หมวด 2 ความผิดต่อร่างกาย ประมวลกฎหมายอาญา
ความผิดต่อร่างกาย คือ ? มนุษย์นั้นมีสิทธิต่าง ๆ ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้มากมาย เช่น สิทธิในชีวิต และร่างกาย สิทธิในเสรีภาพและชื่อเสียง สิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สิน เป็นต้น ในครั้งที่แล้วได้กล่าวถึง สิทธิในชีวิตไปแล้ว ครั้งนี้จะขอกล่าวถึงสิทธิในร่างกายกันบ้าง สําหรับความผิดต่อร่างกายนั้น ในส่วนของการกระทําผิดก็คือการทําร้ายร่างกาย นั่นเอง โดยหากจะสรุปเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย กฎหมายอาญาได้บัญญัติถึงกรณีกระทํา โดยเจตนาไว้ ๓ กรณี คือ กรณีที่หนึ่ง คือ อันตรายสาหัส, กรณีที่สอง อันตรายแก่ กายหรือจิตใจ หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่า “บาดเจ็บ” ก็ย่อมได้ และกรณีที่สาม ไม่ได้รับ บาดเจ็บหรือได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย (ความผิดลหุโทษ*) ส่วนกรณีกระทําโดย ประมาท มีเพียง ๒ กรณี คือ กรณีที่หนึ่ง ประมาทเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส และกรณีที่สอง ประมาท เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ (ความผิดลหุโทษ)
ความผิดเกี่ยวกับชีวิต 1. ความผิดเกี่ยวกับชีวิต 1.1 ฆ่าผู้อื่น เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาย การฆ่าคนตายไม่ว่าจะด้วยวิธีการ ใด เจตนาหรือไม่ก็ตาม แม้แต่การกระทำโดยประมาท ย่อมเป็นความผิด ทั้งสิ้น รวมทั้งเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว ซึ่งจะต้องสืบพยานในชั้นศาล การฆ่าคนบางประเภทจะได้รับโทษหนักขึ้น เช่น ฆ่าพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เจ้าพนักงานหรือผู้ช่วยพนักงานตามกฎหมาย การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ ก่อน หรือฆ่าเพื่อการกระทำผิดอย่างอื่น เช่น ฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ ฆ่าเพื่อ ข่มขืน ฆ่าเพื่อปกปิดความลับ เป็นต้น 1.2 การช่วยยุยงให้ผู้อื่นหรือเด็กฆ่าตนเอง ถ้ามีการกระทำเกิดขึ้นก็มี ความผิดเกี่ยวกับชีวิตเช่นเดียวกัน
2. ความผิดเกี่ยวกับร่างกาย คือ ทำร้ายผู้อื่นอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ มี 4 ลักษณะ 2.1 ทำร้ายร่างกายโดยไม่มีอันตราย เช่น ผลักล้มเป็นความผิดอาจเปรียบ เทียบเป็นค่าปรับได้ (ลหุโทษ) เป็นต้น 2.2 ทำร้ายร่างกายโดยมีอันตราย เช่น ใช้ไม้ตีศีรษะแตก เป็นต้น 2.3 ทำร้ายร่างกายโดยได้รับอันตรายสาหัส เช่น เจตนาผลักของผู้อื่นล้ม จนเป็นอัมพาต เป็นความผิดอาญาแผ่นดินยอมความไม่ได้ เป็นต้น 2.4 ทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ชีวิต เช่น ใช้ปืนยิงผู้อื่นเสียชีวิตมีความผิด ฐานฆ่าคนตาย เป็นต้น
3. ความผิดที่กระทำโดยประมาทต่อชีวิตและร่างกาย กฎหมายได้บัญญัติให้รับผิดในการกระทำโดยประมาทสามารถแยกได้ตาม ความหนักเบา 3.1 การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำ โดยผู้กระทำมิได้มีเจตนาฆ่าหรือเจตนาทำร้าย แต่การกระทำปราศจาก ระมัดระวัง เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กฎหมายจึงต้องบัญญัติการกระ ทำดังกล่าวเป็นความผิดและเอาโทษ เพื่อให้บุคคลต้องใช้ความระมัดระวังต่อ การกระทำยิ่งขึ้น 3.2 การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส เป็นการ กระทำโดยผู้ถูกกระทำได้่รับอันตรายสาหัส หมายถึง ทำให้ตาบอดหู้หนวก ลิ้นขาด เสียอวัยวะสำคัญ หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว แท้งลูก จิตพิการติดตัว ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บ ด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน
3.3 การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เป็นการกระทำที่ต้องพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งการกระทำและบาดแผลที่ผู้ ถูกทำร้ายได้รับว่ามากน้อยเพียงใดเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจนั้นแยกได้เป็น คนละส่วน ตีศีรษะเขาแตก เรียกว่าเป็นอันตรายแก่กาย แต่ถ้าขังเขาไว้แล้ว ปล่อยเสียงรบกวนประสาทจนสติคลุ้มคลั่ง เรียกว่าเป็นอันตรายแก่จิตใจ
มาตราที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้าย ร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่ เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ องค์ประกอบภายนอก องค์ประกอบภายใน 1. ทำร้าย การทำร้ายตามมาตรา 295 มีความ 2. ผู้อื่น หมายกว้างกว่า เช่น การบอกข่าวร้าย 3. จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ให้ตกใจ เอาไฟฟ้ าดูด ให้กินยาพิษ หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น
“ทำร้าย” หมายถึง ผู้กระทำผิดมีเจตนาทำให้เสียหาย เป็น อันตรายแก่กายหรือจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายโดยใช้กำลังหรือไม่ ก็ตาม เช่น ล่อหลอกให้เขาตกบันไดบ้านจนเกิดอันตรายแก่กายหรือ จิตใจ ก็เป็นการ “ทำร้าย” ตามมาตรานี้ อันตรายแก่กาย หมายถึง เกิดอันตรายแก่กาย เช่น บาดแผล ฟกช้ำ เป็นต้น อันตรายแก่จิตใจ หมายถึง การมีอาการผิดปกติทางจิตใจ เช่น ทำให้มีอาการประสาท
มาตรา 296 มีองค์ประกอบสองประการคือ - ประการแรก การกระทำจะต้องเป็น ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ ได้ ถ้าความผิดนั้น มีลักษณะประการหนึ่งประการใด รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ต้องระวางโทษจำ มาตรา 295 คุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ - ประการที่สองการกระทำต้องมี ลักษณะประการหน่ึ่ งประการใดดังที่ บัญญัติไว้ในมาตรา 289
มาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตราย สาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึง สองแสนบาท ฆานประสาท หมายถึง ความสามารถในการรับรู้กลิ่น มาตรานี้ ไม่มีโทษปรับ อันตรายสาหัสนั้น คือ (๑) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท องค์ประกอบความผิด (๒) เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์ 1.ผู้ใด (๓) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้วหรืออวัยวะอื่นใด 2.ทำร้าย (๔) หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว 3.ผู้อื่ นจนเป็ นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือ (๕) แท้งลูก จิตใจ (๖) จิตพิการอย่างติดตัว 4. เจตนา (๗) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต (๘) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบ กรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน
มาตรา 298 ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๒๙๗ ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่ง ประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปี ถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158/2529 จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ขณะที่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ไปจับกุมจำเลย จำเลยยิงโจทก์ที่ 3 ถูกที่ต้นคอ ใน ขณะที่มีการยื้อแย่งปืนกันโดยจำเลยมิได้มีโอกาสเลือกยิง เมื่อจำเลยยิงโจทก์ที่ 3 ล้มลงแล้ว โจทก์ที่ 3 ไม่อยู่ในฐานะที่จะ ต่อสู้กับจำเลย จำเลยมีโอกาสจะยิงโจทก์ที่ 3 อีกเป็นเวลานานแต่จำเลยก็หาได้ยิงโจทก์ที่ 3 ไม่ จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยมี เจตนาฆ่าโจทก์ที่ 3 ส่วนที่ จำเลยยิงโจทก์ที่ 2 ปรากฏว่าขณะยิงจำเลยอยู่ใกล้กับโจทก์ที่ 2 และมีโอกาสจะเลือกยิงโจทก์ที่ 2 ตรงไหนก็ได้ แต่จำเลยกลับยิงที่ขาของโจทก์ที่ 2 แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าโจทก์ที่ 2 เพราะหากจำเลยมีเจตนาฆ่า โจทก์ที่ 2 จำเลยคงยิงที่อวัยวะสำคัญกว่านี้ ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 289, 80 เมื่อทางพิจารณาปรากฏว่าการ กระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 และโจทก์ที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 298 ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 และ 298 ได้. ฟ้องว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือประกอบกรณียกิจตามปกติ ไม่ได้เกินกว่า 20 วันแต่โจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏว่า โจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ลงโทษ จำเลยฐานทำให้ได้รับอันตรายสาหัสไม่ได้ โจทก์ที่ 3 ถูกยิงต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 12 วัน แล้วไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีก โจทก์ที่ 3 ต้องหยุดทำงานเกือบ 1 เดือนแพทย์ผู้ทำการตรวจบาดแผลโจทก์ที่ 3 ได้ให้ความเห็นว่าบาดแผลหายได้ภายใน 30 วัน ฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ได้รับ บาดเจ็บจากการยิงของจำเลยจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน
มาตรา 299 ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลแต่สามคนขึ้นไปและบุคคล หนึ่งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่รับอันตรายสาหัสโดยการก ระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสอง หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นแสดงได้ว่าได้กระทำไปเพื่อห้ามการ ชุลมุนต่อสู้นั้นหรือเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
สรุป ในความผิดฐานนี้ลักษณะความผิดคือการชุลมุนโดยไม่รู้ว่าใครเป็นใครหากเป็นการยก พวกตีกันโดยสามารถแบ่งฝ่ายกันได้ย่อมไม่ใช่เป็นการชุลมุนดังนั้นหากไม่ใช่การชุลมุล แต่ เป็นการยกพวกตีกันต้องพิจารณาความผิดจากเจตนาของผู้กระทำเช่นฝ่ายที่ยกพวกไปตีเขา วางแผนจะไปฆ่าเขาด้วยย่อมมีเจตนาฆ่าเมื่อไปฆ่าเขาตายบุคคลที่มีเจตนาร่วมกันก็ย่อมมีความ ผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือหากมีเจตนาทำร้ายก็จะมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เช่น นายแดงกับพวกยกพวกตีกันชุลมุนในผับแห่งหนึ่งปรากฏว่านายดำซึ่งไปเที่ยวในผับแห่งนั้นถูก ลูกหลงได้รับอันตรายสาหัสโดยที่ไม่ทราบว่าใครเป็ นคนทำกรณีเช่นนี้นายแดงและพวกย่อมมีความผิด ฐานชุลมุนต่อสู้เป็นเหตุให้มีผู้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 299 แต่หากนายดำถึงแก่ความตายนายแดง และพวกจะมีความผิดฐานชุลมุนต่อสู้เป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตายมาตรา 294
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14232/2558 กรณีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 294 และ 299 นั้น ต้องเป็นการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคล ตั้งแต่สามคนขึ้นไป และมีบุคคลถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัสโดยไม่ทราบว่าผู้ใดหรือผู้ ใดร่วมกับใครกระทำจนถึงแก่ความตายหรือจนได้รับอันตรายสาหัส แต่หากสามารถรู้และแบ่งฝ่าย แบ่งพวกกันได้ ทั้งรู้ว่าผู้ใดหรือฝ่ายใดเป็นผู้ลงมือทำร้ายย่อมลงโทษผู้นั้นกับพวกได้ตามเจตนาและ ผลของการกระทำ จำเลยกับพวกฝ่ายหนึ่งและผู้ตายกับผู้เสียหายฝ่ายหนึ่งวิวาทต่อสู้กัน แม้พยาน โจทก์ที่อยู่ในเหตุการณ์จะไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าคนใดในกลุ่มของจำเลยเข้าไปใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและฟันผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสก็ตาม ย่อมมิใช่กรณีตาม ป.อ. มาตรา 294 และ 299 พวกของจำเลยที่เข้าร่วมในการทะเลาะวิวาทกับผู้ ตายและผู้เสียหายได้ใช้มีดแทงผู้ตายและฟันผู้เสียหาย จำเลยซึ่งมีเจตนาร่วมกับพวกกระทำต่อผู้ ตายและผู้เสียหายย่อมต้องรับผลอันเป็นธรรมดาย่อมเกิดขึ้นจากการนั้นในฐานะเป็นตัวการ แม้มิได้ เป็นผู้ลงมือแทงผู้ตายและฟันผู้เสียหายด้วยตนเองก็ตาม
มาตรา 300 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้ง ปรับ ตัวอย่าง ฎ. 491/2507 รถยนต์โดยสารสองคันแล่นตามกันมา คันหนึ่งขอทางจะแซงขึ้นหน้ า อีกคันหนึ่งไม่ ยอมกลับเร่งความเร็วเพื่อแกล้งรถยนต์คันที่ขอทาง รถยนต์ทั้งสองคันจึงได้แล่นแข่งกันมาด้วย ความเร็วสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนดในถนนซึ่งแคบและเป็นทางโค้ง เป็นการเสี่ยงอันตราย รถยนต์ คันขอทางเฉี่ยวกับรถยนต์บรรทุกคันหนึ่ งซึ่ งจอดแอบข้างทางและเซไปปะทะกับรถยนต์คันที่แข่ง กันมานั้นตกถนนพลิกคว่ำคนโดยสารได้รับอันตรายสาหัส ต้องถือว่าคนขับรถยนต์โดยสารทั้งสอง คันนั้นกระทำโดยประมาท
องค์ประกอบภายนอก 1. กระทำด้วยประการใด ๆ 2. เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส องค์ประกอบภายใน ประมาท การกระทำความผิดตามมาตรานี้ มีลั กษณะเช่นเดียวกับการกระทำโดยประมาทเป็น เหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 แต่ต่างกันตรงที่ผลของการกระทำ ในมาตรานี้เอาผิดถ้ากระทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งอันตรายสาหัสตามประมวล กฎหมายอาญา ได้แก่ ตาบอด หูหนวก เสียอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น
คำพิพากษาฎี กาที่เกี่ยวข้อง มาตรา295-300
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8192/2553 ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย เมื่อพิจารณาถึงผลการตรวจชันสูตรบาดแผลแล้ว ถือว่าเป็นบาดแผลเล็กน้อย ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 แต่เป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 391 แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ. มาตรา 295 ก็ตาม แต่ เมื่อตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 โดยการทำร้ายร่างกาย ย่อมรวมถึง การใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามมาตรา 391 ศาลย่อมมีอำนาจ ลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลย จำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายและฐานชิงทรัพย์ ตามที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาหรือไม่ ? สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ได้ความจากผู้เสียหาย จำเลยทำร้ายผู้เสียหายที่บริเวณลานปั๊ มน้ำมัน โดยตบหน้า หลายครั้งและในห้องน้ำอีกหลายครั้ง เมื่อได้พิจารณาถึงผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์แล้วปรากฏว่าผู้เสีย หายมีบาดแผลที่มุมปากด้านในขนาดครึ่งเซนติเมตรและแผลที่คอเป็นรอยแดงยาวประมาณ 2 เซนติเมตร แพทย์มี ความเห็นว่า สามารถรักษาให้หายได้ภายใน 7 วัน ถือได้ว่าเป็นบาดแผลเล็กน้อยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับ อันตรายแก่กายหรือจิตใจอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
แต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 แม้โจทก์ ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 295 ก็ตาม แต่เมื่อตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 โดยการทำร้ายร่างกาย ย่อมรวมถึงการใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ กายหรือจิตใจตามมาตรา 391 ด้วย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในการกระ ทำความผิดตามที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 192 วรรคท้าย และกำหนดโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่ง คดีได้ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัย ปัญหาอื่นของจำเลยอีก ยิงลงพื้นในระดับต่ำเพื่อไม่ให้ถูกอวัยวะสำคัญ ลักษณะบาดแผลอยู่ ในระดับต่ำกว่าสะเอวลงมา แสดงว่ามิได้มีเจตนาที่จะทำให้ได้รับอันตรายถึง ชีวิต เป็นความผิดเพียงเจตนาทำร้าย มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2547 การทำร้ายเพียงใดจะถือว่าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจนั้น ต้องพิจารณาถึงการกระทำและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับ ประกอบกัน โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนนี้ว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีร่วมกันรัดคอและตัวผู้เสียหายที่ 1 และขว้างชามก๋วยเตี๋ยวใส่ผู้เสียหายที่ 2 ถูกบริเวณหน้าผาก และน้ำก๋วยเตี๋ยวสาดถูกใบหน้าผู้เสียหายที่ 1 และขว้างชามก๋วยเตี๋ยวใส่ผู้เสียหายที่ 2 ที่หน้าอก 1 ครั้ง เมื่อพิเคราะห์รายงาน ผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ผู้เสียหายที่ 1 มีรอยถลอกที่แขนยาว 3 เซนติเมตร 2 แผล รอยบวมแดงกลางหน้าอก 2 เซนติเมตร และ ขอบตาบวมทั้งสองข้าง ส่วนผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลฉีกขาดที่หน้าผากยาวประมาณ 3 เซนติเมตร 2 แผล และรอยบวมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ทั้งแพทย์ลงความเห็นว่า ลักษณะบาดแผลของผู้เสียหายทั้งสองใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน ซึ่งลักษณะของการกระทำและ บาดแผลดังกล่าว นับได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจแล้ว จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 แค่จับ มือยกขึ้นให้ตำรวจเห็น ไม่ถือว่ามีเจตนา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2553 จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียว เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีไป ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยวิ่งไล่ตามไปทำร้ายผู้เสียหายอีก ซึ่งจำเลยนำสืบ ต่อสู้ว่าใช้มีดฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวเพื่อช่วยเหลือเพื่อนที่ชกต่อยกับผู้เสียหาย โดยไม่ได้เลือกว่าจะฟันผู้เสียหายบริเวณใด หากจำเลยมีเจตนา จะฆ่าผู้เสียหายมาก่อนจำเลยสามารถวิ่งไล่ตามไปใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหายได้อีกโดยไม่ปรากฏว่ามีสิ่งใดมาขัดขวางไม่ให้จำเลยทำเช่นนั้น ประกอบกับพวกของจำเลยก็มีหลายคนสามารถวิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปได้นอกจากนี้ขณะที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหาย ผู้เสียหายเพียงแต่ยกแขนขึ้น บังเท่านั้นไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด ปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณข้อศอกข้างขวายาวประมาณ 10 เซนติเมตร ซึ่งไม่ใช่บาดแผล ฉกรรจ์ แสดงว่าจำเลยไม่ได้ใช้มีดฟันอย่างรุนแรง อีกทั้งจำเลยและผู้เสียหายไม่มีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนถึงขนาดจะต้องเอาชีวิต พฤติการณ์ การกระทำของจำเลยมีเจตนาเพียงแต่จะทำร้ายเท่านั้น เจตนาทำร้ายแต่เกิดผลทำให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็ยเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส มาตรา 297(8)
บรรณานุกรม
- lookkade.wordpress.com - สถาบันนิติธรรมาลัย www.drthawip.com - กฎหมายกับวิชาชีพพยาบาล base.bcnpy.ac.th - สำนักงานกฎหมายนพนภัส ทนายความเชียงใหม่.com - www.samedcity.go.th
วิชาอาญา2 เสนอ อาจารย์วีณา สุวรรณโณ จัดทำโดย นางสาวรพีพรรณ จันทร์ศิริ 631081252
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: