Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore NNFE-256006-การนำเสนอแนวปฎิบัติที่ดี

NNFE-256006-การนำเสนอแนวปฎิบัติที่ดี

Description: NNFE-256006-การนำเสนอแนวปฎิบัติที่ดี

Search

Read the Text Version

ตวั อย่างท่ี 4 : ด้านการส่งเสริมการรู้หนังสอื 1. ช่อื ผลงาน : อา่ นแจกลูก ถกู ใจหนู 2. หน่วยงาน/ สถานศึกษา/ กศน.ตาบล : ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง”บ้าน ห้วยตองหลวงหมู่ 6 ตาบลยางเปียง อาเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ กศน.อาเภออมก๋อย สานักงาน กศน.จงั หวัดเชยี งใหม่ 3. คณะทางานพฒั นาแนวปฏบิ ัตทิ ีด่ ี : นางสาวผกา ธะนะคา ครู ศศช. 4. ความสอดคล้อง สอดคล้องกับแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ิมทุรกันดารตามพระราชดาริ (แผน กพด.) ฉบบั ที่ 4 พ.ศ. 2550-2559 วัตถุประสงค์ที่ 2 ส่งเสริมและสนับสนุนการเพ่ิมโอกาสทางการศึกษาให้แก่และ เยาวชน 5. ท่ีมาและความสาคญั ของผลงาน พระราชดารัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานแก่คณะ ผู้ปฏิบัติงานโครงการตามพระราชดาริ ณ ศาลาดุสิดาลัยสวนจิตรลดา กรุงเทพมหานคร วันพฤหัสบดี ที่ 19เมษายน พทุ ธศกั ราช 2555 “...เรื่องการศึกษาปรากฏว่าเดิมต้ังแต่ 30 กว่าปีนั้น ได้ตั้งเป้าหมายที่ดี คือ ให้ประชาชนทุก คนมีความรู้อ่านออกเขียนได้ ต่อมาก็เรียนจบภาคบังคับ ต่อมาก็หวังว่าทุกคนควรจะมีโอกาสได้เรียน ในระดับสูง ขึ้นไปตามสติปัญญาของตัว หลายคนก็จบปริญญาตรี ปริญญาโท ต่อไปเห็นหลายคนมี แผนจะศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกแล้วออกมาประกอบอาชีพต่าง ๆ ในเวลานี้นอกจากได้เรียนทุก คนแล้ว เราต้องเน้นเรื่องคุณภาพการศึกษาอย่างที่เห็นว่าพยายามเน้นทั้งด้านภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ วิชาทางด้านคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา หรืออ่ืน ๆ นอกจากนักเรียน แล้ว ผู้ที่ให้การศึกษาคือครูนั้นก็ต้องปรับปรุงตัวเองให้ดีข้ึนเรื่อย ๆ อย่าถือว่าเราเป็นครูแล้วมีความรู้ ความสามารถดีกว่าคนอื่น…” การสอนวชิ าภาษาไทยของศูนย์การเรยี นชมุ ชนชาวไทยภูเขา“แม่ฟา้ หลวง” บ้านห้วยตองหลวง ตาบลยางเปียง อาเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ท่ีผ่านมาได้จัดการเรยี นการสอนวชิ าภาษาไทยโดยใช้ วิธีการแบบท่องจา ทาให้นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถประสมสระ วรรณยุกต์ หรือตัวสะกดให้เป็นคา ใหมไ่ ด้ จากพระราชดารัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสภาพปัญหา ของการจัดการเรียนการสอนที่กล่าวมา ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วย ตองหลวง ได้ตระหนักและมุ่งม่ันท่ีจะพัฒนาให้นักเรียนเข้าใจความหมายของคา สามารถอ่าน เขียน 44 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ภาษาไทยได้ถูกต้อง จึงเข้าร่วมโครงการการสอนภาษาไทยแบบแจกลูก-สะกดคา โดยใช้เนื้อหาใน หนังสือเรียนภาษาไทย ตามหลักสูตรประถมศึกษาพุทธศักราช 2521 ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ และนาเนื้อหามาจัดทาเป็นหนังสือไวนิลเล่มใหญ่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบ ประมาณจากโครงการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในโรงเรียนชนบท (SiRS) ของสานักงาน พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) ต้ังแต่เดือนตุลาคม 2555 ถึงเดือนกรกฎาคม 2556 โดยครูได้เข้ารับการอบรม เทคนิควิธีการสอนเดือนละ 1 คร้ัง รวมทั้งสิ้น 10 ครั้ง หลังการ อบรมแต่ละคร้ังครูจะนาความรู้และสื่อมาจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนในช่วงชั้นท่ี 1 (ป.1- ป.3) 6. วัตถุประสงค์ 6.1 เพอ่ื ให้นักเรยี นอ่านภาษาไทยแบบแจกลกู -สะกดคาได้ 6.2 เพ่อื ใหน้ กั เรยี นผสมคาใหมไ่ ด้ 7. วธิ ดี าเนนิ การ 7.1 กาหนดเป้าหมาย 7.1.1 เชิงปริมาณ นักเรียนช่วงชั้นที่ 1 จานวน 31 คน ประกอบด้วย ช้ันประถมศึกษา ปที ี่ 1 จานวน 11 คน ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 2 จานวน 10 คน ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 จานวน 10 คน 7.1.2 เชงิ คุณภาพ นักเรยี นสามารถอา่ นแบบแจกลูก-สะกดคา และผสมคาได้ถูกตอ้ ง 7.2 วธิ ีการจัดกจิ กรรม 7.2.1 ครูศึกษาสภาพ ปัญหาและวิเคราะห์ข้อมูลนักเรียน ช่วงชั้นท่ี 1 ประกอบด้วยช้ัน ประถมศึกษาปที ี่ 1 ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 2 และช้ันประถมศกึ าปที ี่ 3 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2555 7.2.2 วิเคราะห์งานตามบทบาทหน้าท่ี และวิเคราะห์ความสอดคล้องที่เก่ียวข้อง เช่น ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดาเนินงาน กศน. วิสัยทัศน์ พันธิกิจ แผน กพด. ระบบประกันคุณภาพ สถานศึกษา ฯลฯ ซึ่งจากการวิเคราะห์จะเห็นได้ว่า การส่งเสริมการรู้หนังสือสอดคล้องกับแผน กพด. ฉบับที่ พ.ศ. 2550-2559 เรื่อง ส่งเสริมและสนับสนุนการเพ่ิมโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กและ เยาวชน และเป็นบทบาทหน้าที่โดยตรงของครศู ศช.ในการส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย ให้อ่าน ออก เขียนได้ 7.2.3 ค้นหา Best Practice ในการจัดการส่งเสริมการรู้หนังสือ โดยนาประเด็น พิจารณาเพื่อค้นหา Best Practice มาพิจารณา พบว่าสอดคล้องกับแผน กพด. ฉบับท่ี พ.ศ. 2550- 2559 ด้านการสนับสนุน ส่งเสริมด้านการศึกษาให้เด็กและเยาวชน และเป็นบทบาทหน้าที่โดยตรง ของครู ศศช.ในการส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายอ่านออก เขียนได้ จึงได้วางแผนในการส่งเสริมการรู้ หนงั สือให้แก่กลุ่มเป้าหมายในพนื้ ที่ท่ีรบั ผดิ ชอบ ดงั น้ี 45 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

1) เข้ารับการอบรมการสอนภาษาไทยแบบแจกลูก-สะกดคา กับโครงการการ สอนภาษาไทยแบบแจกลูก-สะกดคา ของสานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) 2) วางแผนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการรู้หนังสือแก่นักเรียนช่วงชั้นที่ 1 จานวน 31 คน ประกอบด้วย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 จานวน 11 คน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 จานวน 10 คน ช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 3 จานวน 10 คน โดยเทคนิค กระบวนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลที่ ได้รับจากการอบรมฯ 3) วางแผนการการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 7.2.4 ดาเนนิ การจดั กิจกรรมสง่ เสริมการรูห้ นงั สอื โดยดาเนนิ การดังน้ี 1) ครูทดสอบความรนู้ ักเรียนก่อนการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนในแตล่ ะชั้นปี โดยใช้แบบทดสอบท่ีครูจัดทาข้ึน เพื่อวัดความรู้พ้ืนฐานของนักเรียน และนาไปเป็นข้อมูลในการ จดั การเรียนการสอนตามสภาพของผเู้ รยี น 2) ครูจัดการเรยี นการสอนโดยใชห้ นงั สือ ไวนิลเลม่ ใหญ่และแบบฝึก ซ่ึงมี จานวน 20 บทเรียน ซึ่งครูจะสอนโดยแยกนักเรียนแต่ละช้ันปี และสอนโดยใช้ 4 ข้ันตอน คือ ข้ันนาเข้าสู่ บทเรียน ขั้นสอน ข้ันสรปุ และขัน้ ประเมิน โดยดาเนนิ การ ดังน้ี ขน้ั นำเข้ำส่บู ทเรยี น 1. ครูร้องเพลง ทสี่ มั พนั ธ์กับเนือ้ หาในแตล่ ะบท เช่น บทท่ี 1 เรยี นเร่ือง สระอา ( -า ) กับ สระ อี ( -ี ) ใช้เพลงสระ อา กับ สระอี และให้ผู้เรียนร้องตาม 2 รอบ จากนั้นให้ผู้เรียนร้อง พรอ้ มกนั 2 รอบ 2. ครพู ดู ถึงสตั ว์ สง่ิ ของ ตวั ละครในหนังสือไวนิลเล่มใหญเ่ พื่อเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต ของนกั เรียน และเลน่ เกมส์เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนมีความกระตือรือรน้ ในการเรยี นรู้ โดยครอู ธบิ ายทัง้ ภาษาไทย และภาษากะเหรย่ี งเพอื่ ใหน้ ักเรียนรจู้ ักและเขา้ ใจความหมายของคา ขน้ั สอน 1. ครสู อนเนื้อหาจากหนังสอื ไวนิลเลม่ ใหญ่ โดย ขน้ั ที่ 1 ครูอ่านใหน้ ักเรียนฟงั กอ่ น ขนั้ ที่ 2 ครูอา่ นและใหน้ ักเรยี นอ่านตาม ขนั้ ที่ 3 ใหน้ กั เรยี นช่วยกันอา่ น ขนั้ ท่ี 4 ครูคัดเลอื กตวั แทนอ่าน ขนั้ ที่ 5 ให้นกั เรยี นอ่านพรอ้ มกัน 2. ครูอา่ นบัตรคาใหน้ กั เรียนฟงั แลว้ ใหน้ ักเรยี นฝึกอ่านตามครู 3. ครูแจกบตั รคาใหน้ ักเรยี นคนละ 1 บัตร แลว้ ใหอ้ อกมาอ่านให้เพ่ือนฟงั 4. ครใู ห้นกั เรียนฝึกอ่านจากแบบฝกึ หนงั สือไวนลิ เล่มใหญ่ โดย 46 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ขั้นที่ 1 ครูอ่านใหน้ ักเรียนฟังกอ่ น ขนั้ ท่ี 2 ครูอ่านและใหน้ ักเรยี นอ่านตาม ขัน้ ท่ี 3 ให้นกั เรียนช่วยกันอา่ น ข้ันท่ี 4 ครคู ัดเลอื กตัวแทนอ่าน ขน้ั ที่ 5 ให้นกั เรียนอ่านพร้อมกนั 5. ครูให้นักเรียนคัดลายมือตามแบบหนังสือไวนิลเล่มใหญ่ ลงในสมุดด้วยตัว บรรจงเต็มบรรทัด พร้อมท้ังวาดรูปประกอบ เพื่อช่วยให้นักเรียนฝึกการคัดลายมือ และเกิดความ เพลิดเพลนิ และสนุกสนานในการเรียน 6. ครูเขยี นตัวอยา่ งคาบนกระดานให้นกั เรียนเขียนดว้ ยตัวบรรจงเต็มบรรทดั 7. ครูแจกแบบฝึกหัดอ่าน เขียนให้นักเรียนแต่ละคน ฝึกเขียนประสมสระกับ พยญั ชนะ และฝกึ อา่ นสะกดคา-แจกลกู ใหเ้ ปน็ คา แลว้ นากลับไปทบทวนบทเรยี นท่บี ้าน 8. ครูทดสอบหลังเรียนในแต่ละบท โดยใช้แบบทดสอบท้ายบท เพ่ือทราบ ความก้าวหน้าในการอ่านและการเขียนคาของผเู้ รยี นแต่ละคนในแต่ละบทเรียน นอกจากน้ีครูได้สรา้ ง แบบฝึกการเขียน อ่านเพิ่มเติมเพื่อให้นักเรียนไดฝ้ กึ ทักษะการอ่าน เขยี น ขนั้ สรปุ ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั สรุปเน้ือหาและสรปุ คาศัพท์ท่ีไดเ้ รียนรู้ในแต่ละบท ข้ันประเมิน 1. ครูทดสอบความรกู้ ่อนเรยี นเนอื้ หาในแต่ละบททีค่ รจู ดั ทาข้ึน 2. ประเมินจากการสงั เกตพฤตกิ รรมในการร่วมกจิ กรรม 3. ประเมินจากแบบฝกึ หัด 4. ประเมนิ จากผลการทดสอบหลงั เรียน 7.2.5 ครูทดสอบความรู้นักเรียน หลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละช้ันปี โดยใชแ้ บบทดสอบที่ครูจัดทาข้นึ เพอ่ื วดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 7.2.6 ติดตามผลการนาความรู้ไปใช้จากนักเรียนท่ีเข้าร่วมการประกวดทักษะการอ่าน เขยี น ท่ี กศน.อาเภออมกอ๋ ยจดั ข้ึน 7.2.7 จากการประเมินผลการจัดการสอนภาษาไทยแบบแจกลูก-สะกดคา พบว่า นักเรยี นบางคนมีปัญหาในการเขียนคือ เขยี นอักษรหัวกลบั ครแู ก้ไขโดยการสร้างแบบฝึกการเขียนคา เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะเพิ่มเติม จนนักเรียนสามารถเขียนอักษรได้ถูกต้อง นอกจากน้ีการสอน ภาษาไทยแบบแจกลูก-สะกดคา ครูควรสอนการออกเสียง ให้ผู้เรียนฟังก่อน และควรสอนสระเสียง ยาวก่อนเพราะออกเสียงง่าย ช่วยให้นักเรียนสามารถจาได้ง่าย และในการฝึกอ่านครูควรเน้น ย้า ซ้า ทวน บ่อย ๆ อย่างน้อย 5 คร้ังข้นึ ไป 47 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

7.2.8 สรุปผลการดาเนินการและเผยแพร่เป็นแนวปฏิบัติที่ดีในงานประชุมวิชาการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ินทรุ กันดาร ตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรม ราชกุมารี 8. ตวั ชี้วดั ความสาเรจ็ นักเรยี นอา่ นออกเขียนได้ผา่ นตามเกณฑท์ ่ีกาหนด รอ้ ยละ 50 9. การประเมนิ ผลและเครือ่ งมอื การประเมนิ ผล 9.1 ทดสอบความรกู้ ่อนเรียนด้วยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 9.2 ประเมินจากสงั เกตพฤตกิ รรมในการรว่ มกจิ กรรม 9.3 ประเมินจากแบบฝึกหดั 9.4 ทดสอบความรหู้ ลงั เรียนด้วยแบบทดสอบหลังเรยี น 10. ผลการดาเนินงาน จากการทดสอบ พบวา่ นกั เรยี นท้งั 3 ช้นั ปี มีผลการทดสอบหลงั เรียนดีขนึ้ ดังนี้ ก่อนเรยี น หลงั เรียน ระดับช้ัน จานวน จานวนผผู้ ่าน ร้อยละ จ า น ว น ผู้ ผ่ า น ร้อยละ นักเรยี น(คน) เกณฑ์ (คน) เกณฑ์ (คน) ป.1 11 3 27.27 8 72.73 ป.2 10 2 20.00 8 80.00 ป.3 10 2 20.00 8 80.00 รวม/เฉลย่ี 31 7 22.58 24 77.42 ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยตองหลวง ได้ส่งนักเรียนเข้าร่วม โครงการแข่งขันการอา่ นออกเสียง ท่ีจดั โดยศูนย์พนั ธวุ ศิ วกรรมและเทคโนโลยชี ีวภาพแห่งชาติ รว่ มกับ กศน.อาเภออมก๋อย และได้รับรางวลั ทั้งหมด 7 คน ดังน้ี 1. การแขง่ ขันอ่านออกเสยี งภาษาไทย ระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 1 ไดร้ ับรางวัลระดับทอง 1 คน จากนกั เรยี นทรี่ ่วมแขง่ ขนั ทั้งหมดจานวน 16 คน 2. การแข่งขันอ่านออกเสียงภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ได้รับรางวัลระดับเงิน 1 คน ระดบั ทองแดง 1 คน และระดบั ชมเชย 1 คน จากนกั เรียนท่ีร่วมแข่งขันทั้งหมดจานวน 12 คน 3. การแข่งขันอ่านออกเสียงภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ได้รับรางวัลระดับเงิน 1 คน ระดับทองแดง 1 คน และระดับชมเชย 1 คน จากนกั เรยี นท่รี ว่ มแข่งขันทั้งหมดจานวน 23 คน 48 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

11. บทสรปุ อา่ นแจกลูก ถูกใจหนู เป็นการพฒั นาผเู้ รยี นด้านการอา่ นออก เขยี นได้ ด้วยการสอนแบบแจก ลูก สะกดคา มีการดาเนนิ การตามแนวทางวงจรคณุ ภาพของเดมมิ่ง (Deming Cycle : PDCA) ดังน้ี ดา้ นการวางแผน (P) 1. ศึกษาสภาพ ปัญหาและวิเคราะห์ข้อมูลของนักเรียน ช่วงชั้นที่ 1 ประกอบด้วย ช้ัน ประถมศึกษา ปีท่ี 1 ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 และชั้นประถมศึกษาป่ีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2555 2. วเิ คราะห์งานตามบทบาทหนา้ ที่ และวเิ คราะห์ความสอดคลอ้ งท่ีเกยี่ วขอ้ ง เชน่ ยุทธศาสตร์ และจุดเน้นการดาเนินงาน กศน. วิสัยทัศน์ พันธิกิจ แผน กพด. ระบบประกันคุณภาพสถานศึกษา ฯลฯ ซ่ึงจากการวิเคราะห์จะเห็นได้ว่า การส่งเสริมการรู้หนังสือสอดคล้องกับแผน กพด. ฉบับท่ี พ.ศ. 2550-2559 เรื่อง ส่งเสริมและสนับสนุนการเพ่ิมโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชน และเป็น บทบาทหน้าทโ่ี ดยตรงของครู ศศช. ในการสง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนทกุ กล่มุ เปา้ หมาย ให้อา่ นออก เขยี นได้ 3. คน้ หา Best Practice โดยพจิ ารณาประเด็น ดงั นี้  เปน็ เรอ่ื งท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั ภารกจิ โดยตรงของบทบาทหนา้ ท่ี  สนองนโยบาย การแก้ปัญหา การพัฒนาประสทิ ธิภาพของผู้เรียน กศน.  เป็นวิธีการริเร่ิมสร้างสรรค์ข้ึนมาใหม่ หรือประยุกต์ข้ึนใหม่ (นวัตกรรม) โดยต้ัง คาถามวา่ นวตั กรรมนน้ั คอื อะไร (What) ทาอยา่ งไร (How) ทาเพื่ออะไร (Why)  มีการประเมินความพึงพอใจของผเู้ รยี น  สามารถนาไปใชเ้ ป็นมาตรฐานการทางานต่อไปได้ยง่ั ยนื พอสมควร  มีการพัฒนาปรับปรงุ ต่อไป จากการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าวเพื่อค้นหา Best Practice ในการจัดการส่งเสริม การรหู้ นงั สอื พบวา่ สอดคล้องกับแผน กพด. ฉบับที่ พ.ศ. 2550-2559 ดา้ นการสนับสนนุ ส่งเสริมดา้ น การศึกษาให้เด็กและเยาวชน และเป็นบทบาทหน้าท่ีโดยตรงของครู ศศช.ในการส่งเสริมให้ กลุม่ เป้าหมายอ่านออก เขยี นได้ จึงไดว้ างแผนในการส่งเสริมการรูห้ นงั สือใหแ้ ก่กลุ่มเป้าหมายในพ้ืนท่ี ทรี่ ับผดิ ชอบ ดงั นี้ 1) เข้ารับการอบรมการสอนภาษาไทยแบบแจกลูก-สะกดคา กับโครงการการสอน ภาษาไทยแบบแจกลกู -สะกดคา ของสานกั งานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยแี ห่งชาติ (NSTDA) 2) วางแผนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการรู้หนังสือแก่นักเรียนช่วงชั้นที่ 1 จานวน 31 คน ประกอบด้วย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 จานวน 11 คน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 10 คน ช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 3 จานวน 10 คน โดยเทคนิต กระบวนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ที่ ได้รับจากการอบรมฯ 3) วางแผนการการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 49 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

4. นาข้อมูลจากการวิเคราะห์และพิจารณาในข้อ 1 – 3 มากาหนดกรอบการดาเนินงานที่ พิจารณาแล้วว่าเปน็ แนวปฏิบัติท่ดี ี (Best Practice) โดยดาเนินการ ดังนี้ 4) กาหนดวตั ถุประสงคข์ องการพฒั นาผเู้ รียน 5) กาหนดตัวชีว้ ัดความสาเรจ็ 6) กาหนดวิธดี าเนนิ การ 7) กาหนดวธิ กี ารประเมนิ ผลและเครอื่ งมอื การประเมินผล ด้านการดาเนนิ งาน (D) ดาเนินการจัดกจิ กรรมสง่ เสรมิ การรหู้ นังสือ โดยดาเนินการดงั นี้ 1 ครูทดสอบความรู้นักเรียนก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละช้ันปีโดยใช้ แบบทดสอบท่ีครูจัดทาขน้ึ เพอื่ วดั ความรู้พื้นฐานของนักเรียน และนาไปเป็นข้อมูลในการจดั การเรียน การสอนตามสภาพของผู้เรียน 2 ครูจัดการเรยี นการสอนโดยใช้หนงั สอื ไวนลิ เล่มใหญแ่ ละแบบฝกึ ซึ่งมี จานวน 20 บทเรยี น ซ่ึงครูจะสอนโดยแยกนักเรียนแต่ละชัน้ ปี และสอนโดยใช้ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น ขั้นสอน ขน้ั สรุป และข้ันประเมนิ ด้านการตรวจสอบและประเมินผล (C) 1. ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียน และแบบทดสอบ หลงั เรยี น 2. ติดตามประเมินผลการนาความรู้ไปใช้ จากนักเรียนเข้าร่วมการประกวดทักษะการอ่าน เขยี น ทกี่ ศน.อาเภออมก๋อยจัดขนึ้ 3. สรุปผลการดาเนินงานและเผยแพร่ผลงานแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ด้านการศึกษา ในการประชุมวิชาการการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพ รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ดา้ นการปรบั ปรุงและพฒั นาผลการปฏิบตั งิ าน (A) นาขอ้ มูลท่คี น้ พบจากการดาเนนิ งานมาพัฒนาการจดั การเรยี นการสอนภาษาไทยแบบแจกลูก สะกดคาในการพฒั นานักเรยี นกลมุ่ อน่ื ๆ ทมี่ สี ภาพปญั หาเหมือนกันต่อไป การดาเนนิ การโครงการการสอนภาษาไทย แบบแจกลกู -สะกดคา ตามแนวทางวงจรคุณภาพ ของเดมมิ่ง (Deming Cycle : PDCA) ดังกล่าว สามารถแสดงได้ดังผังงานแนวปฏิบัติท่ีดีด้านการ ส่งเสริมการร้หู นังสือ ดงั น้ี 50 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

12. กลยุทธห์ รอื ปจั จัยท่ีทาใหป้ ระสบความสาเรจ็ 12.1 ครผู สู้ อนสามารถส่อื สารกับนกั เรยี นทเ่ี ปน็ ชนเผ่าได้ 12.2 ครูผู้สอนใช้เทคนิคการสอนแบบแจกลูกสะกดคา และเน้น ย้า ซ้าทวน จนนักเรียน สามารถอา่ นได้ 12.3 ครใู ช้เพลง เกม ในการนาเข้าสู่บทเรยี น 12.4 สือ่ ไวนลิ เล่มใหญ่ เป็นภาพสี ดึงดดู ความสนใจของนักเรียน 12.5 แบบฝกึ หัดการอา่ นและการเขียนช่วยฝึกทกั ษะให้นักเรยี นสามารถอ่าน และเขยี นได้ 12.6 ครูพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยยึดหลักวงจรคุณภาพของเดมม่ิง (PDCA) ที่ครูได้ เข้ารับการอบรมการสอนภาษาไทยแบบแจกลูก - สะกดคา พร้อมท้ังดาเนินการวิเคราะห์สภาพ นักเรียนช่วงชั้นที่ 1 จัดการเรียนการสอนตามเทคนิควิธีการและส่ือที่ได้รับความรู้จากการอบรม ประเมินผลการเรยี นรู้ของนักเรียน พรอ้ มทงั้ ตดิ ตามผลการนาความรู้ไปใช้ สรุป รายงาน และเผยแพร่ เทคนิควิธีการสอนภาษาไทยแบบแจกลูก ท้ังนี้ครูผู้สอนได้แก้ปัญหาการเขียนของนักเรียน โดยการ สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคาที่นักเรียนเขียนอักษรกลับหัว และสามารถนาแบบฝึกนี้ ไปใชก้ ับนักเรยี นกล่มุ อืน่ ท่ีมีปัญหาในการเขยี นแบบกลบั หวั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี 51 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

13. ข้อเสนอแนะ 13.1 นักเรียนท่ีอ่านออกเสียงได้ดี สามารถช่วยสอนนักเรียนที่ยังอ่านไม่ออกได้ เช่น พี่สอน นอ้ ง หรือเพอ่ื นสอนเพอื่ น 13.2 ฝึกทักษะการเขียนแก่นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 และช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โดย ฝกึ เขียนนทิ านประกอบภาพวาด และระบายสเี รือ่ งทเ่ี กยี่ วข้องกับแนวปฏิบัตทิ ่ีดีทง้ั 5 ด้าน 14. การอ้างอิง กรรณกิ า พมุ่ สวุ รรณ. การสอนแจกลูก-สะกดคา. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก : http://www.kmphket.net (วนั ที่คน้ ข้อมลู : 9 สงิ หาคม 2557). นติ ยา จรญู ผลฐิติ. รวมความรู้แบบฝกึ หดั กจิ กรรมเพิ่มทกั ษะสาหรับอนุบาล-ประถมตน้ . [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : www.karn.tv (วนั ทค่ี ้นข้อมูล : 9 สงิ หาคม 2557). บัญชีคาพน้ื ฐานที่ใชใ้ นการเรียนการสอนภาษาไทยชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 1-6. (2553). เอกสาร ท่ี 17 /2553 กลุม่ นเิ ทศติดตามและประเมินผลการจดั การศึกษา สานักงานเขตพ้นื ที่ การศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 2 สานักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษาสานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน. (ม.ป.ท.). 15. ภาคผนวก ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน นักเรียนฝึกการผสมคา ตัวแทนนกั เรียนออกมาอ่าน นกั เรยี นคดั ตามแบบหนงั สอื ไวนลิ นักเรียนที่ได้รางวัลการประกวดการอ่านออกเสยี ง 52 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

การนาเสนอแนวปฏิบตั ทิ ด่ี ี (Best Practice) ตามโครงการพฒั นาเดก็ และเยาวชนในถิน่ ทรุ กนั ดาร ตามพระราชดาริสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ความเปน็ มาของการพฒั นาเด็กและเยาวชนในถนิ่ ทุรกันดาร สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้โดยเสด็จพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ นี าถ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในถน่ิ ทุรกันดารหา่ งไกลการคมนาคม ทัว่ ทุกภาคของประเทศ ทรงพบปัญหาความยากจนและความทุกข์ยากของประชาชนด้วยพระองค์เอง โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนขาดแคลนอาหารอาหารท่ีจะบริโภค เป็นโรคขาดสารอาหารและมี มาตรฐานการศึกษาต่า สุขภาพร่างกายอ่อนแอเกิดการจ็บป่วยได้ง่าย ทรงเป็นห่วงใยเยาวชนเหล่าน้ี ซง่ึ จะเป็นกาลังทีส่ าคัญในการพฒั นาประเทศชาติต่อไปในอนาคต สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จงึ มพี ระราชดารใิ ห้ดาเนินงาน “โครงการ พัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ินธุรกันดาร” ตั้งแต่ พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา ปัจจุบันโครงการตาม พระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ดาเนินการครอบคลุมพ้ืนที่ทุกภาค ของประเทศไทย รวมทั้งในประเทศเพื่อนบ้านและประเทศและประเทศในภมู ิภาคเอเซีย โดยแบ่งการ พัฒนาเป็น 6 ดา้ นใหญ่ ๆ คือ ดา้ นการพฒั นาเด็กและเยาวชน ดา้ นงานนักเรียนในพระราชานเุ คราะห์ และทุนพระราชทานเพื่อการศึกษา ด้านการพัฒนาอาชีพ ด้านการพัฒนาพื้นที่แบบบูรณาการ ด้าน การพระราชทานความชว่ ยเหลอื และด้านความร่วมมือระดับนานาชาติ การดาเนินงานได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วน พระองค์ และเงินท่ีองค์การและเอกชนทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล และ เนือ่ งในโอกาสท่สี มเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจรญิ พระชนมายุครบ 3 รอบ เมื่อปี พ.ศ. 2534 คณะผู้ร่วมดาเนินงานโครงการฯ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันจัดตั้ง “กองทุน พัฒนาเด็กและเยาวชนในถนิ่ ทุรกนั ดาร (กพด.)” เพ่ือนอ้ มเกลา้ น้อมกระหม่อมถวาย 53 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

แนวพระราชดารใิ นการพฒั นาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ไดโ้ ดยเสด็จพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในพ้ืนท่ีชนบทและท้องถิ่นทุรกันดาร ห่างไกลทั่วทุกภาคของประเทศไทย ทรงพบว่ามีราษฎรอีกเป็นจานวนมากท่ียงั อยู่ในภาวะยากลาบาก โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาพัฒนาเท่าเทียมกันทุกคน ทาให้สนพระทัย และมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือราษฎรเหล่านั้นให้มีคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน ดังนั้นในปี พ.ศ. 2523 พระองค์จึงทรงเริ่มงานพัฒนาของพระองค์เองด้วยการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่อยู่ในถ่ินทุรกันดาร โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีโอกาสได้รับความรู้และฝึกฝนตนเอง สามารถ พัฒนาตนเองให้เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ พร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีมีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว อันเป็นแนวทางสู่ความม่ันคงและความยั่งยืนของการพัฒนาตามแนวพระราชดาริ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่ีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี ทรงยึดเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด การทรงงานพัฒนาเด็กและเยาวชนที่อยู่ในท้องถ่ิน ทุรกันดารของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนเป็น ศูนย์กลางของการพัฒนา โดยใช้การศึกษาเป็นหลักในการทางานพัฒนา ดังนั้นการพัฒนาเด็กและ เยาวชนตามแนวพระราชดาริ จึงเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของเด็กและเยาวชนอย่างสมดุลกันทั้ง ด้านพุทธิศึกษา คือความรอบรู้วิชาการท่ีจาเป็นสาหรับการดารงชีวิตและการศึกษาเรียนรู้ต่อไป ด้าน จริยศึกษา คือการมีศีลธรรมจรรยาท่ีดี มีความซ่ือสัตย์ต่อตนเองและผู้อ่ืน มีความรับผิดชอบต่อหนา้ ที่ มีสานึกท่ีดีต่อส่วนรวม ด้านหัตถศึกษา คือความรู้และทักษะในการทางาน มีความคิดสร้างสรรค์ มี ทัศนคตทิ ดี่ ตี อ่ งาน และเหน็ คุณค่าของการทางาน และดา้ นพลศึกษา คอื การมีสขุ ภาพแขง็ แรง การกิน อาหารทถี่ กู ตอ้ ง และการออกกาลงั กายให้เหมาะสม รวมท้งั ความสะอาดและสขุ าภบิ าลด้วย การเขยี นนาเสนอแนวปฏิบตั ิทีด่ ี (Best Practice) ตามโครงการพฒั นาเดก็ และเยาวชน ในถนิ่ ทุรกันดาร ตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี จากตัวอย่างการนาเสนอแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นในหน้า 9 - 51 เป็นการนาเสนอตามบทบาทหน้าที่ของครู กศน. ท้ังครู กศน.ตาบล และครูอาสาสมัคร ประกอบด้วย 15 หัวข้อ สาหรับการนาเสนอแนวปฏิบัติที่ดี 5 ด้าน ตามโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ิน ทุรกันดาร ตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ 1) ด้าน โภชนาการและสุขภาพอนามัย 2) ด้านการศึกษา 3) ด้านการส่งเสริมอาชีพ 4) ด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 5) ด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถ่ิน ซ่ึงจะใช้รูปแบบการ นาเสนอ 12 ห้วข้อ ดงั นี้ 54 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

1) ชื่อผลงาน (ระบชุ ่อื ผลงานทเี่ ปน็ แนวปฏิบตั ิท่ดี ี) บอกว่าเป็นกิจกรรมอะไร ทากับใคร ท่ีไหน ชื่อเร่ืองควรส้ัน กะทัดรัด ใช้คาไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หวือหวา หรืออวดอ้างเกินเหตุ ได้ใจความ ตรงกับวัตถุประสงค์และเน้ือหา เช่น “ทอผ้า สานไผ่ สรา้ งรายไดใ้ หช้ มุ ชน” “อ่านแจกลูก ถกู ใจหนู” ฯลฯ 2) ผู้ศึกษา (ระบชุ ่ือบุคคล) 3) สถานศึกษา (ระบชุ อื่ หนว่ ยงาน/ สถานศึกษา/ ศศช. ทพ่ี ัฒนาแนวปฏบิ ัติท่ีด)ี 4) บทคัดยอ่ บทคดั ย่อ หมายถงึ บทสรปุ สน้ั ๆ ของเนอ้ื หาในเอกสารวชิ าการ มีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือช่วย ให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของการดาเนินวิจัย/ศึกษา โดยการเขียนบทคัดย่อจะประกอบด้วย วัตถุประสงค์หลักและกรอบของการศึกษา อธิบายถึงวิธดี าเนินการวจิ ัย/ศึกษา สรุปผลการดาเนินการ วจิ ยั /ศึกษา และระบบุ ทสรุปที่สาคญั 5) ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา ระบุสภาพท่ีเป็นอยู่ เขียนอธิบายสภาพท่ีเป็นอยู่ของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ท่ีตั้ง จานวน ประชากร จานวนหลังคาเรือน กลุ่มชาติพันธ์ุ ความยากลาบากในการเดินทาง การดาเนินชีวิต เป็น ต้น สภาพปัญหาและความต้องการ อธิบายถึงสภาพปัญหาและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายท่ี เก่ียวข้องกับผลงานวิชาการที่เสนอ ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย กิจกรรมโครงการ กพด.ด้านใด สภาพที่พึงประสงค์ (อธิบายถึงเรื่องท่ีดี แนวทางที่ควรเป็น หรือแนวทางท่ีจะเกิด ประโยชน์สูงสุด ควรจะเป็นอย่างไรในการแก้ไขสภาพปัญหาและความต้องการที่เกิดข้ึน) แนวคิดใน การปัญหาท่ีใช้คร้ังน้ี (อธิบายถึง หลักการ เหตุผล แนวคิด แนวทางในการแก้ปัญหา และความ คาดหวงั ของผลสาเร็จทีจ่ ะเกิดข้ึน) 6) วัตถปุ ระสงค์ ให้ขึ้นต้นด้วยคาวา่ เพอื่ ... (บอกถึงกระบวนการและผลทผี่ ้ดู าเนินการตอ้ งให้เกิดเป็นข้อ ๆ) 7) เปา้ หมาย (ให้ระบทุ ้งั เปา้ หมายเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพ) 8) กระบวนการดาเนนิ งาน/วธิ ีการจดั กจิ กรรม ให้อธิบายถึงลาดับขั้นตอนวิธกี ารดาเนินการ ต้ังแต่เริ่มต้นจนกระทั่งประสบความสาเร็จ ท่ีเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน (วงจร PDCA) การอธิบายเน้ือหาในส่วนนี้ต้องพยายามเขียนอธิบายให้ ผู้อ่านผลงานวิชาการเล่มนี้แล้ว เห็นกระบวนการดาเนินงานท่ีชัดเจน หากนาไปปฏิบัติก็จะสามารถ ประสบความสาเรจ็ ได้ ควรนารูปภาพ แผนผงั แผนภูมิ มาใช้ประกอบการอธบิ ายด้วย 55 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

9) ผลการดาเนนิ งาน/ผลท่ีเกิดกับผู้เรยี นและชมุ ชน ให้อธิบายถึงสิ่งที่พบจากการดาเนินงาน โดยเสนอหลักฐานและข้อมูลอย่างเป็นระบบ ระเบียบ อ่านเข้าใจง่าย ผลต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมายทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ผลลัพธ์(Outcome) และอาจเป็นผลอ่ืน ๆ ท่ีเกิดข้ึนนอกเหนือจากท่ีกาหนดไว้ อาจเขียนบรรยาย แสดงผลเป็นตัวเลขและอาจใช้ตารางพร้อมคาอธิบายใต้ตาราง หากมีรูปภาพให้มีคาอธิบาย ประกอบด้วย โดยเลือกเฉพาะประเด็นที่สาคัญและเกี่ยวข้องกับผลงาน รวมทั้งการอธิบายถึง เหตุผล วิธีการ ตลอดจนผลของการเผยแพร่ผลงานไปยังผู้อ่ืน 10. ปัญหาอุปสรรคและวธิ กี ารแกไ้ ข ให้อธิบายปัญหาและอุปสรรคที่สาคัญท้ังก่อนและระหว่างการดาเนินงาน พร้อมท้ัง วิธีการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นท่ีจะเป็นประโยชน์ให้ผู้อ่านได้เข้าใจและพึงตระหนักหากจะนาแนวปฏบิ ัติ ท่ดี นี ้ไี ปใช้ 11. แนวทางการพัฒนาต่อเน่ือง ควรแสดงข้อเด่นหรือข้อบกพร่องของงานและอธิบายแนวทางในการนาข้อเด่นหรือ ข้อบกพร่องไปพัฒนา ปรับปรุงงานอย่างต่อเนือ่ ง อาจให้ข้อเสนอแนะสาหรบั ผู้ท่ีสนใจนาแนวปฏบิ ัติที่ ดนี ี้ไปใช้ต่อไปและผ้ทู ส่ี นใจศกึ ษาเร่อื งทานองเดยี วกันนี้ 12. เอกสารอ้างองิ ให้ระบุแหล่งที่มาของข้อความท่ีใช้อ้างอิง หรือข้อมูลท่ีใช้ค้นคว้า ศึกษาหาข้อมูล ท่ี นามาใช้ประโยชนใ์ นการทาโครงการ/กจิ กรรมน้ี สาหรบั รปู แบบการเขียนเอกสารอ้างอิงที่ใช้ในการทา โครงการมีการเขยี นไดห้ ลายรปู แบบ เชน่ ระบบนาม-ปี เป็นตน้ จะเห็นได้ว่า การนาเสนอแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ไม่ว่าจะนาเสนอ 15 หัวข้อ หรือ 12 หัวข้อ ในการดาเนินงานจนเกิดแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ก็ใช้หลักการเดียวกันในการ ปฏิบัติเพื่อค้นหา Best Practice โดยดาเนินการตามแนวทางวงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle : PDCA) ในหน้า 7 – 8 ซง่ึ อาจแตกต่างกันบ้างในส่วนของการจัดทารายงาน เพ่อื นาเสนอแนว ปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ตามหัวข้อการนาเสนอแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ท่ีผู้นาเสนอจะ เลอื กใชร้ ปู แบบใดในการนาเสนอ หากเป็นการนาเสนอแนวปฏิบัติท่ดี ี 5 ดา้ น ตามโครงการพฒั นาเด็ก และเยาวชนในถนิ่ ทรุ กนั ดาร ตามพระราชดารสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กจ็ ะ นาเสนอ 12 หัวขอ้ แตห่ ากเปน็ การนาเสนอตามบทบทภารกจิ ของครู กศน. ไดแ้ ก่ 1) การสง่ เสริมการ รู้หนังสือ 2) การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 3) การศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ 4) การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต 5) การศึกษาเพ่ือพัฒนาสังคมและชุมชน และ 6) การศึกษาตามอัธยาศัย ก็อาจเลือกนาเสนอ 15 หัวข้อ ตามทไ่ี ดก้ ลา่ วไวข้ ้างต้น หรืออาจกาหนดหัวข้อในการนาเสนอเองก็ได้ 56 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้นาเสนอจะเลือกนาเสนอรูปแบบใดก็ตาม ประเด็นสาคัญในการนาเสนอต้องยึด หลักว่า เป็นสิ่งที่ “ปฏิบัติได้จริงและเห็นผลแล้ว” ไม่ใช่แนวคิด หรือ ทฤษฎี นอกจากน้ี องค์ประกอบ ของการนาเสนอ Best Practice ควรประกอบด้วย ข้อมูลท่ัวไป ข้ันตอน/วิธีการดาเนินงานท่ีเปน็ แนว ปฏิบตั ิทดี่ ี (Best Practice) ปจั จยั เกื้อหนุน หรือปจั จัยแห่งความสาเร็จ และผลการดาเนินงานที่บรรลุ ตามตวั ช้ีวดั และวัตถุประสงคข์ องโครงการ/กิจกรรม ตารางเปรียบเทยี บลักษณะงานตามบทบาทภารกจิ ของครู กศน. และกจิ กรรมตามโครงการพัฒนาเดก็ และเยาวชนในถิ่นทุรกนั ดาร ตามพระราชดารสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี กิจกรรม 5 ด้าน ตามโครงการพัฒนาเดก็ และเยาวชน ลักษณะงานตามบทบาทภารกจิ ในถิน่ ทุรกนั ดาร ของครู กศน. ตามพระราชดารสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 1. การสง่ เสริมการรูห้ นงั สอื -ด้านการศกึ ษา 2. การศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน -ดา้ นการศึกษา 3. การศกึ ษาเพ่ือพฒั นาอาชีพ -ดา้ นการส่งเสริมอาชีพ 4. การศึกษาเพ่ือพัฒนาทักษะชวี ิต -ดา้ นโภชนาการและสุขภาพอนามยั 5. การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและ -ดา้ นการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม ชุมชน -ด้านการอนุรักษว์ ฒั นธรรมทอ้ งถิน่ 6. การศกึ ษาตามอัธยาศัย - 57 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

58 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตวั อยา่ งการนาเสนอแนวปฏบิ ัติท่ีดี (Best Practice) ตามโครงการพัฒนาเดก็ และเยาวชนในถิ่นทรุ กันดาร ตามพระราชดารสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ตัวอย่างการนาเสนอแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ตามโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชน ในถ่ินทุรกันดาร ตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่จะนาเสนอ ต่อไปน้ี คณะผู้จัดทาได้ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบางส่วน เพ่ือให้ผู้ศึกษาเอกสารได้มองเห็นภาพการ นาเสนอแนวปฏบิ ัตทิ ี่ดที ่ีครอบคลุมทกุ ประเดน็ ต่อไปน้ีเป็นตัวอย่างการนาเสนอแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) 5 ด้าน ตามโครงการ พัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี ดังนี้ 1) ดา้ นโภชนาการและสุขภาพอนามยั 2) ดา้ นการศกึ ษา 3) ดา้ นการสง่ เสริมอาชีพ 4) ด้านการอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5) ด้านการอนุรกั ษว์ ฒั นธรรมท้องถิ่น 59 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตวั อย่างท่ี 1 : ดา้ นโภชนาการและสุขภาพอนามยั มหศั จรรยข์ ้าวโพดเสรมิ โภชนาการ ผ้ศู กึ ษา นางสาวสมถวิล คีรธี ีรกลุ สถานศึกษา ศูนยก์ ารเรียนชมุ ชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟา้ หลวง” บ้านโป่งขนนุ หมู่ที่ 15 ตาบลแม่ศึก อาเภอแมแ่ จ่ม จังหวดั เชียงใหม่ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอแมแ่ จม่ สานกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดเชยี งใหม่ บทคดั ยอ่ แนวปฏบิ ตั ิทด่ี ี ดา้ นโภชนาการและสุขภาพอนามัย เรอ่ื ง มหัศจรรยข์ ้าวโพดเสรมิ โภชนาการ เป็นกิจกรรมตามโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ของศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านโป่งขนุน หมู่ท่ี 15 ตาบลแม่ศึก อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาให้กับผู้เรียนเด็กที่ ข้าวไม่พอกินในช่วงก่อนฤดูกาลเก็บเกี่ยวระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนและเพื่อเสริม โภชนาการเพิ่มคุณค่าทางสารอาหาร โดยครูร่วมกับผู้เรียนและผู้ปกครองดาเนินกิจกรรมมหัศจรรย์ ข้าวโพดเสริมโภชนาการด้วยการหุงข้าวผสมข้าวโพดเพ่ือเพิ่มปริมาณของข้าวให้พอกิน พร้อมทั้งให้ ได้รบั สารอาหารอย่างครบถว้ น ผลการดาเนินงานพบว่าสามารถแก้ปัญหาให้กับผู้เรียนที่ข้าวไม่พอกินได้และทางด้าน โภชนาการพบว่า ผู้เรียนท่ีกินข้าวซึ่งหุงเพียงข้าวอย่างเดียว มีอัตราน้าหนักเฉลี่ย 28.57 กิโลกรัม ส่วนสูงเฉลี่ย 125.28 เซนติเมตร ส่วนผู้เรียนท่ีกินข้าวซ่ึงหุงผสมข้าวโพด มีอัตราน้าหนักเฉล่ีย 30.25 กิโลกรัม ส่วนสูงเฉลี่ย 131.25 เซนติเมตร จากอัตราเฉลี่ยน้าหนักและส่วนสูง สรุปได้ว่าผู้เรียนท่ีกิน ข้าวผสมขา้ วโพดจะมีอตั ราเฉลย่ี น้าหนกั และสว่ นสูงมากกว่ากว่าเด็กท่ีกนิ ขา้ วซง่ึ หุงโดยไมผ่ สมข้าวโพด อย่างมนี ยั สาคัญ 60 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา หมู่บ้านโป่งขนุนตาบลแม่ศึก อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชยี งใหม่ เป็นชุมชนชาวปกาเกอญอซึ่ง แตเ่ ดมิ มวี ถิ ีชีวิตในการทาการเกษตรเพื่อการยังชีพอย่างพออยู่พอกิน เช่นปลกู ขา้ วไว้กนิ อย่างพอเพียง แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจและวิถีชีวิตท่ีเปลี่ยนไปในปัจจุบัน ชาวบ้านได้ลดการปลูกข้าวลง เพื่อนาพ้ืนที่ ไปใช้ในการปลูกพืชเศรษฐกิจ คือข้าวโพดเพื่อการจาหน่ายมากข้ึน ทาให้พ้ืนท่ีในการปลูกข้าวลดลง เกิดปัญหาข้าวไม่พอกินในชุมชน ส่งผลต่อภาวะโภชนาการในผู้เรียนเนื่องจากโภชนาการมีบทบาท สาคัญตอ่ การเจริญเติบโตและพฒั นาการของเด็ก ดงั พระราชดารสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกมุ ารี ให้มกี ารสง่ เสริมโภชนาการและสุขภาพอนามัยแก่เด็กและเยาวชนในถ่ินทรุ กนั ดาร เพ่ือ ช่วยให้เด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการเต็มศักยภาพ เป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะเป็น ทรัพยากรท่ีสาคญั ในการพัฒนาประเทศชาตติ ่อไป ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา“แม่ฟ้าหลวง” (ศศช.) บ้านโป่งขนุนตระหนักใน ความสาคัญของภาวะโภชนาการและสุขภาพอนามัยของเด็กเยาวชนและคนในชุมชนจึงได้ร่วมกัน ระหว่างครู ผู้เรียนและผู้ปกครอง วิเคราะห์สภาพปัญหาข้าวไม่พอกิน และร่วมกันหาแนวทางแก้ไข โดยอาศัยท้ังองค์ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวบ้านและในส่วนของครูได้ทาการศึกษาข้อมูล ความรู้ทางวิชาการจากแหล่งต่าง ๆ มาประมวลเป็นองค์ความรู้สู่การดาเนินกิจกรรมที่สอดคล้องกับ บริบทและสภาพปัญหาของชุมชนโดยได้ดาเนินกิจกรรมทจ่ี ะทาให้ผู้เรียนมีข้าวที่พอกินในช่วงระหว่าง เดอื นกรกฎาคมถงึ เดือนกนั ยายน รวมท้ังใหไ้ ด้สารอาหารท่ีครบถ้วนตามความจาเปน็ ของร่างกาย ดว้ ย การจัดกระบวนเรียนรู้ กิจกรรมมหัศจรรย์ข้าวโพดเสรมิ โภชนาการ ดว้ ยการหุงข้าวผสมขา้ วโพดข้นึ วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ แกป้ ัญหาขา้ วไม่พอกินดว้ ยการหุงข้าวผสมข้าวโพด 2. เพอ่ื ส่งเสรมิ โภชนาการโดยเพ่มิ คุณคา่ ทางสารอาหาร 61 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

เปา้ หมาย เชงิ ปรมิ าณ ผ้เู รยี นในศศช. ที่มีภาวะขา้ วไม่พอกนิ จานวน 4 คน ผู้เรยี นในศศช. จานวน 11 คน ไดร้ ับความรเู้ ร่ืองคุณค่าสารอาหารของข้าวโพด เชิงคุณภาพ ผู้เรียนในศศช. ได้รับการแก้ปัญหาเร่ืองข้าวไม่พอกิน และได้รับความรู้เร่ืองคุณค่า สารอาหารทางโภชนาการจากขา้ วโพด และสามารถนาความรู้ไปใช้ในวถิ ีชีวติ จรงิ กระบวนการดาเนินงาน แนวปฏิบัติทดี่ ีดา้ นโภชนาการและสุขภาพอนามัย เรือ่ งมหัศจรรย์ขา้ วโพดเสริมโภชนาการมี ขัน้ ตอนการดาเนินการดงั นี้ 1. ครู ผู้เรียนและผู้ปกครองประชุมร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาข้าวไม่พอกินเพ่ือหาข้อสรุปของ ปญั หาและแนวทางแก้ไข 2. ครูได้ศึกษาองค์ความรู้ที่เป็นภูมิปญั ญาชาวบ้าน ในกรณีท่ีข้าวไม่พอกินชาวบ้านมีวิธีการ แก้ปัญหาแบบด้ังเดิมโดยการหาวตั ถุดิบท่ีพอหาได้ในท้องถ่ินเชน่ หน่อไม้พืชผักต่าง ๆ มาผสมในการ หงุ ขา้ วเพ่อื ใหไ้ ด้ปริมาณเพม่ิ ขน้ึ 3. ครูทาการศึกษา ค้นคว้าข้อมูลทางวิชาการเพ่ิมเติมจากแหล่งต่าง ๆ ท้ังจากส่ือเอกสาร และทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับสารอาหารจากข้าวโพด ซึ่งพบว่า ข้าวโพดให้คุณค่าสารอาหารทาง โภชนาการครบ 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรตซ่ึงเน้ือในเมล็ดข้าวโพดมีสารอาหารร้อยละ 72.00 ที่ให้ พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในเมล็ดข้าวโพดที่แก่จัดมีร้อยละ 4.00 โปรตีนร้อยละ 4.00 มีสารไลซีนและ ทริปโตแฟนที่ช่วยเพ่ิมคุณค่าทางสารอาหาร วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ท่ีมีส่วนช่วยในการ เจรญิ เติบโต โดยเฉพาะแคลเซียมและธาตุเหล็ก 4. ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้การหุงข้าวผสมข้าวโพดแก่ผู้เรียนท้ังหมดใน ศศช.โดยครูให้ ความรู้แก่ผู้เรียนเกี่ยวกับปัญหาข้าวไม่พอกินและวิธีการแก้ปัญหา รวมท้ังเร่ืองสารอาหารที่จาเป็นแก่ ร่างกาย ตลอดจนวธิ ีการขัน้ ตอนในการหงุ ขา้ วผสมข้าวโพด ครใู ห้ความรเู้ รอ่ื งคณุ ค่าทางอาหารของข้าวโพดและการหงุ ขา้ วผสมขา้ วโพดกับเดก็ ๆ 62 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

5. ครรู ว่ มกับผเู้ รียน ปฏบิ ัติกิจกรรมหงุ ข้าวผสมขา้ วโพด โดยวิธีการดังน้ี 5.1 เตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบด้วยข้าว(ข้าวจ้าว) ข้าวโพดพันธ์ุ พ้นื เมอื งฝักออ่ นหรือข้าวโพดแหง้ ตาละเอียด หม้อหงุ ข้าว ไม้พาย นา้ สะอาด เตาถา่ นหรือเตาสามขา 5.2 นาขา้ วจา้ วซาวน้าสะอาดประมาณ 1 ถงึ 2 คร้ัง และนาข้าวโพดฝกั ออ่ นปอกเปลือก ออก แกะเมลด็ หรือใชว้ ิธีฝานบาง ๆ บรเิ วณเน้อื ขา้ วโพด (หรอื ข้าวโพดแห้งตาละเอยี ด) แลว้ นาผสมลง ในหม้อหุงขา้ วในอตั ราส่วน 3 : 1 (ขา้ ว 3 ส่วน : ขา้ วโพด 1 สว่ น) เติมนา้ สะอาดท่วมข้าวประมาณสอง ข้อน้ิวมือ ยกตั้งบนเตาไฟรอน้าเดอื ดใช้ไม้พายคนข้าวเพ่ือให้ข้าวและข้าวโพดผสมเข้ากัน ลดไฟลงเมื่อ ข้าวใกลส้ ุกแล้วให้ใชไ้ ฟออ่ นๆ เพ่อื ดงข้าวให้สุก ครแู ละผู้เรียนทากจิ กรรมหุงข้าวผสมขา้ วโพดรว่ มกัน 6. ครแู ละผู้เรยี นสรปุ องค์ความรูร้ ว่ มกัน 7. ครมู อบหมายใหผ้ ู้เรียนนาความร้แู ละทักษะท่ีได้ไปทารว่ มกับครอบครัว 8. ครทู าการตดิ ตามผล เกบ็ ข้อมลู และบันทึกผลโดย 8.1 ติดตามผู้เรียนท่ีบ้านและให้คาแนะนาเพิ่มเติม พร้อมทั้งเสริมความรู้ให้แก่ ผปู้ กครอง 8.2 ชั่งน้าหนักและวัดส่วนสูง บันทึกข้อมูลของผู้เรียนในศศช. ทั้งหมด ก่อนและ หลงั การดาเนินกิจกรรม 8.3 นาข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบและวิเคราะห์ผลทั้งข้อมูลก่อนและหลังการดาเนิน กิจกรรมและข้อมูลระหว่างผู้เรียนท่ีกินข้าวที่หุงเพียงข้าวอย่างเดียวกับผู้เรียนท่ีกินข้าวซ่ึงหุงข้าวผสม ข้าวโพด วัดสว่ นสูงและชัง่ นา้ หนกั เพ่ือดพู ัฒนาการของผู้เรยี น 63 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

การบริโภค ตารางเปรียบเทยี บข้อมลู พฒั นาการของผู้เรียน คา่ เฉลีย่ สว่ นสงู (เซนติเมตร) ข้าวไม่ผสมข้าวโพด จานวน น้าหนักรวม คา่ เฉลี่ย สว่ นสงู ขา้ วผสมขา้ วโพด นกั เรียน (กโิ ลกรมั ) น้าหนกั (เซนติเมตร) 125.28 (คน) (กโิ ลกรัม) 131.25 7 200 28.57 877 4 121 30.25 525 จากตารางเปรียบเทียบข้อมูลพัฒนาการของผู้เรียน ผลการดาเนินงานพบว่า ผู้เรียนใน ศศช. ท่ี กินข้าวซ่ึงหุงเพียงข้าวอย่างเดียว มีอัตราน้าหนักเฉลี่ย 28.57 กิโลกรัม ส่วนสูงเฉลี่ย 125.28 เซนติเมตร และผู้เรียนที่กินข้าวซึ่งหุงผสมข้าวโพด มีอัตราน้าหนักเฉลี่ย 30.25 กิโลกรัม ส่วนสูงเฉลี่ย 131.25 เซนติเมตร จากอัตราเฉล่ียน้าหนักและส่วนสูง สรุปได้ว่าผู้เรียนท่ีกินข้าวผสมข้าวโพด จะมี อัตราเฉลยี่ นา้ หนกั และส่วนสงู มากกว่าผ้เู รียนท่ีกนิ ข้าวท่ีหุงเพยี งข้าวอยา่ งเดียว ผลการดาเนนิ งาน จากการดาเนินกิจกรรมมหัศจรรยข์ ้าวโพดเสรมิ โภชนาการ 1. สามารถแก้ปญั หาให้กบั ผู้เรียนท่ขี ้าวไม่พอกินไดน้ อกจากน้ียงั เพิม่ คุณค่าด้านโภชนาการ เสรมิ สรา้ งพัฒนาการทางรา่ งกายให้เจรญิ เติบโตตามวัย 2. ผเู้ รยี นและผูป้ กครอง มีความร้คู วามเขา้ ใจ และตระหนักเก่ียวกบั คุณค่าทางโภชนาการ ด้านสารอาหารโดยไดน้ าความร้จู ากการหุงข้าวผสมขา้ วโพด ไปใชใ้ นวถิ ชี วี ิตจริง 3. ครู ได้องค์ความรใู้ หม่ ในการแกป้ ญั หาให้กบั ผู้เรียนและชมุ ชนแล้วยงั สามารถนาไป เผยแพร่แกช่ ุมชนและศศช.อ่นื ๆ 4. ดาเนินการเผยแพร่ ดงั นี้ 1) เผยแพร่โดยผเู้ รียนไปถ่ายทอดความรู้และวิธีการแก่ผ้ปู กครองและคนในชุมชน 2) ครูไดจ้ ัดทาเอกสารแผน่ พบั เผยแพร่ เร่ือง การหุงขา้ วผสมขา้ วโพดให้กบั ผ้สู นใจและ เผยแพรผ่ ลงานให้กับเพ่ือนครู ศศช. ภายในกลุม่ 3) จดั ทาเอกสารสรุปรายงานเสนอตน้ สังกัด นาวธิ กี ารหุงขา้ วผสมข้าวโพดไปใช้ที่บา้ น 64 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ปัญหาอุปสรรคและวธิ ีการการแก้ไข ปญั หาอุปสรรค ข้าวที่หงุ ผสมข้าวโพดจะเกบ็ ไว้ไดไ้ ม่นานบูดเสยี งา่ ย วธิ ีการแก้ไข ในการหุงข้าวดว้ ยวิธเี พ่มิ ปริมาณ โดยใชว้ ัตถุดบิ จากข้าวโพด ต้องกะปรมิ าณให้พอดีกบั ท่ีจะ กนิ ในแตล่ ะม้ือ แนวทางการพฒั นาตอ่ เน่ือง ครู ศศช. ของศูนยก์ ารเรียนฯ อื่น ๆ ควรศึกษาเก่ียวกบั วตั ถุดบิ อ่ืน ๆ นอกเหนอื จาก ขา้ วโพดทีจ่ ะนามาเพิม่ ปรมิ าณ เพือ่ แก้ปัญหาเรื่องขา้ วไม่พอกนิ ต่อไป เอกสารอ้างอิง “โภชนาการท่ีดี”. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก : http://www.goldcupfoods.com/benefitsoon001.html (วันที่ค้นข้อมลู 17 กนั ยายน 2556). วิชัย ตนั วจิ ิตร. สารานกุ รมสาหรบั เยาวชนฯ เล่มที่ 9. โภชนาการและสารอาหาร. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.goodfoodgood/life.in.th (วันทีค่ ้นข้อมลู 17 กันยายน 2556). สุรพี ร เกตุงาม. เอกสารประกอบการสอนวิชาธญั พืช ภาควิชาพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธาน.ี [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก : http://www.doae.go.th/plant/corn.htm (วันท่ีคน้ ขอ้ มูล 19 พฤศจิกายน 2555). สานักงานกองทนุ สนับสนนุ การส่งเสรมิ สขุ ภาพ. ความสาคัญของโภชนาการในวัยเด็ก. [ระบบ ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก : http://www. goodfoodgood/life.in.th (วนั ท่คี ้นข้อมลู 17 กนั ยายน 2556). สานักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี. (2551). แผนพัฒนาเด็กและ เยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรม ราชกุมารี ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2550-2559. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พร้ินต้ิงแอนด์พับลิ่ชช่ิง จากัด (มหาชน). 65 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตัวอยา่ งท่ี 2 : ดา้ นการศกึ ษา เด็กน้อยช่วยสอน ผศู้ ึกษา นางสาวประทมุ วดี กล่อมศรี สถานศกึ ษา ศนู ย์การเรยี นชมุ ชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟา้ หลวง” บา้ นหว้ ยเฮียะ ตาบลแมค่ ง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอาเภอแมส่ ะเรยี ง สานกั งานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั จังหวัดแม่ฮ่องสอน บทคัดย่อ แนวปฏบิ ตั ทิ ดี่ ี ดา้ นการศึกษา เรอ่ื ง เดก็ นอ้ ยชว่ ยสอน เปน็ กิจกรรมตามโครงการพัฒนาเด็ก และเยาวชนในถ่ินทุรกนั ดารตามพระราชดารสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ของ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยเฮียะ หมู่ท่ี 4 ตาบลแม่คง อาเภอ แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้และทักษะภาษาไทยไป ถ่ายทอดให้กับผู้อ่ืนได้ และเพื่อให้เยาวชนและผู้ใหญ่ในชุมชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย สามารถส่ือสาร ภาษาไทยในระดับเบ้ืองต้นได้ จานวนกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้เรียนเด็ก 15 คน เยาวชน และผู้ใหญ่ใน ชุมชนบ้านห้วยเฮียะ 30 คน โดยครู ผู้เรียน และชาวบ้านห้วยเฮียะ ร่วมกันสารวจวิเคราะห์สภาพ ปัญหา ความต้องการของชุมชน เพ่ือนาข้อมูลมาวางแผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับ สภาพปัญหา ความตอ้ งการและวถิ ชี ีวิตของชุมชน ผลการดาเนินงาน พบว่าผู้เรียนนาความรู้และทักษะภาษาไทย ไปถ่ายทอดให้กับผู้อื่น และ เยาวชนผู้ใหญ่ในชุมชนบ้านห้วยเฮียะ สามารถเขียนชื่อ สกุลของตนเองได้ แทนการพิมพ์ลายนิ้วมือ และสามารถสื่อสารภาษาไทยในชวี ิตประจาวันในระดบั เบอ้ื งต้นได้ 66 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 ได้กาหนดความมุ่งหมายและหลักการใน มาตรา 6 ไว้ว่าการจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทยใหเ้ ปน็ มนษุ ย์ท่ีสมบูรณ์ทั้งรา่ งกาย จิตใจ สตปิ ัญญา ความรู้และคณุ ธรรม มีจรยิ ธรรมและวฒั นธรรมในการดารงชวี ิต สามารถอยูร่ ่วมกับผู้อ่ืนได้ อย่างมีความสุข และการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้ และถือว่าผเู้ รียนสาคัญทส่ี ุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ และในมาตรา 25 รัฐต้องส่งเสริมการดาเนินงานการจัดตั้งแหล่ง เรยี นรตู้ ลอดชวี ติ ทกุ รูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน เป็นตน้ และแหล่งเรียนรู้อื่นอย่างพอเพียงและ มีประสิทธภิ าพ การส่งเสริมการรู้หนังสือ เป็นการจัดการเพื่อมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนท่ีไม่รู้หนังสือ หรือลืม หนังสือได้มีโอกาสเรียนรู้ภาษาไทย อ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็น เพ่ือใช้ในชีวิตประจาวันที่เป็น พื้นฐานจาเป็น เพื่อติดต่อหน่วยราชการ ติดตามข่าวสารต่าง ๆ และเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ท่ี จาเป็นในการดารงชวี ติ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยเฮียะ ให้ความสาคัญในการจัด การศึกษาแก่ชุมชนเพ่ือส่งเสริมการรู้หนังสือ จึงได้จัดทาโครงการ “เด็กน้อยช่วยสอน” โดยให้ผู้เรียน สวมบทบาทเป็นครูอาสาเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกระบวนการเรียนการสอนภาษาไทย เพ่ือให้การ เรียนรู้น้ันตอบสนองความต้องการและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน และช่วยแก้ปัญหาการไม่รู้ หนังสือของชุมชน อีกท้ังยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เรียน และชุมชน ก่อให้เกิดความรัก ความสามคั คี และความอบอุ่นในครอบครวั และชมุ ชน วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถนาความรูแ้ ละทักษะภาษาไทย ไปถ่ายทอดให้กบั ผ้อู น่ื ได้ 2. เพ่ือให้เยาวชน และผู้ใหญ่ในชุมชน ซ่ึงเป็นกลุ่มเป้าหมาย สามารถสื่อสารภาษาไทยใน ระดบั เบอ้ื งต้นได้ เป้าหมาย เชงิ ปริมาณ 1. ผเู้ รยี น 15 คน 2. เยาวชน และผู้ใหญ่ ในชมุ ชนบ้านหว้ ยเฮยี ะ 30 คน 67 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

เชงิ คุณภาพ ผู้เรียนที่เป็นครูอาสาสอน สามารถนาความรู้และทักษะภาษาไทย ไปถ่ายทอดให้กับ เยาวชน และผใู้ หญใ่ นชุมชน ให้สอื่ สารภาษาไทยในระดับเบอื้ งต้นได้ กระบวนการดาเนินงาน ขัน้ ตอนการจัดกจิ กรรม 1. ครูและผู้เรียน ร่วมกันสารวจผู้ไม่รู้หนังสือของชุมชนบ้านห้วยเฮียะ โดยใช้แบบสารวจ การรหู้ นงั สือและความตอ้ งการทางการศึกษา 2. ครู และผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลจากการสารวจและวางแผนการจัดกระบวนการ เรยี นรูใ้ ห้สอดคลอ้ งกับสภาพปญั หา ความต้องการ และวิถีชวี ิตของชุมชน 3. ครูให้ความรู้วิธีการถ่ายทอดให้กับผู้เรียน เพื่อเป็นแนวทางในการสอนผู้ไม่รู้หนังสือ ซึ่ง เป็นเยาวชน และผูใ้ หญ่ ในชุมชน 4. ผู้เรียนจัดเตรียมสื่อ/อุปกรณ์ในการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย เช่น แบบเรียนเพื่อการรู้ หนังสอื สาหรับกลุ่มเป้าหมายบนพน้ื ทส่ี งู บตั รคา และรูปภาพ 5. ผู้เรียน สวมบทบาทเป็นครูอาสา มาช่วยสอนภาษาไทยแก่ผู้ไม่รู้หนังสือในชมุ ชน โดยใช้ สอื่ ประกอบการเรยี นรภู้ าษาไทย เช่น การใชบ้ ัตรคา แบบเรยี นเพอ่ื การรู้หนงั สือสาหรับกลุ่มเปา้ หมาย บนพื้นท่ีสูง หรือ รูปภาพต่าง ๆ เพราะสื่อเหล่านี้เป็นส่วนสาคัญในการฝึกทักษะการฟัง การพูด การ อ่านและการเขียน โดยให้ผู้เรียนเด็กเน้นการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยเกี่ยวกับคาศัพท์ท่ีใช้ใน ชีวิตประจาวัน ในขณะท่ีมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูได้ติดตามและสังเกตการดาเนิน กจิ กรรม 6. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 6.1 ครูเป็นผู้ดาเนินการวัดผลการเรียนรู้ โดยใช้แบบทดสอบการรู้หนังสือ ซ่ึงวัด ทักษะด้านการอ่าน (10 คะแนน) ดา้ นการฟงั /พดู /ส่ือสาร (20 คะแนน) และด้านการเขียน (20 คะแนน) 6.2 เกณฑก์ ารผา่ น ตอ้ งไดค้ ะแนนของแตล่ ะดา้ น ไม่นอ้ ยกว่า ร้อยละ 50 การเตรียมบัตรคา แบบเรยี นการรู้ หนงั สอื เด็กสอนภาษาไทยใหก้ บั ผู้ใหญ่ในชมุ ชน 68 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ผลการดาเนินงาน 1. จากการประเมินผลการเรียนรู้ภาษาไทย ของกลุ่มเยาวชน และผู้ใหญ่ในชุมชนบ้านห้วย เฮียะ มผี ลการเรียนรสู้ รปุ ได้ ดงั น้ี 1.1 การอ่าน - มผี ลการเรียนอย่ใู นเกณฑ์ระดบั ดี จานวน 11 คน - มีผลการเรียนอยใู่ นเกณฑร์ ะดับ พอใช้ จานวน 19 คน 1.2 การฟงั /การพดู /สอ่ื สาร - มผี ลการเรยี นอยู่ในเกณฑร์ ะดบั ดมี าก จานวน 8 คน - มีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ระดบั ดี จานวน 12 คน - มีผลการเรียนอยใู่ นเกณฑร์ ะดบั พอใช้ จานวน 10 คน 1.3 การเขยี น - มผี ลการเรยี นอยูใ่ นเกณฑ์ระดับ ดี จานวน 13 คน - มีผลการเรยี นอยูใ่ นเกณฑร์ ะดับ พอใช้ จานวน 17 คน 2. เยาวชนและผู้ใหญใ่ นชุมชนบา้ นห้วยเฮยี ะ สามารถเขยี นช่ือ สกลุ ของตนเองได้ 3. การให้ผู้เรียนเป็นอาสาสมัครช่วยสอนนับเป็นแนวทางการส่งเสริมการรู้หนังสือได้เป็น อยา่ งดี 4. ดาเนินการเผยแพร่ ดงั น้ี 1) สรุปผลดาเนินการจัดกจิ กรรมเดก็ น้อยช่วยสอนให้สถานศกึ ษา 2) รายงานผลการจัดกิจกรรมเด็กน้อยช่วยสอน ในการประชุมของสถานศึกษา กศน. อาเภอ และสานักงาน กศน.จงั หวัด สรปุ ผลดาเนินกิจกรรมเด็กนอ้ ยชว่ ยสอน 69 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ปัญหา อุปสรรค และวธิ ีการแกไ้ ข ปญั หา อปุ สรรค เยาวชน และผู้ใหญ่ในชุมชนบ้านห้วยเฮียะ ส่วนใหญ่จะมีอาชีพทาไร่ ทานา จึงทาให้ไม่มี เวลาทจ่ี ะเรยี นร้ภู าษาไทย วธิ ีการแก้ไข 1. ส่งเสริมให้ชุมชนบ้านห้วยเฮียะเห็นความสาคัญของการศึกษา ท่ีจะช่วยพัฒนาคุณภาพ ชีวิตใหด้ ขี นึ้ 2. อาสาสมัครต้องใช้เวลาหลังจากเลิกเรียนจนถึงเวลากลางคืนทาการจัดกระบวนการ เรยี นรูภ้ าษาไทย แนวทางการพฒั นาต่อเน่อื ง ครู ศศช. ควรทาดาเนนิ กิจกรรมเดก็ น้อยชว่ ยสอนสู่ครอบครวั ของตนเอง และชมุ ชน เอกสารอ้างองิ สานกั งานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี. การประชมุ วิชาการ “แนวปฏิบัติ ที่ดีในการพัฒนาเด็กและเยาวชนตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพ รตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี”. (2554). กรงุ เทพฯ : บรษิ ัท พ.ี เอ.ลฟี วิ่ง จากัด. สานกั งานโครงการสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี. แผนพัฒนาเด็กและเยาวชน ในถ่ินทุรกันดารตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ฉบับท่ี 4 พ.ศ. 2550-2559. (2551). กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับล่ิชชง่ิ จากัด (มหาชน). 70 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตวั อย่างที่ 3 : ดา้ นการสง่ เสริมอาชีพ สร้างคุณค่าผ้าทอกะเหร่ียง ผศู้ ึกษา นางพรพิมล สวัสดี สถานศึกษา ศนู ย์การเรยี นชุมชนชาวไทยภูเขา “แมฟ่ า้ หลวง” บา้ นขุนอมแฮดใน ตาบลสบโขง อาเภออมก๋อย จงั หวัดเชียงใหม่ ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภออมก๋อย สานักงานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวดั เชยี งใหม่ บทคดั ย่อ แนวปฏิบัติที่ดี ด้านอาชีพ เร่ือง สร้างคุณค่าผ้าทอกะเหรี่ยง บ้านขุนอมแฮดใน อาเภออม ก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ มุ่งพัฒนาสมาชิกกลุ่มทอผ้าซึ่งเป็นผู้ใหญ่และเด็กเร่ืองการทอผ้าควบคู่กันไป โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนากลุ่มอาชีพทอผ้ากะเหรี่ยงย้อมสีธรรมชาติบ้านขุนอมแฮดในให้ สามารถผลติ และจาหนา่ ยผลติ ภัณฑจ์ ากผ้าทออยา่ งมคี ุณภาพ และมีรายไดเ้ พม่ิ ข้นึ และ 2) เพือ่ ให้เด็ก และเยาวชนได้เรียนรูว้ ิธกี ารทอผ้ากะเหรย่ี งจากภมู ปิ ัญญาในทอ้ งถน่ิ สามารถนามาใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน และนาไปประกอบอาชีพได้ การดาเนินงานโครงการน้ีได้ประสานงานดาเนินการร่วมกับเครือข่าย ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริม อุตสาหกรรมภาคท่ี 1 จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานสหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานตรวจบัญชี สหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพัฒนากลุ่มทอผ้าและภูมิปัญญาในท้องถ่ินร่วมดาเนินงานกันจัด กระบวนการเรียนรู้เรื่องการทอผ้าให้ผูใ้ หญ่ เดก็ และเยาวชน ผลการดาเนินงานพบว่า สมาชิกกลุ่มทอผ้ากะเหรี่ยงจานวน 40 คน มีความรู้ความเข้าใจ เรอื่ ง การบริหารจัดการกลุ่ม และดาเนินธุรกิจของกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์ เด็กและเยาวชนจานวน 15 คน สามารถนาผ้าที่ทอได้ทาเป็นเครื่องแต่งกายนักเรียน เป็นกระบวนการอนุรักษ์สืบทอดภูมิปัญญาและ สร้างอาชพี ได้เปน็ อย่างดี ชาวบ้านมีรายได้เพม่ิ ขึ้นจากการจาหนา่ ยผลิตภณั ฑผ์ า้ ทอให้กบั ร้านภฟู ้าและ แหล่งจาหน่ายอืน่ ๆ 71 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา ชุมชนบนพ้ืนที่สูงบ้านขุนอมแฮดใน หมู่ท่ี 5 ตาบลสบโขง อาเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ มีประชากร 367 คน 92 ครัวเรือน 89 หลังคาเรือน เป็นชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหร่ียง อยู่ห่างจากตัว อาเภออมก๋อย 9 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 20 นาที ชนเผ่ากะเหร่ียงเป็นชุมชนท่ีประกอบ อาชีพเกษตรเพื่อการยังชพี และมีการทอผ้าเพื่อใช้เป็นเคร่ืองนุ่งหม่ โดยใช้ก่ีเอวมาแต่โบราณโดยมีการ ออกแบบลวดลายผา้ เป็นเอกลกั ษณข์ องตนเอง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักว่าลาพังการพัฒนาเด็ก และเยาวชนเพียงกลุม่ เปา้ หมายเดียวไมพ่ อจะพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ให้เกิดความมั่นคงได้ จงึ พระราชทาน ทุนเพื่อใช้ดาเนินการพัฒนากลุ่มทอผ้าในพื้นที่อาเภออมก๋อยจังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2539 เพ่ือใช้ใน ดาเนินการฝึกอบรมพัฒนาเทคนิคและฝีมือจัดซื้ออุปกรณ์ และวัตถุดิบ ช่วยเหลือเรื่องการตลาด โดย นาผลิตภัณฑ์ของชาวบ้านไปจาหน่ายท่ีร้านภูฟ้า ปัจจุบันปี 2556 เกิดกลุ่มทอผ้าในอาเภออมก๋อย จงั หวัดเชียงใหม่ จานวน 9 กลมุ่ และกลุม่ ทอผ้ากะเหร่ียงบ้านขนุ อมแฮดใน เปน็ กล่มุ หน่ึงท่ีได้รับการ พัฒนาตามแนวพระราชดาริของพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จากการดาเนินงานท่ี ผ่านมาพบปัญหาหลายเรื่อง เช่น เร่ืองคุณภาพสินค้า การบริหารจัดการกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์ การ จัดทาบัญชี การตลาด การพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัว ของสมาชิกกลุ่ม ครอบครัวมีรายได้น้อย และเรอ่ื งการถา่ ยทอดองคค์ วามรเู้ ร่ืองการทอผา้ กับเด็กและเยาวชน เปน็ ต้น เพ่ือสนองงานโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ในการส่งเสริมอาชีพ จึงมี แนวทางแกไ้ ขปัญหาโดยดาเนินงานโครงการสรา้ งคุณค่าผา้ ทอกะเหรี่ยงบ้านขนุ อมแฮดในข้ึน สถานที่ทอผ้าในชุมชนบา้ นขุนชมแฮดใน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนากลุ่มอาชีพทอผ้ากะเหรี่ยงย้อมสีธรรมชาติบ้านขุนอมแฮดในให้สามารถผลิต และจาหนา่ ยผลติ ภณั ฑ์จากผ้าทออยา่ งมคี ณุ ภาพ และมีรายได้เพิม่ ขึน้ 2. เพือ่ ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรวู้ ธิ ีการทอผ้ากะเหรีย่ งจากภูมิปัญญาในท้องถิ่น สามารถ นามาใช้ในชวี ิตประจาวันและนาไปประกอบอาชพี ได้ 72 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

เป้าหมาย เชงิ ปรมิ าณ 1. สมาชกิ กลมุ่ ทอผา้ กะเหรย่ี งยอ้ มสีธรรมชาติบ้านขุนอมแฮดใน จานวน 40 คน 2. เดก็ และเยาวชนบา้ นขนุ อมแฮดใน จานวน 15 คน เชงิ คุณภาพ 1. สมาชิกกลุ่มทอผ้ากะเหรี่ยงย้อมสีธรรมชาติบ้านขุนอมแฮดใน เกิดความรู้ทักษะในการ ผลิต การบริหารจัดการกลุ่ม และการตลาด สามารถนาความรู้และรายได้ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพ ชวี ิตของครอบครวั 2. เด็กและเยาวชนมีความรู้ ทักษะการทอผ้ากะเหร่ียงเป็นกระบวนการสืบทอดอนุรักษ์ และสรา้ งงานอาชีพ กระบวนการดาเนินงาน 1. จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนร้เู พ่ือทราบถึงพัฒนาการกลุ่ม สภาพปัญหา ข้อเสนอแนะในการ แกป้ ญั หากลมุ่ ทอผ้ากะเหร่ียงยอ้ มสีธรรมชาตบิ า้ นขนุ อมแฮดใน 2. จัดทาโครงการและทาแผนกิจกรรมพัฒนากลุ่มทอผ้าในเร่ืองเทคนิคการผลิต การแปร รูปและการตลาด การจัดตั้งกลุ่มรูปแบบสหกรณ์ การจัดทาบัญชี และหลักสูตรการทอผ้าสาหรับเดก็ และเยาวชน 3. ประสานงานหน่วยงาน/เครือข่ายท่ีเก่ียวข้องเพ่ือฝึกอบรมพัฒนาทักษะของกลุ่ม ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคท่ี 1 ถนนทุ่งโฮเต็ล จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานสหกรณ์เชียงใหม่ สานกั งานตรวจบัญชสี หกรณจ์ งั หวัดเชียงใหม่ และภมู ปิ ัญญาในหมู่บ้าน 4. ดาเนินการจัดกิจกรรมตามแผนงานท่ีกาหนดและสามารถปรับเปล่ียนกิจกรรมได้ตาม ความเหมาะสม 5. ติดตามและประเมนิ ผลร่วมกบั หนว่ ยงาน/เครือข่ายทีเ่ ก่ยี วข้อง 6. สรุปและจัดทารายงานผลการดาเนินงาน และเผยแพรไ่ ปยังหน่วยงานทเี่ กีย่ วขอ้ ง วธิ ีการจัดกิจกรรม 1. การดาเนินกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เรื่องการทอผ้ากะเหรี่ยงเด็กและเยาวชนเร่ืองการ ทอผ้ากะเหร่ียงท่ีศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา“แม่ฟ้าหลวง” (ศศช.) บ้านขุนอมแฮดใน โดยครู เชญิ วิทยากรในหมู่บ้านมาให้ความรู้ด้านการย้อม การทอ โดย ศศช. สนับสนุนวตั ถดุ บิ ฝ้ายทอสาหรับ ทอผ้าจากนั้นครูแนะนาให้เด็กและเยาวชนนาไปฝึกย้อมฝ้ายและทอเป็นผ้าท่ีบ้านร่วมกับผู้ปกครอง จากน้นั นาผ้าทอสีชมพู สมี ว่ ง มาทาเป็นเส้ือสาหรบั สวมใส่มาเรยี น 73 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

2. การดาเนนิ กจิ กรรมรว่ มกบั กลุม่ ทอผา้ ยอ้ มสีธรรมชาตบิ า้ นขนุ อมแฮดใน 2.1 จัดประชุมวางแผนเตรียมการผลิตโดยมีขนึ้ ตอน ดังนี้ เสนอปริมาณการผลิตผ้าทอ กะเหรี่ยงในรอบปีต่อรา้ นภูฟ้า (ในวัง) เม่ือได้รับคาตอบจากร้านภูฟ้าวา่ ในรอบปีสามารถรบั สนิ ค้าของ กลุ่มได้ปริมาณเท่าไหร่จากนน้ั ครแู ละสมาชิกกลุ่มประชุมแบ่งงานการผลติ ให้สอดคลอ้ งกบั ปริมาณและ ความต้องการของรา้ นภฟู า้ ในแตล่ ะงวด (1 ปี มี 4 งวด) 2.2 การพัฒนาเทคนิคการย้อมฝ้ายด้วยสีธรรมชาติเพื่อแก้ไขปัญหาดา้ นคุณภาพของผ้า ทอ ประเด็นสาคัญอยู่ที่มีการย้อมสีฝ้ายแต่เดิมการผสมสีฝ้ายใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น เปลือกมะม่วง เปลือกปือ ใบเสาวรส คร่ัง เพกา จากการไปศึกษาดูงานแล้วนามาทดลองทา จึงพบว่าการนาฝ้ายที่ ย้อมสีในคร้ังแรกมาทาการย้อมทับโดยใช้วัสดุ จุลสี สนิมเหล็ก ปูนขาว ปูนแดง จะทาให้สีของฝ้ายมี ความแก่อ่อนอยู่ในโทนสีเดียวกนั ตวั อยา่ งเชน่ ฝา้ ยที่ย้อมครั้งแรกดว้ ยเปลือกมะม่วงแล้วนามาปั่นน้าที่ ใช้จุลสี 100 กรัม เกลือ 2 ซ้อนโต๊ะ น้าสะอาด 5 ลิตร จะทาให้ฝ้ายเกิดสีเปลี่ยนแปลงสีเขียวเหลือง แก่ เหลืองออ่ น เหลอื งปนน้าตาลเปน็ ตน้ 2.3 การพัฒนาลวดลายผ้าทอกะเหรี่ยง แต่เดิมนิยมทอผ้าเพียงลวดลายเดียวกันทั้งผืน โครงการฯ น้ีได้เชิญวิทยากรจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 มาให้ความรู้เรื่องการประยุกต์ ลวดลายต่าง ๆ เพิม่ ข้ึนเช่นลายดาว ลายดอกพิกลุ ลายกรงไก่ ลายฟนั ปลา ลายสามเหล่ยี มและมีการ พฒั นาผลิตภัณฑ์เปน็ ผา้ พันคอ เสอื้ ผ้าคลมุ่ ไหล่ เปน็ ต้น 2.4 การบริหารจัดการกลุ่มอาชีพทอผ้ากะเหร่ียงโดยวิธีสหกรณ์ สานักงานตรวจบัญชี สหกรณ์เชียงใหม่ให้ความรู้เรื่องการจัดทาบัญชี รายรับรายจ่าย ค่าตอบแทนสมาชิก ลูกหน้ี เจ้าหน้ี วัตถุดิบคงเหลือ ค่าใช้จ่ายในการดาเนินงานสรุปผลการดาเนินงานเป็นไตรมาส และร่วมกันติดตาม และประเมนิ ผล เป็นผลให้ทางกลุ่มมีหุ้นและกองทุนเพิม่ ข้ึน กิจกรรมการทอผา้ ของกลมุ่ สมาชกิ 74 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ผลการดาเนินงาน 1. ผู้เรียนที่เป็นเด็กและเยาวชนเกิดทักษะจากกระบวนการเรียนรู้เร่ืองการทอผ้าจากภูมิ ปัญญาในชุมชน สามารถนาผ้าท่ีทอได้ไปทาเป็นชุดนักเรียนและเห็นช่องทางประกอบอาชีพ เป็น กระบวนการอนรุ ักษ์และสบื ทอดองค์ความรู้ในชุมชน 2. กลุ่มสมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่สามารถนาความรู้ที่ได้รับไปพัฒนากลุ่มและพัฒนาคุณภาพของ ผ้าทอได้อย่างต่อเนื่อง สมาชิกเห็นความสาคัญของการรวมกลุ่ม รู้บทบาทและหน้าที่ของตนเองเกิด การมสี ่วนรว่ มมากข้นึ 3. กลุ่มสมาชิกได้มีงานทา มีรายได้จากการจาหน่ายสินค้าในปี 2556 ตลาดพึ่งพิงร้านภูฟ้า ศูนย์ศิลปาชีพ เทศกาลงานต่าง ๆ ในอาเภอ ศูนย์โอทอป ร้านค้าในอมก๋อย เป็นเงิน 658,391 บาท นอกจากน้ี กรมส่งเสริมอตุ สาหกรรมได้ส่งั ซ้ือผ้าทอเพ่ือนาไปแปรรปู สินคา้ มลู ค่าเป็นเงนิ 247,890 บาท ลายผา้ ทอกะเหรี่ยงประยกุ ต์ ๔. ดาเนินการเผยแพร่ โดยจัดทาเอกสาร ได้แก่ หลักสูตรท้องถิ่นรายงานสรุปและ ประเมินผลการดาเนินงานและเผยแพร่ให้กับหน่วยงานและเครือข่ายท่ีเกี่ยวข้องทราบ และใช้ชุมชน เปน็ ฐานแลกเปล่ยี นเรียนรู้เรื่องการทอผ้าให้กบั ผู้ที่สนใจและชมุ ชนอ่ืน ๆ ปญั หา อปุ สรรค และวธิ ีการแก้ไข ปัญหา อุปสรรค สมาชิกกลุ่มทอผ้ากะเหร่ียงบ้านขุนอมแฮดในท่ีมีอายุ 35 - 60 ปี ส่วนใหญ่ไม่ยอมใช้ ภาษาไทยในการส่อื สาร จึงเปน็ อุปสรรคต่อการนาเอาวธิ ีการสหกรณม์ าใชใ้ นการบริหารจัดการกลมุ่ วิธีการแก้ไข ศศช.บ้านขุนอมแฮดใน จึงเน้นการเรียนการสอนภาษาไทย โดยใช้หลักสูตรผู้ไม่รู้หนังสือ โดยใชส้ ่ือวดี ิทัศน์และสื่ออ่นื ๆ ประกอบ 75 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

แนวทางการพัฒนาตอ่ เนอื่ ง ครู ศศช. ควรทาหนา้ ท่ีเปน็ ท่ีปรึกษาการดาเนนิ งานของกลุ่มทอผา้ ควบคูไ่ ปกบั การพฒั นา อาชีพสมาชิกกลุ่มทอผ้าอย่างตอ่ เนอ่ื ง เอกสารอ้างอิง สานักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี. (2551). แผนพัฒนาเด็กและ เยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรม ราชกุมารี ฉบับท่ี 4 พ.ศ. 2550-2559. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิ่ชชิ่ง จากัด (มหาชน). 76 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตัวอย่างที่ 4 : ดา้ นการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม ปา่ ตน้ น้า นาแสงสวา่ ง สรา้ งความรู้ สชู่ ุมชน ผู้ศึกษา นายวีระชยั พายหุ มนุ วน และ นางสาวสรุ ีย์ ยิง่ ตระกูลไพร สถานศึกษา ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านแม่ด๊ึ หมทู่ ี่ 5 ตาบลแม่คง อาเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอแมส่ ะเรยี ง สานักงานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวดั แมฮ่ ่องสอน บทคัดยอ่ แนวปฏิบัติที่ดี ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ป่าต้นน้า นาแสงสว่าง สร้างความรู้ สู่ชุมชน เป็นกิจกรรมตามโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ินทุรกันดาร ตามพระราชดารสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ของศูนยก์ ารเรียนชมุ ชนชาวไทย ภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านแม่ด๊ึ ตาบลแม่คง อาเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งดาเนินการ ต่อเน่ืองจากโครงการสร้างไฟฟ้าพลังงานน้าในศูนย์การเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้เรียนและ ชุมชนตระหนักเห็นคุณค่าและ ความสาคัญของทรัพยากรป่าต้นน้าซ่ึงเป็นแหล่งกาเนิดไฟฟ้าพลังงาน น้าในชุมชน และมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าพลังงานน้าตลอดจนมีส่วนร่วมในการดูแล รั กษาทรั พย า กร ป่าต้ น น้ าข อ งชุมช น โ ด ย ค รู แล ะผู้ เ รี ย น ร่ ว ม กัน ส าร ว จ ส ภ า พ พื้ น ท่ีป่ า ต้ น น้ า แ ม่ ดึ๊ วิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางแก้ไข จัดทาข้อตกลงร่วมกับชุมชน วางแผนการจัดกิจกรรมให้ ความรู้กับผู้เรียนได้แก่เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ จัดหาอาสาสมัครผู้ดูแลป่าต้นน้าแม่ดึ๊ จัดทาภารกิจ ของผดู้ แู ลป่าต้นนา้ แม่ด๊แึ ละภารกิจของชาวบา้ น ร่วมทง้ั สรปุ ผลการดาเนินงาน 77 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ผลการดาเนินงานพบว่าผู้เรียนและชุมชนตระหนักเห็นคุณค่าและความสาคัญของ ทรพั ยากร ป่าตน้ นา้ มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั ระบบไฟฟา้ พลงั งานน้า ชมุ ชนมีขอ้ ตกลงเกย่ี วกบั เขต พ้ืนที่ทากิน และเขตพ้ืนท่ีป่าต้นน้าเพ่ือการอนุรักษ์ เกิดอาสาสมัครผู้ดูแลป่าต้นน้าแม่ด๊ึ และชุมชนมี ส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรป่าต้นน้าของชุมชนครูและชาวบ้านขยายระบบไฟฟ้าพลังงานน้า จาก ศศช.เขา้ ชมุ ชนไดจ้ านวน 10 ครัวเรือน และเตรยี มความพรอ้ มในการขยายต่อไปอีก 15 ครวั เรอื น เพือ่ ใหช้ ุมชนมรี ะบบไฟฟา้ ครอบคลุมท้งั ชุมชน ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา บ้านแมด่ ึ๊ ตาบลแม่คง อาเภอแม่สะเรียง จังหวัดแมฮ่ ่องสอนเป็นชุมชนที่ตง้ั อย่ใู นพืน้ ท่ีป่าต้น น้าปัญหาที่พบในชุมชนเช่นการบุกรุกทาลายป่าเพื่อการประกอบอาชีพ ส่งผลให้ป่าต้นน้าถูกบุกรุก ทาลายอยา่ งมากมาย เม่อื ส่ิงแวดล้อมถูกทาลาย ชุมชนจึงประสบปญั หาน้าท่วมฉบั พลันและน้าป่าไหล หลากในฤดูฝนรวมถึงการชะล้างพังทลายลงมาของหน้าดิน และในฤดูร้อนชุมชนก็จะประสบปัญหา ขาดแคลนนา้ อปุ โภคบริโภคมานานหลายปี นอกจากนจี้ ากการที่ครู ศศช. ไปเย่ยี มชุมชนและได้รับการ ชักชวนจากชาวบ้านให้ไปดูการทาไร่ ทาให้ครูสังเกตเห็นว่าพื้นที่ป่าต้นน้าถูกทาลายเป็นบริเวณกว้าง ครจู ึงคดิ ว่าหากชาวบ้านยังคงทาไร่ในบรเิ วณพื้นทด่ี ังกล่าวอยู่ คงจะทาให้พน้ื ทปี่ ่าต้นน้าแม่ดึ๊ถูกทาลาย เพิ่มมากข้ึน จนส่งผลทาให้น้าในลาห้วยลดลงไปเรื่อย ๆ และท่ีสาคัญก็จะทาให้ไม่มีน้าที่เพียงพอ สาหรับผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลงั งานน้าจา่ ยไปยัง ศศช. และชุมชน ตลอดจนชาวบ้านก็จะขาดแคลน น้าในการอปุ โภคบริโภค ดังน้ันครูจึงพูดคุยแลกเปล่ียนเรียนรู้กับชาวบ้านที่ทาไร่อยู่บริเวณน้ัน ซึ่งชาวบ้านมีความ เขา้ ใจ ตระหนกั ถงึ ผลกระทบทจี่ ะเกิดขน้ึ ในอนาคตของลูกหลาน สภาพนา้ หลากในฤดผู น สภาพพ้ืนทปี่ า่ ทีถ่ ูกแผ้วถางเพื่อทาไร่ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านแม่ด๊ึ จึงจัดทาโครงการอนุรักษ์ ทรัพยากรป่าต้นน้า ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการสร้างไฟฟ้าพลังงานน้าในศศช.ข้ึนเพื่อให้ ผู้เรียนและชุมชนตระหนักเห็นคุณค่าและความสาคัญของทรัพยากรป่าต้นน้ามีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกบั ระบบไฟฟา้ พลงั งานนา้ และมสี ว่ นร่วมในการดูแลรกั ษาทรพั ยากรป่าต้นน้าของชมุ ชน 78 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

วัตถุประสงค์ 1. เพ่อื ใหช้ มุ ชนตระหนกั เหน็ คุณคา่ และความสาคญั ของทรพั ยากรป่าตน้ น้า 2. เพือ่ ให้ชมุ ชนมีความรคู้ วามเข้าใจเกยี่ วกบั ระบบไฟฟา้ พลังงานน้า 3. เพอ่ื ให้ชมุ ชนมสี ่วนรว่ มในการดแู ลรักษาทรพั ยากรป่าตน้ น้าของชมุ ชน 4. เพื่อขยายระบบไฟฟา้ พลงั งานนา้ จาก ศศช. ให้ครอบคลุมทกุ ครัวเรอื น เป้าหมาย เชิงปรมิ าณ ประชากรบา้ นแมด่ ๊จึ านวน 25 ครวั เรือน ผู้เรียนเด็ก จานวน 17 คน เชิงคุณภาพ ชุมชนมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการดูแล รักษาทรัพยากรป่าต้นน้าของชุมชน ตลอดจน มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรป่าต้นน้าของชุมชน อันนาไปสู่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ มเพื่อให้ชุมชนไดร้ ับประโยชนส์ ูงสุดในการดารงชีวิต และชุมชนมีระบบไฟฟ้าครอบคลุม ทกุ ครวั เรอื น กระบวนการดาเนนิ งาน 1. ครู สารวจสภาพพ้ืนท่ีป่าต้นน้าแม่ดึ๊ ท่ีเป็นต้นกาเนิดแหล่งผลิตระบบไฟฟ้าพลังงานน้า สาหรบั จา่ ยกระแสไฟฟา้ ใน ศศช.ในปี พ.ศ. 2554 - 2555 2. ครูและชาวบ้านท่ีทาข้าวไร่บริเวณพ้ืนท่ีป่าต้นน้าแม่ด๊ึร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาท่ีเกิดจาก การทาไรแ่ ละรว่ มกันหาแนวทางแกป้ ัญหา 3. ครูและชาวบ้านนาปัญหาท่ีร่วมกันวิเคราะห์แล้วนาสู่ที่ประชุมชาวบ้านเพื่อให้ชาวบ้าน ร่วมกันสรุปปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาครู และชาวบ้าน จัดทาข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับเขตพื้นที่ ทากนิ และเขตพนื้ ทปี่ า่ ต้นน้าแมด่ ึ๊ซง่ึ เป็นพ้นื ทปี่ ่าเพ่อื การอนุรักษ์ ประชมุ วางแผนร่วมกบั ชาวบ้าน 79 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

การกาหนดเชตพื้นที่ป่าใชส้ อยและป่าอนรุ ักษ์ 4. ครแู ละชาวบา้ นรว่ มกนั วางแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นร้เู พอ่ื การอนุรักษ์พน้ื ท่ีปา่ ต้นนา้ แมด่ ๊ึ 5. ครูจัดกิจกรรมใหค้ วามรูใ้ ห้กับผูเ้ รียนไดแ้ กเ่ ดก็ เยาวชน และผ้ใู หญใ่ นชุมชน 5.1 ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเด็กใน ศศช. โดยการสอดแทรกความรู้ ในบทเรียนและร่วมกิจกรรมอนุรกั ษ์ปา่ ตน้ นา้ แมด่ ึ๊ 5.2 ครูจัดกิจกรรม “แสงสว่างแลกความรู้ภาษาไทยในครัวเรือน” โดยกาหนดข้อตกลง ให้ครัวเรือนที่เช่ือมต่อระบบไฟฟ้าพลังงานน้าจากศศช.ต้องแลกเปล่ียนเรียนรู้ภาษาไทยที่บ้านในเวลา กลางคนื 6. ครแู ละชุมชนร่วมกันจัดหาอาสาสมคั รผูด้ ูแลป่าตน้ น้าแมด่ ใ๊ึ นชว่ งการจดั ประชมุ ชาวบา้ น 7. ครูและอาสาสมคั รร่วมกันสารวจสภาพพ้ืนท่ีบรเิ วณปา่ ตน้ นา้ แม่ด๊ึ 8. ครูและอาสาสมัครร่วมกันจัดทาภารกิจของผดู้ ูแลป่าต้นน้าแม่ด๊ึและภารกิจของชาวบ้าน ในการมีสว่ นเขา้ ร่วมกจิ กรรมอนรุ กั ษ์ป่าตน้ นา้ แมด่ ๊ึ 9. ครูและชาวบ้านจานวน 10 ครัวเรือนได้ขยายระบบไฟฟ้าพลังงานน้าจาก ศศช. เข้าสู่ ครัวเรือน 10. ครู ชาวบ้าน และเครือข่าย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เตรียมการขยายระบบไฟฟ้าพลังงานน้า สาหรบั ครวั เรือนอกี 15 ครวั เรือน เพอ่ื ให้ครอบคลุมทงั้ ชมุ ชน 11. ครูและชาวบ้านร่วมกนั สรปุ ผลการดาเนินงาน ไฟฟ้าพลังงานน้านาแสงสว่างเขา้ สู่ครวั เรอื นในชุมชน 80 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ผลการดาเนนิ งาน ผลทเี่ กิดกบั ชาวบา้ น 1. ชาวบ้านมีความรู้ความเข้าใจตระหนักและเห็นความสาคัญของการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้น น้าโดยมชี าวบ้านจานวน 5 ครัวเรอื น จาก 8 ครวั เรือนได้ย้ายพ้ืนท่ีทากนิ จากปา่ ต้นน้าแม่ดึล๊ งมาทาใน เขตพืน้ ทท่ี ากินทกี่ าหนดไว้ 2. เกดิ อาสาสมคั รในการดแู ลพน้ื ทปี่ ่าต้นนา้ แมด่ ึ๊ 3. ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าต้นน้าแม่ด๊ึ เช่น การสร้างฝายชะลอความชุ่มช้ืน การบวชปา่ 4. ชาวบ้านได้มีโอกาสเรยี นรภู้ าษาไทย 5. ครูและชาวบ้านจานวน 10 ครัวเรือนได้ขยายระบบไฟฟ้าพลังงานน้าจาก ศศช. ไปใช้ใน ครวั เรือน 6. ครูและชาวบ้าน และเครือข่าย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มีการเตรียมการเพื่อขยายเพ่ือขยาย ระบบไฟฟา้ พลงั งานน้าสาหรับครวั เรอื นอกี 15 ครัวเรอื น ครูและชาวบา้ นชว่ ยกันทาฝายชะลอน้า การอนรุ กั ษ์ปา่ ดว้ ยพิธีกรรมตามความเชือ่ ของชาวบา้ น ผลที่เกดิ กบั เด็กและเยาวชน บอ่ เลย้ี งปลาดุกใน ศศช. โดยใช้น้าเหลือจากผลิตไฟฟา้ 1. เด็กและเยาวชนมีความรู้ความ เข้าใจตระหนักและเห็นความสาคัญของการ อนรุ ักษ์พื้นที่ปา่ ตน้ น้า 2. มีกิจกรรมปลูกผักและเล้ียงปลาใน ศศช. โดยใชป้ ระโยชน์จากน้าท่ีเหลือจากการผลิต ระบบไฟฟ้าพลงั งานนา้ 3. มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าต้นน้า แม่ดึ๊ เช่นร่วมกิจกรรมสร้างฝายชะลอความชมุ่ ชืน้ รว่ มกจิ กรรมบวชปา่ 81 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

การเผยแพร่ 1. จัดทาแผ่นพับประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ป่าต้นน้า ให้ ห้องสมดุ อาเภอ ห้องสมดุ ศศช. 2. จัดนิทรรศการแสดงผลงานแนวปฏิบัติท่ีดี ระดับจังหวัด วันที่ 21 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2556 ท่ี สานักงาน กศน. จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ปญั หาอุปสรรคและวิธีการแกไ้ ข ปญั หาอุปสรรค 1. วิถีเกษตรชุมชนเป็นการทาไร่เลื่อนลอย จึงส่งผลต่อการทาลายทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดล้อมอย่างหลกี เลีย่ งไม่ได้ 2. งบประมาณในการจัดซ้ือวัสดุ-อุปกรณ์ ยังไม่เพียงพอสาหรับการเช่ือมต่อระบบไฟฟ้า พลงั งานน้าใหค้ รอบคลมุ ท้งั ชุมชน วิธกี ารแกไ้ ข 1. ควรให้ความรู้แก่ชุมชน เร่ือง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่าง ตอ่ เนอ่ื ง 2. ประสานเครือข่าย ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อวัสดุ-อุปกรณ์ ให้ เพียงพอสาหรบั การเช่ือมตอ่ ระบบไฟฟ้าพลังงานนา้ ให้ครอบคลุมทั้งชมุ ชน แนวทางการพัฒนาต่อเนื่อง 1. ส่งเสรมิ ให้มกี ารดาเนนิ กิจกรรมการอนุรกั ษ์และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและ สงิ่ แวดลอ้ มในชมุ ชนอย่างต่อเนื่อง 2. จดั ทาคมู่ ือสาหรับชมุ ชน/ผลติ ส่อื ทจี่ าเปน็ เพ่ือให้ความรู้กบั ชาวบ้านเก่ยี วกับการอนุรักษ์ และการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมในชุมชน เอกสารอ้างอิง นระ คมนามูล.(2546). เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน : การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้าขนาดเล็ก. กรงุ เทพฯ : สถาบันวิจยั วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ห่งประเทศไทย. สานักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี. (2554). การประชุมวิชาการ “แนวปฏิบัติที่ดีในการพัฒนาเด็กและเยาวชนตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพ รัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี”. กรงุ เทพฯ : บริษทั พี.เอ.ลฟี วิง่ จากดั . 82 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

สานักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี. (2554). การประชุมวิชาการ สามทศวรรษการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ินทุรกันดาร ภาคเหนือ. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั พ.ี เอ.ลีฟวิง่ จากัด. สานักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี. (2554). ประมวลพระราช ดารัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านการพัฒนาเด็กและ เยาวชนในถ่ินทุรกันดาร พุทธศักราช 2524-2553. กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนดพ์ บั ลิชช่ิงจากัด ( มหาชน). สานักงานโครงการสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี. (2551). แผนพัฒนาเด็กและ เยาวชนในถ่ินทุรกันดารตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรม ราชกุมารี ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2550-2559. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พร้ินติ้งแอนด์พับล่ิชชิ่ง จากดั (มหาชน). 83 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตวั อย่างที่ 5 : ดา้ นการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถน่ิ แนวปฏบิ ัตทิ ่ดี ี ดา้ นการอนุรักษว์ ัฒนธรรมท้องถน่ิ ความเชือ่ แรงศรัทธา วัฒนธรรมการยอ้ มผ้า ดว้ ยสีรากเขาะ ผู้ศกึ ษา นางสาวรศั มี ครี ชี โลม และ นายบุญชอบ ลมี้ งคลเลิศ สถานศกึ ษา ศนู ย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟา้ หลวง” บ้านห้วยขี้หมี หมู่ที่ 6 ตาบลทา่ สองยาง อาเภอทา่ สองยาง จงั หวัดตาก ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอท่าสองยาง สานักงานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจงั หวดั ตาก บทคดั ย่อ แนวปฏิบัติที่ดี ด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถ่ิน เรื่อง ความเช่ือ แรงศรัทธา วัฒนธรรม การยอ้ มผ้าด้วยสรี ากเขาะ เปน็ การนาเอาความเช่ือและแรงศรัทธาทเ่ี กีย่ วกับวัฒนธรรมการย้อมสีด้าย ด้วยรากเขาะ มาส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งวัฒนธรรมดังกล่าวเป็น วัฒนธรรมท่ีชาวบ้านห้วยข้ีหมียึดถือปฏิบัติกันมาด้วยแรงศรทั ธาจากบทกวี ที่กล่าวไว้ว่า “ยว่า โม กะ ซี อะ มะ เหลาะ นี่ แหมะ โม พอ เหงาะ เลอ เขาะ” แปลว่า แม่พระพุทธเจ้าได้สั่งเสียก่อนตายว่าชดุ กะเหร่ียงต้องย้อมสีด้วยรากเขาะ และความเช่ือที่ว่าการใส่ชุดกะเหรี่ยงที่ทอจากด้ายท่ีย้อมสีด้วยราก เขาะจะทาให้สุขภาพดีและหากมีไว้ในบ้านจะทาให้ร่มเย็นเป็นสุข มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ให้ผู้เรียนมี ความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับวัฒนธรรมการย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะ 2) ให้ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจ และเห็นคุณคา่ ในวฒั นธรรมและภูมิปัญญาท้องถ่ินของชุมชน และ 3) สืบสานและอนรุ ักษ์วัฒนธรรมที่ ดีงามและภูมิปัญญาท้องถ่ินของชุมชนให้คงอยู่สืบไป โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ 1) นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 1 - 6 ของ ศศช. บ้านห้วยข้ีหมี จานวน 45 คน และ 2) ผู้ปกครองนักเรียนและ ชาวบ้าน จานวน 20 คน ดาเนินการศึกษาโดยให้ผูเ้ รียนศึกษา สารวจข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ปราชญ์ 84 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ชาวบ้านและผู้นาภูมิปัญญา รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จากนั้นครูตรวจสอบข้อมูลซ้าโดยการเชิญ ปราชญ์ชาวบ้านและผู้นาภูมิปัญญามาให้ข้อมูลอีกคร้ัง จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเรื่องการย้อมผ้า ด้วยสีรากเขาะ โดยปราชญ์ชาวบ้านและผู้นาภูมิปัญญา เม่ือถึงช่วงท่ีชาวบ้านทาการย้อมสีผ้าจากราก เขาะซ่ึงต้องออกไปย้อมนอกหมู่บ้านและนากลับเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกัน ครูให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก การปฏิบัติจริงจากการเข้าร่วมกิจกรรมย้อมสีด้ายจากรากเขาะร่วมกับผู้ปกครองและชุมชน เพ่ือให้ ผเู้ รียนเกดิ ทักษะในการย้อมสดี ้ายจาก รากเขาะและเกิดความภาคภูมิใจเห็นคณุ ค่าในวัฒนธรรมและภูมิ ปัญญาท้องถ่ินของชุมชน โดยการแต่งกายด้วย ชุfกะเหรี่ยงที่ย้อมสีด้ายจากรากเขาะในทุกวันศุกร์ และวนั สาคญั ทางศาสนาที่ตนเองนับถอื ผลการดาเนินงานพบว่า ผู้เรียนทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมการย้อมสี ดา้ ยด้วยรากเขาะ จากการถา่ ยทอดความรู้ของจากภูมปิ ัญญา และลงมือปฏิบตั ิจริงผา่ นกจิ กรรมการย้อม สีด้ายด้วยรากเขาะ นาไปสู่การเกิดองค์ความรู้ท่ียั่งยืน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นภายใน ครอบครัวและชุมชน ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าในวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถ่ิน ของชุมชน นาไปสู่การสืบสาน อนุรักษ์วัฒนธรรมท่ีดีงามและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนให้คงอยู่ สืบไป โดยร่วมมือกันแต่งกายด้วยชุดกะเหร่ียงท่ีย้อมสีด้ายจากด้วยเขาะในทุกวันศุกร์และวันสาคัญ ทางศาสนาที่ตนเองนับถือ ในการดาเนินโครงการน้ีพบว่า วัฒนธรรมการย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะไม่ สามารถจัดกิจกรรมได้ทุกปี เนื่องจากมีข้อห้ามในการย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะ คือ หากปีไหนมีคนตาย ในหมู่บ้านห้ามทาการย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะในปีนั้น และต้องมีด้ายสาหรับใช้ย้อมสี ส่งผลให้การจัด การศึกษาภาคปฏิบัติต้องรอเวลาในการศึกษา วิธีการแก้ไข ควรมีการจัดทาเอกสารบันทึกข้อมูล วัฒนธรรมการย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะ เพ่ือใช้เป็นสื่อประกอบการจัดการเรียนรู้ ส่วนแนวทางการ พฒั นาตอ่ เน่อื ง ควรส่งเสริมใหช้ ุมชนอนรุ กั ษ์ต้นเขาะ โดยการปลกู ทดแทนทุกปีก่อนฤดูกาลหว่านขา้ ว ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา ประเทศไทยเป็นประเทศหน่ึงท่ีมีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในประเทศ ชนเผ่ากะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลมุ่ หนึ่งที่อาศัยอยใู่ นประเทศ มีวัฒนธรรมประเพณีและภูมิปัญญา ของชนเผ่าทห่ี ลากหลาย ควรคา่ แกก่ ารอนรุ กั ษส์ ืบสานไว้ หมู่บ้านห้วยขี้หมี เป็นชนเผ่ากะเหร่ียงท่ีมีวัฒนธรรมประเพณีภูมิปัญญาท่ีโดดเด่นเป็นของ ตนเอง หนึ่งในนั้นคือวัฒนธรรมการย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะ โดยวัฒนธรรมน้ีเป็นวัฒนธรรมทชี่ าวบ้าน ห้วยข้ีหมียึดถือปฏิบัติกัน มาด้วยแรงศรัทธาจากบทกวีที่กล่าวไว้ว่า “ยว่า โม กะ ซี อะ มะ เหลาะ น่ี แหมะ โม พอ เหงาะ เลอ เขาะ” แปลว่า แม่พระพุทธเจ้าได้ส่ังเสียก่อนตายว่าชุดกะเหรี่ยงต้องย้อมสี ด้วยรากเขาะ และความเช่ือท่ีว่าการใส่ชุดกะเหรี่ยงที่ทอจากด้ายที่ย้อมสีรากเขาะจะทาให้สุขภาพดี และหากมีไว้ในบ้านจะทาให้ร่มเย็นเป็นสุข นอกจากน้ีการแต่งกายชุดกะเหรี่ยงที่ทอจากด้ายท่ีย้อมสี 85 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ดว้ ยรากเขาะ จะใช้ในงานประเพณีสาคญั ของหมบู่ า้ น เช่น วนั พอ่ วันแม่ ประเพณกี นิ ผี ผ้หู ญิงใสใ่ นวัน แต่งงาน มัดมือในโอกาสต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันวัฒนธรรมน้ีเส่ียงต่อการสูญหาย เน่ืองจากการนิยม แต่งกายด้วยชุดกะเหรี่ยงลดน้อยลง อีกทั้งการย้อมด้ายด้วยรากเขาะมีข้ันตอนการทาท่ีมากกว่าการ ย้อมด้ายจากสอี ่นื ๆ ชาวบา้ นแต่งกายดว้ ยชดุ กะเหรี่ยงย้อมด้วยรากเขาะ การย้อมสีด้ายจากรากเขาะจะต้องมีการเตรียมด้ายก่อน ด้วยการย้อมด้ายด้วยงา ใบส้มป่อย ขี้เถ้าจากต้นไผ่อ่อน 1 รอบ จากน้ันจึงนาไปย้อมด้วยรากเขาะอีกครั้ง และห้ามย้อมสีรากเขาะในหมู่บ้าน ส่วนของต้นเขาะท่ีนามาใช้ย้อมสีเอาเฉพาะราก โดยต้องขุดจากใต้ดินนามาห่ันและตาเป็นผงละเอียด ด้วยครกกระเดื่องจึงจะย้อมสีติดได้ หากปีไหนมีคนตายในหมู่บ้านห้ามทาการย้อมสีรากเขาะในปีน้ัน ขณะทาการย้อมสีรากเขาะ หา้ มกนิ ขมิ้น กงุ้ ปู เพราะจะทาใหย้ ้อมสีด้ายไม่ติด และต้องนาด้ายที่ย้อมสี ด้วยรากเขาะกลับหมู่บ้านพร้อมกัน พร้อมท้ังทาพิธีขอขมาต้นเขาะเมื่อทาการย้อมสีเสร็จ และจาก การศึกษาข้อมูลพบว่า วัฒนธรรมน้ีมีเฉพาะหมู่บ้านห้วยขี้หมีเท่าน้ัน ซ่ึงถือว่าเป็นวัฒนธรรมแห่งเดียว ท่ีพบในจงั หวัดตากและอาจเปน็ แห่งเดยี วในประเทศไทย ต้นเขาะ เป็นชื่อเรียกตามภาษากะเหร่ียง รากมีลักษณะเป็นเหง้า ขยายพันธ์ุโดยรากเหง้า ลักษณะคล้ายมนั สาปะหลัง โดยต้นโตเต็มทจี่ ะมลี าต้นสูงประมาณ 2 – 2.50 เมตร การนาส่วนรากมา ใช้ในการย้อมสดี ้ายจะใช้เฉพาะเหง้า หลงั จากขดุ เหงา้ มาใช้แลว้ จะใชว้ ธิ กี ารฝังกลบเพื่อให้ต้นงอกใหม่ จากเหง้าทเี่ หลือ ตน้ เขาะ 86 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ศนู ยก์ ารเรียนชมุ ชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านหว้ ยข้หี มี ตระหนักถงึ ความสาคญั ของการ อนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาการย้อมสีด้ายจากรากเขาะ จึงได้จัดการศึกษา วฒั นธรรมการยอ้ มสีดา้ ยด้วยรากเขาะให้กบั นักเรียนเพื่อใหว้ ฒั นธรรมน้ีคงอยู่สบื ไป และสอดคล้องกับ แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ินทุรกนั ดารตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี ฉบับท่ี 4 (พ.ศ. 2550 – 2559) ตามวัตถุประสงค์ท่ี 6 เสริมสร้างศักยภาพของเด็กและ เยาวชนในการอนรุ ักษแ์ ละสบื ทอดวฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื ให้ผู้เรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับวฒั นธรรมการยอ้ มสีดา้ ยด้วยรากเขาะ 2. เพื่อใหผ้ ู้เรยี นเกิดความภาคภูมิใจและเหน็ คุณคา่ ในวัฒนธรรมและภูมิปญั ญาท้องถิ่นของ ชุมชนเพือ่ สืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดงี ามและภูมิปญั ญาท้องถ่นิ ของชมุ ชนให้คงอยสู่ บื ไป เป้าหมาย เชงิ ปริมาณ 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 - 6 ของ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านหว้ ยขี้หมี จานวน 45 คน 2. ผู้ปกครองนักเรียนและชาวบ้านห้วยขี้หมี หมู่ท่ี 6 ตาบลท่าสองยาง อาเภอท่าสองยาง จงั หวดั ตาก จานวน 20 คน เชิงคุณภาพ นกั เรียนมคี วามร้คู วามเข้าใจเก่ยี วกับวัฒนธรรมการย้อมสีด้วยรากเขาะ เกดิ ความภาคภูมิใจ และเห็นคุณค่าในวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถ่ินของชุมชน นาไปสู่การสืบสาน อนุรักษ์วัฒนธรรมที่ ดงี ามและภูมิปัญญาท้องถน่ิ ของชุมชนให้คงอยสู่ บื ไป วิธกี ารจดั กิจกรรม 1. ครศู ศช.บ้านห้วยข้หี มี คณะกรรมการหมู่บ้าน คณะกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครอง นกั เรียนร่วมการวางแผนและกาหนดวธิ ีการดาเนนิ งาน 2. ให้นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 แบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มศึกษา สัมภาษณ์ผู้นาทางภูมิปัญญา ปราชญ์ชาวบ้านเกี่ยวกับความเชื่อ ความศรัทธา วัฒนธรรมการย้อมสี ด้ายด้วยรากเขาะ วิธีการ ข้ันตอนการย้อมสี โดยให้นักเรียนบันทึกลงในสมุดบันทึกพร้อมบันทึกชื่อ ผใู้ ห้ข้อมูลแล้วออกมานาเสนอข้อมูลของแต่ละกลมุ่ หน้าชน้ั เรยี น 3. ครูและนักเรียนทั้ง 3 กลุ่ม นาข้อมูลจากการสารวจข้อมูลมาสรุปข้อมูลร่วมกันเพื่อให้ได้ ขอ้ มลู ท่ถี กู ต้องและตรงกนั ในเบ้ืองต้น 87 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

4. ครูนาข้อมูลจากนักเรียน สอบถามข้อมูลด้วยตนเอง โดยเชิญปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นา ภูมปิ ญั ญาเพือ่ ใหไ้ ด้ขอ้ มูลที่ละเอียดถกู ต้องทสี่ ดุ 5. เม่ือถึงช่วงที่ชาวบ้านทาการย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะ ครูให้นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 - 6 เข้าร่วมกิจกรรมกับครอบครัวของตนเอง โดยนาความรู้ท่ีได้รับจากปราชญ์ชาวบ้านและผู้นา ภูมิปัญญามาช่วยงานในครอบครัวและเป็นการเพ่ิมพูนความรู้และทักษะในการย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะ เพ่ือให้มีส่วนร่วมในครอบครัวและชุมชนผ่านกิจกรรมดังกล่าว และเกิดความภาคภูมิใจ เห็นคุณค่า วัฒนธรรมของตนเองและเปน็ การสบื สานวัฒนธรรม ภมู ปิ ญั ญาการย้อมสีจากรากเขาะ โดยให้นักเรยี น ใส่ชุดกะเหรี่ยงจากรากเขาะทุกวันศุกร์ (ผู้หญิงใส่ชุดกะเหร่ียงสีขาวทั่วไป) ใส่ไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ สาหรบั ผนู้ ับถอื ศาสนาคริสต์ และใสไ่ ปวัดในวันสาคญั ทางศาสนาสาหรับผู้ทน่ี บั ถือศาสนาพุทธ 6. จัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเชิญปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นาภูมิปัญญามาทบทวนให้ ความรู้ไขข้อสงสัยให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-6 เรื่อง การย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะ และการ อนรุ กั ษ์สบื สาน วฒั นธรรมการย้อมสดี า้ ยด้วยรากเขาะ 7. ประเมินผลหลังการจัดกิจกรรมการจัดการเรยี นรู้ แลว้ นามาสรปุ ผลการจดั กิจกรรม ผลท่ีเกดิ กับผู้เรียนและชุมชน 1. ผู้เรยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกบั วัฒนธรรมการย้อมสีด้ายดว้ ยรากเขาะ 2. ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจและเหน็ คุณค่าในวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถ่ินของชุมชน นาไปสู่การสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดีงามและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนให้คงอยู่สืบไป โดย ร่วมมือกันแต่งกายด้วยชุดกะเหรี่ยงท่ีย้อมสีด้ายด้วยรากเขาะในทุกวันศุกร์และวันสาคัญทางศาสนาที่ ตนเองนับถอื 3. เกิดการเช่ือมโยงความรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านกิจกรรมการย้อมสีด้วยรากเขาะที่ เป็นกจิ กรรมภายในครอบครัว และเป็นกิจกรรมทีท่ าพรอ้ มกันท้ังชุมชน 4. ทาใหเ้ กดิ ความรกั ความสามคั คี ความสัมพันธท์ ีด่ รี ะหวา่ งกันภายในครอบครัวและชมุ ชน 5. คนในชุมชนเกิดความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ท้องถ่ินของตน โดยร่วมมือกันแต่งกายด้วยชดุ กะเหรี่ยงท่ยี ้อมสีด้ายด้วยรากเขาะวันสาคัญทางศาสนา ทตี่ นเองนบั ถอื และสามารถขายผ้าทอและ ด้ายที่ย้อมดว้ ยสรี ากเขาะให้กับชนเผ่ากะเหรยี่ งหมู่บ้านอื่น เน่ืองจากหมู่บา้ นอ่นื ไม่สามารถยอ้ มสดี ้ายดว้ ยรากเขาะได้ จงึ ต้องซือ้ จากบ้านหว้ ยข้หี มี ชาวบา้ นรว่ มกันยอ้ มสีดา้ ยดว้ ยรากเขาะ 88 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ปญั หาอปุ สรรคและวิธกี ารแก้ไข ปญั หาอุปสรรค วฒั นธรรมการย้อมสดี า้ ยด้วยรากเขาะไม่สามารถจัดกจิ กรรมได้ทุกปี เนื่องจากมขี อ้ ห้ามของ ประเพณี วัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยง คือ หากปีไหนมีคนตายในหมู่บ้านห้ามทาการย้อมสีรากเขาะในปี น้ัน และความพร้อมของชุมชนท่ีต้องมีด้ายสาหรับใช้ย้อมสี ส่งผลให้การจัดการศึกษาภาคปฏิบัติต้อง รอเวลาในการศกึ ษานาน วิธกี ารแก้ไข ควรมีการจัดทาเอกสารบันทกึ ข้อมูลวัฒนธรรมการย้อมสีด้ายดว้ ยรากเขาะ เพือ่ ป้องกันการ สูญหายของวฒั นธรรม ซึ่งเปน็ วัฒนธรรมของชนเผา่ กะเหร่ียงแห่งเดียว หรอื อาจมกี ารศึกษาวิธีการเก็บ รักษาผงสจี ากรากเขาะไว้ใช้ในปที ีช่ ุมชนมคี วามพรอ้ ม แนวทางการพฒั นาต่อเน่อื ง สง่ เสริมให้ชมุ ชนอนรุ กั ษ์ต้นเขาะ โดยการปลูกทดแทนทกุ ปีกอ่ นฤดกู าลหวา่ นขา้ ว เอกสารอ้างองิ พัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคเหนือ, สถาบัน. การประชุมวิชาการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ินทุรกันดาร ตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีปีงบประมาณ 2557. (2557). อุบลราชธานี : บริษัท ยงสวัสดอิ์ นิ เตอร์กรปุ๊ จากัด. 89 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

บรรณานกุ รม การเขียนรายการอา้ งอิงในเนื้อหาบทความและรายการเอกสาร. [ออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก : http://asj.oas.psu.ac.th/content/ref (วนั ทีค่ น้ ขอ้ มูล : 2 มิถุนายน 2560). จติ ราภรณ์ เทวะนา. (2559). กล่องความรูก้ ินได้ Knowledge Box Set “การเพาะตน้ อ่อนพชื ออร์แกนิค”. (ม.ป.ท.). ธีรพงษ์ แกน่ อนิ ทร.์ (2556). แนวทางการนาเสนอแนวปฏิบัติทีด่ .ี [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก : www.qa.psu.ac.th/document/pqa/56/แนวทางการนาเสนอแนวปฏบิ ัตทิ ดี่ ี%20อ.ธรี พงษ์%20เอกสารส.ี pdf (วันที่คน้ ข้อมูล : 31 มีนาคม 2560) มหาวทิ ยาลยั หอการค้า สานักทะเบียนและประมวลผล. (ม.ป.ป.). Best Practice กบั การจดั การ ความร.ู้ [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : http://register.utcc.ac.th/KM2553/DATA/ Document/Best%20Practice.pdf (วันทคี่ ้นข้อมูล : 31 มีนาคม 2560) สถาบันพัฒนาการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยภาคเหนือ. (2557). การประชุมวิชาการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดาริสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ปีงบประมาณ 2557. อบุ ลราชธานี : บรษิ ัท ยงสวสั ด์ิอินเตอร์กรุ๊ป จากดั . สถาบนั พัฒนาการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยภาคเหนอื . (2558). การประชุมวิชาการ การพฒั นาเด็กและเยาวชนในถนิ่ ทุรกนั ดาร เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 ปีงบประมาณ 2558. นนทบรุ ี : บริษทั ฟนี ิกซ์อินเตอร์ซบั พลาย จากดั . สถาบันพฒั นาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ภาคเหนอื . (2559). คู่มอื การทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน.. ลาปาง : งานการพมิ พ์ สถาบัน กศน. ภาคเหนือ. สานกั งานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี. (2551). แผนพัฒนาเด็กและ เยาวชนในถนิ่ ทุรกนั ดาร ตามพระราชดารสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ฉบับท่ี 4 พ.ศ. 2550 - 2559. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั อัมรินทร์พร้ินต้ิงแอนด์พับลชิ ชิ่ง จากัด. 90 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

คณะผจู้ ดั ทา ทปี่ รกึ ษา มลู ฟอง ผู้อานวยการสถาบัน กศน.ภาคเหนอื นายจาเรญิ เดด็ ขาด รองผอู้ านวยการสถาบนั กศน.ภาคเหนอื นายสมชาย คณะทางาน ครู ชานาญการพเิ ศษ สถาบนั กศน.ภาคเหนือ นางอรวรรณ ฟงั เพราะ ครู ชานาญการพิเศษ สถาบนั กศน.ภาคเหนือ นางรสาพร หม้อศรใี จ ครู ชานาญการพเิ ศษ สถาบนั กศน.ภาคเหนือ นายนิพนธ์ ณ จันตา ครู ชานาญการ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ นางสาวนัชรี อุ่มบางตลาด ครู สถาบนั กศน.ภาคเหนือ นายเสถียรพงศ์ ใจเยน็ ผ้รู วบรวม/เรียบเรียง/เขยี น/จดั ทารปู เล่ม นางพิมพรรณ ยอดคา ขา้ ราชการบานาญ นางอรวรรณ ฟงั เพราะ ครู ชานาญการพิเศษ นางรสาพร หม้อศรใี จ ครู ชานาญการพิเศษ นางสาวนชั รี อุ่มบางตลาด ครู ชานาญการ นายเสถยี รพงศ์ ใจเย็น ครู คณะบรรณาธิการ เดด็ ขาด รองผู้อานวยการ สถาบนั กศน.ภาคเหนอื นายสมชาย จนั ทรคาภู หวั หนา้ สว่ นพฒั นาการศกึ ษาบนพ้ืนท่สี ูง นายสมโภช ผอู้ อกแบบรูปเล่ม นางสาวนชั รี อุ่มบางตลาด ครู ชานาญการ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ นายเสถยี รพงศ์ ใจเยน็ ครู ผอู้ อกแบบปก สถาบัน กศน.ภาคเหนือ นางสาวนชั รี อมุ่ บางตลาด ครู ชานาญการ เอกสารวชิ าการลาดบั ที่ 06/2560 มิถุนายน 2560 91 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )