พระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช พิมพค์ ร้ังที่ ๑ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จ�ำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม สงวนลิขสทิ ธ์ิ ห้ามพิมพ์จ�ำหน่ายและห้ามคัดลอกหรือตัดตอนไปเผยแพร่ทาง สอ่ื ทกุ ชนดิ โดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากผเู้ ขยี น หรอื มลู นธิ สิ อ่ื ธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ผู้สนใจอ่านหรือฟังพระธรรม เทศนา สามารถดาวนโ์ หลดได้จาก http://www.dhamma.com ตดิ ตอ่ มลู นธิ ฯิ ไดท้ ี่ www.facebook.com//LPPramoteMediaFund หรือ [email protected] ดำ� เนินการพมิ พโ์ ดย บรษิ ัท พรมี า พับบลชิ ชิง จ�ำกดั ๓๔๒ ซอยพฒั นาการ ๓๐ ถนนพฒั นาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรงุ เทพฯ ๑๐๒๕๐ โทร. ๐๒-๐๑๒๖๙๙๙ หนังสือเล่มนี้มูลนิธิส่ือธรรมหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช จัดพิมพ์ด้วย เงนิ บรจิ าคของผมู้ จี ติ ศรทั ธาเพอื่ เปน็ ธรรมทาน เมอื่ ทา่ นไดร้ บั หนงั สอื เลม่ นแ้ี ลว้ กรณุ าตงั้ ใจศกึ ษาปฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ทง้ั แกต่ นเองและผอู้ น่ื เพือ่ ให้สมเจตนารมณข์ องผูบ้ รจิ าคทุกๆ ท่านด้วย
คำ�น�ำ หนังสือเล่มน้ีเกิดจากการถอดความเสียงเป็น ตัวอักษรจาก พระธรรมเทศนาที่หลวงพ่อปราโมทย์ได้ แสดงไวท้ ว่ี ดั สวนสนั ตธิ รรม ในวนั อาทติ ยท์ ่ี ๑๒ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ซง่ึ หลวงพ่อไดอ้ ธบิ ายหลักการปฏิบตั ธิ รรม ไว้อย่างครอบคลุมต้ังแต่ ปฏิบัติอะไร ปฏิบัติเพ่ืออะไร ปฏิบัติอย่างไร ทางมูลนิธิส่ือธรรมหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช เหน็ ประโยชนใ์ นการเผยแพรแ่ กผ่ สู้ นใจภาวนา จงึ ไดถ้ อดความและจดั พมิ พเ์ ปน็ หนงั สอื เลม่ นขี้ นึ้ มา ดว้ ย หวังว่าผู้อ่านจะสามารถน้อมน�ำไปปฏิบัติและสามารถรู้ ความจรงิ ของรูปนามกายใจได้ในทีส่ ดุ มลู นิธิสือ่ ธรรมหลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วนั อาสาฬหบชู า ๒๕๖๐
ธรรมะจริงๆไม่ใช่เรื่องยาก บางคนฟังธรรมะ มากมาย รสู้ กึ ธรรมะเยอะเหลอื เกนิ จะลงมอื ปฏบิ ตั จิ ะทำ� อย่างไร ท�ำอะไร ฟังแล้วงง จริงๆ ไม่ได้ยากอะไร ต้องรู้ก่อนว่าเราปฏิบัติอะไร ปฏิบัติเพ่ืออะไร ปฏิบัติ อยา่ งไร เราจะท�ำอะไรบา้ ง สิง่ ท่เี ราจะท�ำในการฝกึ จิต ฝกึ ใจตวั เองมี ๒ อยา่ ง คอื ท�ำสมถกรรมฐานอนั หนง่ึ กับวปิ ัสสนากรรมฐานอันหน่งึ ถามวา่ จะท�ำอะไร ทำ� สมถะกับวิปัสสนา ท�ำเพ่ืออะไร สมถะท�ำไปเพ่ือให้จิตมันมีแรง มีก�ำลัง แล้วก็เป็นการ เตรียมความพร้อมของจิตเพ่อื จะเดนิ วปิ ัสสนา เพราะฉะนน้ั งานมี ๒ งาน จะทำ� อะไร ทำ� สมถะ กบั ทำ� วิปัสสนา ท�ำเพ่ืออะไร สมถะท�ำเพื่อให้จิตมีก�ำลัง ๖
มีความพร้อมท่ีจะเจริญวิปัสสนา ส่วนวิปัสสนา กรรมฐานท�ำไปเพอ่ื อะไร เพื่อใหจ้ ติ ฉลาด สมถะท�ำเพ่อื ใหจ้ ติ มีความพรอ้ มท่จี ะเจรญิ ปญั ญา การเจรญิ ปญั ญาเพอื่ ใหจ้ ติ ไดร้ คู้ วามจรงิ ของรปู นาม กาย ใจ ฉลาด รู้ทนั ร้คู วามจริงของรปู นาม กายใจ ถ้ารู้แลว้ อะไรจะเกิดขึน้ ถา้ รแู้ ลว้ กระบวนการทจ่ี ติ จะปลอ่ ยวางความยดึ ถอื ในรปู นาม กายใจ จะเกดิ ข้ึน พระพุทธเจ้าถึงสอน เพราะรู้ตามความเป็นจริง เพราะเห็นตามความเปน็ จรงิ จงึ เบอ่ื หนา่ ย เพราะเบ่ือ หน่ายจึงคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือจึง หลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว มีส�ำนวน ตอ่ ถา้ เปน็ พระอรหนั ต์ ทา่ นบอกวา่ ชาตสิ นิ้ แลว้ คอื ความ เกิดหมดสน้ิ แลว้ ความเกดิ คือการได้มาซึ่งตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ จิตไมไ่ ปหยบิ ฉวยเอา ตา หู จมกู ลิ้น กาย ๗
ใจ ขนึ้ มาอกี ชาตสิ นิ้ แลว้ พรหมจรรยอ์ ยจู่ บแลว้ คอื การ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมเสรจ็ แลว้ กจิ ทคี่ วรทำ� ทำ� เสรจ็ แลว้ กิจท่ีควรท�ำก็คือการถอดถอนตัวเองออกจากกองทุกข์ ท�ำส�ำเร็จแล้ว เพราะฉะน้ันเรารู้ว่าเราจะท�ำสุดท้ายเพ่ือ ถอนตวั เองออกจากกองทุกข์ กจิ ที่ควรท�ำ ทำ� เสร็จแลว้ กิจอ่ืนเพื่อความบริสุทธ์ิหลุดพ้นไม่มีอีกแล้ว รู้ว่างาน เสรจ็ แลว้ ทางธรรมกับทางโลกต่างกนั ตรงน้ี ทางโลกงาน ไมม่ วี นั สนิ้ สดุ อยา่ งกวาดบา้ นไวว้ นั นี้ วนั พรงุ่ นต้ี อ้ งกวาด อีกแล้ว หุงข้าวกินวันน้ี วันพรุ่งน้ีก็ต้องกินข้าวอีกแล้ว หรือทำ� มาหากินนะ ท�ำไปเรื่อยๆ ไม่มที สี่ ้นิ สุด งานทาง ธรรมะมที สี่ ิน้ สุด สิน้ สุดตรงท่ีจิตรแู้ จง้ เห็นจริง ในรปู ใน นาม ในกายในใจนแ้ี ลว้ ปลอ่ ยวาง ไมย่ ดึ ถอื จติ กห็ ลดุ พน้ จากรปู นาม เขา้ ถงึ สนั ตสิ ขุ นคี่ อื เปา้ หมายวา่ ทำ� วปิ สั สนา เพื่ออะไร เพ่ือความบริสุทธ์ิหลุดพ้นน่ันเอง สุดท้ายให้ เกิดปัญญา ในท่ีสุดปัญญาก็น�ำเราไปสู่ความบริสุทธ์ิ หลุดพ้น เพราะฉะน้ันหัวข้อท่ีเราเรียนธรรมะ อันแรก ๘
เราจะท�ำอะไร การฝึกจิตฝึกใจน้ันมี ๒ อัน ท�ำสมถะ กับวปิ สั สนา สมถะเปน็ การเตรยี มความพรอ้ มสำ� หรบั จติ เพ่ือใหจ้ ิตพร้อมทจ่ี ะเจริญปัญญาได้ วิปัสสนาทำ� ไปเพื่อ ให้จติ ฉลาด เห็นความจรงิ ของรูปนามกายใจ จนปล่อย วางแล้วกเ็ ขา้ ถึงความดบั สนทิ แหง่ ทกุ ขใ์ นท่ีสุด เราไม่ได้ทำ� ตามยถากรรม เรามที ิศทางของการ ปฏิบัติ เรามีจุดมุ่งหมาย มีปลายทางของการปฏิบัติ ไมใ่ ชท่ ำ� ไปเรอื่ ยๆ ทำ� ไปเถอะแลว้ วนั หนง่ึ ดเี อง อะไรอยา่ ง นน้ั พระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ดส้ อนอยา่ งนน้ั ไมม่ เี รอื่ งตามยถากรรม มีแต่เรอ่ื งท�ำเหตอุ ยา่ งนีจ้ ะมผี ลอยา่ งน้ี ทำ� เหตอุ ย่างนม้ี ี ผลอย่างน้ี มาถึงค�ำว่าจะท�ำอยา่ งไร สมถกรรมฐานที่ท�ำไปเพื่อเตรียมความพร้อมของจิตให้ เจริญปญั ญาได้น้ัน จิตท่มี คี วามพรอ้ มทจี่ ะเจรญิ ปญั ญา ไดน้ น้ั ตอ้ งเป็นจิตท่ีมีลกั ษณะเปน็ กศุ ล เป็นมหากศุ ลจิต ประกอบดว้ ยปญั ญา เกิดโดยไม่ไดช้ ักชวนใหเ้ กิด จิตจะ ๙
มีลักษณะอย่างน้ี เป็นมหากุศลจิต ไม่ใช่จิตที่มีราคะ โทสะ โมหะ เปน็ จิตท่ไี ม่มีราคะ ไมม่ ีโทสะ ไมม่ โี มหะ แต่ไม่มีขึ้นมาด้วยอ�ำนาจของสมาธิเท่าน้ันเอง แล้วพอ สมาธิเสอ่ื มราคะ โทสะ โมหะก็มาใหม่ เราอุตสา่ หท์ �ำ สมถกรรมฐานก็เพื่อใหจ้ ติ มีกุศลขึน้ มาชัว่ คราว แลว้ ก็จะ ได้ใช้จิตที่มีกุศลอันนี้ไปเรียนรู้ความจริงของรูปนามกาย ใจ เอาจติ เปน็ อกศุ ลไปเรียนรู้ความจริงไมไ่ ด้ เพราะจิต ท่เี ป็นอกุศลนเ้ี ปน็ จิตทโ่ี ง่ จติ ทล่ี มื เน้อื ลมื ตวั เรยี นรอู้ ะไร ไมไ่ ด้ ท�ำยังไงจิตของเราจึงเป็นกุศล ประกอบด้วยปัญญา เกิดขึ้นได้เอง มหี ลายเงอื่ นไข ภาษาบาลบี อกวา่ เปน็ มหากศุ ลจติ ญาณ สมั ปยตุ คำ� ว่าญาณสมั ปยุต คือประกอบดว้ ยปญั ญา จติ มี ๒ ชนดิ มี ญาณสมั ปยตุ กบั ญาณวปิ ยตุ จติ ที่เป็น กุศลมี ๒ อย่างน้ี ประกอบดว้ ยปัญญากับไมป่ ระกอบ ดว้ ยปญั ญา แลว้ กอ็ สงั ขารกิ ัง ไม่ได้ชักชวนใหเ้ กดิ เกิด ๑๐
ได้เอง จะท�ำยังไงจิตท่ีเป็นกุศลประกอบด้วยปัญญาจะ เกิดได้เอง ไม่ใช่เร่ืองง่าย อันแรกเลยจิตจะเป็นกุศลได้ ต้องมีสติ ถ้าไม่มีสติ จิตจะไม่ใช่กุศลจิต มหากุศลจิต จะตอ้ งมสี ติเสมอ ถ้าขาดสติ จิตจะเปน็ อะไรไดบ้ า้ ง จิต จะเปน็ อกศุ ลจติ แล้วอกี อันหนงึ่ เป็นวิบากจติ วิบากจติ ไม่ดไี ม่เลว พวกเรารู้จักวิบากจิตบ้างไหม จิตที่มองเห็นรูป ในขณะทีต่ าเรามองเหน็ ลองหลบั ตาแล้วลองหันหนา้ ไป ทางใดทางหนงึ่ หนั หนา้ ไปแล้วลมื ตา สงั เกตไหม ภาพ แรกทเี่ ราเหน็ เราไม่รู้ด้วยซำ�้ ว่ามันคอื อะไร ตรงนั้นไมม่ ี กุศลไม่มีอกุศลอะไรเลย มันเห็นไปตามสัญชาตญาณ มนั เหน็ เพราะวา่ มนั มตี า เพราะวา่ มนั มรี ปู มนั มแี สงสวา่ ง มากพอ แล้วก็ใจมันไปกระทบ มันไปเห็นเข้า พอตา กระทบ มคี วามรบั รทู้ างตาเกดิ ขนึ้ แตย่ งั ไมม่ กี ารแปล ไมม่ ี การแปลความหมายวา่ สงิ่ ทีเ่ หน็ คอื อะไร จติ ขณะนัน้ เปน็ จติ ท่ีทำ� งานอตั โนมตั ิ เป็นวบิ ากจิตเฉยๆ ไมด่ ไี มช่ ว่ั แล้ว สังเกตดู เอาใหม่ หลับตาใหม่ เราจะสังเกตเพิ่มเติม ๑๑
อยา่ เครียด ถา้ เครยี ดจะไมเ่ หน็ อะไรเลย เอา้ ! เปล่ยี น ทศิ ทางหนั หนา้ ไป ลมื ตา เอา้ ! พอแลว้ สงั เกตไหมวา่ ขณะท่ีเห็นน้ัน ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ใจไม่เป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นตรงท่ีตาเห็นรูป วิบากจิตที่เกิดจะเป็น อเุ บกขา ไมม่ สี ขุ ไมม่ ที กุ ข์ ไมม่ ดี ไี มม่ ชี วั่ เปน็ วบิ าก เพราะ ฉะน้นั เราเรยี นธรรมะเราอยา่ ไปตกใจมากว่า มันมศี ัพท์ อะไรมากมาย ถ้าเราภาวนา เราเห็นสภาวะการเรียน จะงา่ ย กระท่ังเรยี นอภิธรรมยังง่ายเลย ไม่ไดย้ ากอยา่ ง ที่คิดหรอก พวกที่ยากมากเพราะอะไร เพราะไม่เห็น สภาวะ ต้องท่องเอา ท่องๆๆ ไป มันไม่เห็นของจริง เดี๋ยวมันก็ลืมแล้ว สอบเสร็จก็ลืมหมดแล้ว แต่เราเห็น ของจรงิ เราไมล่ มื รูส้ ึกไดท้ ้ังชาติ จติ ที่เปน็ กศุ ลต้องมสี ติ ลกั ษณะจิตทีเ่ ปน็ กุศลจะมี ความเบา เพราะฉะน้นั เวลาที่เราจงใจปฏิบตั ิแลว้ จติ เรา หนกั ๆ จติ เป็นอกุศล ทุกคนลองน่ังสมาธซิ ิ (ทุกคนนงั่ สมาธ)ิ เอาละพอ ใครรูส้ ึกวา่ จิตหนักมากขึน้ บ้าง ยกมอื ซิ (คนยกมอื ไมก่ คี่ น) ผไู้ มร่ นู้ ไี่ มผ่ ดิ ใชไ่ หม หนกั ซะเตม็ หอ้ ง ๑๒
เลย ยงั บอกไมห่ นกั อกี คลา้ ยๆ แข็งแรงนะ ทุกวนั แบก ถงั ใบใหญ่ แบกทกุ วนั จนไมร่ สู้ กึ วา่ หนกั ถา้ เคยวางลงไป ได้แลว้ หยบิ ขน้ึ มาจะหนกั แกว้ น�ำ้ นีห่ นัก หนักกว่าอะไร หนักกว่าตอนท่ีไม่ได้ถือ ถามว่ากระติกน้�ำนี่หนักไหม กระติกน้�ำน่ีหนักกว่าอีก แต่ถ้าถือแก้ว แก้วหนักกว่า กระติก เพราะกระติกน้ันเราไม่ได้ไปถือไว้ เวลาที่เรา ภาวนาค่อยๆ สังเกตใจน้ีไปหยบิ ไปฉวยอะไรขน้ึ มา ใจจะ หนกั ใจจะมภี าระ ใจไปแบกอะไรไว้ แค่คิดจะท�ำกรรมฐานใจก็หนักขึ้นมาแล้ว ใจท่ี หนักเป็นอกศุ ลจิต มนั มาจากโลภะ เราอยากปฏิบตั ิ มี อยากปฏบิ ตั ไิ หม ตนื่ เชา้ ขน้ึ มากอ็ ยากปฏบิ ตั แิ ลว้ วันนี้จะ ปฏิบัติยังไงดี พออยากปฏิบัติแล้วก็ลงมือปฎิบัติ กเิ ลส มกี ฏอนั หนึ่ง กเิ ลสเปน็ สหชาตปัจจัยของกรรม กรรม คอื การกระทำ� กรรมทพ่ี วกเรากระทำ� บอ่ ยกค็ อื กรรมฐาน นั่นแหละ ถือว่าเป็นการท�ำกรรม เป็น อะไรท�ำให้ ทำ� กรรมฐาน อยากดี มกี เิ ลสทำ� ใหก้ ระทำ� กรรมดกี ไ็ ดน้ ะ ไม่ใช่กิเลสแล้วกระท�ำกรรมช่ัวอย่างเดียวหรอก กิเลส ๑๓
ท�ำให้เกิดการกระท�ำดีก็ได้ เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลก็ได้ กุศลเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลก็ได้ อย่างเวลาเราเห็นน่า สงสารเราไปให้ค�ำแนะน�ำเขา อย่าท�ำอย่างนี้เลยเด๋ียว เดอื ดรอ้ น เขาไมเ่ ช่อื เรา เราโกรธเลยนะ กรุณาพลิก เป็นโทสะ จะพลิกไปพลิกมา เพราะฉะนั้นจิตนี้เป็น เรื่องละเอียดอ่อน ค่อยๆ เรียนค่อยๆ รู้ไป เมอื่ ไหรจ่ ิต ยึดถือ จิตจะมีน้�ำหนักขึ้นมา มีกิเลส เกิดการกระท�ำ กรรม ในขณะท่ีกระท�ำกรรมด้วยอ�ำนาจของกิเลสนั้น กเิ ลสยังอยู่ เรียกกเิ ลสเปน็ สหชาตปจั จัยของกรรม เกดิ ร่วมกับกรรมเกิดพร้อมกัน แต่ว่าท�ำให้เกิดการกระท�ำ กรรม เกดิ ดว้ ยกนั ระหวา่ งทก่ี ระทำ� กรรมนนั้ กเิ ลสยงั อยู่ เพราะฉะนน้ั ไมแ่ ปลกเลยทพ่ี วกเราบางคนนงั่ สมาธิ แลว้ เครยี ดตลอดสายเลย เมอื่ ไหรจ่ ะสงบ อยากสงบ แลว้ มนั ไมไ่ ด้ดงั่ ใจ โทสะมนั ขึ้น ใจจะมีความทกุ ข์ขนึ้ มา ถา้ จติ มคี วามทกุ ขข์ น้ึ มาเมอ่ื ไหร่ ตอ้ งรเู้ ลย จติ เปน็ อกศุ ล จิตที่มีความทุกข์น่ีเป็นลักษณะท่ีจิตมีโทสะ แต่จิตมี ความสุขไม่แน่ว่าเป็นกุศล จิตที่มีราคะมีความสุขได้ ๑๔
เพราะฉะนัน้ คอ่ ยๆ เรยี น คอ่ ยๆ ดูของจรงิ ไปเรื่อย จิตท่ีเป็นกุศลจะมีความเบา มีความนุ่มนวล ออ่ นโยน คลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว ขยนั เรยี นรคู้ วามจรงิ ไม่ ข้เี กยี จ แลว้ ก็ซือ่ ตรงในการรู้อารมณ์ รู้แลว้ ไมเ่ ขา้ ไป แทรกแซง จิตพวกเราท่ีภาวนาส่วนใหญ่ มันไม่เป็น กุศลแท้ เจอสภาวะอยา่ งนอี้ ยากได้ สภาวะไม่เกิดอยาก ใหเ้ กดิ สภาวะนเ้ี กดิ แลว้ ชอบใจอยากใหอ้ ยนู่ านๆ สภาวะ นเี้ กดิ มาแลว้ ไมช่ อบใจอยากใหห้ ายไป จะมกี เิ ลสแทรกอยู่ เรื่อยๆ เลย ค่อยๆ สังเกตไป หดั ดจู ิตทเี่ ปน็ กุศล หรอื จติ ท่ีเป็นอกศุ ล ขณะน้ีจิตเปน็ กุศลหรอื เปน็ อกศุ ล ค่อยๆ หัดสังเกตไป ถ้าเป็นกุศล จิตจะเบา จิตจะอ่อนโยน นุ่มนวล คล่องแคล่วว่องไว ซื่อตรงในการรู้อารมณ์ ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มโี มหะ ท�ำอยา่ งไรจงึ จะรวู้ ่าไม่มรี าคะ ไมม่ ีโทสะ ไม่มีโมหะ ต้องรู้จักว่าราคะเป็นอย่างไร ต้องรู้จักว่าโทสะเป็น อยา่ งไร ต้องรู้จกั วา่ โมหะความหลงเป็นอยา่ งไร ถ้าเรา ๑๕
ไมร่ ู้จัก อยูก่ ับมนั เราไม่รู้จักมนั เรากด็ ูไม่ออก ทำ� ยังไง จะดอู อกวา่ จิตมีราคะ โทสะ โมหะไหม หดั สังเกตตัวเอง รู้จกั โกรธไหม ใครโกรธเป็นบ้าง ยกมือซิ ใครไม่เคย โกรธเลย ยกมือซิ มีไหม ไม่โกรธเลยต้องพระ อนาคามีขึ้นไป เพราะฉะนั้นพวกเรารู้จักโกรธใช่ไหม รจู้ กั โกรธไมย่ ากอะไร ตอ่ ไปน้ถี า้ ความโกรธเกดิ ขึ้นรทู้ นั ถ้าความโกรธเกดิ ขน้ึ คอยรทู้ นั รจู้ ักโลภไหม รูจ้ กั โลภใช่ ไหม รู้จักอิจฉาไหม อิจฉานี่อยู่ในตระกูลโทสะ รู้จัก ตระหนไ่ี หม รู้สึกอารมณข์ ีเ้ หนียว เวลาอารมณ์ขเี้ หนียว หวงแหนขนึ้ มา จติ เปน็ ราคะหรือโทสะ ตอนทีห่ วงของ กลัวคนเขามาเอาน่ีมีความสุขไหม มีความทุกข์ใช่ไหม หวงแล้วมีความทกุ ข์ ระแวงระวัง จิตที่มีความทุกข์เป็น จิตที่มีโทสะ คอ่ ยๆ สงั เกตไป ราคะพวกเรากร็ จู้ ัก โทสะเราก็ รจู้ กั อจิ ฉาเปน็ ราคะหรอื เปน็ โทสะ เวลาอจิ ฉามคี วามสขุ ไหม ไม่มคี วามสขุ เปน็ โทสะ พยาบาท อาฆาต พวก โทสะน่ีดูงา่ ย โทสะเป็นกิเลสท่ีดงู ่ายทีส่ ดุ หลวงพอ่ เลย ชวนพวกเรา ถา้ จะหัดดูกเิ ลส ดูโทสะ โทสะจะเกดิ บ่อย ๑๖
ขับรถอยู่คนปาดหน้าก็โทสะขึ้นแล้วรู้สึกไหม ขับรถอยู่ ใกล้จะไฟแดงแล้ว ไฟเขียวเรารู้แล้วเหลืออยู่อีกไม่ก่ี วินาทีแล้ว โทสะยังขึ้นเลย โทสะกลัวรถคันหน้าวิ่งช้า อะไรอย่างน้ีเป็นบ้างไหม เวลาติดไฟแดงน่ีโทสะข้ึนขีด สุดเลยถ้าติดคันแรก โทสะแรงที่สุดเลยติดคันแรก ซวยจรงิ ถา้ ตดิ คนั ที่ ๒๐ นเี่ ฉยๆ ตดิ คนั ทรี่ อ้ ย เซง็ ไมใ่ ช่ โทสะปกติ เปน็ โทสะที่ไม่รนุ แรงแค่เซง็ อกี รอบหนงึ่ ก็ไม่ พ้น พอท�ำใจวา่ อีกรอบหน่งึ ก็ไมพ่ น้ ไมเ่ รา่ รอ้ นมาก เรา คอ่ ยวดั ใจของเราไป วดั ใจของเราเอง ใจเรามโี ทสะเรา ก็รู้ ใจเรามรี าคะเรากร็ ู้ ใจมีโมหะดูยาก รจู้ ักใจลอยไหม ใจลอยแลว้ คอย รเู้ อาวา่ ใจลอย ใจลอยนใ่ี จมนั ฟงุ้ ซา่ นไป ฟงุ้ ซา่ นเปน็ โมหะ เพราะฉะน้ันเราคอยรู้ทันไป ใจลอยแล้วก็รู้สึก เวลา พยายามจะดูโทสะ กระทบอารมณ์ปกติโทสะเกดิ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ กระทบอารมณโ์ ทสะเกดิ เรารทู้ นั หรอื ดรู าคะ ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ กระทบอารมณ์ราคะ เกดิ เรารทู้ นั ดูง่าย ราคะ โทสะ นี่ยงั หยาบ โมหะดูยาก ๑๗
เพราะฉะน้ันอยู่ๆ จะรอกระทบอารมณ์แล้วให้เห็นว่า ใจลอยดูไม่ออกหรอก ใจท่ีจะดูโมหะให้ดี ควรท�ำกรรม ฐานสักอยา่ งหนึง่ จะพุทโธ จะรูล้ มหายใจ จะดทู ้องพอง ยบุ อะไรกไ็ ด้ ทำ� กรรมฐานสกั อยา่ งหนงึ่ แลว้ คอยดเู วลา ทีใ่ จมนั เผลอไป เชน่ พุทโธ พุทโธ อยู่ดีๆ ไปคิดถงึ เรอื่ ง อ่ืนแล้ว เราก็รู้ว่าอย่างนี้หลงแล้ว หัดรู้อย่างนี้ เด๋ียวก็ หลงแล้ว เนี่ยค่อยๆ ฝึกไป ค่อยท�ำกรรมฐานสักอย่าง หนง่ึ แล้วคอยรูท้ ันเวลาใจมันหลงไป ใจหลงไปตอนท�ำกรรมฐาน หลงได้ ๒ แบบ แบบท่ี ๑ หลงไปคดิ นกึ ปรงุ แตง่ เรอ่ื งอนื่ ไปเลย ลมื ตวั เอง แบบท่ี ๒ หลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน เช่น เราดูท้อง พองยุบจิตหลงไป คือจิตมันไหลไปอยู่ที่อารมณ์ไปอยู่ท่ี ท้อง ไปอยู่ทีล่ มหายใจ หรือเดนิ จงกรมจิตไหลไปอยทู่ ี่ เทา้ อะไรอยา่ งน้ี อยากรเู้ ทา้ มนั ยกเทา้ มนั ยา่ ง โลกนเ้ี หลอื แต่เท้า ตายไปเปน็ ตวั อะไรมีแต่เท้า ๑๘
ค่อยๆ หัดสังเกต สติเราจะเกิดได้ถ้าเราจ�ำ สภาวะได้ เพราะฉะนน้ั ดสู ภาวะบอ่ ยๆ พอเราดสู ภาวะได้ สตเิ กดิ ปปุ๊ จติ จะเปน็ กศุ ลโดยอตั โนมตั ิ องคป์ ระกอบของ กุศลมีมากมาย องค์ธรรมที่ประกอบเปน็ กุศลมมี ากมาย ลักษณะทแี่ สดงออกมมี ากมาย เราอาจจะตกใจว่า โอโ้ ห มีลหุตา มีมุทุตา มปี าคุญญตา มกี มั มัญญตา มีอชุ ุกตา ฟงั แลว้ กย็ ง่ิ ฟงุ้ ซา่ นหนกั กวา่ เกา่ วธิ งี า่ ยๆ เลยทจ่ี ติ จะเปน็ กุศล คือเม่อื ไรมีสติ เม่อื น้นั จิตเปน็ กุศลแล้ว สตเิ กิดจาก จิตจ�ำสภาวะได้แม่น เพราะฉะน้ันหัดดูสภาวะเรื่อยๆ สภาวะทพ่ี วกเราเกดิ บอ่ ยคอื กเิ ลส เพราะฉะนนั้ ไมต่ อ้ งหดั ดูกุศลหรอก หัดดูกิเลสไป พระพุทธเจ้าถึงสอน จิตมี ราคะร้วู ่ามีราคะ จิตไมม่ รี าคะรูว้ า่ ไมม่ ีราคะ จิตมีโทสะ รู้ว่ามโี ทสะ จติ ไม่มีโทสะรวู้ า่ ไม่มโี ทสะ ดูจากกิเลส ของ มนั มจี รงิ ของมนั มบี อ่ ย คนไหนขโ้ี มโห ดคู วามขโี้ มโหเปน็ หลกั เลย เดย๋ี วกโ็ กรธ เดย๋ี วกโ็ กรธ เดยี๋ วกห็ งดุ หงดิ เดยี๋ ว ก็ร�ำคาญ ร�ำคาญก็เป็นโทสะ เซ็ง เบื่อ อะไรอย่างน้ี โทสะทงั้ นั้น อจิ ฉา อาฆาต อะไรอยา่ งน้ี ทงั้ หมดนโ้ี ทสะ คนไหนขโี้ มโหคอยดจู ากใจทหี่ งดุ หงดิ เดี๋ยวก็โกรธ เด๋ียว ๑๙
ก็โกรธ ไปเร่ือยๆ ไม่รู้จะโกรธใคร โกรธตวั เองอกี หลง บอ่ ยจรงิ โกรธบ่อยอีก โมโหตวั เองท�ำไมโกรธบอ่ ย ใคร เคยเปน็ ไหม โมโหตัวเองทำ� ไมโกรธบอ่ ยนกั ท�ำไมไม่ดี อย่างท่ีหลวงพ่อบอกสักที อย่างน้ีข้ีโมโห เดี๋ยวน้ีดีขึ้น ไหม รเู้ รว็ ขนึ้ ถอื วา่ ดขี น้ึ แตอ่ ยา่ ตามใจกเิ ลส อยา่ ไปยอม ตามใจ ค่อยๆ ดู พอโกรธแล้วรู้ โกรธแลว้ รู้ พวกไหนขี้โลภเจออะไรก็อยากได้หมด คอยรู้ ทันใจท่ีโลภ คอยร้ทู นั ไป หัดรสู้ ภาวะท่ีมนั เกดิ บอ่ ยๆ ดี ทสี่ ดุ สภาวะทนี่ านๆ เกดิ ทอี ยา่ ไปเอาเลย สตไิ มเ่ กดิ หรอก เพราะว่ามันจ�ำสภาวะไม่ได้ นานๆ จะเห็นสักทีหนึ่ง เพราะฉะน้ันเราดูสภาวะท่ีเกิดบ่อยๆ ของเราเองขี้โมโห ดใู จที่มโี ทสะ ใจท่ีไม่แชม่ ชนื่ หงดุ หงดิ ขีโ้ ลภกด็ ใู จมนั โลภขึ้นมา ถ้าจะดูใจลอยขึ้นมา บางคนโทสะก็ไม่แรง ราคะก็ไม่แรง อยู่เฉยๆ บอกหนูไมเ่ ห็นมีกิเลสเลย ก็หนู หลงน่ะ หนูหลงเฉยๆ แต่ราคะโทสะของหนูมันไม่แรง เพราะว่าอนุสัยทางราคะโทสะของหนูสะสมมาน้อยไป หนอ่ ย สว่ นใหญ่สะสมมาเยอะ ใครน้อยบา้ ง มนั ก็เยอะ ๒๐
ทัง้ นน้ั คอ่ ยๆ ดไู ป การทเี่ ราดูบ่อยๆ โทสะเกดิ แลว้ รู้ โทสะเกดิ แล้วรู้ ราคะเกดิ แลว้ รู้ ตอ่ ไปพอมนั เกดิ ปปุ๊ มนั จะรโู้ ดยไมเ่ จตนาใหเ้ กดิ ไมเ่ จตนารู้ รไู้ ดเ้ อง ตรงนเี้ ราจะ ไดจ้ ติ ทเี่ ป็นกุศล เกิดข้ึนเอง สติเกดิ ไดเ้ อง เพราะฉะนั้น เราตอ้ งฝกึ จนกระทง่ั จติ จำ� สภาวะไดแ้ ม่น แล้วสติเกิดเอง จิตดวงน้ันจะเป็นมหากุศลจิต อสังขาริกงั เกดิ เอง ไม่ ไดเ้ จตนาใหเ้ กดิ ใครเคยมสี ตเิ กดิ ไดเ้ องบา้ ง ยกมอื ซิ มนั จำ� สภาวะ ได้ปุ๊ปมันรู้สึกเลย อย่างคนใจลอยอยู่รู้ตัวว่าใจลอยปุ๊ป มนั รูส้ กึ ข้นึ มาเลย โดยที่ไมไ่ ด้เจตนารสู้ กึ ถา้ เจตนารู้สึก จะไมร่ สู้ กึ เพราะเจตนารสู้ กึ เปน็ โลภเจตนา เจอื ดว้ ยโลภะ เพราะฉะน้นั สติไม่เกิดหรอก อยา่ งพวกเราภาวนาใหม่ๆ รสู้ กึ ๆ รสู้ กึ สๆิ สดุ ทา้ ยไมเ่ กดิ หรอกกศุ ล สตไิ มเ่ กดิ หรอก หัดรูส้ ภาวะไป รู้บ้าง เผลอบา้ ง รู้บา้ ง เผลอบา้ ง โกรธ ขน้ึ มากร็ ูไ้ ป โลภขึ้นมาก็รู้ไป บางทีโกรธแรงๆ ร้ไู มท่ ัน ตบไปกอ่ นแลว้ รวู้ า่ โกรธอะไรอยา่ งน้ี แตต่ อ่ ไปชำ� นาญขนึ้ พอโกรธนดิ หนงึ่ กร็ ู้ โกรธนดิ หนงึ่ กร็ ู้ มนั ไมท่ นั จะทำ� รา้ ย ๒๑
ใคร สตมิ ันจะเร็วข้นึ เรือ่ ยๆ โดยที่ไม่ได้เจตนา ตรงที่ไม่ เจตนานส่ี �ำคัญมากเลย มันจะเปน็ ส่ิงท่เี รยี กวา่ อสังขาริ กงั ไมไ่ ดช้ กั ชวนใหเ้ กดิ ไมต่ อ้ งออ้ นวอนใหเ้ กดิ ถา้ ตอ้ ง อ้อนวอนให้เกิดเอาไปเดินปัญญาไม่ได้ จิตดวงนั้นเป็น กศุ ลทีม่ กี ำ� ลงั อ่อน อยา่ งจติ ทเ่ี ปน็ กศุ ลทม่ี กี ำ� ลงั ออ่ น-กำ� ลงั กลา้ น้ี ดตู รง น้ีไดอ้ ยา่ งหนงึ่ ถา้ ตอ้ งบิลทเ์ พ่ือใหเ้ กดิ กุศลเนยี่ เปน็ กุศล ทอ่ี อ่ น อยา่ งเพอ่ื นชวนเรา วนั นไ้ี ปฟงั หลวงพอ่ ปราโมทย์ เทศนเ์ ถอะ เรากล็ ังเลไปดไี มด่ ี ดไี มด่ ี ดีไม่ดี คว้าดอก กุหลาบมาปลดิ ดีไม่ดี ซวยละ ดงึ ไปหมดแลว้ มนั ต้องไป ดี ท้งิ กา้ นอกี ไมด่ ี น่นี ะ ถา้ ตอ้ งบลิ ท์กนั นาน กว่าจะ ยอมท�ำความดี จิตดวงน้ีเป็นกุศลท่ีมีก�ำลังอ่อน แตถ่ ้า มนั เกดิ โดยสนั ดาน อยากดเี อง มนั เปน็ กศุ ลทม่ี กี ำ� ลงั กลา้ เพราะฉะนน้ั เราจะฝกึ จติ จนกระทงั่ จติ เปน็ กศุ ลมกี ำ� ลงั กลา้ ถ้าไม่มีก�ำลังกล้าจะไปภาวนายังไง จะไปเจริญปัญญา อย่างไร ปญั ญาเป็นบุญเป็นกศุ ลท่ใี หญท่ ส่ี ุดเลย ๒๒
เพราะฉะนนั้ เราจะตอ้ งมาฝกึ หดั รสู้ ภาวะไปจนจติ จ�ำสภาวะไดแ้ ม่น แลว้ สตเิ กดิ เอง จิตจะเป็นมหากศุ ลจติ อสงั ขาริกงั โดยไมช่ ักชวน เกิดไดเ้ อง ของฟรีไมม่ ี ตอ้ ง ฝกึ เพราะฉะนนั้ ต่อไปนค้ี อยดูกเิ ลสตวั เองบอ่ ยๆ ดูบ่อยๆ แล้วจิตจะเป็นกุศลด้วย จิตจะเกิดโดยอัตโนมัติ กุศล อัตโนมตั ิด้วย ทนี จี้ ติ เปน็ กศุ ลแลว้ จะประกอบดว้ ยปญั ญาหรอื ไม่ ประกอบดว้ ยปญั ญายงั ไมแ่ น่ บางทีจิตเปน็ กุศลแลว้ ไม่มี ปญั ญาก็มี บางทเี ป็นกศุ ลแล้วมีปญั ญาก็มี เพราะฉะนั้น จติ ทเ่ี ป็นมหากุศลจิต ไม่มรี าคะ โทสะ โมหะ มนั มีสติ ขน้ึ มา ไมม่ ีราคะ โทสะ โมหะ เปน็ มหากศุ ลจติ ญาณ สมั ปยตุ ประกอบด้วยปัญญา อสังขาริกัง ไมเ่ จตนา ใหเ้ กิด ตรงที่เราหดั รสู้ ภาวะไป เราได้จติ ท่เี ป็นกศุ ลแล้ว เพราะเรามสี ติ อกุศลไม่มี เกิดข้ึนเองไม่ไดเ้ จตนาใหส้ ติ เกดิ สตเิ กิดไดเ้ อง กุศลเกดิ ได้เอง ตรงทจ่ี ะเกิดปญั ญา หรอื ไม่ จะมีญาณสมั ปยตุ หรอื ญาณวิปปยุตนี่ อยู่ท่ีว่า เราเคยมีบุญบารมีเก่าไหม บางคนเคยภาวนา เจริญ ๒๓
ปัญญามาแตช่ าตกิ อ่ น พอจิตเป็นกศุ ลตง้ั มั่นเด่นดวงขึ้น มาแล้วเท่านนั้ เอง ขนั ธ์แยกเลย กายใจแยกเองอัตโนมัติ เคยมพี ระองคห์ นง่ึ เลา่ ใหฟ้ งั วา่ ตอนทา่ นเปน็ วยั รนุ่ ตอนนนั้ ยงั ไมไ่ ดบ้ วช ไมใ่ ชเ่ ปน็ พระวยั รนุ่ ตอนนนั้ ยงั เปน็ ฆราวาสไปงานลอยกระทง แล้วก็ไปดูโน้นดูน้ีเพลินไป ไปยนื อยู่ข้างๆ ท่เี ขาจดุ พลุ พอเขาจุดพลตุ ูม ตกใจ พอ ตกใจวูบขึ้นมา ถ้าเป็นพวกเราจะต้องกร๊ีดกร๊าดใช่ไหม ยง่ิ ผชู้ ายยคุ นน้ี ะ ตา๊ ยตายขน้ึ มา กรดี๊ ๆ ขนึ้ มาอะไรอยา่ ง นี้ องคน์ ี้ไม่ไดก้ รด๊ี องคน์ ีต้ กใจข้นึ มาวาบ มนั เหน็ จิตท่ี ตกใจ สตริ ะลึกรู้ได้เลย แล้วเห็นความตกใจเปน็ อันหน่งึ จิตเป็นอนั หนงึ่ รา่ งกายกอ็ นั หนง่ึ ข้ึนมา แล้วเห็นคนอ่ืน เขาตกใจ ตอนนต้ี วั เองไมต่ กใจแล้ว น่ีขันธ์มันแยกได้เลย ความตกใจกระเด็นหายไป เหลือแต่ใจที่ตั้งมั่นเด่นดวง ขึ้นมา เห็นร่างกายเห็นจิตใจต้ังมั่นเด่นดวงข้ึนมา อันน้ี ของเขาเคยฝึกของเขาเคยฝึกมา ๒๔
หลวงพ่อตอนเด็กๆ ๑๐ ขวบ บ้านเป็นตึกแถว ไฟไหม้ข้างบ้านห่างไป ๔-๕ ห้องได้ พอเห็นไฟไหม้ ตกใจ ว่งิ จะไปบอกพอ่ วง่ิ กา้ วทีห่ นึ่ง กา้ วที่สอง ก้าวที่ สามเนี่ยเหมอื นเปิดสวิทชต์ วั เองขน้ึ มาเลย มันไปเห็นจิต ทต่ี กใจเขา้ เพราะฉะนน้ั สงั เกตไหมพระเมอ่ื กน้ี ก้ี เ็ รอ่ื งตกใจ โดนพลุ หลวงพ่อเห็นไฟไหมต้ กใจ เพราะฉะนั้นสภาวะที่ ตกใจน่ีเป็นสภาวะท่ีรุนแรง ของเก่าท่ีเราเคยฝึกจะกลับ มางา่ ย เพราะฉะนน้ั บางองคท์ า่ นจะไปอยกู่ บั ชา้ ง อยกู่ บั เสือ ไปภาวนา พอเสือมา เสือมาแล้วตกใจใช่ไหม มัน ดูง่าย มันเห็นกิเลสง่าย ถ้าสติเกิดปุ๊ป ความตกใจมัน หายไป นีถ่ า้ เราเคยฝึกมาแตช่ าติกอ่ นๆ จะเกิดรสู้ กึ ตัวข้นึ มาได้เองโดยท่ีไม่ได้เจตนา บางคนไม่มีอารมณร์ นุ แรง มากระทบ แตว่ า่ อยๆู่ กเ็ กดิ ความรสู้ กึ ขน้ึ มาว่า เอ๊ะ! เรา เกิดมาท�ำไม อย่างน้ีแสดงว่าก็เคยมีปัญญาเหมอื นกนั มนั เกดิ สงสยั ขน้ึ มา เราเกิดมาทำ� ไม มีชวี ิตอยู่เพอื่ อะไร ใครเคยเปน็ ไหมอยา่ งน้ี อยา่ งนี้กใ็ ช้ได้ แสดงวา่ ชาตแิ ต่ ๒๕
ปางกอ่ นกเ็ คยเจริญปัญญาเหมอื นกัน มนั ถึงไมโ่ ง่ ถา้ โง่ มนั ไมค่ ดิ หรอกเกดิ มาทำ� ไม ฉนั จะเสพอะไรเพลดิ เพลนิ ไป เรอื่ ยๆ คอ่ ยๆ หดั นะ ถา้ หากมนั ไม่มีปญั ญาดว้ ยตวั ของ มันเองต้องช่วยมัน เพราะฉะน้ันพอเรารู้สึกตัวแล้ว ใจ โกรธขึ้นมารู้ว่าโกรธปุ๊ปเกิดรู้สึกตัวขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ เจตนา จติ ตัง้ ม่นั ข้ึนมาแล้ว แลว้ มนั รตู้ ัวอยเู่ ฉยๆ ใช้การ คดิ พจิ ารณาลงไป เอะ๊ ! เมอ่ื กมี้ นั โกรธ ตอนนม้ี นั ไมโ่ กรธ โกรธมนั ไมเ่ ทย่ี ง คอ่ ยๆ สอนมนั อยา่ งน้ี หรือบางคนทำ� สมาธิ ออกจากสมาธิมาแล้วใจสงบใจสบายใจเฉยอะไร อย่างน้ีก็ต้องคิดพิจารณาลงไป สอนจิตลงไปให้มันดูท่ี ร่างกาย อย่าไปดทู ่ีจติ ถ้าออกจากสมาธิลกึ ๆ มา ถ้าดู ท่ีจิตมนั จะไมม่ ีอะไรใหด้ ู มันจะนิง่ ๆ วา่ งๆ อยอู่ ยา่ งนัน้ แหละ เพราะฉะน้ันถา้ ทำ� สมาธิมากๆ น่ีให้ดูกาย กายา นปุ สั สนาเลยเหมาะกบั สมถยานกิ สว่ นจิตตนานุปัสสนา การดจู ติ ใจนน้ั เลยเหมาะกบั วปิ สั สนายานกิ เหมาะกบั พวก ทเ่ี ดินปัญญาเลย พวกทฏิ ฐจิ ริต พวกคิดมากอะไรพวกน้ี เพราะฉะนน้ั ถา้ หากเรารตู้ วั ขน้ึ มาแลว้ ใจมนั เฉย เขา้ ฌาน ออกจากฌานมาใจมันเฉยน่ี ครบู าอาจารยจ์ ะสอนใหไ้ ป ๒๖
พิจารณาร่างกาย ร่างกายนี้ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็น อนตั ตา สอนมัน กระตุ้นให้จิตมนั หัดมองไตรลักษณ์ แต่ถ้าเราไมไ่ ดเ้ ขา้ ฌาน เราใชจ้ ิตธรรมดาอย่างนี้ เรากส็ อนจิตไป อยา่ งรสู้ ึกตวั ขนึ้ มาเรากส็ อนจติ ไป เมอ่ื กโ้ี กรธ ตอนนไ้ี มโ่ กรธ โกรธไมเ่ ทย่ี ง อะไรอยา่ งน้ี คอ่ ยๆ สอนอย่างน้ี ค่อยๆ สอนจติ ไป ต่อไปจิตมนั จะเรม่ิ ฉลาด มันจะเริ่มมองไตรลักษณ์เป็น แล้วพอสภาวะเกิดเช่น ความโกรธเกิดนี่ มันจะเห็นเลยความโกรธไม่ใช่ตัวเรา ความโกรธเป็นสภาวธรรมที่แปลกปลอม มีเหตุ ก็เกดิ หมดเหตกุ ด็ บั บงั คบั ไม่ได้ เห็นเลย มนั ไม่เทีย่ ง เปน็ อนิจจงั มนั เกดิ เอง เราไม่ไดส้ งั่ ใหเ้ กิด หา้ มมนั ก็ไม่ ได้ นี่มนั เปน็ อนัตตา เพราะฉะนัน้ ถ้าเคยเดินปัญญามา แลว้ พอจติ ต้งั มนั่ ขึน้ มา รเู้ นือ้ รู้ตวั ต่ืนขึ้นมาแล้ว มันจะ เหน็ ความเปน็ ไตรลกั ษณข์ องกายของใจ ของรปู ของนาม ได้ แต่ถ้ามนั ไม่เหน็ ช่วยมันพจิ ารณา พิจารณาไมใ่ ชค่ ดิ ฟ้งุ ซา่ น ตอ้ งมีสภาวะรองรับจริงๆ อย่างพิจารณากายก็ ตอ้ งรูส้ ึกอยใู่ นกายจริงๆ ดูร่างกายไปทลี ะสว่ น น่ผี มมัน ๒๗
บอกไหมว่ามนั เปน็ เรา ลองจับผมซิ คนไหนหวั ล้าน หวั ลา้ นกย็ ังมผี มนดิ หนอ่ ย ลองจับดู ผมมนั บอกไหมวา่ มัน เป็นเรา ลองดงึ ซิ รู้สกึ ไหมมนั มคี วามรู้สกึ เจบ็ ขึน้ มานิด หนอ่ ย ความรสู้ กึ เจบ็ มนั บอกไหมวา่ มนั เปน็ เรา เหน็ ไหม ค่อยๆ ดไู ปอย่างน้ี คอ่ ยๆ สอนมันไป คอ่ ยๆ สังเกตมี ของจรงิ รองรับอยู่ ไมใ่ ชค่ ิดฝนั อยใู่ นอากาศ ไปดจู ติ ดใู จ ก็เห็น โอ้! ความโกรธมันเกิดได้เอง เห็นความโกรธ ความโลภมนั เกดิ ไดเ้ อง หดั ดอู ยา่ งนี้ แลว้ สดุ ทา้ ย ปญั ญา มันจะเกิด จิตมันจะหัดมองไตรลักษณ์ได้ เห็นรูปมันก็ เห็นรูปแสดงไตรลักษณ์ เห็นนามมันก็เห็นนามแสดง ไตรลักษณ์ ไม่ใชเ่ หน็ รูปเฉยๆ เหน็ นามเฉยๆ ถ้าฝกึ ตรง น้ีได้เราได้จิตที่พร้อมต่อการเจริญปัญญาแล้ว จิตเป็น มหากุศลจิต ญาณสัมปยุต คือประกอบด้วยปัญญา อสงั ขาริกัง ไมเ่ จตนาให้เกดิ เกิดเอง จิตดวงนเี้ ปน็ จติ ดวงวเิ ศษ ๒๘
ในบรรดาจิตท่เี ป็นกศุ ลทง้ั หมด มี ๘ ดวง จติ ที่ พรอ้ มแบบนเี้ ปน็ มหากศุ ลจติ ประกอบดว้ ยปญั ญา เกดิ เอง มี ๒ ดวง ๒ ดวงนี้ตา่ งกนั อย่างไร ดวงหนง่ึ มคี วามสขุ ดวงหนงึ่ มอี เุ บกขา เพราะฉะนนั้ ในขณะทเี่ จรญิ ปญั ญาอยู่ น่ี บางครั้งมีความสขุ บางคร้ังเปน็ อเุ บกขา แต่จะไม่มี ความทุกข์ ถ้าจติ มคี วามทกุ ข์ จติ ตกจากกุศลแล้ว จิต เป็นอกุศลแล้ว เป็นโทสะไปแล้ว แต่ถ้ามีความสุขแล้ว ดี๊ด๊าเพลิดเพลนิ ไป อนั นน้ั จิตมีราคะไปแลว้ น่ีค่อยๆ หดั สังเกตกิเลส แลว้ มนั จะช่วยเราในการภาวนา จะท�ำให้ เราเกิดสตโิ ดยทไ่ี มไ่ ด้เจตนา แลว้ ก็อบรมจติ ใหม้ ันเจรญิ ปญั ญา คอ่ ยๆ ฝกึ ไป ลกู เลน่ อะไรตอ่ อะไร มรี ายละเอยี ด อีกมาก คอ่ ยๆ เรยี นร้จู ากของจรงิ ไป เพราะจะมาเรียน รูจ้ ากหลวงพ่อน่ี มนั สุดวิสัยทจ่ี ะเรียน เรยี นกันไมร่ ู้กปี่ ี จะจบ เพราะฉะนั้นต้องเรยี นด้วยตัวเอง คอ่ ยๆ สังเกต สภาวะไป แลว้ ความรูค้ วามเขา้ ใจจะแจม่ แจง้ ขึน้ ๒๙
ครบู าอาจารยท์ า่ นเทยี บบอกวา่ เหมอื นเราหลงปา่ ปา่ นที่ บึ มากเหมอื นกฏุ พิ ระอาจารยอ์ า๊ อยใู่ นปา่ ทที่ บึ มาก เลย เวลาคนไปหาพระอาจารย์อ๊านจี่ ะไปเดนิ วนอย่รู อบ กฏุ ิ หาทางเข้าไม่ได้ แลว้ ก็จะงง เหน็ หลังคาอย่นู ี่ เดิน ไปแล้วมันหายไปไหน คล้ายๆ หัดภาวนาทีแรก มัน เหมอื นอยใู่ นปา่ ทบึ แล้วต่อมาน่คี ่อยๆ เดินไปเรือ่ ย มนั อยู่ในที่โปร่งมากข้ึน ในท่ีสุดก็ออกมาอยู่ในที่โล่งแจ้ง เห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน ครูบาอาจารย์ท่านสอน ฝึก ทีแรก มันแทบจะคล�ำเลย หาทางไปไมถ่ ูกเลย แตพ่ อ พากเพียรไปนานๆ มันง่าย เหมือนซุปเปอร์ไฮเวย์แล้ว ตอนหลัง ไม่ต้องท�ำอะไร กระดิกเท้าเฉยๆ ยังเกิด อริยมรรคไดเ้ ลย หรือเอนตวั ลงนอนยงั เกิดอรยิ มรรคได้ เลย พระอานนท์ก�ำลังเอนตัวลงนอนใช่ไหม เกิด อรยิ มรรคเลย ของเราเอนตัวลงนอนแลว้ คร่อกเลย ๓๐
บางคนเค้าเห็นพวกเราเรยี นกรรมฐาน แลว้ กน็ งั่ หวั เราะน่ังอะไร ร้สู ึกไมน่ ่าเลอื่ มใสเลย กรรมฐานตอ้ ง เครียด ต้องวางฟอร์ม ดูซึมๆ ลืมไปเลยซึมเป็นชื่อของ สว้ ม ต้องท�ำตัวใหซ้ ึมๆ พระพุทธเจ้าไมไ่ ดส้ อนนะ ภิกษุ ทง้ั หลายซมึ เขา้ ไว้ ไมเ่ คยสอน มแี ตว่ า่ ยนื เดนิ นงั่ นอน อะไรนร้ี ูส้ กึ ตวั หลวงพอ่ พธุ ทา่ นสอนดีนะ ยืน เดนิ นง่ั นอน กนิ ด่มื ท�ำ พูด คดิ มีสติ นั่นแหละการปฏบิ ัติ ส�ำคัญ อยู่ในชีวิตจริงๆ ปีน้ีคนมาขอบวชที่วัดเยอะขึ้น เรื่อยๆ ไม่มีท่ีให้อยู่ แต่เดิมที่น่ีกุฏิหลังหนึ่งอยู่องค์เดียว แต่ละหลังอยู่ห่างๆ กันมองไม่เห็นกัน มีต้นไม้ปลูกไว้ เต็มไปหมด กันไม่ให้เห็นหน้ากัน เห็นหน้ากันเด๋ียวก็ อยากคยุ กัน หรอื ถา้ เกลยี ดหน้ากัน เห็นแลว้ กล้มุ ใจ ให้ มปี า่ บังไว้ นค่ี นมาสมัครบวชเยอะข้นึ ๆ ไมใ่ ห้บวชก็ไม่ดี คนเค้าอยากบวช ก็ต้องเลือกเหมือนกัน บางคนดูแล้ว ไมผ่ า่ น อยา่ งตดิ ยาตดิ อะไรอยา่ งนไ้ี มเ่ อา จะมาบวชเพอื่ จะอดยาอยา่ งนไี้ มเ่ อา ทนี่ ไ่ี มใ่ ชส่ ถานบำ� บดั หรอื ถา้ self จดั มากๆ นะ ไมเ่ อา ทำ� กฏุ เิ พิม่ อีกหลงั หนงึ่ คราวน้ีมา ใหม่ แบบใหม่ หลงั เดียวมี ๒ ชัน้ เลย ชั้นละ ๒ หอ้ ง ๓๒
เราจะเลอื กพวกไหนดลี ะ่ ลงไปอยู่ ต้องมีวนิ ยั ในตวั เอง คมุ ตัวเองอยู่ ไมอ่ ยา่ งนั้นไปชวนเพ่อื นคุย ทกุ วนั นก้ี ารฝกึ กรรมฐานยาก กระทง่ั ในวดั ยงั ยาก สิ่งยั่วยวนเยอะเหลือเกิน โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ หลวงตามหาบัวต่อต้านมานาน มือถือยุคหลวงตา เทียบไม่ได้กับมือถือยุคนี้เลย ยุคหลวงตาท่านยังเรียก เทวทตั ยคุ นไ้ี มร่ จู้ ะเรยี กอะไร สดุ ยอดแลว้ เปน็ ทางโคจร ของกิเลสได้มากมาย บางทีพระยังอยากเล่นเลย มาขอ ซอ้ื ทแี รกจะขอซอ้ื อะไรตวั โตๆ เราดเู จตนาจะไปเลน่ เนต็ เขาบอกกวา่ เขาจะอา่ นพระไตรปฎิ ก พระไตรปิฎกเต็มตู้ เลย ไปอา่ นสิ มแี ตไ่ รฝนุ่ อา่ น ไมม่ ใี ครเปิดเลย อ้างโน่น อ้างนี่ ไม่ให้ซื้อก็ซื้อโทรศัพท์ แต่จอใหญ่มากเลย จอ เกอื บเทา่ กระดานชนวนเหมอื นกนั อยไู่ มร่ อดหรอก ดโู นน่ ดนู ่ี ลิงค์ไปเร่ือยๆ เดย๋ี วก็ไปเจอเวบ็ โป๊แล้ว อยูไ่ มไ่ หว เพราะฉะน้ันพระวัดน้ีไม่ให้เล่นเน็ต ถ้าเล่นเน็ตนิมนต์ ออกไปเลย ต้องภาวนา คนอยากภาวนามีเยอะแยะ เขา ไม่มีโอกาส ๓๓
นพ่ี วกเราเปน็ ฆราวาส เราเลน่ อะไรไดต้ ามใจชอบ ไม่มีใครคุม เราต้องคุมตัวเองให้อยู่ ประเภทจะเล่นวนั หน่ึงครึง่ ชว่ั โมง วันละหนง่ึ ช่วั โมงไม่ใหเ้ กนิ นี้ ไมเ่ กินได้ ๓ วัน วันที่ ๔ ก็เริ่มเกินแล้ว แถมมีรอบโบนัสแถม สดุ ทา้ ยกเ็ ลน่ เพลนิ ชีวิตเป็นของหายาก เวลาหมดแล้วหมดเลย เราซอ้ื เวลาด้วยชีวิตเราเอง ทิ้งไปเวลาไปชั่วโมงหน่ึง ชีวิตก็ส้ันไปช่ัวโมงหน่ึง เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นใน ชีวิตเรา ความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ไม่รู้ น่ีเร่ืองจริง เลย พวกเรารนุ่ น้ี คนไทยสาเหตกุ ารตายอันดบั หนงึ่ คือ โรคมะเร็ง เยอะมากเลยคนเป็น เราไม่รู้ว่า เราจะไม่ สบายเม่ือไหร่ จะตายเม่ือไหร่ พวกเราตายไปเยอะแล้ว บางคนก็สมควรตาย อยู่มานานแล้ว บางคนอายุน้อย แต่สมควรตายหมื่นๆ ครัง้ ยงั มชี ีวติ อยู่ ยังมีบญุ รักษา อยู่ พวกทอ่ี ยู่รอดมชี วี ิตอยนู่ ่มี ี ๒ อยา่ ง บุญรกั ษา กบั เวรกรรมรักษาเอาไว้ อย่างสตั วน์ รกนี่ ทำ� ยงั ไงมันกไ็ ม่ ตาย บาปรกั ษามันไว้ น้ีบญุ ยังรักษาพวกเราอยู่ แตเ่ รา ๓๔
ไม่รู้ว่าบุญน้ีจะหมดเม่ือไหร่ ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด อย่าประมาท อยา่ ให้เสยี ใจทหี ลงั ถา้ เราไม่ภาวนา เกิด อะไรขึน้ มาเราจะรู้ “รู้อยา่ งนี้ ภาวนาซะก็ด!ี ” ประโยคที่ วา่ “รอู้ ยา่ งน้ี จะอยา่ งน”ี้ อยา่ พดู เลย ครำ่� ครวญถงึ อดตี ทำ� ซะต้ังแตต่ อนนเ้ี ลย มสี ติ ร้กู าย รู้ใจ ตามความเป็น จริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ไปเรอ่ื ยๆ มีอะไร มีสติ สติเกิดได้ยังไง เกิดเพราะจิตจ�ำ สภาวะได้แมน่ หดั รไู้ ป ขี้โมโหก็รู้โมโห ข้ีโลภกร็ คู้ วาม โลภ สติกเ็ กดิ มสี ติแล้วทำ� อะไรตอ่ ไมใ่ ช่มสี ติแลว้ รตู้ ัว อย่เู ฉยๆ มีสติแลว้ มารู้ทกี่ ายทใี่ จ ถา้ มีสตแิ ลว้ รู้ตวั เฉยๆ ไม่ยอมรู้กายรู้ใจ พวกน้ันก็มีนะ มีสติแล้วมันไม่เดิน ปัญญาต่อ ทีนี้พอมารู้กายรู้ใจแล้ว บางคนไปเพ่งกาย ไปเพ่งใจ ไมเ่ ห็นไตรลักษณ์ กใ็ ช้ไม่ได้ หลวงพอ่ ถงึ บอก ตอ้ งมสี ตริ กู้ ายรใู้ จตามความเปน็ จรงิ ตามความเปน็ จรงิ คอื เหน็ ไตรลักษณ์ รตู้ ามความเปน็ จริง หมายถงึ ว่า ไมเ่ ขา้ ไปแทรกแซง ไมใ่ ชเ่ หน็ ความโกรธเกดิ ขน้ึ ทำ� อยา่ งไร จะหาย ทำ� อยา่ งไรจะไมโ่ กรธอกี อะไรอยา่ งน้ี เหน็ ความ ๓๕
ทุกขเ์ กดิ ขนึ้ ทำ� อย่างไรจะหาย เหน็ ความสุขเกดิ ขน้ึ ทำ� ยงั ไงจะรักษา อันน้ันไม่ได้เห็นความจริง เห็นแล้วอยาก อย่างโน้นอยากอย่างน้ี ดูของจริงเข้าไป ของจริงคือ ไตรลักษณ์ของจริงไม่มีอย่างอื่นหรอก เพราะฉะน้ันมี สติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง คือเห็นไตรลักษณ์ของ กายของใจ จะเห็นได้ต้องเห็นด้วยจิตที่ต้ังมั่นและเป็น กลาง จิตท่ีทรงสมาธิถกู ตอ้ ง รตู้ วั รูต้ ่นื เบกิ บาน จติ ตัว นเี้ กดิ จากเรารทู้ นั เวลาจติ มนั หลงไปมนั ไหลไป รเู้ รอ่ื ยๆ จติ มนั จะต้งั มั่นข้นึ มา เพราะฉะน้ันอย่างบางทเี ห็นกเิ ลส เกดิ แลว้ สตริ ทู้ นั อตั โนมตั ขิ น้ึ มา จติ มนั จะตงั้ มนั่ ไดส้ มาธิ อตั โนมตั ดิ ว้ ย ในความเปน็ จรงิ แลว้ สมาธเิ กดิ รว่ มกบั จติ ทุกดวง จิตอกศุ ลก็มีสมาธิ แตถ่ า้ จิตดวงนน้ั เกิดจากการ มีสติโดยไม่เจตนา สมาธิดวงนั้นเป็นสัมมาสมาธิ เป็น สมาธทิ ช่ี น้ั เลศิ เลย ดที สี่ ดุ เพราะฉะนนั้ เราคอยฝกึ สตขิ อง เราน่แี หละ หัดรู้สภาวะไป จนกระท่ังจิตมันเป็นผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบานขึ้นมา มนั ตง้ั มั่นขึ้นมา เราก็รู้สภาวะทั้งหลาย ด้วยจิตที่ตั้ง ๓๖
มนั่ ไป จติ เปน็ คนดู เหน็ สภาวธรรมเปน็ ผแู้ สดง สภาวธรรม ประกอบดว้ ยอะไร กป็ ระกอบดว้ ยรปู ธรรมและนามธรรม รปู ธรรม-นามธรรม ยอ่ ลงมาคอื กายกบั ใจ อยา่ งรา่ งกาย นี่ รา่ งกายปดั แมลงหวี่ เห็นรา่ งกายเคลือ่ นไหว รูส้ ึกๆ หรอื แมลงหวม่ี า เกลยี ดมนั พดั อยู่ ตอนใจยงั เปน็ บญุ อยู่ แมลงหวี่มาก็ค่อยๆ พัดเวลามีคนเห็น เดี๋ยวเค้าจะว่า เราโหดร้าย น่ีรู้ทันตัวเองเข้าไป รู้เข้าไปเรื่อยๆ แลว้ ถา้ จติ มันไปรู้สภาวะแลว้ มันยินดี ใหร้ ูท้ ัน มันยนิ รา้ ย ให้ร้ทู นั แคน่ ี้เอง จบ มีจิตท่ีตั้งม่ัน แล้วก็ไปดูร่างกาย จิตใจ รูปธรรม นามธรรม แสดงไตรลกั ษณ์ พอไปเห็น สภาวะรูปธรรม นามธรรมทงั้ หลายแล้ว จิตยินดี จิตยนิ ร้าย ใหร้ ทู้ นั นี่ อกี ชนั้ หนง่ึ เมอ่ื รทู้ นั จติ จะเปน็ กลางดว้ ยสติ สมาธเิ ราก็ เกดิ จากสติ ความเปน็ กลางนก้ี เ็ กดิ จากสติอีก ตรงที่จิต เป็นกลางก็คือ จิตมีสมาธินั่นเอง เป็นสมาธิช้ันดี จิต เปน็ กลาง เพราะฉะนน้ั เราจะรู้ มสี ติ รกู้ ายรใู้ จตามความ เปน็ จรงิ ดว้ ยจติ ทต่ี งั้ มนั่ และเปน็ กลาง หดั รสู้ ภาวะเรื่อยๆ ๓๗
แล้วมันจะก้าวมาสู่จุดนี้ มันจะตั้งมั่นขึ้นมาแล้วเห็น ไตรลกั ษณ์ พอเหน็ ไตรลกั ษณแ์ ล้ว จิตยินดี ให้รู้ทัน จิต ยินร้าย ให้รู้ทันอีก บางทีไม่ทันจะเห็นไตรลักษณ์เลย เห็นรูปเห็นนาม จิตก็ยินดียินรา้ ยไดแ้ ลว้ กร็ ู้ทันอีก พอ รทู้ นั จติ จะเปน็ กลาง เป็นกลางชัว่ คราว กระทบอารมณ์ ใหม่ เดีย๋ วยนิ ดียนิ รา้ ยใหม่ รู้ใหม่ เกบ็ แบบนีไ้ ปเร่ือยๆ ถงึ จดุ หนึง่ ปัญญามนั จะเกิด มันจะรู้ความจริงว่า ส่ิงใด ส่ิงหน่ึงเกิดข้ึน ส่ิงนั้นก็ดับ เราเห็นทุกวัน ความโกรธ เกิดแล้วก็ดับ ความโลภเกิดแล้วก็ดับ ความใจลอยเกิด แล้วก็ดับ เห็นทุกวันๆ ซ้�ำแล้วซ้�ำอีก ถึงจุดหนึ่งจิตมัน เกิดปัญญารวบยอด รู้ว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับ สุขเกิด แลว้ กด็ บั ทุกข์เกิดแล้วก็ดบั พอมันเห็นอย่างนี้ จติ มัน จะเข้าสู่ความเป็นกลางท่ีแท้จริง อันน้ีจะกลางด้วย ปัญญาแล้ว อย่างความสุขเกดิ ขน้ึ มนั ไมห่ ลงดใี จ ความ ทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ มนั กไ็ มเ่ สยี ใจ ไมเ่ กลยี ด มนั เปน็ กลางเพราะ มันรู้ว่า “ทกุ อยา่ งมาแล้วก็ไป” ความสุข มาแลว้ ก็ไป ไม่ เห็นต้องดีใจเลย ความทุกข์ มาแล้วก็ไป ไม่เห็นต้อง เกลียดมันเลย ๓๘
เมื่อเราภาวนา จนจิตเข้าถึงความเป็นกลางด้วย ปญั ญา ตรงนี้คือประตูแห่งอริยมรรคแล้ว เบื้องต้นรู้ สภาวะจิตกไ็ มเ่ ปน็ กลาง ใหร้ ทู้ นั ดว้ ยสติ รทู้ นั วา่ ตอนน้ี ไม่เป็นกลางแล้ว ยินดบี า้ ง ยนิ ร้ายบ้าง จติ มนั จะเป็น กลางด้วยสติ ใช้จิตท่ีเป็นกลางแล้ว เรียนรู้ความเป็น ไตรลักษณ์ของรูปนามไปเรอื่ ย สุดท้ายจะเป็นกลางดว้ ย ปัญญา เมื่อเป็นกลางด้วยปัญญา จิตจะหมดความ ดนิ้ รน ค�ำวา่ “รู้” ค�ำวา่ “เห็น” “สกั แตร่ สู้ กั แตเ่ ห็น” จะ เกิดข้ึนตอนน้ี ก่อนหน้านี้ไม่เกิดจริงหรอก จะสักว่ารู้ สักว่าเห็นได้ ปัญญาแก่กล้ามากแล้ว อีกก้าวเดียวก็จะ เกิดมรรคผลอยู่แล้ว นิดเดียวเท่านั้น พอสักว่ารู้ว่าเห็น จริงๆ ก็คือ จิตมันมีปัญญารู้ว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับ มันจะเข้าสู่ความเป็นกลาง ต่อความสุขและความทุกข์ ต่อความดีและความช่ัว ต่อธรรมะที่เป็นคู่ท้ังหมดเลย จิตจะเป็นกลางต่อสภาวธรรมท่ีเป็นคู่ๆ สุขกับทุกข์ ดกี บั ชว่ั ไมม่ อี นั ใดอนั หนง่ึ ดกี วา่ อนั ใดอนั หนง่ึ ไมม่ อี นั ใด อนั หนงึ่ เลวกวา่ อนั ใดอนั หนง่ึ ทงั้ หมดนเ้ี ทา่ เทยี มกนั ดว้ ย ความเปน็ ไตรลกั ษณ์ เมอื่ จติ เขา้ ถงึ ตรงนี้ จติ จะไมด่ นิ้ รน ๓๙
ตอ่ ถา้ บารมเี ราพอ จติ จะรวมเขา้ อปั ปนาสมาธิ เขา้ ฌาน โดยตวั ของจติ เอง โดยเราไมไ่ ดเ้ จตนาจะเขา้ กระบวนการ ท่เี ราฝกึ นี่ เตม็ ไปดว้ ยค�ำวา่ “ไม่มีเจตนา” เพราะฉะนน้ั จติ จะรวมเขา้ อปั ปนาสมาธิ ดว้ ยตวั ของตวั เอง เพราะมนั หมดการดน้ิ รน ไมไ่ ดด้ น้ิ รนทจ่ี ะแสวงหาอารมณ์ ทางตา หู จมกู ล้ิน กาย มันก็รวมลงทใี่ จอันเดยี ว จิตเขา้ ฌาน บางคนเขา้ รปู ฌาน บางคนเขา้ ถงึ อรปู ฌาน แลว้ กระบวน การของอริยมรรคล้างกิเลสเกิดขึ้น การล้างกิเลสของ อรยิ มรรคนลี่ า้ งครง้ั เดยี ว กเิ ลสตวั ทถี่ กู ลา้ งแลว้ จะไมเ่ กดิ อีกเลย ถงึ เราตายไป กเิ ลสตวั น้กี ็ไม่กลับมาเกดิ อกี มัน ขาดแลว้ ขาดเลย ตอ้ งฝกึ นะ ของฟรไี มม่ ี พดู ให้พวกเขา้ คอร์สฟัง ไหนๆ กม็ าเขา้ คอรส์ แล้ว หลวงพ่อดูเมื่อเช้าน้ี ประเมินพวกท่ีมาเข้าคอร์ส จำ� นวนมากยังฟุ้งซ่านอยู่ เพราะฉะนั้นทุกวันท�ำในรูป แบบ ถ้าอยากดี แล้วมาเจริญปัญญา มาดูรูปดูนาม ทำ� งานไป สงั เกตกิเลสไป รทู้ นั ไปเรอ่ื ย สติกเ็ กิด ศลี สมาธิ ปัญญา ก็จะแก่กลา้ ขึ้น ฝกึ ไปเรอ่ื ยๆ ถงึ วันหนงึ่ ๔๐
อริยมรรคจะเกิด อริยมรรคนี่เราสั่งให้เกิดไม่ได้ อริยมรรคเกิดเอง ไม่มีใครท�ำอริยมรรคให้เกิดได้ พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า ไม่มีใครท�ำอริยมรรคให้เกิด ได้ อรยิ มรรคเกดิ เอง เมื่อศลี สมาธิ ปญั ญา มันแก่กล้า เพียงพอแล้ว เวลาที่อริยมรรคจะเกิดจิตจะเข้า อัปปนาสมาธิ ท่านถึงบอกว่า สัมมาสมาธิเป็นภาชนะ รองรับองค์มรรคทง้ั ๗ ทีเ่ หลือ ใหป้ ระชมุ ลงท่ีจติ ดวง เดยี วกนั ในขณะเดยี วกนั รวมจรงิ ๆ แลว้ เกนิ กวา่ ๗ อยา่ ง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการรวมลงท่ีจิตในขณะ เดยี วกนั ดว้ ยอำ� นาจของสมั มาสมาธิ เพราะฉะนนั้ สมั มา สมาธิ เหมือนภาชนะท่ีใส่ที่บรรจุคุณงามความดีท้ัง หลายให้ประชุมรวมตัวกัน ผนึกพลังเป็นหน่ึงถึงจะล้าง กิเลสได้ ถ้าสติอยู่ทาง สมาธิอยู่ทาง ยังล้างกิเลสไม่ได้ พลังไม่พอ คล้ายๆ หนังจีนต้องรวมพลังหลายคนช่วย กัน พร้อมๆ กันโจมตีทีเดียว ถึงจะปราบพญามารได้ อะไรอย่างนี้ อย่าขี้เกียจนะ ข้ีเกียจแล้วโง่ท่ีสุดเลย เพราะวา่ โอกาสทจ่ี ะไดฟ้ งั ธรรมะมนี อ้ ยมากเลย เมอื่ ไดฟ้ งั แลว้ ลงมือปฏิบัติ ๔๑
แผนท่แี สดงเสน้ ทางไปวดั สวนสนั ติธรรม วดั สวนสนั ตธิ รรม อ.ศรรี าชา จ.ชลบรุ ี ตรวจสอบวนั และเวลาแสดงธรรม ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ได้ท่ี www.dhamma.com/calendar หรือโทร. ๐๙๖-๙๓๕๖๓๕๙
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: