Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ส่งเค้าโครงวิจัย64-1

ส่งเค้าโครงวิจัย64-1

Published by phaitaweefb, 2021-07-05 01:35:45

Description: ส่งเค้าโครงวิจัย64-1

Search

Read the Text Version

การพัฒนาการเรียนการสอน วิชา คอมพิวเตอร์ เรอ่ื ง Microsoft PowerPoint สาหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๓ จังหวดั ลพบรุ ี โดยใช้เทคนิคการสตรีมมง่ิ (Streaming) นายไพน์ทวี กับบญุ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๓ จงั หวดั ลพบุรี สานกั บริหารงานการศกึ ษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

1 บทท่ี 1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคญั ของปญั หำ ภายใตส้ ถานการณ์ระบาดไวรัส Covid-19 ทาให้ทั่วโลกใชม้ าตรการเพิ่มระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ซ่ึงในประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบ ทาให้ระบบการศึกษาต้องปรับให้การเรียนรู้ของนักเรียน (OECD, 2020) การเรียนการสอนออนไลน์จึงได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกหน่ึง ซึ่งดูเหมาะสมกับ สถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกคนช่วยกันจากัดพื้นท่ีอยู่ในท่ีพักอาศัย และด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกับ เทคโนโลยที างการศกึ ษาในปจั จบุ นั ทาให้หลายฝ่ายเชอื่ ว่าการจัดการเรียนการสอนออนไลนส์ ามารถทาได้ ในปัจจุบันการนาเสนอข้อมูลเสียงและวิดีโอผ่านระบบอินเตอร์เน็ตกาลังเป็นกระแสนิยมในปัจจุบัน จงึ มีการพฒั นาวิธีการนาเสนอข้อมลู โดยการใช้ระบบสตรีมม่ิง ความหมายของการสตรีมม่ิง (streaming) คือ การเล่นไฟล์มัลติมีเดีย (วิดีโอหรือเสียง) ผ่านอินเทอร์เน็ตจากช่องทางที่ให้บริการสตรีมม่ิง โดยไม่ต้องมีการ ดาวน์โหลดจนครบไฟล์ เน่ืองจากการดาวนโ์ หลดไฟล์มลั ติมเี ดียทั้งไฟล์จะใช้เวลาค่อนข้างมาก ดงั น้ันการเล่น ไฟล์มัลติมีเดียจากอินเทอร์เน็ตด้วยเทคนิคสตรีมมิ่ง จะทาให้สามารถแสดงผลข้อมูลได้ก่อนที่ไฟล์ทั้งหมดจะ ถกู ส่งผ่านเข้ามายังเครื่องคอมพิวเตอร์หรือมือถือของเราได้ ในปัจจุบันเทคโนโลยอี ินเตอร์เนต็ ท่ีมีความเร็วสูง ชว่ ยใหก้ ารนาเสนอสอื่ ต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรืน่ เคร่ืองแม่ข่ายจะทยอยสง่ ขอ้ มลู คลา้ ยการไหลของกระแสน้า (Streaming) อย่างต่อเนื่อง ทาให้ข้อมูลไม่สะดุด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีท่ีนามาใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจุบัน การสตรีมิ่งมีเดียจะมีลักษณะการส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Realtime) เม่ือผู้ชมคลิกเลือกดูข้อมูล (วีดีทัศน์ หรอื สียง) ก็สามารถรบั ชม รบั ฟงั คอมพวิ เตอร์หรือมอื ถือของเราไดท้ นั ที แนวทางการแก้ไขปัญหาการนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอรม์ าประยกุ ต์ใชภ้ ายใต้สถานการณร์ ะบาดไวรัส Covid-19 เทคนิคการสตรีมมิ่งจัดเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่ประยุกต์เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการ จดั การเรยี นการสอน วชิ าคอมพวิ เตอร์ เรื่อง Microsoft PowerPoint โดยการจดั การขอ้ ความภาพน่ิง ภาพค ล่ือนไหว เสียง และการปฏิสัมพันธ์ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนเป็นระบบ (มนต์ชัย, 2545 :3) การนา คอมพิวเตอร์มาช่วยใช้ในการเรียนการสอน โดยมีการโต้ตอบกันระหว่างผู้เรียนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซ่ึงมี การกระตุ้นให้ผู้เรียนมีโอกาส ศึกษาโดยใช้คอมพิวเตอร์เสริม (สุรางคณา. 2548 :9 ) และโปรแกรม Microsoft PowerPoint เป็นโปรแกรมส่ังงานคอมพิวเตอร์ท่ีถูกออกแบบมาให้ใช้กับงานด้าน การนาเสนอ เร่ืองราวต่างๆ (Presentation) ในลักษณะคล้ายๆกับการฉายสไลด์ (Slide Show) โดยเราสามารถใช้คาสั่ง ของ PowerPoint สร้างแผ่นสไลด์ที่มีรูปภาพและข้อความบรรยายเรื่องราวท่ีต้องการจะนาเสนอได้อย่าง รวดเร็ว พร้อมท้ังกาหนดลกั ษณะแสงเงา และลวดลายสีพื้นให้สไลด์แต่ละแผ่นมีความสวยงามน่าสนใจยิ่งข้ึน

2 นอกจากนี้เรายังสามารถกาหนดรูปแบบการฉายสไลด์แต่ละแผ่น อย่างต่อเน่ือง และใช้เทคนิคพิเศษในการ แสดงขอ้ ความแต่ละบรรทดั เพอื่ ใหผ้ ู้ชมการฉายสไลดค์ ่อย ๆ เห็นข้อความบรรยายและภาพเหล่านี้ทีละขั้น ๆ อยา่ งตอ่ เน่ืองกันเปน็ เรอื่ งราวตามระยะเวลาที่เรากาหนดไว้ ดงั นั้น ผู้วิจยั จงึ สนใจทจี่ ะพัฒนาส่อื การสอน โดยใช้เทคนิคการสตรีมมงิ่ ในรายวชิ าคอมพิวเตอร์ ดว้ ย โปรแกรมนาเสนองาน เพื่อใช้ประกอบการเรยี นการสอนใหม้ ีประสิทธภิ าพมากขึน้ วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือศึกษาหาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิคการสตรีมมิ่ง เร่ือง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 2. เพ่ือพฒั นาสื่อการสอนโดยใช้เทคนิคการสตรีมมิ่ง เรื่อง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ให้มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 ขอบเขตของกำรวิจัย ประชำกร ประชากร คือ นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 จานวน 57 คน ปกี ารศึกษา 2564 ของโรงเรียนราช ประนุเคราะห์ ๓๓ จงั หวัดลพบุรี ขอบเขตด้ำนเวลำ ปีการศกึ ษา 2564 ขอบเขตดำ้ นเนือ้ หำ เนื้อหาท่ีใช้ในบทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เรื่อง การพัฒนาการเรียนการสอน วิชา คอมพิวเตอร์ เร่ือง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี โดยใช้เทคนิคการสตรีมมิ่ง (Streaming) ประกอบไปด้วย เนอ้ื หา 10 บทเรยี น ดังน้ี บทที่ 1 เรื่อง พนื้ ฐานการนาเสนอกบั PowerPoint บทที่ 2 เรื่อง ร้จู กั กับ Microsoft PowerPoint บทที่ 3 เรอ่ื ง มมุ มองและการเปล่ียนมมุ มอง บทที่ 4 เรอื่ ง ส่งิ ทต่ี ้องทราบกอ่ นเรมิ่ งานสไลด์ บทที่ 5 เรอื่ ง ใสข่ อ้ ความลงในสไลด์ บทที่ 6 เรอ่ื ง ปรับแต่งพ้ืนสไลด์ บทท่ี 7 เรอื่ ง การสรา้ งรูปในสไลด์ บทท่ี 8 เรื่อง การแทรก Clip Art และ Word Art บทที่ 9 เรอ่ื ง ตารางกราฟและผังองคก์ ร บทท่ี 10 เร่ือง เพ่มิ สีสัน การพรเี ซนด้วยปุ่มปฏิบัติการและภาพเคลอื่ นไหว

3 นยิ ำมศพั ท์เฉพำะ บทเรียนบนเครือข่ำยอินทรำเน็ต หมายถึง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนชนิดหน่ึงที่ใช้ระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในโรงเรียน ท่ีนาการให้บริการต่างๆ เช่นเดียวกับเครือข่ายอินเทอร์เนต็ โดยนามา ประยกุ ต์ใชภ้ ายในโรงเรยี น ซงึ่ บุคคลภายนอกโรงเรยี นไมส่ ามารถเข้าถงึ ได้ ประสทิ ธิภำพ หมายถึง ประสิทธภิ าพของบทเรียนบนเครอื ขา่ ยอนิ ทราเนต็ เรอื่ ง การใชง้ านโปรแกรม นาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) เพื่อพัฒนาการเรียน วิชา คอมพิวเตอร์ ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละ 80 ของคะแนนของนักเรียนทั้งหมดท่ีสามารถทาได้จากการ ประเมนิ ผลระหว่างเรียนด้วยการใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เรื่อง การพัฒนาการเรยี นการสอน วิชา คอมพิวเตอร์ เรื่อง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี โดยใช้เทคนิคการสตรีมมิ่ง (Streaming) ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละ 80 ของคะแนนของนักเรียนท้ังหมดท่ีสามารถทาได้จากการทา แบบทดสอบ ภายหลังการใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เรื่อง การพัฒนาการเรียนการสอน วิชา คอมพิวเตอร์ เร่ือง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี โดยใช้เทคนิคการสตรีมมิ่ง (Streaming) ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 กำรพัฒนำกำรเรียน หมายถึง การปรับปรุงให้ดีข้ึนกว่าเดิม รวมถึงการปรับเปล่ียนหรอื เปล่ียนแปลง พฤติกรรมในการเรียน วชิ า คอมพวิ เตอร์ ของนักเรียนระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1/1 นกั เรียน หมายถงึ บคุ คลท่ีอยู่ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จงั หวัด ลพบรุ ี ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ประโยชน์ทคี่ ำดว่ำจะได้รับ 1. ได้ส่ือการสอนโดยใช้เทคนิคการสตรีมมิ่ง เร่ือง Microsoft PowerPoint ท่ีมีประสิทธิภาพเป็นไป ตามเกณฑ์ที่กาหนดสามารถใช้จัดการเรยี นการสอน เร่อื ง Microsoft PowerPoint 2. เปน็ แนวทางในการพัฒนาการเรียน เร่อื ง Microsoft PowerPoint ให้กับนกั เรียนในระดับสงู ขึน้ 3. นกั เรียนมีความพึงพอใจ ต่อการเรียนโดยใชเ้ ทคนคิ การสตรีมมิง่ เรอ่ื ง Microsoft PowerPoint

5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ในการศกึ ษาการใชบ้ ทเรียนบนเครอื ข่ายอนิ ทราเนต็ เรอื่ ง การพฒั นาการเรยี นการสอน วิชา คอมพวิ เตอร์ เรือ่ ง Microsoft PowerPoint สาหรบั นกั เรยี นโรงเรยี นราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัด ลพบรุ ี โดยใช้เทคนิคการสตรีมม่งิ (Streaming) ปกี ารศึกษา 2564 ในครัง้ น้ี ผศู้ ึกษาไดศ้ ึกษาคน้ คว้า เอกสารและงานวิจยั ตา่ งๆ ทเี่ กีย่ วข้องดงั ต่อไปนี้ 2.1 ความรู้เก่ยี วกับบทเรยี นบนเครือขา่ ย 2.1.1 ความหมายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2.1.2 ความหมายของอนิ ทราเนต็ 2.1.3 ความหมายของอินเทอรเ์ น็ต 2.1.4 ความแตกตา่ งระหว่างระบบเครือข่ายอินทราเน็ตกบั ระบบเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ 2.1.5 องคป์ ระกอบของบทเรียนบนเครอื ขา่ ย 2.1.6 หลักการออกแบบและสร้างบทเรียนบนเครือขา่ ย 2.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี 2.2.1 คุณภาพของผเู้ รียน 2.2.2 มาตรฐานการเรียนรกู้ ลมุ่ การงานอาชีพและเทคโนโลยี 2.2.3 อธิบายรายวิชา 2.3 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น 2.3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 2.3.2 ความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.3.3 หลักเกณฑ์ในการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น 2.3.4 ชนิดของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 2.4 งานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง 2.4.1 งานวจิ ัยภายในประเทศ 2.4.2 งานวจิ ยั ต่างประเทศ 2.1 ความรเู้ กี่ยวกับบทเรยี นบนเครือข่าย ในการจัดทาวิจัยบทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เรื่อง การพัฒนาการเรียนการสอน วิชา คอมพิวเตอร์ เร่อื ง Microsoft PowerPoint สาหรบั นักเรียนโรงเรียนราชประนเุ คราะห์ ๓๓ จงั หวดั ลพบุรี โดยใช้เทคนคิ การสตรีมม่ิง (Streaming) ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 มีการเช่ือมต่อระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ ดังต่อไปนี้

6 2.1.1 ความหมายของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ปรัชญานันท์ นิลสุข (2547:16) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือ ระบบที่มีการนาคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเช่ือมต่อเข้าด้วยกัน โดยมีจุดโหนดที่มีการ เช่ือมต่อกันดว้ ยเส้นทางการส่ือสาร ซึง่ แตล่ ะระบบเครือขา่ ยสามารถทีจ่ ะมีระบบเครือขา่ ยย่อยๆ ซ่อนอยู่ ในตวั ของมนั เอง สุวลักษณ์ ผลประสาท (2553:2-3) กลา่ วว่า ระบบเครือข่ายระบบหนึ่งอาจประกอบด้วย เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ต้งั แต่ 2 เครือ่ งข้นึ ไป ใช้เพอ่ื แบ่งปันทรพั ยากรท่ีมอี ยู่ เชน่ เคร่อื งพิมพ์ ซีดีรอม เป็นต้น เพื่อการแลกเปล่ียนข้อมูลหรือใช้งานไปรษณีย์อีเล็กทรอนิกส์ การเช่ือมต่ออาจใช้สายเคเบิล ระบบ โทรศัพท์ คลน่ื วทิ ยุ ระบบดาวเทยี ม หรือลาแสงอนิ ฟราเรด ระบบเครือขา่ ยโดยทัว่ ไปมี 3 แบบ ดงั น้ี 1) Local Area Network (LAN) เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดเล็กในพื้นที่ท่ีไม่ใหญ่ มากนัก เชน่ ภายในหอ้ ง สานักงาน หรือในอาคาร 2) Metropolitan Area Network (MAN) เป็นการเช่ือมต่อเครือข่ายท่ีมีขนาดทาง ภูมิศาสตร์ใหญ่กว่า LAN เช่น การเชื่อมต่อระบบระหว่างองค์กรในอาเภอหรือจังหวัด ข้อมูลสามารถถูก ส่งผ่านระหว่างเครือข่ายได้ โดยการเชื่อมต่อผ่านระบบโทรศัพท์ สายโคแอกเชียล หรือระบบการ ตดิ ตอ่ สื่อสารแบบไร้สาย 3) Wide Area Network (WAN) เป็นการเช่ือมต่อเครือข่ายท่ีขนาดทางภูมิศาสตร์ท่ีใหญ่ ขึ้นกว่าแบบ MAN เช่นการเช่ือมต่อระบบเครือข่ายในระดับจังหวัดกับจังหวัด หรือระหว่างประเทศมัก เป็นการเชื่อมต่อที่ใช้สัญญาณที่มีความเร็วสูงเพราะข้อมูลท่ีส่งมักจะเป็นข้อมูลจากเครือข่ายย่อยหลายๆ ส่วนถกู ส่งผ่านไปยังเครือขา่ ยอน่ื หรอื อาจเปน็ ศนู ยแ์ มข่ ่าย ศิริพร มะโนรัตน์ (2552:40) ได้ให้ความหมายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไว้ว่าเครือข่าย คอมพิวเตอร์ (Compiyer network) เป็นระบบการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ท่ีเรียกว่า “ไคลแอนต์” (Client) จานวนหลายๆ เครือ่ งเช่ือมโยงเข้ากับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ซ่ึงเรียกว่า “โฮสต์” (Host) โดยสายเคเบลิ ตา่ งๆ สรุปได้ว่า ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึงระบบการเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เคร่ืองขึ้นไป เพ่ือวัตถุประสงค์ในการใช้งานทรัพยากรท่ีมีอยู่ร่วมกันในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยอาศัย การเชื่อมต่อผ่านสายเคเบลิ ระบบโทรศัพท์ คลนื่ วิทยุ หรือเครือขา่ ยไรส้ าย 2.1.2 ความหมายของอินทราเนต็ ศุภชัย สุขะนินทร์และกรกนก วงศ์พานิช (2548:3) ให้ความหมายของอินทราเน็ตไว้ว่า หมายถึง เครือข่ายเฉพาะส่วนขององค์กรหรือหน่วยงานทีน่ าซอฟต์แวร์ หรือฮาร์ดแวร์ แบบอินเทอร์เน็ต มาประยุกต์ใช้ อินทราเน็ตจึงเป็นเครือข่ายเพ่ือระบบงานภายในองค์กรโดยมุ่งเน้นข้อมูลและสารสนเทศ เพ่อื บรกิ ารแกบ่ คุ ลากร

7 ศยามน อินสะอาด (2550:29) กล่าวว่า ระบบเครือข่ายอินทราเน็ต หมายถึง เว็บไซต์ ภายในจะเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ท่ีโยงกันเป็นระบบเครือข่ายภายในองค์กรเดียวกัน ความหมายของคาว่า อินทราเน็ต คือ ระบบเครือข่ายที่สนับสนุนเทคโนโลยีของเว็บ อินทราเน็ตจึงสามารถเช่ือมโยงกับ อินเทอร์เน็ตได้ แต่ถ้าไม่ต้องการก็ไม่จาเป็นต้องเช่ือมต่อออกไปก็ได้ ศักยภาพของการติดต่อสื่อสารโดย อินทราเน็ตเปน็ วธิ กี ารส่อื สารภายในองคก์ รที่น่าสนใจและทรงประสทิ ธภิ าพมาก ศภุ ชยั สุขะนนิ ทร์และกรกนก วงศ์พานิช (254ค:10) กล่าวไว้วา่ อินทราเน็ต จะมีลักษณะ คล้ายกนั กับ อินเทอรเ์ นต็ แต่จะแตกต่างกนั ท่ี อนิ ทราเนต็ จะเป็นเครือขา่ ยเนต็ เวิรก์ ภายในองค์กร ที่ไม่ได้ ตอ่ เช่ือมเข้ากับอินเทอรเ์ นต็ จงึ ไม่สามารถเชื่อมตอ่ กับเครอื ขา่ ยอ่ืนๆ ได้ นอกจากจะได้รับอนุญาตโดยผ่าน เซริ ฟ์ เวอร์ทมี่ รี ะบบความปลอดภยั เรียกว่า Firewall ศิริพร มะโนรัตน์ (2552:13-16) ได้ให้ความหมายของ อินทราเน็ต ไว้ว่า อินทราเน็ต (Intranet) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เช่ือมโยงการส่ือสารด้วยระบบโปรโตคอล ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP) ซึง่ เป็นระบบโปรโตคอลในการสื่อสารของเครอื ขา่ ยอินทราเนต็ (Intranet) ดังนั้นโปรแกรมเพอ่ื การส่ือสาร บนเครอื ขา่ ยอินทราเน็ต จงึ เปน็ ซอฟตแ์ วร์ชนิดเดยี วกับทีใ่ ช้ในการสือ่ สารบนเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ สุวลักษณ์ ผลประสาท (2553:29-30) กล่าวไว้ว่า อินทราเน็ตเป็นระบบเครือข่าย ทเ่ี ช่ือมโยงคอมพิวเตอร์และใช้โปรโตคอล TCP/IP เช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต แต่เครือข่ายอินทราเน็ตเป็น ระบบเครือข่ายที่อยู่ภายในองค์กรไม่ได้เผยแพร่ข้อมูลออกสู่โลกภายนอกเหมือนอินเทอร์เน็ต โดยมี เทคโนโลยีทีค่ อยให้บริการเหมือนอนิ เทอร์เน็ต เช่น มี Web Server ให้บริการเวบ็ ไซต์ มี Mail Servwer ไว้บริการจดหมายอีเล็กทรอนิกส์ ภายในองค์กร ระบบ FTP สาหรับถ่ายโอนไฟล์ ระบบ DSN สาหรับ แปลงช่ือโดเมนเป็นหมายเลขไอพีแอดเดรสและอ่ืนๆ ที่อินเทอร์เน็ตทาได้ อินทราเน็ตก็มีได้ เช่นกัน แตอ่ ินทราเน็ตกย็ ังเปดิ โอกาสให้บคุ คลภายนอกเข้ามาใชข้ ้อมลู ได้ เรยี กว่า เอ็กทราเน็ต (Extranet) ซึง่ อาจ เขา้ มาทางอนิ เทอรเ์ นต็ หรอื เช่ือมตอ่ ตรงเข้ามาโดยใชโ้ มเดม็ แตจ่ ะถูกควบคมุ ให้มสี ิทธ์ิทพ่ี งึ ไดร้ ับเทา่ น้นั สรุปได้วา่ ระบบเครอื ขา่ ยอนิ ทราเน็ต หมายถึง ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ภายในองค์กร ที่นาการให้บริการต่างๆ เช่นเดียวกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยนามาประยุกต์ใช้ภายในองค์กร ซง่ึ บุคคลภายนอกองคก์ รไมส่ ามารถเข้าถึงได้ 2.1.3 ความหมายของอนิ เทอรเ์ น็ต ชุณหพงศ์ ไทยอุปถัมภ์ (2545:28) กล่าวไว้ว่า อินเทอร์เน็ต หมายถึง ระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่ทาการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หลายล้านเคร่ืองกว่า 130 ประเทศท่ัวโลกเข้า ด้วยกัน โดยใช้โปรโตคอลพิเศษในการสื่อสาร อินเทอร์เน็ตนอกจากจะเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีใหญ่ ท่ีสุดในโลกแล้ว ยังมีบริการต่างๆ อีกมากมาย รวมถึงจดหมายอีเล็กทรอนิกส์ การเคลื่อนย้ายไฟล์ข้อมูล และข่าวใหม่ๆ การติดต่อขอเข้าใช้ระบบในระยะไกลและบริการด้านฐานข้อมูลท่ีมีมากมายไม่จากัด อนิ เทอร์เน็ตประกอบดว้ ย 2 สว่ น คอื ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรแ์ ละขอ้ มูลทีอ่ ยภู่ ายในคอมพวิ เตอร์น้ัน

8 สุวลักษณ์ ผลประสาท (2543:313) ได้ให้ความหมายของอินเทอร์เน็ตไว้ว่า อินเทอร์เน็ต คือ ระบบของการเช่ือมโยงข่ายงานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่มากครอบคลุมไปทั่วโลกเพ่ืออานวยความ สะดวกในการใหบ้ ริการส่อื สารข้อมูล เช่น การบันทกึ ระยะไกล การถ่ายโอนแฟ้ม ไปรษณีย์อีเลก็ ทรอนกิ ส์ และกลุ่มอภิปรายอินเทอร์เน็ต เป็นวิธีในการเช่ือมโยงข่ายงานคอมพิวเตอร์ท่ีมีอยู่ซ่ึงขยายออกไปอย่าง กวา้ งขวางเพอ่ื การเขา้ ถงึ ของแตล่ ะระบบทม่ี สี ว่ นร่วมอยู่ ราพึง โนพวน (2552:82) ได้ให้ความหมายของ ระบบอินเทอร์เน็ตไว้ว่า คือ เครือข่าย ของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน เรียกว่า ไซเบอร์สเปซ (Cyberspace) ศิริพร มะโนรัตน์ (2544:19) ได้ให้ความหมายของอินเทอร์เน็ตไว้ว่า อินเทอร์เน็ต หมายถงึ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดใหญม่ ากซึง่ สามารถเช่อื มโยงเครือข่ายคอมพิวเตอรท์ ั่วโลก เข้าด้วยกันได้ ซึ่งทาให้เราสามารถโอนย้ายข้อมลู ติดต่อส่ือสารและค้นหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลไกลๆ ได้ โดยใช้ระยะเวลาอนั สน้ั สะดวกรวดเรว็ และประหยดั รายจ่าย สรุปได้ว่า อินเทอร์เน็ต คือ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างหน่ึง ซ่ึงเป็นเครือข่าย คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เช่ือมต่อกันทั่วโลกโดยมีมาตรฐานการรับส่งข้อมูลระหว่างกันเป็นหนึ่งเดียว ทา ให้สามารถโอนย้ายข้อมูลตดิ ต่อสื่อสารและคน้ หาข้อมูลจากแหล่งขอ้ มูลไกลๆ ได้ โดยใช้ระยะเวลาอันสั้น สะดวกรวดเรว็ และประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ย 2.1.4 ความแตกตา่ งระหวา่ งระบบเครอื ขา่ ยอินทราเนต็ กับระบบเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ วิทยา เรืองพรวสิ ุทธิ์ (2542:13) ได้กลา่ วถึงข้อแตกต่างระหวา่ งระบบเครอื ข่ายอินทราเน็ต กับระบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ โดยพิจารณาจากความหมาย ของคาวา่ อินทราเนต็ แล้วจะพบว่าเครือข่าย อินทราเน็ตกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตคล้ายคลึงกันมาก แตกต่างกันที่เครือข่ายอินทราเน็ต คือ นาการ ให้บริการต่างๆ เช่นเดียวกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยนามาประยุกต์ใช้ภายในองค์กร ซง่ึ บุคคลภายนอก องค์กรไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่ก็มีผู้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเครือข่ายอินทราเน็ตกับเครือข่าย อนิ เทอรเ์ น็ต ดังต่อไปนี้ อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพียงหน่ึงเดียวของโลก ไม่มีเจ้าของอย่างแท้จริง และไม่มีใครสามารถควบคุมเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนอินทราเน็ตเป็นเครือข่ายภายในมีเจ้าของที่ แน่นอนและถูกควบคุมโดยองค์กรหรือบุคคลที่เป็นเจ้าของ สรุปได้ว่า ความแตกต่างระหว่าง เครือข่าย อินทราเน็ตกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ เครือข่ายอินทราเน็ตจะถูกควบคุมโดย องค์กรหรือบุคคลท่ีเป็นเจ้าของที่ชัดเจนหรืออาจกล่าวได้ว่า เครือข่ายอินทราเน็ต ก็คือ เครือข่าย อินเทอร์เนต็ ขนาดเลก็ ท่ีมีองคก์ รหรอื บคุ คลท่เี ป็นเจ้าของ โดยนาการให้บรกิ ารต่างๆ เชน่ เดียวกบั เครอื ขา่ ย อนิ เทอร์เน็ตมาใช้ภายในองค์กร โดยใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คล้ายคลึงกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ส่วน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นจะไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง บุคคลท่ัวไปสามารถเข้าไปใช้บริการต่างๆ ของเครอื ข่ายอินเทอร์เนต็ ได้

9 2.1.5 องคป์ ระกอบของบทเรยี นบนเครอื ขา่ ย ถนอมพร (ตนั พพิ ัฒน)์ เลาหจรัสแสง (2545:30-40) กล่าวถงึ องคป์ ระกอบของอเิ ลินน่งิ ในด้านการออกแบบพัฒนา ประกอบด้วย 4 องคป์ ระกอบหลกั ไดแ้ ก่ 1) เนื้อหา (Content) เนื้อหาเป็นองค์ประกอบสาคัญที่สุดสาหรับอิเลินน่ิง คุณภาพของ การเรียนการสอน และการที่ผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์การเรยี น ในลกั ษณะน้ีหรือไมอ่ ย่างไร สิ่งสาคัญ ท่ีสุด คือ เนื้อหาการเรียน ซ่ึงผู้สอนได้จัดหาให้แก่ผู้เรียน ซ่ึงผู้เรียนมีหน้าที่ในการใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษา เนือ้ หาดว้ ยตนเองเพอ่ื ทาการปรบั เปลย่ี น (Convert) เนอื้ หาสารสนเทศท่ีผสู้ อนเตรียมไวใ้ ห้เกิดเปน็ ความรู้ โดยผ่านการคิดค้นวเิ คราะหอ์ ย่างมหี ลักการและเหตผุ ลด้วยตวั ของผู้เรยี นเอง โดยมอี งค์ประกอบคือ 1.1) โฮมเพจหรือหน้าเว็บเพจแรกของเว็บไซต์ โดยการออกแบบโฮมเพจควรมีความ สวยงาม เพราะถือได้ว่าเป็นปัจจยั หนึง่ ทจ่ี ะส่งผลให้ผเู้ รยี นมีความนา่ สนใจในการกลับมาเรียน นอกจากนี้ ยังต้องมีองค์ประกอบที่จาเป็น เช่น คาแนะนาการเรียน ระบบใส่ชื่อผู้เรียนและรหัสลับสาหรับการใช้ ระบบ (Login) ชื่อหน่วยงานและวิธีตดิ ตอ่ กบั หนว่ ยงาน วนั ท่แี ละเวลาที่ทาการปรับปรงุ แก้ไข เป็นตน้ 1.2) หน้าแสดงรายชื่อวิชา หลังจากผู้เรียนทาการเข้าระบบ (Login) ระบบจะแสดง รายชื่อวิชาท้ังหมดและควรมีองค์ประกอบอ่ืนๆ ด้วย เช่น คาประกาศหรือคาแนะนาการเรียนในแต่ละ รายวิชา รายช่ือผสู้ อน รายชื่อผู้เรยี น เวบ็ เพจสนับสนนุ การเรยี น ความชว่ ยเหลือ เปน็ ต้น 2) ระบบบริหารจัดการรายวิชา (Course Management System) เป็นองค์ประกอบที่ สาคัญมากเช่นกันสาหรับอิเลินนิ่ง ได้แก่ ระบบบริหารจัดการรายวิชา ซ่ึงเป็นเสมือนระบบที่รวบรวม เคร่ืองมือซึ่งออกแบบไว้เพ่ือให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการจัดการกับการเรียนการสอนออนไลน์นั่นเองซ่ึง ผใู้ ช้ในที่นี้ อาจแบง่ ได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สอน (Instructor) ผู้เรยี น (Students) และผู้บริหารเครือข่าย (Network administrator) ซงึ่ เครอื่ งมือและระดับของสิทธิในการเข้าใช้ท่จี ัดหาไวใ้ หก้ ็จะมคี วามแตกตา่ ง กันไปตามการใช้งานของแตล่ ะกลมุ่ 3) โหมดการติดต่อสื่อสาร (Modes of Communication) องค์ประกอบสาคัญของ อเิ ลินนิ่งทขี่ าดไม่ได้อีกประการหน่ึงคอื การจดั ใหผ้ ู้เรยี นสามารถตดิ ตอ่ สอื่ สารกับผู้สอน วทิ ยากรเช่ยี วชาญ อื่นๆ รวมทั้งผู้เรียนด้วยกัน ในลักษณะท่ีหลากหลาย และสะดวกต่อผู้ใช้โดยมีเคร่ืองมือท่ีจัดหาไว้ให้ ผู้เรียนใช้ได้มากกว่า 1 รูปแบบ รวมท้ังเครื่องมือน้ันจะต้องมีความสะดวกใช้ (User-friendly) ด้วยซึ่ง เครอื่ งมอื ที่ควรจัดให้ผเู้ รยี น ไดแ้ ก่ 3.1) การประชุมทางคอมพิวเตอร์ คือ ติดต่อสื่อสารแบบต่างเวลา (Asynchronous) เช่น การแลกเปลี่ยนข้อความผ่านทางกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่รู้จักกันในชื่อของ web board เป็นต้น หรือในลักษณะของการติดต่อส่ือสารแบบเวลาเดียวกัน (Synchronous) เช่น การสนทนา ออนไลน์ หรือทค่ี ุ้นเคยกันดีในชื่อของ Chat หรือในบางระบบอาจจัดใหม้ ีการถา่ ยทอดสัญญาณภาพและ เสียงสด (Live Broadcast) ผ่านทางเว็บ เป็นต้น ในการนาไปใช้ดาเนินกจิ กรรมการเรยี นการสอน ผู้สอน สามารถเปิดสัมมนาในหัวข้อเก่ียวข้องกับเนื้อหาในคอร์ส ซง่ึ อาจอยู่ในรูปของการบรรยาย การสัมภาษณ์ ผู้เชยี่ วชาญการเปดิ อภิปราย ออนไลน์ เปน็ ต้น

10 3.2) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นองค์ประกอบสาคัญเพื่อให้ผู้เรียนสามารถ ติดต่อสื่อสารกับผู้สอนหรอื ผเู้ รยี นอื่นๆ ในลักษณะรายบุคคล การส่งงานและผลป้อนกลับใหผ้ ู้เรยี น ผสู้ อน สามารถให้คาแนะนาปรึกษาแก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล ท้ังนี้เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตอื รือร้นใน การเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างตอ่ เนอ่ื ง ทั้งน้ี ผู้สอนสามารถใช้ไปรษณยี ์อิเล็กทรอนกิ สใ์ นการให้ความ คดิ เห็นและผลปอ้ นกลับท่ีทนั ตอ่ เหตุการณ์ 4) แบบฝกึ หัด/แบบทดสอบ องค์ประกอบสุดท้ายของอีเลินนิ่งแต่ไมไ่ ด้มีความสาคัญน้อย ท่ีสดุ แต่อย่างใด การจัดให้ผเู้ รียนได้มโี อกาสในการโต้ตอบกับเน้ือหาในรูปแบบของการทาแบบฝกึ หดั และ แบบทดสอบความรู้ซึ่งมรี ายละเอยี ด ดังน้ี 4.1) การจัดให้มีแบบฝึกหัดสาหรับผู้เรียน เนื้อหาที่นาเสนอจาเป็นต้องมีการจัดหา แบบฝึกหัดสาหรับผู้เรียนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจไว้ด้วยเสมอ ท้ังน้ี เพราะอีเลินนิ่งเป็นระบบการเรียน การสอนที่เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนเป็นสาคัญ ดังน้ันผู้เรียนจึงจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี แบบฝึกหัดเพื่อการตรวจสอบว่าตนเข้าใจและรอบรู้ ในเรื่องท่ีศึกษาด้วยตนเองมาแล้วเป็นอย่างดีหรือไม่ อย่างไร อีกทงั้ การทาแบบฝึกหัดจะทาให้ผูเ้ รียนทราบไดว้ า่ ตนนนั้ พรอ้ มสาหรับการทดสอบการประเมนิ ผล แล้วหรอื ไม่ 4.2) การจัดให้มีแบบทดสอบผู้เรียน แบบทดสอบสามารถอยู่ในรูปของแบบทดสอบ ก่อนเรียน ระหว่างเรียนหรือหลังเรียนก็ได้ สาหรับอีเลินนิ่งระบบบริหารจัดการรายวิชาทาให้ผู้สอน สามารถสนับสนุนการออกข้อสอบของผูส้ อนได้หลากหลายลักษณะ กลา่ วคอื ผ้สู อนสามารถออกแบบการ ประเมินผล ในลกั ษณะของอัตนัย ปรนยั ถูกผิด การจับคู่ (ลากและวาง) การสง่ ข้อความให้เพ่อื นชว่ ยตรวจ การส่งข้อความให้ครูผู้สอนตรวจ ฯลฯ นอกจากน้ียังทาให้ผู้สอนมีความสะดวกสบายในการจัดการ การ สอบเพราะผู้สอนสามารถทจ่ี ะจัดทาข้อสอบ ในลักษณะคลังข้อสอบไว้เพ่ือเลือกในการนากลับมาใช้ หรือ ปรบั ปรงุ แก้ไขใหม่ได้อย่างง่ายดาย ศยามน อินสะอาด (2550:7–17) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบหลกั ในอีเลินนิ่ง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ระบบบริหารจัดการเรียนการสอน (Learning Management System) และเคร่ืองมือ ตดิ ตอ่ สอ่ื สาร (Communication) เพ่อื ใช้ระหว่างผู้เรยี นกบั ผ้เู รยี นและผู้เรยี นกบั ผู้สอน 1) ระบบบริหารจัดการการเรยี นการสอน (Learning Management System) หรือ LMS ประกอบดว้ ยเครอื่ งมืออานวยความสะดวกใหแ้ ก่ ผ้สู อน ผูเ้ รยี นและผู้ดแู ลระบบ โดยการเรียนการสอนนั้น ตอ้ งมกี ารทากิจกรรมตา่ งๆ และติดต่อสื่อสารผ่านเว็บทไ่ี ด้จัดระบบไว้ให้สามารถเก็บบันทึกข้อมลู กิจกรรม การเรียนรูข้ องผเู้ รียนไวบ้ นระบบ เพ่อื ใหผ้ ู้สอนสามารถนาไปวเิ คราะห์ ตดิ ตาม และประเมินผลการเรยี น การสอนในรายวิชานนั้ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ โดยมีองคป์ ระกอบทส่ี าคัญ 3 ระบบคอื 1.1) ระบบจัดการรายวิชา (Course Management) เป็นสว่ นของการจัดการเรยี นการ สอน ครูผู้สอนเป็นผู้จัดทาระบบจัดการรายวิชา ซ่ึงถือว่าเป็นหัวใจสาคัญของอีเลินนิ่งเน่ืองจากเป็นการ จัดการเกย่ี วกับบทเรยี น (Courseware) ประกอบด้วยส่วนสาคัญดงั น้ี 1.1.1) สว่ นจัดทาบทเรียน

11 1.1.2) สว่ นกิจกรรมการเรียน 1.1.3) สว่ นประกอบบทเรียน ได้แก่ แหล่งขอ้ มลู ต่างๆ ภาพประกอบ 1.1.4) ส่วนการวดั และประเมินการเรียนรู้ 1.2) ระบบส่งเสริมการเรียนรู้ (Support Management) เป็นระบบช่วยเหลือในการ จัดทาบทเรียนของครูผู้สอน ช่วยในการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยใช้เทคโนโลยีเว็บเป็นเคร่ืองมือหลัก ประกอบด้วย 1.2.1) โปรแกรมจัดทาบทเรียน 1.2.2) ระบบการตดิ ต่อสอ่ื สาร 1.2.3) สว่ นชว่ ยเหลือกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1.3) ระบบจัดการขอ้ มล (ู Data Management) 1.3.1) ส่วนการจดั การของข้อมูลผ้เู รยี น 1.3.2) ส่วนการจัดการของขอ้ มลู ผูส้ อน 1.3.3) สว่ นกาหนดค่าปฏบิ ตั กิ าร 1.3.4) สว่ นรายงานผลการเรียน 1.3.5) สว่ นการจัดการไฟล์ 2) เครื่องมือติดต่อส่ือสาร (Communication) สาหรับการติดต่อส่ือสารระหว่างผู้สอน และผู้เรียน หรือผเู้ รยี นกับผ้เู รียนสามารถติดต่อสอ่ื สารถึงกันได้ 2 แบบ คอื 2.1) แบบประสานเวลา (Synchronous) หมายความว่า ผู้เรียน ผู้สอนอยู่ ณ เวลา เดยี วกันสามารถคยุ กนั ได้ผา่ นการสนทนาออนไลน์ (Chat) นน่ั เอง โดยการสนทนาอาจใช้ได้ทง้ั ภาพวิดโี อ พร้อมเสียง โดยผ่านโปรแกรมพวก MSN Skype ซ่ึงกาลังได้รับความนิยมในประเทศไทย โดยนาข้อดีที่ สามารถนามาใช้ในการจดั การเรยี นการสอนออนไลน์ได้เป็นอยา่ งดี 2.2) ไม่ประสานเวลา (Asynchronous) หมายความว่า ผู้เรียนและผู้สอนไม่ได้อยู่ ณ เวลาเดียวกัน แต่สามารถติดต่อส่ือสารถึงกันได้ โดยผ่านเคร่ืองมือ ท่ีเรียกว่า web board และ e-mail นอกจากนี้ยังบันทึกความรู้ความก้าวหน้าในการเรียน สะท้อนลง weblog หรือ blog ได้อีกด้วย ซึ่งการ ส่อื สารท้งั สองรูปแบบสามารถนามาใชร้ ่วมกันเพือ่ ให้การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนมปี ระสิทธิภาพมาก ยง่ิ ขน้ึ ใจทิพย์ ณ สงขลา (2547:15-17) กล่าวถึง การประมวลเว็บไซต์เพ่ือการเรียนการสอน โดยทัว่ ไปมักจะพบองค์ประกอบ ดงั นี้ 1) โฮมเพจ (Home page) หมายถึง หน้าแรกที่ผู้เรียนจะต้องเข้าไปใช้งาน โดยทั่วไปจะ เสนอสารสนเทศแนะนาหลกั สตู รและรายวิชานัน้ ๆ มภี าพลกั ษณท์ ี่นา่ เชอื่ ถือ ชกั ชวนตอ่ ความสนใจ มภี าพ และขอ้ ความแสดงการตอ้ นรับ โฮมเพจที่ดตี อ้ งสามารถสือ่ สารถึงผู้ชมได้ว่า เวบ็ นาเสนอเก่ียวกับเรอ่ื งอะไร มคี วามทันสมัยคือทาการสร้างและปรับปรุงบอ่ ยเพียงใด สถาบันหรือผู้ใดท่ีมีความน่าเช่ือถือเป็นผู้พัฒนา

12 แนะนาแนวทางในการศึกษาเวบ็ และความรู้ หรือสง่ิ ท่คี าดหวังไวจ้ ากเวบ็ นน้ั (what when where how why) 2) เนื้อหาสาระของรายวิชาเพจสารบัญ (Index) มักจะทาหน้าที่เช่ือมโยงไปยังเน้ือหา สาระในรายวชิ าและกจิ กรรมการเรียน บางคร้ังก็จะรวมเพจของการแนะนาวิธีการเรยี นและโฮมเพจอย่ใู น หน้าเดียวกัน 3) เพจบันทึก (Note Page) ลักษณะของเพจเช่นนี้ มักจะเป็นเพจทมี่ ีสารสนเทศขอ้ ความ เป็นใหญ่ส่วน 4) ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) เพจน้ีเป็นรายละเอียดวิชาท้ังหมดกาหนดเวลา กิจกรรมการเรียน งานมอบหมาย การสอน การให้คะแนนและเกณฑ์อาจรวมทั้งหนังสือหรือเอกสาร ประกอบการเรียน ประมวลรายวิชาโดยทว่ั ไปจะคัดลอกมาจากประมวลรายวิชาทใี่ ชอ้ ยา่ งเป็นทางการใน หอ้ งเรียนปกติเพือ่ จดั ทาเปน็ เวบ็ เพจ 5) แหล่งข้อมลู (Resource) มีการเชื่อมโยงไปยังแหลง่ ข้อมูลในเว็บอื่นๆ ที่เกี่ยวกับวิชาที่ เรียนโดยท่วั ไปได้ให้เคร่อื งมือสืบค้นเพ่ือความสะดวกของผู้เรียน 6) ข้อบังคับของวิชา (Course Requirement) บอกรายการสื่อ หนังสือ คู่มือ แหล่งการ เรียนและเคร่ืองมืออน่ื ๆ ซึ่งอาจอยใู่ นเนื้อหาสาระรายวิชาหรือประมวลรายวชิ า 7) แนะนาการเรียน (Study Guide) เป็นเพจทีท่ าหน้าท่แี นะนาวา่ เรียนอยา่ งไร (How to learn) แนะนาวิธีการเรียนออนไลน์ในวิธีนั้นๆ รวมทั้ง อธิบายวิธีการเรียนหรือการใช้ทรัพยากรการเรียน ในเว็บไซต์ หรือเป็นส่วนทอี่ ธบิ ายงานมอบหมายในรายวชิ าน้ันๆ 8) หน้าที่และความรับผิดชอบ (Role and Responsibility) เป็นสิ่งที่กาหนดให้ผู้เรียน รับผิดชอบ เชน่ การส่ังงาน แนวทางการประเมินผเู้ รยี น ซึง่ อาจรวมอยู่กับการแนะนาวธิ ีการเรยี น 9) ประกาศ (Announcement) เป็นหน้าท่ีแจ้งให้ผู้เรียนทราบข่าวสารใหม่เกี่ยวกับวิชา หรือบางครงั้ เพอื่ แจง้ การนัดพบหรอื มอบหมายงาน 10) แผนผังวชิ า (Course Map/Site Map) เป็นการให้ภาพโครงสร้างของวิชา ทาหนา้ ท่ี คล้ายกบั ระบบนาทาง 11) การมอบหมายงานและกิจกรรม (Activities and Assignments) แสดงรายการงาน ทั้งหมดที่ผูเ้ รยี นต้องปฏบิ ัติอาจแยกเป็นเพจทีก่ าหนดกจิ กรรมการเรียนบนเว็บแยกออกจากเพจท่ีกาหนด กิจกรรมทต่ี ้องปฏบิ ตั จิ ากเพจอื่นๆ ควรมีการกาหนดวนั และเวลากาหนดสง่ และรายงานความกา้ วหนา้ ของ กจิ กรรม 12) ตารางเรียน (Course Schedule) แสดงปฏิทินการเรียนตลอดภาคการศึกษาแสดง กาหนดเวลาของกิจกรรมการเรียนท่ีเกิดขึ้น เช่น วันส่งงาน วันสอบย่อย วันสอบปลายภาคและกิจกรรม อ่ืนๆ 13) ตัวอย่างแบบทดสอบ (Sample Test) เพจนี้ทาหน้าที่แสดงตัวอย่างคาถามใน แบบทดสอบหรือการเช่ือมโยงไปยังตวั อยา่ งงานทีส่ มบูรณแ์ ล้ว

13 14) ประเมินผลวิชาหรือโปรแกรม (Course or Program Evaluation) แบบสอบถามให้ ผเู้ รียนประเมินรายวิชา 15) สารสนเทศที่จาเป็น (Vital Information) ที่อยู่ของผู้สอนที่สามารถส่งไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ พร้อมที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ โทรสาร ชั่วโมงทางานบนออนไลน์ (E-office hours) การ เชื่อมโยงไปยังบริการอ่ืนๆ เช่น การลงทะเบียน การบริการ คาแนะนา ห้องสมุดและนโยบายอื่นๆ ของ สถาบัน 16) ประวตั ิบุคคล (Biography) ประวัติผสู้ อนโดยย่อและผู้อนื่ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง 17) ดัชนีและคาศัพท์ (Glossary and Index) คาศัพท์ท่ีเก่ียวข้องซึ่งเรียงลาดับไว้ให้ สืบค้น 18) ส่วนการประชุม (Conference Area) สาหรับผู้เรียนและผู้สอนสามารถอภิปราย ร่วมกันทง้ั ในแบบประชุมเวลาเดียวกนั และตา่ งเวลา 19) กระดานขา่ ว (Bulletin Board) กาหนดเปน็ พนื้ ทใ่ี ห้ผเู้ รยี นผู้สอนสามารถติดประกาศ ข่าวหรอื เปดิ ประเดน็ คาถามไว้เปน็ สาธารณะให้ผอู้ า่ นทั่วไปทราบ 20) คาถาม (FAQ Page) คาถามที่มีผู้ถามบ่อยๆ พร้อมคาตอบ ทั้งน้ีผู้เรียนอาจมีคาถาม เชน่ เดียวกนั กส็ ามารถค้นหาเพ่ือใหไ้ ด้คาตอบทต่ี อ้ งการได้ สามารถสรุปได้ว่า องค์ประกอบเพ่ือใช้ในการจัดรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ของบทเรียน บนเครือข่ายบนอินเทอร์เน็ตว่ามีองค์ประกอบที่นาเสนอในรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกันตามความ ต้องการของผู้สอน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้งานได้ง่ายสะดวกและมีการปฏิสัมพันธ์ด้วยเคร่ืองมือการ สื่อสารต่างๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซ่ึงทาให้เกิดองค์ความรู้ ท่ีมีรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ตอบสนองแกผ่ ู้เรยี น และสามารถใชเ้ ป็นแหล่งข้อมลู ในการศกึ ษา และทบทวนในรายวิชาน้นั ๆ 2.1.6 หลักการออกแบบและสรา้ งบทเรยี นบนเครือข่าย ถนอมพร(ตันพิพัฒน์) เลาหจรัสแสง (2545:127-131) ได้กล่าวถึงลักษณะของกาi ออกแบบโครงสรา้ งเว็บไซตน์ ้ัน รูปแบบท่ไี ด้รับความนิยมมากไดแ้ ก่ การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์เปน็ 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) ลักษณะเรียงลาดับ (Sequences) 2) ลกั ษณะเรียงลาดบั (Sequences) 3) ลกั ษณะก รดิ (Grid) 4) ลกั ษณะลาดบั ชัน้ สงู /ต่า (Hierarchies) และ 5) ลักษณะเว็บ (Web) ซงึ่ มีรายละเอยี ดดังน้ี 1) โครงสรา้ งลักษณะเรยี งลาดบั (Sequences) วิธีการที่ธรรมดาท่ีสุดในการจัดระบบเนื้อหา คือ การวางเนื้อหาในลักษณะเรียงลาดับ การเรียงลาดับน้ีอาจเรียงตามเวลา หรือปัจจัยอื่นๆ เช่น จากท่ัวไปถึงเจาะจง เรียงลาดับตัวอักษร เรียง ตามประเภทของหัวข้อเน้ือหา ฯลฯ การเรียงลาดับในลักษณะเปิดไปเร่ือยๆ น้ีเหมาะสมสาหรับเว็บไซต์ สาหรบั การสอนท่มี ีเน้ือหาไม่มากนกั เพอื่ บังคบั ใหผ้ ู้เรยี นเปดิ หนา้ เพือ่ ศกึ ษาเนือ้ หาไปตามลาดับท่ตี ายตัว

14 ภาพประกอบท่ี 1 แสดงตวั อย่าง รปู แบบโครงสรา้ งเวบ็ ไซต์แบบเรียงตามลาํ ดบั 2) โครงสร้างลกั ษณะกริด (Grid) การออกแบบในลักษณะกริดเป็นวิธีการที่เหมาะสมสาหรับเนื้อหาในลักษณะที่สามารถ ออกแบบให้คู่ขนานกันไป ยกตัวอย่างเช่น การสอนเน้ือหาวิชาประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเน้ือหาอาจแบ่งได้ ตามเวลาหรือยุค เช่น ยุคสุโขทัย ยุคกรุงศรีอยุธยา ยุคกรุงธนบุรีและยุคกรุงรัตนโกสินทร์นอกจากน้ีอาจ แบ่งเนื้อหาได้ตามหัวข้อทางประวัติศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้อง เช่น ด้านวัฒนธรรม ด้านการปกครอง ด้านสังคม ด้านการเมอื ง เปน็ ตน้ เช่น เครือข่าย อนิ เทอรเ์ น็ต e-learning Virtual Reality ฯลฯ ภาพประกอบที่ 2 แสดงตวั อยา่ ง โครงสรา้ งของเวบ็ ไซต์แบบกริด 3) โครงสรา้ งของเว็บไซตแ์ บบลาดบั ขัน้ (Hierarchical Structure) เป็นโครงสร้างท่ีดีที่สุดวิธีหนึ่งในการจัด ระบบโครงสร้างที่มีความซับซ้อน ของข้อมูล โดยแบ่งเน้ือหา ออกเป็นส่วนต่างๆ และมีรายละเอียดย่อย ๆ ในแต่ละส่วนลดหล่ันกัน มาในลักษณะ แนวคิดเดียวกับ แผนภูมิองค์กร จึงเป็นการง่ายต่อการทาความเข้าใจกับโครงสร้างของเนื้อหา ลักษณะ เด่นคือการมีจุดเร่ิมต้นท่ีจุดร่วมจุดเดียว น่ันคือ โฮมเพจ (Homepage) และเชื่อมโยงไปสู่เน้ือหาใน ลักษณะเปน็ ลาดบั จากบนลงล่าง

15 ภาพประกอบท่ี 3 แสดงตัวอย่างโครงสร้างของเว็บไซตแ์ บบลาํ ดบั ขนั้ 4) โครงสร้างเว็บไซตแ์ บบใยแมงมุม (Web Structure) โครงสร้างประเภทน้ีจะมีความยืดหยุ่นมากที่สุด ทุกหน้าในเว็บสามารถจะเช่ือมโยงไป ถงึ กันได้หมด เป็นการสรา้ งรูปแบบการเข้าสู่เน้ือหาท่ีเป็นอิสระ ผู้ใช้สามารถกาหนดวธิ ีการเข้าสู่เนอ้ื หาได้ ด้วยตนเอง การเช่อื มโยงเนือ้ หาแตล่ ะหนา้ อาศัยการโยงข้อความท่ีมมี โนทัศน์ (Concept) เหมอื นกนั ของ แต่ละหน้าในลักษณะของไฮเปอร์เท็กซ์หรือไฮเปอร์มีเดีย โครงสร้างลักษณะนี้จัดเป็นรูปแบบที่ ไม่มี โครงสร้างที่แน่นนอนตายตัว (Unstructured) นอกจากนี้ การเช่ือมโยงไม่ได้จากัดเฉพาะเนื้อหาภายใน เว็บนน้ั ๆ แตส่ ามารถเชือ่ มโยงออกไปส่เู น้อื หา จากเวบ็ ภายนอกได้ ภาพประกอบที่ 4 แสดงตวั อยา่ ง โครงสร้างเว็บไซตแ์ บบใยแมงมมุ ไพโรจน์ ตีรณธนากุล และคณะ (2554:54–88) ได้กล่าวถึงแนวทางและขั้นตอนการ พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์การสอน ซึ่งพัฒนาข้ึนโดยคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว โดยแบง่ ออกเปน็ 5 ช่วง 16 ขัน้ ตอน ดังนคี้ ือ

16 ชว่ งท่ี 1 ชว่ งการวเิ คราะหเ์ นื้อหา (Analysis) ในการพัฒนาเนื้อหาการเรยี นการสอน ผ้พู ฒั นาจะต้องทาความเข้าใจกบั เนอ้ื หาสาระท่จี ะ นามาใสใ่ นบทเรียนเพอื่ กาหนดใหช้ ดั เจนวา่ จะให้ผ้เู รยี นเรียนอะไรบ้าง เรียนอะไรก่อน เรยี นอะไรหลังเพ่ือ ไมใ่ ห้ซา้ ซ้อนในแต่ละหวั ขอ้ ไม่ให้ส่งิ ท่ีเรยี นนัน้ มานอ้ ยเกนิ ไป ยากหรอื ง่ายเกนิ ไป ดังนั้น ผพู้ ัฒนาจะต้องให้ ความสาคัญกับเนื้อหาสาระท่ีจะถูกนามาพัฒนาบทเรียนด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ซ่ึงแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคอื ขั้นที่ 1 การสร้างแผนภูมิระดมสมอง (Brain Storm Chart Creation) คือ ข้ันตอนการ สร้างแผนภูมิระดมสมองเป็นเทคนิคการระดมสมอง (Brain Storm) เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อรวบรวมหัว เรือ่ งทคี่ วรจะมีอยูใ่ นบทเรียน ข้ันที่ 2 การสร้างแผนภูมิหัวเร่ืองสัมพันธ์ (Concept Chart Creation) คือ การจัดกลุ่ม ของหัวเร่ืองจากขั้นตอนท่ี 1 โดยการนาแผนภูมิระดมสมองมาทาการศึกษาความถูกต้องของทฤษฏี หลักการ เหตุผล ความสัมพันธ์และความต่อเน่ืองกันของหัวเร่ืองอย่างละเอียดและอาจมีการตดั หรือเพ่ิม หวั เร่ืองตามเหตุผลและความเหมาะสม ขั้นท่ี 3 การสร้างแผนภูมิโครงสร้างเนื้อหา (Content Network Chart Creation) คือ การนาหัวเร่ืองที่ได้จากแผนภูมิหัวเรื่องสัมพันธ์ มาจัดลาดับความสัมพันธ์ของเน้ือหา โดยการพิจารณา ลาดับก่อนหลังหรือคู่ขนานการตามความจาเป็นท่ีจะต้องอ้างอิงกันตามหลักการเทคนิคโครงข่าย โดย เนื้อหาบางอย่างอาจเป็นพ้ืนฐานสาหรับเน้ือหาถัดไป เช่น การบวก การลบ จะเป็นพื้นฐานของการคูณ และการหาร เป็นตน้ เมอ่ื เขียนเสร็จจะได้โครงขา่ ยเนือ้ หาตามท่ตี อ้ งการ ชว่ งท่ี 2 ชว่ งการออกแบบหนว่ ยการเรียน (Design) การออกแบบ เป็นข้ันตอนสาคัญท่ีจะต้องทาต่อจากข้ันตอนการวิเคราะห์เน้ือหาจากการ สร้างแผนภูมิโครงข่ายเน้ือหาเสร็จ การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ นับได้ว่าเป็นหัวใจสาคัญในการผลิต บทเรยี นคอมพวิ เตอร์การสอน ประกอบด้วยขัน้ ตอนที่จะต้องทาตามลาดบั 2 ขนั้ ตอน คอื ข้ันที่ 4 กาหนดวิธีในการนาเสนอและเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของเน้ือหาใน ขั้นตอนน้ี เราจะจัดเน้ือหาท่ีมีให้เป็นหน่วยการเรียน เพ่ือให้เหมาะสมกับการเรียนของผู้เรียน จากน้ันจึง สร้างแผนภมู หิ น่วยการเรียนวิชาแลว้ เขียนกากับในแต่ละหน่วยการเรียนด้วยวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมมี 3 ขน้ั ตอนย่อย คอื 1) การแบง่ เน้อื หาออกเป็นหน่วยการเรียนสาหรับการแบ่งเน้ือหาออกเปน็ หนว่ ยการเรยี น นเี้ ป็นการแบ่งเนอ้ื หาเพ่ือให้เหมาะสมกับการเรียนในแตล่ ะคร้ัง โดยเปรียบเทียบกับการสอนในห้องเรียน ปกติ เช่น เน้ือหาการสอนระดับชั้นประถมศึกษา 1 คาบ ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีต่อหน่วยการเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษา 1 คาบ ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีต่อหน่วยการเรียน เป็นต้น ดังนั้นในการแบ่ง เนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรียน จะแบ่งตามเงื่อนไขของเวลาท่ีใช้สอนในแต่ละคร้ัง สาหรับการผลิต บทเรียน 1 วิชาน้ันโดยทั่วไปจะแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรียนประมาณ 13–15 หน่วยและเมื่อ

17 พิจารณากลุ่มหัวเรือ่ งที่สามารถจัดไว้ในหน่วยเดียวกันได้แล้วนั้นให้นาแผนภูมิโครงข่ายเนื้อหามาพจิ าณา กลุ่มหัวเรื่องท่ีสามารถจัดไว้ในหน่วยเดียวกันได้ จากน้ันให้ตีกรอบล้อมรอบกลุ่มต่างๆ ไว้จนครบ การตี กรอบนัน้ ควรพิจาณาเงือ่ นไขของเวลาที่ตง้ั ไว้เมอ่ื เสรจ็ แล้วเนื้อหาในกรอบแตล่ ะกรอบก็คอื แตล่ ะหนว่ ยการ เรียนทีต่ ้องการ 2) การสร้างแผนภูมิหน่วยการเรียนวิชา เป็นการกาหนดลาดับของแต่ละหน่วยโดยเขียน เป็นตัวเลขลงไป จากน้ันก็นาหน่วยการเรียนมาลาดับการนาเสนอตามลาดับและความสัมพันธ์แนว เดียวกบั แผนภูมโิ ครงขา่ ยเนื้อหา ซ่งึ จะไดผ้ ลเปน็ “แผนภูมิหนว่ ยการเรียนวิชา“ (Course Flow Chart) 3) การกาหนดและเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของเน้ือหาแต่ละหน่วยการเรียนจาก ขัน้ ตอนทีก่ ล่าวมาแล้วนัน้ ให้เราเขียนวัตถุประสงค์ท่ีกาหนด กากับไว้แต่ละหน่วยการเรียนใหช้ ัดเจน โดย เมื่อดาเนินการเสร็จก็ถือได้ว่าจบข้ันตอนการกาหนดกลวิธีในการนาเสนอและเขียนวัตถุประสงค์เชิง พฤตกิ รรมของเนอ้ื หา ข้ันที่ 5 การออกแบบแผนภูมิการนาเสนอในแต่ละหน่วยการเรียน เมื่อได้แบ่งเน้ือหา ออกเป็นหน่วยการเรียนและสร้างแผนภูมิหน่วยการเรียนวิชาแล้วเราจะต้องออกแบบการออกแบบ แผนภูมิการนาเสนอในแต่ละหน่วยการเรียน ซ่ึงเป็นการออกแบบการสอนใน (Instructional Design) และการวางแผนการสอน ซึ่งจะต้องออกแบบการสอนใหเ้ หมาะสมกบั เน้อื หาและกล่มุ เป้าหมาย โดยเลอื ก วธิ ีการสอน สอ่ื การสอนท่ีเหมาะสมมาใช้น่ันเอง โดยเป้าหมายสาคญั ในการออกแบบนัน้ คือการให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีต้ังไว้ในการออกแบบนั้นจะต้องคานึงถึงกระบวนการ นาเสนอทัง้ หมดซงึ่ จะมีการนาเทคนคิ วิธกี ารสอนการใช้ส่ือต่างๆ ที่เหมาะสมและสิ่งสาคัญที่การออกแบบ การสอนทั่วๆ ไปไม่มีคือ จะต้องออกแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างบทเรียนกับผู้เรียนสาหรับข้ันตอนการ ออกแบบแผนภูมิการนาเสนอในแต่ละหน่วยการเรียนนั้น จะพิจารณาเน้ือหาแต่ละช่วงพร้อมคิดวิธีการ สอน ส่ือที่ใชแ้ ละลักษณะปฏสิ ัมพันธ์ในหัวข้อน้ันๆ ทีละหัวข้อ พิจาณาไปทีละลาดับทาไปเรือ่ ยๆ จนหมด หน่วยการเรียนนั้น แล้วจึงเริ่มหน่วยการเรียนถัดไปเม่ือการออกแบบแผนภูมิการนาเสนอในแต่ละหน่วย การเรียนเสร็จก็จะเห็นภาพรวมของการออกแบบการสอนเพ่ือใช้เป็นแนวทางที่ง่ายสาหรับการพัฒนา เนอื้ หาลาดบั ตอ่ ไป ช่วงท่ี 3 ช่วงการพฒั นาหนว่ ยการเรยี น (Development) ขนั้ ตอนการพฒั นาหน่วยการเรียนเพ่อื เป็นการพฒั นาเน้ือหาการเรยี นให้สมบูรณก์ อ่ นทีจ่ ะ นาไปเขยี นโปรแกรม ประกอบดว้ ยขั้นตอนยอ่ ยๆ 4 ขั้นตอน คอื ขน้ั ที่ 6 การเขยี นรายละเอียดเนื้อหาลงบนกรอบการสอนหลงั จากได้การออกแบบแผนภมู ิ การนาเสนอในแต่ละหน่วยการเรียนเสร็จแล้ว ให้นาการออกแบบแผนภูมิการนาเสนอในแตล่ ะหน่วยการ เรียนท่ีได้ออกแบบไว้มาเป็นแนวทางในการเขยี นรายละเอียดของเน้ือหาโดยเขียนลงบนกรอบที่ออกแบบ ไว้ เราเรียกว่า “กรอบการสอน” การเขียนจะต้องเขียนทีละกรอบตามลาดับเนื้อหาและวิธีการสอนที่ได้ ออกแบบไวเ้ ขยี นจนกระทง่ั ครบทกุ เนอื้ หากจ็ ะเสร็จส้นิ กระบวนการนี้

18 ขั้นที่ 7 การจัดลาดับกรอบการสอนข้ันตอนนี้เป็นการนากรอบการสอนมาตรวจสอบ ลาดบั การนาเสนอตามทีไ่ ด้วางแผนไว้ ขัน้ ตอนน้ีมีความสาคัญมากเพราะเปน็ การตรวจสอบกรอบการสอน ที่ได้เขียนไว้ว่า มีความต่อเนื่องกันหรือไม่ซ่ึงอาจใช้ระยะเวลาในการเขียนที่ยาวนานอาจไม่ได้เขียนครั้ง เดียวเสร็จซึ่งผู้เขียนอาจต้องไปทากิจกรรมอ่ืนๆ ก่อนที่จะกลับมาเขียนต่อจุดนี้เองจึงทาให้อาจทาให้การ ดาเนินเนื้อหาสะดุดไม่ต่อเนื่อง ในขั้นตอนจึงต้องมีการตรวจสอบลาดับความต่อเน่ืองของเน้ือหาอีกครั้ง เพื่อให้เปน็ ไปตามการนาเสนอทีไ่ ด้วางแผนไว้ท้ังหมดและความสมบูรณ์ของเน้ือหาทตี่ อบสนองการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ได้กาหนดไว้ในการตรวจสอบลาดับเนื้อหานั้นจะมีการตรวจสอบ 2 ข้ันตอน คอื 1) การตรวจสอบความต่อเน่ืองของเนื้อหาในหน่วยการเรียนเดียวกันเพ่ือดูว่ามีความ เหมาะสมต่อเน่อื งกนั หรือไม่และตอบสนองวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมครบถ้วนหรอื ไม่ 2) การตรวจสอบความเช่ือมโยงของเน้ือหาในแต่ละหน่วยการเรียนเพ่ือดูวา่ การเชื่อมโยง ของเน้ือหาแตล่ ะหนว่ ยเป็นไปตามท่ีไดว้ เิ คราะห์ไวห้ รอื ไม่ ขั้นที่ 8 การตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา ขั้นตอนนี้จะเป็นการนา (Course Ware) ท่ีพัฒนาข้ึนมาตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่พัฒนาข้ึนโดยการทา 2 ด้านต่อเน่ืองกัน คือ ด้านท่ี 1 การตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา โดยผู้เช่ียวชาญด้านเนื้อหา ด้านท่ี 2 นาไปทดลองกับ กลุ่มเป้าหมายที่จะเรียนเน้ือหาน้ันๆ การตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาโดยผู้เช่ียวชาญ เป็นการ รับรองคุณภาพของเนื้อหาน้ันว่าถูกต้องก่อนที่จะนาไปพัฒนาเป็นบทเรียน การตรวจสอบน้ันอาจจะให้ ผู้เช่ียวชาญประเมินลงในกรอบการสอน หรือประเมินควบคู่กับแบบฟอร์มที่เป็นปลายเปิดหลังจาก ประเมนิ ความถูกต้องของเน้ือหาจากผู้เชี่ยวชาญ และปรบั แก้แลว้ ต่อไปให้นาไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย ที่จะเรียนเน้ือหาน้ันๆ เพ่ือทดสอบความเข้าใจเนื้อหา และการสื่อความหมายของสานวนท่ีใช้ตลอดจน รูปแบบที่สื่อความหมายต่อผู้เรียนขั้นน้ีจะต้องใช้กลุ่มเป้าหมายจริง โดยคัดเลือกประมาณ 9–12 คน ให้ ทดลองเรียนหากสงสัยหรือไม่เข้าใจตรงไหนให้ผู้เรียนเขียนไว้ จากนั้นจึงนาข้อมูลที่ได้มาปรับแก้ไขให้ สมบูรณ์และตรวจสอบโดยผเู้ ช่ียวชาญอีกครั้ง หลังจากปรบั ปรงุ แก้ไขจนสมบูรณ์แล้วถอื วา่ จบขั้นตอนการ ตรวจสอบความถูกต้องของเนอื้ หา ข้ันท่ี 9 การเขียนและประเมินคุณภาพของแบบทดสอบ ในขน้ั ตอนน้ีจะเปน็ การเขยี นและ ประเมินคุณภาพของแบบทดสอบ เริ่มจากการสร้างแบบทดสอบตามหลักการพัฒนาข้อทดสอบวัดผล สัมฤทธิโดยอ้างอิงตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ได้กาหนดไว้ จากน้ันนาไปทดลองกับกลุ่มที่เคยเรียน เน้ือหานนั้ มาแล้ว โดยใช้ประมาณ 30–100 คน นามาทดสอบหาค่าความยากง่าย คา่ จาแนก ความเชือ่ มนั่ และความเที่ยง โดยขอ้ สอบท่ดี ีควรเหมาะสมกับระดบั ความสามารถ และระดบั ของผูเ้ รียน และสามารถ จาแนกว่าคนตอบถูกเก่งจริง และคนตอบผิดอ่อนจริงออกจากกันให้ได้ หลังจากการนาแบบทดสอบไป ทดสอบแล้วนาข้อท่ียังไม่ได้ตามเกณฑ์ไปปรับปรุงทดลองจนกว่าจะได้ผลที่ได้ทั้งหมดซึ่งได้แก่ กรอบการ สอนท่ีได้ตรวจสอบคุณภาพและแบบทดสอบที่ได้กาหนดเกณฑ์จะรวมกันเป็นบทเรียนที่พร้อมด้วยส่วน ของการวัดและการประเมนิ ผลด้วย ซงึ่ พร้อมที่จะนาไปจดั ทาเป็นโปรแกรมตอ่ ไป

19 ช่วงที่ 4 ช่วงการพัฒนาลงบนคอมพวิ เตอร์ เป็นข้ันตอนที่ทาต่อจากการพัฒนาหน่วยการเรียน โดยนากรอบการสอนไปจัดทาเป็น โปรแกรมคอมพิวเตอรจ์ นเสร็จสมบรู ณ์ ในขน้ั น้ีจะประกอบดว้ ย 3 ขน้ั ตอน คอื ขั้นท่ี 10 การเลือกโปรแกรมที่จะใช้นาเสนอบทเรียน ปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มากมายท่ีสามารถนาเสนอบทเรียนคอมพิวเตอร์ได้โดยแต่ละโปรแกรมก็มีความสามารถในการสร้างที่ แตกต่างกัน ดังน้ันผู้พัฒนาบทเรียนจึงควรเลือกโปรแกรมที่จะนามาสร้าง โดยพิจาณาโปรแกรมที่ เหมาะสม และสามารถสนองตอบต่อความต้องการได้ โปรแกรมท่ีใช้นาเสนอบทเรียน (Course Ware) แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญๆ่ คือ 1) โปรแกรมช่วยสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์แบบสาเร็จรูป (Authoring System) เป็น โปรแกรมท่ีออกแบบมาสาหรับช่วยสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะข้อดี คือ การใช้งานง่ายและ สามารถรองรบั สื่อมัลตมิ ีเดียได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ขอ้ ดอ้ ย คือ ไม่เหมาะสมกบั งานทส่ี ลบั สบั ซอ้ น 2) โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไป เช่น ภาษาซี ภาษาแอสเซมบลี ภาษาปาสคาล Visual Basic เป็นต้น ข้อดี คือ สามารถที่จะสร้างบทเรียนที่สลับสับซ้อนได้ดี ข้อด้อย คือ ใช้งานยาก ผใู้ ชต้ อ้ งมีความชานาญดา้ นการเขยี นโปรแกรมมาก ขั้นที่ 11 การพัฒนาและจัดเตรยี มสอ่ื ที่จะใช้ประกอบบทเรยี น ขน้ั ตอนน้เี ปน็ การจดั เตรียม สื่อต่างๆ ท่ีจาเป็นต้องใช้ในการผลิตบทเรียน ได้แก่ ภาพน่ิง ภาพเคลื่อนไหว เสียง ภาพกราฟิก เป็นต้น โดยสือ่ ตา่ งๆ เหล่าน้ีจะต้องผลิตตามกรอบการสอนท่ไี ดเ้ ขียนไว้ ข้ันที่ 12 นาข้อมลเน้ือหาลงูโปรแกรม หลงั จากที่เตรยี มทกุ อย่างพร้อมแลว้ ข้นั ตอนนี้กจ็ ะ นาข้อมูลเนื้อหาท่ีพัฒนาไว้บนกรอบการสอนจัดลงโปรแกรมพร้อมส่ือต่างๆ ท่ีได้จัดเตรียมไว้ โดยการลง โปรแกรมนั้นผู้ดาเนนิ การจะตอ้ งทาดว้ ยความประณตี ระหว่างทาต้องทาการตรวจสอบส่อื ตา่ งๆ และลาดับ การนาเสนอเนือ้ หาว่าถูกตอ้ งตามกรอบการสอนทีไ่ ด้ออกแบบไว้ รวมทัง้ ลาดับการเชื่อมโยงของเนอื้ หาเม่ือ ลงโปรแกรมเสรจ็ จะได้บทเรยี นคอมพิวเตอร์ตามที่ต้องการ ชว่ งท่ี 5 ชว่ งการประเมนิ ผลบทเรียน ขั้นตอนน้ีเป็นข้ันตอนสุดท้ายของการพัฒนาบทเรียนนับว่าเป็นข้ันตอนท่ีสาคัญและเป็น ขั้นตอนท่ีขาดไม่ได้ในกระบวนการวิจัยเชิงพัฒนาเพราะเป็นการตรวจสอบผลการวิเคราะห์และการ ออกแบบวา่ จะใชไ้ ด้ผลตามทตี่ ้งั เปา้ หมายไวห้ รือไมใ่ นการประเมินผลบทเรยี นประกอบดว้ ย 3 ขั้นตอน คอื ขั้นท่ี 13 การตรวจสอบข้ันตอนมัลติมีเดียของบทเรียน ข้ันตอนนี้เป็นการตรวจสอบ ข้ันตอนมัลติมีเดียของบทเรียนคอมพิวเตอร์ ที่สร้างเสร็จแล้ว โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านมัลติมีเดียเป็นผู้ ตรวจสอบซึ่งอาจจะตรวจสอบสื่อต่างๆ เช่น สีของตัวอักษรและสีของพ้ืนหลังเหมาะสมหรือไม่ คุณภาพ ของเสียงดีหรอื ไม่ ภาพท่นี ามาใชม้ ีความชัดเจนและมคี วามเหมาะสมหรอื ไม่ การออกแบบหน้าจอ รวมท้ัง การเช่ือมโยงของกรอบการสอนในแต่ละกรอบเม่ือตรวจสอบคุณภาพเรียบร้อยแล้วนามาปรับปรุงให้ สมบรู ณก์ ็จะได้บทเรียนทีพ่ รอ้ มจะนาไปทดลองหาประสิทธิภาพต่อไป

20 ขั้นที่ 14 การทดลองกระบวนการการทดสอบหาประสิทธิภาพ ขั้นตอนการทดลอง ขั้นตอนหรือกระบวนการในการทดสอบหาประสิทธิภาพก่อนท่ีจะหาประสิทธิภาพจริง โดยการนา กลุ่มเปา้ หมายจานวน 10 คน มาทดลองในขณะทีท่ ดลองหาประสทิ ธิภาพนนั้ ก็เกบ็ ข้อมูลตา่ งๆ เอาไว้ เช่น เวลาที่ผเู้ รียนใช้ในการศึกษาการส่ือสารระหวา่ งบทเรียนกับผู้เรียน โดยพบปัญหาตา่ งๆ ก็เก็บขอ้ มลู ไว้ ซ่ึง ข้อมูลเหล่าน้ีจะเป็นประโยชน์ในการหาประสิทธิภาพจริงต่อไปแต่หากปัญหาใดที่ต้องแก้ไข เช่น การ สื่อสารระหว่างบทเรยี นกบั ผู้เรยี นฺตอ้ งแกไ้ ขขอ้ มูลใหเ้ รยี บรอ้ ยก่อนทีจ่ ะนาไปทดสอบหาประสิทธภิ าพจริง ขน้ั ที่ 15 การทดสอบหาประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นและประสิทธิผลทางการเรียน ขัน้ ตอน น้ีเป็นการทดสอบหาประสิทธิภาพของบทเรียนและประสิทธิผลทางการเรียน ซ่ึงจะใช้กลุ่มตัวอย่าง เป้าหมายไม่น้อยกว่า 30 คน มาทาการทดสอบประสิทธิภาพของบทเรียน บทเรียนท่ีดีจะมีค่า ประสิทธิภาพในกระบวนการเรียน จะใกล้เคียงกับค่าประสิทธิภาพหลังการเรียน (E1/E2) และหาค่า ประสทิ ธผิ ล (Epost - Epre) ควรจะมีคา่ สูงกว่า 60 หากได้ผลตามเปา้ หมายที่ตง้ั ไวถ้ ือว่าบทเรยี นน้ันใช้ได้ แต่ถ้าไมเ่ ปน็ ไปตามที่ต้องการกจ็ ะตอ้ งนาไปปรับปรุงแก้ไขใหไ้ ด้ผลตามต้องการ ขนั้ ที่ 16 จัดทาคู่มอื การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์การสอน หลังจากการผลิตบทเรียนเสร็จ แลว้ จะตอ้ งทาค่มู ือการใช้บทเรยี นเพ่ือใช้ประกอบการเรียนหรอื หากมปี ัญหาสงสัยกส็ ามารถท่จี ะเปิดดูได้ จากคมู่ อื น้ภี ายในค่มู อื นนั้ จะประกอบด้วยหัวขอ้ ดังน้ี 1) บทนา 2) เปา้ หมายของบทเรยี น 3) อุปกรณ์ทีใ่ ช้ 4) การตดิ ต้งั โปรแกรม 5) การกาหนดหนา้ จอมอนเิ ตอร์ 6) การเริม่ เขา้ บทเรยี น 7) ขอ้ มูลทค่ี วรทราบ 8) ข้อควรระวังในการใช้งาน 9) ขอ้ มลู ผพู้ ฒั นาบทเรยี น 10) วันท่ีเผยแพร่ สามารถสรุปได้ว่า ในการออกแบบและสร้างบทเรียนบนเครือข่ายน้ันต้องมีกระบวนการ การผลิตอย่างเป็นขั้นตอน และมีการออกแบบท่ีดี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้สอนและ สามารถสนองความต้องการในการเรียนรู้ของผูเ้ รียน จากลักษณะของโครงสร้างเว็บไซตน์ ้ันแบง่ ได้เป็น 4 ลักษณะ คือ ลักษณะเรียงลาดับ ลักษณะกรดิ ลักษณะลาดบั ข้ันสูง/ต่า และลกั ษณะเวบ็ แตเ่ ราควรเลือก รูปแบบท่ีสามารถยืดหยุ่น และสะดวกกับการใช้งานต่อผู้เรียนเพราะหากเกิดความซับซ้อน หรือยากต่อ การเรียนรู้ อาจทาให้ผ้เู รยี นเกิดการเบ่อื หนา่ ยในการเรียนได้

21 2.1.6 ประโยชน์ของการเรียนการสอนบนเครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็ ถนอมพร (ตันพิพัฒน์) เลาหจรัสแสง (2545:18-19) ได้กล่าวถึงประโยชนข์ องการเรยี นการสอน บนเครือขา่ ยอินเทอรเ์ น็ตกับการจดั การเรยี นการสอนไวด้ งั น้ี คือ 1) ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะการถ่ายทอดเน้ือหา ผ่านทางมัลติมีเดียสามารถทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนจากสื่อข้อความเพียงอย่างเดียว หรือจากการสอนภายในห้องเรียนของผู้สอน ซึ่งเน้นการบรรยายในลักษณะ Chalk and Talk โดยเม่ือ เปรียบเทียบกับ บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการออกแบบและผลิตมาอย่างมีระบบจะช่วย ทาใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรียนรูไ้ ดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพมากกวา่ ในเวลาทเ่ี รว็ กว่า 2) ช่วยให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติดรรมการเรียนของผู้เรียนได้อย่าง ละเอียดและตลอดเวลาเนื่องจากอเี ลินนิ่งมกี ารจัดหาเครื่องมอื (Course Management Tool) ท่ีสามารถ ทาให้ผู้สอนตดิ ตามการเรียนของผู้เรยี นได้ 3) ช่วยทาให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนของตนเองได้เนอ่ื งจากการนาเอาเทคโนโลยี ไฮเปอรม์ ีเดียมาประยุกต์ใช้ซ่ึงมีลักษณะการเช่ือมโยงข้อมลู ไมว่ า่ จะเป็นในรปู ของข้อความ ภาพนงิ่ เสยี ง กราฟิก วิดีโอ ภาพเคล่ือนไหวที่เกย่ี วเน่ืองกันไว้ด้วยกันในลักษณะท่ีไม่เป็นเชิงเส้น (Non – Linear) ทา ให้ไฮเปอร์มีเดียสามารถนาเสนอเนือ้ หาในรปู แบบของใยแมงมุมได้ ดังนั้น ผู้เรยี นจึงสามารถเข้าถึงข้อมูล ใดกอ่ นหรือหลงั กไ็ ดโ้ ดยไมต่ อ้ งเรียงตามลาดบั และความสะดวกในการเข้าถึงของผู้เรียนอีกด้วย 4) ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตน (Self–peced Learning) เน่ืองจากการ นาเสนอเน้ือหาในรูปแบบของไฮเปอร์มีเดีย เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนรู้ของตนเองใน ด้านลาดับการเรียนได้ (Sequence) ตามพื้นฐานความรู้ ความถนัดและความสนใจของตน นอกจากนี้ ผูเ้ รียนยงั สามารถเลอื กเรยี นเนอ้ื หาเฉพาะบางส่วนทตี่ อ้ งการทบทวนไดโ้ ดยไมต่ ้องเรยี นในสว่ นทเี่ ข้าใจแลว้ ซึ่งถือว่าผู้เรียนได้รับอิสระในการควบคุมการเรียนของตนเองจึงทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามจั งหวะของ ตนเอง 5) ช่วยทาให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผ้เรียนกับครผู้สอนและกับเพ่ือนๆ ไดเ้ นื่องจากอีเลิน น่ิง มีเคร่ืองมือต่างๆ มากมาย เช่น Chat Room, web board, e-mail เป็นต้น ท่ีเอ้ือต่อการโต้ตอบ (Interaction) ที่หลากหลาย นอกจากน้ัน บทเรยี นบนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต การออกแบบท่ีดีจะตอ้ งเอื้อ ให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเน้ือหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การออกแบบเนื้อหาในลักษณะ เกมส์หรอื การจาลอง เปน็ ตน้ 6) ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ รวมทั้งเน้ือหาที่มีความทันสมัยและ ตอบสนองต่อเร่ืองราวต่างๆ ในปัจจุบันได้อย่างทันทีเพราะการที่เน้ือหาการเรียนอยู่ในรูปของข้อความ อิเล็กทรอนิกส์ (E-text) ซ่ึงได้แก่ข้อความ ซึ่งได้รับการจัดเก็บประมวลผลนาเสนอและเผยแพร่ทาง คอมพิวเตอร์ ทาใหม้ ีขอ้ ได้เปรียบกวา่ สอ่ื อน่ื ๆ หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของความสามารถ ในการปรับปรุงเน้ือหาสารสนเทศให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา การเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการด้วยความสะดวก รวดเรว็ และความคงทนของข้อมูล

22 7) ทาให้เกิดรูปแบบการเรียนท่ีสามารถจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนในวงกว้างขึ้น เพราะผเู้ รียนใช้การเรียนลักษณะอีเลินน่ิง จะไมม่ ีข้อจากดั ในด้านการเดินทางมาศึกษาในเวลาใดเวลาหนึ่ง และสถานท่ีใดสถานที่หนึ่ง ดังน้ันอีเลินนิ่งจึงสามารถนาไปใช้เพ่ือสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) และยิ่งไปกว่าน้ันยังสามารถนาอีเลินนิ่งไปใช้เพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนท่ีขาดโอกาสทาง การศึกษาในระดับอดุ มศึกษาไดเ้ ป็นอย่างดี 8) ทาให้สามารถลดต้นทุนในการจัดการศึกษาน้ันได้ในกรณีท่ีมีการจัดการเรียนการสอน สาหรับผู้เรียนที่มีจานวนมากและเปิดโอกาสให้สถาบันอื่นๆ หรือบุคคลท่ัวไปเข้ามาใช้อีเลินนิ่งได้ ซึ่งจะ พบว่าเมอ่ื ตน้ ทุนการอเี ลินน่ิงเทา่ เดิมแต่ปรมิ าณผู้เรียนมปี ริมาณเพ่ิมขึ้นหรือขยายวงกว้าง การใชอ้ อกไปก็ เทา่ กบั เปน็ การลดต้นทุนทางการศึกษานน้ั เอง สามารถสรปุ ไดว้ ่า ประโยชนข์ องการเรียนการสอนบนเครอื ขา่ ยสามารถช่วยใหก้ ารจัดการ เรยี นการสอน ตรวจสอบความกา้ วหน้าพฤตกิ รรมการเรียนและสามารถควบคมุ การเรียนของผเู้ รียน มกี าร สรา้ งปฏิสัมพันธ์ระหว่างผเู้ รียนกับคนอ่ืนๆ โดยอาศัยเครอ่ื งมือส่อื สารบนเครอื ขา่ ยจนทาให้เกดิ การเรียนรู้ ในรูปแบบท่ีหลากหลายตรงความต้องการต่อผู้เรียนและปลูกฝังให้ผู้เรียนรักในการเรียนรู้ จนสามารถ เรยี นรู้ไดต้ ลอดชวี ิต 2.2 หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี กลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยี เป็นสาระการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความ เข้าใจเก่ียวกับงานอาชีพและเทคโนโลยี มีทักษะการทางาน ทักษะการจัดการ สามารถนาเทคโนโลยี สารสนเทศและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการทางานอย่างถูกต้องเหมาะสม คุ้มค่าและมีคุณธรรม จริยธรรมและคา่ นิยมพ้ืนฐาน ได้แก่ ความขยัน ซื่อสตั ย์ ประหยัด และอดทน อันจะนาไปสู่การให้ผู้เรียน สามารถช่วยเหลือตนเองและพึ่งตนเองได้ตามพระราชดาริเศรษฐกิจพอเพียง สามารถดารงชีวิตอยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุข ร่วมมือและแข่งขันในระดับสากลในบริบทของสังคมไทย เป็นสาระที่เน้น กระบวนการทางานและการจัดการอย่างเป็นระบบ พฒั นาความคิดสร้างสรรค์ มที ักษะการออกแบบงาน และการทางานอย่างมีกลยุทธ์ โดยใช้กระบวนการเทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนนา เทคโนโลยมี าใช้และประยุกต์ใช้ในการทางาน รวมทั้งการสรา้ งและพัฒนาผลิตภัณฑห์ รือวิธีการใหม่ เน้น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและพลังงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ ดังกลา่ ว กลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยจี ึงกาหนดวิสัยทัศน์ การเรียนรู้ทย่ี ึดงานและการแก้ปญั หาเป็น สาคัญ บนพ้ืนฐานของการใช้หลักการและทฤษฎีเปน็ หลัก ในการทางานและแก้ปัญหา งานท่ีนามาฝึกฝน เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของกลุ่มนั้น เป็นงานเพ่ือการดารงชีวิตในครอบครัวและสังคมและงานเพื่อการ ประกอบอาชีพ ซ่ึงงานทง้ั สองประเภทนี้ เมื่อผู้เรียนไดร้ ับการฝึกฝนตามกระบวนการเรียนรู้ ของกลุ่มการ งานอาชพี และเทคโนโลยแี ลว้ ผู้เรยี นจะได้รับการปลูกฝังและพฒั นาให้มีคุณภาพและคุณธรรม การเรยี นรู้ จากการทางานและการแกป้ ัญหาของกลุ่มการงานอาชพี และเทคโนโลยี จงึ เป็นการเรียนร้ทู ีเ่ กิดจากการบรู

23 ณาการ ความรู้ ทักษะ และความดีทห่ี ลอมรวมกนั จนกอ่ เกดิ เป็นคุณลักษณะของผ้เู รียนตามมาตรฐานการ เรียนรทู้ ่ีกาหนด 2.2.1 คณุ ภาพของผู้เรยี น กลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยี มุ่งพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมเพ่ือให้เป็นคนดีมีความรู้ ความสามารถ โดยมคี ุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ ดังนี้ 1) มีความรู้ความเข้าในเกย่ี วกับการดารงชีวิตและครอบครัว การอาชีพเทคโนโลยี เทคโนโลยี สารสนเทศและเทคโนโลยีเพ่อื การทางานและอาชพี 2) มที กั ษะการทางาน การประกอบอาชีพ การจดั การ การแสดงหาความรู้ เลือกใชเ้ ทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศในการทางาน สามารถทางานอย่างมีกลยุทธ์ สร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือ วธิ ีการใหม่ ๆ 3) มีความรับผิดชอบ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน รักการทางาน ประหยัด อดออม ตรงต่อเวลา เอื้อเฟื้อเสียสละ และมีวินัยในการทางาน เห็นคุณค่าความสาคัญของงานและอาชีพสุจริต ตระหนักถึง ความสาคัญของสารสนเทศ การอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ มและพลังงาน เม่อื จบแต่ละชว่ งชั้น ผูเ้ รยี นตอ้ งมีความสามารถดงั ตอ่ ไปน้ี ชว่ งชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 1-3 สามารถช่วยเหลือตนเองเกี่ยวกับงานในกิจวัตรประจาวัน ช่วยเหลืองานในครอบครัว ใช้ เทคโนโลยแี ละเทคโนโลยีสารสนเทศข้ันพ้ืนฐานได้ สามารถคิดและสร้างส่ิงของเคร่ืองใช้ในชีวิตประจาวัน อย่างง่ายๆ ทางานตามที่ได้รับมอบหมายด้วยความต้ังใจ รับผิดชอบ ขยัน ซื่อสัตย์ ใช้พลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมได้อย่างประหยดั ช่วงชัน้ ที่ 2 ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 สามารถชว่ ยเหลือตนเอง ครอบครัวและชมุ ชน ทางานอย่างมีข้ันตอน มีทักษะในการจัดการ มี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการทางาน เลือกใช้เทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศได้เหมาะกับงาน สามารถคิด ออกแบบ สร้างดดั แปลงส่ิงของเคร่ืองใช้ในชีวิตประจาวันง่าย ๆ ทางานด้วยความรับผิดชอบ ขยนั ซอ่ื สตั ย์ อดทน ใชพ้ ลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมอยา่ งคุ้มคา่ และถูกวธิ ี ช่วงชั้นที่ 3 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 มีทักษะการทางานอาชีพสุจริต มีทักษะการจัดการ ทางานอย่างเป็นระบบและมีกลยุทธ์ ทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ เห็นคุณค่าของงานอาชีพสุจริต เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ เลือกใช้ เทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศได้เหมาะสมกับงาน ถูกต้องและมีคุณธรรม สามารถคิด ออกแบบ

24 สร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือวิธีการใหม่ ทางานด้วยความรับผิดชอบ ขยัน ซื่อสัตย์ มุ่งม่ัน อดทน ประหยดั อดออม ใชพ้ ลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มอยา่ งคมุ้ คา่ และถกู วธิ ี 2.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Learning Achievement) เป็นผลท่ีเกิดจากปัจจัยต่างๆ ในการจัด การศึกษานักศึกษาได้ให้ความสาคัญกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและเน่ืองจากผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็น ดัชนีประการหนึ่งท่ีสามารถบอกถึงคุณภาพการศึกษาดังท่ี อนาตาซี (Anastasi. 1976:107 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญคง, 2546:7) กล่าวไว้พอสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบด้านสติปัญญาและองค์ประกอบด้านที่ไม่ใช้ สตปิ ัญญาไดแ้ กอ่ งค์ประกอบด้านเศรษฐกิจสังคมแรงจงู ใจและองคป์ ระกอบที่ไมใ่ ชส้ ตปิ ญั ญาด้านอนื่ ไอแซงค์ อาโนลดแ์ ละไมลี (Eysenck, Arnold and Meili.1972 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญคง, 2546:7) ให้ความหมายของคาว่าผลสัมฤทธิ์หมายถึงขนาดของความสาเร็จที่ได้จากการทางานที่ต้อง อาศัยความพยายามอย่างมากซ่ึงเป็นผลมาจากการกระทาที่ต้องอาศัยท้ังความสามารถท้ังทางร่างกาย และทางสติปัญญา ดังนั้นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจึงเป็นขนาดของความสาเร็จที่ได้จากการเรียนโดย อาศัยความสามารถเฉพาะตัวบุคคลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอาจได้จากกระบวนการที่ไม่ต้องอาศัย การทดสอบเชนการสังเกตหรือการตรวจการบ้านหรืออาจได้ในรูปของเกรดจากโรงเรียนซึ่งต้องอาศัย กระบวนการท่ีซับซ้อนและระยะเวลานานพอสมควรหรืออาจได้จากการวัดแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ทั่วไปซึง่ สอดคลอ้ งกับ ไพศาล หวังพานิช (2536:89 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญคง, 2546:15) ท่ีใหค้ วามหมาย ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวา่ หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอนั เกดิ จากการเรยี นการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนที่เกิดขึ้นจากการฝึกอบรมหรือการสอบจึงเป็นการ ตรวจสอบระดับความสามารถของบุคคลว่าเรียนแล้วมีความรู้เทา่ ใดสามารถวัดได้โดยการใช้แบบทดสอบต่างๆ เช่นใช้ขอ้ สอบวดั ผลสัมฤทธิข์ ้อสอบวัดภาคปฏบิ ัติสามารถวดั ได้ 2 รปู แบบ ดงั นี้ 1) การวัดด้านปฏิบัติเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติโดยทักษะของ ผูเ้ รียนโดยมุ่งเน้นใหผ้ เู้ รียนแสดงความสามารถดังกล่าวในรปู ของการกระทาจริงให้ออกเปน็ ผลงานการวัด ต้องใชข้ อ้ สอบภาคปฏิบตั ิ 2) การวัดด้านเน้ือหาเป็นการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับเน้ือหาซึ่งเป็นประสบการณ์ เรยี นรวมถงึ พฤตกิ รรมความสามารถในด้านตา่ งๆสามารถวดั ไดโ้ ดยใช้แบบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหมายถึงผลการวัด การเปลี่ยนแปลงและ ประสบการณ์การเรียนรู้ในเนื้อหาสาระท่ีเรียนมาแล้วว่าเกิดการเรียนรู้เท่าใดมีความสามารถชนิดใดโดย สามารถวัดได้จากแบบทดสอบวัดสัมฤทธิ์ในลักษณะต่างๆและการวัดผลตามสภาพจริงเพื่อบอก ถึง คณุ ภาพการศกึ ษาความหมายของการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น

25 2.4 งานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ ง 2.4.1 งานวจิ ยั ภายในประเทศ สุวลักษณ์ ผลประสาท (2553:บทคัดย่อ) ได้ศึกษาค้นคว้าเร่ือง การพัฒนาบทเรียน บนเครือข่าย เร่ือง เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า บทเรียนบน เครือข่ายมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 เท่ากับ 84.50/82.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ 80/80 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทาง สถติ ิทรี่ ะดับ .05 ผู้เรียนมีความพงึ พอใจต่อการเรยี นร้ดู ว้ ยบทเรียนบนเครือขา่ ย อยใู่ นระดับมากท่ีสุด ประภาส สุภาษี (2556:37) ได้ศึกษาวิจยั เร่ือง การพัฒนาบทเรียนบนเครือขา่ ย เพื่อส่งเสริม การเรยี นรู้ในวิชา คอมพิวเตอร์และขั้นตอนวธิ ี เรื่อง โปรแกรมภาษาซี ของนักเรียนระดับช้นั มธั ยมศกึ ษา ปีที่ 4 โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.61/85.00 สูง กว่าเกณฑ์เกณฑ์ประสทิ ธิภาพ 80/80 ท่ีกาหนดไว้ ทั้งน้ี เพราะบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในวิชา คอมพวิ เตอร์และขั้นตอนวิธี เร่ือง โปรแกรมภาษาซี ของนักเรยี นระดับช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 ท่ีใช้การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดทาขึ้นโดย การเปิดโอกาสให้ควบคุมบทเรียนได้เหมาะสม ความยากง่ายของ บทเรียนเหมาะสมกับระดบั ของผู้เรยี น การออกแบบหน้าจอของบทเรยี นมีความสวยงาม จงึ ทาใหน้ ักเรยี น ชอบบทเรียนบนเครอื ขา่ ย ศิรพิ ร วีระชยั รตั นา (2550:บทคัดย่อ) ได้ศึกษาค้นคว้า เร่ือง การเปรยี บเทียบการคดิ วเิ คราะห์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อินเตอร์เน็ตระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปากับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติของนักเรียนช่วงช้ันท่ี 4 ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า ประสิทธิภาพของ แผนการจัดการเรยี นรู้แบบซิปปา มปี ระสิทธิภาพเท่ากบั 82.68/83.50 ซ่งึ สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ทกี่ าหนด ไว้ ส่วนแผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.81/80.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ กาหนดไว้ มีค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา มีค่าเท่ากับ 0.7611 และค่าดัชนี ประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ มีค่าเท่ากับ 0.7359 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .01 โดยนกั เรยี นท่เี รยี นโดย ใช้วิธีซิปปามีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการคิดวิเคราะห์สูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบ ปกติ เยาวลักษณ์ พนมพงษ์ (2553:บทคัดย่อ) ไดศ้ ึกษาค้นคว้าเร่ือง ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ที่เน้นทักษะกระบวนการ เร่ือง การเขียนเว็บเพจ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA Model) ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการ เร่ือง การเขียนเว็บเพจ โดยใช้รูปแบบการสอน แบบซิปปามปี ระสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 4.36/84.96 มีดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการที่ เน้นทักษะกระบวนการ มีค่าเท่ากับ 0.7073 มีคะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนหลงั เรยี นสูงกว่าก่อน เรียนอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 และมีความพงึ พอใจตอ่ กิจกรรมการเรียนรู้ ในระดับมากท่ีสดุ

26 2.4.2 งานวจิ ยั ต่างประเทศ ทโู ร (Tauro, 1981 อา้ งถึงใน ราพึง โนพวน, 2552:25) ได้ศึกษาผลการเรียนและทัศนคติของ นักศึกษามหาวิทยาลัยคอนเนคติกัต ที่เรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายในวิชาเคมี พบว่า นักศึกษาที่เรียน จากบทเรียนบนเครือข่าย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าและมีทัศนคตทิ ี่ดีในการเรียนวิชาเคมีสูงกว่าที่ เรยี นตามปกติ นอกจากน้ี นกั ศึกษามีความเหน็ ว่า การใช้บทเรยี นบนเครือข่ายในวชิ าเคมี เป็นการสอนท่ีมี ประสิทธิภาพทาให้มีความกระตือรือร้นในการเรียน อีกทั้งเป็นการจัดประสบการณ์ทางการศึกษาที่มี ประโยชนแ์ ละน่าสนใจ จากผลการศกึ ษาตา่ งๆ จะเหน็ วา่ บทเรยี นบนเครอื ขา่ ยทาใหผ้ เู้ รียนมที ศั นคติทด่ี ีต่อวิชาทเ่ี รียน และทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดีกว่าวิธีการสอนปกติและผลการศึกษาท่ีพบมากอีกประการหน่ึง คือ บทเรียนบนเครือข่าย ช่วยให้ผู้เรียนเกดิ ความสนใจในบทเรยี นมากขึน้ การเรยี นใช้เวลานอ้ ยกว่าการเรยี น ปกติ จึงทาให้เกดิ การนาเครือ่ งคอมพวิ เตอร์มาใชใ้ นการเรียนการสอนมากข้นึ

31 บทท่ี 3 วิธีดำเนินกำรวจิ ัย การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ เทคนิคการสตรีมม่ิง เร่อื ง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี โดยใช้เทคนิคการสตรีมม่ิง (Streaming) ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 ท่ีมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เพ่ือศึกษาผลคะแนนการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนจากการเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เรื่อง การใช้งานโปรแกรมนาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) ดงั ตอ่ ไปน้ี 3.1 ประชากร 3.2 เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวิจัย 3.3 ขัน้ ตอนการสรา้ งเคร่ืองมอื 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 การวเิ คราะหข์ ้อมูล 3.6 สถติ ิท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 3.1 ประชำกร ประชากรท่ีใช้ในการการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรยี นราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวดั ลพบรุ ี จานวน 57 คน 3.2 เครอ่ื งมอื ท่ใี ชใ้ นกำรวจิ ยั เครอื่ งมอื ท่ใี ช้ในการศกึ ษาครั้งนี้ ประกอบด้วย 3.2.1 บทเรียนบนเครือข่ายอินทราเนต็ เรอ่ื ง การพัฒนาการเรยี นการสอน วชิ า คอมพิวเตอร์ เรอ่ื ง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรียนโรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี โดยใช้เทคนิคการ สตรีมมงิ่ (Streaming) ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 3.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา คอมพิวเตอร์ ของนักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งเป็น แบบทดสอบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ขอ้ โดยใชเ้ ป็นแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น 3.3 ข้ันตอนกำรสรำ้ งเครือ่ งมอื ขัน้ ตอนการสร้างเคร่อื งมอื มดี งั ต่อไปน้ี 3.3.1 การสร้างบทเรียนบนเครอื ขา่ ยอนิ ทราเนต็ การสร้างบทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เร่ือง การใช้งานโปรแกรมนาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) เพื่อพัฒนาการเรียน ในรายวิชา คอมพิวเตอร์ ของนักเรียนระดับช้ัน

32 มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ผู้วิจัยได้ ดาเนนิ การสรา้ งตามลาดบั ขัน้ ตอน ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี้ 1. ศกึ ษา วเิ คราะหห์ ลักสูตร วิธกี าร หลกั การ ทฤษฎใี นการพฒั นา บทเรยี นบนเครอื ขา่ ยอนิ ทราเนต็ และเอกสารงานวิจัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 2. วเิ คราะห์สภาพปัญหาท่ีเกิดขน้ึ จากการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน 3. กาหนดกรอบแนวคดิ หลกั การและจดุ มงุ่ หมาย ในการแกไ้ ขปญั หาและพฒั นาคณุ ภาพผูเ้ รียนโดยใช้บทเรยี นบนเครือขา่ ยอินทราเนต็ 4. พัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน ตามองคป์ ระกอบทกี่ าหนด 5. ตรวจสอบความถกู ต้องสมบรู ณ์ 6. ทดลองใชเ้ พอ่ื ตรวจสอบความเหมาะสมและหาประสิทธิภาพ 7. จดั ทาบทเรยี นบนเครือขา่ ยอินทราเนต็ เรอื่ ง การใชง้ านโปรแกรมนาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) เพ่ือพัฒนาการเรียน วชิ า คอมพวิ เตอร์ ของนกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 ภำพประกอบท่ี 5 ลำดบั ขั้นตอนกำรพัฒนำบทเรยี นบนเครือขำ่ ยอินทรำเนต็ 3.3.2 การสร้างแบบทดสอบ ดาเนินการสร้างแบบทดสอบเพ่ือทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เร่ือง การใช้งาน โปรแกรมนาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) จานวน 1 ชุด ซ่ึงเป็นแบบทดสอบชนิดปรนัย เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ ท่ผี ู้วิจัยดาเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลทางการเรยี นก่อนเรียนและ หลังเรยี น

33 3.4 กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมลู ในคร้งั น้ี ผวู้ จิ ยั เปน็ ผ้เู กบ็ รวบรวมข้อมลู ด้วยตนเอง ดังน้ี 3.4.1 ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เร่ือง การใช้ งานโปรแกรมนาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) เพอื่ พัฒนาการเรียนวิชา คอมพิวเตอร์ ของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาข้ึน ต้ังแต่เดือนมิถุนายน 2564 โดยใช้เวลาเรียนของวิชา คอมพิวเตอร์ เรือ่ ง การใช้งานโปรแกรมนาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) 3.4.2 ผู้วิจัยชี้แจงรายละเอียด แนะนาบทเรียน และสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของ ผู้เรียน และช่วงเวลาในการเรียนรู้จากบทเรียนบนอินทราเน็ตกับนักเรียนกลุ่มที่ใช้ในการศึกษา โดย ประเมินผลการเรียนรู้ก่อนเรียน (Pre-test) ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การใช้งาน โปรแกรมนาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) จานวน 20 ข้อ 3.4.3 ดาเนินการจัดการเรียนรู้และประเมินผลการเรียนรู้ขณะท่ีใช้บทเรยี นบนอินทราเน็ตจนครบ ทกุ บทเรยี นโดยเกบ็ คะแนน 10 บทๆ ละ 5 คะแนน รวมทง้ั ส้นิ 50 คะแนน 3.4.4 เมื่อผู้เรียนเรียนรู้จากบทเรียนบนอินทราเน็ตครบทุกบทเรียนเรียนแล้ว ให้นักเรียนสรุป เนื้อหาเร่อื ง การใช้งานโปรแกรมนาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) พรอ้ มท้ังประเมินผลการ เรยี นรู้หลงั เรียน (Post-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เรื่อง การใช้งานโปรแกรมนาเสนอ ผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) จานวน 20 ข้อ โดยจัดเรียงข้อสอบใหม่เพ่ือป้องกันการจดจา แบบทดสอบของนักเรยี น เพ่ือนาไปวเิ คราะห์ขอ้ มูลต่อไป 3.5 กำรวิเครำะห์ข้อมูล การวิเคราะหข์ อ้ มลู ของการวจิ ัยคร้งั น้ี ผู้วจิ ยั ได้ดาเนินการวเิ คราะห์ขอ้ มูลดงั ต่อไปน้ี 3.5.1 การวิเคราะห์เพ่ือหาประสิทธิภาพของบทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต โดยการนาข้อมูล จากการประเมินผลระหว่างเรียนและหลังเรียนวิเคราะห์หารประสิทธิภาพของบทเรียนบนเครือข่าย อินทราเนต็ ที่สร้างขนึ้ โดยเกณฑป์ ระสิทธภิ าพของบทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ตท่ีกาหนดไว้ คอื 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละ 80 ของคะแนนของนักเรียนทั้งหมดท่ีสามารถทาได้จากการ ประเมินผลระหว่างเรียนด้วยการใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เร่ือง การพัฒนาการเรยี นการสอน วิชา คอมพิวเตอร์ เรื่อง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรียนโรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี โดยใช้เทคนคิ การสตรมี ม่งิ (Streaming) ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 80 ตวั หลงั หมายถงึ รอ้ ยละ 80 ของคะแนนของนกั เรียนทง้ั หมดทสี่ ามารถทาไดจ้ ากแบบทดสอบ ภายหลังการใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เร่ือง การพัฒนาการเรียนการสอน วิชา คอมพิวเตอร์ เรื่อง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรียนโรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี โดยใช้เทคนิคการ สตรีมมงิ่ (Streaming) ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

34 3.5.2 การวิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนจากคะแนนท่ีได้จากแบบทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียน โดยการเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินทราเน็ต เร่ือง การพัฒนาการเรียนการสอน วิชา คอมพิวเตอร์ เร่ือง Microsoft PowerPoint สาหรับนักเรียนโรงเรียนราชประนุเคราะห์ ๓๓ จังหวัด ลพบรุ ี โดยใช้เทคนิคการสตรมี ม่ิง (Streaming) โดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 3.6 สถิตทิ ใ่ี ช้ในกำรวิเครำะห์ขอ้ มูล 3.6.1 สถิติเพอื่ ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมอื 1) สถิติทใี่ ชห้ าประสทิ ธิภาพของบทเรยี นบนเครอื ข่ายอินทราเนต็ เร่ือง การใช้งานโปรแกรม นาเสนอผลงาน (Microsoft Office PowerPoint) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนราชประนุ เคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ใช้สูตรหาประสิทธิภาพ E1/E2 (ชัยยงค์ พรมวงศ.์ 2525: 495) 80 ตวั แรก หมายถงึ คา่ เฉลยี่ เปน็ ร้อยละของจานวนคาตอบที่นกั เรียนตอบถกู ต้อง E1 X1 100 N A เม่ือ E1 แทน ประสิทธภิ าพกระบวนการ ∑X1 แทน ผลรวมของคะแนนทไี่ ดจ้ ากการวดั ระหว่างเรยี น N แทน จานวนนกั เรียนทง้ั หมดท่เี ป็นประชากร A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบ 80 ตัวหลงั หมายถงึ ค่าเฉล่ียคดิ เปน็ รอ้ ยละของแบบทดสอบทีน่ กั เรยี นทาไดห้ ลงั การเรยี น E2  X 2 100 NB เม่อื แทน ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์ได้จากคะแนนเฉล่ียของการทาแบบทดสอบ E2 หลงั เรียนของผูเ้ รยี นทัง้ หมด ∑X2 แทน คะแนนผลลัพธห์ ลงั เรียน N แทน จานวนนักเรียน B แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลังเรียน 2) ศึกษาผลจากการเรียนของนักเรียนโดยเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนการ ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) กับคะแนนการทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยหาคะแนนเฉลี่ย ร้อยละและ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3.6.2 สถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล 1) ค่าเฉลี่ย (µ) ใช้สตู รคานวณดังน้ี (บุญชมุ ศรีสะอาด.2547:101)

35 µ = x N เมอ่ื µ แทน ค่าเฉล่ีย แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมดในกลมุ่ N แทน จานวนคนในกลมุ่ 2) ค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (������) ใชส้ ูตร ดงั น้ี (บญุ ชุม ศรสี ะอาด.2547:103 -104) ������= N  X 2  ( X )2 N (N  1) เมอื่ ������ แทนสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน X แทนคะแนนแตล่ ะตัว N แทนจานวนคะแนนในกลุ่ม ∑ แทนผลรวม 3) การหาค่ารอ้ ยละ (Percentage) โดยใชส้ ูตร (กลั ยา วานิชบญั ชา .2548:36) P = f  100 N เมื่อ P แทน รอ้ ยละ f N แทน ความถี่ท่ีตอ้ งการแปลงใหเ้ ป็นร้อยละ แทน จานวนความถีท่ ้ังหมด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook