Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้วิทย์บทที่ 1 ระบบร่างกาย Full

ใบความรู้วิทย์บทที่ 1 ระบบร่างกาย Full

Published by panvarot.u, 2021-07-23 04:37:32

Description: เนื้อหาสำหรับอ่านเพิ่มเติม เรื่องระบบในร่างกายมนุษย์ วิชาวิทยาศาสตร์ ม.2

Keywords: Science,Grade10,Body system

Search

Read the Text Version

ใบความรวู้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์ (ว22101) ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ประจาภาคเรยี นที่ 1 (semester 1) 1 Science Book I สอนโดย คุณครพู รรณวรท อุ่นใจ กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนทรายมลู วทิ ยา อ.ทรายมลู จ.ยโสธร สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาศรีสะเกษ ยโสธร ช่อื ................................................................................... ช้นั ............... เลขท่ี ..........

ส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายสามารถจัดระบบของการทางาน โดยเริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุดไป ถึงหน่วยท่ใี หญ่ที่สุดโดยเร่ิมจากเซลล์ (cell) (ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ โรเบิร์ต ฮุค) ซ่ึงเซลล์แต่ละชนิดจะมีรูปร่างและหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้เข้ากับการทางาน กลุ่ม ของเซลล์ทม่ี ีรูปรา่ งเหมอื นกันทาหนา้ ที่อยา่ งเดียวกัน เรยี กว่า เน้ือเยื่อ(tissue) เน้ือเยอ่ื หลายชนิด มาทาหน้าทเี่ ดยี วกันเรียกวา่ อวัยวะ(organ) และอวัยวะหลาย ๆ อวยั วะมาทาหน้าทร่ี ว่ มกันเรยี กว่า ระบบอวัยวะ (organ system)และร่างกาย(body) ระบบอวัยวะแต่ละระบบมีอวัยวะที่เกี่ยวข้อง และมหี นา้ ทต่ี า่ งกนั ดงั นัน้ รา่ งกายมนษุ ยจ์ ึงถูกจดั ระบบเป็น 4 ระดบั ดังน้ี 1. เซลล์ (cell) เซลล์ เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่เล็กที่สุดของ สิ่งมีชีวิต ซึ่งร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์จานวน หลายล้านเซลล์ ในแต่ละเซลล์จะมีความแตกต่างกันทั้ง ขนาดและรปู รา่ ง ขน้ึ อยู่กบั หนา้ ทีข่ องเซลลน์ ัน้ ๆ 2. เนอ้ื เยื่อ (tissue) เนื้อเยื่อ คือกลุ่มของเซลล์ที่มีรูปร่างเหมือนกัน ทาหน้าที่เดียวกันมาอยู่รวมกัน เช่น เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ มี หน้าที่ช่วยให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ ทางานได้ เนื้อเยื่อ ประสาททาหน้าที่ประสานงานในการรับความรู้สึก การ สั่งงาน 3. อวยั วะ(organ) อวยั วะ คอื โครงสรา้ งทป่ี ระกอบด้วยเนื้อเยื่อหลาย ชนิดอยู่รวมกนั ทาหน้าทอ่ี ยา่ งใดอยา่ งหนึง่ โดยเฉพาะ เช่น หวั ใจ เปน็ อวัยวะท่ีประกอบด้วยเนื้อเยื่อหุ้มหัวใจ เนื้อเยื่อ กลา้ มเนอื้ เยอื่ บหุ วั ใจ เส้นเลือด เปน็ ตน้ 4. ระบบอวัยวะ (organ system) ระบบอวัยวะ คือโครงสร้างที่ประกอบด้วยอวัยวะ หลาย ๆ อวยั วะมาทาหนา้ ท่ีร่วมกันอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง เช่น ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถา่ ย ระบบ ประสาท เป็นต้น

วลิ เลี่ยม ฮารว์ ีย์ (William Harvey) นักวทิ ยาศาสตร์ชาว อังกฤษ เป็นผคู้ ้นพบระบบการหมุนเวยี นเลือดของคน ว่ามีระบบ ปิด คือมีการไหลของเลือดภายในหลอดเลือดเป็นทิศทาง เดียวกัน ซึ่งระบบจะทาหน้าที่ลาเลียงสารอาหารต่าง ๆ ไปยัง เซลลแ์ ละกาจัดของเสียทเ่ี ซลลไ์ ม่ต้องการออกจากรา่ งกาย ระบบหมนุ เวยี นเลือดมี 2 ระบบคอื ระบบวงจรเปิด คือเลือดไหลจากเส้นเลือดสัมผัสกับเซลล์ โดยตรง ไม่มีหลอดเลอื ดฝอย พบในสตั ว์พวกแมลง หอย ปลาดาว ระบบวงจรปิด เลือดจะไหลอยู่ในเส้นเลือดตลอดเวลา มี หลอดเลือดฝอยเพื่อแลกเปลี่ยนสารระหว่างเซลล์กับเลือด พบใน ไส้เดือน ปลาหมกึ และสัตว์ท่ีมีกระดกู สนั หลงั อวยั วะในระบบหมุนเวียนเลือด 1. หวั ใจ (Heart) 2. เสน้ เลอื ด (Blood vessels) 3. เลอื ด (Blood)

1. หวั ใจ (Heart) หวั ใจ อย่รู ะหว่างปอดท้งั สองขา้ ง คอ่ นไปทางดา้ นซ้ายเลก็ นอ้ ย หัวใจทาหน้าที่รับและสูบฉีด เลือด หัวใจของคนมขี นาดเทา่ กาปน้ั ของเจ้าของหวั ใจ มี 4 ห้องและแต่ละห้องทาหน้าที่ดงั นี้ ห้องบน (atrium) ทาหนา้ ท่รี บั เลอื ดเขา้ สู่หัวใจจากหลอดเลือดเวน 1. หอ้ งบนซ้าย (left atrium) รบั เลอื ดแดง (ออกซเิ จนสูง) ที่มาจากปอด 2. หอ้ งบนขวา (right atrium) รบั เลอื ดดา (ออกซเิ จนต่า) จากส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย หอ้ งลา่ ง (ventricle) ทาหน้าทส่ี บู ฉีดเลอื ดจากหวั ใจไปยังหลอดเลือดอาร์เทอรี 1. หอ้ งล่างซ้าย (left ventricle) สบู ฉดี เลือดแดงไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย (เป็นหอ้ งที่มคี วามหนาของกลา้ มเน้ือมากที่สดุ ) 2. ห้องล่างขวา (right ventricle) สบู ฉดี เลือดดา (ออกซิเจนตา่ ) ไปยงั ปอด ลนิ้ หวั ใจ ทาหนา้ ทป่ี อ้ งกันการไหลยอ้ นกลับของเลือด ประกอบดว้ ย - ระหว่างห้องบนขวากับหอ้ งลา่ งขวา เรียกวา่ ไตรคสั ปิดวาล์ว - ระหวา่ งห้องบนซา้ ยกับห้องลา่ งซา้ ย เรยี กวา่ ไบคสั ปดิ วาล์ว

2. หลอดเลือด (Blood vessels) ประเภทของหลอดเลือด แบ่งออกเป็น 3 ระบบ คือ 1. หลอดเลอื ดดาหรอื เวน (vein) นาเลือดจากสว่ นต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวใจ แรงดันเลือดต่า ผนังเส้นเลือดบาง ส่วนใหญ่เป็นเลือดที่มีออกซิเจนต่า ยกเว้นหลอดเลือด ดาที่นาเลือดทีฟ่ อกแลว้ จากปอดมาสหู่ วั ใจจะมีออกซเิ จนสูง 2. หลอดเลอื ดแดงหรืออารเ์ ทอรี (artery) นาเลือดออกจากหวั ใจไปยงั อวยั วะต่าง ๆ ของรา่ งกาย ผนงั หลอดเลอื ดหนาและมีความยืดหย่นุ มากเพอื่ ตา้ นทานตอ่ แรงดันเลือดที่ ถูกบีบออกจากหัวใจ เลือดที่อยู่ในหลอดเลือดแดงโดยทั่วไปมีสีแดงหรือออกซิเจนสูง ยกเวน้ หลอดเลอื ดแดงทน่ี าเลอื ดไปยังปอดเพอ่ื นาเลอื ดดาไปฟอก 3. เส้นเลือดฝอย (capillary) เป็นหลอดเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างอาร์เทอรีและเวน มขี นาดเลก็ จานวนมาก ผนงั บาง แทรกอยูต่ ามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นบริเวณที่มีการ แลกเปลยี่ นอาหาร แก๊ส สารต่าง ๆ และของเสียระหวา่ งเลอื ดกบั เซลล์ 3. เลือด (Blood) ในร่างกายของคนเราจะมีเลือดอยู่ประมาณ 6,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร (6 ลิตร) หรอื มอี ยปู่ ระมาณร้อยละ 7-8 ของนา้ หนกั ตัว เลือดทาหน้าที่เป็นตัวนาอาหาร แก๊ส สารและ ของเสยี เข้าและออกจากเซลล์ เลือดประกอบด้วย 2 สว่ น คือ 1. สว่ นท่ีเปน็ ของเหลวมรี อ้ ยละ 55 ซ่งึ เรยี กวา่ นา้ เลอื ด หรือ พลาสมา(plasma) 2. สว่ นทไี่ ม่เปน็ ของเหลวมีร้อยละ 45 ได้แก่ เซลลเ์ ม็ดเลือด และเกล็ดเลอื ด

1. นา้ เลอื ด (plasma) มีประมาณร้อยละ 55 ของจานวนเลือดทั้งหมด เป็น ของเหลวมีน้าเป็นส่วนประกอบร้อยละ 91 ที่เหลือเป็น สารอาหารและโปรตีน ทาหน้าที่ล าเลียง เอ็นไซม์ ฮอร์โมน แร่ธาตุ วิตามิน แก๊ส สารอาหารต่าง ๆ ไปให้ เซลลแ์ ละรับของเสยี สง่ ไปกาจัดนอกร่างกาย 2. เซลล์เมด็ เลอื ด เป็นของแข็งและเป็นสว่ นที่ตกตะกอนมปี ระมาณร้อยละ 45 ประกอบดว้ ย 2.1 เม็ดเลือดแดง เปน็ เซลล์รปู รา่ งกลมแบน เวา้ ทัง้ สองขา้ ง เกิดใหม่มนี วิ เคลยี ส โตเต็มท่ี จะไม่มีนิวเคลียส และมีเฮโมโกลบิน (hemoglobin)เป็นองค์ประกอบถูกสร้างมาจากไขกระดูก ทาหน้าท่ใี นการลาเลยี งออกซิเจน เมด็ เลือดแดงมีอายุ 120 วัน แหล่งทาลายคือ ตับและม้าม ใน เลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร มีเม็ดเลือดแดงประมาณ 5 ล้านเม็ด ผู้ใหญ่สร้างเม็ดเลือดที่ไข กระดูก ในเดก็ สร้างเมด็ เลือดทีต่ บั มา้ ม และไขกระดูก 2.2 เม็ดเลือดขาว มีขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดงมีนิวเคลียสที่มีรูปร่างต่างกัน มีหน้าที่ ทาลายเชอื้ โรคทีอ่ ยใู่ นรา่ งกาย และหลง่ั สารแอนติบอดีหรอื ภมู ิคุ้มกนั ออกมาทาลายเชอ้ื โรค มอี ายุ 3 - 12 วันถูกทาลายโดยต่อมน้าเหลืองและม้าม เลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตรจะมีเม็ดเลือดขาว ประมาณ 6 - 8 พันเซลล์ แต่ถา้ มเี ชอ้ื โรคเขา้ สู่ร่างกายจะมีจานวนเพิม่ มากถงึ 15,000 เซลล์ 3. เกล็ดเลือด เป็นเศษของเซลล์ชิ้นเล็ก รูปร่างกลม ไม่มีสี ไม่มีนิวเคลียส ไม่มีเฮโมโกลบิน สร้างจากไข กระดูกทาหน้าที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด อุด รอยฉีกขาดของหลอดเลือดฝอย มีวิตามิน Kและ แคลเซยี มเปน็ ตัวร่วม ในเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร จะมแี ผน่ เลือดประมาณ 3 แสนแผ่น โดยเกล็ดเลือด มีอายุประมาณ 10 วัน

ความดันเลือด (Blood Pressure) คือ ความดันที่เกิดจากการบีบและคลายตัวของหัวใจ โดยหัวใจบีบเลือดดันออกจากหัวใจด้วยความดันสูงและ เส้นเลือดที่นาเลือดเข้าสู่หัวใจมีแรงดันต่า ใช้หน่วยวัด เปน็ มิลลิเมตรของปรอท มคี า่ ตวั เลข 2 ค่า คอื 1. Systolic pressure คือคา่ ความดนั ทีว่ ดั ขณะหวั ใจบีบตัว (เขียนไวด้ ้านหนา้ ) 2. Diastolic pressure คอื คา่ ความดนั ทวี่ ัดขณะหวั ใจคลายตวั (เขยี นไวด้ ้านหลงั ) เชน่ ความดนั ผใู้ หญห่ ญงิ มีค่าประมาณ 110/70 มลิ ลิเมตรของปรอท ความดันผใู้ หญช่ าย มคี า่ ประมาณ 120/80 มิลลเิ มตรของปรอท ปกติค่าความดันสูงสุดมีค่าประมาณ 100 + อายุของผู้ถูกวัด สาหรับความดันเลือด ขณะหวั ใจรบั เลือดไม่ควรเกิน 90 มิลลิเมตรของปรอท ถ้าเกินถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจมีสาเหตุ มาจากโกรธง่าย เครียด หลอดเลือดตีบ คอเลสเตอรอลในเลือดสูง พบใน ผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ และหากปล่อยไว้อาจทาให้มีผลตามมาคือ เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลอื ดในสมองแตก และโรคไตวายเรอื้ รงั เปน็ ต้น ปจั จัยทม่ี ผี ลต่อความดันเลอื ด 1. อายุ ผูส้ งู อายุ เดก็ 2. เพศ เพศชาย เพศหญิง 3. รปู รา่ ง รูปรา่ งใหญ่ รปู รา่ งเล็ก 4. อารมณ์ อารมณเ์ ครยี ด วิตกกังวล โกรธ ตกใจ คนอารมณป์ กติ 5. กจิ กรรม ออกกาลงั กาย พกั ผอ่ น 6. หลงั รับประทานอาหาร ยามปกติ

การจบั ชพี จร (pulse) หมายถงึ อัตราการเต้นของหวั ใจ จงั หวะการยืดหยุน่ ของ หลอดเลือดอาร์เทอรีเป็นไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ สาหรับการเต้นของหัวใจปกติ ประมาณ 72 ครั้งต่อนาที แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะต่าง ๆ เช่น เพศ วัย อิริยาบท โรคภัยไขเ้ จ็บ เป็นตน้ ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด หน้าที่ 1. หวั ใจ (heart) สบู ฉีดเลอื ดใหไ้ หลไปตามหลอดเลอื ดไปยัง 2. หลอดเลอื ด (blood vessels) สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายแลว้ ไหลกลบั คนื เขา้ 2.1 หลอดเลือดอาร์เทอรี (artery) สู่หัวใจ เป็นท่อซึง่ เป็นทางให้เลอื ดหมุนเวียนไป โดย 2.2 หลอดเลือดเวน (vein) อาศยั แรงจากการสบู ฉีดของหัวใจ นาเลือดทม่ี ี O2 สูงออกจากหวั ใจไปสู่สว่ น 2.3 หลอดเลือดฝอย (capillary) ต่าง ๆ ของรา่ งกาย (ยกเวน้ เสน้ เลือดทน่ี า 3. เลอื ด (blood) เลอื ดไปยงั ปอดเพอื่ นาเลือดดาไปฟอก) นาเลือดทม่ี ี CO2 สูง O2 ต่า จากส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายเขา้ สู่หวั ใจ ยกเวน้ เส้นเลือด ดาท่ีนาเลือกท่ฟี อกแลว้ จากปอดมาสหู่ ัวใจ จะมอี อกซเิ จนสงู เป็นแหลง่ สาหรบั แลกเปลยี่ นแกส๊ และสาร ตา่ ง ๆ ระหวา่ งเลอื ดกบั เซลล์ของรา่ งกาย นาสารอาหารและแกส๊ ออกซเิ จนไปให้เซลล์ และนาของเสีย ทเ่ี ซลล์ไม่ตอ้ งการไปขจัด ออกนอกร่างกาย

การหายใจ (Respiration) คือ กระบวนการที่แก๊สออกซิเจนเข้าทาปฏิกิริยากับสารอาหารที่อยู่ภายในเซลล์แต่ละเซลล์ ทาให้สารอาหารปลอ่ ยพลงั งาน น้า และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา สารอาหาร + แก๊สออกซิเจน แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ + น้า + พลังงาน การหายใจแบง่ เปน็ 2 แบบ คือ 1. การหายใจแบบต้องอาศัยออกซิเจน เป็นการสลายโมเลกุลอาหารอย่างสมบูรณ์ ได้พลงั งานเตม็ ท่ี ผลท่ไี ด้คือ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ และนา้ 2. หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน เป็นการสลายโมเลกุลอาหารอย่างไม่สมบูรณ์ได้ พลังงานออกมาเพียง 1 ใน 9 ของการหายใจแบบใช้ออกซิเจน เช่น ในยีสต์ ได้ เอทิลแอลกอฮอล์ กับคาร์บอนไดออกไซด์ ในแบคทีเรียและกล้ามเนื้อลายของสัตว์ชั้นสูงได้ กรดแลกติก ซงึ่ เปน็ สาเหตุของการเกิดตะครวิ อวัยวะที่เกีย่ วข้องกับทางเดินลมหายใจของคน 1. จมกู (nose) : เป็นทางผา่ นของอากาศเข้าส่รู า่ งกายทางรูจมกู ซงึ่ ตดิ ต่อกับโพรงจมูก 2. คอหอย (pharynx) : เป็นทางผ่านของอากาศ ซงึ่ เป็นบริเวณทพี่ บกนั ระหวา่ งชอ่ งอาหาร จากปากกบั ชอ่ งอากาศจากจมกู 3. กล่องเสยี ง (larynx) : เป็นทางผา่ นของอากาศมฝี าปดิ กลอ่ งเสยี งทาหนา้ ท่ใี นการปิด/ เปดิ กล่องเสยี ง เพ่ือปอ้ งกันไม่ให้อาหารตกลงไปในกลอ่ งเสยี งและหลอดลมคอ 4. หลอดลมคอ (trachea) : เป็นทางผ่านของอากาศ และเป็นบรเิ วณท่ีมขี นและเซลล์ทห่ี ลง่ั สารเมือกทาหนา้ ทจี่ บั ฝุ่นละออง 5. หลอดลม (bronchus) : เป็นบริเวณท่ีอากาศผ่านเขา้ สู่ปอดทง้ั 2 ข้าง โดยแตกแขนงมา จากหลอดลมคอ 6. หลอดลมฝอย (bronchiole) : เป็นปลายสดุ ของหลอดลมมแี ขนงมากมาย ปลายพอง เป็นกระเปาะคลา้ ยถงุ 7. ถุงลม (alveolus) : เป็นกระเปาะเล็ก ๆ มหี ลอดเลอื ดฝอยมาหลอ่ เลยี้ ง ทาหน้าที่ แลกเปลย่ี นแก๊สออกซิเจนและแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

ปอด (Lung) ปอดเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่บรรจุถุงลมปอดจานวนมาก โดยเมื่อแรกเกิดจะมี ประมาณ 30 ล้านถุงและจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงอายุ 8 ขวบจะมีจานวนเต็มที่และหยุด การเพ่ิมจานวน ถงุ ลมมีหน้าทีร่ ับแก๊สออกซเิ จนเข้าสู่เลือดและขับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออก จากเลือด อวัยวะท่ชี ่วยในการหายใจ ปอดเป็นอวัยวะที่ไม่มีกล้ามเนื้อ จึงไม่สามารถหดตัวและคลายตัวได้ ดังนั้นการนา อากาศจากภายนอกเข้าสู่ปอดและการขับแก๊สต่าง ๆ ออกจากปอดต้องอาศัยการทางาน ประสานกนั ระหว่างอวัยวะตา่ ง ๆ เชน่ กระบงั ลม กระดกู ซโ่ี ครง ถงุ ลมปอด

กลไกการหายใจ กลไกการสดู ลมหายใจเกดิ จากการทางานของกลา้ มเนื้อ 2 แห่ง คือกล้ามเนื้อกระบังลม และกล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครง ดัง ภาพด้านบน การหายใจเขา้ (Inhalation) การหายใจออก (Exhalation) > กล้ามเนอื้ ซี่โครงแถบนอกหดตวั > กลา้ มเนอ้ื ยดึ ซโ่ี ครงแถบนอกคลายตวั > กล้ามเนือ้ ยึดซ่ีโครงแถบในคลายตวั > กลา้ มเนอื้ ยึดซี่โครงแถบในหดตวั > กระดูกซ่โี ครงยกตวั สงู ขน้ึ > กระดกู ซี่โครงยกตวั ลง > กระบงั ลมเลอื่ นตา่ ลง > กระบังลมยกตัวสูงขนึ้ > กล้ามเนอื้ กระบงั ลมหดตวั > กลา้ มเน้อื กระบงั ลมคลายตวั > ปริมาตรในชอ่ งอกเพม่ิ ขน้ึ > ปริมาตรในช่องอกลดลง > ความดนั ของอากาศภายในปอดลดลง > ความดันของอากาศภายในปอดเพมิ่ ขน้ึ

การแลกเปลีย่ นแก๊ส (Gas Exchange) 1. การแลกเปลย่ี นแก๊สที่ถงุ ลม อากาศเมื่อเข้าสู่ปอดจะไปอยู่ที่ถุงลม โดยในถุงลมจะมี หลอดเลือดฝอยมาหอ่ หมุ้ ไว้ เมอ่ื เลือดจากหัวใจมาสู่ปอดซึ่ง เปน็ เลอื ดที่มอี อกซเิ จนต่าแตม่ คี าร์บอนไดออกไซด์สูง จะเกดิ การแลกเปลี่ยนแก๊สที่ถุงลม โดยออกซิเจนในถุงลมจะแพร่ เข้าสเู่ สน้ เลือด ในขณะเดยี วกนั แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดก์ จ็ ะ แพร่เข้าส่ถู งุ ลม เพือ่ ทีจ่ ะขบั ออกทางลมหายใจต่อไป การแลกเปลยี่ นแกส๊ ครงั้ แรก เกิดขึน้ ระหว่างถงุ ลมปอดและ หลอดเลือดฝอย 2. การแลกเปลี่ยนแก๊สท่ีเซลล์ เลือดจะพาแก๊สออกซิเจน และสารอาหารไปสู่เซลล์ เมื่อเข้าสู่เซลล์จะเกิดปฏิกิริยาระหว่าง สารอาหารกับแก๊สออกซิเจน แล้วอาหารจะปล่อยพลังงานออกมากระบวนการนี้เรียกว่า “กระบวนการหายใจ” นอกจากได้พลังงานแล้วยังได้น้าและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของ เสียแพรเ่ ข้าสูก่ ระแสเลือด หลังจากนั้นเลือดก็จะพาของเสียไปยังถุงลมเพื่อขับถ่ายออกมาทางลม หายใจต่อไป

การย่อยอาหาร (Digestion) การย่อยอาหาร คือ กระบวนการที่ทาให้อาหารที่มีขนาด ใหญ่มีขนาดเลก็ ลงจนสามารถดูดซึมเข้าเซลล์ และนาไปใช้ ประโยชน์ได้ การยอ่ ยภายนอกเซลล์ มี 2 วิธคี ือ 1. การยอ่ ยแบบเชิงกล (mechanical digestion) โดยการบดเคี้ยวของฟันและการบีบรัดตัวของท่อทางเดิน อาหาร เป็นการเปลี่ยนขนาดโมเลกุลทาให้อาหารมีขนาด เลก็ ลง 2. การย่อยแบบเชิงเคมี (chemical digestion) โดยการใช้น้าย่อย ซึ่งน้าย่อยหรือเอนไซม์ (enzyme) ซึ่งมี คุณสมบตั ิดังนี้ 1. นา้ ย่อยเปน็ โปรตนี 2. หลงั เร่งปฏิกริ ิยาเคมีแลว้ น้ายอ่ ยจะไม่เปล่ยี นสภาพ สามารถนากลบั มาใช้ใหมไ่ ด้ 3. การทางานของนา้ ยอ่ ยขนึ้ อยกู่ บั อณุ หภูมิและคา่ pH ทเ่ี หมาะสม 4. เอนไซม์ แต่ละชนดิ จะมคี วามจาเพาะเจาะจงตอ่ สารทจี่ ะยอ่ ยแตกต่างกัน อวยั วะท่ีเกีย่ วข้องกับทางเดินอาหาร ช่องปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไสเ้ ล็ก ลาไส้ใหญ่ ไส้ตรง ทวาร

อวยั วะทีเ่ ก่ียวข้องกับทางเดินอาหาร 1. ปาก (mouth) ปากเป็นอวยั วะแรกทที่ าหนา้ ทใี่ นการย่อยอาหารแบบ เชงิ กลโดยการบดเคย้ี วอาหารของฟนั และมีการย่อย ทางเคมโี ดยเอนไซม์อะไมเลส ซง่ึ ทางานไดด้ ีในสภาพ ทีเ่ ปน็ เบสเล็กนอ้ ย อะไมเลส แป้ง น้าตาลมอลโทส (Maltose) ภายในปากมีโครงสรา้ งท่เี กีย่ วข้องกับการย่อยอาหารดงั น้ี 1.1 ฟัน (teeth) ทีท่ าหนา้ ทค่ี อยบดเคี้ยวอาหารให้เลก็ ลงโดยฟันมี 2 ชดุ คอื ฟนั น้านมและฟนั แท้ - ฟนั น้านม มี 20 ซี่ เรม่ิ ขึน้ เมอ่ื อายุ 6 เดอื นถงึ 13 ปี - ฟนั แท้มี 32 ซี่ - ฟันหน้า สาหรบั ตัดอาหาร 8 ซี่ ฟนั เขี้ยว สาหรับฉีกอาหาร 4 ซ่ี - ฟันกรามหนา้ และกรามหลัง สาหรบั บดเค้ียวอาหารอกี 8 และ 12 ซี่ 1.2 เพดานอ่อน (soft palate) เพดานอ่อนจะเลือ่ นปดิ ปลายโพรงจมกู ขณะที่มกี ารกลืน อาหาร 1.3 ต่อมน้าลาย (salivary gland) ทาหน้าที่สร้างน้าลาย (saliva) ประกอบด้วย น้า น้าเมือก เอนไซม์อะไมเลส (amylase), NaHCO3, แร่ธาตุ เช่น ฟอสฟอรัส (P) คลอรีน (Cl) ต่อมน้าลายมีด้วยกัน 3 คู่ คือ ต่อมน้าลายบริเวณกกหู ต่อมน้าลายใต้ขากรรไกรล่าง และต่อม น้าลายใต้ลิน้ ผลิตนา้ ลายไดว้ นั ละ 1-1.5 ลิตร

อวัยวะท่ีเกย่ี วข้องกบั ทางเดินอาหาร 1.4 ลนิ้ (tongue) คอยคลกุ เคล้าอาหารใหผ้ สมกับนา้ ลาย และมีตุ่มรบั รส (test bud) กระจายอยทู่ ั่ว การย่อยในปาก มีเฉพาะการย่อยแป้งเท่านั้น โดยอาหารที่ผ่านการย่อยจะ เปน็ กอ้ นเรียกวา่ โบลัส (bolus) แล้วเลอื่ นผ่านคอหอยโดย การกลืน 2. คอหอย (pharynx) คอหอย เป็นทางผ่านระหว่างปากกับหลอดอาหาร ช่องที่เปิดติดต่อกับอวัยวะหลายแห่ง เช่น จมูก ปาก หลอดลม หลอดอาหารและช่องหูตอนกลาง ขณะท่ี เรากลืนอาหารเราจะไม่หายใจ 3. หลอดอาหาร (esophagus) เป็นกล้ามเนื้อเรียบ มีการย่อยเชิงกลโดยการบีบรัด ตัวเปน็ จังหวะเพ่ือลาเลยี งอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร ไมม่ นี ้ายอ่ ย ไมม่ กี ารดดู ซึมอาหาร แต่มีการหลั่งสาร เมือกเพ่ือชว่ ยหลอ่ ลื่น 4. กระเพาะอาหาร (stomach) เป็นบรเิ วณทมี่ กี ารยอ่ ยทง้ั แบบเชงิ กลและทางเคมี มรี ปู รา่ งคล้ายตวั เจ (J) มกี ล้ามเนื้อหู รูดทั้งบนและล่าง ผนังด้านในทบไปมา กระเพาะสามารถดูดซึมอาหารได้เป็นแห่งแรก เช่น สามารถดูดซึมแอลกอฮอล์ วิตามินบี 12 และแร่ธาตุบางชนิด กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรด เกลือหรือไฮโดรคลอริก (HCI) เพื่อปรับสภาพให้เหมาะสม ซึ่งขณะที่กระเพาะปล่อยกรดเกลือ (HCI) ออกมาใหม่ ๆ มีความเขม้ ขน้ สงู สามารถทาลายเน้อื เยอ่ื ภายในร่างกายได้ ดงั นั้นกระเพาะ จึงสร้างเมอื กข้ึนมาเพือ่ ปอ้ งกนั กรดเกลือทาลายผนงั กระเพาะอาหาร

อวัยวะท่ีเกย่ี วข้องกับทางเดินอาหาร การย่อยในกระเพาะอาหาร อาหารจะถกู คลกุ เคลา้ อยใู่ นกระเพาะด้วยการหดตวั และคลายตัวของกล้ามเน้อื ท่แี ขง็ แรง ของกระเพาะ ในกระเพาะอาหารจะมีการจะสรา้ งเอนไซม์เพปซนิ (pepsin) ย่อยเฉพาะโปรตนี ให้ เป็นโปรตีนโมเลกุลยอ่ ยลง เรียกว่า เพปไทด์ (Peptide) แต่ยังไม่สามารถดูดซมึ ไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนน้ั ยงั มกี ารสร้างเอนไซมเ์ รนนนิ (rennin) สาหรับย่อยโปรตีนในน้านม 5. ลาไสเ้ ลก็ (Small Intestine) ลาไส้เล็กเป็นส่วนที่มีการดูดซึมสารอาหารมาก ที่สุด เนื่องจากที่ผนังลาไส้เล็กสามารถสร้างน้าย่อยหรือ เอนไซม์ขนึ้ มาไดห้ ลายชนิดทางานไดด้ ใี นสภาวะทเ่ี ป็นเบส ลาไส้เล็กเป็นอวัยวะที่ยาวที่สุดถึง 7 - 8 เมตร ลาไส้เล็ก แบง่ ออกเปน็ 3 ส่วนคือ 1. ลาไส้ตอนต้น หรือ ดูโอดีนัม (duodenum) รับน้าย่อยจากตับอ่อนและรับน้าดีจากตับ (น้าดีมีสีเขียว รสขม และมีสมบัติเป็นเบส) ลาไส้ส่วนนี้เป็นส่วนที่มีการ ย่อยมากที่สุด สามารถย่อยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และ ไขมันได้ 2. ลาไส้ส่วนกลาง หรือ เจจูนัม (jejunum) เปน็ สว่ นที่ดดู ซมึ อาหารที่ยอ่ ยแลว้ มากทส่ี ดุ 3. ลาไสส้ ่วนทา้ ย หรอื ไอเลียม (ileum) ยอ่ ยและดูดซมึ อาหารที่เหลือ

อวัยวะทเี่ ก่ียวข้องกบั ทางเดินอาหาร การย่อยอาหารในลาไส้เลก็ 1. ยอ่ ยน้าตาลโมเลกุลคู่ ใหเ้ ป็นนา้ ตาลโมเลกุลเดยี่ ว โดยเอนไซม์ตอ่ ไปน้ี - เอนไซม์มอลเทสยอ่ ยน้าตาลมอลโทส ได้กลโู คส 2 โมเลกลุ - เอนไซมซ์ เู ครสยอ่ ยน้าตาลซโู ครส ได้กลูโคส และ ฟรกั โทส - เอนไซม์แลกเทสย่อยน้าตาลแลกโทส ไดก้ ลูโคส และ กาแลกโทส - เอนไซมอ์ ะไมเลสย่อยแป้งไดน้ ้าตาลมอลโทส 2. ย่อยสารอาหารโปรตีนต่อจากกระเพาะอาหาร โดยเอนไซม์ทริปซินย่อยพอลีเพปไทด์ให้ สั้นลง ส่วนคาร์บอกซิเพปทิเดส และอะมิโนเพปทิเดสย่อยที่ปลายพอลิเพปไทด์ได้กรดอะมิโน หลดุ ออกมาทลี ะโมเลกลุ 3. ย่อยไขมัน โดยเอนไซม์ไลเพสจะย่อยไขมันโมเลกุลเลก็ ได้กรดไขมันและกลเี ซอรอล การดดู ซึมอาหารในลาไสเ้ ลก็ ที่ผนังลาไส้เล็กจะยาวพับไปมา และมีส่วนยื่นของกลุ่มของเซลล์ที่เรียงตัวเป็นแถว เดียวมลี ักษณะคลา้ ยนวิ้ มอื เรยี กวา่ วิลลสั (Villus) เปน็ จานวนมาก ในแต่ละเซลล์ของวลิ ลสั ยังมีส่วนยื่นของเยอ่ื หุม้ เซลลอ์ อกไปอกี มากมาย เรียกว่า ไมโครวิลลัส (Microvillus)

อวัยวะทีม่ ีสว่ นเก่ียวข้องกับการย่อยอาหาร 1. ตบั (liver) ทาหน้าที่ผลติ นา้ ดี (bile) มีฤทธิ์เป็นเบสอ่อนๆ แลว้ นาไปเกบ็ ไวท้ ่ถี งุ นา้ ดี (gall bladder) โดย นา้ ดีทาให้ไขมนั แตกตวั เป็นหยดไขมนั เลก็ ๆ น้าดีไมใ่ ชเ่ อนไซมเ์ พราะไม่ใช่สารประกอบประเภท โปรตนี เมอื่ ทาปฏกิ ิรยิ าแล้วจะเปล่ยี นสภาพไป 2. ตบั ออ่ น (pancreas) ตับอ่อนมีรูปร่างคล้ายใบไม้ สามารถผลิตของเหลวได้วันละ 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ประกอบด้วย - อินซลู ิน (Insulin) ควบคมุ ระดบั นา้ ตาลในเลือดใหค้ งท่ี - เอนไซมไ์ ลเพส (lipase) ยอ่ ยไขมนั ไดก้ รดไขมนั และกลเี ซอรอล - โซเดยี มไบคารบ์ อเนต (NaHCO3) ช่วยปรบั สภาพอาหารในลาไสเ้ ล็กใหม้ สี ภาพเปน็ เบส เนอ่ื งจากน้าย่อยในลาไสเ้ ล็กจะทางานไดด้ ใี นภาวะทเี่ ป็นเบส

6. ลาไส้ใหญ่ (Large Intestine) ลาไสใ้ หญ่เปน็ ทางเดินอาหารสว่ นสดุ ทา้ ยต่อจากลาไส้เลก็ ยาวประมาณ 1.5 เมตรไม่มี ตอ่ มสร้างนา้ ยอ่ ย ไมม่ กี ารยอ่ ยอาหาร มีแบคทเี รยี ท่ชี อื่ E.coli ชว่ ยย่อยสลายกากอาหารให้เล็ก ลงและชว่ ยสร้างวิตามนิ B12 และ วติ ามิน K ลาไส้ใหญแ่ บง่ เปน็ 3 สว่ นคือ 1. ซีกมั (Caecum) เป็นลาไสต้ อนต้น มไี สต้ งิ่ ตดิ อยู่ 2. โคลอน (Colon) เปน็ ลาไส้ตอนกลาง รูปร่างตวดั เป็นรปู ตวั เอส 3. ลาไส้ตรง (Rectum) เปน็ ลาไส้ตอนปลาย เกบ็ กักอาหารก่อนสง่ ออกทางรูทวารหนัก ลาไส้ใหญ่จะมีการดูดน้าและเกลือแร่เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อกากอาหารอยู่ส่วนนี้นานเกินไป หรอื รับประทานอาหารที่มกี ากอาหารนอ้ ย จะทาใหเ้ กิดทอ้ งผูก และเกิดเป็นโรคริดสดี วงทวาร การดดู ซมึ อาหาร การดดู ซมึ สารอาหาร เป็นการนาอาหารโมเลกุลท่ีถกู ยอ่ ยแล้วผา่ นผนังทางเดนิ อาหารเขา้ สู่กระแสโลหติ เพอ่ื นาไปสเู่ ซลล์ตา่ ง ๆ ภายในร่างกาย โดยอวัยวะทท่ี าการดดู ซมึ ได้แก่ 1. กระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่จะดูดซึมสารพวกแอลกอฮอล์ และยาต่าง ๆ แต่จะมีการ ดดู ซมึ ปรมิ าณนอ้ ย 2. ลาไสเ้ ลก็ ที่ผนังลาไส้เล็กมีลักษณะไม่เรียบ โดยจะมีส่วนที่ยื่นออกมาของกลุ่มเซลล์ เรียกว่า วลิ ลัส (Villus) เพ่ือช่วยเพม่ิ พ้นื ทใ่ี นการดดู ซมึ ลาไสเ้ ลก็ เป็นส่วนท่มี ีการดูดซมึ มากที่สุด 3. ลาไส้ใหญ่ มกี ารดดู ซมึ นา้ และแรธ่ าตเุ ปน็ ส่วนใหญ่ สรปุ กระบวนการยอ่ ยอาหาร - คาร์โบไฮเดรต จะถกู ย่อยลาดับแรกในปาก - โปรตีน ถูกย่อยเป็นอนั ดบั ทส่ี องในกระเพาะอาหาร - ไขมนั ถูกยอ่ ยเป็นอนั ดับสุดท้ายทีล่ าไสเ้ ล็ก

สรปุ ส่วนประกอบและหน้าที่ของอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร อวัยวะ หนา้ ท่ี 1. ปาก - บดเค้ียวอาหารดว้ ยฟนั คลกุ เคลา้ อาหารดว้ ยลน้ิ 2. คอหอย - ตอ่ มนา้ ลาย (Salivary Gland) ผลิตนา้ ยอ่ ยอะไมเลส 3. หลอดอาหาร (Amylase) ยอ่ ยแป้งให้เปน็ นา้ ตาลมอลโทส 4. กระเพาะอาหาร - เป็นทางผ่านของอาหารเขา้ สูห่ ลอดอาหารและอากาศเขา้ สู่ หลอดลม 5. ลาไสเ้ ล็ก - เปน็ ทางผา่ นของอาหารลงส่กู ระเพาะอาหารไม่มตี อ่ มสร้าง นา้ ยอ่ ย แตม่ ีต่อมขบั นา้ เมอื กชว่ ยหลอ่ ลน่ื อาหารใหผ้ ่านได้ 6. ลาไส้ใหญ่ สะดวก 7. ทวารหนกั - ผลิตกรดไฮโดรคลอรกิ (HCI) เพ่ือปรับสภาพ - ผลิตนา้ เมอื กท่ีชว่ ยเคลอื บผนังชนั้ ในของกระเพาะอาหาร - ผลติ น้าย่อยเพปซนิ ยอ่ ยโปรตนี ให้เปน็ โปรตนี สายส้ัน (เพปไทด์) และนา้ ยอ่ ยเรนนนิ ย่อยโปรตนี ในนมใหโ้ ปรตนี เปน็ ล่มิ ๆ - ผลิตนา้ ย่อยมอลเทส ซูเครส แลกเทส ยอ่ ยนา้ ตาล - น้าย่อยอะมโิ นเพปทเิ ดส ย่อยโปรตนี สายส้นั ให้เป็นกรด อะมิโนและดดู ซมึ สารอาหารเขา้ สูเ่ ซลล์ - อวยั วะท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ลาไสเ้ ลก็ + ตบั (Liver) ผลติ นา้ ดี ทาให้โมเลกลุ ของไขมนั แตก ตัวเป็นเมด็ เลก็ ๆ + ตบั อ่อน (Pancreas) ผลิตน้าย่อยไลเพสย่อย ไขมันแตกตวั ใหเ้ ปน็ กรดไขมันและกลเี ซอรอล นา้ ยอ่ ย คารบ์ อกซเิ พปพเิ ดส ยอ่ ยเพปไทดใ์ ห้เปน็ กรดอะมโิ น - ดดู นา้ แรธ่ าตุ วิตามนิ บางชนดิ และกลโู คสออกจากกาก อาหารเขา้ สู่กระแสเลอื ด ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นนา้ - ขบั ถา่ ยกากอาหาร

ระบบขับถ่าย (Excretory system) การขบั ถา่ ย excretion) คอื กลไกการกาจดั ของเสยี ทีเ่ กดิ จากกระบวนการเมแทบอลิซึม ในเซลล์ ได้แก่ สารประกอบไนโตรเจนทเ่ี กิดจากการสลายโปรตีน (เช่น แอมโมเนีย ยูเรีย และ ยูรกิ ) รวมถึงสารบางอยา่ งที่เกดิ ขึ้น ซง่ึ เป็นพษิ กับเซลล์ สารท่มี ีมากเกินไปร่างกายต้องกาจดั ทงิ้ เชน่ น้า เกลอื แร่ สว่ นแก๊สคาร์บอนไดออกไซดน์ นั้ รา่ งกายขบั ทง้ิ ออกทางระบบหายใจ ขอ้ พึงระวัง !! อุจจาระ (feces)ไม่จัดเป็น ของเสยี ในระบบขับถ่าย เพราะ เกดิ จากกากอาหารที่ย่อยไม่ได้ ความสาคญั ของระบบขบั ถา่ ย 1. ควบคมุ ความเปน็ กรด-เบสในรา่ งกาย 2. ควบคมุ ปริมาณนา้ ในร่างกายให้สมดุล 3. ควบคมุ ปริมาณสารทเี่ ปน็ พษิ ตอ่ ร่างกาย 4. ควบคมุ ปรมิ าณสารทมี่ มี ากเกนิ ความตอ้ งการ

ระบบขับถ่าย (Excretory system) ในคนถอื ว่าอวัยวะขับถ่ายในการกาจัดสารสว่ นเกนิ ในรา่ งกายเพอ่ื รกั ษาสมดลุ ที่สาคัญคอื ไต 1. สว่ นประกอบของระบบขบั ถา่ ย 1.1 ไต (kidney) เปน็ อวัยวะสาคัญทีส่ ดุ ของระบบน้ี มี 2 อนั รปู ร่างคลา้ ยเมลด็ ถั่วดาขนาด 10 x 5.5 ซม. อยบู่ รเิ วณในช่องทอ้ งสองขา้ งของกระดกู สันหลังระดับเอว ทาหน้าที่กรองสาร ดูดซับน้า ไอออน และสารอน่ื ๆ ทจ่ี าเปน็ ตอ่ รา่ งกายกลบั เข้าสกู่ ระแสเลือด และขับไอออน และสารอ่ืน ๆ ทีร่ ่างกาย ไม่ต้องการ หรือมากเกินพอ ออกจากร่างกายเพื่อการปรับสมดุล ความเป็นกรด –ด่างของ ร่างกาย โดยไตจะขบั ปสั สาวะออกมาเรอื่ ย ๆ ประมาณ 1 มลิ ลลิ ติ ร/นาที ส่ทู ่อไตท้งั สองขา้ ง 1.2 ท่อไต (ureters) เป็นท่อ 2 อัน ทีน่ าน้าปัสสาวะออกมาจากไตไปส่กู ระเพาะปสั สาวะ 1.3 กระเพาะปสั สาวะ (urinary bladder) เป็นถุงที่เก็บสะสมน้าปัสสาวะ ผิวด้านในมีรอยย่นเรียก Rugae ซึ่งจะขยายออกได้ กระเพาะ ปัสสาวะปกตมิ ีความจไุ ด้ประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร เมื่อมีปัสสาวะประมาณ 210-300 มิลลิลิตร จะรู้สึกปวด อยากถ่ายปัสสาวะเนื่องจากปัสสาวะไปกระตุ้นปลายประสาทที่ผนัง กระเพาะปัสสาวะ ทาให้กระเพาะปัสสาวะหดและบีบตัวเอาปัสสาวะออกมาทางท่อปัสสาวะ urethra) เพอ่ื ขบั ออกนอกรา่ งกาย ผู้ใหญ่ปกติจะถ่ายปัสสาวะ 600-1600 มิลลิลิตร/วัน ในเด็ก ไมส่ ามารถกลัน้ ปสั สาวะได้ เพราะระบบประสาทยังไมส่ มบูรณ์ 1.4 ท่อปัสสาวะ (urethra) เปน็ ทอ่ ทีน่ าปสั สาวะจากกระเพาะปสั สาวะออกจากรา่ งกาย

2. ไต (kidney) การอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมใด ๆ ก็ตามต้องมีการรักษาสมดุลระหว่าง การนาเข้าสารที่เป็นปัจจัยจาเป็น และมีการกาจัดของเสีย ไต เป็นอวัยวะที่สาคัญของระบบ ขบั ถา่ ย มีบทบาทสาคญั ในการควบคุมปรมิ าณของน้าและสารที่อยู่ในของเหลวในร่างกายใน มนษุ ย์ ไตมรี ปู ร่างคลา้ ยเมล็ดถว่ั เมื่อผ่าตามยาวจะเห็นขา้ งในกลวง ผนังชอ่ งกลวง คือ เนื้อไต ช่องในไตเป็นรูปกรวยเรียกกรวยไต ก้านของกรวยไตคือท่อไต จากท่อนี้จะนาของเหลวไป รวมกันที่กระเพาะปัสสาวะ เนื้อไตแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ เนื้อไตชั้นนอก (cortex) และเนื้อไต ชนั้ ใน (medulla) ภายในเน้อื ไตประกอบดว้ ยหนว่ ยไตจานวนมากมาย ไตแตล่ ะข้างมหี นว่ ยไต ประมาณ 1 ล้านหน่วย โดยมที ่อขนาดเล็กยาวถงึ 80 กิโลเมตร และมีหลอดเลือดฝอยจานวน มาก แมร้ ่างกายมนุษย์จะมีเลือดเพียงประมาณ 5 ลิตร แตเ่ พราะเลอื ดหมนุ เวยี นในร่างกายซา้ แล้วซ้าอีก โดยผา่ นเลือดผ่านการกรองทไี่ ตประมาณ 45 ลติ ร ทุกวนั Renal cortex : ไตช้นั นอก Renal medulla : ไตช้นั ใน Nephron : หน่วยไต

3. การทางานของไต หน่วยไตทาหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด และกาจัดออกเป็นน้าปัสสาวะ กระบวนการเกิดนา้ ปสั สาวะ คอื 3.1 การกรองท่ีโกลเมอรูลัส (glomerulus filtration) หลอดเลอื ดท่ีนาเลอื ดเขา้ สู่ไตคอื รีนัลอาร์เทอรีรบั ของเสียทีเ่ กดิ จากเมแทบอลิซึมของ เซลล์ท่วั ร่างกายปะปนมาดว้ ย เมือ่ หลอดเลอื ดนีเ้ ข้าไตจะแตกแขนงเป็นหลอดเลือดฝอยซงึ่ แต่ ละเส้นจะขดเป็นโกลเมอรูลัสอยู่ในโบว์แมนส์แคปซูล เลือดในโกลเมอรูลัสจะถูกกรองโดยใช้ ผนังหลอดเลือดฝอยทาหน้าที่เป็นเยื่อกรอง โดยมีแรงดันเลือดและประสิทธิภาพของหลอด เลือดฝอยเปน็ ตัวทาให้เกิดการกรองทาให้ของเหลวหลายชนิดออกมาสู่โบว์แมนส์แคปซูลได้ ของเหลวและสารโมเลกลุ เล็ก ๆ ที่ละลายในพลาสมาผา่ นออกมาได้ ไดแ้ ก่ น้า นา้ ตาลกลูโคส กรดอะมโิ น วติ ามิน เกลอื แร่ และยูเรยี แตไ่ ม่ยอมใหส้ ารโมเลกลุ ใหญ่ เช่น โปรตนี ไขมัน และ เม็ดเลอื ดผ่านออกมาได้ 3.2 การดดู กลับ (reabsorption) สารที่ดูดกลับสารที่เป็นประโยชน์จะเป็นบริเวณไตชั้นนอก ได้แก่ สารอาหารพวก กลูโคส กรดอะมโิ น และวติ ามนิ และดดู กลบั โซเดยี มคลอไรด์ (NaCl) 3.3 การขบั ถ่าย (excretion) ทาให้ของเหลวมีความเข้มข้น กลายเป็นน้าปัสสาวะไปตามท่อไต เก็บไว้ที่กระเพาะ ปสั สาวะ

การกาจัดของเสยี ผา่ นช่องทางอ่ืน ๆ 1. การกาจัดของเสยี ทางผวิ หนัง ผิวหนังทาหนา้ ทก่ี าจดั เหงอื่ (sweat) ประกอบดว้ ยนา้ และ แร่ธาตุเป็นส่วนใหญ่ มียูเรียเล็กน้อย เหงื่อถูกลาเลียงผ่านหลอด เลอื ดในชน้ั ผวิ หนังแทม้ ารวมกนั ในตอ่ มเหง่ือ แล้วระเหยออกนอก ร่างกาย 2. การกาจดั ของเสยี ทางปอด แก๊สคารบ์ อนไดออกไซดก์ บั น้า ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญ อาหารภายในเซลล์จะแพร่เข้าสู่เลือด แล้วเลือดจะลาเลียงแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์กับน้าไปยังปอด เมื่อถึงปอดจะแพร่เข้าสู่ถุง ลมในปอด และขับออกสูภ่ ายนอกโดยลมหายใจออก 3. การกาจัดของเสียทางลาไส้ใหญ่ อาหารที่เหลือจากการย่อยและดูดซึมแล้ว จะผ่านเข้าสู่ลาไส้เล็ก ในลาไส้ใหญ่มี แบคทีเรยี จานวนมาก มบี างชนิดที่สังเคราะห์วิตามินเคและวิตามินบี 12 เซลล์ที่บุผนังลาไส้ ใหญ่สามารถดดู น้า แร่ธาตุ วติ ามนิ และกลโู คส จากกากอาหารเขา้ กระแสเลอื ด ซ่งึ ส่วนใหญ่ เปน็ นา้ จึงทาให้กากอาหารข้นข้นึ จนเป็นก้อนอุจจาระ

ระบบประสาทและสมอง (Nervous system) อวัยวะและหนา้ ทีข่ องอวัยวะในระบบประสาท 1. สมอง (Brain) เป็นอวัยวะหลักของระบบประสาทมนุษย์ โดยจัดเป็นระบบประสาทส่วนกลาง เม่อื รวมกบั ไขสนั หลัง สมองประกอบดว้ ยสมองใหญ่ กา้ นสมอง และสมองนอ้ ย เป็นศูนย์ ควบคุมการทางานของร่างกาย การแปลผล รวบรวม และประสานข้อมูลที่ได้รับจากประสาทสัมผัส และการตัดสนิ ใจว่าจะสั่งให้รา่ งกายทาการเช่นไร สมองอยู่ในกระดูกหุ้มสมองภายในศีรษะ ลอยอยู่ใน นา้ หลอ่ สมองไขสนั หลงั และแยกจากกระแสเลอื ดด้วยตวั กน้ั ระหว่างเลือดกับสมอง ซึ่งช่วยป้องกันจาก อนั ตราย ซงึ่ สามารถจาแนกออกเปน็ 3 สว่ นใหญ่ ๆ คือ สมองส่วนหนา้ สมองสว่ นกลาง และสมอง สมองส่วนหน้า (Forebrain) ทาหน้าที่เกี่ยวกับความจา เชาวน์ปัญญา รับความรู้สึกใน การมองเห็น การไดย้ นิ การรบั กลิน่ และการรับรส สมองสว่ นกลาง (Midbrain) ทาหน้าที่เกีย่ วกบั การมองเห็นและการไดย้ ิน สมองส่วนท้าย (Hindbrain) ทาหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมและประสานงานเกี่ยวกับการ ทางานของกล้ามเนือ้ ทาให้ทางานอย่างละเอียดอ่อน ระบบประสาท แบ่งออกเปน็ 2 ระบบ คอื 1. ระบบประสาทส่วนกลาง ( Central Nervous System หรือ CNS ) : ประกอบด้วย สมอง และไขสันหลัง 2. ระบบประสาทรอบนอก ( Peripheral Nervous System หรือ PNS) : ประกอบดว้ ย เส้นประสาทสมอง 12 คู่ และเส้นประสาทไขสันหลงั 31 คู่

2. ไขสันหลัง (Spinal cord) เป็นเนื้อเยื่อประสาทที่ทอดยาวจากสมองไปภายในโพรงกระดูกสันหลัง กระแส ประสาทจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะผ่านไขสันหลัง มีทั้งกระแสประสาทเข้าและกระแส ประสาทออกจากสมองและกระแสประสาททตี่ ดิ ต่อกบั ไขสนั หลังโดยตรง 3. ประสาทไขสันหลัง (Spinal nerve) เป็นเส้นประสาทที่แยกออกมาจากเซลล์ประสาทที่อยู่ในไขสันหลัง (ซึ่งไขสันหลังก็เป็นส่วนที่ เช่ือมโยงขึน้ ไปที่ศนู ย์กลางระบบประสาทในสมองอีกคร้งั ) 4. เซลลป์ ระสาท (Neuron) เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของระบบประสาท เซลล์ประสาทมีเยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาสซึมและ นิวเคลียสเหมือนเซลล์อ่ืน ๆ แต่มีรูปร่างลักษณะแตกต่างออกไป เซลล์ประสาทประกอบด้วยตัวเซลล์ และเส้นใยประสาทที่มี 2 แบบคือ เดนไดรต์ (Dendrite) ทาหน้าที่นากระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์ และแอกซอน (Axon) ทาหน้าทีน่ ากระแสประสาทออกจากตัวเซลลไ์ ปยังเซลล์ประสาทอื่น ๆ

การสง่ กระแสประสาท การส่งกระแสประสาทของมนุษย์ต้องอาศัยเซลล์ประสาทท่ี ประกอบด้วย ตัวเซลล์ (cell body) แอกซอน (axon) และเดน ไดรต์ (dendrite) กระแสประสาทจะส่งจากแอกซอนของเซลล์หนึ่งไปยังเดนไดรต์ของอีกเซลล์หนึ่ง ผ่านจุด ประสานหรอื ไซแนปส์ (synapse) โดยปลายแอกซอนของเซลลป์ ระสาทมลี กั ษณะเปน็ กระเปาะ ภายในมีถุงเล็ก ๆ บรรจุสารสื่อประสาท เมื่อกระแสประสาทเคลื่อนมาถึงปลายแอกซอน ถุง บรรจุสารสื่อประสาทจะเชื่อมกับเยื่อหุ้มเซลล์ก่อนไซแนปส์แล้วหลั่งสารสื่อประสาทออกไป กระตุ้นให้เกิดกระแสประสาทที่ปลายเดนไดรต์ของอีกเซลล์หนึ่ง เกิดการถ่ายทอดกระแส ประสาทตอ่ ไปเรื่อย ๆ ไซแนปส์ (synapse)

อวยั วะรบั สมั ผสั (Sense organs) 2. ล้นิ (Tongue) : การรบั รส เปน็ การรับสัมผสั เกี่ยวกับรสชาติ ผ่านตุ่มรับรสท่ี 1. ตา (Eyes) : การมองเหน็ กระจายตัวอยู่ทั่วผิวของลิ้น การทานอาหารที่มี เป็นการรับสัมผัสเกี่ยวกับภาพ โดยการสะท้อนแสง ส่วนผสมของผงชรู ส จะไปกระตนุ้ ใหต้ มุ่ รับรสเปดิ ของวตั ถเุ ข้าสดู่ วงตา และรบั รสชาตขิ องอาหารไดด้ ีขึน้ 5. จมกู (Nose) : การรบั กลิ่น เป็นการทางานที่ซับซ้อนระหว่างจมูกและสมองส่วน หน้าบริเวณที่เรียกว่า ออลแฟกทอรี่บัลบ์ (Olfactory bulb) เพื่อส่งต่อสัญญาณไปยังสมองส่วนซีรีบรัมให้ แปลข้อมูลว่าเป็นกลิ่นอะไร หอมหรือเหม็น การรับรู้ กลน่ิ ช่วยในการอยรู่ อดของมนษุ ยท์ าให้รบั รคู้ ุณภาพของ อาหาร เป็นสัญญาณเตือนภัยให้มนุษย์และสัตว์อื่น ๆ ร้ลู ว่ งหน้าว่าภยั ใกล้จะถงึ ตวั 3. หู (Ears) : การไดย้ นิ 4. ผิวหนงั (Skin) : การรบั สมั ผัส เป็นการรับสัมผัสผ่านปลายประสาทที่บริเวณ เกิดจากคลื่นเสียงเคลื่อนผ่านเข้าทางช่องหู และเข้า ผวิ หนงั ตามบริเวณตา่ ง ๆ ทั่วร่างกาย ไปกระทบเยื่อแก้วหู ทาให้กระดูกหูที่อยู่ภายใน ส่นั สะเทือนตามคลื่นเสียง จนมีการสัญญาณส่งไปยัง เสน้ ประสาทการไดย้ นิ และประมวลผลโดยสมอง

ระบบสบื พนั ธ์ุ (Reproductive system) สง่ิ มชี ีวติ ท้งั หลายมคี ณุ สมบัตอิ ยา่ งหน่งึ คือ มีการสืบพันธุ์ เพื่อการดารงเผ่าพันธุ์ของ สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ การสืบพันธุ์ การเจริญเติบโต และพัฒนาการ และการส่งต่อลักษณะต่าง ๆ ทางพนั ธกุ รรมไปให้ลูกหลาน จะดาเนินไปไม่ได้เลยถ้า ปราศจากการสืบพันธุ์ของเซลล์หรือ การแบง่ เซลล์ เซลลส์ ืบพันธุ์ในเพศชาย คือ อสจุ ิ และเซลล์สืบพนั ธใ์ุ นเพศหญิง คือ ไข่ ระยะทีม่ นุษยม์ ีความพรอ้ มในการสืบพนั ธ์ุ คอื ระยะตั้งแตว่ ยั รนุ่ ขึ้นไป ร่างกายทั้งชาย และหญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางเพศ ผู้ชายส่วนใหญ่กล่องเสียงจะยื่นโตออกมา ทาให้มองเห็นเป็นลูกกระเดือก (Adam’s apple) เสียงเริ่มเปลี่ยนห้าวขึ้น มีหนวดเครา และ ขนทบ่ี รเิ วณอวยั วะสืบพันธุ์ รักแร้มีการขับน้ากาม และอสุจิออกมา ส่วนใหญ่ในหญิงรูปร่าง ค่อยเปล่ียนแปลงทีละน้อย สะโพกและทรวงอกขยายใหญ่ มีขนท่บี รเิ วณอวัยวะสืบพันธุ์ และ รักแร้ เริ่มมีประจาเดือน (Menstruation) เสียงแหลม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เนื่องจาก ระบบสืบพันธเ์ุ ตรยี มพร้อมเพอื่ การสบื พันธ์ุ

ระบบสืบพันธุ์เพศชาย (Male Reproductive System) 1. อัณฑะ (Testis) มี 2 ข้างทาหนา้ ท่ีสร้างตวั อสุจิ (Sperm) ซึง่ เปน็ เซลล์สืบพันธเุ์ พศชาย และฮอรโ์ มนเพศชายทีส่ าคญั ไดแ้ ก่ เทสโทสเทอโรน (Testosterone) ภายในประกอบดว้ ยหลอดสร้าง อสุจิ (seminiferous tubule) เป็นท่อขดเรยี งกนั มขี ้างละ 800 หลอด อัณฑะบรรจุภายในถงุ อณั ฑะ (scrotum) ทาหนา้ ที่ปรับ อุณหภมู ิใหต้ า่ กว่าร่างกาย 2-5 องศาเซลเซยี ส 1.1 ถุงอัณฑะ (Scrotum) ปรับอุณหภูมิของอัณฑะให้ต่า กวา่ อณุ หภมู ิร่างกายประมาณ 2-5 องศาเซลเซยี ส 1.2 หลอดสร้างอสุจิ (seminiferous tubules) เป็นท่อ สรา้ งอสุจแิ ละฮอรโ์ มนเพศชาย 1.3 หลอดเกบ็ อสุจิ (Epididymis) เปน็ แหลง่ พักตัวอสุจิให้ เจริญเตบิ โต 1.4 ทอ่ นาอสจุ ิ (Vas deferens) เปน็ ทอ่ ทางผา่ นของอสจุ ิ 1.5 ถงุ อัณฑะ (seminal vesicle) สรา้ งอาหารให้กับอสุจิ ไดแ้ ก่ น้าตาลฟรุกโทสและโกลบูลนิ 1.6 ตอ่ ลกู หมาก (prostate gland) สรา้ งสารเบสอ่อน เพ่อื สะเทิน กรดท่ีออกมาจากปสั สาวะ 1.7 ตอ่ มคาวเปอร์ (Cowper’s gland) สร้างเมอื กสารหลอ่ เล่ือนออก ในขณะทีม่ คี วามร้สู กึ ทางเพศ

ตัวอสุจิ (Spermatozoa) โดยทั่วไปจะเริ่มสร้างตัวอสุจิเมื่ออายุ 12-13 ปี และจะสร้างไปจนตลอดชีวิต การหลั่ง น้าอสุจิออกมาแต่ละครั้งจะมีของเหลวอยู่ประมาณ 3-4 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีตัวอสุจิเฉลี่ย ประมาณ 350-500 ลา้ นตัว เมื่อออกสู่ภายนอก อสุจิจะมีชีวิตได้เพียง 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้าอยู่ใน มดลูกเพศหญงิ จะอยู่ไดน้ านถึง 24-48 ชั่วโมง 1. ส่วนหัว (Head) บรรจุสารพันธุกรรม มีนิวเคลียส โดย ด้านหน้าเป็นส่วนของอะโครโซม (Acrosome) มีลักษณะเป็นถุง บรรจเุ อนไซม์เพอื่ สลายเยือ่ หมุ้ เซลลไ์ ข่ 2. ส่วนกลาง (Middle) มีลักษณะเป็นแท่งมีไมโทคอนเดรีย ผลิตพลงั งาน ไวส้ าหรับการเคล่อื นท่ีอสุจิ 3. ส่วนหาง (Tail) มีไมโครทูบูล ทาหน้าที่โบกพัดได้เพื่อว่าย ไปหาเซลลไ์ ข โครงสรา้ งของตวั อสจุ ิ นา้ อสจุ ิ (Semen) เป็นของเหลวที่หลั่งออกจากอวัยวะสร้างเซลล์ สืบพันธแุ์ ละจากอวัยวะทางเพศของสตั วเ์ พศชาย และสามารถทาการผสมพันธ์ุ กับไข่ของเพศหญิงได้ ในมนุษย์น้าอสุจิมีองค์ประกอบอื่น ๆ นอกจากตัวอสุจิ คอื เอนไซม์ตา่ ง ๆ และนา้ ตาลประเภทฟรุกโทส ท่ชี ว่ ยเลีย้ งตัวอสจุ ิให้ดารงรอด อยู่ได้ และเป็นสื่อเพื่อที่ตัวอสุจิจะเคลื่อนที่ไปได้ ในมนุษย์น้าอสุจิเป็น ของเหลวสีขาวข้นที่หลั่งออกโดยผู้ชาย เมื่อถึงจุดสุดยอด เมื่อมีเพศสัมพันธ์ เมื่อมีการสาเร็จความใคร่ หรือเมื่อขับออกตามธรรมชาติที่เรียกว่าฝันเปียก โดยจะมีการหลั่งน้าอสุจิแต่ละครั้งประมาณ 3-4 ซีซี มีจานวนตัวอสุจิเฉลี่ย ประมาณ 300-500 ลา้ นตัว

ระบบสืบพนั ธ์ุเพศหญิง (Female Reproductive System) 1. อวยั วะสืบพนั ธภ์ุ ายนอก ประกอบด้วย เนินหัวเหน่า คลิทอริส แคมใหญ่ แคมเล็ก เวสทบิ ลู เยื่อพรหมจารีย์ รวมทั้งตอ่ มสรา้ งน้าเมอื กบรเิ วณชอ่ งคลอด 2. อวยั วะสืบพันธ์ภุ ายใน ได้แก่ ชอ่ งคลอด รังไข่ ทอ่ นาไข่ และมดลกู ระบบสบื พันธภ์ุ ายนอกของเพศหญิง 1.1 เนินหัวเหน่า (mone pubis) เป็นผิวหนังนูนอยู่บริเวณเหนือกระดูกหัวเหน่า (pubic symphysis) เม่อื เข้าสวู่ ยั สาวจะมีขนงอกขน้ึ ที่บรเิ วณน้ี 1.2 แคมใหญ่ (Labia Majora) เปน็ ปุม่ นนู ขนาดใหญ่ 2 อนั ซง่ึ ประกอบดว้ ย ตอ่ มน้ ามัน ไขมนั มขี นปกคลมุ อยู่ดา้ นบนของแคมใหญจ่ ะรวมกนั เป็นเนินหัวเหนา่ (Mons pubis) 1.3 แคมเลก็ (Labia Minora) มีลักษณะเป็นเน้ือนมิ่ ของป่มุ นนู ของผิวหนังเหมือนกนั แต่ ไม่มีไขมนั ไม่มีขน ด้านหลังจะมารวมกนั เปน็ ฝีเยบ็ ซึง่ จะฉีกขาดในตอนคลอด 1.4 คลิทอรสิ (Clitoris) เทียบได้กับองคชาตในเพศชาย ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่ทาให้เกิด การแข็งตัว โดยใหเ้ ลอื ดมาคงั่ 1.5 เวสทิบูล (Vestibule) เป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างแคมเล็กทั้งสองข้าง ตั้งแต่คลิทอริสลง ไปจนถึงฝีเยบ็ บรเิ วณนีม้ รี เู ปิดของทอ่ ต่าง ๆ 1.6 ตอ่ มสร้างนา้ เมือก (Vestibula Gland) อยู่ที่บริเวณแคมเล็ก ทาหน้าที่สร้างสารเมือก เพ่ือการหลอ่ ลน่ื

ระบบสบื พันธภุ์ ายในของเพศหญิง 1. รังไข่ (Ovary) เป็นอวัยวะที่สาคัญที่สุดในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง มีอยู่ 2 ข้างในช่องท้องน้อย ยดึ ติดกบั มดลูกโดยเอน็ สว่ นด้านนอกยดึ ตดิ กบั ลาตัว รังไข่ทาหนา้ ที่ 2 อยา่ ง คือ 1.1 ผลิตไข่ (Ovum) ภายในรงั ไข่จะผลิตไข่ประมาณ ประมาณ 400 ใบ ไข่ใบทส่ี ุก เต็มที่แล้ว จะหลุดออกมาจากรังไข่ เรียกว่า การตกไข่ (Ovulation) โดยปกติไข่จะสุกเดือนละ 1 ใบ จากรังไขแ่ ต่ละขา้ งสลบั กันทุกเดอื น 1.2 สรา้ งฮอรโ์ มนเพศหญงิ ซง่ึ มีอยูห่ ลายชนดิ ทสี่ าคญั ไดแ้ ก่ - เอสโทรเจน (Estrogen) ทาหน้าที่เกี่ยวกับมดลูก ชอ่ งคลอด ตอ่ มน้านม และควบคุมการ เกิดลกั ษณะต่าง ๆ ของเพศหญงิ - โพรเจสเทอโรน (Progesterone) เป็นฮอร์โมนท่ที างานร่วมกับอีสโทรเจนในการควบคุม เกย่ี วกับการเจริญของมดลูก การเปลย่ี นแปลงเย่อื บุมดลูกเพือ่ เตรียมรบั ไขท่ ี่ผสมแลว้ 2. ท่อนาไข่ (Oviduct) หรือปีกมดลูก เป็นทาง เชอ่ื มตอ่ ระหว่างรังไข่ท้ังสองข้างกับมดลูก ทาหน้าท่ี เปน็ ทางผ่านของไขท่ อ่ี อกจากรงั ไขเ่ ขา้ สู่มดลูก โดยมี ปลายขา้ งหนึ่งเปดิ อยใู่ กล้กับรังไข่ เรียกว่า ปากแตร (Funnel) บุด้วยเซลล์ขนสั้นๆ ทาหน้าที่พัดโบกไข่ท่ี ตกมาจากรังไขใ่ หเ้ ขา้ ไปในท่อนาไข่ 3. ช่องคลอด (Vagina) อยู่ระหว่างทวารหนัก กับปากท่อปัสสาวะ ผนังด้านในมีเยื่อเมือกบุอยู่ ยืด หดได้ดี ที่ปากช่องคลอดมีกล้ามเนื้อหูรูด สามารถ บังคบั ได้ 4. มดลูก (Uterus) มีขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 3 นิ้ว และหนา 1 น้ิว อย่ใู นช่องทอ้ งน้อย ผนงั ยืดหดได้ มากเป็นพิเศษ และขยายตวั ได้มากในเวลาต้ังครรภ์ ทอ่ นาไข่ : Fallopian tube มดลูก : Uterus รงั ไข่ : Ovary ++ เยื่อพรหมจารีย์ (hymen) เป็นเนื้อเยื่อที่ยื่น ปากมดลกู : Cervix ออกมาปิดรูเปิดของช่องคลอดตรงกลางจะมีรูเปิดเล็ก ๆ เยื่อพรหมจารีย์นี้สามารถยืดหยุ่นได้ ในเด็กบางคนเยื่อ พรหมจารีย์ไม่มีรูเปดิ จึงปิดชอ่ งคลอดไว้หมด ทาให้เลือด ประจาเดือนไม่ สามารถไหลออกมาได้ เรียกว่า imperferated hymen

การมปี ระจาเดอื น (Menstruation) ประจาเดอื น (Menstruation) เป็นเลอื ดท่เี กิดจากการหลุดลอกของเยือ่ บุโพรงมดลูก มี ฮอร์โมนสองชนิดคือ เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน (progesterone) ควบคุมการสร้างและ หลดุ ลอกของเยอ่ื บโุ พรงมดลูก ซง่ึ ระดับฮอรโ์ มนทัง้ สองจะมคี วามสัมพันธ์กับการตกไขจ่ ากรงั ไข่ โดยแตล่ ะรอบเดอื นจะมีช่วงเวลาประมาณ 26-30 วัน ขน้ึ อยู่กบั แตล่ ะบคุ คล ทาใหป้ ระจาเดือน เกดิ ขน้ึ เฉลยี่ เดือนละ 1 คร้งั ฮอร์โมนทีเ่ ก่ียวข้องกับภาวะการมปี ระจาเดือน 1. ฮอร์โมน FSH ทาหนา้ ที่กระตนุ้ การเจริญเติบโตของไข่ ควบคุมการตกไข่ ในแตล่ ะรอบเดือน 2. ฮอรโ์ มนเอสโตรเจน เป็นฮอรโ์ มนท่ผี ลิตออกมาจากไข่สุกเตม็ ท่ี โดยระดบั ฮอรโ์ มนจะสงู สดุ ชว่ งก่อนวนั ตกไข่ 3. ฮอร์โมน LH เปน็ ตัวกระต้นุ ตัวเร่งปฏิกริ ยิ าให้เกิดกระบวนการตกไข่อย่าง สมบรู ณ์ 4. ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทาใหผ้ นังมดลูกหนาขึ้นเพ่อื รองรบั ไขท่ ปี่ ฏสิ นธิแล้ว

การตกไข่ (Ovulation) การตกไข่ (Ovulation) คอื ภาวะที่รา่ งกายปล่อยไข่ออกจากรังไข่ไปยังท่อนาไข่เพื่อ ปฏิสนธิกับอสุจิ ซึ่งเป็นภาวะสุขภาพที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นประจาทุกเดื อน โดยวันท่ี ประจาเดอื นมาวันแรกนั้นนับเป็นช่วงเริ่มต้นของรอบเดือน ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนฟอลลิ เคลิ สติมูเลติง (Follicle-Stimulating Hormone หรือฮอร์โมน FSH) ออกมาเพื่อกระตุ้นให้ ไข่สุกและช่วยสร้างเยื่อบุมดลูกให้หนาขึ้นในช่วงวันที่ 2-14 ของรอบเดือน ซึ่งเรียกว่าระยะ กอ่ นตกไข่ ส่วนชว่ งไข่ตกจะเกิดขนึ้ ระหวา่ งวนั ที่ 11-21 ของรอบเดือน ในช่วงนี้ร่างกายจะมี ระดับฮอร์โมนลทู ิไนซงิ (Luteinizing Hormone หรือฮอร์โมน LH) สูงขึ้น และมูกช่องคลอด ล่ืนมากขึน้ เพ่อื ใหอ้ สุจเิ ข้ามาผสมกบั ไขไ่ ด้ แตห่ ากไข่ไมไ่ ดผ้ สมกับอสจุ ิ เยื่อบุมดลูกจะสลาย กลายเปน็ เลอื ดประจาเดือน ไขต่ กแล้วจะเกดิ อะไรขน้ึ ? เมื่อถงึ วนั ไขต่ ก มดลูกจะสรา้ งผนังมดลกู ให้หนาตวั ขนึ้ และมเี ลือดมาหลอ่ เลย้ี งมากขึน้ ดว้ ย เพือ่ รองรับ การปฏสิ นธิ หากผหู้ ญงิ อยู่ในชว่ งตกไขก่ ็จะเกดิ ความเปลย่ี นแปลงกับรา่ งกายได้ 2 แบบ คอื 1. มีโอกาสตั้งครรภ์ หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีการตกไข่พอดี อสุจิที่เคลื่อนเข้าไปในท่อนาไข่จะ เข้าไปปฏิสนธิกับไข่ที่บริเวณท่อนาไข่ได้ เมื่อไข่ได้รับการผสมก็จะเคลื่อนตัวเข้าไปฝังอยู่ในผนังมดลูกเพื่อ เติบโตเปน็ ทารกต่อไป 2. มีประจาเดือน หากไมม่ อี สจุ เิ ขา้ มาผสมกับไข่ในช่วงวันตกไข่ ไข่ก็จะเกิดการสลายตัวก่อนผ่านไป ถึงมดลูก เมื่อมดลูกเห็นว่าไม่มีตัวอ่อนมาฝังที่ผนังมดลูก ผนังหนา ๆ หรือที่เรียกว่าเยื่อบุโพรงมดลูกที่เคย สร้างและมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงก็จะเกิดการสลายตัวเช่นกัน แล้วไหลออกไปทางช่องคลอดออกสู่ร่างกาย ในชว่ ง 14 วนั หลังจากไข่ตก หรือที่เราเรยี กวา่ \"ประจาเดือน\" นั่นเอง

เซลลส์ บื พันธเุ์ พศชายและเพศหญงิ เซลลอ์ สจุ ิ (Sperm) เป็นเซลลส์ ืบพันธ์ุเพศชายที่เคลื่อนที่ได้ สร้างจากอวัยวะ ภายในรา่ งกายของเพศชาย มขี นาดเล็กมากจนมองไม่เหน็ เซลลไ์ ข่ (Egg cell) เป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงที่มีลักษณะค่อนข้างกลม เคลื่อนท่ี ไม่ได้ มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์อสุจิมาก เซลล์ไข่ของมนุษย์มีขนาดเส้น ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 0.25 มิลลเิ มตร การปฏิสนธแิ ละการต้ังครรภ์ การปฏิสนธิ หมายถงึ เชื้ออสุจิของผู้ชายผสมกับไข่ของผู้หญิง ไข่จะพบกับอสุจิเกิดการปฏิสนธิขึ้น ในท่อนาไข่กลายเป็นตัวอ่อนที่จะฝังตัวในมดลูก ซึ่งจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 ของการตั้งครรภ์ เมื่อมีการ ปฏิสนธิเกิดขึ้น ไข่ที่ผสมแล้วเรียกว่าไซโกต (zygote) จะเคลื่อนที่จากท่อนาไข่ลงไปยังมดลูก ผนังมดลูกจะ หนาตัวขึ้นเพอ่ื รองรับการฝังตัวของไข่ ระหวา่ งนีไ้ ซโกตเริ่มแบ่งอยา่ งรวดเรว็ เปน็ เซลล์เลก็ ๆ จานวนมาก การตั้งครรภ์ คือ ภาวะที่เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิ แล้วได้ตัว ออ่ นเกิดขน้ึ ในการตงั้ ครรภ์ทป่ี กติตัวออ่ นจะไปฝังที่เยื่อบุโพรงมดลูก จากนั้นตัวอ่อน ซึ่งมีเซลลเ์ ดียว กจ็ ะแบ่งตวั และพฒั นาเปน็ อวยั วะต่าง ๆ และเจรญิ เป็นทารกต่อไป ซึ่ง โดยทั่วไป ในผู้หญิงปกติที่มีประจาเดือนทุก ๆ ประมาณ 4 สัปดาห์ จะมีอายุครรภ์ ประมาณ 40 สปั ดาห์ หรอื 280 วัน นับจากวนั แรกของการมีประจาเดือนคร้ังล่าสดุ

การคมุ กาเนดิ (Birth Control) การคุมกาเนิด คือ เทคนิคและวิธีการที่ใช้ในการป้องกันการปฏิสนธิหรือขัดขวางการ ตง้ั ครรภ์ การคมุ กาเนดิ ถูกใช้มาแตโ่ บราณ การวางแผน เตรียมการ และการใช้การคุมกาเนิด ถูกเรียกวา่ เป็นการวางแผนครอบครัว บางวัฒนธรรมไม่สนับสนุนและจากัดการเข้าถึงวธิ ีการ คุมกาเนิดเพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่ต้องการทางศีลธรรม ศาสนา หรือการเมือง แบ่งออก ได้เปน็ 2 กลมุ่ ใหญ่ ๆ คอื 1. การคุมกาเนิดแบบถาวร คอื การทาหมันชายและหมนั หญิง 2. การคมุ กาเนิดชว่ั คราว ได้แก่ การกินยาคมุ กาเนดิ ฉีดยาคุมกาเนดิ ใสห่ ่วงคุมกาเนิด ฝังยาคุมกาเนิด แปะแผ่นยาคมุ กาเนิด ใส่ถุงยางอนามัย การนับวนั การหลั่งภายนอก เปน็ ต้น ยาคมุ กาเนิด ห่วงคมุ กาเนดิ การทาหมัน : เหมาะสาหรับครอบครัวที่มีบุตรเพียงพอแล้ว การคุมกาเนิดวิธีนี้มีผลดี คือ เจ็บครั้งเดียว สะดวก ปลอดภัย ไม่มีผลต่อสุขภาพหรือสมรรถภาพทางเพศตามความเชื่อท่ี ไมถ่ ูกตอ้ ง 1. การทาหมันหญิง คือ การผูกและตัดท่อนาไข่ทั้งสองข้าง สามารถทาได้ตั้งแต่หลัง คลอดใหม่ ๆ เรียกว่า การทาหมันเปียก และถ้าทาหมันในช่วงที่พ้นระยะหลังคลอดไปแล้ว เรยี กวา่ การทาหมนั แห้ง 2. การทาหมันชาย คอื การผูกและตัดทอ่ นาเชื้อทั้งสองข้างในถุงอัณฑะ สามารถทาได้ ตลอดเวลา ไม่ตอ้ งนอนพักในโรงพยาบาล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook