๓. อนยิ มสรรพนามเป็ นสรรพนำมท่มี เี นือ้ ควำมไม่ชีเ้ ฉพำะเจำะจง เช่น ใคร ไหน ผู้ใด ใครกไ็ ด้มำหำฉันหน่อย (ใคร เป็ นอนิยมสรรพนำม) ท่ไี หนกม็ คี นช่ัวปะปนอยู่ทงั้ นัน้ (ไหน เป็ นอนิยมสรรพนำม) ผู้ใดก็สำมำรถอย่ทู ่นี ่ีได้ (ผู้ใด เป็ นอนิยมสรรพนำม)
๔. ปฤจฉาสรรพนามหรือสรรพนามใช้ถาม เป็ นสรรพนำมท่มี ีเนือ้ ควำมเป็ นคำถำม เช่นใคร อะไร ไหน ใครจะไปดหู นังบ้ำง (ใคร เป็ นปฤจฉำสรรพนำม) อะไรอยู่ในตู้ (อะไร เป็ นปฤจฉำสรรพนำม) ผ้ ูใดจะออกมำร้ องเพลง (ผู้ใด เป็ นปฤจฉำสรรพนำม)
๕. วภิ าคสรรพนามหรือสรรพนามแบ่งพวกหรือรวมพวก เป็ นสรรพนำมท่ใี ช้แยกออกเป็ นแต่ละคน แต่ละส่งิ หรือแต่ ละพวก เช่น ต่ำง บ้ำง กัน นักเรียนทุกคนต่ำงกต็ งั้ ใจเรียนหนังสือ (ต่ำง เป็ นวภิ ำคสรรพนำม แทนนักเรียน เป็ นกำรแบ่งพวก) มนุษย์เรำบ้ำงก็ดี บ้ำงกช็ ่ัวปะปนกันไป (บ้ำง เป็ นวภิ ำคสรรพนำม แทนมนุษย์ เป็ นกำรแบ่งพวก) เดก็ ๆ เล่นกันอย่ำงสนุกสนำน (กนั เป็ นวภิ ำคสรรพนำม แทนเดก็ ๆ เป็ นกำรรวมพวก)
๖. ประพนั ธสรรพนามหรือสรรพนามเชื่อมประโยค เป็ นคำสรรพนำมท่ใี ช้แทนคำนำม และเช่ือม ประโยคท่อี ยู่ข้ำงหน้ำ เช่น ท่ี ซ่งึ อัน คนท่เี ป็ นนักกีฬำต้องขยนั ฝึ กซ้อม (ท่ี เป็ นประพันธสรรพนำมแทนคำว่ำ คน) ฉันออกเดนิ ทำงไปรอบโลกอันกว้ำงใหญ่ (อัน เป็ นประพนั ธสรรพนำมแทนคำว่ำ โลก)
๓. คากริยา คำกริยำ เป็ นคำท่แี สดงอำกำรของคำนำมและสรรพนำม หรือแสดงกำรกระทำของประธำน ชนิดของคำกริยำแบ่งออกเป็ น ๔ ชนิด คือ๑. อกรรมกริยำหรือกริยำท่ไี ม่ต้องกำรกรรม เป็ นคำกริยำท่มี ีควำมสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ต้องมีกรรมมำรับ เช่น เดนิ ยนืน่ัง นอน ร้องไห้ บนิ คุณป่ ูหลับ (หลับ เป็ นอกรรมกริยำ) นกบนิ (บนิ เป็ นอกรรมกริยำ)
๒. สกรรมกริยาหรือกริยาต้องการกรรม เป็ นกริยำท่ีไม่มีควำมสมบรู ณ์ในตวั เอง ต้องมีกรรมมำรับ เช่น กนิ อ่ำน จกิ ตี ไถ ตัด ขำย แม่ค้ำกำลังขำยข้ำวแกง (ขำย เป็ นสกรรมกริยำ) ชำวนำไถนำตอนหน้ำฝน (ไถ เป็ นสกรรมกริยำ) ลุงตัดกระดำษเพ่อื ทำป้ำย (ตดั เป็ นสกรรมกริยำ)
๓. วกิ ตรรถกริยาหรือกริยาอาศัยส่วนเติมเตม็ เป็ นคำกริยำท่มี ีควำมหมำยไม่สมบูรณ์ จำเป็ นต้องมีคำนำม คำสรรพนำม หรือคำวเิ ศษณ์มำขยำยจงึ จะได้ควำมสมบรู ณ์ เช่น เป็ น คือ เสมือน เหมือน คล้ำย เท่ำ ดุจ ประหน่ึงรำว เธอมีใบหน้ำคล้ำยพ่อ (คล้ำย เป็ นวกิ ตรรถกริยำ) พ่ชี ำยเธอเป็ นทหำรเรือ (เป็ น เป็ นวกิ ตรรถกริยำ)
๔. กริยานุเคราะห์หรือกริยาช่วย เป็ นกริยำท่ที ำหน้ำท่ชี ่วยคำกริยำอ่ืน ให้แสดงควำมหมำยได้ชัดเจนย่ิงขนึ้ กริยำนุเครำะห์มี ๑ลักษณะ คือ ๑ เป็ นคำท่มี ีควำมหมำยได้กเ็ ม่ือได้ช่วยคำกริยำอ่ืนเท่ำนัน้ เช่น จะ กำลัง ได้ คง ถกู ให้ เคย แล้วต้อง อำจ วันนีฝ้ นอำจจะตก (อำจจะ เป็ นกริยำนุเครำะห์) นักศึกษำทกุ คนต้องแต่งกำยเรียบร้อย (ต้อง เป็ นกริยำนุเครำะห์)
๔. คาวเิ ศษณ์ คำวิเศษณ์ คือคำท่ที ำหน้ำท่ปี ระกอบ(ขยำย)คำนำม, คำสรรพนำม, คำกริยำ, และคำวเิ ศษณ์ด้วยกันให้ได้ควำมชัดเจนย่งิ ขึน้ ชนิดของคำวิเศษณ์ แบ่งออกเป็ น ๖ ชนิด คือ๑. ลักษณวเิ ศษณ์หรือวิเศษณ์บอกลักษณะ เป็ นคำวเิ ศษณ์ท่บี อกลักษณะต่ำง ๆ เช่น• บอกชนิด เช่น ดี เลว อ่อน แก่ หนุ่ม สำว• บอกขนำด เช่น ใหญ่ เล็ก กว้ำง ยำว
• บอกสัณฐำน เช่น กลม แบน รี แป้น• บอกสี เช่น เขียว ขำว แดง เหลือง• บอกเสียง เช่น ดงั ค่อย เบำ แทบ พร่ำ เพรำะ• บอกกล่นิ เช่น หอม เหม็น ฉุน• บอกรส เช่น เผ็ด หวำน มัน เคม็ เปรีย้ ว• บอกสัมผัส เช่น ร้อน เยน็ อุ่น นุ่ม แขง็• บอกอำกำร เช่น เร็ว ช้ำ ว่องไว ปรำดเปรียว
๒. กำลวเิ ศษณ์หรือวเิ ศษณ์บอกเวลำ เช่น เช้ำ สำย บ่ำย เท่ียว เยน็ ค่ำ ดกึ ปัจจุบัน แต่ก่อน อนำคต๓. สถำนวเิ ศษณ์หรือวเิ ศษณ์บอกสถำนท่ี เช่น บน ล่ำง เหนือ ใต้ บก นำ้ บ้ำน ป่ ำ๔. ประมำณวเิ ศษณ์หรือวเิ ศษณ์บอกจำนวน แบ่งเป็ น ๓ ชนิด คือ• บอกจำนวนไม่จำกดั เช่น มำก น้อย หลำย จุ• บอกจำนวนจำกัด เช่น หมด ทงั้ หมด ทงั้ ปวง ทุก บรรดำ• บอกจำนวนนับ เช่น หน่ึง สอง สำม ส่ี ห้ำ
๕. ประตชิ ญำวิเศษณ์หรือวเิ ศษณ์แสดงคำขำนและรับ เช่น จ๊ะ จ๊ำ จ๋ำ คะ ขำ ครับ๖. ประตเิ ษธวเิ ศษณ์หรือวิเศษณ์แสดงควำมปฏเิ สธ เช่น ไม่ ไม่ได้ อย่ำ มิ มใิ ช่ มิใช่ ไม่ใช่ บ บ่ หำมิได้
๕. คาบุพบท คาบพุ บท คอื คาที่ทาหน้าท่ีเชื่อมคาตอ่ คา โดยคาบพุ บท จะวางอยหู่ น้าคานาม สรรพนาม หรือคากริยา จงึ เช่ือมคาข้างหน้า กบัคานาม สรรพนาม หรือกริยา อาจจาแนกคาบพุ บทออกเป็นกลมุ่ ได้ดงั นี ้ ๑ . คำบพุ บทบอกสถำนท่ี มีคาวา่ ใน ใกล้ ที่ บน ใต้ ริมชดิ เช่น • เดก็ วิ่งในสนาม • พอ่ วางโต๊ะใกล้ประตู • นิดอา่ นหนงั สือท่หี ้องสมดุ
๒. คาบุพบทบอกความเป็ นผู้รับ มีคาวา่ แก่ แด่ เพือ่ ต่อ สาหรับ เฉพาะ เช่น • แมใ่ ห้เงนิ แก่ลกู • พอ่ ถวายภตั ตาหาร แด่พระสงฆ์ • ทหารสละชีพเพ่อื ชาติ๓. คำบุพบทบอกควำมเป็ นเคร่ืองใช้ มีคาวา่ ด้วย โดย เชน่ • จดิ าภา วาดรูปด้วยดินสอ • ครูแจ้งข่าวให้ให้ทราบ โดยตดิ ประกาศไว้
4. คาบุพบทบอกความเป็ นเจ้าของ มีคาวา่ ของ แห่ง เช่น • ชดุ นีข้ องฉนั • ชาย เมืองสงิ ห์ เป็นศลิ ปินแห่งชาติ • เราต้องชว่ ยกนั รักษาสมบตั ิของโรงเรียน5.คำบุพบทบอกเวลำ มีคาวา่ เม่ือ ตงั้ แต่ ตราบเทา่ เชน่ • ปรีชามาถงึ บ้านเม่ือเช้านี ้ • คณุ พอ่ ไปทางานตงั้ แต่เช้า
๖.คาสันธาน คาสนั ธาน คอื คาท่ีทาหน้าท่เี ชื่อมคากบั คา ประโยคกบั ประโยค ข้อความกบั ข้อความ เพ่ือ แสดงความคล้อยตาม ความขดั แย้งเหตผุ ล หรือเชื่อมความให้สละสลวย คาสนั ธาน มี ๔ ชนิด ดงั นี ้๑.เช่อื มใจควำมท่คี ล้อยตำมกัน ได้แก่คาว่า กบั และ , ทงั้ …และ , ทงั้ …ก็ , ครัน้ …ก็ , ครัน้ …จงึ , พอ…ก็๒.เช่อื มใจควำมท่ขี ัดแย้งกัน ได้แกค่ าวา่ แต่ , แตว่ า่ , ถงึ …ก็ , กวา่ …ก็๓.เช่อื มใจควำมเป็ นเหตุเป็ นผลกัน ได้แก่คาว่า จงึ , เพราะ…จงึ , เพราะฉะนนั้ …จงึ
๔.เช่ือมใจควำมให้เลือกอย่ำงใดอย่ำงหน่ึง ได้แกค่ า วา่ หรือ หรือไมก่ ็ , ไมเ่ ช่นนนั้ , มิฉะนนั้
๗. คาอทุ าน คาอทุ าน เป็นคาที่เปลง่ ออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สกึ ของผู้พดู เม่ือดีใจ เสยี ใจ ตกใจ ประหลาดใจ ซง่ึ สามารถแบง่ ได้ ๒ ชนดิ คอื๑. คำอุทำนบอกอำกำร เป็นคาท่ีเปลง่ ออกมาเม่ือมีความรู้สกึ ตา่ ง เช่น• เม่ือเสียดำยหรือโกรธ มกั เปลง่ คาวา่ ชิ ชิ ชิชะ เหม่• เม่ืออนำถใจ สงสำร น้อยใจหรือเสียใจ มกั เปลง่ คาวา่ โธ่ พทุ โธ่อนจิ จา• เม่ือประหลำดใจ มกั เปลง่ คาวา่ บะ วะ แหม อ๊ะ เอ๊ะ อ๊ยุ• เม่ือเจบ็ ปวด มกั เปลง่ คาวา่ โอ๊ะ โอย วยู
๒. คำอุทำนเสริมบท เป็นคาท่ีใช้เป็นคาสร้อยหรือคาเสริมบทตา่ ง เพื่อให้มีคาครบถ้วนตามต้องการ หรือเพ่ือให้มีความกระชบั สละสลวย เชน่ ลูกเต้าเหล่าใคร ผ่าผ่อนท่อนสไบ เลขผานาที ไม่รู้ไม่ช้ี น้องนุ่ง โรงร่าโรงเรียน สะตุ้งสตางค์
คาสมาส การสร้างคาสมาสในภาษาไทยได้แบบอยา่ งมาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤตโดยนาคาบาล-ี สนั สกฤต ตงั้ แตส่ องคามาตอ่ กนั หรือรวมกนั ๑. เป็ นคำท่มี ำจำกภำษำบำลี-สันสกฤตเท่ำนัน้ คาทม่ี าจากภาษาอื่น นามาประสมกนั ไมน่ บั เป็นคาสมาส ตวั อยา่ งคาสมาสบำล+ี บำลี เช่น อคั คีภยั วาตภยั โจรภยั อริยสจั ขตั ตยิ มานะอจั ฉริยบคุ คล สนั สกฤต+สนั สกฤต เช่น แพทยศาสตร์ วรี บรุ ุษ วรี สตรี สงั คมวิทยา ศิลปกรรม บำล+ี สันสกฤต, สันสกฤต+บำลี เช่น หตั ถศกึ ษา นาฎศลิ ป์ สจั ธรรมสามญั ศกึ ษา
๒. คำท่รี วมกันแล้วไม่เปล่ียนแปลงรูปคำแต่อย่ำงใด เช่น วฒั น+ธรรม = วฒั นธรรม สาร+คดี = สารคดี พิพธิ +ภณั ฑ์ = พิพธิ ภณั ฑ์ กาฬ+ปักษ์ = กาฬปักษ์ ทพิ ย+เนตร = ทพิ ยเนตร โลก+บาล = โลกบาล เสรี+ภาพ = เสรีภาพสงั ฆนายก สงั ฆ+นายก =
๓. คาสมาสเม่ือออกเสียงต้องต่อเนื่องกนั เช่นภมู ิศาสตร์ อา่ นวา่ พ-ู มิ-สาดเกียรติประวตั ิ อา่ นวา่ เกียด-ต-ิ ประ-หวดัเศรษฐการ อ่านวา่ เสด-ถะ-กานรัฐมนตรี อา่ นวา่ รัด-ถะ-มน-ตรีเกตมุ าลา อา่ นวา่ เก-ต-ุ มา-ลา
๔. คาทน่ี ามาสมาสกนั แล้ว ความหมายหลกั อยู่ทค่ี าหลงั ส่วนความรองจะ อยู่ข้างหน้า เช่นยทุ ธ (รบ) + ภมู ิ (แผ่นดิน สนาม) = ยทุ ธภมู ิ (สนามรบ)หตั ถ (มือ) + กรรม (การงาน) = หตั ถกรรม (งานฝีมือ)ครุ ุ (ครู) + ศาสตร์ (วชิ า) = ครุ ุศาสตร์ (วชิ าครู)สนุ ทร (งาม ไพเราะ) + พจน์ (คากลา่ ว) = สนุ ทรพจน์ (คากลา่ วที่ ไพเราะ
คาสนธิคาสนธิในภาษาไทยหมายถึงคาทีม่ าจากภาษาบาลี-สนั สกฤต มาเชื่อมตอ่ กนัทาให้เสียงพยางค์หลงั ของคาแรกกลมกลนื กนั กบั เสยี งพยางค์แรกของคาหลงั๑. สระสนธิ คือกำรกลมกลืนคำด้วยเสยี งสระ เช่นวทิ ย+อาลยั = วิทยาลยั พทุ ธ+อานภุ าพ = พทุ ธานภุ าพมหา+อรรณพ = มหรรณพ นาค+อินทร์ = นาคนิ ทร์มคั ค+อเุ ทศก์ = มคั คเุ ทศก์ พทุ ธ+โอวาท = พทุ โธวาทรังสี+โอภาส = รังสิโยภาส ธน+ู อาคม = ธนั วาคม
๒. พยัญชนะสนธิ เป็นการกลมกลนื เสียงระหวา่ งพยญั ชนะกบั พยญั ชนะ ซง่ึ ไม่คอ่ ยมีใช้ในภาษาไทย เช่นรหสฺ + ฐาน = รโหฐานมนสฺ + ภาว = มโนภาว (มโนภาพ)ทสุ ฺ + ชน = ทรุ ชน นิสฺ + ภย = นิรภยั๓. นฤคหติ สนธิ ได้แก่การเช่ือมคาท่ีขนึ ้ ต้นด้วยนฤคหติ หรือพยางค์ท้ายของคาหน้าเป็นนฤคหิต กบั คาอื่น เช่นส + อทุ ยั = สมทุ ยั ส + อาคม = สมาคมส + ขาร = สงั ขาร ส + คม = สงั คมส + หาร = สงั หาร ส + วร = สงั วร
วลี วลี คือ กลมุ่ คาทมี่ ารวมกนั เพื่อให้มีความหมายมากขนึ ้ ชดั เจนขนึ ้ แตย่ งั ไมค่ รบสมบรู ณ์อยา่ งประโยค โดยประโยคต้องประกอบด้วย ๒ สว่ น คือ ภาคประธาน และภาคแสดง ถ้าเป็นวลจี ะ ประกอบด้วยอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เทา่ นนั้
เช่น แมวสีขำวตัวอ้วนกลม เป็นวลี กนิ ข้ำวอย่ำงตะกระมูมมำม เป็นวลี แมวสีขาวตัวอ้วนกลมกนิ ข้าวอย่าง ตะกระมูมมาม เป็นประโยค
ประโยค ประโยค หมำยถงึ หน่วยหน่ึงของภำษำ ท่มี ีควำมสมบรู ณ์โดยเป็ นกำรแทนควำมหมำยของสภำพ จะประกอบด้วยสองส่วนเป็ นอย่ำงน้อยคอื ภำคประธำนและภำคแสดง กำรประกอบจะประกอบคำซ่งึ มีสองคำหลกั ทำหน้ำท่เี ป็ นคำนำมในภำคประธำน และคำกริยำในภำคแสดง
ประโยคแบ่งได้เป็ น ๓ ชนิด คือ ๑. ประโยคควำมเดียว(เอกรรถประโยค) ๒. ประโยคควำมรวม (อเนกรรถประโยค) ๓. ประโยคควำมซ้อน (สังกรประโยค)
๑. ประโยคควำมเดยี ว (เอกรรถประโยค) คือ ประโยคที่มีใจความสาคญั เพยี งหนง่ึ เดียวมีภาคประธานภาคเดยี ว ภาคแสดงภาคเดียว สงั เกตได้จากมีกริยาสาคญั เพียงตวั เดยี ว เชน่ ประโยค ภำค ภำคแสดง หมำยเหตุประธำนฝนตก ฝน ตก ประโยคท่ีลมพดั ลม กริยำไม่ พดั ต้อง มีไฟดบั ไฟ กรรมมำรับ ดับ
ประโยค ภำค ภำคแสดง หมำยเหตุ ประธำนนักศึกษำทำ นักศึกษำ ทำกำรบ้ำน ทำ = กริยำ กำรบ้ำน ฉัน กำรบ้ำน =ฉันกนิ ผลไม้ กรรม กนิ ผลไม้ กนิ = กริยำ ผลไม้ = กรรมสุนัขกัดไก่ สุนัข กดั ไก่ กัด = กริยำ ไก่ = กรรม
ประโยค ภำค ภำคแสดง หมำยเหตุ ประธำนคุณพ่อเป็ น คุณพ่อ เป็ นตำรวจ เป็ น =ตำรวจ กริยำ ตำรวจ = ส่วนเตมิ เตม็• หมำยเหตุ - \"เป็ น\" เป็ นกริยำท่ีต้องอำศัยส่วนเตมิ เตม็ เพ่ือให้เนือ้ ควำมสมบูรณ์
๒. ประโยคควำมรวม (อเนกรรถประโยค) คือประโยคท่รี วมเอำประโยคควำมเดยี วตงั้ แต่ ๒ ประโยค ขนึ้ ไปมำรวมกัน โดยใช้สันธำนเป็ นตวั เช่ือมแต่ก็สำมำรถแยกออกเป็ นประโยคควำมเดยี วท่มี ีใจควำมสมบูรณ์ได้เหมือนเดมิโดยไม่ต้องเพ่มิ ส่วนใดส่วนหน่ึงในประโยค เช่นประโยคควำม ประโยคควำม ประโยคควำม สันธำน รวม เดียว ๑ เดียว ๒ฉันอ่ำนหนังสือ ฉันอ่ำน น้องเล่น แต่ หนังสือ ต๊กุ ตำ แต่น้องเล่นตุ๊กตำ
ประโยคควำมรวมแบ่งย่อยได้เป็ น ๔ แบบ ดังนี้ ๒.๑ ประโยคท่มี ีเนือ้ ควำมคล้อยตำมกนั คอื ประโยคความ เดยี ว ๒ ประโยค ท่ีนามารวมกนั โดยมีเนือ้ ความสอดคล้องกนั มีสนั ธาน และ แล้ว แล้ว...ก็ ครัง้ ...จงึ พอ...ก็ ฯลฯ ๒.๒ ประโยคท่มี ีเนือ้ ควำมขัดแย้งกนั คอื ประโยคความเดยี ว ๒ ประโยคที่นามารวมกนั โดยมีเนือ้ ความขดั แย้งกนั กริยาในแตล่ ะ ประโยคตรงกนั ข้ามกนั สว่ นใหญ่จะมีสนั ธาน แต่ แตท่ วา่ กวา่ ...ก็ ฯลฯ
๒.๓ ประโยคท่มี ีเนือ้ ควำมให้เลือกเอำอย่ำงใดอย่ำงหน่ึง คือประโยคท่ีมีกริยา ๒ กริยาที่ตา่ งกนั มีสนั ธาน หรือ หรือไม่ก็ มิฉะนนั้ ...ก็ ฯลฯ ๒.๔ ประโยคท่มี ีเนือ้ ควำมเป็ นเหตุเป็ นผล คือ ประโยคที่มีประโยคความเดียวประโยคหนงึ่ มีเนือ้ ความเป็นประโยคเหตแุ ละมีประโยคความเดยี วอีกประโยคหนง่ึ มีเนือ้ ความเป็นประโยคผล มีสนั ธาน จงึ ฉะนนั้ ดงั นนั้ เพราะฉะนนั้ ฯลฯ
๓. ประโยคควำมซ้อน (สงั กรประโยค) คือประโยคที่ประกอบด้วยประโยคหลกั (มขุ ยประโยค)และประโยคยอ่ ย(อนปุ ระโยค) มารวมเป็นประโยคเดยี วกนั โดยมี ประพนั ธสรรพนาม (ผ้,ู ที่, ซง่ึ , อนั ) ประพนั ธวิเศษณ์ หรือบพุ บทเป็นบทเช่ือม ประโยคหลัก (มุขยประโยค) คอื ประโยคท่ีเป็นใจความสาคญั ท่ีต้องการส่ือสาร ประโยคย่อย (อนุประโยค) คอื ประโยคที่ทาหน้าท่ีขยายความประโยคหลกั ให้สมบรู ณ์ยง่ิ ขนึ ้
ประโยคควำม ประโยคหลัก ประโยคย่อย ตวั เช่ือม ซ้อน (มุขยประโยค) (อนุประโยค)ฉันรักเพ่อื นท่ีมี ฉันรักเพ่อื น ท่มี ีนิสัย ท่ี นิสัย เรียบร้ อย (แทนคำว่ำ\" พ่อแม่ทำงำน เรียบร้ อย หนัก ลูกจะมีอนำคต เพ่อื น\") สดใสพ่อแม่ทำงำน เพ่อื (ขยำย หนักเพ่ือ วิเศษณ์ \"หนัก\")ลูกจะมีอนำคต สดใส
กำรอ่ำนออกเสียงคำให้ถูกต้อง กำรอ่ำนอกั ษรนำ1.ถ้ำพยญั ชนะต้นตัวแรกเป็ นอักษรสูงหรือกลำงพยญั ชนะตัวตำมต้อง ออกเสยี งตำมตวั พยัญชนะตัวแรก เช่นถนน อ่ำนว่ำ ถะ-หนนขนุน อ่ำนว่ำ ขะ-หนุน สมุน อ่ำนว่ำ สะ- หมุนผลิต อ่ำนว่ำ ผะ-หลิด จรัส อ่ำนว่ำ จะ-หรัด• อักษรสูงมี 11 ตัวดังนี้ ข ฃ ฉ ผ ฝ ถ ฐ ส ศ ษ ห• อกั ษรกลำงมี 9 ตวั ดังนี้ ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ
2. ถ้ำพยญั ชนะต้นตัวแรกเป็ นอักษรต่ำ คำหลังอ่ำน ตำมเสียงเดมิ คณิต อา่ นวา่ คะ-นิด ชนก อา่ นวา่ ชะ-นก ทนาย อา่ นวา่ ทะ-นาย พนกั อา่ นวา่ พะ-นกั
กำรอ่ำนอักษรควบกลำ้1.อกั ษรควบแท้จะต้องอ่ำนออกเสียงพยัญชนะต้นทงั้ 2 ตัวพร้อม กนั เชน่ กราบกราน คลอ่ งแคล้ว นิทรา ฟรี ปรับปรุง โปรดปราน2. อักษรควบไม่แท้ เวลำอ่ำนออกเสียงจะอ่ำนพยัญชนะต้นเพียง ตวั เดียว ไม่อ่ำนออกเสียงตวั ควบกลำ้ เช่น แสร้ง(แส้ง) เสร็จ(เสด็ ) ศรัทธา (สดั -ทา) กาสรวล(กา-สวน) และตวั ท ควบกบั ร ให้เปล่ียน เสียง ทร ให้เป็น ซ เชน่ ทรัพย์สนิ (ซบั -สิน) พทุ รา (พดุ -ซา) ทรุดโทรม (ซุด-โซม) พทุ รา (พดุ -ซา)
กำรเขียนสะกดคำให้ถูกต้อง กำรส่ือสำรด้วยกำรเขียนจำเป็ นอย่ำงย่งิ ท่ผี ู้ส่ือสำรจะต้องรู้หลักภำษำเพ่อื ให้เข้ำใจเร่ืองกำรใช้พยัญชนะ กำรใช้สระตวั สะกด กำรันต์ กำรผันวรรณยุกต์ เพ่อื ให้มีกฏเกณฑ์ในกำรเขียนสะกดคำให้ถูกต้องและจะต้องตรวจสอบคำท่ไี ม่แน่ใจว่ำเขียนได้ถูกต้องหรือไม่จำกพจนำนุกรมทุกครัง้ เพรำะคำในภำษำไทยถ้ำเขียนผิดควำมหมำยทำให้ผู้รับสำรเข้ำใจผดิ พลำดคลำดเคล่ือนไปนอกจำกนีย้ ังมีผลทำให้ผู้รับสำรไม่เช่ือถือในผู้ส่งสำรด้วย
ข้อผิดพลำดในกำรเขียนคำในภำษำไทย อำจเกิดได้จำกสำเหตุ ดงั นี้ 1.ข้อผิดพลำดเก่ียวกบั พยญั ชนะต้น พยัญชนะในภำษำไทยจะมีเสียงซำ้ กนั เช่น ส-ศ-ษ /พ-ภ / น- ณ/ ธ-ท-ฒ และมีเสียงใกล้เคยี งกัน เช่น ร-ล กำรเขียนตำมเสียงโดย ไม่รู้จกั คำหรือควำมหมำยของคำนัน้ จะทำให้เขียนคำผิดพลำดได้ เช่น ภมู ใิ จ อำจเขียนผิดเป็ น พมู ิใจ ปรำณีอำจเขียนผิดเป็ น ปรำนี ร่อแร่ อำจเขียนผิดเป็ นล่อแล่ กำไร อำจเขียนผิดเป็ น กำไล ช้อนส้อม อำจเขียนผิดเป็ น ช้อนซ่อม ทรุดโทรมอำจเขียนผดิ เป็ น ซุดโทรม
2.ข้อผดิ พลำดเก่ียวกับพยัญชนะสะกด ตวั สะกดในภาษาไทยมี 8 มาตรา คือ แมก่ ก แม่กด แม่กบ แมก่ ง แม่กม แมก่ น แมเ่ กย และแมเ่ กอว บางมาตรา มีพยญั ชนะท่ีเป็นตวั สะกดในมาตราเดยี วกนั ได้หลายตวั เชน่ แมก่ ก พยญั ชนะที่เป็นตวั สะกดได้แก่ ก/ข/ค/ฆ แมก่ น พยญั ชนะท่ีเป็นตวั สะกดได้คือ ญ/ณ/น/ร/ล/ฬ การเขียนต้องมีหลกัในการจาและสงั เกตโดยดจู ากความหมายของคาเป็นหลกั เช่น วนั ศกุ ร์ที่ผา่ นมาฉนั มีความสขุ มากที่สดุ ฉนั ได้ไปพกั ผ่อนท่ีบ้านสวนและเก็บมะมว่ งสกุ ไปฝากเพ่ือน ท่ีทางานกาลเวลาที่ผ่านไปหน้าที่การงานของเขาก็เจริญก้าวหน้าขนึ ้ เร่ือย แตแ่ ล้วก็มีเหตกุ ารณ์ท่ีไมค่ าดฝันเกิดขนึ ้ ในช่วงสงกรานต์ปีนีเ้ขาป่วยเป็นกาฬโรคและเสียชีวติ ที่จงั หวดั กาญจนบรุ ี
3.ข้อผดิ พลำดเก่ียวกับกำรใช้สระ การใช้สระในคาดงั้ เดมิ ในภาไทยจะออกเสยี งตรงกบั สระท่ีประสม ยกเว้นสระบางเสียงท่ีเขียนได้หลายแบบ อาจจะทาให้เกดิความสบั สนในการสะกดคาได้เชน่ การประวสิ รรชนีย์หรือไม่ประวสิ รรชนีย์ ในคาวา่ ตะโกน กระโถน กระทะ กนก ตลก ตลอด การเขียนคาที่ออกเสียง อา/อมั เช่น จารัส ดารง อมั พร คมั ภีร์ ปั๊ม การเขียนคาท่ีประสมสระ ใอ/ไอ/อยั /ไอยเช่น หลงใหล นา้ ใหล ฝักใฝ่ ลาไย ชยั อะไหล่ เจียระไน ซงึ่ ผ้ใู ช้ต้องศกึ ษาและสงั เกตหลกั การเขียนเพ่อื จะได้เขียนอยา่ งถกู ต้อง
4.ข้อผิดพลำดเก่ยี วกบั กำรใช้เคร่ืองหมำยกำรันต์หรือ ทณั ฑฆำต เครื่องหมายการันต์หรือทณั ฑฆาต ์์ เป็น การสง่ เครื่องหมายกากบั เสยี งเพอื่ ไมใ่ ห้ออกเสยี งพยญั ชนะ หรือสระท่ีมีเคร่ืองหมายการันต์กากบั อยคู่ วามผิดพลาดอาจเกิดจากการใช้หรือไมใ่ ช้เครื่องหมายการันต์รวมถงึ การใช้พยญั ชนะท่ีเป็นตวั การันตผ์ ิด เชน่เลือกสรร อาจเขียนผดิ เป็น เลอื กสรรค์ มคั คเุ ทศก์ อาจเขียนผิดเป็นมคั คเุ ทศน์ กษตั ริย์ อาจเขียนผิดเป็น กษตั รย์ โลกาภิวฒั น์ อาจเขียนผิดเป็น โลกาภิวตั น์
5. ข้อผดิ พลำดเก่ียวกับกำรใช้วรรณยุกต์ การใช้วรรณยกุ ต์กากบั เสยี งผิดมกั พบในคายืมจากภาษาอ่ืนและคาเลยี นเสยี งทงั้ นีเ้นื่องจากพยญั ชนะบางตวั เมื่อผนั วรรณยกุ ต์แล้วเสียงจะไมต่ รงกบั รูปวรรณยกุ ต์เม่อื เทียบตามเสยี งทปี่ รากฏจงึ ทาให้เขียนรูปวรรณยกุ ต์ผิดเป็น เช่น เสอื ้ เชิต้ เขียนผิดเป็น เสอื ้ เช๊ิต เพราะเสยี งวรรณยกุ ต์เป็นเสยี งตรี สมดุ โน้ต เขียนผดิ เป็น สมดุ โน๊ตเพราะเสียงวรรณยกุ ต์เป็นเสียงตรี นะคะ เขียนผดิ เป็น นะคะ่ เพราะเทียบเสยี งผิดเจ๊ียวจ๊าว เขียนผดิ เป็น เจีย้ วจ้าว เพราะเทียบเสยี งผดิ
Search