำความรทู้ ีไ่ ด้รับมาปรบั ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั 4.61 0.49 ดมี าก รวม 4.60 0.49 ดีมาก

34 จากตารางท่ี 9 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจต่อโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเรียนรู้มุ่งสู่ความ พอเพียง ด้านประโยชน์ที่ได้รับ ในภาพรวมอยใู่ นระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ย (= 4.60) เม่อื พิจารณาเปน็ รายข้อ พบวา่ ได้นำ ความรู้ทไ่ี ด้รบั มาปรบั ใช้ในชีวติ ประจำวัน มคี ่าเฉลยี่ (= 4.61) รองลงมา ได้เรียนรูแ้ ละฝกึ ตนเอง เก่ียวกับการเรียนร้มู ุ่งสู่ ความพอเพียง มีคา่ เฉลี่ย (= 4.58) โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน () อยู่ระหว่าง 0.49 แสดงวา่ ผู้ตอบแบบสอบถามมี ความคดิ เหน็ ไปในทิศทางเดยี วกัน สรปุ ในภาพรวมของกจิ กรรมคดิ เปน็ รอ้ ยละ 90.80 มคี า่ นำ้ หนกั คะแนน 4.54 ถอื วา่ ผรู้ บั บรกิ าร มีความพงึ พอใจทางดา้ นต่างๆ อยใู่ นระดบั ดมี าก โดยเรยี งลำดบั ดงั น้ี  อนั ดบั แรก ด้านด้านประโยชนท์ ่ีไดร้ ับ คิดเป็นรอ้ ยละ 92.00 มคี า่ นำ้ หนักคะแนน 4.60 อยูใ่ นระดับคุณภาพ ดีมาก  อนั ดบั สอง ดา้ นการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 90.60 มคี า่ น้ำหนกั คะแนน 4.53 อย่ใู นระดับ คณุ ภาพดี  อนั ดบั สาม ดา้ นบริหารจดั การ คดิ เป็นร้อยละ 90.00 มีคา่ น้ำหนักคะแนน 4.50 อยู่ในระดับคุณภาพดี

บทท่ี 5 35 อภปิ รายและขอ้ เสนอแนะ ผลการจัดกจิ กรรมโครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการเรียนรมู้ งุ่ สคู่ วามพอเพยี ง ไดผ้ ลสรปุ ดังนี้ วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อให้ผ้เู ข้าร่วมกิจกรรมมีความรู้ ความเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. เพ่อื ใหผ้ รู้ ่วมกจิ กรรม นำความรู้ทไ่ี ดร้ ับมาปรับใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั เปา้ หมาย (Outputs) เปา้ หมายเชงิ ปรมิ าณ - ประชาชน 4 ตำบล ๆ ละ 6 คน ไดแ้ ก่ ตำบลวัดหลวง ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลหนองเหยี ง ตำบลท่าข้าม และ ตำบลกุฎโง้ง จำนวน 7 คน รวมทงั้ ส้ิน 31 คน เปา้ หมายเชงิ คณุ ภาพ - ผูเ้ ขา้ รว่ มกิจกรรม มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและนำความรทู้ ไี่ ด้รับมาปรบั ใชใ้ นชีวิตประจำวัน เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ คอื แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ได้มอบหมายให้ ครู กศน.ตำบล ทรี่ บั ผดิ ชอบกจิ กรรมแจกแบบสอบถามความพึงพอใจ ให้กบั ผู้ร่วมกิจกรรม โดยให้ผ้เู ข้ารว่ มกิจกรรมประเมินผลการจัดกิจกรรมตา่ งๆ ตามโครงการอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ ารเรียนร้มู ุ่งสู่ ความพอเพยี ง สรปุ ผลการดำเนนิ งาน กศน.ตำบล ได้ดำเนินการจัดกจิ กรรมตาม โครงการอบรมเชิงปฏิบตั ิการเรียนรู้มุ่งสคู่ วามพอเพียง โดยดำเนนิ การ เสร็จส้นิ ลงแล้วและสรปุ รายงานผลการดำเนินงานได้ดังนี้ 1. ผูร้ ว่ มกิจกรรมจำนวน 31 คน มีความรู้ ความเข้าใจการเรียนรู้มุง่ สู่ความพอเพยี งและนำความรู้ที่ได้รบั มาปรับใช้ในชีวิตประจำวนั 2. ผู้รว่ มกิจกรรมร้อยละ 93.20 นำความรูท้ ไี่ ด้รับมาปรบั ใช้ในชวี ิตประจำวนั 3. จากการดำเนนิ กจิ กรรมตามโครงการดังกล่าว สรปุ โดยภาพรวมพบว่า ผูเ้ ข้าร่วมกจิ กรรมส่วนใหญม่ ีความพึงพอใจ ตอ่ โครงการ อยใู่ นระดบั “ดมี าก ” และบรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายตวั ชว้ี ัดผลลพั ธ์ทต่ี งั้ ไว้ โดยมีคา่ เฉลย่ี ร้อยละภาพรวม ของกิจกรรม 90.56 และคา่ การบรรลุเปา้ หมายคา่ เฉล่ีย 4.53 ขอ้ เสนอแนะ - อยากให้มกี ารจัดกจิ กรรมอกี จะไดน้ ำความรูไ้ ปใช้ในการดำเนินชวี ิตต่อไป

บรรณานกุ รม ทมี่ า กรมการศึกษานอกโรงเรียน (2546) บญุ ชม ศรีสะอาด และ บุญส่ง นิลแก้ว (2535 หน้า 22-25) กระทรวงศกึ ษาธกิ าร . (2543). http://singkle.blogspot.com/p/blog-page_6535.html

ภาคผนวก

โครงการฯ







หนังสอื เชญิ วทิ ยากร

รายงานผลการจดั กจิ กรรม โครงการอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ ารเรยี นรู้ม่งุ สู่ความพอเพียง จำนวน 1วัน ในวันที่ 30 มิถนุ ายน 2563 ศนู ย์เรยี นร้เู ศรษฐกจิ พอเพยี ง ผู้ใหญ่วิชยั ก้านบัว หมทู่ ่ี 10 ตำบลหนองปรือ อำเภอพนัสนคิ ม จังหวัดชลบรุ ี วิทยากรคือนายวชิ ยั กา้ นบัว ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 31 คน

แบบสอบถามความพงึ พอใจ โครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเรยี นรมู้ งุ่ สคู่ วามพอเพยี ง ปงี บประมาณ พ.ศ. 2563 กศน.อำเภอพนสั นคิ ม จงั หวดั ชลบรุ ี คำช้แี จง 1. แบบสอบถามฉบับนี้มีวตั ถุประสงค์ เพ่อื ใช้ในการสอบถามความพึงพอใจตอ่ โครงการอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ ารเรยี นรู้มุง่ สคู่ วามพอเพียง 2. แบบสอบถามมี 3 ตอนดังนี้ ตอนที่ 1 ถามข้อมูลเกย่ี วกับผตู้ อบแบบสอบถามจำนวน 4 ข้อ ใหท้ ำเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ่ งให้ตรงกบั สภาพจรงิ ตอนท่ี 2 ความพงึ พอใจต่อโครงการอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการเรียนรมู้ ุง่ สคู่ วามพอเพยี ง จำนวน 13 ข้อ ซ่งึ มีระดับความพงึ พอใจ 5 ระดบั ดังน้ี 5 มากทีส่ ุด หมายถึง มีความพึงพอใจมากท่ีสุด 4 มาก หมายถงึ มคี วามพึงพอใจมาก 3 ปานกลางหมายถงึ มคี วามพงึ พอใจปานกลาง 2 น้อย หมายถงึ มีความพึงพอใจน้อย 1 น้อยทส่ี ุด หมายถงึ มคี วามพึงพอใจน้อยทส่ี ดุ ตอนที่ 3 ขอ้ คดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะต่อโครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการเรียนรู้ม่งุ ส่คู วามพอเพียง ตอนที่ 1 ขอ้ มลู ทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม หญิง 40 ปี – 49 ปี เพศ 30 ปี – 39 ปี ชาย 60 ปขี ึ้นไป อายุ 15 ปี – 29 ปี 50 ปี – 59 ปี การศกึ ษา ต่ำกว่า ป.4 ป.4 ประถม ม.ต้น ม.ปลาย ประกอบอาชพี อนปุ รญิ ญา ปริญญาตรี สงู กว่าปรญิ ญาตรี รบั จ้าง คา้ ขาย เกษตรกร ลูกจ้าง/ขา้ ราชการหนว่ ยงานภาครฐั หรอื เอกชน อ่ืน ๆ ………………………………….

ตอนที่ 2 ความพงึ พอใจเกยี่ วกบั โครงการอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ ารเรยี นรมู้ งุ่ สคู่ วามพอเพยี ง ขอ้ ท่ี รายการ ระดบั ความคดิ เหน็ 1 5 432 ด้านบรหิ ารจัดการ 1. อาคารและสถานที่ 2. ส่ิงอำนวยความสะดวก 3. กำหนดการและระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 4. เอกสารการอบรม 5. วิทยากรผู้ให้การอบรม ด้านการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 6. การจัดกจิ กรรมโครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารเรียนรู้มงุ่ สคู่ วาม พอเพียง 7. การใหค้ วามรู้เรือ่ งปฏิบตั กิ ารเรียนร้มู งุ่ สคู่ วามพอเพยี ง 8. การตอบข้อซักถามของวทิ ยากร 9. การแลกเปลย่ี นเรยี นร้ขู องผู้เข้ารบั การอบรม 10. การสรปุ องค์ความรูร้ ่วมกัน 11. การวัดผล ประเมินผล การฝึกอบรม ดา้ นประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั 12 ไดเ้ รียนรู้และฝึกตนเอง เก่ียวกับปฏิบัตกิ ารเรียนรู้ม่งุ สู่ความ พอเพียง 13 นำความร้ทู ่ีไดร้ บั มาปรับใช้ในชวี ติ ประจำวนั ตอนที่ 3 ขอ้ คิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะ ข้อคิดเห็น .............................................................................................................................................................................. ขอ้ เสนอแนะ ........................................................................................................................................................................ ขอบขอบคุณทใ่ี ห้ความร่วมมอื กศน. อำเภอพนสั นคิ ม จังหวัดชลบรุ ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook