1 การศกึ ษากระบวนการสกัดสธี รรมชาตจิ ากพชื เพอื่ งานมัดย้อม The Study of the Natural Color Extraction Process from plants for Tied- dye Work นนั ทพิ ย์ หาสนิ 1 และฉัตรดาว ไชยหลอ่ 2 Nanthip Hasin and Chatdow Chailor บทคดั ยอ่ การศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษากระบวนการสกัดสีธรรมชาติจากพืช (2) ศึกษา เทคนคิ การมัดย้อม โดยศึกษาจากงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการสกัดสีธรรมชาติและการมัดย้อม จานวน 5 แห่ง ช่วงระหว่าง พ.ศ. 2546-2557 จานวน 8 เร่ือง เป็นการสังเคราะห์ข้อมูลด้วยการรวบรวม ข้อมูลและวิเคราะห์เนื้อหา สรุปสาระสาคัญตามประเด็นท่ีกาหนดไว้ แล้วนามาวิเคราะห์โดยวิธี พรรณนาวเิ คราะห์ ผลการศึกษาสรปุ ไดว้ า่ การสกัดสีธรรมชาตจิ ากพืช สว่ นใหญน่ ิยมใช้การสกัดสีโดยการต้ม หรอื การสกดั สีแบบรอ้ น พืชใหส้ ีชนดิ ตา่ ง ๆ ไดจ้ ากพืชในท้องถ่ิน โดยใช้สว่ นต่างๆ ของพืช ได้แก่ แก่น ลาต้น เปลือก กิง่ ใบ ผล และดอก โดยพืชแต่ละชนดิ ให้สีท่ีแตกต่างกนั จากผลการศกึ ษาพบวา่ โทนสี แดง ไดแ้ ก่ คร่ัง เมล็ดคาแสด แกน่ ฝาง เปลือกสมอ โทนสเี หลือง ได้แก่ หวั ขมิ้นชนั แก่นไมพ้ ดุ ผลดิบ มะตูม ดอกผกากรอง ใบขีเ้ หลก็ และ แกน่ ขนุนโทนสนี า้ ตาล ได้แก่ แก่นคูณ เปลอื กผลทบั ทมิ เปลอื ก ไมโ้ กงกาง และเปลอื กนนทรี โทนสดี า ไดแ้ ก่ ผลมะเกลือ ใบกระเม็ง ผลมะกอกเลอ่ื ม เปลือกรกฟ้า ผล ตบั เตา่ และบัวสาย สารช่วยยอ้ ม หรอื สารกระตุ้นสี ประเภทด่างได้แก่ น้าปใู ส และน้าข้เี ถ้า ประเภท กรด ไดแ้ ก่ น้าสนิม และน้าสารสม้ การศึกษาเทคนคิ การมดั ย้อม พบวา่ เทคนิคท่ีใชใ้ นการมัดย้อมที่ทาให้เกิดลวดลาย ใช้การมดั ลายแบบพ้ืนฐาน โดยมีขัน้ ตอน 6 วธิ ีคือ การพับแลว้ มดั การพบั แลว้ เยบ็ การมว้ นแลว้ มดั การหอ่ แล้ว มัด การขยาแลว้ มดั และการพับแล้วหนบี นามาผสมผสานกันจนเกิดลวดลายใหม่ ๆ ทีส่ วยงาม คาสาคัญ: การสกัดสีธรรมชาติ, เทคนิคมัดย้อม, การมดั ย้อม 1 อาจารย์ประจาหลกั สตู รสาขาวิชาธุรกจิ คหกรรมศาสตร์ คณะศลิ ปะศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชยั [email protected] 083-8536220 2 อาจารย์ประจาหลกั สตู รสาขาวิชาธุรกิจคหกรรมศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย [email protected] 081-4855803
2 ABSTRACT The study aimed to study; (1) the process of extracting natural colors from plants and (2) the techniques of tie-dyeing. The researchers studied 8 related researches in 5 places concerning the tie-dyeing process between 2546-2557 A.E. The data were collected and analyzed to the study areas. The findings were shown by descriptive analysis. The study revealed that in order to extract the natural colors from plants were done by boiling or by heat extraction. Local plants in the areas provides various color by using different parts such as branches, trunks, barks, sticks, leaves, fruits and flowers. Each plants yielded different colors. The study found that red color was from lac plants, Kamsad seeds, Phang branches, and Samor barks. Yellow color came from turmeric plants, Phut branches, raw Indian Bael fruits, West Indian Lantana flowers. senna siamea flowers and jack fruit sticks. Brown color was from golden shower sticks, pomegranate barks, mangrove barks and Nontri barks. Black color was extracted from ebony fruits, Kameng leaves, olive sequins fruits, Tap tao fruits and cornic lines. The materials for mixing or stimulating were limewater and ash water. For acid materials were rusty water and alum water. The study of the techniques for tie-dyeing revealed that for the pattern technique applied the basic tie which consisted of 6 methods; folding and tie, folding and sew, rolling and tie, packing and tie, kneading and tie and folding and pin. Each method could be mixed to create new patterns to be more beautiful. Keywords: natural color extracting, tie-dyeing techniques, tie-dyeing บทนา ปัจจบุ นั ทัว่ โลกตระหนักถึงปัญหาส่งิ แวดล้อมและสิ่งทเี่ ป็นพษิ จากการใชส้ สี งั เคราะห์กันมาก ขึน้ สีทไี่ ดจ้ ากธรรมชาตเิ ป็นความรดู้ ัง้ เดมิ ของท้องถิน่ เป็นภูมปิ ญั ญาท่เี กิดจากการสรา้ งสรรค์ทาง ศลิ ปะที่สืบทอดกันมาจากอดีต (ภัทรานิษฐ์ สิทธินพพนั ธแ์ ละคณะ, 2555) สีท่ีใชใ้ นการมัดย้อมเปน็ สี ท่ีไดจ้ ากธรรมชาติ เปน็ ความร้ดู ้งั เดมิ ที่สืบทอดกันมาจากบรรพบรุ ษุ แหล่งวัตถดุ บิ สธี รรมชาตยิ งั สามารถหาไดจ้ ากส่วนใบ ลาต้น เปลือก ผลหวั และรากของพชื ทใี่ หส้ สี นั สวยงามตามทเ่ี ราต้องการ และหาได้ไม่ยาก (จริยา ทรงพระ, 2553) สีมีอิทธิพลต่อความรู้สึกและความเป็นอยู่ของมนุษย์ เราใช้สีเพื่อส่ือแนวความคิดและ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนผืนผ้า ซึ่งมีลวดลายท่ีแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับท้องถิ่นและ
3 ขนบธรรมเนียมประเพณี การย้อมสีธรรมชาติ เป็นการช่วยลดการใช้สารเคมี ท่ีทาให้เกิดโรคต่าง ๆ ในระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง โรคผิวหนัง ที่เกิดจากการสะสมของสารเคมี สีธรรมชาติมี คุณสมบัติเด่นเฉพาะตัว คือ ให้สีที่สวย เย็นตา ไม่ฉูดฉาด การนาสีธรรมชาติมาย้อมผ้ายังช่วยลด ปัญหาการทาลายส่ิงแวดล้อม ไม่ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพของผู้ย้อมด้วย ซึ่งรัฐบาลและ หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความสนใจ สนับสนุนการย้อมสีจากธรรมชาติซึ่งเป็นภูมิปัญญาของท้องถ่ินมาก ขึ้น การมัดยอมเป็นงานหัตถกรรมท่ีมีประวัติเป็นมายาวนาน เป็นการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น (นันทิพย์ หาสิน, 2552) กระบวนการสร้างลวดลายผ้ามัดย้อม มีกรรมวิธีและเทคนิคที่ทาให้เกิด ลวดลายหลายวิธี ท่ีเกิดจากการสร้างสรรค์ ควรศึกษาและพัฒนาให้เกิดความหลากหลายทั้งรูปแบบ ลวดลายและเทคนคิ ของผา้ มดั ยอ้ ม ด้วยเหตนุ ผี้ ู้วิจัยจงึ สนใจศกึ ษาผลการวิจัยเก่ยี วกับการศึกษากระบวนการสกัดสธี รรมชาตจิ าก พืชและการศกึ ษาเทคนคิ การมัดยอ้ ม เพอ่ื เปน็ การเก็บรวบร่วมองค์ความรู้เกยี่ วกบั การสกดั สีธรรมชาติ เทคนิคการมัดย้อม เพื่อเปน็ สว่ นหนง่ึ ในการสบื สานภูมปิ ญั ญาใหค้ งอยู่ และถ่ายทอดความรูส้ คู่ นรุ่น หลงั ต่อไป วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 1. ศึกษาการสกัดสธี รรมชาติจากพืช 2. ศึกษาเทคนิคการมัดย้อม วรรณกรรมทเ่ี กีย่ วข้อง การสกดั สธี รรมชาติ สีธรรมชาติเป็นสีท่ไี ด้จากพืช สัตว์ และแร่ธาตตุ ่าง ๆ สามารถนามาย้อมไดท้ ั้งแบบย้อมร้อน และแบบย้อมเยน็ สธี รรมชาติเป็นสที ่ตี ้องอาศยั สารช่วยในการกระตุน้ ช่วยใหส้ อี อกเรว็ และให้สีตดิ แนบกบั เสน้ ไหม ทาใหส้ ไี มต่ กเวลาซัก (วิษณุ ดาทอง, 2553) ข้อดีของสธี รรมชาติ - ไมเ่ ป็นอันตรายต่อสุขภาพของผผู้ ลิตและผู้บริโภค - นา้ ทง้ิ จากกระบวนการผลติ ไม่เป็นอันตรายต่อ ส่ิงแวดลอ้ ม - วัตถุดิบหาไดง้ ่ายในชมุ ชนไม่ตอ้ งใช้สีเคมีท่มี นี าเขา้ จากต่างประเทศ - การย้อมสธี รรมชาติสามารถเรยี นรู้ไดด้ ้วยตนเอง เป็นความรู้ที่เพ่ิมพนู ขึ้นตาม ประสบการณ์ สามารถถ่ายทอดใหแ้ ก่คนรุน่ หลัง เปน็ ภมู ิปัญญาของท้องถน่ิ - การย้อมสธี รรมชาติมคี วามหลากหลาย ตามชนดิ อายุและส่วนของพืชทใ่ี ช้ ตลอดจนชนดิ ของสารกระตุน้ หรอื ข้ันตอนการย้อม - การยอ้ มสีธรรมชาตทิ าใหเ้ ห็นคณุ ค่าและรู้จักใชป้ ระโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ
4 ข้อจากัดของสธี รรมชาติ - ปริมาณสารสใี นวัตถุดิบย้อมสีมีน้อย ทาใหย้ ้อมไดส้ ีไมเ่ ขม้ หรอื ตอ้ งใช้วตั ถุดิบ ปริมาณมาก - ปัญหาด้านการผลิตคือไมส่ ามารถ ผลิตไดใ้ นประมาณมากและไม่สามารถผลติ สี ตามท่ตี ้องการ - สีซีดจางและมีความคงทนต่อแสงตา่ - คณุ ภาพการย้อมสีธรรมชาติขึ้นอย่กู ับปจั จยั หลายประการ ซ่ึงควบคุมได้ยาก การ ย้อมสีให้สีเหมือนเดิมจึงทาได้ยาก - ในการยอ้ มสธี รรมชาตถิ ้าไม่มีวิธีการ และจิตสานึกในการใช้ทรัพยากรอยา่ งย่งั ยนื ย่อมจะกลายเป็นการทาลายสิ่งแวดล้อมได้ การมดั ยอ้ ม การมัดย้อมเป็นงานหัตถกรรมท่มี ปี ระวัติความเปน็ มายาวนาน เปน็ งานศลิ ปะบนผืนผ้าที่มี การสบื ทอดกนั มาหลายประเทศ เช่น ไทย มลายู อนิ เดยี ญ่ีปนุ่ เปน็ ต้น การมัดย้อม เป็นการมดั ผกู เยบ็ หนีบ หรอื เป็นการ “กนั สี” ในสว่ นใดหนึ่งของผ้าทีผ่ ู้ย้อมไมต่ ้องการให้เกิดสที ่ีจะย้อมในคร้ังนนั้ ๆ โดยใช้วัสดตุ ่าง ๆ เชน่ เหรยี ญ เชอื กปอ เชือกฟาง ไมห้ นีบ ดา้ ย หรือถุงพลาสตกิ เป็นตัวช่วยในการ กนั สี รว่ มกับการม้วน พบั จับจบี ขยา หรือเย็บผ้า ซ่ึงจะให้ผลลัพธข์ องลายที่แตกต่างกนั ออกไป ข้นึ อยู่ กบั การผสมผสานเทคนิคตา่ ง ๆ เทคนิคการมดั ยอ้ ม เสาวนติ ย์ กาญจนรัตน์ (2543) ไดเ้ ขยี นอธบิ ายศึกษาถงึ หลักการสาคัญในการมัดย้อมผ้าใน งานวิจัยเรอื่ งออกแบบลวดลายหัตถกรรมผา้ ย้อมดว้ ยสเี คมีและสีธรรมชาติว่า หลกั การสาคญั ในการ มดั ย้อมคือ ส่วนทถ่ี ูกมัดคือสว่ นท่ีไมต่ ้องการให้สีตดิ ส่วนท่ีเหลือหรือส่วนทไ่ี ม่ได้มัดคือสว่ นที่ตอ้ งการ ให้สตี ิด ลกั ษณะท่ีสาคัญของการมดั มดี ังน้ี 1. ความแนน่ ของการมัด มัดมากเกินไปจนไม่เหลือพ้ืนท่ีให้สีแทรกซมึ เขา้ ไปได้เลย ผลทไ่ี ด้คอื ไดส้ ีขาวของเน้ือผา้ เดิม อาจมีสียอ้ มแทรกซมึ เข้ามาได้เลก็ น้อย จะทาให้เกดิ ลายน้อย การมัดไม่แน่นสี จะแทรกซมึ ผ่านเข้าไปได้ 2. การใชอ้ ปุ กรณ์ชว่ ยในการหนีบผา้ แล้วมัด เพือ่ ใหเ้ กิดความแนน่ และเกิดลวดลายตาม แมแ่ บบท่ีใชห้ นบี ดงั นั้นลายสวยเพยี งใดขึน้ อยกู่ ับการออกแบบแม่แบบทจ่ี ะใช้หนบี ด้วย 3. ความสม่าเสมอของสยี อ้ ม สียอ้ มท่ตี ิดผา้ จะสม่าเสมอได้ขึ้นอยู่กบั อุณหภูมิความรอ้ นขณะ นาผา้ ลงย้อม และการกลบั ผา้ ไปมา และการขยาผา้ ก่อนแช่ผา้ ไว้
5 วธิ ีการดาเนนิ การวิจัย การวจิ ัยครั้งน้เี ปน็ การสังเคราะห์งานวิจัยใชร้ ูปแบบการพรรณนาวเิ คราะห์ โดยศึกษางานวจิ ยั ที่เกี่ยวของกบั การสกดั สีธรรมชาติ การมดั ยอ้ ม และเทคนิคการมัดย้อม มวี ตั ถปุ ระสังค์เพื่อศกึ ษาการ สกดั สธี รรมชาติจากพชื และศึกษาเทคนคิ การมดั ย้อม โดยมีขั้นตอนและรายละเอียดของการ ดาเนินการดงั ต่อไปนี้ - ศกึ ษาเอกสารจากปรญิ ญานิพนธ์ วิทยานิพนธ์ และงานวิจัยต่างๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกบั การสกัดสี ธรรมชาติ การมัดย้อม จานวน 5 แห่ง ชว่ งระหว่างพ.ศ.2546-2557 จานวน 8 เร่อื ง - ศึกษาและรวบรวมข้อมลู โดยการสรปุ สาระสาคญั ตามประเดน็ ท่ีกาหนด - วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยวธิ พี รรณนาวเิ คราะห์ เฉพาะเร่ืองการสกดั สธี รรมชาตแิ ละเทคนิคการมดั ยอ้ ม - นาบทความวจิ ยั มานาเสนอผลงานทางวชิ าการเพ่ือเผยแพรอ่ งค์ความรู้ถงึ กระบวนการสกัด สีธรรมชาติ การมัดย้อม และเทคนิคการมัดย้อม ผลการวิจยั การสกดั สธี รรมชาติ จากการศึกษางานวิจัยพบว่า การสกัดสีธรรมชาติ มี 2 วิธีคือ 1) การสกัดสีโดยการต้ม หรือ การสกัดสีแบบร้อน โดยใช้ความร้อนในการละลายสีและสารประกอบอ่ืน ๆ เพื่อสกัดสี 2) การสกัดสี โดยการหมัก หรือการสกัดสีแบบเย็น โดยการหมักพืชที่ให้สีเพ่ือให้สกัดสารให้สีละลายน้า นิยมใช้กับ การย้อมคราม วัสดกุ ารให้สีธรรมชาตสิ ่วนใหญจ่ ะได้จากพรรณไม้นานาชนิด ซึ่งได้จากส่วนต่าง ๆ ของ พืช จากการศึกษาผลงานวิจัยของ สกุลตรา ธรรมจง (2546) การสกัดสีย้อมจากดอกอัญชันและ เปลือกต้นแคสาหรับย้อมผ้าฝ้าย หทัยรัตน์ กองศิริเรือง (2546) การสกัดสีย้อมจากดอกคาฝอยและ แก่นขนุนสาหรับย้อมผ้าย นวลศรี เขตโสภณ (2546) การสกัดสีย้อมจากไม้ฝางและดอกกระเจี๊ยบ สาหรับย้อมผ้าย วิเชษฐ์ จันทร์หอมและคณะ (2554) การผลิตสีเพื่อการย้อมผ้าแลละการย้อมด้าย ของกลุ่มชาวบ้านในจังหวัดสงขลา และชนาธินาถ ไชยภู (2556) การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผ้าฝ้ายมดั ย้อมสธี รรมชาตจิ ากเปลอื กสะตอ (ตารางท1่ี )
6 ตารางท่ี 1 การจาแนกโทนสีธรรมชาติชนิดต่าง ๆ โทนสี แหลง่ ให้สี สแี ดง เมลด็ คาแสด แก่นฝาง เปลือกสมอ เปลือกสะเดา ดอกมะลิวลั ย์ แกน่ กะหล่า แกน่ ประดู่ ราก สีเหลอื ง ยอปา่ ดอกกระเจีย๊ บ เปลอื กส้มเสยี้ ว สีนา้ เงนิ หวั ขม้นิ ชัน ขมิ้นอ้อย หวั ไพร แกน่ ไมพ้ ดุ ดอกกรรณิการ์ รากฝาง ใบมะขาม ผลดบิ มะตมู ดอก ผกากรอง ดอกคาฝอย ดอกดาวเหลอื ง เปลือกประโหด แก่นเข ใบเสนยี ด แกน่ แค่ แกน่ ฝรัง่ สีม่วง ใบข้เี หล็ก แก่นขนุน ตน้ สะตือ ใบเทียนก่ิง สเี ขียว สีชมพู ใบบวบ ใบหกู วาง เปลือกเพกา เปลอื กตน้ มะรดิ เปอื กสมอ เปลือกกระหูด ใบเลี่ยน เปลือกสม สีน้าตาล อภิเภก ใบตะขบ ดอกอัญชัน ตน้ คราม สีดา ผลลกู หวา้ เปลอื กผลมังคดุ ผลหมอ่ น เปลอื กตน้ เพกา เปลอื กสมอ ใบเตย ใบกระเพรา ต้นมหากาฬ ตน้ ฝาง แกน่ หางนกยงู เปลือกไมโ้ กงกาง เปลือกสเี สยี ด เปลือกพะยอม เปลอื กผลทบั ทมิ เปลือกคาง เปลือกขาว เปลือกสนทะเล เปลือกแสมดา เปลือกนนทรี เปลอื กมะหาด แก่นคูณ เปลือกแค ใบกระเมง็ ผลมะเกลอื เปลือกรกฟา้ ผลตบั เตา่ บวั สาย สารช่วยยอ้ ม (Mordant) สารชว่ ยย้อมหรอื สารกระตนุ้ สี มีทง้ั สารเคมแี ละสารธรรมชาติ สารช่วยย้อมเคมี คือ วัตถุธาตุ ท่ีใช้ผสมสีเพ่ือให้สีติดแน่นกับผ้าที่ย้อมเป็นเกลือกับโลหะพวกอลูมิเนียม เหล็ก ทองแดง ดีบุก และ โครเมยี ม ซงึ่ มรี าคาถกู คณุ ภาพเหมาะสมกบั ลักษณะงาน สารช่วยย้อมธรรมชาติ คือ สารประกอบน้า หมักธรรมชาติ ท่ีช่วยในการยึดสี และบางคร้ังทาให้เฉดสีเปลี่ยน จากการศึกษาเอกสารส่ิงพิมพ์ และ ผลงานวิจัยของชนาธินาถ ไชยภู (2556) การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายมัดย้อมสีธรรมชาติ จากเปลือกสะตอ วเิ ชษฐ์ จันทร์หอมและคณะ (2554) การผลิตสีเพื่อการย้อมผ้าและการย้อมด้ายของ กลมุ่ ชาวบ้านในจงั หวดั สงขลา และคะนงึ จันทร์ศิริ (2531) (ตารางที่2) ตารางท่ี 2 สารช่วยย้อมประเภทเคมีและธรรมชาติ สารสม้ สารชว่ ยยอ้ มเคมี กรด (Acid) สารช่วยยอ้ มธรรมชาติ (อลมู ิเนยี ม) ด่าง (Base) ชว่ ยยดึ สกี ับเสน้ ดา้ ยใหส้ สี ด สวา่ งขึ้น ได้จากพืชทมี่ รี สเปร้ียว เชน่ นา้ มะนาว นา้ จนุ สี ใชก้ ับการยอ้ มสี นา้ ตาล-เหลอื ง-เขียว เกลอื มะขามเปยี ก น้าใบและฝักสม้ ป่อย (ทองแดง) (Salts) ช่วยให้สีตดิ และเขม้ ข้น ใช้กบั การยอ้ ม นา้ ด่าง หรอื นา้ ข้เี ถา้ ไดจ้ ากข้ีเถ้าพชื เชน่ สว่ นต่างๆ ของกลว้ ย เปลอื กของผลน่นุ เฟอรัสซลั ชว่ ยให้สีตดิ เส้นใยและเปลี่ยนเฉดสี กากมะพร้าว เปน็ ตน้ เฟส (เหล็ก) ธรรมชาตจิ ากพชื เป็นสโี ทนเทา-ดา เกลอื ช่วยเปิดเส้นใย ใหเ้ สน้ ใยบานออก สี ซึมสูใ่ ยผ้าตดิ ทนไดด้ ี ช่วยใหส้ ีสม่าเสมอ
7 เทคนิคการมัดย้อม ผา้ มดั ยอ้ มมกี รรมวธิ กี ารกนั สีด้วยการมัด แล้วนาไปย้อมสี โดยท่ถี ูกมัดจะไมด่ ูดสี ทาใหเ้ กิด ลวดลายตา่ งๆ มีวธิ ีการผกู และมดั ผ้าโดยการม้วน ขยุ้ม รวบผา้ เข้าดว้ ยกนั และการจับจีบ นอกจากน้ี ยังมกี ารนาวสั ดุบางอยา่ งมาประกบเพือ่ ให้เกิดลวดลาย จากการศึกษาเทคนิควิธีการมัดย้อมพบวา่ มี 6 วธิ ี คอื มัด พับ พนั เย็บ(เนา) ขยา และมว้ น สรุปและอภปิ รายผล การศกึ ษากระบวนการสกดั สีธรรมชาติจากพืช เพื่องานมัดยอ้ ม จากผลการศกึ ษาสรุปได้ ดังน้ี การสกัดสีธรรมชาติ การสกดั สธี รรมชาตทิ ใี่ ช้สาหรบั การมัดย้อม จากการศึกษางานวิจัยต่าง ๆ พบว่า มีการสกัดสี 2 วิธี คือ การสกดั สีแบบรอ้ นโดยวิธีการต้มและการสกัดสีแบบเย็นโดยวิธีการหมัก การเลือกใช้วิธีการ สกัดสีแบบร้อนหรือแบบเย็นนั้น คานึงถึงคุณลักษณะของพืช ส่วนต่างๆท่ีให้สีของพืช เป็นต้น จาก การศึกษาการสกัดสีธรรมชาติจากงานวิจัยต่างๆ พบว่าส่วนใหญ่นิยมสกัดสีแบบร้อน โดยวิธีการต้ม เพ่ือสกัดสารให้สีในพืชออกมา ปริมาณความเข้มข้นของสี ข้ึนอยู่กับอัตราส่วนของการสกัดสี เวลาใน การหมัก หรือย้อมของวัสดุนั้นๆ การสกัดสีวิธีการต้มย้อม และการหมักเพื่อย้อม เป็นภูมิปัญญาท่ีสืบ ทอดจากบรรพบุรุษท่ีศึกษา และสังเกตจากธรรมชาติจนเกิดจากเรียนรู้ และนาประโยชน์จากสีมาใช้ วิเชษฐ์ จันทร์หอมและคณะ (2554) ได้กล่าวถึง การสกัดสีด้วยการหมัก หรือย้อมเย็นเป็นวิธีที่เรียบ งา่ ยและประหยัดมากทสี่ ุด นอกจากน้ียังพบวธิ กี ารแบบผสมผสานการสกัดสีโดยการต้มย้อมหมัก เป็น กระบวนการย้อมที่มีหลาย มีข้อดีคือสามารถสกัดสีจากพืชได้หลายชนิด ดังน้ันในการเลือกวิธีการ ย้อมสธี รรมชาติ ควรคานึงถงึ การเลือกวธิ ีการย้อมให้เหมาะสมกับลักษณะของวัตถุท่ีย้อม ชนิดของพืช ที่ใหส้ ที ีม่ ีในท้องถน่ิ นั้นๆ เพื่อให้เหมาะสมกับลกั ษณะงาน ระยะเวลา และความถนัดของผู้ยอ้ ม สารช่วยยอ้ ม (Mordant) สารช่วยย้อม หรือสารกระตุ้นสี เป็นตัวทาปฏิกิริยากับวัตถุท่ีจะมาช่วยเพิ่ม และเปลี่ยนสีสัน ให้ได้สีที่หลากหลายขึ้นจากเดิม ซึ่งแต่ละตัวจะทาให้ผ้าท่ีย้อมเปล่ียนสีต่างๆ เช่น สีเข้มขึ้น สีจางลง หรือเป็นสีอื่นๆ ในโทนสีเดิม ชนาธินาถ ไชยภู (2556) ได้กล่าวไว้ว่า สารช่วยย้อมมีทั้งสารเคมีและ สารธรรมชาติ จากการศึกษา พบว่า สารชว่ ยย้อมเคมี ไดแ้ ก่ สารส้ม จุนสี เฟอรัสซัลเฟส เป็นสารเคมี ที่เป็นโลหะ ท่ีนิยมใช้ในอุตสาหกรรม ต้องควบคุมปริมาณการใช้ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไป เพราะจะทาให้เส้นใย หรือผ้าที่ย้อมขาด เป่ือยได้ การใช้สารช่วยย้อมแบบธรรมชาติ จะอยู่ในส่วน ต่างๆของพืช โดยเฉพาะพืชที่ให้รสฝาดและขม เช่น ลูกหมาก เปือกเพกา เปลือกสีเสียด เปลือกผล ทับทิม เปลือกประดู่ ใบยูคา เป็นต้น สารดังกล่าวมีคุณสมบัติช่วยให้สีติดกับเส้นด้ายได้ดีข้ึน วรณ์ ดอนชยั (2548) กลา่ วไว้สรปุ ไดว้ ่า การใช้สารช่วยยอ้ มในการย้อมผา้ มี 3 วธิ ี คือ
8 1. การใช้ก่อนการย้อมสี ซ่ึงต้องนาเส้นดา้ ยหรอื ผ้าไปชุป หรือตม้ ยอ้ มกับสารช่วยยอ้ มกอ่ น นาไปย้อมสีธรรมชาติ 2. การใชพ้ ร้อมกบั การย้อมสี เป็นการใสส่ ารช่วยยอ้ มไปในน้าสีแล้ว จงึ นาเสน้ ดา้ ยหรอื ผ้าลง ยอ้ ม 3. การใช้หลังย้อมสี นาเส้นดา้ ยไปย้อมสีก่อนแลว้ จึงนาไปยอ้ มสารชว่ ยย้อมภายหลัง เทคนิคการมดั ย้อม จากการศึกษาเทคนิคการมัดย้อม พบว่า เทคนิคท่ีใช้ในการมัดย้อมมีขั้นตอน อยู่ 6 วิธี คือ การมดั การพับ การพัน การเย็บ การขยา และการม้วน นอกจากน้ียังมีวัสดุ-อุปกรณ์อ่ืนๆ เพื่อให้เกิด ลวดลายต่างๆ ตามที่ต้องการ ซึ่งในแต่ละเทคนิควิธีที่เลือกใช้ทาให้เกิดลวดลายที่แตกต่างกันไป เทคนิควิธีการมัดย้อมน้ัน ยุพินศรี สายทอง (2548) ได้กล่าวไว้ว่า เทคนิคการมัดย้อมสามารถแยกได้ อีกหลายวิธีการ แล้วยังพบว่ามีลักษณะวิธีการมัด 2 ลักษณะคือ การมัดแบบไขว้ไปมา หรือเรียกว่า การมัดแบบโปร่ง เมื่อทาการย้อมออกมาแล้วจะเกิดช่องว่างระหว่างเชือกท่ีมัดไขว้ไปมา การมัดแบบ ทึบ เป็นการมดั บรเิ วณสว่ นใดสว่ นหนึ่งท่ีไมต่ ้องการให้สีตดิ และแทรกซมึ เขา้ ไป กิตติกรรมประกาศ บทความวิจัยครั้งน้ี เป็นบทความสังเคราะห์งานวิจัยท่ีเก่ียวกับการสกัดสีธรรมชาติ เทคนิค การมัดย้อม เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ ที่อยู่ในงานวิจัยหลายๆเล่ม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ พัฒนางานมัดย้อมต่อไป ซึ่งงานวิจัยคร้ังนี้สาเร็จลงได้ ต้องขอขอบพระคุณผู้วิจัย ทุกๆงานวิจัย ที่ เกี่ยวกับการสกัดสี เทคนิคการมัดย้อม ได้นาสาระความรู้ที่สาคัญและจาเป็นต่อการพัฒนางานด้าน งานมดั ยอ้ มไดเ้ ปน็ อย่างดยี ิ่ง สุ ด ท้ า ย ผู้ วิ จั ย ใ ค ร่ ข อ บ พ ร ะ คุ ณ ค ณ ะ อ า จ า ร ย์ ป ร ะ จ า ห ลั ก สู ต ร ธุ ร กิ จ ค ห ก ร ร ม ศ า ส ต ร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ท่ีให้ความอนุเคราะห์ คาแนะนาต่างๆ อย่างย่ิงที่ให้โอกาส ในการทางานวิจัยครั้งน้ี เอกสารอา้ งองิ คะนึง จันทร์ศิริ. (2544). การมดั ยอ้ มผา้ . กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. จรยิ า ทรงพระ. (2553). ผลิตภัณฑผ์ ้ามัดย้อม. ปรญิ ญานิพนธ์คหกรรมศาสตร์บัณฑิต, สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ท่วั ไป-ธุรกจิ งานประดษิ ฐ.์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี ชนาธินาถ ไชยภู. (2556). การออกแบบและพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ผา้ ฝา้ ยมดั ยอ้ มสธี รรมชาติจาก เปลอื ก สะตอ กรณีศกึ ษากลุ่มมัดยอ้ มสีธรรมชาติบา้ นคีรีวง อาเภอลานสกา จังหวดั นครศรธี รรมราช. วทิ ยานพิ นธ์ศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวชิ านวัตกรรมการออกแบบ บณั ฑิตวทิ ยาลัยมหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ.
9 ภัทรานิษฐ์ สิทธินพพนั ธ์. พรยิ ะ แก่นทบั ทมิ และประเทืองทิพย์ ปานบารุง. (2555). รายงานการ วิจยั เร่อื งการพัฒนาลวดลาย ผลติ ภณั ฑ์ตน้ แบบผา้ ย้อมด้วยการย้อมจากสธี รรมชาต.ิ กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลกรุงเทพ. นวลศรี เขตโสภณ. (2546). การสกัดสียอ้ มจากไมฝ้ างและดอกกระเจี๊ยบสาหรับย้อมผ้าฝา้ ย. ปรญิ ญานิพนธว์ ิทยาศาสตรบัณฑิต, สาขาเคมี มหาวิทยาลัยราชภฏั นครปฐม. นนั ทิพย์ หาสนิ . (2552). การสกัดสธี รรมชาตจิ ากบวั สาย. ปรญิ ญานิพนธ์คหกรรมศาสตร์บัณฑิต, สาขาวชิ าคหกรรมศาสตรท์ วั่ ไป-ธุรกิจงานประดิษฐ์. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี ยุพินศรี สายทอง. (2548). การออกแบบลวดลายผา้ ปาเตะ๊ และมดั ยอ้ ม. ด.ี ด.ี บุค๊ สโตร,์ กรงุ เทพฯ. วรณ์ ดอนชัย. (2548). องคค์ วามรู้เรอ่ื งสยี อ้ มธรรมชาติ. เชยี งใหม่ : มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ วเิ ชษฐ์ จนั ทร์หอมและคณะ. (เม.ย.-ก.ย.2554). การผลติ สีเพ่อื การยอ้ มผ้าและการย้อมด้ายของ กลุ่มชาวบา้ นในจงั หวดั สงขลา. วารสารมนุษยศาสตร์สงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ. 2554 (ฉบับท่ี 6) 219-231. วิษณุ ดาทอง. (2553). การยอ้ มผ้าด้วยสธี รรมชาติ. [Online]. Available : http://www.nstda.or.th/sciencevillages/udomsomboon/?p=311. [2559, มกราคม 23]. สกลุ ตรา ธรรมจง. (2546). การสกัดสยี อ้ มจากดอกอญั ชันและเปลอื กต้นแคสาหรับย้อมผ้าฝ้าย. ปรญิ ญานพิ นธว์ ิทยาศาสตรบณั ฑิต, สาขาเคมี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. สุภาพร วีระปรียากลู . (2551). รปู แบบการทาผ้ายอมโคลนทีส่ ่งผลต่อความเข้มแข็งของชมุ ชน ท้องถ่นิ และการพึ่งตนเอง : กรณศี กึ ษาผา้ ย้อมโคลนและยอ้ มสีธรรมชาติ อาเภอหนองบวั จงั หวดั ชยั ภมู ิ, เอกสารอัดสาเนา. สงขลา : มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ. เสาวนิตย์ กาญจนรัตน.์ (2543). การออกแบบลวดลายหตั ถกรรมผา้ มดั ย้อมดว้ ยสีเคมแี ละสี ธรรมชาต.ิ นครศรีธรรมราช : มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช, หทยั รัตน์ กองศิรเิ รือง. (2546). การสกัดสียอ้ มจากดอกคาฝอยและแกน่ ขนนุ สาหรบั ย้อมผา้ ฝ้าย. ปรญิ ญานพิ นธว์ ิทยาศาสตรบณั ฑติ , สาขาเคมี มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครปฐม.
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: