Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รถ 7 ผลัด

รถ 7 ผลัด

Published by Dharma Online, 2021-01-08 03:24:51

Description: รถ 7 ผลัด

Search

Read the Text Version

พิมพค์ รง้ั ท่ี 1 มกราคม 2564 จ�ำนวน 15,000 เล่ม สงวนลิขสิทธ์ิ ห้ามพิมพ์จ�ำหน่ายและห้ามคัดลอกหรือตัดตอนไปเผยแพร่ทาง สื่อทุกชนิด โดยไม่ไดร้ บั อนญุ าตจากผูเ้ ขยี น หรอื มูลนิธิสือ่ ธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ผู้สนใจอ่านหรือฟังพระธรรม เทศนา สามารถดาวนโ์ หลดไดจ้ าก http://www.dhamma.com ตดิ ตอ่ มูลนธิ ฯิ ไดท้ ี่ [email protected] หรอื Facebook page ชอื่ มลู นธิ ิสอ่ื ธรรมหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช หรอื โทร. 02-0126999 ด�ำเนินการพมิ พ์โดย มูลนธิ สิ ่อื ธรรมหลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช 342 ซอยพัฒนาการ 30 ถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรงุ เทพฯ 10250 โทร. 02-0126999 หนังสือเล่มน้ีมูลนิธิส่ือธรรมหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช จัดพิมพ์ ด้วยเงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาเพื่อเป็นธรรมทาน เม่ือท่านได้รับ หนังสือเล่มน้ีแล้ว กรุณาต้ังใจศึกษาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้ง แกต่ นเองและผอู้ น่ื เพอ่ื ใหส้ มเจตนารมณข์ องผบู้ รจิ าคทกุ ๆ ทา่ นดว้ ย

ชอ่ งทางตดิ ตามพระธรรมเทศนาของหลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช และขา่ วสารของวัดสวนสันตธิ รรม อยา่ งเป็น ทางการ Website: www.dhamma.com Facebook page: มูลนธิ ิสือ่ ธรรมหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช Facebook page: Dhamma.com Facebook page: อา่ นธรรมค�ำสอน Facebook page: Luangpor Pramote Pamojjo Instagram: Dhammadotcom YouTube: Dhammadotcom Line Official: @Dhammadotcom Spotify: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช Soundcloud: หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช Apple Podcasts: หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช

คำ�นำ� หนังสือ “รถ 7 ผลัด” เป็นการถอดความ พระธรรมเทศนาของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันที่ 17 สิงหาคม 2557 ณ ศาลากาญจนาภิเษก กรงุ เทพมหานคร หลวงพ่อท่านขยายความ “รถวินีตสูตร” ซึ่งเป็นพระสูตรที่กล่าวถึงการเดินทางของพระเจ้า ปเสนทิโกศล จากนครสาวัตถีไปยังเมืองสาเกต ว่า ทรงใช้รถคันใดคันหน่ึงเพ่ือเดินทางไปยังเมือง สาเกตไม่ได้ ทรงใช้รถคันหน่ึง แล้วเปลี่ยนไปใช้อีก คันหน่ึง จนครบ 7 ผลัดเพือ่ เดนิ ทางถึงที่หมาย เปรียบได้กับการภาวนาที่เข้าถึงซึ่งความ บริสุทธ์ิต่างๆ ทั้งเจ็ด อันเป็นประโยชน์ส่งทอดต่อ เน่ืองกันไป เหมือนรถ 7 ผลัด เพ่ือการเข้าถึงซ่ึง พระนพิ พาน 4

มลู นธิ สิ อ่ื ธรรมหลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช เหน็ ประโยชนใ์ นการเผยแพรพ่ ระธรรมเทศนากณั ฑ์ ดังกล่าว จึงจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มแจกจ่ายเป็นธรรม ทาน เพื่อเป็นแนวทางในการภาวนา และเป็น กำ�ลังใจแก่นกั ภาวนาตอ่ ไป มลู นธิ สิ ื่อธรรมหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช 1 มกราคม 2564 5



พระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช ณ ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลงุ ชิน) วนั อาทติ ยท์ ี่ 17 สิงหาคม 2557



กวา่ เราจะฟงั ธรรมได้ เราก็อาศัยคนจำ� นวน มากช่วยกัน ต้ังแต่เจ้าของสถานที่ พวกที่เขาจัด พวกท่ีช่วยกันท�ำงานนั่งกันเป็นแถวเลย พวกที่อยู่ ข้างนอกตามถนนก็มี คนเหล่าน้ีไม่ได้ประโยชน์ อะไรกับเรา เขาทำ� โดยหวังวา่ ธรรมะมนั จะมโี อกาส สืบทอดไป พวกเราได้มาฟังธรรมแล้ว พยายาม ตั้งใจให้สมกับความล�ำบากของคนจ�ำนวนมาก ท่ีเขาเสียสละ เขาไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้เงินได้ทอง อะไรตอบแทนสกั อยา่ งเดยี ว คนต้งั โรงทานเขาก็ไม่ ได้อะไร มุ่งเอาบุญ มุ่งให้พวกเรามีแรงที่จะได้ ศึกษาปฏิบัติธรรม พอเราได้รับความอนุเคราะห์ แล้วกไ็ ดใ้ ช้ประโยชน์ เรากต็ อ้ งสรา้ งคณุ งามความดี ขึ้นมา ต้ังใจฟังธรรมะ ได้ฟังธรรมะก็เป็นบุญ อันหนึง่ ได้ฟังแลว้ ก็ลงมือปฏิบัตไิ ป เท่าที่หลวงพ่อสังเกตดูพวกเราท่ีมาเรียน กันประจ�ำ เรามีพัฒนาการที่น่าชื่นใจ พัฒนาการ 9

ดีมาก ไปที่ต่างๆ เขาก็พัฒนาเหมือนกัน แต่ไม่ได้ ขนาดท่ีนี่ ทีน่ ่ีเรียนกันมานานหลายสบิ ครงั้ บางคน มาทีหลัง แต่เร็วกว่าพวกมาก่อนๆ ก็มี มาหลาย สิบคร้งั บางทสี ูพ้ วกมาคร้ังสองครง้ั ยงั ไม่ได้ เอาแน่ ไม่ไดห้ รอก แล้วแต่บุญวาสนามันไมเ่ ทา่ กนั แตเ่ ทา่ ท่ีหลวงพ่อสังเกตดูจากพวกเรา พัฒนาการของ พวกเรามาได้ไกลมากแลว้ ถ้าเทียบสมัยพุทธกาลมีพระสูตรอยู่พระ สูตรหนึง่ ช่อื “รถวนิ ีตสตู ร” เรอื่ งรถ 7 ผลัด บอกว่า เวลาจะเดินทางจากเมืองหน่ึงไปอีกเมืองหนึ่งที่ ไกลๆ พระเจ้าแผ่นดินขึ้นรถคันเดียวไปนี่ไปไม่ถึง ม้ามันว่ิงไม่ไหว ก็จะน่ังรถคันท่ีหนึ่งวิ่งไป ไปถึงท่ี จอดก็จอด ขึ้นรถคันที่สองว่ิงไป ม้าคนละตัวกันก็ สดชื่น เปลย่ี นมา้ ไป เปลีย่ นรถไปเรือ่ ย คันที่เจด็ ไป ถึงเมืองสาเกตอีกเมืองหน่ึง จากสาวัตถีไปเมือง สาเกต ธรรมะนกี้ ็เหมอื นกนั เหมือนรถ 7 ผลดั ในรถ 10

7 ผลัดน้ี ที่หลวงพ่อสังเกตดูพวกเรา ส่วนใหญ่เรา อยู่ในรถผลัดที่หก เห็นแล้วน่าชื่นใจ อันนี้ไม่ได้พูด เอาเอง เพราะบางคนยิ้มหวานเลย ข้ันท่ีหกแล้ว หรอื รถคันที่หนึ่ง ข้ันท่ีหน่ึงเป็นเรื่องของศีล ศลี วสิ ทุ ธิ เราก็ตั้งใจรกั ษาศีลใหม้ ันบรสิ ุทธิเ์ ตม็ ท่เี ท่า ท่ีท�ำได้ แต่เป็นฆราวาสจะรักษาให้มันเพอร์เฟกต์ 100 เปอร์เซ็นต์ ยากมาก อยา่ งปลวกข้นึ บา้ น จะ อุเบกขาหรือ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน บ้านยังผ่อน ไม่หมดเลย บางคนก็คิด ต้องฆ่าปลวกให้หมด อันนี้บาปเต็มๆ เลย คิดแต่ว่าเราจ�ำเป็นต้องรักษา บ้าน ไม่ได้คิดจะฆ่าปลวก พยายามรักษาบ้าน น่ี กรรมมันลดลง วางใจต่างกัน กรรมมันก็ต่างกัน แต่ถามว่ามีกรรมไหม ก็มี ไม่เหมือนพระไปอยู่ใต้ ตน้ ไม้ ตน้ ไมน้ ปี้ ลวกข้ึน ก็ย้ายไปอยู่ตน้ อ่ืน กไ็ ปหนี ไปได้ กเ็ ราหนีไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้ังใจรักษาศีล 11

ให้ดีที่สุด วิธีรักษาศีลให้ดีท่ีสุดหลวงพ่อสอนอยู่แทบ ทุกคราวเลย คือมีสติรักษาจิตไว้ ถ้าเราคอยรู้ทัน กิเลสทง้ั หลายท่ีเกดิ ทจี่ ติ เรารู้ทันน่กี ิเลสจะครอบงำ� จิตไม่ได้ แล้วศีลมันจะมาเอง พวกเราหลายคนท�ำ ตรงน้ีได้แล้ว เวลาท่ีจะผิดศีลจะละอายใจ ถ้าเวลา จะต้องท�ำผิดศีลแล้วรู้สึกละอายใจถือว่าใช้ได้แล้ว ถ้าผิดศีลหน้าตาเฉยไม่ละอายเลย ยังต้องฝึกอีก มาก ใจบาปหยาบช้าไป แต่ถ้าเจ้านายส่ัง ว่าใคร โทรมาให้บอกว่าไม่อยู่ อะไรอย่างน้ีก็ล�ำบาก แต่ ตงั้ ใจไว้ ต้งั ใจคอยรเู้ ท่าทันใจของเราไว้ พอเรารทู้ นั กิเลส ศีลมันจะดีขึ้น เพราะคนท�ำผิดศีลเพราะ กิเลสมันครอบง�ำ มันท�ำได้เต็มที่ ศีลวิสุทธิ คน อนื่ วัดเรายากว่าเราศลี เราดแี คไ่ หน เราวดั ตวั เอง 12

รถผลัดที่สอง คือจิตตวิสุทธิ นี่คือส่ิงที่ หลวงพ่อสอนมากมายก่ายกอง บางคนนึกว่า หลวงพ่อสอนดจู ติ หลวงพอ่ สอนหลายอย่าง แตว่ ่า ก่อนจะถงึ ขนั้ เจริญปัญญา ไม่วา่ จะดกู าย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรม ก็ต้องมาฝึกจิตให้ต้ังมั่นก่อน การฝึก จิตให้ต้ังมั่นอันนี้ท่ีท่านเรียกว่าจิตตวิสุทธิ ฝึกให้จิต บรสิ ทุ ธ์ิ บรสิ ทุ ธด์ิ ว้ ยสมาธิ ไมไ่ ดบ้ รสิ ทุ ธด์ิ ว้ ยปญั ญา อันแรกเราควบคุมพฤติกรรมทางกายวาจา ของเราให้บริสุทธ์ิด้วยศีล อันที่สองนี้เราควบคุม จิตใจเราให้บริสุทธิ์ด้วยสมาธิ วิธีให้มีสมาธิก็คือ อาศัยสติอีกล่ะ คอยรู้ทันความฟุ้งซ่านที่เกิดข้ึนกับ จิต จิตเราชอบฟุ้งซ่าน เด๋ียวว่ิงไปทางตา เด๋ียวว่ิง ไปทางหู เดี๋ยวว่ิงไปทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เด๋ียววิ่งไปทางใจคือไปคิด จิตมันฟุ้งซ่านอยู่ตลอด เวลา ถ้าเรามีสติรู้ทัน ความฟุ้งซ่านจะดับอัตโนมัติ ไม่ต้องท�ำอะไร ไม่ต้องไปบังคับจิตให้สงบ ไม่ต้อง 13

บังคับจิตให้ต้ังมั่น แค่รู้ทันจิตที่ไหลไป จิตที่ไม่ ตง้ั ม่นั จติ ที่ฟุ้งซ่าน จติ กส็ งบอัตโนมัติ จิตที่สงบอัตโนมัติเป็นจิตที่เป็นกุศลอย่าง แท้จริง มันมีความเบาเรียกว่า ลหุตา มันมีความ อ่อนโยนนุ่มนวล เรียกว่า มุทุตา มีความคล่อง แคล่วว่องไวเรียกปาคุญญตา ไม่เฉื่อย ไม่ซึม มีความควรแก่การงาน คือสามารถเอาไปเจริญสติ เจริญปัญญาได้ เรียกว่า กัมมัญญตา มีความ ซ่ือตรงในการรู้อารมณ์ สภาวะอะไรเกิดขึ้นก็สักว่า รู้ว่าเห็นเรื่อยไป เรียกว่า อุชุกตา ซื่อๆ ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ขณะน้ันรู้ตื่นเบิกบาน อาศัย สติรู้ทนั จติ ที่เคลอ่ื น เราก็จะไดจ้ ิตชนิดน้ีมา พวกเรา จ�ำนวนมากในขณะน้ีผ่านตัวน้ีแล้ว เพราะจิตใจ ของเราอยู่กับเนื้อกับตัวเราแล้ว จิตเราถึงฐาน จิต เราตั้งม่ัน มันไม่ต้ังได้ท้ังวันหรอก ตั้งเป็นคราวๆ แต่ว่ามันก็ได้รู้จักรสชาติของความต้ังมั่นของจิต 14

บ้างแล้ว รู้สึกไหมจิตของเรา มันเดี๋ยวนี้กับแต่ก่อน นต้ี า่ งกนั มาก แต่ก่อนจิตของเราไปคลุกอยู่กับอารมณ์ แตเ่ ดีย๋ วนจ้ี ติ เราถอยออกมาเป็นคนดู อันน้คี อื จิตต วิสุทธิ จิตเราบริสุทธ์ิด้วยสมาธิแล้ว บริสุทธิ์ด้วย สมาธิ คือมันไม่เจือปนด้วยนิวรณ์ท้ังหลาย ด้วย ความฟงุ้ ซา่ นทง้ั หลาย ฟงุ้ ไปชอบเรยี กวา่ กามฉนั ทะ ฟุ้งไปเกลียดเรียกว่า พยาปาทะ ฟุ้งสะเปะสะปะ เรียก อุทธัจจะ ฟุ้งมากๆ ร�ำคาญใจเป็น กุกกุจจะ ฟุ้งไปแล้วก็ยิ่งสงสัย ยิ่งฟุ้งย่ิงสงสัย ย่ิงสงสัยยิ่งฟุ้ง เรียก วิจิกิจฉา ฟุ้งมากๆ ก็หมดเร่ียวหมดแรงเรียก ถีนมิทธะ น้ีอาศัยจิตฟุ้งท้ังหมดเลย ฉะน้ันถ้าเรา คอยรู้จิตท่ีฟุ้ง นิวรณ์ 5 ตัวนี้ครอบง�ำจิตไม่ได้ ถ้านิวรณ์ครอบง�ำจิตไม่ได้ สมาธิเกิดเอง เพราะว่า นิวรณ์นั่นล่ะคือศัตรูของสมาธิ บางคนใช้วิธีเข้า ฌาน เอาอาศัยองค์ฌานไปข่มนิวรณ์แต่ละตัวแต่ 15

ละตวั มันก็ขม่ ไดเ้ หมือนกัน ก็ออกมาทีเ่ ดยี วกนั พวกเราเข้าฌานไม่เป็น เราอาศัยสติรู้ทัน จิตท่ีเคลื่อนไป จิตที่ฟุ้งซ่านนี่ เราก็ได้สมาธิท่ี ถกู ตอ้ งเหมือนๆ กัน เพียงแต่วา่ มันไม่ทรงนาน มนั อยเู่ ป็นขณะๆ ไป เด๋ียวก็รู้ เดยี๋ วก็ไหลไป เด๋ียวกร็ ู้ เด๋ียวก็ไหลไป ดีกว่าคนทั่วๆ ไป มีแต่ไหลกับไหล ไหลกบั ไหล ไหลทัง้ วนั ไหลท้งั คนื ทัง้ ต่นื ทง้ั หลับ มี แตจ่ ิตไหลไปหมดเลย ใช้ไมไ่ ด้ คนในโลกไมร่ ู้สกึ ตวั คนในโลกมีแตค่ นหลงคนใหลไป นี่พวกเราสามารถ ตื่นข้นึ มา รสู้ ึกตวั ขึน้ มา รเู้ น้อื ร้ตู วั ข้ึนมา เรยี กว่าเรา ผา่ นรถคันท่ีสองไดแ้ ลว้ รถคันท่สี ามช่อื ทฏิ ฐิวสิ ุทธิ คือความเหน็ ที่ สะอาดหมดจด ความเห็นที่ถูกต้องบริสุทธิ์ คือ ความเห็นความจริงว่า ส่ิงท่ีเรียกว่าตัวเราที่จริงก็ คือรูปธรรมกับนามธรรม แยกรูปแยกนามได้ แยก 16

ธาตุแยกขันธ์ได้ ที่พวกเราจ�ำนวนมากในขณะนี้ ที่บอกว่า แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู เห็นร่างกายยืนเดินน่ังนอน ใจเป็น คนดู กายกับใจแยกกัน เห็นความสุขความทุกข์ ความดีความช่ัวความจ�ำได้หมายรู้แยกออกไป ไม่ใช่จิต อย่างนี้ก็จะเรียกว่าแยกออกไป ขันธ์มัน แยกออกไป มันจะเห็นเลยว่าส่ิงที่ประกอบกันเป็น ตัวเรา ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นแค่ขันธ์ 5 มารวมตวั กัน รูปธรรมนามธรรม รูปธรรมมี 1 อย่าง นามธรรมมี 4 อย่าง มารวมกันชั่วครั้งชั่วคราว ตรงท่ีเราสามารถแยกรูปแยกนามได้นี้ที่เรียกว่า ทิฏฐวิ สิ ุทธิ มคี วามเห็นที่ถูกต้องแล้ววา่ จริงๆ มแี ต่ รปู กบั นาม แตใ่ จมนั ยังยึดถืออยู่ ถัดจากน้ัน ตรงน้ีพวกเราท�ำได้นับจ�ำนวน ไมถ่ ้วนละ่ มาถึงวนั นี้ รสู้ กึ ไหมพวกเราแยกกายแยก ใจแยกรูปแยกนามได้ คนท�ำไดเ้ ยอะแยะไปเลย ใน 17

ห้องน้ีเต็มไปหมดเลย หน้าตามันจะไม่เหมือน มนษุ ยป์ กติ หนา้ ตาจะเป็นอมนษุ ย์ หน้าตาภาวนา แลว้ เปน็ อมนุษย์เลย คอื เป็นเทพ เปน็ พรหม ไมใ่ ช่ มนษุ ยป์ กติหรอก จติ มนั ทรงสมาธิท่ถี กู ต้องอยู่ จติ เป็นเทพ จิตเป็นพรหม จิตของเราสูง ไม่ใช่จิต กระจอกงอกง่อย แล้วเราเห็นธาตุเห็นขันธ์มันแยก ออกไป ถัดจากนั้นบางคนก็เห็นความจริงลึกซ้ึง เข้าไปอีก ความจริงลึกซึ้งก็คือรูปธรรมก็มีเหตุให้ เกิด นามธรรมกม็ ีเหตใุ หเ้ กดิ ตรงท่เี รารู้ว่า รูปธรรม ไมใ่ ชเ่ กดิ ลอยๆ นามธรรมไม่ไดเ้ กิดลอยๆ เรียกวา่ กังขาวิตรณวิสุทธิ เป็นรถคันที่ส่ีแล้ว พวกเรารู้สึก ไหมว่า ความรู้สึกในใจของเรา นามธรรมท้ังหลาย มันเปลี่ยนเพราะอะไร เปลี่ยนเพราะตามองเห็น เพราะหูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ล้ินได้รส กายกระทบ สมั ผสั เพราะใจคิดนกึ มองเห็นไหมอนั นี้ เรารูเ้ ลย 18

ว่า นามธรรมมันมาได้อย่างไร เกิดมาต้ังอยู่ดับไป ได้เพราะอาศัยผัสสะการกระทบกระทั่ง ฉะนั้น นามธรรมทงั้ หลายอาศยั ผสั สะเกดิ รปู ธรรมบางทรี ปู บางอย่างกอ็ าศัยกรรม อย่างเราเกิดมาได้เป็นมนุษย์ มีสุขภาพ ร่างกายสมบูรณ์ อันนี้กรรมเก่าส่งผลมา เราได้รูป ท่ีดี รูปบางอย่างเกิดจากอาหาร อย่างพวกเราถ้า ไม่มีอาหารหล่อเลี้ยง เราก็ตาย รูปบางอย่างเกิด จากสิ่งแวดล้อม รูปบางอย่างเกิดจากจิต อย่างรูป ที่เกิดจากจิตน่ี ลองพยักหน้าซิ รูปที่เคลื่อนไหวน่ี จติ เปน็ คนสงั่ จิตเปน็ คนสง่ั ให้รปู อย่างน้ีเกิดขน้ึ จิต เปน็ คนสัง่ ใหย้ ืน ให้เดนิ ให้นั่ง ให้นอน จิตเป็นคน ส่ัง เวลาเรามีความสุขหน้าตาเราย้ิมแย้มข้ึนมา หน้าเราเปลี่ยนเพราะจิตมันส่ัง จิตมันมีความสุข เวลาจติ เราโกรธ หนา้ เราหงกิ หนา้ เราเครียด หน้า เราดูไม่ได้ หนา้ แดง บางคนตวั สน่ั เพราะจิตมนั สงั่ 19

ฉะนั้นรูปน่ีอาศัยอาหารบ้าง อาศัยกรรม บา้ ง อาศยั สงิ่ แวดลอ้ มบา้ ง อาศยั จิตบ้างหลอ่ เล้ียง ให้เกิดมา ท�ำให้เกิดมา รูปแต่ล่ะชนิด พอเกิดมา แล้วมีอาหารหล่อเล้ียง มีอะไรหล่อเล้ียงอยู่ เป็น ของชั่วคราวเท่านั้นเอง ผัสสะเกิดข้ึนก็เกิดแวบ เดียว มีความรู้สึกเกิดขึ้นก็อยู่ชั่วคราว มีอะไรๆ ก็อยชู่ ว่ั คราว พวกที่ช�ำนาญการดูจติ ดใู จ เราจะเห็น เลยว่าพอมีผัสสะจิตก็เปลี่ยน ตาหูจมูกลิ้นกายใจ กระทบอารมณ์จิตก็เปลี่ยน ตรงนี้เห็นไหม ถ้าเห็น ข้ึนรถคนั ที่ส่ีเรียบรอ้ ยแล้ว เหน็ ไหมมี 7 คนั เอง คัน ทเ่ี จ็ดนีถ่ ึงมรรคผลนพิ พาน คันท่ีห้าเรียกว่า มัคคามัคคญานทัสสน วิสุทธิ ช่ือยาวสักวาหนึ่ง มาจากค�ำว่า มรรค กับ อมรรค มรรคามรรค คือมรรคกับอมรรค ทางกับ ไมใ่ ช่ทาง มปี ญั ญามีความบริสทุ ธ์ิ ดว้ ยปัญญามอง เห็นว่าอะไรเปน็ ทางอะไรไม่ใช่ทาง ตรงทีเ่ ราแยกรปู 20

แยกนามได้ เราเห็นว่ารูปนามท้ังหลายมีเหตุก็เกิด ขึ้นมา เราจะค่อยๆ ดูลงไป แล้วจะเห็นว่าทุกส่ิงท่ี เกิดขึ้นมาอยู่ช่ัวคราวแล้วก็ดับ ทุกส่ิงท่ีเกิดขึ้นมา อยู่ช่วั คราวแลว้ กด็ บั ตรงทเ่ี ราเห็นตรงน้ี พวกเราเหน็ ได้เยอะเลย ถึงในข้ันน้ีน่ีพอเห็นแล้ว บางทีสมาธิเราไม่พอจิต เราเคล่ือนออกจากฐาน โดยเฉพาะอย่างพวกดูจิต อย่างเราดูกิเลส กิเลสมันจะเคลื่อนหนีออกไป อยู่ข้างนอก เรากต็ ามดูไป สง่ จิตตามดมู ันไป กิเลส มันดับไปปุ๊บ จิตเราค้างอยู่ข้างนอกเลย ไปว่างไป สว่างอยู่ข้างนอก ที่หลวงพ่อเรียกว่าจิตไม่เข้าฐาน ตรงน้ีเป็นวิปัสสนู วิปัสสนูคือสิ่งท่ีไม่ใช่ทาง ค�ำว่า มัคคามัคคญานทัสสนวิสุทธิ ก็คือรู้ว่าอะไรเป็น ทาง อะไรไม่ใช่ทาง วิปัสสนูน่ีไม่ใช่ทาง วิปัสสนา ถงึ จะเปน็ ทาง 21

วิปัสสนาคือการท่ีเรามีจิตตั้งม่ันอยู่ มีสติ ระลึกรู้ความเป็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม อยา่ งนี้ใชไ้ ด้ แต่ถ้าจิตไม่ตง้ั ม่นั จิตเคลื่อนออกจาก ฐานไป ไปดูรูป จิตกเ็ คล่อื นไปอย่ทู ่รี ูป เชน่ ไปดทู ้อง พองยุบจิตเคล่ือนไปอยู่ที่ท้อง ไปเดินจงกรมจิต ไหลไปอยู่ที่เท้า ไปรู้ลมหายใจจิตไหลไปอยู่กับลม หายใจ อย่างน้ีเรียกว่าจิตไม่เข้าฐาน จิตเคล่ือน แล้วพอไปเดินปัญญาด้วยจิตเคลื่อนๆ ไปเดินๆ ได้นิดหน่อย มันจะว่างไปเลย หรือบางทีเกิด ความรู้สึกเพ้ียนๆ ไปเลยว่ากูเป็นพระอรหันต์ไป แล้ว บางทีสติเข้มข้นมากเลย มองดินฟ้าอากาศ เหน็ เปน็ จดุ ๆๆ ไปหมดเลย มันแยกแยะได้ละเอยี ด ยิบไปหมดเลย ก�ำลังสติที่กล้าแข็งเกินไปเกินผิด ธรรมดา วิปัสสนปู กิเลส 10 ประการ บางทีมีปัญญา มากไป ธรรมะถ่ายทอดมาสู่จิตท้ังวันท้ังคืน 22

รู้ธรรมะตลอด ไหลๆๆ ออกมา บางคนก็ฟุ้งใน ธรรมะ อยากพดู พอใจไปตรึกไปคิดธรรมะอะไรได้ อยากพูดให้คนอื่นฟัง พวกเราใครที่ภาวนาแล้ว อยากสอนคนอื่นบ้างมีไหม ใจมันคันทนไม่ไว้ อยากพูดอยากสอนมากเลย ไปดูให้ดี ส่วนมาก วิปัสสนูเอาไปกิน เพราะวิปัสสนาสอนตัวเอง วิปัสสนูอยากไปยุ่งกับคนอ่ืน เพราะคิดว่าตัวเองน่ี พน้ แล้ว หลุดแลว้ อยากจะช่วยคนอน่ื ให้ไปดว้ ย เวลาพวกปัญญามากๆ วิปัสสนูเกิดแล้ว ปัญญาเกิดน่ีบางทีอยากสอนคนอื่น บางที โทรศพั ทไ์ ปตี 2-3 ไปเรยี กเพอื่ น “นี่เธอ! ฉันเขา้ ใจ ธรรมะตรงนี้แล้วล่ะเธอ” เพ่ือนก็บอกเหมือนกันว่า “ฉันก็เข้าเหมือนกันว่าโทสะเป็นอย่างไร ฮ่ึมๆๆ” วิปัสสนู 10 อย่างก็จริง แต่ถ้าจิตถึงฐานล่ะก็ 10 อย่าง ก็ 10 อย่างเถอะหายหมดเลย พระอานนท์ คนไทยเรียกพระอานนท์ ถ้าบาลีจริงๆ เรียก 23

พระอานันท์ อานันทะ พระอานนท์ท่านบอกว่า ท่านเรียกวิปัสสนูว่า ธัมมุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านใน ธรรม 10 ประการ วิธีทีจ่ ะพ้นจากธมั มทุ ธจั จะ กค็ อื จิตถึงฐานน่ันเอง ถ้าจิตมีสมาธิเพียงพอ รู้ตัวต่ืน เต็มท่ี วิปัสสนู 10 อย่าง ก็ 10 อย่างเถอะหาย หมดเลย พวกเราใครเคยเห็นแล้วท่ีจิตไหลไปว่างๆ อยู่ข้างนอกบา้ ง แลว้ รวู้ ่าจติ ออกนอก แลว้ มนั กลับ เข้ามาหาตัวเองได้ ตรงน้ันล่ะเรียกเรารู้แล้วว่าอัน ไหนเป็นทางอันไหนไม่ใช่ทาง เมื่อไรจิตส่งออก นอกเม่ือน่ันไม่ใช่ทาง เมื่อไรจิตต้ังมั่นแล้วก็มีสติ เหน็ รปู นามเกดิ ดบั ไปนนั่ คอื ทาง คนทผ่ี า่ นวปิ สั สนปู กิเลสแล้ว เรียกว่าผ่านรถคันนี้ เรียกว่ามัคคามัคค ญานทัสสนวิสุทธิ มรรคก็คือวิปัสสนา มรรคคือ ทาง อมรรคกค็ อื วิปัสสนปู กิเลส 24

พอแจ่มแจ้งในวิปัสสนู จิตไม่เข้าฐานน่ีเอง วิปัสสนูจึงเกิด พอจิตกลับเข้ามาเข้าฐานได้ วิปัสสนูหาย น่ีทางอยู่ตรงน้ี ทางอยู่ที่จิตตั้งม่ันถึง จิตจริงๆ มีสติระลึกรู้ความเป็นไตรลักษณ์ของรูป นามด้วยจิตท่ีต้ังม่ันเป็นกลาง ท่ีหลวงพ่อสอน เรื่อยๆ ว่า “ให้มีสติ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งม่ันและเป็นกลาง” จ�ำได้ไหมประโยคน้ี ถ้าจำ� ไม่ไดก้ ต็ ้องสอบตก เรยี นกับหลวงพ่อแล้วไมร่ ู้ จักประโยคนี้ก็เชยแหลกเลย เหมือนกับเรียนกับ หลวงพ่อพุธ แล้วไม่รู้จักค�ำว่า “ยืนเดินน่ังนอนกิน ดื่มท�ำพูดคิด” ก็เรียกว่าไม่เอาไหนเลย หรือเรียน จากหลวงปู่ดูลย์ไม่รู้จักค�ำว่า “จิตออกนอก” ก็ไม่ เอาไหนเลย ฉะน้ันพวกเราจ�ำนวนมากที่จิตมันเข้าบ้าน แล้ว มันรู้เลยว่าถ้าไหลออกไปข้างนอก แต่เดิม ไหลแล้วไม่เห็น เพราะฉะนั้นวิปัสสนูเกิด ต่อมา 25

รู้ทันว่ามันเคลื่อนออกไปแล้ว มันก็กลับเข้ามา น่ีผ่านคันท่ีห้าแล้ว พวกเราจ�ำนวนมากผ่านแล้ว ส่วนคนที่มาฝึกใหม่ๆ เขาก็ยังขึ้นรถคันท่ีสี่คันที่ห้า กันอยู่ ยงั ไม่ผ่าน คันท่ีหกชื่อ ปฏิปทาญานทัสสนวิสุทธิ มี ความบริสุทธิ์ด้วยปัญญาในการด�ำเนินไป เวลา ท่ีเราด�ำเนินไป ถ้าเราด�ำเนิน มีศีล มีสติคุ้มครอง จิต มีศีล มีสติรู้ทันจิตที่เคล่ือน ได้สมาธิ วันไหน จิตฟุ้งซ่าน ท�ำสมาธิท�ำใจให้กลับมาอยู่กับเน้ือ กับตัว ท�ำใจให้มีความสุขมีความสงบ ตอนไหนมี ความสุขมีความสงบแล้วเจริญปัญญา เห็นรูปเห็น นามแสดงไตรลักษณ์เรื่อยไป นี่คือวิธีปฏิบัติ เรียกว่าปฏิปทาญานทัศนวิสุทธ์ิ มีศีลปฏิปทา มี สมาธิ มกี ารเจรญิ ปัญญา 26

พวกเราจ�ำนวนมากท่ีมาถึงตรงน้ีแล้ว พวก เรารักษาศีล พยายามรักษา พวกเราปฏิบัติใน รูปแบบ พยายามท�ำทุกวัน วันละเล็กวันละน้อย ก็ท�ำเพื่อให้จิตมีก�ำลังของสมาธิ แล้วก็เราก็เจริญ ปัญญา ตาหูจมูกล้ินกายใจกระทบอารมณ์ เกิด ความเคลื่อนไหวในกาย เกิดความเคล่ือนไหวในใจ อะไรอย่างน้ี คอยรู้คอยเห็น ก็เห็นทุกส่ิงทุกอย่าง เกิดแล้วก็ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับไป ตรงน้ีเรียกว่าการปฏิบัติ เป็นปฏิปทา ปฏิปทาของ พวกเรา ถ้าจะพูดไปแล้วดีบ้าง หย่อนบ้าง แต่ละ คนไม่สมำ่� เสมอกนั คนไหนรู้สึกตัวว่าขี้เกียจบ้าง ยังขี้เกียจอยู่ ยกมือซิ พวกขี้เกียจคิดไหมว่า เรายังไม่ตายวันน้ี ชีวิตเรายังอยู่อีกนาน พวกข้ีเกียจรู้สึกอย่างน้ี แต่ ถ้ารู้สึกว่าชีวิตน้ีไม่แน่นอน อาจจะตายเม่ือไรก็ได้ จะไม่ขี้เกียจหรอก จะรีบขยันเลย เกิดตายไปแล้ว 27

กวา่ จะกลบั มาเกิด หลวงพ่อปราโมทยม์ รณภาพไป แล้ว ซีดีก็พังไปหมดแล้ว หมดอายุขัย จะไปฟัง อะไรล่ะคราวนี้ คราวนี้ต้องคล�ำกันอีกนานเลย ต้องนานเลย หาทางจะไปอย่างไร ถ้าตอนน้ีเรามาถึงตรงน้ีได้แล้ว เราเห็นรูป นามเกิดดบั ได้แล้ว ตงั้ ใจรกั ษาศีลไว้ ตงั้ ใจปฏิบตั ิใน รูปแบบไว้ อย่าข้ีเกยี จ เวลาในชีวติ ประจ�ำวนั เจริญ สติไว้ ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์ให้มัน กระทบไป กระทบแล้วเกิดความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รสู้ ึกดี รสู้ ึกชว่ั ใหม้ ันรู้สึกไป แลว้ เรามสี ติตามรู้ตาม เห็นมัน ตรงท่ีปฏิบัติปฏิปทาตัวนี้ที่หลวงพ่อพุธ ท่านเรียกว่า ยืนเดินนั่งนอนกินดื่มท�ำพูดคิด อะไร เป็นตัวยืนเดินนั่งนอนกินด่ืมท�ำพูด ก็ร่างกายใช่ ไหม ร่างกายเป็นคนยืนเดินน่ังนอนกินด่ืมท�ำพูด มีสติเห็นร่างกายมันยืนเดินนั่งนอนกินดื่มท�ำพูด ใจเป็นคนดู ใจมันตั้งมั่น เห็นร่างกายยืนเดินน่ัง 28

นอน อย่างพวกเราบางทีเดินจงกรมเห็นร่างกาย มันเดนิ น่งั อยบู่ างทเี ห็นร่างกายน่ัง หายใจอยู่เหน็ รา่ งกายหายใจ ฝึกไปอย่างนี้ คอ่ ยดคู อ่ ยรู้ไป จะเหน็ ว่ามนั ไม่ใช่เราหรอก มันแยกออกไปอยู่ต่างหาก มันท�ำ งานของมันได้เอง ในส่วนของร่างกายยืนเดินนั่ง นอนกินด่ืมท�ำ มีสติรู้ไปเรื่อย มีจิตตั้งม่ันเป็นคนดู ในส่วนที่ใจ ใจนั้นท�ำงานได้ 2 อย่างใหญ่ๆ ใน เวลาท่ีเราอยูป่ กติ ใจจะชอบหนีไปคดิ ความจริงใจ ท�ำงาน 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปเพ่ง กลุ่มหนึ่งหลง ตามอารมณ์ กลุ่มหนึ่งบังคับตัวเอง นี่มี 2 กลุ่ม ใหญ่ คนทั่วๆ ไปจิตจะไหลไปตามอารมณ์ แล้ว ไหลบ่อยท่ีสดุ คอื ไหลไปคิด แท้จริงแล้วไหล 6 ช่อง ไหลตามอารมณ์ ไหลไปดู ไหลไปฟัง ไหลไปดมกล่ิน ไหลไปล้ิมรส 29

ไหลไปรู้สัมผัสที่กาย ไหลไปคิดท่ีใจ มี 6 ช่อง แต่ว่าไหลบ่อยท่ีสุดน่ีไหลไปคิด อย่างเราหลับตาซิ หลับตา เราปดิ หู ปากเรากไ็ มไ่ ดไ้ ปกินอะไร จมกู เรา ก็ไม่ได้สนใจดมอะไร ใจก็ยังแอบคิดอยู่ ใจคิด ไม่เลิกหรอก ไม่ห้าม อยากคิดก็ให้มันคิดไป มัน เหมือนเรามีตา มีตาก็ต้องมองเห็น ถ้ามีตาแล้ว ไมด่ ูก็เหมอื นคนตาบอดไมม่ ปี ระโยชน์อะไร คนตาบอดบ้าใบ้บอดหนวกแต่ก�ำเนิด ถอื วา่ เป็นอาภัพบคุ คล เปน็ คนอาภัพ ภาวนาไม่ได้ เพราะเรยี นธรรมะไมไ่ ด้ พวกบา้ ใบ้บอดหนวก ตาก็ มองไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน อย่างนี้เรียกบ้าใบ้บอด หนวก คือรบั ธรรมะไมไ่ ด้ นอี่ าภพั ท่สี ดุ พวกเราไม่ ได้เป็นอย่างน้ัน เรามีตา เม่ือมีตาก็ดู เมื่อมีหูก็ฟัง เม่ือมีใจก็คิด ไม่ต้องไปฝึกตัวเอง ให้มองไม่เห็น ใหไ้ มไ่ ดย้ นิ ใหไ้ ม่ไดค้ ดิ อยา่ ไปฝกึ อยา่ งนั้น แต่เมอ่ื ตาดูหูฟังใจคิดแล้ว เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ให้รู้ เกิด 30

กุศลใหร้ ู้ เกิดโลภโกรธหลงอะไรให้รู้ไป ถา้ เรารู้อย่างน้ี ปัญญามันจะเกิดแกก่ ลา้ ข้นึ มันจะเห็นเลยว่า สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว ดีก็ ช่ัวคราว โลภโกรธหลงก็ช่ัวคราว หรือการที่ตาจะ มองเหน็ เรากส็ ัง่ ไม่ได้ หา้ มไม่ได้ อยา่ งลืมตาขนึ้ มา มีตา มีรูป มีแสงสว่าง มีความใส่ใจที่จะดู มันก็ มองเหน็ รปู อย่างหลวงพ่อวันน้ีมีอกุศลวิบากให้ผล นั่งรถมาตามถนนเห็นมีหมา มันมีตาใช่ไหม แล้ว อกศุ ลใหผ้ ล ไปเหน็ หมาถกู รถทับ ตายเรยี บรอ้ ยไป แล้ว จติ ไมอ่ ยู่กับรา่ ง ตายแล้ว ไปไหนก็ไมร่ ู้ ทำ� ไม ตอ้ งไปเหน็ เพราะมนั มตี า มนั มีรูป มนั มแี สงสวา่ ง ใช่ไหม แล้วจิตมันใส่ใจเข้าไปพอดี วิญญาณเกิด ทางตา เพราะว่าอกุศลวิบากให้ผลก็ไปเห็นของไม่ สวยไม่งาม หรือบางทีหันไป ไปเจอดอกไม้สวย 31

กุศลให้ผลก็ได้เห็นของสวย อกุศลให้ผลก็ได้เห็น ของไมด่ ีอะไรอยา่ งนี้ เราเลือกไมไ่ ด้ กศุ ลหรืออกศุ ลจะให้ผลเราก็ เลือกไม่ได้ แล้วเราจะเห็นอะไรไม่เห็นอะไร เราสั่ง ไม่ได้หรอก หรือเราได้ยิน เรามีหู เราก�ำลังเปิด เพลงไพเราะฟังอยู่ที่บ้าน อยู่ดีๆ เสียงข้างบ้าน ด่ากัน เคยมีไหม เราก�ำลังฟังอะไรของเราอย่าง สุนทรีย์อยู่ หรือเปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟังอยู่ ผัวเมียข้างบ้านก�ำลังด่ากันอยู่ เสียงอกุศลมันก็ แทรกเข้ามา เรามีหู เราห้ามมันไม่ได้ เราก็โมโห “อู๊ย! อีช่ัว คนเขาจะฟังเทศน์ ชั่วช้าสามานย์ ทะเลาะกันอยู่ได้” ไม่เห็นหรือว่าก�ำลังมีโทสะ ว่าเขามีโทสะ ตัวเองไม่เห็นหรอก ไม่เอาไหนเลย หูมันจะได้ยิน เราก็เลือกไม่ได้ จมูกจะได้ กล่ิน ก็เลือกไม่ได้ บางคนมีบุญ จมูกได้กล่ินหอม 32

อย่างเดียว คนอ่ืนเขาเหม็นจะตาย คนน้ีหอม ดม อะไรหอมไปหมดเลย เพราะจมูกมันเสียไปบาง ส่วน ไอ้ส่วนที่จะรับรู้ความเหม็นไม่มี ไปที่ไหน “โอ้! หอม ตรงนี้หอม” ไม่เห็นหรือน่ีมันกองขยะ บุญมาก เลือกไม่ได้จะได้กลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็น เราเลือกอารมณ์ไมไ่ ด้ ผัสสะมนั มาเราเลือกไม่ได้ ใจจะคิดเร่ืองดีหรือเรื่องช่ัวเลือกได้ไหม เคยตง้ั ใจไหมวา่ จะคดิ แตเ่ รอื่ งดี คดิ แตธ่ รรมะธมั โม เคยมีไหม คิดไปคิดมาก็นินทาพระเฉยเลย อยาก จะคิดแต่เร่ืองกุศล คิดแต่เรื่องวัดวาอาราม น่า เลื่อมใส คิดไปคิดมา “เฮ้ย! พระองค์น้ีก็ไม่ดี องค์ โน้นก็ไม่ดี องค์น้ีปาราชิก องค์โน้นมีข่าว” อะไร อยา่ งน้ี ใจเปน็ อกุศล ใจจะเปน็ กุศลหรืออกศุ ลกย็ งั เลือกไม่ได้เลย อย่างจะรักหรือจะเกลียดอะไรน่ี ห้ามไมไ่ ด้ เลอื กไม่ได้ จิตมันเปน็ เอง 33

เราเฝ้าร้เู ฝา้ ดูลงไป เรากจ็ ะเห็นเลย มนั ไม่มี อะไรที่เราส่ังได้ สั่งไม่ได้ ความรู้สึกนึกคิดตาหูจมูก ลิ้นกายใจจะกระทบอารมณ์ มันมีกุศลมีอกุศล มันกระทบไป มีเหตุให้กระทบมันก็ต้องกระทบ กระทบแล้วจะเจออารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้ายก็แล้ว แตเ่ วรแต่กรรม พอเจออารมณ์แลว้ จะเกิดกุศลหรอื อกุศล จะเกดิ สุขหรอื เกดิ ทุกข์กเ็ ลือกไม่ได้อีก มแี ต่ ของเลอื กไมไ่ ด้ แต่ว่าทกุ อยา่ งกช็ ั่วคราว เวลาเราภาวนา เราจะเห็นเลย ตาเรามอง เห็น เราเลือกไม่ได้ หูได้ยินเสียง เลือกไม่ได้ จมูก ได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายกระทบสัมผัส ใจคิดนึก เลือกไม่ได้ กระทบไปแล้วนะ จะเกิดสุขหรือทุกข์ ก็เลือกไม่ได้ จะเกิดกุศลหรือโลภโกรธหลง ก็เลือก ไม่ได้ แต่วา่ ท่ีเกดิ แลว้ ท้งั หมด เกิดแลว้ ดบั 34

ฉะน้ันหน้าที่เราไม่ใช่หลีกเลี่ยงการกระทบ อารมณห์ รือจงใจไปกระทบอารมณ์บางอยา่ ง หลีก เลี่ยงการกระทบอารมณ์บางอย่าง ไม่จ�ำเป็นหรอก ถา้ มันมีเวรกรรม อยา่ งไรมันก็เลยี่ งไมพ่ น้ อย่างเรา เห็นรถชนกันแตไ่ กล “อุ๊ย! รถชนอยา่ งนี้ คนตายแน่ น่ากลัว!” เราเบือนหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งกะจะไม่ดูท่ี เขาชน เขาเอาศพมาย้ายมาอยู่ทางน้ีแล้ว ทางน้ี ไม่มีอะไรแล้ว มีแต่คนมุง มันช่วยไม่ได้อกุศล มันจะให้ผล ฉะนั้นเราไม่เลือกอารมณ์ ตาหูจมูก ล้ินกายใจจะกระทบอารมณ์ก็กระทบไปเถอะ เรา เลือกไม่ได้ แต่ว่ากระทบแล้วจะเกิดทุกข์เกิดสุขเกิด ดีเกิดช่ัว เราก็เลือกไม่ได้ ตรงน้ีเราก็จะต้องรู้ว่ามัน เป็นอนตั ตา มันเลอื กไม่ได้ แต่ว่าไม่ว่าอะไร ทุกสิ่งเกิดแล้วดับ การ มองเห็นก็เห็นช่ัวคราว การได้ยินก็ได้ยินชั่วคราว ได้กลิ่นได้รสได้สัมผัสก็ชั่วคราว จะคิดนึกก็ช่ัวคราว 35

เปลี่ยนเร่ืองคิดไปเรื่อยๆ มันอยู่ช่ัวคราว จะเกิดสุข จะเกิดทุกข์ สุขทุกข์ก็ชั่วคราว ดีชั่วโลภดกรธหลงก็ ชว่ั คราว การท่เี รามีสติ เราตามรตู้ ามเห็นไป เราจะ เหน็ เลย ท้งั สุขท้งั ทุกข์ทง้ั ดีทัง้ ชัว่ เสมอกันดว้ ยความ เป็นไตรลักษณ์ เพราะสุขก็ชั่วคราวทุกข์ก็ช่ัวคราว มันเท่าเทียมกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ กุศล หรือโลภโกรธหลงก็เท่าเทียมกันด้วยความเป็น ไตรลักษณ์ เฝ้ารู้เฝ้าดู ใจก็เข้าสู่ความเป็นกลาง เข้าสู่ ความเป็นกลางมากเข้าๆ แล้วไปรู้รูปรู้นาม รู้ ความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนามด้วยความเป็น กลางมากขึ้นๆๆ สุดท้ายเราจะขึ้นรถคันท่ีเจ็ด คือ ญาณทัสสนวิสุทธฺ เราจะเกิดปัญญา มีความ บริสุทธิ์ มีปัญญาที่บริสุทธ์ิเลย คือเห็นความจริง แล้วว่าตัวเราไม่มีหรอก มีแต่รูปธรรมนามธรรม ซ่ึง มีเหตุก็เกิดหมดเหตุก็ดับบังคับไม่ได้ รูปธรรม 36

นามธรรมท้ังหลายไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเรา บังคับ มันไม่ได้ ควบคุมมันไม่ได้ ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา เรามายืมโลกเขาใช้ช่ัวคราว ยืมวัตถุธาตุของพ่อ ของแม่ ยืมอาหารยืมน้�ำยืมอากาศมาใช้ชั่วคราว แล้วก็คืนโลกไป นามธรรมท้ังหลายก็เป็นของ ชั่วคราว อาศัยพึง่ พาอะไรไมไ่ ด้ อยากให้มคี วามสขุ มันก็สุขไม่นาน อยากจะดีมันก็ดีไม่นาน ไม่มีอะไร พง่ึ พิงไดเ้ ลยในสงั สารวัฏ เฝ้ารู้เฝ้าดูไปเร่ือย เห็นเลยกายนี้ก็ไม่ใช่เรา เรายืมโลกมาใช้ จิตน้ีก็บังคับมันไม่ได้ ควบคุมมัน ไม่ได้ มันแปรสภาพไปเรื่อยๆ ตามเวรตามกรรม ไม่ใช่เรา ตรงที่เห็นว่ากายก็ไม่ใช่เรา ใจก็ไม่ใช่เรา รูปนามไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีตัวเราท่ีไหนเลย เป็น ภูมิธรรมของพระโสดาบัน นี่รถคันท่ีเจ็ด ในรถ 37

คันที่เจ็ดนี้มีถึงพระสกทาคามี พระอนาคามี พระ อรหันต์ พระสกทาคามีเห็นเหมือนพระโสดาบัน แต่ว่าละกิเลสช่ัวหยาบๆ พวกแรงๆ นี่ขาดไปๆ เหลือแต่กิเลสบางๆ เบาๆ กิเลสไม่รุนแรง อย่าง โทสะมีแต่มีเบาๆ ไม่แรง ราคะก็มีแต่ไม่แรง มีแผ่วๆ แค่รู้ก็ขาด แค่รู้ก็ขาด จะเป็นอย่างน้ัน แต่ ถ้าเผลอ มันก็ครอบเอาเหมือนกัน พระสกทาคามี ก็ถูกโทสะครอบได้ ฉะนั้นอย่างเราเห็นพระแล้ว ไปด่าท่าน แล้วท่านโกรธ เราจะไปบอกว่าท่าน เป็นพระเลวไม่ได้ ต้องบอกว่าท่านยังไม่ใช่พระ อนาคามี ต้องวา่ อยา่ งนี้ แต่ท่านอาจจะเป็นปุถุชน เป็นอลัชชี เป็น อะไรจนถึงสกทาคามีก็ได้ ไม่แน่ หรือบางคนเราไป ด่าๆ น่ี ยิ้มหวานเลย “โอ๊ย! องค์น้ีไม่โกรธ” ความ จริงเขาโกรธข้างในเราไม่เห็น “โอ๊ย! องค์น้ีพระ อรหันต์” อย่ามั่ว พวกเราชอบสร้างพระ ชอบ 38

สถาปนา องค์น้ีพระช้ันนั้นชั้นนี้ ถามจริงใครเคย ท�ำบ้าง เลิกซะ นิสัยเสีย เอาอะไรไปต้ัง เราไม่รู้ หรอก น!ี่ ปัญญามันจะแกก่ ลา้ ขึ้น ถา้ เมอื่ ไรเหน็ วา่ กายไม่ใชเ่ รา จติ กค็ นื กายใหโ้ ลก ก็ได้ภูมธิ รรมชั้นที่ สาม ปญั ญาแกร้ อบที่สดุ เลย ก็จะเหน็ วา่ จติ นีไ้ ม่ใช่ เรา คืนจิตไป คืนจิตให้โลก สลัดจิตทิ้งไป สภาวะ ของจิตก็จะเปลี่ยน ไม่เหมือนจิตอย่างที่พวกเรามี จิตพวกเรามีขอบมีเขตมีจุดมีดวงมีที่ต้ังมีการไป มีการมา มคี วามเคลือ่ นไหวอยู่ภายในใชไ่ หม หมนุ ติ้วๆๆๆ อยภู่ ายใน จติ พระอรหันต์ไมไ่ ด้เป็นอยา่ งน้นั ไม่มขี อบ ไม่มีเขตไม่มีจุดไม่มีดวง ไม่มีที่ตั้งไม่มีการไปไม่มี การมา ไม่มีการเคล่ือนไหวภายใน ไม่มีรูปลักษณ์ ภายนอก จะไม่มีแสงสีเสียงอะไรท้ังส้ินเลย มี สัมผัสธรรมะอยู่ จิตมันสัมผัสธรรมะ เวลาตอ้ งการ สมั ผัสธรรมะกบั โลกกเ็ ปน็ แค่กิริยา กระทบไปอยา่ ง 39

น้ันเอง เวลาจะพักผ่อนก็ทรงกับพระนิพพาน ก็มี ความสุขสบายทั้งวันท้ังคืนไม่ต้องยุ่งกับใคร สบาย ตรงที่เข้าถึงพระนิพพานน่ีเรียกว่าพ้นจากรถคันท่ี เจด็ แล้ว ตรงท่ีรถคันที่เจ็ดน้ี ก็จะภาวนาไปจนเกิด มรรคเกิดผลข้ึนมา มรรคผลกับนิพพานคนละอัน กัน มรรคผลน่ีเป็นโลกุตตระก็จริง แต่เกิดแล้วดับ โสดาปัตติมรรคเกิดแล้วก็ดับ อยู่ช่ัวขณะจิตเดียว เอง โสดาปัตติผลเกิดแล้วก็ดับ อยู่ 2-3 ขณะจิต เอง แค่น้ันเองนิดเดียว เพราะฉะน้ันไม่ใช่ว่า โลกุตตระแลว้ ไมเ่ กิดไมด่ ับ โลกุตตรธรรมมี 9 อย่าง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามมิ รรค อนาคามิผล อรหตั มรรค อรหตั ผล นเ่ี ปน็ 8 พระนพิ พาน โลกุตตระทไี่ มเ่ กิดไมด่ บั กค็ ือ 40

นิพพาน โลกุตตระท่ียังเกิดยังดับอยู่คือมรรคกับ ผล มี 4 ข้ัน อริยมรรคนั้นไม่ว่าชั้นไหน เกิดขณะจิต เดียว แวบเดียวเท่านั้นเอง เหมือนมีดมันคมมาก ฟันอะไรนี่ขาดในฉบั พลนั ไมต่ ้องฟนั 2 ที เวลาฟัน อริยมรรคมันฟันกิเลสตายนี่มันฟันฉับเดียวขาด เลย ขาดแลว้ ไมม่ าติดอีก ขาดแล้วขาดเลย ตวั ไหน ถูกฟันขาดแล้วขาดเลย แต่อริยมรรคเกิดแล้วก็ดับ เกิดอริยผล 2-3 ขณะแล้วก็ดับ ฉะนั้นโลกุตตระ ก็ยังดับได้ ตรงน้ีเป็นรถคันที่เจ็ด พ้นจากรถคันท่ี เจ็ดนห่ี มดธรุ ะแล้ว สบายแล้ว กส็ มั ผัสพระนพิ พาน ไป พวกเราตอนน้ีส่วนมากเลยอยู่รถคันท่ีห้า ท่ีหกเเล้ว เหลืออีกคันเดียว อย่าตกรถเสียก่อน กแ็ ล้วกนั ตกรถมีไหม มี ท้อแท้ เลกิ ปฏิบัติไป หรือ 41

ข้ีเกียจ ใครยังข้ีเกียจอยู่มีไหม ยกมือให้ช่ืนใจซิ ชื่นใจจริงๆ เพราะลูกศิษย์รู้ว่ายังชั่วอยู่ ยังขี้เกียจ อยู่ ใครเบื่อบ้าง ภาวนาแล้วเบื่อๆ มีไหม ขี้เกียจ กไ็ ด้ เบื่อก็ได้ ทอ้ แท้กไ็ ด้ ไมห่ ้ามหรอก ข้เี กียจเบอื่ ทอ้ แทก้ ็ได้ แตอ่ ยา่ ใหม้ นั ครอบจิต ขเ้ี กียจรู้ทนั เบือ่ รู้ทัน ทอ้ แท้รู้ทนั อย่าให้มนั ครอบใจเราได้ ถ้าเรารู้ทันๆ เร่ือยๆ ใจก็เป็นอิสระจาก อารมณ์ท่ีมากีดขวางพวกน้ี ช่วงหน่ึงใจก็จะมีแรง ข้ึนมาไปภาวนาต่อ ทุกคนไม่ว่าแน่สักแค่ไหนมันก็ ต้องเคยท้อ หลวงพ่อก็เคยท้อ ขนาดมาบวชแล้ว “โอ! ท�ำอย่างไรเราจะเร่งความเพียรได้” อยากเร่ง ความเพียรไม่รู้จะเร่งอย่างไร เร่งไม่เป็น ดูโง่หลาย เลย ตายแล้วกิเลสก็ยังมี ตายแล้วก็ยังต้องเกิดอีก แต่ชาตินี้เราคงได้แค่น้ีแล้ว แต่ไม่เลิก ดูลูกเดียว เลย เปน็ ทุกคน 42

ครูบาอ๊าเมื่อก่อนตอนเป็นโยมอยู่ มีพรรค พวกมาบอกหลวงพ่อว่า ตอนนี้อ๊าเขาไปปลูกสวน ท้ออยู่ บอกไปปลูกมันท�ำไมสวนท้อ ท�ำไมไม่ไป ภาวนา บอกก�ำลังท้อแท้อยู่ เป็นทุกคน เพราะ ฉะนั้นข้ีเกียจก็ไม่เป็นไร ขี้เกียจก็ดู ไม่เลิก ท้อก็ไม่ เป็นไร ท้อก็ดูไม่เลิก เบ่ือก็ไม่เลิก ดูลูกเดียว อย่างไรมันก็ต้องเจอสภาวะท่ีมากีดขวางการปฏิบัติ ของเรา ต้องเจอทุกคน อดทนไว้ จะได้ถึงรถคันท่ี เจ็ดเสียที บางคนคงจะถึงหรอกชาติน้ี บางคนก็คง ชาตติ ่อๆ ไป พระศรีอรยิ เมตไตรยกม็ อี กี ถ้าเราท�ำเต็มที่แล้วยังไม่ได้อย่าเสียใจ สมมุติเราจะตาย “ตายแล้ว! เรียนกับหลวงพ่อ ปราโมทย์มาตั้งหลายปีแล้ว ตอนน้ีก�ำลังป่วยหนัก ใกล้ตายแล้วยังไม่ได้มรรคผลเลย” อย่าตกใจ ดูกายมันตายไปเลย ถวายร่างกายถวายชีวิต บูชา พระพุทธเจ้าไปเลย บางคนไม่แน่ได้ตอนน้ันเลย 43

ได้ตอนใกล้จะตาย เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ชนิด ชีวิตสมสีสี อย่างน้ันก็มี หรือบางคนไม่ได้จริงๆ ชาติหน้าไปต่อ ต่อง่าย อะไรท่ีเคยท�ำแล้วมัน ท�ำง่าย อย่างพวกเราท�ำบาปง่าย เพราะเคยท�ำ โกรธง่ายใช่ไหม เพราะเคยโกรธ ขี้บ่นก็เพราะมัน เคยชินท่ีจะบ่น เพราะฉะน้ันถ้าเราปล่อยให้มัน เคยชินฝ่ายชั่วไปเร่ือย ยิ่งแก่ย่ิงร้าย ยิ่งแก่มันจะ บ่นทุกสิ่งทุกอย่างเลย จนกระทั่งไม่มีใครเข้าหน้า เลย ไม่มีใครเข้าหน้าก็บ่นตัวเองอีกแล้ว “อู้ย! ท�ำไมผมหงอก” บ่นตัวเองอีก หาเรื่องไปเร่ือยๆ หาความสุขไม่ไดส้ ักที ฉะน้ันจิตน้ีถ้าเราเคยชินที่จะปฏิบัติ เคย ชินที่จะรักษาศีล เราจะรักษาศีลง่าย เคยชินที่จะ ต่ืนรู้สึกตัว เราจะตื่นได้ง่าย เคยชินเจริญปัญญา จะเจริญปัญญาง่าย เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะตอน เด็กๆ ราวๆ 7 ขวบ จติ ตน่ื ขนึ้ มา ได้สมาธิทถ่ี กู ตอ้ ง 44

ท�ำไมตื่นขึ้นมาได้เอง ยังไม่ได้ไปเรียนท่ีไหนเลย เพราะเคยได้ หรือท�ำไมท่านมาเจริญปัญญาได้ รวดเร็ว เจริญปัญญาได้ไม่ก่ีวันเองบรรลุมรรคผล แล้ว มัวแต่ไปทรมานกายเที่ยวค้นหาอะไรอยู่ พอมาเดินทางถูกอยู่ ใช้เวลานิดเดียวเอง ท�ำไม ท่านใช้เวลานิดเดียว ท่านท�ำมาเยอะแลว้ พวกเราทำ� มากหรอื ทำ� นอ้ ยกอ็ ยทู่ ตี่ วั เองแลว้ ถ้าเราขยันเต็มที่ สะสมของเราไป แล้วชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าได้ยินซีดีของหลวงพ่อเท่านั้นเอง ปิ๊งเลย จิตตื่น จิตต่ืนน่ี plain ท่ีสุดแล้ว คนเขาตื่นเต็มบ้าน เต็มเมืองล่ะตอนน้ี ฉะนั้นฟังแล้วปุ๊บ จิตตื่นนี่เร่ือง เล็ก บางคนได้ยินเสียงซีดีหลวงพ่อขันธ์แยกเลย ก�ำลังถือขันจะใส่บาตร ได้ยินก็ตกใจขันธ์แตกเป็น เส่ียงๆ ขันธ์แยกเลย แล้วแต่บุญวาสนาว่า ขันธ์ ชนิดไหนจะแยก ขันธ์ชนิดไหนจะแตกออกไปจาก กัน แล้วแต่วาสนา แล้วแตบ่ ุญเราสรา้ งไม่ใช่วาสนา 45

แล้วแต่บารมี วาสนาเป็นความเคยกายเคยวาจา บารมีเป็นความเคยของใจในทางดี อนุสัยเป็น ความเคยชินของใจในทางชั่ว เราสะสมอนุสัยมา เยอะแล้ว ฉะน้ันเรามาฝึกให้มีศีลมีธรรม ฝึกให้ มาก ถ้าชาติน้ีได้ก็จะได้ไปเลย ก็ดีก็จะมีความสุข เรื่องอะไรต้องจมความทกุ ข์ ค่อยฝึก ชาติน้ีได้ก็ดีท่ีสุด ไม่ได้ก็ไม่เสียใจ เวลาจะตายหลวงปู่ดูลย์ท่านเรียก “ตกกระได พลอยโจน” เวลาจะตายดูกายมันตาย ใจเรา อยู่ต่างหาก ใจอย่าไปเศร้าหมองตาม ร่างกายมัน ตายเราไม่เก่ียว อาจจะได้มรรคได้ผลได้บ้าง สมัย พุทธกาลมีได้อรหันต์ ของเราได้โสดาบันก็บุญแล้ว ถ้าไม่ได้จริง ชาติต่อไปท�ำง่าย อาจจะไปอยู่เป็น เทวดา แล้วก็ไปฟังธรรมจากพวกเทพพวกพรหม พวกพระโพธิสัตว์อะไรอย่างน้ี ก็ไปท�ำได้ หรือฟัง จากพระบางองค์ท่านสอนได้ ก็ภาวนาไป ได้ใน 46

เทวโลกก็ได้ เทวดาบรรลุมรรคผลก็มี ไม่ใช่ไม่มี มเี ยอะกวา่ คนอีก พวกที่ภาวนาแบบพวกเราต้ังแต่สมัย พระพุทธเจ้าก่อนๆ เลยมา แล้วไม่จบ ขึ้นไปอยู่ ข้างบน เป็นพรหมกม็ ี ตอนพระพทุ ธเจ้าตรัสรทู้ า่ น ขึ้นไป พวกพรหมสุทธาวาสจากพระพุทธเจ้าเก่าๆ ยงั มากราบท่าน พวกน้ยี ังมีชีวติ อยู่ ฉะนัน้ พวกเทพ พวกพรหม พวกเราอาจจะไม่ต้องกลับมาข้างล่าง ไปต่อเอาข้างบนกไ็ ด้ ใครไม่อยากเป็นมนุษย์บ้าง ยกมือซิมีไหม ไม่อยากเกิดยังเกิดอีก เกลียดอะไรก็ได้อันนั้น ถ้า เป็นกลางแล้วก็ไมเ่ กดิ หรอก เป็นกลาง ท�ำแต่ความ ดีไปเรื่อยแล้วขึ้นไป แล้วก็พอพระศรีอริยเมตไตรย มาตรัส เราจะลงมาฟังในสภาพของกายทิพย์ก็ได้ หรืออยากลงมาชว่ ยท่านท�ำงาน ลงมาเกดิ แลว้ มา 47

เป็นสาวกท่าน มาช่วยท่านประกาศธรรมะก็ได้ แล้วแตว่ าสนาบารมีความสนใจของเรา แต่ถ้าเราไม่ เคยภาวนา ถึงไปเจอพระศรีอริยเมตไตรย ท่าน ก็คง “อมื ! บัวมี 4 เหล่า บัดน้ีไดเ้ จอเหล่าที่ 4 แล้ว อยู่ใต้น้�ำใต้ดิน” ฉะน้ันท�ำตัวให้เป็นบัวพ้นน้�ำขึ้นมา ก่อน ถ้าพ้นแล้วบานรับแสงอาทิตย์ได้ในชาติน้ี เอาเลย ไม่ต้องรอ ถ้าไม่ได้ก็ไปบานชาติต่อไป ถ้าไม่ได้จริงก็รอพระพุทธเจ้าถัดไป ถ้าไม่ได้อีกทีก็ ไม่รูเ้ หมอื นกนั วา่ ต้องรออกี นานเลย พอสู้ไหม กินข้าวของเขาฟรีแล้ว สถานท่ี ก็ใช้ฟรี ต้องภาวนาใช้หน้ี อย่างพระน่ีบวชมา ถ้า พระบวชมาแล้วไม่มีธรรมะ ไปบิณฑบาตร ข้าว ทุกค�ำน่ีคือหน้ี ฉะน้ันวิธีจะลดหน้ีของพระ คือ ภาวนาให้จิตเป็นบุญเป็นกุศล แล้วไปบิณฑบาตร เขาไดบ้ ญุ ไดก้ ุศลอย่างน้อยเป็นกัลยาณปถุ ุชน ก็ยงั ดีเป็นหนี้น้อยหน่อย ญาติโยมก็ได้บุญบ้าง ดีกว่า 48

ไม่ไดเ้ ลย พวกเรานกี่ ค็ ล้ายๆ พระ ท่ีอยตู่ รงนีก้ ็อยู่ ฟรี ข้าวกก็ นิ ฟรี เห็นไหม รถจอดไวท้ ่นี อก นงั่ รถตู้ ฟรเี ขา้ มาอีก เตม็ ไปด้วยของฟรี ฉะนัน้ เป็นหนี้แล้ว ต้องภาวนาใชห้ นเ้ี ขา พอภาวนาแล้วก็นึกถึงคนที่เขาจัดสถานท่ี คนทีเ่ ขาจัดการแสดงธรรม คนท่ีชว่ ยงาน นึกถงึ เขา บา้ ง นึกไปอย่างนั้นล่ะ เขารบั ไม่ได้หรอกเพราะเขา ไม่รู้ เรานึกถงึ กแ็ สดงวา่ เรากย็ ังกตัญญอู ยู่ ก็ยงั เปน็ คนดี ถ้าเจอเขาก็ขอบใจเขาหน่อย อนุโมทนา กับเขาหน่อย คนทช่ี ่วยงาน อย่างพวกจราจร ไม่ได้ ฟงั ธรรม เดนิ ทอ่ มๆ อยขู่ า้ งถนน นา่ สงสาร เสยี สละ คนท่ีเสียสละเพ่ือให้เราได้ฟังธรรมะน่ี มีเยอะเลย ผู้ที่เสียสละท่านแรกคือ พระพุทธเจ้า สืบทอดกันลงมาจนถึงวันน้ี หลวงพ่อคนเดียว ท�ำไม่ได้ พวกเรามาเยอะๆ ไม่มีปญั ญา กม็ ีคนมา 49

ช่วยเยอะแยะเลย ซีดีหรือเว็บไซด์ต่างๆ หลวงพ่อ ก็ไมไ่ ด้ทำ� ทำ� ไมเ่ ปน็ คนเขาทำ� เขาไมไ่ ด้ประโยชน์ อะไร ล�ำบากมากเลยในการท�ำงาน สิ่งเหล่านี้ก็ เพ่ือ เขาท�ำเพ่ือแทนคุณพระพุทธเจ้า พวกเราก็ ภาวนา แทนคุณผู้มีอุปการะคุณของเราด้วย เรียก “บพุ การ”ี คนทส่ี งเคราะหเ์ รากอ่ นโดยทเ่ี รายงั ไมเ่ คย สงเคราะห์เขานี่ เรียก “บุพการี” ผู้ให้การอุปการะ ก่อน อย่างพระพุทธเจ้าเหมือนบุพการีเรา อุปการะเรา สอนเรา สอนยาก มนุษย์แต่ล่ะคน กว่าจะพ้นทุกข์ขึ้นไป ยากเหมือนสอนควายให้ขึ้น ต้นไม้เลย ต้นไม้สูงๆ ต้นยาง ต้นอะไรน่ี สอนให้ ควายปีนขึ้นไป ไม่ใช่ง่ายหรอก ยาก อันนี้ไม่ได้ว่า พวกเรา หลวงพ่อนึกถึงตัวเองหรอกว่า เรากิเลส หนาปัญญาหยาบนได้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วก็ ค่อยๆ ขดั เกลามา ค่อยมคี วามสขุ ขึ้น สู้นะ 50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook