หลกั ภาษาไทยเบื้องต้น
องค์ประกอบของภาษา1. เสียง เสียง คือ หน่วยทเ่ี ลก็ ทสี่ ุดของภาษา ใน ภาษาไทยจะมเี สียงสระ เสียงพยญั ชนะ และ เสียงวรรณยุกต์
อกั ษรไทยอกั ษรไทย มี ๔๔ ตวั คือ ก ข ฃ คฅฆ ง จ ฉ ช ซฌญฎ ฏ ฐฑฒณด ตถทธนบปผฝพ ฟภมย รลวศษส หฬอ ฮ
ไตรยางค์อกั ษร ๓ หมู่อกั ษรกลางมี ๙ ตวั ก จ ด ต ฎฏบปออกั ษรสูง ๑๑ ตวั ผฝถฐขฃ ศษสหฉ
อกั ษรตา่ มีเสียงคู่กบั อกั ษรสูง ๑๔ ตัวพภฟฑฒท ธค ฅฆซ ฮ ชฌอกั ษรต่า (ไร้คู)่ ๑๐ ตวั ย ณ ฬ ล ง ญน รวม
ไตรยางค์อกั ษร ๓ หมู่ ต่าเดยี่ ว(ไร้คู่)อกั ษรกลาง อกั ษรสูง ตา่ คู่ มเี สียงคู่ 10 ตวั 9 ตวั 11 ตวั อกั ษรสูง 14 ตวั1. ไก่ ก 1.ผี ผ 1.พ 2. ภ 1. งู ง2. จิก จ 2. ใหญ่ ญ3.เดก็ ด 2.ฝาก ฝ 3.ฟ 3.นอน น4.ตาย ต 4. อยู่ ย5.เดก็ ฎ 3-4.ถุง ถ ฐ 4.ฑ 5.ฒ 6. ท 7.ธ 5. ณ6.ตาย ฏ 6. ริม ร7.บน บ 5-6. ข้าว ข ฃ 8.ค 9.ฅ 10.ฆ 7. วดั ว8.ปาก ป 8. โม ม9. โอ่ง อ 7-9. สาร ศ ษ ส 11.ซ 9. ฬี ฬ 10. โลก ล 10. ให้ ห 12.ฮ 11. ฉัน ฉ 13.ช 14.ฌ
หน้าทขี่ องพยญั ชนะ๑. เป็ นพยญั ชนะต้น เช่น พอ่ แม่ ป่ ู ยา ตา กา มี เพอ่ื เรือ เมีย บวั โต แพ้ เลอะ เทอะ๒. เป็ นพยญั ชนะท้ายพยางค์ (ตวั สะกด) ดงั ใน ตารางต่อไปน้ี
๓. เป็ นอกั ษรควบ• ควบแท้ พลาดพล้งั คร้ังคราว ครู คลุม้ คลงั่ ขวกั ไขว่ ท่ีเรียกวา่ ควบแทเ้ พราะออกเสียงอกั ษรท้งั สองตวั พร้อมกนั• ควบไม่แท้ เศร้า สร้อย ศรี จริง ท่ีเรียกวา่ ควบไม่แทเ้ พราะไม่ไดอ้ อกเสียงตวั ท่ี ควบดว้ ย กล่าวคือ ไม่ไดอ้ อกเสียง ร นนั่ เอง
๔. เป็ นอกั ษรนา – อกั ษรตามตลาด ต อกั ษรกลางนา ล อกั ษรต่า ออกเสียงวรรณยกุ ตต์ าม ตสนาม ส อกั ษรสูงนา น อกั ษรต่า ออกเสียงวรรณยกุ ตต์ าม สผลติ ผ อกั ษรสูงนา ล อกั ษรต่า ออกเสียงวรรณยกุ ตต์ าม ผอย่า อยู่ อยา่ ง อยาก อ อกั ษรกลาง นา ย อกั ษรต่า ออกเสียงวรรณยกุ ตต์ าม อหรู หรา ห อกั ษรสูงนา ร อกั ษรต่าออกเสียงวรรณยกุ ตต์ าม หหญงิ หญ้า ใหญ่ ห อกั ษรสูง นา ญ อกั ษรสูงต่า ออกเสียงวรรณยกุ ตต์ าม ห
๕. เป็ นสระ (อ ว ย ร)สรรค์ รร ทาหนา้ ท่ีแทนวสิ รรชนีย์ หรือสระอะกวน ว เป็นสระอวั ลดรูปเสีย ย เป็นส่วนประกอบของสระเอียขอ เสือ มือ อ เป็นสระ และเป็นส่วนหน่ึงสระ
๖. เป็นตวั การันต์จันทร์ ทร์ เป็นตวั การันต์ลักษณ์ ษณ์ เป็นตวั การันต์ศลิ ป์ ป์ เป็นตวั การันต์
สระประสมเสียงส้ัน
สระประสมเสียงยาว
สำหรับสระ อำ,ไอ,ใอ,เอำ,ฤ ,ฤำ ,ฦำ,ฦำ ตำมหลักภำษำศำสตร์ไม่นับเป็ นเสียงสระเพรำะมีเสียงพยัญชนะประสมอย่ดู ้วย ดงั นี้อำ (อะ+ม) ใอ, ไอ (อะ+ย)เอำ (อ+อะ+ว)ฤ(ร+อ)ึ ฤำ(ร+ออื )ฦ(ล+อ)ึ ฦำ (ล+ออื )ฉะนัน้ เสียงในภำษำไทยจงึ มีเพยี ง 24 เสียง
การเปลย่ี นรูปสระในคาไทยสระบางตวั จะเปล่ยี นแปลงรูปเมื่อมีตวั สะกดดงั นี ้(1) อะ + ตวั สะกด ะ จะเปล่ียนเป็ น อั เช่น จ + ะ + ด = จดั(2) เอะ + ตวั สะกด ะ จะเปล่ยี นเป็ น อ็ เช่น เกะ + ง = เกง็(3) แอะ + ตวั สะกด ะ จะเปล่ียนเป็ น อ็ เช่น แขะ + ง = แข็ง(4) อวั + ตัวสะกด จะลดรูป -ัั หำยไป เช่น พวั + ก = พวก
การเปลย่ี นรูปสระ (ต่อ)(5) เออ + แม่กด, กน, กม จะเปล่ียน อ เป็ น อิ เช่น เดอ + น = เดนิ(6) เออ + แม่เกย จะลดรูป อ หำยไป เช่น เลอ + ย = เลย(7) ออ + สะกดด้วย ร จะลดรูป ออ เช่น จ+อ + ร = จร(8) โอะ + ตัวสะกด โอะ จะลดรูปหำยไป เช่น ค + โอะ + น = คน
เสียงวรรณยกุ ต์(เสียงดนตรี)เป็ นเสียงท่ีเปล่งออกมำพร้อมกับเสียงพยญั ชนะ จะมีเสียงสูงต่ำตำมกำรส่ันสะเทอื นของเส้นเสียงเสียงวรรณยุกต์ในภำษำไทย มีทัง้ หมด ๕ เสียง (ส่วนรูปวรรณยุกต์มี ๔รูปท)่ี ได้แก่ เสียงวรรณยุกต์ (๕) รูปวรรณยกุ ต์ (๔)๑ สามญั (ไม่มรี ูป)๒ เอก๓ โท๔ ตรี๕ จตั วา
คาเป็ น คาตาย คำเป็ น คือ คำท่มี ีเสียงอ่ำนตำมรูปวรรณยุกต์ได้โดยง่ำย ซ่ึงลักษณะของคำเป็ นมดี งั นี้๑. คำท่ีมีตัวสะกดอยู่ใน แม่ กง กน กม เกย เกอว เช่น ลง เดนิ เลย เมิน สำว๒. คำท่ปี ระสมกับสระเสียงยำวใน แม่ ก กำ เช่น ปู ม้ำ น่ำ ดู๓. คำท่ปี ระสมกับเสียงสระเกนิ คือ อำ ไอ ใอ เอำ เช่น จำ ใจ ไป เอำ เหำ ใคร ไปไหน
คาตาย ได้แก่ คำท่มี ีลักษณะดงั นี้๑. คำท่มี ีตัวสะกดอย่ใู น แม่ กก กด กบ เช่น เศษ เมฆ วดั รอบ๒. คำท่ปี ระสมกับสระเสียงสัน้ ใน แม่ ก กำ ยกเว้น อำ ไอ ใอ เอำ เช่น ชิ ชะ จะ เตะ
อกั ษร ๓ หมู่ (ไตรยำงค์) เสียง เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี เสียงจัตวำ หมำยเหตุ สำมัญอกั ษรกลาง คำเป็ นพืน้ เสยี งเป็นกจดฎตฏบปอ ปำ ป่ า ปา้ ป๊ า ป๋ า เสยี งสามญัคำเป็ น กัด กดั ้ กด๊ั กดั๋คำตำย คำตำยพืน้ เสียงเป็น เสียงเอกอกั ษรสงู คำเป็ นพืน้ เสียงเป็นขฃฉฐถผฝศษสห - ข่า ข้า - ขำ เสียงจตั วาคำเป็ น - ขัด ขดั้ - - คำตำยพืน้ เสียงเป็นคำตำย เสยี งเอกอกั ษรตา่ คา - ค่า ค้า - คาเป็นพืน้ เสยี งเป็น(อกั ษรที่เหลอื ๒๔ ตวั ) - - คำด ค้าด - เสยี งสามญั หากผนั - - คะ่ คะ - ร่วมกบั อกั ษรสงู จะผนัคำเป็ น ได้ครบ ๕ เสยี ง เช่นคำตำยเสียงยำว คา ข่า คา่ (ข้า) ค้า ขาคำตำยเสียงสัน้
ความหมายของพยางค์ พยำงค์ คือ เสียงท่เี ปล่งออกมำครัง้ หน่ึง ๆ จะมีควำมหมำยหรือไม่มีควำมหมำยกไ็ ด้ พยำงค์เป็ นกำรประสมเสียงในภำษำเพรำะพยำงค์เกิดจำกกำรเปล่งเสียงสระ เสียงพยญั ชนะ และเสียงวรรณยุกต์ ตดิ ตำมกนั อย่ำงกระชัน้ ชดิ เช่น เรำเปล่งเสียง“สุ” ถงึ จะไม่รู้ควำมหมำย หรือไม่รู้เร่ืองเรำกเ็ รียกว่ำ ๑ พยำงค์หำกเรำเปล่งเสียงออกมำอีกครัง้ หน่ึงว่ำ “กร” จะเป็ น “สุกร” จงึจะมีควำมหมำย คำว่ำ “สุกร” ซ่งึ เปล่งเสียง ๒ ครัง้ เรำกถ็ อื ว่ำมี ๒พยำงค์ เสียงท่เี ปล่งออกมำครัง้ เดียวมีควำมหมำย เช่น นำหมำยถงึ ท่ปี ลูกข้ำว เสียงท่เี ปล่งออกมำว่ำ “นำ” นีเ้ ป็ น ๑ พยำงค์
ลองดูตวั อยา่ งต่อไปน้ีไร่ มี ๑ พยำงค์ชำวไร่ มี ๒ พยำงค์ (ชำว-ไร่)สหกรณ์ มี ๓ พยำงค์ (สะ-หะ-กอน)โรงพยำบำล มี ๔ พยำงค์ (โรง-พะ-ยำ-บำน)นักศกึ ษำผู้ใหญ่ มี ๕ พยำงค์ (นัก-สึก-สำ-ผู้-ใหญ่)สหกรณ์กำรเกษตร มี ๖ พยำงค์ (สะ-หะ-กอน-กำร-กะ-เสด)
๑. พจยาำงกคต์ ควั อื อเยส่าียงงทข่เี ้าปงล่ตงอ้นอนกมีส้ ำครรุปัง้ หไดน่ึง้วจ่าะมี ควำมหมำยหรือไม่มีควำมหมำยกต็ ำม ถ้ำเปล่งเสียง ออกมำ ๑ ครัง้ กเ็ รียก ๑ พยำงค์ ๒ ครัง้ กเ็ รียก ๒ พยำงค์๒. พยำงค์ คือ เสียงพดู ท่เี ปล่งออกมำพร้อมกันทงั้ เสียง สระ เสียงพยญั ชนะและเสียงวรรณยุกต์ อำจมี ควำมหมำยหรือไม่มีควำมหมำยกไ็ ด้ เช่น นำ จุ ฬิ
คา คำ หมำยถงึ เสียงท่เี ปล่งออกมำแล้วมีควำมหมำยอย่ำงใดอย่ำงหน่ึง อำจเป็ นเสียงท่ีเปล่งออกมำครัง้ เดียวหรือหลำยครัง้ กไ็ ด้ และเป็ น ทงั้พยำงค์ท่มี ีควำมหมำยอีกด้วย เช่น หน้า โต๊ะลูกเสือ มหาราช ประชาชน ราชูปถัมภ์ หนังสืออภมิ หาอานาจ พ่อ ไป ทางาน
การสร้างคาในภาษาไทย คำมูล คือ คาคาเดียวที่ไมไ่ ด้ประสมกบั คาอ่ืน คามลู ท่ีมีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนี ้1. คำมูลเป็ นพยำงค์เดียวโดด ๆ จะเป็ นคำมำจำกภำษำใดกไ็ ด้ แต่ต้องเป็ นคำเดียว เชน่ ภาษาไทย - พอ่ แม่ หมู หมา แมว น้อง ภาษาจีน - เก๊ียะ เก๊ียว เจี๊ยะ แป๊ ะ ซมิ ้ ภาษาองั กฤษ - ไมล์ เมตร ปอนด์ ฟตุ
2. ถ้ำเป็ นคำหลำยพยำงค์ เม่ือแยกแต่ละพยำงค์แล้ว อำจมีควำมหมำยหรือไม่มีควำมหมำยกไ็ ด้ แตค่ วามหมายของแตล่ ะพยางค์ไมเ่ กี่ยวข้องกบั ความหมายของคามลู นนั้ เลย เช่น กระดาษศลิ ปะ กามะลอ 3. คำมูลคำเดยี วในภำษำไทยอำจมีควำมหมำยได้หลำยอย่ำง เช่น นกเกำะอยบู่ นกิ่งไม้ในเกำะแหง่ หนง่ึ พวกเงำะชอบกินลกูเงำะ
ข้อสังเกตคามูล คำมูลหลำยพยำงค์ ควรดวู า่ ในคาหลายพยางค์นนั้ มีความหมายทกุ พยางค์หรือไม่ถ้ามีความหมายบ้างไม่มีความหมายบ้างเป็นคามลู หลายพยางค์ เชน่ มะละกอ = คามลู 3 พยางค์ นาฬกิ า = คามลู 3 พยางค์ มะ = ไมม่ ีความหมาย นา = มีความหมาย ละ = มีความหมาย ฬิ = ไมม่ ีความหมาย กอ = มีความหมาย กา = มีความหมาย
การสร้างคาใหม่ มีอยู่ 3 แบบด้วยกนั คือ1. คำซำ้2. คำซ้อน3. คำประสม
คาซ้า คำซำ้ คอื คาประสมท่เี กิดจากคาสองคามเี สยี งซา้ กนั รวมกนั เกิดเป็นคาใหม่ มีความหมายใหมซ่ ง่ึ ตา่ งไปจากเดมิ เลก็ น้อย โดยอาจจะใช้เคร่ืองหมายไม้ยมก มีลกั ษณะดงั นี ้ ๑. ซำ้ แล้วบอกควำมเป็ นพหูพจน์ เช่น เดก็ ๆชอบขนมหวาน เขาไปเท่ยี วกบั เพ่อื นๆ พ่ๆี ให้การต้อนรับอย่างอบอนุ่ หนุ่มๆกาลงั วิ่งแข่งกนั
๒. ซำ้ แล้วเน้นคำให้มีควำมหมำยเพ่มิ ขนึ้ เช่น เดนิ ดๆี ทางข้างหน้ามืด ถนนลนื่ ขบั ช้ำๆ ท่ีนี่เงยี้ บเงยี บ ควรเลือกซือ้ ผลไม้สดๆ๓. ซำ้ แล้วลดควำมหมำยให้อ่อนลง เชน่ ผ้าชิน้ นีส้ อี อกดำๆ กระดาษสเี ขียวๆของใคร เขาต้องการเสอื ้ สีแดงๆ
๔. ซำ้ แล้วบอกควำมหมำยไม่แน่นอน เชน่ ตอนเยน็ ๆเขาจะมาหาเธอ บ้านฉนั อย่แู ถวๆนี ้ ใครๆก็ชอบดลู ะครกนั ทงั้ นนั้ อะไรๆในร้านนีด้ สู วยไปหมด๕. ซำ้ แล้วควำมหมำยจะแบ่งออกเป็ นส่วนๆ เช่น นกั เรียนนง่ั เป็นแถวๆ เขาจดั ของเป็นชัน้ ๆ หนงั สือนีใ้ ห้แจกเป็นคนๆ เธอควรอา่ นให้จบเป็นเร่ืองๆ
๖. ซำ้ แล้วควำมหมำยจะเปล่ียนไป ไม่เก่ียวกับคำเดมิ เชน่ ฉนั ตงั้ ใจจะทางานให้เสร็จไปๆมำๆก็ไมเ่ สร็จ ความรู้แคง่ ๆู ปลำๆจะไปส้อู ะไรได้ เขาแคพ่ ดู จาส่งๆไปอยา่ งนนั้ เอง ข้อควรสังเกต1.คำท่มี ีเสียงซำ้ กันบำงครัง้ ไม่ใช่คำซำ้ ได้แก่ เขาพดู กนั ไปต่าง นำนำฉนั เห็นเขาจะจะเลย ทงั้ 2 คานีเ้ป็นคามลู สองพยางค์ จะไมใ่ ช้ไม้ยมก2. คำท่มี ีควำมหมำยและหน้ำท่ใี นประโยคต่ำงกนั ไม่ใช่คำซา้ เช่น เมย์กาลงั ใช้แปรงแปรงผ้าทกี่ าลงั ซกั แปรง คาแรกเป็นคานาม แปรงคาทสี่ อง เป็นคากริยา
คาซ้อน คำซ้อน หมายถงึ การนาเอาคามลู 2 คา ที่มีความหมายใกล้เคียงกนั ความหมายตรงกนั ข้าม และความหมายตรงข้าม มาซ้อนกนั คาซ้อนแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. คำซ้อนเพ่อื ควำมหมำย เกิดจากคามลู ท่ีมีความหมายอยา่ งเดยี วกนั อาจจะแตกตา่ งกนั เลก็ น้อยหรือไปในทานองเดียวกนั หรือตา่ งกนั ในลกั ษณะตรงข้าม เม่ือประกอบเป็นคาซ้อนจะมีความหมายอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ดงั นี ้
1. 1 ควำมหมำยอยู่ท่คี ำใดคำหน่ึงหรือกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง เชน่ หน้ำตา ปำกคอ ขวัญหนีดีฝ่อ ถ้วยชำมรามไห จบั ไม่ได้ไล่ไมท่ นั1.2. ควำมหมำยอย่ทู ่ที กุ คำแต่เป็ นควำมหมำยท่กี ว้ำงออกไป เชน่ เสือ้ ผ้ำ ไม่ได้หมายเฉพาะเสอื ้ กบั ผ้า แตร่ วมถงึ เคร่ืองนงุ่ ห่ม เรือแพ ไม่ได้หมายเฉพาะเรือกบั แพ แตร่ วมถึงยานพาหนะทางนา้ทงั้ หมด ข้ำวปลำ ไม่ได้หมายเฉพาะข้าวกบั ปลา แตร่ วมถึงอาหารทว่ั ไป พ่นี ้อง ไมไ่ ด้หมายเฉพาะพ่ีกบั น้อง แตร่ วมถงึ ญาตทิ งั้ หมด หมูเหด็ เป็ ดไก่ หมายรวมถงึ สง่ิ ที่ใช้เป็นอาหารทงั้ หมด
1.3. ควำมหมำยอย่ทู ่คี ำต้นกับคำท้ำยรวมกนั เช่น เครำะห์หามยามร้ำย ( เคราะห์ร้าย ) ชอบมาพากล ( ชอบกล ) ฤกษ์งามยามดี( ฤกษ์ดี ) ยำกดีมีจน ( ยากจน )1.4. ควำมหมำยอยู่ท่คี ำต้นหรือคำท้ำย ซ่งึ มีควำมหมำยตรงข้ำมกัน เช่น ชว่ั ดี ( ช่ัวดอี ยา่ งไรเขาก็เป็นเพ่ือนฉนั ) ผิดชอบ ( ความรับผิดชอบ ) เท็จจริง ( ข้อเทจ็ จริง )
2. คำซ้อนเพ่อื เสยี ง คาซ้อนบางคาท่ีเข้ามาซ้อนกนั อาจจะไม่มีความหมายเลย มีความหมายเพียงคาใดคาเดียว เช่น มอมกบั แมมมอม มีความหมาย แต่ แมม ไมม่ ีความหมาย บางทีแตล่ ะคามีความหมายแตค่ วามหมายไมเ่ นื่องกบั ความหมายใหมเ่ ลย เช่น งอแง งอ หมายวา่คดโค้ง แต่ แง หมายถึงเสยี งร้องของเดก็ สว่ นงอแง หมายวา่ ไมส่ ู้ เอาใจยาก
คาประสม เกิดจากความต้องการคาที่มาแทนความคดิ ใหม่และความต้องการใหม่ เกิดขนึ ้ วธิ ีคดิ คาเพมิ่ โดยการนาเอาคามลู ตงั้ แต่ 2 คาขนึ ้ ไปมาประสมกนั เรียกวา่คาประสม เกิดเป็นคาใหม่ มีความหมายใหมข่ นึ ้ เชน่พดั ลม เตารีด ไฟฟา้ ต้เู ย็น ลกู คดิ ตากล้อง ผ้แู ทน เรือบิน รถราง นา้ อดั ลม ฯลฯ
คาประสมทเ่ี กดิ ความหมายใหม่ขนึ้ จะมีความสัมพันธ์กบั ความหมายเดมิ ในลกั ษณะต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ 1. ควำมหมำยของคำประสมมีเค้ำควำมหมำยเดมิ ของคำมูลมำรวมกันโดยตรง เช่น รองเท้า ไม้แขวนเสอื ้ ไม้กวาด 2. ควำมหมำยของคำประสมในทำนองเปรียบเทยี บ เช่นหางเสอื ลกู เสอื หวั แข็ง ปากแขง็ ปากกา และบางคาเป็นสานวน เชน่ยกเมฆ ชกั ดาบ โคมลอย นา้ พกั นา้ แรง ลม่ หวั จมท้าย ฯลฯ
3.คำประสมท่เี กดิ จำกนำคำมูลท่มี ีควำมหมำยใกล้เคียงกัน หรือควำมหมำยคล้ำยกันมำซ้อนกนั เป็ นคำขนึ้ เช่น วอ่ งไว ว่ากลา่ วเหลยี วแล ช้านาน ถ้อยคา วงิ่ เต้น รูปภาพ เรือนหอ ฯลฯ4. นำคำมูลท่มี ีควำมหมำยกว้ำง ๆ มำประสมกับคำมูลคำอ่นื ๆทำให้เกดิ ควำมหมำยเฉพำะขนึ้ เช่น ชาว (ยอ่ มาจากผ้ทู ่ีอย่)ู เชน่ ชาวบ้าน ชาวเขา ชาวเกาะ นกั (ยอ่ มาจากผ้ทู ี่กระทา) เชน่ นกั เรียน นกั ร้อง นกั ดนตรี เครื่อง (ยอ่ มาจากสงิ่ ที่ประกอบกนั หรือของท่ีเข้าสารับกนั )เชน่ เครื่องยนต์ เครื่องจกั ร เครื่องกีฬา เครื่องเขยี น
ข้อสังเกตคาประสม1. คำประสมจะเป็ นวทิ ยำกำรสมัยใหม่ เชน่ เตารีด หม้อหงุ ข้าวไฟฟา้เคร่ืองปรับอากาศ พดั ลม ต้เู ยน็ เครื่องอบผ้า เครื่องซกั ผ้า เครื่องดดู ฝ่นุฯลฯ2. คำประสมเป็ นคำเดยี วกันจะแยกออกจำกกันไม่ได้ ควำมหมำยจะไม่เหมอื นเดมิ เช่น นางแบบ รับรอง มนษุ ย์กบ คาประสมจะเป็นคาใหม่เกิดขนึ ้
ชนิดของคาในภาษาไทยคำในภำษำไทยแบ่งออกเป็ น ๗ ชนิด ได้แก่๑. คำนำม ๒. คำสรรพนำม๓. คำกริยำ ๔. คำวิเศษณ์๕. บุพบท ๖. คำสันธำน๗. คำอุทำน
คำท่เี ป็ นช่ือของ๑ค.นคสาัตนว์ สาถมำนท่ี ส่ิงของ สภำพอำกำร และลักษณะทงั้ ในส่งิ มีชีวติ และส่งิ ไม่มีชีวติ ตลอดทงั้ ท่เี ป็ นรูปธรรมและส่ิงท่เี ป็ นนำมธรรม ชนิดของคำนำมแบ่งออกเป็ น ๕ ชนิด คือ
๑.๑ สำมำนยนำมหรือนำมสำมัญ คือ คำท่เี ป็ นช่ือของคน สัตว์ สถำนท่ี ส่งิ ของ และกิริยำอำกำรท่ัวไปไม่จำเพำะเจำะจง เช่น เดก็ โรงเรียน กวำง บ้ำน ดนิ สอกระเป๋ ำ โต๊ะ เก้ำอี้ ต้นไม้ ลม ฝน ฯลฯ ๑.๒ วสิ ำมำนยนำมหรือนำมเฉพำะ คอื คำนำมท่ีเป็ นช่ือของคน สัตว์ สถำนท่ี ส่งิ ของ แต่เป็ นช่ือท่ีเฉพำะเจำะจงลงไปว่ำ เป็ นใครหรืออะไร เช่น กำชัย ทองหล่อ โฮจมิ ิน กรุงเทพฯ สำมก๊ก มหำวทิ ยำลัยรำชภฏัร้ อยเอ็ด
๑.๓ ลกั ษณนำมหรือนำมบอกลักษณะ คือ คำนำมท่ีทำหน้ำท่ปี ระกอบนำมอ่ืน เพ่อื แสดงรูปลักษณะ ขนำดหรือประมำณของนำมนัน้ ให้ชัดเจนย่งิ ขนึ้ ลักษณนำมมักปรำกฏอย่หู ลังตัวเลขบอกจำนวน เช่น คน ๓ คน หนังสือ๒ เล่ม ต้นไม้ ๓ ต้น ขนม ๖ ชนิ้
๑.๔ สมุหนำมหรือนำมบอกหมวดหมู่ คือ คำนำมท่ที ำหน้ำท่ีแสดงหมวดหมู่ของสำมำนยนำมและวิสำมำนยนำม เช่น ฝูง โขลง คณะ พวก กองบริษัท รัฐบำล ๑.๕ อำกำรนำมหรือนำมบอกอำกำร คือ คำท่ใี ช้เรียกช่ือกริยำอำกำรหรือควำมเป็ นไปของคน สัตว์ ส่งิ ของ เป็ นกำรเตมิ “กำร” หรือ “ควำม” หน้ำคำกริยำหรือคำวิเศษณ์ เช่น ควำมคิด ควำมรู้ ควำมดี กำรน่ัง กำรนอน ควำมฝัน ควำมไว ควำมสะอำด
๒. คาสรรพนาม เป็ นคำท่ใี ช้แทนคำนำม ชนิดของคำสรรพนำม คำสรรพนำมแบ่งออกเป็ น ๖ ชนิดคอื๑. บุรุษสรรพนำมหรือสรรพนำมใช้แทนบคุ คล แบ่งออกเป็ น ๓ ชนิด คือ ๑.๑ สรรพนำมบุรุษท่ี ๑ เป็ นคำท่ใี ช้แทนตวั ผู้พดู เช่น ผม ฉัน เรำข้ำพเจ้ำ ๑.๒ สรรพนำมบรุ ุษท่ี ๒ เป็ นคำท่ใี ช้แทนตวั ผู้ท่เี รำพดู ด้วย เช่น เธอคุณ ท่ำน ๑.๓ สรรพนำมบรุ ุษท่ี ๓ เป็ นคำท่ใี ช้แทนตัวผู้ท่เี รำกล่ำวถงึ เช่น ท่ำนเขำ หล่อน เธอ
๒. นิยมสรรพนามหรือสรรพนามชี้ระยะ เป็ นสรรพนำมชเี้ ฉพำะเพ่อื บ่งควำมชัดเจน คำสรรพนำมชนิดนีม้ ีเพียง ๖ คำ ได้แก่ น่ี นี้ น่ัน นัน้ โน่น โน้น น่ี ใช้แทนคำนำมท่อี ยู่ใกล้ตัวผู้พูด เช่น น่ีปำกกำของฉัน น่ัน ใช้แทนคำนำมท่หี ่ำงออกไป เช่น น่ันเพ่อื นของฉัน โน่น ใช้แทนคำนำมท่อี ย่หู ่ำงออกไปไกลกว่ำ เช่น โน่นโรงเรียนของฉัน
Search