ขันโตก ใช้เป็นภาชนะทวี่ างถว้ ยอาหารกบั ข้าว เมือ่ ใสก่ บั ข้าวแล้วยกมาต้ังสมาชกิ ในครอบครวั หรือแขกท่มี า บา้ นจะนงั่ ล้อมวงกันกนิ ข้าว ใสด่ อกไมธ้ ูปเทียนแทนขนั ดอก ใส่เครื่องคานบั เปน็ ขนั ต้ัง ใส่ผลหมากรากไม้ ท้งั นี้ภาชนะท่ีวางถ้วยกบั ข้าวนอกจากจะใช้ขันโตกแล้วยงั ใชก้ ระด้งหรือถาดแบนแทนและเรียกวา่ ขัน เขา้ ขนั โตกถา้ ยังไมไ่ ดว้ างถ้วยอาหารเรียกว่า ขันโตก เมื่อวางถว้ ยอาหารแล้วก็มักจะเรียกว่า ขันเข้า หรือสารับ อาหาร
กลอง เป็นเครอ่ื งดนตรีประเภทตีกระทบ ประกอบด้วยแผ่นบาง มักทาด้วยแผ่นหนังขึงยึดติดกับโครงให้ตึง ทาให้เกิดเสียงโดยการตีดว้ ยไม้ หรืออวัยวะของผู้เล่น กลองจัดเป็นเครื่องดนตรีท่ีเก่าแก่ท่ีสุดในโลก[1] กลอง มีทั้งกลองท่ีทาจากหนังสัตว์ และ กลองท่ที าจากพลาสติก ซึ่งจะให้เสียงท่ีแตกต่างกันไป และการใช้อุปกรณ์ ช่วย กลองท่ีทาจากพลาสติกจะต้องใช้ไม้ช่วยตีเพราจะช่วยให้เกิดเสียงท่ีดังข้ึน เช่น กลองสแนร์ และ กลอง ชุด เป็นต้น ส่วนกลองท่ีทาจากหนังสัตว์ไม่จาเป็นท่ีจะต้องใช้ไม้ เนื่องจาก เราสามารถใช้แค่มือตีก็จะทาให้ เกดิ เสยี งดงั พอตวั อยู่แลว้ เชน่ กลองยาว กลองรามะนา ตะโพน เปน็ ต้น แต่ก็มีกลองหนัง ท่ีจาเป็นต้องใช้ไม้ก็ มี เช่น กลองสะบดั ชยั และ กลองทัด เน่ืองจากเป็นกลองขนาดใหญ่จึงไม่สามารถใช้มือตีอย่างเดียวได้ กลอง ไม่ไดม้ แี คใ่ ช้ในทางเทา่ นนั้ แตย่ ังใช้ในด้านอื่น ๆ อีกด้วยเช่น การตีกลองเพ่ือร้องทุกข์ต่อศาล การตีกลองเพื่อ เปิดสงครามในสมยั ก่อน และ การตกี ลองเพือ่ เป็นสญั ญาณเพือ่ ให้พระสงฆ์ฉนั เพลได้
สุ่มไก่ สมุ่ ไก่ สุ่มไกเ่ ป็นอุปกรณ์ทใ่ี ชส้ าหรบั ครอบไก่ขังไก่ จากัดบริเวณของไก่ นยิ มใชใ้ นการเล้ยี งไก่พน้ื บา้ นหรือไก่ชน ราคาของส่มุ แต่ละแห่งก็อาจแตกต่างกันไป จะมากจะน้อยเท่าไรน้ัน ทัง้ น้ีขึ้นอยู่กบั หลายสง่ิ หลาย อย่าง เชน่ วสั ดุ ที่ใชท้ าสมุ่ ขนาด ความปราณีตสวยงาม ความแข็งแรง ระยะทางในการขนสง่ และพ่อคา้ คนกลาง เป็นตน้ วสั ดทุ ่ี นิยมนามาทาสมุ่ ได้แก่ หวาย ไมไ้ ผ่รวก ไม้ไผต่ ่างๆ(ไผ่ป่า ไผ่สสี ุก ไผ่หก ฯ)และเหล็กเสน้ กบั ตาข่ายแตใ่ น ปัจจุบันเรามักพบเห็นสมุ่ ไก่ทาด้วยไมไ้ ผ่รวกและไม้ไผต่ า่ งๆ มากกวา่ วสั ดอุ ย่างอน่ื คงเปน็ เพราะไม้ไผเ่ ป็นวัสดุ จากธรรมชาตทิ ีห่ าได้ง่าย ราคาไม่แพง บางแห่งกไ็ มต่ อ้ งซ้ือ สามารถหาไดต้ ามปา่ หรอื เทือกเขา และบางคนก็ปลูก ไวต้ ามสวนไรน่ าของตน เหลา่ นี้เป็นต้น
ฆอ้ ง ปจั จุบัน ฆ้องถูกนาไปใชร้ ่วมกับพิธกี รรมตา่ งๆ โดยนยิ มซอื้ ไปถวายวัด เพราะเช่อื กันว่าจะ ทาใหม้ ี ชือ่ เสียงโด่งดัง ปจั จุบนั แหล่งผลติ ฆอ้ งของประเทศไทย อยู่ท่ีบา้ นทรายมลู ตาบลทรายมูล อาเภอพบิ ูลมงั สา หาร จังหวัดอุบลราชธานี มีมากมายหลายขนาด จดั เปน็ สินคา้ โอทอป ของตาบล โดย ฆอ้ ง จะมโี ฉลก แบง่ ตามความเช่อื ของชาวอิสาน
ฮอกวัว ฮอกควาย ฮอกวัว ฮอกควาย (กระด่ิง) ทาไม้จากไม้เน้ือแข็ง หรือโลหะ ใช้สาหรับคล้องคอวัว คอควายนามา เหลา ตกแตง่ ให้เป็นรูปกลม รี แลว้ แต่งขนาดทีต่ อ้ งการ ขนาดของฮอก ถ้าเปน็ ขนาดใหญม่ เี สน้ ผา่ นศนู ย์กลาง ประมาณ ๕ – ๖ นิ้ว ขนาดกลาง๓ -๔ นิ้ว ขนาดเล็ก ๒ นิ้ว ฮอกมีรูปร่างหลายอย่าง เช่น ฮอกท่ีมีรูปร่างเป็น สี่เหลย่ี มผนื ผ้า มีมมุ โค้งกลมเล็กน้อย มคี อ้ นหลาย ๆ ตวั หอ้ ยอยขู่ า้ งใน ตรงกลางเหมือนระฆังมักใช้แขวน วัว ตัวที่เป็นจ่าฝูง เพราะมีเสียงดังกังวาล ฮอกท่ีแขวนเป็นพวงเรียกว่า หม่ากะหล๊ก การเล้ียงสัตว์สมัยโบราณจะ เล้ียงโดยให้หากินเอง ด้วยการปล่อยให้กินหญ้าตามป่า ตามไหล่เขา ดังนั้นสัตว์ ชาวบ้านจึงใช้ฮอกเป็น สัญญาณ ใหร้ ู้ตาแหน่งของของวัว ควาย ว่าอย่ใู นตาแหน่งไหนปัจจุบันจะพบเห็นฮอกวัว ฮอกควาย ถูกนาไป จดั เกบ็ ไวใ้ นพิพธิ ภณั ฑ์ เพ่อื ให้คนรุ่นหลังได้รู้จกั
ครก ครกท่ีใชก้ ันในครวั เป็นเครือ่ งครัวทีม่ ีลักษณะภายนอกเป็นกรวยยอดตดั 2 อันซ้อนกันโดยหนั เอาฐาน ที่แคบกวา่ เขา้ ประกบกนั สว่ นภายในเปน็ เบ้าทค่ี ่อนข้างจะเปน็ ครึ่งทรงกลม ต้องมกี ารใช้ค่กู บั สาก สว่ นครกกระเด่ืองทใ่ี ชต้ าข้าวเปลือกนน้ั จะมีลกั ษณะทตี่ ่างออกไป กลา่ วคือมรี ูปร่างภายนอกเป็น ทรงกระบอกส้นั ปอ้ ม มีรัศมปี ระมาณ 20 เซนตเิ มตร และมคี วามสงู ประมาณ 40 เซนตเิ มตร สว่ น ภายในน้ันจะเป็นเบ้าลึกยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ตอนปลายเป็นคร่ึงทรงกลมครกหิน เปน็ ครกท่ีทา ดว้ ยหนิ แกรนิต ซึ่งมีเนอื้ แขง็ มักใชใ้ นการตาอาหารใหแ้ หลก ใช้คกู่ บั สากท่ีทาจากหินเช่นเดียวกนั ครกดินเผา ทาจากดนิ เผา มักใชใ้ นการตาอาหารเพ่อื ไม่ใหแ้ หลกนัก เช่น ส้มตา โดยใช้ค่กู ับสากที่ทา จากไม้ท่เี กลากลงึ ให้เป็นรูปสาก ครกกระเดอื่ ง ใชส้ าหรับตาขา้ ว มลี ักษณะท่แี ตกต่างคือใชค้ ู่กับกระเดือ่ งซึ่งทาดว้ ยไมค้ านยาว เหมอื นกบั ไมก้ ระดก ท่ปี ลายมีทอ่ นไมล้ ักษณะคล้ายกับค้อน การใชน้ ้นั จะต้องกดท่ีปลายอีกข้างหน่งึ แลว้ ค่อยปล่อยเพอื่ ให้ปลายทรี่ ูปรา่ งคลา้ ยค้อนตกลงมากระแทกกับขา้ วเพอื่ ให้แหลก ครกไม้
น้าหม้อ หม้อนา้ เปน็ ภาชนะทใ่ี ชใ่ สน่ ้าดื่ม มีลักษณะคลายตมุ้ แต่มีลวดลาย เป็นลายเฉพาะของทาง หมู่บา้ นเหมืองกงุ เคลบื ดนิ ด้วยดนิ แดงเชน่ เดียวกนั กนั นา้ ตน้
\"น้าต้น หรอื คนโทดิน\" \"นา้ ต้น หรือ คนโทดิน\" ไดเ้ ห็นต้ังแต่มาอย่เู ชียงใหมต่ ้งั แตแ่ รกๆ และกไ็ ดช้ มิ ไดด้ ่ืมน้าภายในน้าตน้ คนโทดนิ น้นั มาแล้วแรกๆ ก็ไมค่ อ่ ยจะกล้าชมิ มากนัก แต่เมอ่ื ได้จิบน้าเขา้ ไปแล้ว ความรู้สึกแรกๆ เลย \"ทาไมนา้ เย็นจัง\"กลน่ิ และรส คร้ังแรกๆ รู้สึกทะแมง่ ๆ แปร่งๆแต่ในการดม่ื นา้ จากนา้ ตน้ คนโทดิน ในคร้งั ต่อๆ ไป ไมไ่ ด้รู้สึกแบบนน้ั แล้วได้แตห่ วังว่าจะไดด้ มื่ น้าเยน็ ๆ แกก้ ระหาย ให้ชน่ื ใจไปทุกๆ คร้งั
กระบวยมะพรา้ ว กระบวยตักนา้ ดมื่ จะเลอื กทาจากกะลามะพรา้ วท่ีแก่จัด ขนาดพอเหมาะไมเ่ ลก็ หรือใหญเ่ กินไป รูปร่างกลมแปน้ ฝากะลาค่อนไปขา้ งบน เพราะจะได้บรรจุน้าไดม้ าก ขดู ขดั ผิวกะลาใหเ้ ป็นเงา ทาด้ามไม้จบั ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร จะตกแต่งเปน็ ลวดลายก็ได้ โคนด้ามไม้จบั ทาเดอื ยฝงั เข้าไปในรูกะลามะพรา้ วให้ แน่น กระบวยตักน้าดมื่ อาจดัดแปลงเป็นกระบวยตักแกงได้ หรือถ้าไม่ใช้กะลา จะใช้ตอกสานให้เปน็ รปู กระบวย แลว้ ยาผิวด้วยชัน (เหมือนครไุ ม้ไผ่) กใ็ ช้ตักน้าด่มื ได้เชน่ เดียวกัน
คนั ไถ การทานาขา้ วน้นั ตอ้ งมีการใช้แรงงานมาก จากการที่ต้องไถพลิกดนิ จากข้างล่างขึน้ ขา้ งบน เพอ่ื ให้ดิน ร่วน กาจัดวัชชพืช (ไถพลิกกลบให้หญ้าเน่าตายกลายเป็นปุ๋ย) การใช้จอบขุดดินเอาก็ทาได้ แต่คงไม่ไหว เพราะผืนนาคอ่ นขา้ งกวา้ งใหญ่ จึงจาเปน็ ต้องหาเครอ่ื งทนุ่ แรงมาชว่ ย แล้วนาแรงงานสัตว์มาเสริม ก็คงไม่พ้น วัว ควาย น่ันเอง ชาวนาอีสานนยิ มใชค้ วายมากกวา่ ววั เพราะควายชอบน้าและโคลนตม รวมทั้งมีความบึกบึน แข็งแรงกว่า ส่วนวัวน้ันไม่ชอบน้าแต่กลับทนแดดได้ดีกว่า เลยนิยมนาไปใช้เทียมเกวียนเดินทาง แต่ในบาง ประเทศ เช่น พม่า เขมร นิยมใช้ววั เทียมไถนา บางแหง่ ใชช้ า้ งกม็ ี เชน่ ชนเผา่ ปะกากะญอ หรือกะเหรย่ี ง ใน จงั หวดั ตาก
แอก แอก คือไม้ช้นิ ทที่ าเพื่อวางบนคอควาย มลี ักษณะเหมอื นเขาควายกางออก ตรงกลางสูงขึ้นเพื่อให้รบั พอดีกบั คอควาย สว่ ยปลายสองขา้ งไวผ้ กู เชือกต่อกับผองไถ แอกนั้นป็นเครือ่ งมือที่ใช้ในการเกษตรของไทยมานาน ทามาจากท่อนไมเ้ น้อื แขง็ ท่มี คี วามโคง้ งอ แอกมี 2 ประเภท คือ แอกวัวควายเด่ยี ว และแอกวัวควายคู่ แอกประกอบด้วยแม่แอก (ไมค้ าน) และลกู แอก (ไมห้ นีบคอวัว ควาย) แอกมรี ูบนตัวแอกขา้ งละ 2 รู เพือ่ ใส่เหลากลมข้างละ 2 ซ่ี ใชค้ รอบบนคอ ควายหรือวัวเพื่อให้สามารถบังคับให้ไปในทิศทางท่ตี ้องการในการไถนาหรือเทยี มเกวียน
ซออู้ ซออู้ เปน็ ซอสองสาย ตัวกะโหลกทาดว้ ยกะลามะพร้าว โดยตดั ปาดกะลาออกเสยี ด้านหนึง่ และใช้ หนงั ลกู วัวขึงขน้ึ หนา้ ซอ กว้างประมาณ 13 – 14 ซม เจาะกะโหลกให้ทะลตุ รงกลาง เพื่อใสค่ นั ทวนท่ีทาดว้ ย ไมจ้ รงิ ผา่ นกะโหลกลงไป ออกทะลุรูตอนล่างใกล้กะโหลก คนั ทวนซออ้นู ้ี ยาวประมาณ 79 ซม ใช้สายซอ สองสายผูกปลายทวนใต้กะโหลก แล้วพาดผ่านหน้าซอ ข้ึนไปผูกไว้กบั ลูกบิดสองอัน ลกู บดิ ซออู้น้ียาว ประมาณ 17 –18 ซม โดยเจาะรคู นั ทวนด้านบน แลว้ สอดลกู บดิ ให้ทะลผุ า่ นคนั ทวนออกมา และใช้เชือกผกู รง้ั กบั ทวนตรงกลางเปน็ รัดอก เพอ่ื ให้สายซอตงึ และสาหรบั เป็นที่กดสายใตร้ ัดอกเวลาสี ส่วนคันสีของซออู้ น้ันทาด้วย ไม้จริงยาวประมาณ 70 ซม ใช้ขนหางมา้ ประมาณ 160 - 200 เสน้ ตรงหนา้ ซอใช้ผ้ามว้ นกลมๆ เพอื่ ทาหน้าท่ีเปน็ หมอนหนุน สายให้พ้นหน้าซอ ดา้ นหลงั ของกะโหลกซอ แกะสลกั เป็นรูปลวดลายสวยงาม และเป็นช่องทางให้เสียงออกด้านนีด้ ้วย
ซอด้วง ซอด้วง คอื ชอ่ื ซอชนดิ หนง่ึ กระบอกมักทาด้วยไมเ้ นอื้ แข็ง ลกั ษณะคลา้ ยด้วงดักสัตว์ ขึงหนงั ดา้ นหนง่ึ ดว้ ยหนังสตั ว์ มีหยอ่ งและสาย ๒ สายพาดขา้ ม ปลายบนผูกตดิ กบั ลูกบิด คนั ชักส่วนท่ีเปน็ หางมา้ อยรู่ ะหวา่ ง สายทัง้ ๒ สาย ขนาดคอ่ นขา้ งเลก็ เพอ่ื ให้มเี สยี งสูงเวลาสี บรรเลงนาในวงเคร่ืองสาย วงมโหรี หรือใช้เด่ียว เพลงก็ได้ (พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔)
งอบ หากจะเอ่ยถึงหมอกงอบใบลาน หลายคน ก็คงก็จะนึกถึงภาพชาวนาไทยในอดีตที่ใส่หมวกงอบกาลัง ดานาหรือเกี่ยวข้าวอยู่นะค่ะ หรือไม่ก็นึกถึง แม่ค้าใส่หมวกงอบกาลังพายเรือแจว ขายผลหมากรากไม้อยู่ใน ตลาดน้า ถือเป็นภาพท่ีเห็นชัดและนึกถึงความเป็นไทยได้มากทีเดียว ดังนั้นจึงถือได้ว่า งอบนอกจาก ประโยชน์จากการใช้งานเพื่อสวมป้องกันแดดกันลมกันฝนแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาล้าค่า ของบรรพรุษที่ประดิษฐ์คิดค้นหมวกซ่ึงผลิตได้วัสดุธรรมชาติ ท่ีหาได้ในท้องถิ่น นามาทาเป็นหมวกรูปทรง กระบังโค้งมลสวยงาม และใช้งานได้ดีในภูมิประเทศท่ีเป็นเมืองร้อน ทาให้ผู้ได้ส่วมใส่น้ันใส่สบาย ลมพัด ถ่ายเทได้ดี เป็นศิลปหตั ถกรรมที่สิ่งบ่งบอกถึงเอกลกั ษณ์และวิถีชีวติ ความเป็นไทยได้ดีทเี ดียว
กระดง้ กระด้ง หรือ ด้ง ท่ีนิยมใช้กันอยู่ในภาคใต้มี ๒ อย่าง คือ กระด้งฝัดข้าว และกระด้งมอนกระด้งท้ัง สองชนิดนี้สานด้วยไม้ไผ่และหวายสาหรับใช้งานเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทาไร่ทานา กระด้งปักษ์ใต้ทั้ง สองชนิดเป็นกระด้งที่มีลักษณะเฉพาะที่ต่างไปจากกระด้งภาคอ่ืนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งด้านรูปแบบและ ลวดลาย
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: