สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) สารชีวโมเลกุลในอาหาร 203 กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ ค�ำ ชแ้ี จง กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเปน็ กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะเฉพาะดา้ นความร-ู้ ความจำ� เพอื่ ใชใ้ น การตรวจสอบความเขา้ ใจตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สารชวี โมเลกลุ คอื อะไร (จ.1) (แนวทางการตอบ เป็นสารอินทรีย์ที่มีธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก โมเลกุลมีขนาดใหญ่และพบใน ส่งิ มชี วี ติ สารชีวโมเลกลุ ในอาหาร จำ�แนกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ ลิพดิ โปรตนี และคาร์โบไฮเดรต) 2. กรดไขมนั อิ่มตัวและกรดไขมนั ไม่อ่ิมตวั มอี งคป์ ระกอบเหมอื นหรือแตกต่างกันอยา่ งไร (จ.1) (แนวทางการตอบ กรดไขมนั อมิ่ ตวั เปน็ กรดไขมนั ทยี่ ดึ เหนยี่ วดว้ ยพนั ธะเดย่ี วทงั้ หมด มสี ตู รทวั่ ไปเปน็ CnH2nO2 หรอื CnH2n+1 COOH กรดไขมนั ไมอ่ มิ่ ตวั เปน็ กรดไขมนั ทยี่ ดึ เหนย่ี วดว้ ยพนั ธะคอู่ ยา่ งนอ้ ย 1 พนั ธะ มสี ตู รทวั่ ไปเปน็ CnH2n-2O2 หรอื CnH2n-1 COOH) 3. จงเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาการเตรียมสบู่จากการเอสเทอร์ท่ีเกิดจากกลีเซอรอล (Glycerol) และ CH3(CH2)12-C- OH (จ.1) (แนวทางการตอบ ข้นึ อยูก่ ับดุลยพนิ ิจของผู้สอน) 4. เพราะเหตุใดจึงตอ้ งรับสารชวี โมเลกลุ ประเภทโปรตนี (จ.2) (แนวทางการตอบ เน่ืองจากร่างกายมนุษย์และสัตว์ มีองค์ประกอบเป็นโปรตีนมากกว่าร้อยละ 50 ของนํ้าหนักแห้ง นอกจากนี้โปรตีนมีความจำ�เป็นในการเจริญเติบโตของร่างกาย ซ่อมแซมส่วนต่างๆ สร้างฮอร์โมน และเป็นส่วนประกอบใน เม็ดเลอื ดแดงอกี ด้วย) 5. น้าํ ตาลโมเลกลุ เด่ียว น้ําตาลโมเลกุลคู่ และนาํ้ ตาลโมเลกลุ ใหญ่ เหมือนหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร (จ.3) (แนวทางการตอบ นํ้าตาลโมเลกุลเด่ียวหรือเรียกว่า โมโนแซ็กคาไรด์ มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด เช่น กลูโคส นํ้าตาลโมเลกุลคู่หรือเรียกว่า ไดแซ็กคาไรด์ เกิดจาก โมโนแซ็กคาไรด์ 2 โมเลกุล มารวมตัวกัน เช่น มอลโทส เกิดจากกลูโคส 2 โมเลกุล นํ้าตาลโมเลกุลใหญ่หรือเรียกว่า พอลิแซ็กคาไรด์ เกิดจากโมโนแซ็กคาไรด์ (กลูโคส) จ�ำ นวนมากมายต่อรวมกัน พบในธรรมชาติ เช่น แปง้ ไกลโคเจน เซลลโู ลส ซ่งึ นํ้าตาลโมเลกุลใหญน่ จี้ ะไม่ละลายนา้ํ ) จ. หมายถงึ ตรงตามจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 7 ขอ้ ท่ี ...
204 วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชีพธรุ กจิ และบริการ 6. ถา้ บรโิ ภคแปง้ หรือน้าํ ตาลมากเกินไปจะเกดิ อะไรขึ้น (จ.3) (แนวทางการตอบ ท�ำ ใหเ้ ลอื ดมสี ภาวะเปน็ กรดมากเกนิ ไป รา่ งกายเกดิ ภาวะไมส่ มดลุ ท�ำ ใหเ้ กดิ ไขมนั สะสม นา้ํ ตาลท�ำ ใหอ้ าการ ของโรคตดิ เชอื้ ทเ่ี ปน็ อยทู่ วคี วามรนุ แรงขน้ึ เพราะเชอ้ื โรคทกุ ชนดิ ใชน้ า้ํ ตาลเปน็ อาหาร ท�ำ ใหน้ า้ํ หนกั มากเกนิ ขนาดเปน็ โรคอว้ น หรืออน่ื ๆ ขึน้ อยู่กับดลุ ยพนิ ิจของผู้สอน) 7. เราสามารถตรวจสอบนาํ้ ตาลและโปรตนี ได้อย่างไร (จ.3) (แนวทางการตอบ นํา้ ตาลสามารถทดสอบโดยใชส้ ารละลายเบเนดกิ ต์ สว่ นโปรตนี สามารถทดสอบโดยใช้สารละลายไบยเู ร็ต) 8. แป้ง A มอลโทส มอลเทส B ดงั น้ัน A และ B น่าจะเปน็ สารชนิดใด (จ.3) (แนวทางการตอบ A คอื เอนไซม์อะไมเลสและ B คอื กลโู คส) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)
สารชวี โมเลกลุ ในอาหาร 205 กิจกรรมสง่ เสริมการเรียนรู้ คำ�ชแี้ จง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายท่ีฝึกทักษะทุกด้าน ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อให้เกิดสมรรถนะในการเรียนรู้ สามารถปฏิบัติกิจกรรม ทัง้ ในและนอกสถานที่ตามความเหมาะสมของผเู้ รยี นและส่ิงแวดล้อมของสถานศึกษา 1. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มเป็น 5 กลุ่ม จับสลากเลือกหัวข้อตามสาระการเรียนรู้ ร่วมกันศึกษาข้อมูลจาก แหล่งเรยี นรูต้ ่างๆ และนำ�ความร้ทู ีไ่ ดร้ ับมาจดั ท�ำ ป้ายนเิ ทศ 2. ให้ผเู้ รยี นเขยี นผงั ความคิด เรอ่ื ง สารชวี โมเลกลุ ในอาหาร พร้อมระบุประโยชน์ทไี่ ดร้ บั จากการเรียน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เป็นกิจกรรมท่ีผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติทุกข้อหรือเลือกปฏิบัติเป็นบางข้อตาม ความเหมาะสม โดยผ้สู อนให้คะแนนการทำ�กิจกรรมตามเกณฑข์ องใบสรปุ ผลการทำ�กจิ กรรม และสามารถ นำ�ผลการทำ�กิจกรรมไปเทียบกับการให้คะแนนกับตารางวิเคราะห์ความสอดคล้องของเน้ือหากับ จดุ ประสงคร์ ายวิชา สมรรถนะรายวชิ า และจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมได้ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) สรุปผลการท�ำกิจกรรม ค�ำชีแ้ จง ใหผ้ ้เู รยี นประเมินผลการท�ำกิจกรรม โดยเขยี นเคร่ืองหมาย ✓ ลงในชอ่ ง ตามความเป็นจรงิ ความรู้ (K) ทักษะ (P) คณุ ลกั ษณะ (A) เกณฑ์การประเมิน ความรู ้ ความเขา้ ใจ การปฏิบัติงานทไี่ ด้รบั การมีมนษุ ยสัมพันธ์ใน ท�ำ เคร่ืองหมาย ✓ การน�ำ ไปใช้ การวิเคราะห์ มอบหมายเสร็จตามเวลา การปฏบิ ัตกิ ิจกรรม ในแต่ละตอน 3 ขอ้ การสงั เคราะห์ ท่ีก�ำ หนด ความมวี ินยั ตรงตอ่ เวลา คอื ผ่านการประเมิน การประเมินคา่ การปฏบิ ตั งิ านด้วยความ ความซื่อสตั ย์สุจริต ละเอยี ด รอบคอบ ปลอดภัย ในการท�ำ งาน 1. ความรู้ (K) การศึกษาค้นควา้ เรียบรอ้ ย สวยงาม ประพฤติตนด้วยความ ผ่าน ไม่ผา่ น การแสวงหาแหล่งข้อมูล และการรวบรวมขอ้ มูล ความสมบูรณข์ องงาน ถูกตอ้ งตามศีลธรรม 2. ทกั ษะ (P) การแสดงความคิดเหน็ การปฏบิ ัตงิ านทที่ ำ�ใหเ้ กดิ อันดีงาม อย่างมีเหตผุ ล หรือแสดง สมรรถนะแก่ผเู้ รยี น เจตคตทิ ดี่ ีในการปฏิบัติ ผ่าน ไมผ่ า่ น กจิ กรรม ขั้นตอนและกระบวนการ ทักษะการวางแผน การคิด 3. คุณลกั ษณะ (A) ทำ�กิจกรรม สรา้ งสรรค์ การออกแบบ ความพอเพยี งและความ ผ่าน ไมผ่ ่าน การหาประสบการณ์ การผลิต พอประมาณ ความรู้ใหม่ การตดั สนิ ใจในการแก้ปญั หา หมายเหตุ เกณฑ์การประเมินผลการทำ�กิจกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินว่า ผู้เรียนเกิดสมรรถนะจากการเรียนรู้ ตามบริบทต่างๆ หรือไม่ โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ความรู้หรือพุทธิพิสัย = Knowledge (K) ทักษะหรือ ทกั ษะพสิ ัย = Practice (P) คณุ ลักษณะหรือจติ พิสยั = Attitude (A)
206 วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชพี ธรุ กิจและบริการ แบบทดสอบ จงจับคขู่ อ้ ความต่อไปนีใ้ ห้ถกู ต้อง ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นท�ำ แบบทดสอบ จากนน้ั ใหผ้ เู้ รยี นแลกกนั ตรวจค�ำ ตอบ โดยผสู้ อนเป็นผูเ้ ฉลย ค. 1. สารประกอบอนิ ทรียป์ ระเภทเอสเทอรท์ ่เี กิดจาก ก. ปฏกิ ริ ยิ าไอโอดิเนชัน ปฏกิ ิรยิ าเอสเทอริฟเิ คชัน ข. กรดไลโนเลอิก ค. ลิพิด ฉ. 2. กรดไขมันอ่มิ ตวั ง. การทดสอบไบยูเร็ต ข. 3. กรดไขมันไม่อิม่ ตวั จ. ฟรุกโทส ช. 4. การน�ำ น้ํามนั พืชมาทำ�ปฏิกิรยิ ากับไฮโดรเจน ฉ. กรดพาลมิติก ญ. 5. ปฏิกิรยิ าท่เี กิดจากไขมันกบั ออกซิเจนและ ช. ไขมนั ดัดแปลง สลายเปน็ กรดไขมันและแอลดไี ฮด์ ซ. ซรี นี ฎ. 6. โมเลกลุ ของโปรตีน ฌ. ไลซีน ฏ. 7. กรดอะมโิ น 3 หนว่ ย ญ. ปฏกิ ริ ิยาออกซิเดชัน ฌ. 8. เปน็ กรดอะมโิ นท่รี า่ งกายสามารถสร้างได ้ ฎ. กรดอะมโิ น จ.,ฐ. 9. เป็นน้ําตาลโมเลกุลเดี่ยว ฏ. ไตรเพปไทด์ ก. 10. การฟอกสีจางของไอโอดีนจากสารละลาย ฐ. กาแลกโทส สเี หลืองน้ําตาลเปน็ สารละลายไม่มีสี ฑ. ปฏิกริ ิยาไฮโดรจิเนชนั สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)
สารชีวโมเลกลุ ในอาหาร 207 แบบประเมนิ ตนเอง ค�ำชแี้ จง ตอนท่ี 1 ให้ผู้เรียนประเมนิ ผลการเรยี นรู้ โดยเขยี นเครอ่ื งหมาย ✓ลงในช่องระดับคะแนน และเติมข้อมลู ตามความเป็นจริง ระดับคะแนนตอนท่ี 1 5 : มากทส่ี ดุ 4 : มาก 3 : ปานกลาง 2 : น้อย 1 : ควรปรับปรุง ตอนที่ 2 ใหผ้ เู้ รยี นน�ำคะแนนจากแบบทดสอบมาเตมิ ลงในชอ่ งวา่ ง และเขยี นเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ่ งสรปุ ผล สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ตอนท่ี 1 (ผลการเรยี นร)ู้ ตอนที่ 2 (แบบทดสอบ) รายการ 5 4 3 2 1 แบบทดสอบ ตอนท่ี 1 1. ผเู้ รียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในเนื้อหา คะแนน 2. ผ้เู รียนไดท้ �ำกิจกรรมท่สี อดคล้องกบั เน้ือหา (ขอ้ ละ 1 คะแนน) และจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ แบบทดสอบ ตอนที่ 2 คะแนน 3. ผ้เู รยี นไดเ้ รียนและท�ำกิจกรรมทีส่ ่งเสรมิ กระบวนการคดิ (ขอ้ ละ 1 คะแนน) เกดิ การค้นพบความรู้ สรปุ ผล 4. ผู้เรยี นสามารถประยุกตค์ วามรู้เพอืี่ ใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจ�ำวนั ได้ 9-10 (ดมี าก) 7-8 (ด)ี 5. ผเู้ รียนได้เรียนร้อู ะไรจากการเรียน 6. ผเู้ รยี นต้องการท�ำสง่ิ ใดเพอ่ื พัฒนาตนเอง 5-6 (พอใช)้ ต่ํากวา่ 5 7. ความสามารถที่ถือวา่ ผา่ นเกณฑป์ ระเมนิ ของผเู้ รียน คอื (ควรปรับปรุง)
208 วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาอาชีพธรุ กจิ และบริการ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)8หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ีคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ สาระส�ำ คญั คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจากการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า โดยการทำ�ให้สนามไฟฟ้าหรือ สนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อสนามไฟฟ้ามีการเปล่ียนแปลงจะเหนี่ยวนำ�ให้เกิด สนามแม่เหล็ก หรือถ้าสนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเหน่ียวนำ�ให้เกิดสนามไฟฟ้า คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคล่ืนตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กท่ีมีการส่ัน ในแนวต้งั ฉากกนั สาระการเรียนรู้ 1. สมบัติของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 2. คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าในชวี ติ ประจำ�วัน
สมรรถนะประจำ�หนว่ ย 1. แสดงความร้แู ละปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกับคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า 2. ประยกุ ตค์ วามรู้เรื่องคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ไปใช้ในชีวติ ประจำ�วันและการประกอบอาชพี สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. บอกสมบตั ิของคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าได้ 2. อธิบายการน�ำ คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชวี ติ ประจ�ำ วนั ได้ 3. มีเจตคติท่ดี ใี นการเรยี นเรือ่ งคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ และรกั ษค์ า่ นิยมหลกั 12 ประการของไทย ผังสาระการเรยี นรู้ คลนื่ แม่เหล็ก สมบัตขิ องคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ไฟฟ้า คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ ในชีวิตประจ�ำ วนั
คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ 211 กิจกรรมที่ 8.1 ไฟฟา้ -แมเ่ หลก็ วสั ดอุ ุปกรณ์ 1. ขดลวดทองแดง 1 ชดุ ขดลวดทองแดง 2. หลอดไฟโวลตต์ ่าํ 1 หลอด หลอดไฟ 3. แท่งแม่เหลก็ 1 แทง่ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 4. แกลวานอมเิ ตอร์ 1 เคร่อื ง วิธีทำ� 1. ประกอบอปุ กรณ์ดงั ภาพ 2. นำ�แท่งแมเ่ หล็กข้ัวเหนอื (N) สอดเขา้ ไปในขดลวด ภาพท่ี 8.2 ไฟฟา้ -แมเ่ หลก็ สังเกตเขม็ ของแกลวานอมิเตอรแ์ ละหลอดไฟ บนั ทึกผล 3. ดงึ แทง่ แมเ่ หล็กตามขอ้ 2 ออก สงั เกตการเปล่ยี นแปลง บนั ทกึ ผล 4. ทดลองเปลยี่ นความเรว็ ในการสอดแท่งแม่เหลก็ เปรียบเทยี บการเปลีย่ นแปลง บันทกึ ผล 5. ทำ�การทดลองซ้ําข้อ 1-4 แต่เปล่ียนจากสอดแท่งแม่เหล็กขั้วเหนือ (N) เข้าไปในขดลวดเป็น แท่งแม่เหลก็ ขั้วใต้ (S) แทน 6. ทดลองซ้าํ ข้อ 1-5 แตใ่ ชก้ ารเคล่อื นของขดลวดเข้าหาแท่งแมเ่ หลก็ แทน ค�ำ ถามท้ายกิจกรรม 1. การเคลื่อนท่ีของแทง่ แมเ่ หล็กผา่ นขดลวดและการเคลอื่ นของขดลวดเขา้ หาแท่งแม่เหล็ก ใหผ้ ลการทดลองเหมอื นกันหรือไม่ อยา่ งไร (แนวทางการตอบ ขน้ึ อยู่กบั ดลุ ยพินจิ ของผ้สู อน) 2. สามารถสรปุ ความสัมพันธข์ องไฟฟา้ และแมเ่ หลก็ ได้อยา่ งไร (แนวทางการตอบ ข้ึนอยู่กับดุลยพินจิ ของผู้สอน)
คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ 213 กจิ กรรมท่ี 8.2 การส่งและรบั คลน่ื วทิ ยุ วสั ดุอุปกรณ์ 1. อปุ กรณเ์ ครือ่ งสง่ วทิ ยุ 1 ชุด (ประกอบด้วยเครื่องแปลง เสาอากาศ ถา่ นไฟฉาย และสายไฟ) 2. กล่องถา่ นไฟฉายพรอ้ มไฟฉาย 4 ก้อน 1 หลอด สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 3. วิทยทุ ี่สามารถรบั คลื่นวิทยุ AM 1 เครอ่ื ง วธิ ีทำ� 1. ต่ออปุ กรณด์ ังรูป วางวิทยหุ ่างจากเครอ่ื งส่ง พอประมาณ 2. ใช้สายไฟสะกิดทขี่ ้วั ถ่านไฟฉาย 1 ก้อน ใหฟ้ งั เสยี งที่เครื่องรับวทิ ยุ 3. จากนนั้ ใหส้ ะกิดท่ีถ่านไฟฉาย 2 ก้อน 3 กอ้ น 4 กอ้ น ตามลำ�ดบั ให้ฟังเสยี งทเ่ี กิดขน้ึ ในเคร่อื งส่งวทิ ยุ ภาพที่ 8.7 การจัดการทดลองการสง่ และรบั คลน่ื วทิ ยุ คำ�ถามท้ายกจิ กรรม 1. เพราะเหตุใดใชส้ ายไฟสะกดิ ทีข่ ัว้ ถ่านไฟฉายจงึ เกิดเสียงทว่ี ทิ ยุ (แนวทางการตอบ ขึน้ อยู่กับดลุ ยพนิ ิจของผู้สอน) 2. เมือ่ เปล่ียนจำ�นวนถ่านไฟฉาย เสยี งท่เี กิดขน้ึ จะดังหรอื ค่อยกวา่ เดมิ (แนวทางการตอบ ขน้ึ อยูก่ ับดุลยพินจิ ของผู้สอน) 3. สรุปผลการทดลองน้ีไดอ้ ย่างไร (แนวทางการตอบ ขน้ึ อยูก่ ับดุลยพนิ ิจของผสู้ อน)
สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)216 วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบริการ 2.1.7 รงั สีแกมมา (Gamma Ray) มคี วามถีป่ ระมาณ 3 Ö 1019 เฮริ ตซ์ รังสีชนดิ น้มี สี มบัติ ในการทะลุทะลวงสูงมาก มักเกิดจากการแผ่รังสีของธาตุกัมมันตรังสี เช่น เรเดียม ยูเรเนียม เป็นต้น นอกจากนย้ี งั ได้รบั มาจากนอกโลกหรอื เกดิ จากอนภุ าคความเร็วสงู ทอ่ี อกมาจากเครื่องเรง่ อนุภาค กจิ กรรมท่ี 8.1 ประโยชน์และโทษของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า วัสดอุ ปุ กรณ์ 1. กระดาษรายงาน 1 ชุด 2. เครื่องเขียน 1 ชุด วธิ ีทำ� ให้ผ้เู รียนแบ่งกลุ่ม 4 กลมุ่ ร่วมกันสืบค้นข้อมูลเกย่ี วกบั การใช้คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ ในชวี ติ ประจ�ำ วนั โดยศึกษาเก่ียวกับประโยชน์และโทษของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า จากน้ันออกแบบนำ�เสนอผลการสืบค้นให้ น่าสนใจ แลว้ น�ำ เสนอหน้าชน้ั เรียน กลุ่มละ 5-10 นาที ค�ำ ถามท้ายกจิ กรรม • คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ มปี ระโยชนแ์ ละโทษอย่างไร (แนวทางการตอบ ประโยชน์ คล่ืนวิทยุ - ใช้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับ คล่ืนไมโครเวฟ - เป็นแหล่งกำ�เนิดความร้อนใน การปรุงอาหาร คลน่ื อนิ ฟราเรด - เตารดี รงั สอี ัลตราไวโอเลต - ฆ่าเชอื้ โรคในผลิตภณั ฑบ์ างชนิด เช่น น้ําด่ืม โทษ คล่ืนวิทยแุ ละรงั สอี ินฟราเรด - รบกวนการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน ระบบเอนไซม์ รังสีเอกซแ์ ละรังสีแกมมา - รบกวนสว่ นประกอบของเซลล์ หรืออน่ื ๆ ขน้ึ อยู่กบั ดุลยพนิ ิจของผสู้ อน) 2.2 ประโยชน์และโทษของคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ 2.2.1 ผลของคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ทม่ี ตี อ่ ประจขุ องอะตอมและโมเลกลุ มี 2 แบบ ไดแ้ ก่ 1) ไอออไนซิง เรดิเอชัน (Ionizing Radiation) เป็นการท่ีพลังงานท่ีแผ่กระจาย ออกมามีความสามารถในการที่จะขับอิเล็กตรอนให้หลุดออกไปจากอะตอม ซึ่งหากเกิดข้ึนกับเซลล์ของ สิ่งมีชีวิตจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตน้ัน เพราะเป็นการรบกวนสารประกอบท่ีเป็นส่วนประกอบของเซลล์ เช่น รงั สเี อกซ์ รงั สีแกมมา เป็นต้น 2) นอนไอออไนซงิ เรดิเอชนั (Non Ionizing Radiation) เป็นผลของพลงั งานท่ี ไมส่ ามารถท�ำ ให้อะตอมแตกตัวได้ การแพรก่ ระจายเช่นนีไ้ ม่มีผลต่ออะตอมหรือโมเลกุลใหญ่ แต่จะมีผล ต่อการทำ�งานของระดับเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เช่น รบกวนการเปล่ียนแปลงระบบฮอร์โมน ระบบเอนไซม์ ระบบควบคมุ การประสานงานระหวา่ งเซลล์ของส่ิงมีชีวติ เป็นตน้ พลงั งานท่มี คี วามถี่นอ้ ยกวา่ และมีระดับ พลงั งานต่าํ กวา่ เชน่ คลืน่ วิทยุ รังสีอินฟราเรด เป็นตน้
สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) คลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ 219 อันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มักเกิดข้ึนกับบุคคลที่ทำ�งานใกล้ชิดหรือได้สัมผัสกับคลื่นท่ีมี ความเข้มสูงและต่อเน่ืองเป็นเวลานาน ซ่ึงคล้ายกับผู้ที่ทำ�งานเกี่ยวกับรังสีย่อมมีโอกาสได้รับอันตราย มากกว่าบุคคลท่ัวไป อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมนุษย์ใช้คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าในการสื่อสารกันอย่างมาก ทำ�ให้ในบรรยากาศและตัวเราถูกปกคลุมและห่อหุ้มด้วยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ามากขึ้น ถ้าสมมติว่าตา สามารถตรวจจับคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าได้ ก็คงเหน็ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเหลา่ นที้ ัง้ หอ่ หุ้มและทะลผุ ่าน รวมท้งั ถูกดูดกลืนโดยร่างกายตลอดเวลา แต่มนุษย์ยังโชคดีท่ีระดับความเข้มของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในบรรยากาศ และสิ่งแวดลอ้ มในปจั จบุ ันมคี ่าต่าํ มาก แตใ่ นอนาคตมีแนวโน้มการใช้คล่นื วทิ ยุกันมากขึน้ ดงั น้ันคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ เหลา่ นจ้ี งึ อาจส่งผลกระทบตอ่ ชวี ติ ความเป็นอย่ขู องมนษุ ย์มากขน้ึ ก็ได้ กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ ค�ำ ชี้แจง กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเปน็ กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะเฉพาะดา้ นความร-ู้ ความจำ� เพอื่ ใชใ้ น การตรวจสอบความเข้าใจตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. ลักษณะของคล่ืนท่สี ำ�คญั คืออะไร (จ.1) (แนวทางการตอบ คล่นื คอื ลักษณะของการถูกรบกวนที่มีการแผก่ ระจาย เคล่อื นทอี่ อกไปในลกั ษณะของการกวัดแกวง่ หรอื กระเพือ่ ม หรอื อน่ื ๆ ขึ้นอยกู่ ับดุลยพินจิ ของผู้สอน) 2. คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้ามีสมบัติอยา่ งไร (จ.1) (แนวทางการตอบ 1. ไม่ตอ้ งใชต้ ัวกลางในการเคลอ่ื นท ่ี 2. อัตราเร็วของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดในสุญญากาศเท่ากับ 3Ö108 m/s ซึ่งเท่ากับ อัตราเร็วของแสง 3. เป็นคลน่ื ตามขวาง 4. ถา่ ยเทพลงั งานจากท่ีหนง่ึ ไปยังอีกทีหน่งึ 5. ถกู ปลอ่ ยออกมาและถกู ดูดกลืนไดโ้ ดยสสาร 6. ไมม่ ปี ระจุไฟฟา้ 7. สามารถแทรกสอด สะทอ้ น หกั เห และเลีย้ วเบนได)้ 3. การสะทอ้ นและการหักเหของคลื่นมลี กั ษณะสำ�คัญอยา่ งไร (จ.1) (แนวทางการตอบ การหักเห เกิดข้ึนเมื่อคล่ืนเดินทางจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่งที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันทำ�ให้อัตราเร็วคลื่น เปลย่ี นแปลงไปและความยาวเคล่ือนก็เปลี่ยนไปด้วย การสะทอ้ น เกดิ ขนึ้ เม่อื คลืน่ เคลอื่ นที่ไปพบสิ่งกดี ขวางหรือเปล่ยี นตวั กลางในการเคล่ือนท่ี โดยคลน่ื เคลื่อนทไ่ี ปพบสงิ่ กีดขวาง เรียกว่าคลนื่ ตกกระทบ และเคล่ือนทสี่ ะท้อนออกมาเรยี กว่า คล่ืนสะท้อน หรอื อื่นๆ ข้ึนอยู่กบั ดลุ ยพนิ จิ ของ ผ้สู อน) 4. จงอธิบายหลกั การรวมกันไดข้ องคลื่น (จ.1) (แนวทางการตอบ เม่อื คล่นื สองขบวนเคลอ่ื นท่ีมาพบกัน จะเกดิ การรวมกนั เปน็ คล่ืนใหม่ โดยทีค่ ลน่ื เดิมซ่อนรปู อยู่ ในคลน่ื ใหม่ ซ่งึ คลืน่ เดมิ จะแสดงคณุ สมบตั ิ เดมิ ออกมารปู เดิมอกี เมอื่ คลื่นนนั้ เคลอื่ นทผ่ี า่ นไป การกระจดั ของคลื่นใหม่เกิดขึ้น ณ ตำ�แหน่งตา่ งๆ เป็นผลบวกของการกระจดั ของคล่ืนทั้งสองที่ต�ำ แหนง่ นั้น มผี ลใหแ้ อมพลิจดู ของคลื่นใหม่เทา่ กบั ผลรวมของแอมพลิจดู ของคลน่ื ทั้งสอง หรอื อืน่ ๆ ขนึ้ อยกู่ บั ดุลยพินจิ ของผสู้ อน) จ. หมายถงึ ตรงตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 8 ข้อท่ี ...
220 วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชีพธุรกจิ และบริการ 5. คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้ามีลักษณะพเิ ศษอย่างไร (จ.1) (แนวทางการตอบ ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคล่ือนที่ สามารถแทรกสอด สะท้อน หักเหและเลี้ยวเบนได้ เป็นคลื่นตามขวาง หรืออื่นๆ ข้นึ อย่กู ับดลุ ยพนิ ิจของผสู้ อน) 6. เสียงสะทอ้ นเกดิ ไดอ้ ย่างไร มเี งื่อนไขใดบา้ ง (จ.1) (แนวทางการตอบ เกิดจากคล่ืนเสียงว่ิงไปกระทบกับสิ่งที่กีดขวาง เช่น กำ�แพง แล้วสะท้อนกลับมาโดยระยะเวลาใน การเดินทางไปและกลับมีค่ามากพอที่หูเราจะแยกได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน เรียกว่า กฎการสะท้อน หรืออนื่ ๆ ขึน้ อยกู่ บั ดุลยพนิ ิจของผู้สอน) 7. สนามแม่เหล็กมลี ักษณะอย่างไร (จ.1) (แนวทางการตอบ สนามแมเ่ หลก็ เกดิ จากเคลอื่ นทขี่ องประจไุ ฟฟา้ ซง่ึ เปน็ บรเิ วณทบี่ ง่ บอกแรงกระท�ำ บนประจทุ กี่ �ำ ลงั เคลอ่ื นท่ี สนามแมเ่ หล็กเปน็ สนามเวกเตอร์ และทศิ ทางของสนามแมเ่ หลก็ ณ ตำ�แหนง่ ใดๆ คอื ทศิ ทท่ี ศิ ของเข็มทิศวางตวั อย่างสมดุล หรอื อื่นๆ ข้นึ อย่กู ับดุลยพินิจของผสู้ อน) 8. สเปกตรมั คลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้ามีคณุ สมบัตอิ ย่างไร (จ.2) (แนวทางการตอบ สเปกตรัมคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า มีช่วงความถ่ี ความยาวคลื่น สมบัติและลกั ษณะเฉพาะตัวทน่ี ำ�ไปใชง้ าน เช่น คล่ืนวทิ ยุ มชี ่วงความถ่ี 104-109 Hz ใชส้ ำ�หรับสง่ ขา่ วสารและสาระบันเทงิ ไปยังผูร้ บั หรืออ่ืนๆ ข้ึนอยกู่ ับดลุ ยพินจิ ของผูส้ อน) 9. คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ คอื อะไร มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร (จ.2) (แนวทางการตอบ ข้นึ อยกู่ ับดุลยพนิ จิ ของผสู้ อน) 10. จงยกตวั อย่างการใชค้ ลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในชีวิตประจำ�วันมา 5 ตัวอยา่ ง (จ.2) (แนวทางการตอบ คลนื่ วทิ ยุ คลน่ื ไมโครเวฟ คล่ืนอนิ ฟราเรด หรืออืน่ ๆ ขึน้ อยูก่ บั ดลุ ยพนิ จิ ของผสู้ อน) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)
คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ 221 กิจกรรมส่งเสรมิ การเรียนรู้ คำ�ชแี้ จง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายที่ฝึกทักษะทุกด้าน ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพ่ือให้เกิดสมรรถนะในการเรียนรู้ สามารถปฏิบัติกิจกรรม ท้งั ในและนอกสถานทีต่ ามความเหมาะสมของผเู้ รียนและสิ่งแวดลอ้ มของสถานศกึ ษา สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 1. ให้ผู้เรยี นเขยี นผังความคดิ เรอื่ ง คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ พรอ้ มระบุประโยชน์ทีไ่ ด้รับ 2. ให้ผู้เรียนศึกษาสมบัติของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ จัดทำ�ใบความรู้ เร่ืองคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เป็นกิจกรรมท่ีผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติทุกข้อหรือเลือกปฏิบัติเป็นบางข้อตาม ความเหมาะสม โดยผ้สู อนใหค้ ะแนนการทำ�กิจกรรมตามเกณฑข์ องใบสรุปผลการทำ�กจิ กรรม และสามารถ นำ�ผลการทำ�กิจกรรมไปเทียบกับการให้คะแนนกับตารางวิเคราะห์ความสอดคล้องของเนื้อหากับ จดุ ประสงคร์ ายวชิ า สมรรถนะรายวิชา และจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมได้ สรปุ ผลการท�ำกิจกรรม ค�ำชแี้ จง ใหผ้ เู้ รียนประเมินผลการท�ำกิจกรรม โดยเขียนเครือ่ งหมาย ✓ ลงในช่อง ตามความเป็นจรงิ ความรู้ (K) ทักษะ (P) คณุ ลกั ษณะ (A) เกณฑ์การประเมนิ ความรู้ ความเขา้ ใจ การปฏิบตั งิ านที่ได้รับ การมีมนษุ ยสัมพนั ธใ์ น ทำ�เครอื่ งหมาย ✓ การน�ำ ไปใช้ การวิเคราะห์ มอบหมายเสรจ็ ตามเวลา การปฏิบตั ิกจิ กรรม ในแต่ละตอน 3 ขอ้ การสังเคราะห์ ท่กี �ำ หนด ความมีวนิ ยั ตรงตอ่ เวลา คือ ผ่านการประเมิน การประเมนิ คา่ การปฏิบัตงิ านด้วยความ ความซอื่ สัตย์สุจรติ ละเอยี ด รอบคอบ ปลอดภยั ในการท�ำ งาน 1. ความรู้ (K) การศกึ ษาค้นคว้า เรียบร้อย สวยงาม ประพฤตติ นดว้ ยความ ผ่าน ไม่ผา่ น การแสวงหาแหลง่ ขอ้ มูล และการรวบรวมข้อมลู ความสมบูรณ์ของงาน ถกู ตอ้ งตามศลี ธรรม 2. ทักษะ (P) การแสดงความคดิ เห็น การปฏบิ ตั ิงานท่ีทำ�ใหเ้ กดิ อนั ดงี าม อย่างมีเหตผุ ล หรือแสดง สมรรถนะแกผ่ ้เู รียน เจตคติท่ีดใี นการปฏบิ ตั ิ ผา่ น ไม่ผ่าน กิจกรรม ขัน้ ตอนและกระบวนการ ทักษะการวางแผน การคิด ความพอเพียงและความ 3. คณุ ลักษณะ (A) ท�ำ กจิ กรรม สร้างสรรค์ การออกแบบ ผ่าน ไม่ผา่ น การหาประสบการณ์ การผลิต พอประมาณ ความรู้ใหม่ การตัดสินใจในการแก้ปญั หา หมายเหตุ เกณฑ์การประเมินผลการทำ�กิจกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินว่า ผู้เรียนเกิดสมรรถนะจากการเรียนรู้ ตามบริบทต่างๆ หรือไม่ โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ความรู้หรือพุทธิพิสัย = Knowledge (K) ทักษะหรือ ทักษะพสิ ยั = Practice (P) คณุ ลักษณะหรอื จติ พิสยั = Attitude (A)
222 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชีพธุรกจิ และบริการ แบบทดสอบ จงจบั ค่ขู อ้ ความตอ่ ไปนใ้ี หถ้ ูกต้อง ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นท�ำ แบบทดสอบ จากนนั้ ใหผ้ เู้ รยี นแลกกนั ตรวจค�ำ ตอบ โดยผสู้ อนเปน็ ผเู้ ฉลย ก. ไมเคลิ ฟาราเดย์ ข. VHF และ UHF ค. รงั สอี ลั ตราไวโอเลต ง. ไฮนร์ ิช เฮริ ตซ์ จ. คล่ืนไมโครเวฟ ฉ. 150 เมกะเฮิรตซ ์ ช. 4 Ö 1014 - 8 Ö 1014 ซ. 144 เมกะเฮิรตซ์ ฌ. Ionizing Radiation ฎ. คล่นื วทิ ย ุ ฏ. เจมส์ คลาร์ก แมกซ์เวลส์ ฐ. สเปกตรมั คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ฐ. 1. เป็นคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าท่ีมคี วามถีแ่ ละความยาวคลนื่ แตกต่างกัน ฎ. 2. เป็นคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าท่มี คี วามถใ่ี นชว่ ง 104 - 109 จ. 3. เปน็ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ทมี่ ีความถใ่ี นช่วง 108 - 1012 ค. 4. เปน็ คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ทีม่ คี วามถ่ใี นช่วง 8 Ö 1014 - 3 Ö 1017 ฌ. 5. คลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ ทม่ี ีพลังงานสงู มากพอที่จะทำ�ให้อเิ ลก็ ตรอนวงนอกสดุ หลุดออกจากอะตอม ข. 6. เปน็ ยา่ นของคลื่นความถ่ีท่มี อี ันตรายตอ่ ร่างกายมนุษยม์ ากกวา่ ท่ีความเขม้ ขน้ ของ พลังงานเทา่ กนั ฉ. 7. เปน็ ย่านของคล่นื ความถท่ี ี่สามารถทะลุผ่านเขา้ ไปในรา่ งกายได ้ - 8. เปน็ ย่านของคล่นื ความถ่ีทีไ่ ม่สามารถทะลุผา่ นเขา้ ไปในร่างกายได ้ ฏ. 9. ผูส้ รา้ งทฤษฎสี นามแม่เหล็กไฟฟ้า ง. 10. ผ้คู ้นพบคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 223 แบบประเมินตนเอง ค�ำชแี้ จง ตอนท่ี 1 ให้ผู้เรยี นประเมินผลการเรยี นรู้ โดยเขียนเคร่อื งหมาย ✓ลงในช่องระดบั คะแนน และเติมข้อมูลตามความเป็นจรงิ ระดับคะแนนตอนท่ี 1 5 : มากทสี่ ดุ 4 : มาก 3 : ปานกลาง 2 : นอ้ ย 1 : ควรปรบั ปรุง ตอนที่ 2 ใหผ้ เู้ รยี นน�ำคะแนนจากแบบทดสอบมาเตมิ ลงในชอ่ งวา่ ง และเขยี นเครอื่ งหมาย ✓ ลงในช่องสรุปผล สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ตอนที่ 1 (ผลการเรยี นรู้) ตอนท่ี 2 (แบบทดสอบ) รายการ 5 4 3 2 1 แบบทดสอบ ตอนที่ 1 1. ผเู้ รียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในเน้ือหา คะแนน 2. ผูเ้ รยี นได้ท�ำกจิ กรรมท่ีสอดคลอ้ งกับเน้ือหา (ขอ้ ละ 1 คะแนน) และจดุ ประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบ ตอนที่ 2 คะแนน 3. ผเู้ รียนได้เรียนและท�ำกจิ กรรมทีส่ ่งเสรมิ กระบวนการคิด (ขอ้ ละ 1 คะแนน) เกิดการค้นพบความรู้ สรปุ ผล 4. ผเู้ รียนสามารถประยกุ ต์ความรูเ้ พ่ีือใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตประจ�ำวนั ได้ 9-10 (ดีมาก) 7-8 (ด)ี 5. ผเู้ รียนได้เรยี นรู้อะไรจากการเรยี น 6. ผู้เรยี นตอ้ งการท�ำส่ิงใดเพ่ือพัฒนาตนเอง 5-6 (พอใช)้ ตาํ่ กวา่ 5 7. ความสามารถทถี่ อื วา่ ผ่านเกณฑป์ ระเมินของผเู้ รียน คือ (ควรปรบั ปรงุ )
224 วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาอาชพี ธุรกิจและบริการ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)9หน่วยการเรียนรทู้ ี่พลงั งานนวิ เคลยี ร์ สาระสำ�คญั ปฏิกิริยานิวเคลียร์ เป็นกระบวนการท่ีนิวเคลียสเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบหรือระดับ พลงั งานโดยปฏิกริ ยิ าอาจเกดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติ หรอื อาจเกดิ จากการชนกนั ระหว่างนิวเคลียสกับ นวิ เคลยี สหรอื นวิ เคลยี สกบั อนภุ าค พลงั งานทป่ี ลอ่ ยออกมาจากปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ เรยี กวา่ พลงั งาน นิวเคลยี ร์ สาระการเรยี นรู้ 1. โครงสรา้ งอะตอม 2. กัมมันตภาพรังสี 3. ปฏกิ ริ ยิ านิวเคลยี ร์ 4. กัมมนั ตภาพรังสีและพลงั งานนวิ เคลยี ร์กับชวี ติ ประจำ�วัน
สมรรถนะประจำ�หน่วย แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัตเิ ก่ียวกับพลงั งานนวิ เคลียร์ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายโครงสร้างอะตอมได้ 2. อธิบายการเกดิ กมั มันตภาพรังสไี ด้ 3. อธิบายปฏกิ ิรยิ านวิ เคลียร์ได้ 4. อธบิ ายกมั มันตภาพรังสีและปฏกิ ริ ิยาได้ 5. มีเจตคติทด่ี ีในการเรยี นเร่อื งพลังงานนวิ เคลยี ร์ และรกั ษ์ค่านยิ มหลัก 12 ประการของไทย สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ผังสาระการเรียนรู้ โครงสรา้ งอะตอม พลงั งาน กัมมนั ตภาพรังสี นิวเคลยี ร์ ปฏกิ ริ ิยานวิ เคลยี ร์ กมั มันตภาพรังสีและพลงั งานนิวเคลียร์ กบั ชีวติ ประจ�ำ วนั
226 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร ส่ิงที่สามารถพบเห็นได้โดยท่ัวไปในชีวิตประจำ�วันต่างประกอบข้ึนมาจากส่วนประกอบย่อยๆ ทีอ่ าจมีท้ังทเี่ ป็นชนดิ เดียวกนั และต่างชนิดกัน เช่น โต๊ะอาจประกอบข้ึนจากวสั ดุที่เป็นไมแ้ ละเหล็ก เปน็ ตน้ แต่ถ้ามองลึกต่อไปอีกจะพบว่าองค์ประกอบย่อยๆ เหล่าน้ันประกอบขึ้นมาจากองค์ประกอบพ้ืนฐาน ทเี่ รยี กวา่ อะตอม สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)1. โครงสรา้ งอะตอม ในอดีตมนุษย์เชอื่ ว่าสารชนิดเดียวกันจะมสี มบัตเิ หมอื นกันทุกประการ จึงจดั กลุ่มสสารแต่ละชนดิ เรียกว่า ธาตุ ต่อมาไดค้ ้นพบว่าธาตุประกอบดว้ ยหน่วยหรือองคป์ ระกอบเล็กๆ เรียกวา่ อะตอม (atom) เชือ่ กนั ว่าเป็นหน่วยทเี่ ล็กทีส่ ุดและไมส่ ามารถแบ่งแยกเปน็ หน่วยย่อยๆ ไดอ้ กี พิจารณาการทดลองต่อไปน้ี ภาพที่ 9.1 การทดลองความบริสทุ ธิ์ของน้าํ นำ�หลอดแก้ว A และ B ไปควํ่าในน้ํา ใส่เกลือลงไป เล็กน้อย จากนั้นนำ�จุกยางและข้ัวไฟฟ้าซึ่งต่อกับเซลล์ไฟฟ้า ไปใสไ่ วใ้ นหลอด A และ B ทิง้ ไว้สักครู่ จะสงั เกตเหน็ ฟองแก๊ส เกาะที่ขั้วไฟฟ้า เม่ือท้ิงไว้ต่อไปจะเกิดแก๊สจำ�นวนมากข้ึน ภายในหลอด A และ B หากนำ�แกส๊ ในหลอด A ไปทดสอบพบว่า แก๊สในหลอด A คือ แก๊สออกซิเจน (O2) ส่วนแก๊สในหลอด B เป็นแก๊ส ไฮโดรเจน (H2) ค�ำ ถามชวนคิด (แนวทางการตอบ เกดิ จากการแยกนา้ํ ดว้ ยกระแสไฟฟ้าไดแ้ กส๊ ออกซเิ จนและไฮโดรเจน) • แก๊สออกซเิ จนในหลอด A และแก๊สไฮโดรเจนในหลอด B มาจากที่ใด • เพราะเหตใุ ดแกส๊ ออกซิเจนจึงไปอยู่ท่หี ลอด A และแก๊สไฮโดรเจนจงึ ไปอยทู่ ่หี ลอด B จากการทดลองน้ีแสดงให้เห็นว่านํ้าไม่ใช่ธาตุ เพราะสามารถแยกสารชนิดอื่นออกมาจากน้ําได้ คือ ออกซิเจนและไฮโดรเจน นํา้ เป็นสารประกอบจากอะตอมของธาตอุ อกซิเจนและธาตไุ ฮโดรเจน สาเหตุ ท่ีสามารถแยกออกซิเจนและไฮโดรเจนออกจากน้ําได้ เพราะการใช้กระแสไฟฟ้าแสดงว่าอะตอมของธาตุ ท้ังออกซิเจนและไฮโดรเจนต้องมีส่วนท่ีเก่ียวข้องกับส่ิงที่มีประจุไฟฟ้า แต่อะตอมมีความเป็นกลางทาง ไฟฟา้ ดังนั้นสิง่ ทนี่ า่ เป็นไปได้ คือ อะตอมต้องมโี ครงสรา้ งภายในทม่ี ปี ระจไุ ฟฟา้ เป็นองคป์ ระกอบ (แนวทางการตอบ ไฮโดรเจนในนา้ํ เป็นข้วั บวก เพราะเป็นตัวเสียอเิ ลก็ ตรอน จึงไปจบั กับขว้ั ลบในหลอด B ส่วนแกส๊ ออกซเิ จนในน้ํา เป็นขว้ั ลบ เพราะไดอ้ เิ ล็กตรอนจากไฮโดรเจนจึงไปจบั กับขัว้ บวกในหลอด A หรอื อ่นื ๆ ขนึ้ อยูก่ ับดลุ ยพนิ จิ ของผสู้ อน)
พลงั งานนวิ เคลยี ร์ 227 กิจกรรมที่ 9.1 โครงสร้างของอะตอม วัสดอุ ปุ กรณ์ 1. กระดาษสำ�หรับจดั ท�ำ รายงาน 1 ชุด 2. อุปกรณ์เครอื่ งเขียน 1 ชุด วธิ ีทำ� 1. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม ร่วมกันสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับธาตุที่ผู้เรียนสนใจ และร่วมกันอภิปราย ภายในกลุ่มในหวั ขอ้ ต่างๆ ดังนี้ • ธาตทุ ่ศี กึ ษาคอื ธาตุชนดิ ใด ประกอบด้วยองค์ประกอบยอ่ ยๆ อะไรบ้าง จำ�นวนเท่าใด • องค์ประกอบยอ่ ยของธาตุมีสมบตั ทิ างไฟฟา้ อยา่ งไร จงอธบิ าย 2. ให้ผู้เรียนเขียนแผนภาพแสดงองค์ประกอบของธาตุท่ีศึกษา และส่งตัวแทนนำ�เสนอข้อมูล หนา้ ชั้นเรยี นกลุ่มละ 5-10 นาที สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) คำ�ถามท้ายกิจกรรม • โครงสรา้ งของอะตอมมีลักษณะอยา่ งไร (แนวทางการตอบ อะตอมประกอบดว้ ยนวิ เคลยี ส ภายในนวิ เคลยี สมอี นภุ าคโปรตอนและนวิ ตรอน (ยกเวน้ อะตอม ของไฮโดรเจนมีแต่อนุภาคโปรตอนอย่างเดียว) ส่วนรอบๆ นิวเคลียสมีอนุภาคอิเล็กตรอน หรืออื่นๆ ขึ้นอยู่กับ ดุลยพนิ จิ ของผู้สอน) เซอร์โจเซฟ จอหน์ ทอมสนั (พ.ศ. 2399-2483) ได้เสนอแบบจ�ำ ลองอะตอมว่า “อะตอมมีลักษณะ เป็นทรงกลม ประกอบด้วยอนุภาคโปรตอนซึ่งมีประจุไฟฟ้าเป็นบวกและอิเล็กตรอนซ่ึงมีประจุไฟฟ้า เปน็ ลบ จำ�นวนเท่ากันกระจายอยูท่ ั่วไปอย่างสมํ่าเสมอ”
สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) พลังงานนิวเคลยี ร์ 233 ค�ำ ถามท้ายกิจกรรม 1 จ�ำ นวนลกู เตา๋ จ�ำ นวนครง้ั ทท่ี อด จ�ำ นวนลกู เตา๋ ทเ่ี หลอื อยจู่ ากการทอดแตล่ ะครงั้ และจ�ำ นวน ลกู เตา๋ ท่ีถูกคดั ออก เทียบได้กบั ประมาณใดในการสลายจริงของธาตุกัมมันตรังสี (แนวทางการตอบ ขน้ึ อยกู่ บั ดลุ ยพินจิ ของผู้สอน) 2. กราฟท่ีไดจ้ ากการท�ำ กิจกรรมท้ังสามครง้ั เหมือนหรอื ตา่ งกันอยา่ งไร (แนวทางการตอบ ขน้ึ อยูก่ ับดลุ ยพนิ จิ ของผสู้ อน) 3. จำ�นวนครั้งท่ีทอดลูกเตา๋ แลว้ ท�ำ ให้มีลกู เต๋าเหลอื ครึ่งหน่ึง มคี า่ ประมาณใด (แนวทางการตอบ ขึ้นอยกู่ บั ดลุ ยพินจิ ของผสู้ อน) 4. สรุปผลการทำ�กจิ กรรมนี้ได้อย่างไร (แนวทางการตอบ ขน้ึ อยู่กบั ดุลยพินิจของผสู้ อน) กิจกรรมเป็นการศึกษาเทียบเคียงการสลายกัมมันตภาพรังสี จำ�นวนลูกเต๋าเทียบได้กับจำ�นวน นิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี จำ�นวนครั้งที่ทำ�การทดลองเทียบได้กับช่วงเวลาที่เกิดการสลาย จำ�นวน ลูกเต๋าที่เหลือจากการทดลองแต่ละครั้งเทียบได้กับจำ�นวนนิวเคลียสที่เหลือจากการสลาย และจำ�นวน ลูกเต๋าท่ีถูกคัดออกเทียบได้กับจำ�นวนนิวเคลียสที่เกิดใหม่ และจำ�นวนครั้งที่ทอดแล้วทำ�ให้ลูกเต๋าเหลือ เพยี งคร่ึงหน่งึ ของจ�ำ นวนเร่ิมต้นเทียบไดก้ ับครง่ึ ชวี ิตของกมั มนั ภาพรงั สี 2.3 กฎการสลายของสารกัมมันตรงั ส ี มีดงั นี้ 2.3.1 จำ�นวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีท่ีสลายไปในหน่ึงหน่วยเวลา (อัตราการสลาย ของกมั มันตรังส)ี จะเป็นสดั ส่วนโดยตรงกบั จำ�นวนนิวเคลยี สที่มอี ยู่ 2.3.2 การสลายของสารกัมมันตรังสี โอกาสที่นิวเคลียสแต่ละตัวสลายไปในหน่ึงหน่วยเวลา เท่ากันหมดทกุ นิวเคลยี ส ซึง่ เปน็ สมบัตเิ ฉพาะตัวของธาตกุ ัมมนั ตรงั สแี ตล่ ะชนดิ
พลังงานนิวเคลยี ร์ 235 วธิ ีทำ� ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มแล้วแจกบัตรข้อความท่ีมีปฏิกิริยานิวเคลียร์ จากนั้นให้ผู้เรียนร่วมกัน อภิปรายลกั ษณะของปฏิกิรยิ านิวเคลยี รแ์ ตล่ ะปฏิกริ ยิ า เปรยี บเทียบและจำ�แนกจดั กลมุ่ ปฏกิ ริ ยิ าเหล่านั้น บันทึกผล ตวั อยา่ งของปฏิกิริยานิวเคลยี ร์ 1 N + 235 U 144 Ba + 8359 Kr + 310 n + พลงั งาน สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)09256 2 H + 2 H 3 He + 11 H + พลังงาน 1 1 1 คำ�ถามทา้ ยกิจกรรม 1. ระบเุ กณฑใ์ นการจำ�แนกกล่มุ ของปฏิกริ ิยานิวเคลยี ร์นี้ (แนวทางการตอบ ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ จ�ำ แนกได้ 2 ชนดิ ซง่ึ เกณฑใ์ นการจำ�แนก คอื ถา้ เกดิ การสลายตวั ของธาตหุ นกั หรอื ธาตทุ ีม่ ีนวิ เคลยี สขนาดใหญ่ เรียกว่าปฏิกริ ิยาฟิชชัน ถา้ เกดิ การรวมกันของธาตุเบาหรือธาตทุ ีม่ นี วิ เคลียสขนาด เลก็ เรยี กวา่ ปฏกิ ริ ิยาฟวิ ชัน) 2. ภายหลงั การเกดิ ปฏกิ ริ ิยานิวเคลยี ร์ จะมกี ารเปลีย่ นแปลงใดท่ีเหมอื นกนั ในทกุ กลมุ่ ของ ปฏิกิรยิ านิวเคลียร์ (แนวทางการตอบ มกี ารแผ่พลงั งานนิวเคลยี ร์ออกมา และทำ�ใหน้ วิ เคลยี สเกิดการเปล่ยี นแปลง หรืออนื่ ๆ ข้นึ อยูก่ ับ ดุลยพนิ ิจของผู้สอน) ปฏิกิริยานิวเคลียร์ เป็นกระบวนการที่นิวเคลียสเกิดการเปล่ียนแปลงองค์ประกอบหรือระดับ พลังงาน โดยปฏิกิริยาอาจเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติหรืออาจเกิดจากการชนกันระหว่างนิวเคลียสกับ นิวเคลียสหรือนวิ เคลยี สกบั อนภุ าค สมการเกิดปฏิกิรยิ านวิ เคลยี ร์ X + a Y + b + ΔE
พลงั งานนิวเคลยี ร์ 239 กิจกรรมท่ี 9.5 การใช้พลังงานนิวเคลยี ร์ในชีวิตประจ�ำ วัน วสั ดอุ ปุ กรณ์ 1. กระดาษสำ�หรบั ท�ำ รายงาน 1 ชุด 2. อปุ กรณเ์ คร่อื งเขยี น 1 ชุด วธิ ีท�ำ 1. ให้ผเู้ รยี นแบ่งกลุ่มเปน็ 5 กลมุ่ และสบื ค้นข้อมูลในหวั ขอ้ ตา่ งๆ ต่อไปนี้ 1.1 การใชป้ ระโยชน์จากพลังงานนิวเคลยี รแ์ ละกัมมนั ตภาพรงั สีในชีวติ ประจำ�วัน 1.2 อันตรายและโทษของการใชผ้ ลติ ภัณฑจ์ ากพลังงานนิวเคลยี รแ์ ละกมั มันตภาพรงั สี 2. รวบรวมเปน็ รายงาน และนำ�เสนอหน้าช้ันเรยี น กลมุ่ ละ 5-10 นาที 3. อภปิ รายรว่ มกนั ในหวั ขอ้ ควรนำ�พลงั งานนวิ เคลยี รแ์ ละกมั มนั ตภาพรงั สมี าใชใ้ นชวี ติ ประจำ�วนั หรือไม่ อย่างไร (อาจจัดในรูปแบบของการโตว้ าท)ี สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ค�ำ ถามท้ายกิจกรรม • ปฏกิ ริ ยิ านิวเคลียรเ์ กี่ยวขอ้ งกบั ชวี ิตประจำ�วนั อยา่ งไร (แนวทางการตอบ ในชีวิตประจำ�วันมีการนำ�ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาช่วยอำ�นวย- ความสะดวกและใชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ นดา้ นตา่ งๆ เชน่ ดา้ นเกษตรกรรม ดา้ นอตุ สาหกรรม การแพทย์ และดา้ นโบราณคด ี หรืออ่ืนๆ ขึ้นอยกู่ บั ดุลยพนิ ิจของผู้สอน) มนุษย์สามารถนำ�พลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง แต่ขณะเดียวกัน โทษของปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากกัมมันตภาพรังสีและพลังงานก็มีไม่น้อยเช่นกัน นับว่าเป็นภัยคุกคาม ต่อชีวิตมนุษย์ แม้แต่มาดามคูรีซ่ึงเป็นนักเคมีและนักฟิสิกส์ ผู้ค้นพบธาตุเรเดียมและธาตุพอโลเนียม กย็ งั ไดร้ บั อนั ตรายจากรงั สขี องธาตุที่แผอ่ อกมา ท�ำ ให้ป่วยเป็นโรคลูคเี มีย และเสียชวี ิตในเวลาตอ่ มา
242 วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาอาชพี ธรุ กิจและบรกิ าร ตารางที่ 1 ต้นทุนการผลิตไฟฟา้ ของโรงไฟฟา้ ประเภทตา่ งๆ ประเภทของโรงไฟฟ้า ตน้ ทนุ การผลติ ไฟฟ้า (บาท/หนว่ ย) ถา่ นลิกไนต์ แมเ่ มาะ 2.07 นิวเคลยี ร์ 2.08 ถา่ นหนิ น�ำ เข้า 2.45 พลังงานความรอ้ น-แก๊ส 2.80 โรงไฟฟา้ ชีวมวล 3.00-3.50 โรงไฟฟา้ ขยะ 4.63 พลงั งานความรอ้ น-น้ํามันเตา 5.32 พลงั งานลม 5.00-6.00 พลงั งานแสงอาทิตย์ 15.00-20.00 สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) กจิ กรรมท่ี 9.6 โรงไฟฟา้ นวิ เคลียร์ วัสดอุ ุปกรณ์ 1. กระดาษสำ�หรบั ท�ำ รายงาน 1 ชุด 2. อุปกรณ์เครือ่ งเขียน 1 ชุด วิธีทำ� 1. ใหผ้ ู้เรียนแบ่งกล่มุ เป็น 5 กลมุ่ และสืบค้นข้อมลู เกยี่ วกบั โรงไฟฟา้ ในหัวข้อตอ่ ไปน้ี 1.1 หลกั การท�ำ งานและองคป์ ระกอบของโรงไฟฟ้านวิ เคลยี ร์ 1.2 ข้อดีของโรงไฟฟ้านวิ เคลยี ร์ 1.3 ขอ้ เสียของโรงไฟฟา้ นวิ เคลียร์ 2. รวบรวมขอ้ มูลเป็นรายงาน และนำ�เสนอหนา้ ช้ันเรยี น กลุ่มละ 5-10 นาที 3. ให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายว่า ควรสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยหรือไม่ และควรมี การจัดการอย่างไรเพ่ือความปลอดภัยต่อทุกคนรวมถึงส่งิ แวดล้อม ค�ำ ถามท้ายกิจกรรม • โรงงานไฟฟา้ นวิ เคลียรม์ ีความสำ�คัญอยา่ งไร (แนวทางการตอบ โรงไฟฟา้ นวิ เคลยี รเ์ ป็นโรงไฟฟา้ พลังงานความรอ้ นชนิดหน่ึง ใช้พลงั งานจากการแตกตัวของธาตุยูเรเนียม เพอ่ื ผลติ ไอนา้ํ ไปหมุน เคร่อื งก�ำ เนิดไฟฟา้ ซึ่งใหป้ ริมาณไฟฟ้าในอตั ราสงู กว่าแหล่งก�ำ เนดิ ไฟฟา้ แหล่งอน่ื ๆ หรอื อืน่ ๆ ขน้ึ อยู่กับดุลยพินจิ ของผ้สู อน)
สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)248 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ค�ำ ช้แี จง กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเปน็ กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะเฉพาะดา้ นความร-ู้ ความจำ� เพอ่ื ใชใ้ น การตรวจสอบความเข้าใจตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. จงอธบิ ายววิ ัฒนาการของการศกึ ษาโครงสรา้ งของอะตอม (จ.1) (แนวทางการตอบ 1. ทอมสันเสนอวา่ อะตอมเป็นทรงกลม ประกอบด้วยอนุภาคโปรตอนเป็นประจบุ วกและอิเล็กตรอนเป็นประจลุ บ มีจ�ำ นวนเท่ากันกระจาย อย่างสม่ําเสมอ 2. รัทเทอร์ฟอร์ดเสนอว่าอะตอมประกอบด้วยประจุบวก คือ โปรตอนอยู่ตรงกลางมีขนาดเล็กมากและมีประจุลบว่ิงอยู่รอบๆ 3. นีลโบร์ เสนอว่าอิเล็กตรอนถูกดึงดูดด้วยอนุภาคที่มีประจุบวก ทำ�ให้อิเล็กตรอนโคจรรอบนิวเคลียสด้วยแรงทางไฟฟ้าในวงโคจรรูปวงกลม มีระดับพลังงานเคลื่อนท่ี คงตวั ในแต่ละวงโคจร และมีการคายพลังงานออกมาในรปู ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ เรยี กวา่ การแผ่รงั สี) 2. การแยกนํ้าด้วยไฟฟา้ ท�ำ ใหไ้ ดข้ อ้ เท็จจริงใหม่ คอื อะไร (จ.1) (แนวทางการตอบ ทำ�ใหท้ ราบว่านา้ํ ไมใ่ ช่ธาตุ เพราะสามารถแยกสารอน่ื ออกมาจากน้ําได้ คอื อะตอมของธาตอุ อกซิเจนและ อะตอมของธาตไุ ฮโดรเจน หรอื อ่นื ๆ ขนึ้ อยกู่ บั ดุลยพนิ จิ ของผสู้ อน) 3. หลอดรังสีแคโทดท�ำ ใหไ้ ดข้ ้อเท็จจริงหรือไม่ คอื อะไร (จ.2) (แนวทางการตอบ หลอดรังสีแคโทดทำ�ให้ค้นพบอนุภาคท่ีมีประจุลบหรือที่เรียกว่า อิเล็กตรอน โดยเซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมสัน จึงหักล้างกับความเชื่อหรือแนวคิดในตอนนั้นที่บอกว่าอะตอมไม่สามารถแบ่งแยกได้ ทอมสันได้เสนอแบบจำ�ลอง ขน้ึ มาใหม่ คอื อะตอมมลี กั ษณะเปน็ ทรงกลมประกอบดว้ ยอนภุ าคทม่ี ปี ระจบุ วกและประจลุ บกระจายอยทู่ วั่ ไปอยา่ งสมา่ํ เสมอ หรอื อนื่ ๆ ขึน้ อยูก่ บั ดุลยพินจิ ของผ้สู อน) 4. การหยดนํา้ มนั ของมลิ ลิแกนมจี ดุ ประสงคเ์ พ่อื อะไร และไดผ้ ลอยา่ งไร (จ.2) (แนวทางการตอบ หยดนํา้ มันมีอเิ ลก็ ตรอนมาเกาะไมเ่ ทา่ กนั นั่นคอื หยดนาํ้ มนั บางหยดมีอเิ ลก็ ตรอนเกาะตดิ เพยี งตวั เดียว บางหยดมีมากกวา่ 1 ตวั หยดน้ํามนั จะตกลงมาตามแรงโนม้ ถ่วงของโลก จากนนั้ ให้กระแสไฟฟา้ เข้าไปในแผน่ ประจบุ วกและ ประจลุ บ แผน่ ประจลุ บซึ่งอยูด่ า้ นลา่ งผลกั หยดน้าํ มนั ทีม่ ีอิเล็กตรอนมาเกาะจนหยุดน่ิง แลว้ น�ำ มาหาค่าประจขุ องอเิ ลก็ ตรอน โดยใชห้ ลักสมดลุ ของแรงเนอื่ งจากสนามไฟฟ้าเท่ากับแรงเนื่องจากสนามโน้มถ่วง หรอื อน่ื ๆ ข้ึนอยู่กับดลุ ยพนิ ิจของผู้สอน) 5. การสวมอปุ กรณ์ป้องกันกมั มันตภาพรังสมี ีจดุ ประสงคเ์ พอื่ อะไร (จ.2) (แนวทางการตอบ เพ่ือป้องกันอันตรายจากรังสี โดยอุปกรณ์ป้องกันจะมีหลายชนิดแตกต่างกันไป เพราะรังสีแต่ละชนิดมี ความสามารถในการทะลทุ ะลวงไม่เทา่ กัน หรืออ่ืนๆ ข้นึ อยู่กับดุลยพนิ จิ ของผ้สู อน) จ. หมายถึง ตรงตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 9 ข้อท่ี ...
พลังงานนิวเคลยี ร์ 249 6. กัมมนั ตภาพรงั สแี ละธาตกุ ัมมนั ตรังสคี อื อะไร มีความสัมพนั ธ์กันอย่างไร (จ.2) (แนวทางการตอบ ธาตุท่ีมีการแผ่รังสีได้เองเรียกว่า ธาตุกัมมันตรังสี และเรียกปรากฏการณ์การแผ่รังสีได้เองต่อเน่ืองว่า กมั มนั ตภาพรงั สี หรอื อนื่ ๆ ขนึ้ อย่กู ับดลุ ยพนิ ิจของผสู้ อน) 7. กมั มนั ตภาพรังสีมกี ่ีชนิด อะไรบา้ ง (จ.2) (แนวทางการตอบ 3 ชนดิ ได้แก่ 1.รงั สแี อลฟา 2. รงั สบี ีตา และ 3. รังสีแกมมา) 8. ปฏิกริ ิยานิวเคลยี ร์คอื อะไร (จ.3) (แนวทางการตอบ เป็นกระบวนการท่นี วิ เคลียสเกิดการเปลีย่ นแปลงองค์ประกอบหรือเกดิ การสลายตวั อาจเกดิ ขน้ึ เองตาม ธรรมชาติ หรอื เกดิ จากการชนกนั ระหวา่ งนวิ เคลยี สกบั นวิ เคลยี ส หรอื นวิ เคลยี สกบั อนภุ าค หรอื อนื่ ๆ ขน้ึ อยกู่ บั ดลุ ยพนิ จิ ของ ผู้สอน) 9. ปฏิกิริยานวิ เคลียร์มีกี่ชนดิ แตกตา่ งกนั อย่างไร (จ.3) (แนวทางการตอบ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ 1. ปฏิกิรยิ าฟชิ ชนั เกดิ จากการสลายตวั ของธาตหุ นกั หรือธาตุทีม่ นี ิวเคลียสขนาดใหญ ่ 2. ปฏกิ ิริยาฟิวชัน เกิดจากการรวมตัวกันของธาตเุ บาหรอื ธาตทุ ่มี ีนวิ เคลยี สขนาดเลก็ ) 10. จงยกตวั อยา่ งการใช้กมั มันตภาพรังสใี นชีวิตประจ�ำ วนั มา 5 ตวั อยา่ ง (จ.4) (แนวทางการตอบ 1. ใช้เป็นรังสีติดตาม 2. ตรวจวินิจฉัยและบำ�บัดรักษาโรค 3. ใช้ในการถนอมอาหาร ผลิตภัณฑ์ทาง การเกษตร 4. หาอายุโบราณวัตถุหรือซากดึกดำ�บรรพ์ 5. ควบคุมความหนาแน่นของแผ่นโลหะให้สมํ่าเสมอ หรืออ่ืนๆ ขึน้ อยู่กับดลุ ยพนิ จิ ของผ้สู อน) สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)
250 วิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร กิจกรรมสง่ เสริมการเรยี นรู้ คำ�ชแ้ี จง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายที่ฝึกทักษะทุกด้าน ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพ่ือให้เกิดสมรรถนะในการเรียนรู้ สามารถปฏิบัติกิจกรรม ทัง้ ในและนอกสถานทีต่ ามความเหมาะสมของผเู้ รียนและส่ิงแวดลอ้ มของสถานศึกษา สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) 1. ใหผ้ ู้เรียนเขียนผงั ความคดิ เรอื่ ง พลงั งานนิวเคลียร์ พร้อมระบุประโยชน์ท่ีไดร้ บั 2. ให้ผูเ้ รียนแบ่งเป็น 4 กล่มุ จับสลากเลอื กหัวข้อตามสาระการเรียนรู้ และร่วมกนั จดั ท�ำ ปา้ ยนเิ ทศ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เป็นกิจกรรมท่ีผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติทุกข้อหรือเลือกปฏิบัติเป็นบางข้อตาม ความเหมาะสม โดยผู้สอนใหค้ ะแนนการทำ�กิจกรรมตามเกณฑข์ องใบสรปุ ผลการทำ�กิจกรรม และสามารถ นำ�ผลการทำ�กิจกรรมไปเทียบกับการให้คะแนนกับตารางวิเคราะห์ความสอดคล้องของเน้ือหากับ จดุ ประสงคร์ ายวชิ า สมรรถนะรายวชิ า และจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมได้ สรุปผลการท�ำกจิ กรรม ค�ำชแ้ี จง ใหผ้ เู้ รยี นประเมนิ ผลการท�ำกจิ กรรม โดยเขยี นเครอื่ งหมาย ✓ ลงในชอ่ ง ตามความเป็นจรงิ ความรู้ (K) ทกั ษะ (P) คุณลักษณะ (A) เกณฑ์การประเมนิ ความรู้ ความเข้าใจ การปฏบิ ตั ิงานที่ได้รบั การมีมนุษยสมั พันธ์ใน ทำ�เคร่ืองหมาย ✓ การน�ำ ไปใช้ การวิเคราะห์ มอบหมายเสรจ็ ตามเวลา การปฏิบัติกจิ กรรม ในแต่ละตอน 3 ข้อ การสังเคราะห์ ท่ีกำ�หนด ความมีวนิ ัย ตรงต่อเวลา คือ ผ่านการประเมิน การประเมินคา่ การปฏิบตั งิ านด้วยความ ความซ่อื สัตยส์ ุจรติ ในการท�ำ งาน 1. ความรู้ (K) การศกึ ษาค้นคว้า ละเอียด รอบคอบ ปลอดภยั ประพฤติตนด้วยความ ผา่ น ไม่ผา่ น การแสวงหาแหลง่ ข้อมลู เรียบร้อย สวยงาม และการรวบรวมข้อมลู ความสมบรู ณ์ของงาน ถกู ต้องตามศลี ธรรม 2. ทกั ษะ (P) การแสดงความคิดเห็น การปฏิบัตงิ านที่ทำ�ให้เกิด อันดีงาม อย่างมเี หตผุ ล หรอื แสดง สมรรถนะแกผ่ ูเ้ รียน เจตคติท่ดี ีในการปฏิบตั ิ ผา่ น ไมผ่ า่ น กิจกรรม ขนั้ ตอนและกระบวนการ ทกั ษะการวางแผน การคดิ ความพอเพยี งและความ 3. คณุ ลักษณะ (A) ทำ�กจิ กรรม สรา้ งสรรค์ การออกแบบ ผา่ น ไม่ผ่าน การหาประสบการณ์ การผลิต พอประมาณ ความร้ใู หม่ การตัดสนิ ใจในการแกป้ ัญหา หมายเหตุ เกณฑ์การประเมินผลการทำ�กิจกรรม มีวัตถุประสงค์เพ่ือประเมินว่า ผู้เรียนเกิดสมรรถนะจากการเรียนรู้ ตามบริบทต่างๆ หรือไม่ โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ความรู้หรือพุทธิพิสัย = Knowledge (K) ทักษะหรือ ทกั ษะพสิ ยั = Practice (P) คณุ ลักษณะหรอื จิตพสิ ยั = Attitude (A)
พลังงานนวิ เคลยี ร์ 251 แบบทดสอบ จงจบั คู่ข้อความต่อไปน้ใี ห้ถูกต้อง ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นท�ำ แบบทดสอบจากนนั้ ใหผ้ เู้ รยี นแลกกนั ตรวจค�ำ ตอบ โดยผสู้ อนเปน็ ผู้เฉลย ข. 1. กระบวนการที่นวิ เคลียสเปลยี่ นแปลงองคป์ ระกอบ ก. ฝรัง่ เศส ฉ. 2. รงั สีทยี่ ูเรเนยี มปลอ่ ยออกมา ข. ปฏิกิรยิ านิวเคลยี ร์ สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ญ. 3. ปฏิกริ ยิ าที่เกิดจากการสลายตวั ของธาตุหนัก ค. พลงั งานนิวเคลยี ร์ ท่มี นี วิ คลีออนจำ�นวนมาก ง. ญ่ปี ่นุ จ. รังสแี กมมา ซ. 4. ปรากฏการณ์การแผร่ ังสีอยา่ งตอ่ เนือ่ ง ฉ. รงั สียูเรนกิ ฑ. 5. คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าท่ีมีอำ�นาจทะลุทะลวงต่ําที่สุด ช. ผวิ หนัง จ. 6. คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่มอี ำ�นาจทะลทุ ะลวงสูงทส่ี ดุ ซ. กมั มนั ตภาพรงั สี ค. 7. พลังงานท่ีปลอ่ ยออกมาจาก ฌ. รงั สบี ีตา ปฏกิ ิรยิ านิวเคลียร ์ ญ. ปฏิกริ ยิ านวิ เคลยี ร์ ง. 8. ประเทศทไี่ ด้รบั ผลกระทบจาก ฟิชชัน ปฏิกิรยิ านวิ เคลยี ร ์ ฎ. ปฏกิ ิรยิ าการสลาย ฏ. 9. ประเทศทีม่ โี รงไฟฟา้ พลงั งานนิวเคลยี ร์ กัมมนั ตรงั สี มากทส่ี ดุ ฏ. สหรัฐอเมริกา ฐ. 10. หากไดร้ ับรังสีปรมิ าณ 3,000 มิลลิกรมั ฐ. ไขกระดูก ในระยะเวลา 3 เดือน จะสง่ ผลต่อ ฑ. รังสีแอลฟา
252 วิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชพี ธรุ กิจและบรกิ าร แบบประเมนิ ตนเอง ค�ำช้แี จง ตอนที่ 1 ให้ผเู้ รยี นประเมนิ ผลการเรียนรู้ โดยเขยี นเครอ่ื งหมาย ✓ลงในช่องระดบั คะแนน และเตมิ ข้อมูลตามความเปน็ จริง ระดับคะแนนตอนที่ 1 5 : มากทสี่ ดุ 4 : มาก 3 : ปานกลาง 2 : น้อย 1 : ควรปรับปรงุ ตอนที่ 2 ใหผ้ เู้ รยี นน�ำคะแนนจากแบบทดสอบมาเตมิ ลงในชอ่ งวา่ ง และเขยี นเครอื่ งหมาย ✓ ลงในชอ่ งสรุปผล สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.) ตอนที่ 1 (ผลการเรียนรู)้ ตอนท่ี 2 (แบบทดสอบ) รายการ 5 4 3 2 1 แบบทดสอบ ตอนที่ 1 1. ผเู้ รียนมคี วามรู้ ความเข้าใจในเน้ือหา คะแนน 2. ผ้เู รยี นไดท้ �ำกิจกรรมที่สอดคลอ้ งกับเนอื้ หา (ข้อละ 1 คะแนน) และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ แบบทดสอบ ตอนท่ี 2 คะแนน 3. ผู้เรยี นไดเ้ รียนและท�ำกิจกรรมท่สี ่งเสริมกระบวนการคิด (ข้อละ 1 คะแนน) เกดิ การคน้ พบความรู้ สรุปผล 4. ผ้เู รียนสามารถประยกุ ตค์ วามรูเ้ พอืี่ ใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจ�ำวันได้ 9-10 (ดีมาก) 7-8 (ดี) 5. ผเู้ รยี นไดเ้ รียนร้อู ะไรจากการเรยี น 6. ผเู้ รียนตอ้ งการท�ำส่ิงใดเพ่ือพัฒนาตนเอง 5-6 (พอใช)้ ต่าํ กว่า 5 7. ความสามารถทถ่ี ือวา่ ผ่านเกณฑ์ประเมนิ ของผ้เู รยี น คือ (ควรปรับปรงุ )
สถา ับน ัพฒนา ุคณภาพวิชาการ (พว.)บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. หนงั สอื เรียนเคมี (ว 033). กรงุ เทพฯ: องคก์ ารค้าครุ สุ ภา, 2536. .หนงั สือเรยี นวชิ าวิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชีวภาพ เร่อื งสารสงั เคราะห์. กรงุ เทพฯ: องค์การค้าคุรสุ ภา, 2536. .หนงั สือเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ชา่ งอุตสาหกรรม เล่ม 1. กรุงเทพฯ: องค์การคา้ ครุ สุ ภา, 2534. มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. เอกสารการสอนชดุ วิชาวิทยาศาสตรช์ วี ภาพ กายภาพ 2 หนว่ ยที่ 11. กรุงเทพฯ: หา้ งหนุ้ ส่วนจ�ำ กดั ภาพพิมพ,์ 2532. รังสฤษฎ์ กาญจนะวณชิ ย์. “ไทร … ไทรพสิ ดาร” สารคดปี ่าไม.้ ฉบับท่ี 109 ปที ่ี 10 เดือนมีนาคม 2537. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์ พับลเิ คชันส์, 2556. พิมพ์ครง้ั ท่ี 2. .พจนานกุ รมศพั ทว์ ศิ วกรรมเครอ่ื งกล: กลศาสตร์ วศิ วกรรม. กรงุ เทพฯ: หจก. อรณุ การพมิ พ,์ 2554. .ศพั ท์วทิ ยาศาสตร์ อังกฤษ-ไทย ไทย-องั กฤษ ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพมิ พ์ 2556. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 5. สมสขุ มจั ฉาชพี . นเิ วศวทิ ยา. กรุงเทพฯ: หา้ งหุ้นสว่ นจ�ำ กัดเจรญิ รัฐการพมิ พ,์ 2528. สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี สถาบัน. พจนานุกรมศัพทว์ ทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร.์ กรุงเทพฯ: สำ�นกั พิมพส์ ขุ ภาพใจ, 2541. Eldra Pearl Solomon and Others. Biology. (3rd ed.) New york: Saunders College Publishing, 1993. John H. Postlethwait and Janet L. Hopson. The Nature of Life. New york: McGraw-Hill, Inc., 1995. Kenneth W. Whitten and Others. General Chemistry with Qualitative Analysis. (4th ed.) New York : Saunders College Publishing, 1992. McQuarrie, D.A. and Rock, P.A. General Chemistry. New York: W.H. Freeman and Company, 1991. Raymond, Chang. Chemistry. New York : McGrawhill, Inc., 1994. Rose Marie Gallagher and Paul Ingram. Co-Ordinated Science Chemistry. (3rd ed.) Oxford University Press. Hong Kong, 1994. Starr,Cecie and Taggart, Ralph. Biology The Unity And Diversity Of Life. (3rd ed.) California: Wadsworth Publishing Company, 1984. West, Robert. C., Handbook of Chemistry and Physics. The Chemical Robber Co., 1971.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129