ชดุ วชิ า วัสดุศาสตร์ 2 รายวิชาเลือกบังคบั ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ รหสั พว22003 หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551สานกั งานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย สานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธกิ าร
ก คำนำ ชดุ วิชาวัสดุศาสตร์ 2 รหสั วชิ า พว22003 ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นี้ ประกอบด้วยเนื้อหาวัสดุศาสตร์รอบตัว การใช้ประโยชน์และผลกระทบจากการใช้วัสดุ การจัดการวัสดุท่ีใช้แล้วการคัดแยกและการรีไซเคิลวัสดุ และการจัดการวัสดุอันตราย เนื้อหาความรู้ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้เรียน มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวัสดุและสามารถเปรียบเทียบสมบัติของวัสดุแต่ละชนิด การใช้ประโยชน์ การคัดแยกและการรีไซเคิลวัสดุในชีวิตประจาวัน รวมท้ังตระหนักถึงผลกระทบจากการใช้วัสดุ ตลอดจนสามารถนาความรู้ไปใช้ ในการจัดการวัสดุอนั ตรายในชีวิตประจาวนั ของตนเอง และชุมชน สานักงาน กศน. ขอขอบคุณ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ที่ให้การสนับสนุนองค์ความรู้ประกอบการนาเสนอเน้ือหา รวมทั้งผู้มีส่วนเก่ียวข้องในการจัดทาชุดวิชา หวังเป็นอยา่ งยง่ิ วา่ ชดุ วชิ าน้ี จะเกดิ ประโยชน์ต่อผเู้ รยี น กศน. และสรา้ งความตระหนกั ในการจัดการวัสดุท่ีใช้แล้วอย่างรคู้ ุณค่าต่อไป สานกั งาน กศน.
ข คำแนะนำกำรใช้ชดุ วชิ ำ ชดุ วิชาวสั ดศุ าสตร์ 2 รหสั วิชา พว22003 ใช้สาหรบั นักศกึ ษาหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คอื ส่วนที่ 1 โครงสร้างของชดุ วิชา แบบทดสอบกอ่ นเรียน โครงสรา้ งหนว่ ยการเรียนรู้เนอื้ หาสาระ กจิ กรรมเรยี งลาดบั ตามหนว่ ยการเรียนรู้ และแบบทดสอบหลังเรียน สว่ นท่ี 2 เฉลยแบบทดสอบและกิจกรรม ประกอบด้วย เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน เฉลยและแนวตอบกจิ กรรมท้ายหนว่ ยการเรียน เรียงลาดบั ตามหนว่ ยการเรยี นรู้วิธีกำรใชช้ ุดวิชำ ใหผ้ ู้เรียนดาเนนิ การตามขั้นตอน ดงั นี้ 1. ศกึ ษารายละเอยี ดโครงสร้างชุดวชิ าโดยละเอียด เพ่ือให้ทราบวา่ ผู้เรียนต้องเรยี นรู้เน้ือหาในเร่อื งใดบ้างในรายวิชานี้ 2. วางแผนเพ่ือกาหนดระยะเวลาและจัดเวลาที่ผู้เรียนมีความพร้อมท่ีจะศึกษาชุดวิชาเพ่ือให้สามารถศึกษารายละเอียดของเนื้อหาได้ครบทุกหน่วยการเรียนรู้ พร้อมทากจิ กรรมตามทกี่ าหนดให้ทนั กอ่ นสอบปลายภาค 3. ทาแบบทดสอบก่อนเรยี นของชดุ วิชาตามที่กาหนด เพื่อทราบพื้นฐานความรู้เดิมของผู้เรียน โดยให้ทาลงในสมุดบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้และตรวจสอบคาตอบจากเฉลยแบบทดสอบ เฉลยและแนวตอบกจิ กรรมท้ายหน่วยการเรียน 4. ศึกษาเนอื้ หาในชดุ วชิ าในแตล่ ะหน่วยการเรียนร้อู ยา่ งละเอียดให้เข้าใจ ทั้งในชุดวิชาและสอ่ื ประกอบ (ถ้ามี) และทากจิ กรรมทีก่ าหนดไวใ้ หค้ รบถ้วน 5. เมอื่ ทากิจกรรมเสร็จแต่ละกิจกรรมแล้ว ผู้เรียนสามารถตรวจสอบคาตอบได้จากเฉลยและแนวตอบกิจกรรมท้ายหน่วยการเรียน หากผู้เรียนตรวจสอบแล้วมีผลการเรียนรู้ไม่เปน็ ไปตามทค่ี าดหวงั ให้ผ้เู รียนกลบั ไปทบทวนเน้ือหาสาระในเรื่องนั้นซ้าจนกว่าจะเข้าใจแล้วกลบั มาทากิจกรรมน้นั ใหม่ 6. เมื่อศกึ ษาเนอื้ หาสาระครบทุกหน่วยแล้ว ให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียนและตรวจคาตอบจากเฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี นทใ่ี หไ้ วใ้ นท้ายเล่ม เพื่อประเมนิ ความรู้หลังเรียนหากผลไม่เป็นไปตามท่ีคาดหวัง ให้ผู้เรียนกลับไปทบทวนเน้ือหาสาระในเรื่องนั้นให้เข้าใจอีกคร้ังหน่ึง แล้วกลับมาทาแบบทดสอบหลังเรียนและตรวจให้คะแนนตนเองอีกคร้ังผู้เรียนควร ทาแบบทดสอบหลังเรียนให้ได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของแบบทดสอบทง้ั หมด (หรอื 24 ข้อ) เพอื่ ใหม้ ัน่ ใจวา่ จะสามารถสอบปลายภาคผ่าน
ค 7. หากผู้เรียนได้ทาการศึกษาเน้ือหาและทากิจกรรมแล้วยังไม่เข้าใจ ผู้เรียนสามารถสอบถามและขอคาแนะนาได้จากครู ผูร้ ู้ หรอื แหลง่ ค้นคว้าอ่นื ๆ เพิ่มเตมิกำรศกึ ษำค้นคว้ำเพิ่มเตมิ ผู้เรยี นอาจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมไดจ้ ากแหล่งเรยี นรู้อื่น ๆ เชน่ หนงั สือเรยี นรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 คู่มือการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนอยา่ งครบวงจร คู่มือประชาชนเพื่อการลด คดั แยก และใช้ประโยชนข์ ยะมูลฝอยชุมชน วารสาร แผ่นพับประชาสมั พันธ์อนิ เทอร์เนต็ ผู้รู้ และแหลง่ เรียนรู้ในชมุ ชน เป็นต้นกำรวดั ผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี น การวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน หลักสูตรรายวิชาเลือกบงั คับ “วัสดศุ าสตร์ 2” เปน็ ดังน้ี 1. ระหว่างภาค วดั ผลจากการทากจิ กรรมหรอื งานที่ได้รบั มอบหมายระหว่างเรียน 2. ปลายภาค วัดผลจากการทาข้อสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิปลายภาค
ง โครงสรา้ งชดุ วิชา พว22003 วสั ดุศาสตร์ 2 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้สาระการเรียนรู้ สาระความรู้พืน้ ฐานมาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐานท่ี 2.2 มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะพื้นฐานเกีย่ วกับคณติ ศาสตร์วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีมาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ มคี วามรู้ความเขา้ ใจ และเหน็ คุณคา่ เกย่ี วกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สิง่ มีชวี ิต ระบบนเิ วศ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมในท้องถิ่นและประเทศสาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกและดาราศาสตร์ มจี ิตวิทยาศาสตรแ์ ละนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ในการดาเนินชีวติผลการเรียนร้ทู ี่คาดหวงั 1. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับวัสดศุ าสตร์รอบตวั การใชป้ ระโยชน์และผลกระทบจากการใช้วสั ดุ การจดั การวัสดุอันตราย การคดั แยกและการรีไซเคลิ วสั ดุและการจัดการวัสดทุ ใ่ี ชแ้ ลว้ 2. ทดลองและเปรียบเทียบสมบัติของวัสดุชนดิ ตา่ ง ๆ ได้ 3. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบท่ีเกิดจากการใชว้ สั ดุในชวี ิตประจาวนั
จสรุปสาระสาคัญ 1. วสั ดศุ าสตร์ (Materials Science) เป็นการศึกษาองคค์ วามรู้ท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั วัสดุทน่ี ามาใชป้ ระกอบกันเป็นชิน้ งาน ตามการออกแบบ มีตวั ตน สามารถสัมผสั ได้ โดยวสั ดแุ ต่ละชนิดจะมีสมบัตเิ ฉพาะตัว ได้แก่ สมบตั ทิ างฟิสิกส์ สมบตั ทิ างเคมี สมบัตทิ างไฟฟ้า และสมบัติเชงิ กล วัสดุทีเ่ ราใช้หรือพบเห็นในชวี ิตประจาวัน สามารถจาแนกตามแหลง่ ท่ีมาของวัสดุ ไดแ้ ก่วัสดุธรรมชาติ แบง่ ออกเป็น วัสดธุ รรมชาตทิ ไี่ ด้จากส่ิงมชี ีวติ และวสั ดุธรรมชาติทไ่ี ด้จากไม่มีชีวติและวัสดสุ งั เคราะห์ ซึ่งเป็นวัสดุทเ่ี กดิ จากกระบวนการทางเคมี 2. วัสดุศาสตร์มคี วามผูกพันกับการดาเนินชีวิตของมนษุ ย์ มาเป็นเวลาชา้ นาน หรอือาจกลา่ วได้วา่ “วสั ดุศาสตร์อยู่รอบตัวเรา” ซง่ึ วตั ถตุ ่าง ๆ ลว้ นประกอบขึ้นจากวสั ดุ โดยการพัฒนาสมบตั ขิ องวสั ดุให้สามารถใช้งานในดา้ นตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจาวันไดม้ ากขึ้น ทาให้วสั ดุท่ีใช้ในปัจจบุ นั มคี วามแข็ง ความยืดหยนุ่ นาไฟฟ้า หรอื นาความรอ้ นได้ดี ตามความเหมาะสมของการใชง้ าน 3. ขยะมลู ฝอยทเ่ี ราพบเห็นในชีวติ ประจาวัน เริ่มทวีคณู เพม่ิ ปรมิ าณขึน้ เร่ือย ๆเพ่ือใหม้ ปี รมิ าณขยะทลี่ ดน้อยลง เราต้องมีการจดั การขยะมลู ฝอยให้ถกู วธิ ี เพื่อลดผลกระทบท่ีจะเกิดขนึ้ กบั สิ่งแวดล้อมมากท่สี ุด ในปจั จุบนั การจัดการขยะมูลฝอยมีหลากหลายวิธีเป็นการผสมผสาน เพอื่ ให้เป็นกระบวนการท่เี หมาะสมและมปี ระสิทธิภาพในการแกป้ ญั หาของขยะมูลฝอย การจัดการขยะมูลฝอยขึ้นอยู่กบั ปัจจยั หลายอย่าง มีความยืดหย่นุ ไม่มรี ูปแบบทต่ี ายตัวข้นึ กบั เงอ่ื นไขและปัจจัยดา้ นการจดั การขยะมลู ฝอยของท้องถน่ิ นัน้ ๆ เชน่ พื้นทห่ี รอืสถานท่ี ระดบั การมีส่วนร่วมของชุมชน และในปัจจุบนั วิธีการจากดั ขยะอยา่ งง่าย ๆ ที่พบเหน็มี 2 วิธี คอื โดยการเผาไหม้และฝงั กลบ 4. การคัดแยกวัสดุเป็นการลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นจากต้นทาง ได้แก่ ครัวเรือนสถานประกอบการหรือสถานท่ีสาธารณะ ทั้งนี้ ก่อนทิ้งขยะ ครัวเรือน หน่วยงาน หรือสถานท่ีสาธารณะตา่ ง ๆ ควรจดั ให้มีระบบการคัดแยกวัสดุประเภทตา่ ง ๆ เพ่ือนาวสั ดุเหล่านั้นกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ และเขา้ สรู่ ะบบการคัดแยกวสั ดเุ พ่อื นาไปรไี ซเคลิเปน็ การเปล่ียนสภาพของวัสดุให้มีมูลค่า จากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ให้สามารถนากลับมาใช้ใหม่และลดคา่ ใช้จา่ ยในการกาจดั ขยะทเี่ กิดขึ้น 5. การจัดการวัสดุอนั ตราย ถอื เปน็ เรอ่ื งสาคญั ทตี่ อ้ งใสใ่ จให้มีการคัดแยกและการจดั การที่ถกู ตอ้ งเหมาะสม เพอ่ื ปอ้ งกนั ความเสียหายทีจ่ ะเกดิ ขึน้ ต่อสขุ ภาพและส่ิงแวดล้อมโดยการลดปรมิ าณขยะอันตราย จากการเลือกซ้อื การใช้ การท้ิง รวมถงึ การรวบรวมเพือ่ นาไปสกู่ ารจดั การขยะอันตรายที่ถูกวธิ ี รวมไปถงึ การจดั การขยะอเิ ลก็ ทรอนิกส์ที่เปน็ เครื่องใชไ้ ฟฟา้ และอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ท่หี มดอายกุ ารใช้งาน ไม่สามารถนากลบั มาใชไ้ ด้โดยคานงึ ถึงความจาเปน็ ที่จะตอ้ งใช้สง่ิ ของเหล่าน้อี ย่างร้คู ณุ ค่า และสามารถช่วยลดปรมิ าณขยะอันตรายให้เหลือนอ้ ยที่สุดได้
ฉขอบข่ายเนื้อหา จานวน 30 ชว่ั โมง หน่วยที่ 1 วสั ดศุ าสตรร์ อบตวั จานวน 20 ชว่ั โมง หน่วยที่ 2 การใช้ประโยชน์และผลกระทบ จานวน 15 ชว่ั โมง จานวน 30 ชว่ั โมง จากการใช้วสั ดุ จานวน 25 ชัว่ โมง หน่วยท่ี 3 การจัดการวัสดุท่ใี ช้แล้ว หนว่ ยที่ 4 การคดั แยกและการรีไซเคิลวัสดุ หนว่ ยท่ี 5 การจดั การวัสดุอันตรายการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ 1. บรรยาย 2. ศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเองจากส่อื ท่ีเกีย่ วข้อง 3. พบกลุ่ม อภิปราย แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ วิเคราะห์ และสรุปการเรียนร้ทู ีไ่ ด้รบัในเอกสารการเรยี นรู้ด้วยตนเอง (กรต.)
ชสื่อประกอบการเรยี นรู้ 1. สอื่ เอกสาร ไดแ้ ก่ 1.1 ชดุ วชิ า วสั ดศุ าสตร์ 2 รหสั วิชา พว22003 1.2. สมุดบันทกึ กจิ กรรมการเรียนรู้ ชดุ วชิ า วัสดุศาสตร์ 2 2. สือ่ อิเล็กทรอนิกส์ ไดแ้ ก่ 2.1 เว็ปไซต์ 2.2 หนงั สอื เรยี นอิเลก็ ทรอนกิ ส์ กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ 2.3 CD,DVD ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 3. แหล่งเรยี นรใู้ นชมุ ชน ได้แก่ 3.1 มุมหนังสือ กศน.ตาบล 3.2 ห้องสมุดประชาชนอาเภอ 3.3 หอ้ งสมุดประชาชนจังหวัด 3.4 ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์เพื่อการศกึ ษา 3.6 เทศบาลและสานกั งานสิง่ แวดลอ้ มจานวนหน่วยกติ ระยะเวลาเรยี นตลอดหลักสูตร จานวน 120 ชว่ั โมง รวม 3 หนว่ ยกติกจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ทาแบบทดสอบกอ่ นเรียนและตรวจสอบคาตอบจากเฉลยท้ายเลม่ รายวิชาวสั ดศุ าสตร์ 2 2. ศึกษาเนอื้ หาสาระในหนว่ ยการเรียนรู้ทุกหนว่ ย 3. ทากจิ กรรมตามทกี่ าหนดและตรวจสอบคาตอบจากเฉลยและแนวตอบในทา้ ยเล่มรายวิชาวัสดุศาสตร์ 2 4. ทาแบบทดสอบหลังเรียนและตรวจสอบคาตอบจากเฉลยท้ายเล่มรายวิชาวัสดศุ าสตร์ 2
ซการวัดและประเมินผล 1. ประเมนิ ความกา้ วหน้าผูเ้ รยี น จานวน 60 คะแนน ไดแ้ ก่ 1.1 แบบทดสอบกอ่ นเรียน - หลงั เรียน 1.2 การสงั เกต การซักถาม ตอบคาถาม 1.3 ตรวจกจิ กรรมในแตล่ ะหนว่ ยการเรียนรู้ (กรต.) 2. ประเมินผลรวมผ้เู รียน จานวน 40 คะแนน โดยการทดสอบปลายภาคเรยี นจานวน 40 คะแนน
สารบญั ฌคานา หนา้คาแนะนาการใชช้ ุดวิชา กโครงสร้างชุดวชิ า ขสารบญั งหน่วยท่ี 1 วัสดศุ าสตร์รอบตัว ฌ 1 เรอื่ งท่ี 1 ความหมายของวสั ดศุ าสตร์ 2 เร่อื งท่ี 2 ประเภทของวสั สดุ 3 เร่ืองที่ 3 สมบตั ขิ องวสั ดุ 5หนว่ ยที่ 2 การใชป้ ระโยชน์และผลกระทบจากการใชว้ ัสดุ 11 เรือ่ งที่ 1 การนาวัสดุศาสตรไ์ ปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั 12 เร่ืองที่ 2 ผลกระทบจากการใช้วัสดุ 21 เร่อื งที่ 3 การเลอื กใช้ผลติ ภณั ฑ์ที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม 24 31หนว่ ยท่ี 3 การจดั การเศษซากวสั ดุ 32 เรอ่ื งที่ 1 การจัดการเศษซากวสั ดุ 34 เรอ่ื งท่ี 2 อตั รายอ่ ยสลายของเศษซากวัสดุ 36 เร่อื งท่ี 3 หลกั 3R ในการจดั การเศษซากวัสดุ 39 เรอื่ งท่ี 4 ภาชนะรองรบั เศษซากวสั ดุ 42 เรื่องท่ี 5 เทคโนโลยกี ารกาจัดเศษซากวสั ดุ 50 51หน่วยท่ี 4 การคดั แยกและการรไี ซเคลิ วสั ดุ 56 เรอ่ื งที่ 1 การคัดแยกวสั ดุ 67 เรอ่ื งที่ 2 การรีไซเคลิ วัสดุ 68 71หนว่ ยที่ 5 การจัดการวัสดอุ ันตราย 74 เรื่องท่ี 1 วัสดอุ นั ตราย 76 เรื่องท่ี 2 การจัดการขยะอนั ตราย 82 เรอื่ งที่ 3 การลดปัญหาวัสดทุ ่เี ปน็ พิษต่อสิ่งแวดล้อมบรรณานกุ รมคณะผจู้ ัดทา
1 หน่วยท่ี 1 วัสดศุ าสตร์รอบตัวสาระสาคัญ วสั ดศุ าสตร์ (Materials Science) เป็นการศกึ ษาองคค์ วามรู้ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั วัสดุที่นามาใช้ประกอบกันเป็นช้ินงาน ตามการออกแบบ มีตัวตน สามารถสัมผัสได้ โดยวัสดุแต่ละชนิดจะมีสมบัติเฉพาะตัว ได้แก่ สมบัติทางฟิสิกส์ สมบัติทางเคมี สมบัติทางไฟฟ้า และสมบัติเชิงกล วัสดุ ที่เราใช้หรือพบเหน็ ในชีวิตประจาวัน สามารถจาแนกตามแหล่งท่ีมาของวัสดุ ได้แก่วัสดุธรรมชาติ แบ่งออกเป็น วัสดุธรรมชาติที่ได้จากสิ่งมีชีวิต เช่น ไม้ เปลือกหอย ขนสัตว์ ใยไหม ใยฝ้าย หนังสัตว์ ยางธรรมชาติ วัสดุธรรมชาติท่ีได้จากส่ิงไม่มีชีวิต เช่น ดินเหนียว หินปูนศิลาแลง กรวด ทราย เหล็ก และวัสดุศาสตร์สังเคราะห์ ซ่ึงเป็นวัสดุที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี เช่น พลาสตกิ เสน้ ใยสังเคราะห์ ยางสงั เคราะห์ โฟม เปน็ ต้นตัวชว้ี ัด 1. บอกความหมายของวสั ดุศาสตร์ได้ 2. จาแนกประเภทของวสั ดศุ าสตร์ได้ 3. เปรียบเทียบสมบัตขิ องวัสดุได้ขอบขา่ ยเนอ้ื หา 1. ความหมายของวสั ดุศาสตร์ 2. ประเภทของวสั ดศุ าสตร์ 3. คุณสมบัติของวัสดุ
2 หน่วยที่ 1วสั ดุศาสตร์รอบตัวเรอ่ื งท่ี 1 ความหมายของวสั ดุศาสตร์ วสั ดุ (Materials) หมายถึง ส่ิงของหรอื วตั ถทุ ีน่ ามาใช้ประกอบกนั เปน็ ช้ินงานตามการออกแบบ มีตัวตน สัมผสั ได้ และมีสมบตั เิ ฉพาะตวั ทีแ่ ตกต่างกัน ได้แก่สมบตั ิทางฟสิ ิกส์สมบตั ิทางเคมี สมบตั ิทางไฟฟ้า และสมบัตเิ ชงิ กล วัสดุศาสตร์ (Materials Science) หมายถึง การศกึ ษาองค์ความรู้ท่เี กย่ี วข้องกับวัสดุ ทน่ี ามาใชป้ ระกอบกนั เปน็ ชิ้นงาน ตามการออกแบบ มตี วั ตน สามารถสัมผัสได้ โดยวสั ดุแตล่ ะชนดิ จะมีสมบัตเิ ฉพาะตวั ได้แก่ สมบตั ทิ างฟิสกิ ส์ สมบตั ิทางเคมี สมบัติทางไฟฟ้า และสมบตั ิเชงิ กล วัสดศุ าสตร์รอบตวั เป็นการเรียนร้ดู ้านวสั ดุศาสตร์ทาใหเ้ ราทราบถงึ แหลง่ ทมี่ าการเลอื กใช้ วัตถดุ ิบกระบวนการผลิต สมบตั แิ ละการใชง้ านวัสดุด้านตา่ ง ๆ ในชีวิตประจาวันผลกระทบจากการใช้วัสดุ รวมถึงเทคโนโลยีการกาจัดวสั ดุ และการรไี ซเคิล ซึ่งเปน็ การนาวัสดุทไ่ี ม่ตอ้ งการใชแ้ ลว้ ทงั้ ท่ีเกิดข้ึนภายหลงั เสรจ็ ส้นิ การใช้งานหรือระหวา่ งกระบวนการผลติกลับมาผ่านกระบวนการแปรรปู เพื่อผลติ เป็นผลติ ภัณฑ์ใหม่ ทาให้เกดิ มคี วามรู้ และความเข้าใจเกีย่ วกับวสั ดุ รสู้ ึกหวงแหนทรัพยากรของชาตซิ ่ึงจะก่อใหเ้ กดิ จิตสานกึ ทด่ี ีตอ่ การอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ปัจจบุ นั ววิ ัฒนาการทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทาให้มนุษยส์ ามารถผลิตวสั ดุหรือผลิตภัณฑ์ตา่ ง ๆ ในระดับอตุ สาหกรรมไดอ้ ย่างรวดเรว็ และมคี ุณภาพทด่ี ีขึน้ ตัวอย่างเช่นพลาสติก เปน็ วัสดทุ ี่ถูกสงั เคราะห์มาเพอ่ื ทดแทนวสั ดุจากธรรมชาติ และเป็นที่ยอมรับวา่ เปน็ ส่ิงท่มี ีประโยชนแ์ ละขาดไม่ไดแ้ ล้วในชวี ิตประจาวนั ของมนษุ ย์ แต่ในทานองกลับกนั พบวา่ การใช้พลาสติกก็ก่อให้เกดิ ปญั หาในการจัดการภายหลังเสร็จสนิ้ จากการใช้งาน เน่ืองจากเปน็ วัสดุท่ยี ่อยสลายได้ยาก ดงั น้นั การศึกษาถึงสมบัติของวัสดทุ มี่ ีความแตกตา่ ง จะนาไปสูก่ ารจดั การวสั ดุภายหลงั จากการใช้งานไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกับวัสดุนน้ั
3เร่ืองที่ 2 ประเภทของวสั ดุ ในปจั จบุ ันไมว่ า่ ภาคการเกษตร ภาคอตุ สาหกรรม หรือภาคครัวเรอื น ล้วนตอ้ งเก่ยี วข้องกบั วัสดุ (Materials) อยูเ่ สมอทัง้ ในเชิงของผใู้ ชว้ สั ดุ ผูผ้ ลติ และผคู้ วบคุมกระบวนการผลิต ตลอดจนผู้ออกแบบท้ังในรูปแบบ องค์ประกอบ และโครงสร้าง บุคคลเหล่าน้ีจาเป็นอยา่ งยงิ่ ทีจ่ ะตอ้ งเลอื กใช้วัสดใุ หเ้ หมาะสมถกู ต้องจากสมบตั ิของวัสดุเหลา่ นนั้ นอกจากนี้ยังจะต้องสามารถวิเคราะห์ได้ว่า เม่ือมีความผิดปกติเกิดข้ึนมันเป็นเพราะเหตุใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความก้าวหน้าไปอย่างมากวัสดุใหม่ ๆถูกผลิตขึ้น และมีการค้นคว้าคุณสมบัติพิเศษของวัสดุ เพ่ือใช้ประโยชน์มากข้ึนกระบวนการผลิตก็สามารถทาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทาให้ราคาของวัสดุนั้นต่าลง การศึกษาเก่ียวกับสมบัติของวัสดุชนิดต่าง ๆ จะช่วยให้เราสามารถเลือกวัสดุมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งจาเป็นท่ีทุกคนควรรู้ไว้การแบ่งประเภทของวัสดุ ตามคุณสมบัติทั่ว ๆไปอาจจัดแบง่ ได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ วัสดุประเภทโลหะและวัสดปุ ระเภทอโลหะ 2.1 วสั ดปุ ระเภทโลหะ (Metallic Materials) เปน็ วัสดุท่ไี ด้มาจากสนิ แร่ตามธรรมชาตโิ ดยตรง ซึง่ สว่ นใหญ่จะเป็นของผสมกับวัสดุชนิดอื่น ๆ อยใู่ นรปู ของสารประกอบ(Compound) ตอ้ งนามาผา่ นขบวนการถลุงหรือสกัด เพือ่ ใหไ้ ดแ้ ร่ หรอื โลหะทบ่ี ริสุทธิ์ เมือ่ นาแรบ่ ริสทุ ธนิ์ ไ้ี ปผ่านขบวนการแปรรปู โลหะจะได้วสั ดเุ พือ่ การใชง้ าน โลหะสามารถแบง่ ได้เปน็2 ชนิด คือ 2.1.1 โลหะจาพวกเหล็ก (Ferrous Metal) โลหะทม่ี พี นื้ ฐานเปน็ เหล็ก เช่นเหลก็ หล่อ เหลก็ เหนียว เหล็กกล้า เหลก็ ไร้สนมิ เหล็กกล้าผสม เปน็ ตน้ 2.1.2 โลหะนอกจาพวกเหลก็ (Non Ferrous Metal) โลหะนอกจาพวกเหลก็เช่น ทอง เงนิ ทองแดง อะลมู เิ นียม สังกะสี ทงั สเตน แมกนีเซียม ตะก่วั ปรอท โบลิดิน่มัรวมถึงโลหะผสม เช่น บรอนซ์ และทองเหลอื ง เป็นต้น ภาพที่ 1.1 ของใช้ในครวั เรอื นประเภทโลหะ
4 2.2 วัสดปุ ระเภทอโลหะ (NonMetallic Materials) วสั ดใุ นกลมุ่ อโลหะนี้สามารถแบ่งย่อย ไดด้ ังนี้ 2.2.1 อนิ ทรยี ์สาร (Organic) เปน็ วัสดุทไ่ี ด้มาจากสิ่งทม่ี ีชีวติ เช่น ไม้ เส้นใยธรรมชาติ หนังสัตว์ นา้ มนั จากพืช ยางพารา ขนสัตว์ เปลือกหอย หวาย เปน็ ต้น 2.2.2 อนินทรีย์สาร (Inorganic) เปน็ วัสดุทีไ่ ด้มาจากธรรมชาติ จากสง่ิ ท่ไี มม่ ีชวี ิต เปน็ พวกแรธ่ าตตุ ่าง ๆ เชน่ หนิ ดนิ เหนียว กรวด ทราย ศิลาแลง หนิ ออ่ น ยปิ ซมั และอญั มณตี า่ ง ๆ เปน็ ต้น 2.2.3 วัสดุสังเคราะห์ (Synthetic Materials) เป็นวัสดทุ ีต่ ้องผา่ นขบวนการทางดา้ นอตุ สาหกรรมและเคมี เกดิ จากการผสมตวั ของวสั ดุ ธาตุ และมเี คมีภัณฑ์อืน่ ๆ แบ่งยอ่ ยได้ 2 ชนดิ คือ 1. วสั ดอุ นิ ทรีย์สารสงั เคราะห์ เช่น กระดาษ ฟองน้า หนงั เทยี ม เสน้ ใยสังเคราะห์ พลาสติก ยางเทียม เป็นต้น 2. วสั ดอุ นินทรียส์ ารสงั เคราะห์ เช่น ปูนซเี มนต์ คอนกรีต สีทาอาคารแกว้ อิฐ เซรามกิ เปน็ ต้น ภาพท่ี 1.2 ของใชใ้ นครัวเรือนประเภทอโลหะ
5เร่อื งท่ี 3 สมบตั ิของวัสดุ สมบตั ขิ องวัสดุ หมายถึง ลักษณะเฉพาะตวั ของวัสดุ ที่แสดงวา่ วสั ดุชนดิ หนง่ึเหมือนหรือแตกต่างจากวัสดุอกี ชนิดหน่งึ สมบตั ิของวัสดุ สามารถแบ่งได้ ดังน้ี 3.1 สมบัติทางกายภาพ ประกอบด้วย 3.1.1 ความแข็ง หมายถึง ความทนทานของวัสดุต่อการถูกขูดขีด วัสดุที่มีความแข็งมาก จะทนต่อการขีดข่วนได้มาก และเมื่อถูกขีดข่วนจะไม่เกิดรอยหรือเกิดรอยเพียงเล็กน้อย มีสมบัติท่ีมีความคงทนถาวร สึกกร่อน แตกหักยาก แข็งแกร่ง เช่น ก้อนหิน เพชรเหล็ก เป็นต้น เราสามารถตรวจสอบคุณสมบัติความแข็งของวัสดุได้โดยการนาวัสดุมาขูดกันเพ่ือหาความทนทานต่อการขีดข่วน ถ้านาวัสดุชนิดหน่ึงขูดบนวัสดุอีกชนิดหนึ่ง วัสดุท่ีถูกขูดเกดิ รอยแสดงวา่ มคี วามแข็งน้อยกวา่ วสั ดทุ ี่ใช้ขูด แตถ่ า้ วสั ดทุ ถี่ ูกขูดไม่เกดิ รอยแสดงว่ามีความแขง็ มากกว่าวสั ดทุ ่ีใช้ขูด 3.1.2 ความเหนียว หมายถงึ หน่วยวดั แรงท่ที าให้วัสดขุ าด เชน่ พลาสตกิมีความเหนียวมากกว่ากระดาษ เราจึงต้องออกแรงเพื่อฉีกถุงพลาสติกให้ขาดมากกว่าแรงที่ใช้ฉกี ถุงกระดาษให้ขาด การตรวจสอบความเหนียวของวสั ดุ สามารถพจิ ารณาไดจ้ ากสมบัติ2 ประการ คือ ความสามารถในการตีแผ่เป็นแผน่ บาง ๆ และความสามารถในการยืดเปน็ เส้น คา่ ความเหนยี วจะมากหรือนอ้ ย ข้นึ อย่กู บั ปจั จยั ดงั นี้ 1. ชนดิ ของวัตถุ เชน่ เส้นเอน็ เหนียวกวา่ เสน้ ดา้ ย เชือกไนลอนเหนยี วกว่าเชอื กฟาง 2. ขนาดของวัสดุ วสั ดุเส้นใหญ่จะทนตอ่ แรงดงึ ไดม้ ากกวา่ จึงเหนยี วกว่าวสั ดเุ ส้นเล็ก 3.1.3 ความยืดหย่นุ หมายถึง สมบัตขิ องวัสดุทส่ี ามารถกลับคืนส่สู ภาพเดมิ ได้หลังจากหยดุ แรงกระทาที่ทาให้เปลยี่ นรูปร่างไป เชน่ ลูกโปง่ ยางรถยนต์ ยางยืด ฟองน้าหนงั สต๊ิก ยางรดั ผม เป็นต้น วสั ดุแตล่ ะชนดิ มคี วามยดื หยนุ่ ไม่เทา่ กัน วัสดุบางชนิดยังคงสภาพความยืดหยนุ่อยู่ได้ แมจ้ ะมแี รงกระทามาก ๆ เช่น หนังสตก๊ิ วัสดุบางชนิดสภาพยดื หยุน่ หมดไป เมอื่ ได้รบั แรงท่มี ากระทามาก เช่น เอน็ เป็นต้น
6 วสั ดุท่ไี ม่กลบั สูส่ ภาพเดิมและมีความยาวเพ่ิมข้นึ จากเดมิ เรียกวา่ วัสดนุ ้นั หมดสภาพยดื หยุน่ วสั ดบุ างชนิดไม่มสี ภาพยดื หยนุ่ เพราะเมื่อมแี รงมากระทาจะเปลี่ยนแปลงรปู รา่ ง และไม่กลบั สสู่ ภาพเดมิ เมือ่ หยดุ แรงกระทา เช่น ใชม้ อื กดดินน้ามัน ดนิ น้ามันจะยุบตวั ลงเมือ่ ปล่อยมือ จะเหน็ ดนิ น้ามันเป็นรอยกด ไม่กลบั สู่สภาพเดมิ 3.1.4 ความหนาแน่น หมายถึง อัตราส่วนระหว่างค่ามวลสาร ต่อหน่วยปรมิ าตร มีหนว่ ยเป็นกิโลกรัมตอ่ ลกู บาศกเ์ มตร หรอื กรัมต่อลกู บาศกเ์ ซนติเมตร มวล คอื ปรมิ าณของเนอ้ื สารหรือเนอ้ื วัสดุ เช่น เหล็กและไมท้ ี่มีขนาดหรอื ปรมิ าตรเท่ากนั หากเหล็กมีน้าหนักมากกวา่ ไม้ แสดงวา่ เหล็กมมี วลมากกวา่ ไม้ น้าหนกั ของวัสดุ คือ ผลจากแรงดงึ ดดู ของโลกที่กระทาตอ่ วัสดุหรอื วตั ถุน้ัน ถ้าวัสดุหรือวัตถนุ น้ั มีมวลมาก จะมนี ้าหนกั มากดว้ ย น้าหนกั ของวัตถุเป็นหน่วยทว่ี ดั ด้วยเคร่ืองชั่ง มีหน่วยเปน็ กรัม กโิ ลกรมั ปรมิ าตรของวตั ถุ คอื ขนาดของวสั ดุ เครอื่ งมอื ที่ใชว้ ัดความจุ ไดแ้ ก่เคร่อื งตวง เช่น กระบอกตวง บกี เกอร์ ชอ้ นตวง ปริมาตรของวัตถุ มหี นว่ ยเป็น ลูกบาศกเ์ มตรหรอื ลูกบาศก์เซนติเมตร วสั ดแุ ต่ละชนิดจะมีความหนาแนน่ ไมเ่ ท่ากัน ความหนาแน่นจงึ จดั เปน็คณุ สมบตั ิเฉพาะของวัสดุโดยความหนาแนน่ ของวัสดุ หาได้จากผลหารระหว่างมวลรวมกับปรมิ าตรรวม ดงั สมการ ความหนาแน่น = มวล ปริมาตร 3.2 สมบตั ทิ างความรอ้ น เม่ือวัสดสุ องสง่ิ ที่มีอุณหภูมิต่างกนั จะเกดิ การถ่ายโอนความรอ้ นใหแ้ กก่ ันโดยความรอ้ นจะถ่ายเทจากวตั ถุ หรอื บรเิ วณทม่ี อี ุณหภมู สิ ูงไปยังวตั ถุ หรือบริเวณท่ีมอี ุณหภูมิตา่ กวา่ เสมอ และการถ่ายเทความร้อนจะหยดุ ลง เมื่อวัตถหุ รือบริเวณท้งั สองมอี ุณหภมู เิ ท่ากนั พลังงานความรอ้ นสามารถส่งผ่านจากวสั ดทุ ่หี น่ึงไปสู่วัสดุอีกแหง่ หนง่ึ ได้ 3 วิธี 3.2.1 การนาความร้อน เปน็ การส่งผ่านพลังงานความร้อนต่อ ๆ กันไปในเนอ้ืของตวั กลาง โดยตัวกลางไมไ่ ด้มีการเคลือ่ นท่ี แตค่ วามรอ้ นจะค่อย ๆ แผ่กระจายไปตามเนอื้วัตถนุ ัน้ ซ่ึงการนาความร้อน เปน็ ปรากฏการณ์สง่ ผ่านความร้อนของวัสดุ จากบรเิ วณที่มีอณุ หภมู สิ ูงไปยังบริเวณท่ีมีอุณหภมู ิตา่ เช่น กรณีที่ผ้เู รียนจับชอ้ นโลหะทแี่ ช่อยู่ในถ้วยแกงรอ้ น ๆ แลว้ จะรสู้ ึกว่าท่ปี ลายช้อนโลหะที่จับนัน้ จะร้อนดว้ ย ทงั้ นี้เพราะโลหะเป็นตัวนาความร้อนท่ีดี
7 ภาพท่ี 1.3 แสดงการนาความร้อน ท่มี า : https://www.slideshare.net วัสดทุ ่นี าความร้อนสามารถถ่ายโอนความรอ้ นได้ดี เรยี กว่า ตวั นาความร้อน เช่นเงิน ทองแดง ทองคา ทองเหลือง อะลมู ิเนียม เหล็ก ดีบกุ เปน็ ตน้ สว่ นวสั ดทุ ี่ความร้อนถ่ายโอนผา่ นไดไ้ ม่ดี เรียกว่า ฉนวนความร้อน เช่น แกว้ ไม้ กระดาษ พลาสติก ผา้ กระเบือ้ ง เปน็ ต้น 3.2.2 การพาความรอ้ น เป็นการสง่ ผ่านความรอ้ น โดยตัวกลางรบั ความรอ้ นจากบรเิ วณหนึ่งแลว้ เคลือ่ นท่พี าความรอ้ นไปยังอกี บรเิ วณหนึ่ง เช่น พดั ลมพัดผ่านตัวเราแล้วพาความร้อนออกไป จึงทาให้เรารู้สึกเยน็ สบาย 3.2.3 การแผร่ งั สี เปน็ พลังงานความรอ้ นท่สี ามารถเดินทางจากทแี่ ห่งหนงึ่ ไปสู่ทอ่ี ีกแห่งหนง่ึ โดยไม่ต้องมตี ัวกลาง เช่น ความรอ้ นจากดวงอาทติ ยเ์ ดินทางมาถงึ โลกของเราในรูปของคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ภาพที่ 1.4 แสดงการแผร่ ังสี ท่มี า : http://thanapat53a25.wikispaces.com
8 3.3 สมบัตทิ างไฟฟา้ ประกอบด้วย การนาไฟฟ้าของวสั ดุ เปน็ สมบัตใิ นการยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ วสั ดุทก่ี ระแสไฟฟา้ ผา่ นไดด้ ี เรียกวา่ ตัวนาไฟฟ้า เช่น เงิน ทองแดง เหล็กอะลมู เิ นยี ม วสั ดุที่กระแสไฟฟ้าผา่ นได้ไมด่ ี เรียกว่า ฉนวนไฟฟ้า เช่น ไม้ พลาสตกิ ผ้า กล่าวโดยสรุป การพัฒนาสมบัติของวัสดุให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น หรือให้มีสมบัติตรงตามความต้องการนั้นล้วนต้องใช้องค์ความรู้ทางวัสดุศาสตร์เข้าไปเกี่ยวข้องทั้งส้ินดงั นนั้ การพฒั นาความรู้ด้านวัสดุศาสตร์และการเรียนรู้เทคโนโลยีวสั ดุควบค่กู ันไปจึงมีความสาคัญสาหรับมนุษย์ ในการนาความรู้มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์และปรับปรงุ กระบวนการผลิตวัสดุให้มีสมบัติตามความต้องการ และนามาสังเคราะห์สร้างวัสดุใหม่เพอื่ ปรบั ปรงุ วัสดุให้มีสมบตั ติ ามตอ้ งการ นอกจากนี้ความร้ดู ้านวัสดุศาสตรย์ งั สนบั สนนุการเลอื กใช้วสั ดใุ หเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ งกับความต้องการในชวี ติ ประจาวนัตารางที่ 1.1 ตวั อยา่ งของสมบัติและการใช้งานของวสั ดุประเภทโลหะ ประเภท สมบตั ิ การใช้ประโยชน์โลหะจาพวกเหลก็ นาไฟฟ้าดี ขนึ้ รปู ดี ลวดสายไฟฟ้า- เหล็กหลอ่ หลอ่ ขึ้นรปู ง่าย ชิ้นส่วนเครื่องยนต์- เหลก็ เหนียว กลงึ -กดั ได้งา่ ย เครื่องมือชา่ งตา่ ง ๆ- เหลก็ กลา้ รบั แรงส่ันสะเทอื นดี- เหล็กไรส้ นิท มีความแข็งแรง- เหล็กกล้าผสมโลหะนอกจาพวกเหล็ก ทนทานต่อการกัดกร่อนของ อุตสาหกรรมเคมี การผลิตไฟฉาย- ทอง ทองแดง- อะลมู เิ นียมแมกนเี ซียม กรดและดา่ ง อุปกรณไ์ ฟฟา้ สายเคเบิล- ตะก่วั ปรอท โบลดิ นิ ่ัม- บรอนซ์ ทองเหลือง นาไฟฟ้าไดด้ ี ใชผ้ ลิตเคร่ืองใช้ในครัวเรอื น ทาใหโ้ ลหะอ่ืนง่ายต่อการ ขึน้ รูป นาความรอ้ นไดด้ ี
9ตารางที่ 1.2 ตัวอยา่ งของสมบัติและการใชง้ านของวสั ดุประเภทอโลหะ ประเภท สมบตั ิ การใช้ประโยชน์อินทรยี ์สาร เปน็ ฉนวนกนั ไฟฟ้า เคร่อื งนงุ่ หม่- ไม้ ฉนวนความร้อน ที่อยู่อาศยั- เส้นใย มีความแข็งแรง- หนงั สตั ว์- ขนสัตว์ ขนึ้ รูปเปน็ แผน่ บางง่าย ภาชนะบรรจุอาหาร- เปลอื กหอย ยืดหยุ่นดี สรา้ งท่อี ย่อู าศยั เปน็ ฉนวนกันไฟฟ้า ฉนวนกนั ความรอ้ นอนนิ ทรีย์สาร ตา้ นทานความชน้ื- หนิ แขง็ แรง- ดนิ เหนียว- กรวด ขึ้นรปู เปน็ แผน่ บางง่าย ผลติ ภัณฑบ์ รรจอุ าหาร- ทราย ยดื หย่นุ ดี เคลือบแผน่ วงจร- ศลิ าแลง เป็นฉนวนกันไฟฟา้ ทากาวผลติ ไม้อัด- หนิ ออ่ น ต้านทานความช้นื บา้ น- ยปิ ซัม แขง็ แรง ของใช้ในครัวเรือน- อัญมณีวัสดุสงั เคราะห์- กระดาษ- ฟองนา้- หนังเทยี ม- เสน้ ใยสังเคราะห์- พลาสติก- ยางเทยี ม- ปูนซีเมนต์- คอนกรีต- สที าอาคาร- อฐิ- เซรามิกส์
10 กิจกรรมท้ายหนว่ ยท่ี 1 หลังจากที่ผู้เรียนศึกษาเอกสารชุดการเรียนหน่วยที่ 1 จบแล้ว ให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ แล้วทากิจกรรมการเรียนรู้หน่วยท่ี 1 ในสมุดบันทึกกจิ กรรมการเรยี นรู้ แล้วจัดสง่ ตามที่ผสู้ อนกาหนด
11 หนว ยท่ี 2 การใชประโยชนและผลกระทบจากการใชวสั ดุสาระสําคญั วัสดุศาสตรมีความผูกพันกับการดําเนินชีวิตของมนุษย มาเปนเวลาชานาน หรืออาจกลาวไดวา “วัสดุศาสตรอยรู อบตวั เรา” ซึง่ วัตถตุ าง ๆ ลวนประกอบขึ้นจากวัสดุ โดยการพัฒนาสมบัติของวัสดุใหสามารถใชงานในดานตาง ๆ ในชีวิตประจําวันไดมากข้ึน ทําใหวัสดุท่ีใชในปจ จุบนั มีความแขง็ ความยืดหยุน นําไฟฟา หรือนาํ ความรอนไดด ี ตามความเหมาะสมของการใชง านตวั ชี้วัด 1. อธิบายประโยชนของวัสดุศาสตรใ นชวี ิตประจาํ วันได 2. บอกผลกระทบตอ ส่งิ แวดลอมจากการใชว ัสดใุ นชวี ิตประจําวันได 3. เลอื กใชผ ลติ ภณั ฑท่ีเปน มิตรกับสิง่ แวดลอ มไดขอบขา ยเนื้อหา 1. การนาํ วสั ดุศาสตรไ ปใชในชีวิตประจาํ วัน 2. ผลกระทบจากการใชวัสดุ 3. การเลือกใชผลติ ภัณฑท่ีเปน มิตรกับสิง่ แวดลอม
12 หนวยท่ี 2 การใชประโยชนแ ละผลกระทบจากการใชว ัสดุเร่ืองที่ 1 การนาํ วัสดศุ าสตรไ ปใชใ นชีวิตประจาํ วนั คนในสมยั กอ นใชว ัสดจุ ากธรรมชาติ ดิน หนิ เขาสตั ว กระดกู สัตว นํามาทําเปน สง่ิ ของเคร่ืองใช และนาํ ขนสตั ว หนังสัตว ใบไม มาทําเครื่องนุงหม ตอมามกี ารนําวัสดุจากธรรมชาติมาดดั แปลงมากขึ้น เชน ทํายางรถยนต การทอผา สียอมผา กระดาษ รวมทง้ั การนาํ เหล็กโลหะตา ง ๆ และแกวมาใชประโยชน ปจ จุบนั น้ีเราสามารถสังเคราะหว ัตถุขนึ้ หลายชนดิ ทีน่ ํามาทาํ เปนเคร่อื งใชไดม ากมาย ซงึ่ เราตอ งพจิ ารณาสมบัติของวสั ดชุ นิดน้ันใหเ หมาะสมกับการใชงานสิ่งของชนดิ นัน้ ซ่งึ วสั ดชุ นดิ ตาง ๆสามารถนํามาใชประโยชนได เชน โลหะผสมอะลมู ิเนยี มพลาสติก ยางสังเคราะห เสนใยสงั เคราะห 1.1 ประโยชนข องวสั ดุประเภทโลหะจําพวกเหล็ก เนือ่ งดวยโลหะมีคณุ สมบตั ทิ ดี่ ีมากมายหลายประการ เชน เหล็กมีความแขง็ แรงทนทาน จงึ ทาํ ใหความตอ งการใชเ หล็กมีเพ่มิ มากขน้ึ มาโดยตลอด ดังจะเห็นไดจากปจจุบนั ทเี่ หล็กเขา มาเปน สวนหน่ึงในชีวิตประจาํ วนั ของมนุษยจ นขาดไมได ไดแก เครอื่ งใชในครัวเรือน ภาชนะบรรจุภัณฑ เฟอรนิเจอร ยานพาหนะ สิ่งกอสราง ผลงานศิลปะ ซ่ึงลวนทําข้นึ ดว ยเหล็กเปน สวนประกอบทั้งส้ิน โลหะสามารถนํามาใชประโยชนท้ังในรูปของเหล็กบริสุทธิ์เหลก็ ผสมประเภทตาง ๆ และสารประกอบเหลก็ ภาพที่ 2.1 ของใชใ นครวั เรอื นประเภทโลหะจาํ พวกเหล็ก
13 โลหะจําพวกเหล็กชนิดตาง ๆ ทนี่ ิยมนําไปใชงานในปจ จบุ นั ไดแก เหล็ก เหล็กกลาเหล็กเหนยี ว เหล็กไรสนิม และเหลก็ กลา ผสม สําหรับใชใ นงานอุตสาหกรรมการกอ สรา งอาคารถนน สะพาน อตุ สาหกรรมบรรจภุ ัณฑ อตุ สาหกรรมเครือ่ งจักรกล อตุ สาหกรรมยานยนตอตุ สาหกรรมไฟฟา และใชผลติ เคร่ืองใชในครัวเรือนตาง ๆ 1.2 ประโยชนข องวัสดปุ ระเภทโลหะนอกจาํ พวกเหลก็ เปนโลหะท่ีขาดความแข็งแรงทางดานโครงสรางหรือคณุ สมบตั ิทางเชงิ กลทไ่ี มดนี ัก จึงทําใหการนําไปใชโ ดยตรงไมเ ปน ท่นี ิยม แตจ ะถกู ใชใ นรปู ของสารประสมเพิม่ หรอืธาตุท่ีเพ่ิมเติมคุณสมบัตพิ เิ ศษใหก บั โลหะอ่นื ๆ เชน คุณสมบัตทิ างดานความทนทานตอ การกัดกรอนของกรดและดาง การนาํ ไฟฟา หรือ การทําใหโ ลหะอน่ื งายตอ การขึ้นรูป เชนอะลูมเิ นียม ทองแดง ตะกว่ั ดีบกุ โคบอลตโครเมียมเงินซลิ ิกอนนิกเกิล ตะก่ัว ทองคําทองแดงเปนตน ภาพท่ี 2.2 ของใชใ นครัวเรือนประเภทโลหะนอกจาํ พวกเหล็ก
14ตารางที่ 2.1 ตารางการนําไปใชงานชนิดตาง ๆ ท่ีนยิ มใชใ นปจจบุ ันโลหะนอกจําพวกเหลก็ การใชงานอะลูมิเนียม อุตสาหกรรมเคมี การผลติ ไฟฉาย อุปกรณไ ฟฟา สายเคเบิลทองแดง เครอื่ งใชครัวเรอื นตะกั่ว อุตสาหกรรมไฟฟา อตุ สาหกรรมกอ สรา ง ใชผลิตเคร่อื งใชดีบุก เครอ่ื งประดับ และงานประติมากรรมตาง ๆโคบอลต อุตสาหกรรมแบตเตอร่ี อุตสาหกรรมไฟฟา และอเิ ล็กทรอนกิ สโครเมียม เปน ฉนวนปองกันรังสีแคดเมยี ม อุตสาหกรรมไฟฟา และอิเล็กทรอนกิ ส อตุ สาหกรรมเหล็กแผนเงนิ เคลอื บ ใชผ ลติ เคร่ืองใชใ นครวั เรือน บรรจภุ ัณฑเ ครอ่ื งประดบัซลิ กิ อน อุตสาหกรรมผลติ เครอ่ื งจักรอากาศยาน เครอ่ื งจกั รกล ใชผ ลติ แมเ หล็กถาวร และเครอ่ื งกรองไอเสียนกิ เกลิ อุตสาหกรรมเคลือบแผนเหลก็ อุตสาหกรรมฟอกหนังตะกัว่ ใชผ ลติ เทปสเตอริโอ วีดีโอ และเปน สวนผสมในวสั ดทุ นไฟทองคาํ แบตเตอรีช่ นดิ ประจุไฟฟา ใหมได ใชเคลือบผิวสกรู และนอ็ ตทองแดง เปนสารประกอบในการผลิตเม็ดสีแดงและเขยี ว ใชผ ลิตเครอ่ื งประดับ กระจกเงา ฟลม ถา ยภาพ กระดาษอัดภาพ อุตสาหกรรมการผลติ เซลลแ สงอาทติ ย อตุ สาหกรรมแกวกระจก อุตสาหกรรมกอสราง ใชเปน โลหะผสมในอุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมอะลูมิเนยี ม ใชผลติ เหรยี ญกษาปณ เครอ่ื งใชในครัวเรือน และแบตเตอรช่ี นิด ประจไุ ฟฟาใหมไ ด อตุ สาหกรรมแบตเตอร่ี อุตสาหกรรมไฟฟาและอเิ ล็กทรอนิกส และเปน ฉนวนปอ งกันรังสี ใชผลิตเครอื่ งประดับ ใชในงานทนั ตกรรม และอุปกรณ อิเลก็ ทรอนิกส อุตสาหกรรมไฟฟา อตุ สาหกรรมกอ สราง ใชผ ลติ เครือ่ งใช เครอ่ื งประดับ และงานประติมากรรมตาง ๆ
15 1.3 ประโยชนข องวัสดุประเภทพลาสติก ปจจบุ นั พลาสติก มคี วามสําคญั ตอชีวติ ประจําวันเปนอยา งมาก เครื่องมอืเครือ่ งใช และวสั ดุกอ สรา งหลายชนิดทําดว ยพลาสติก เชน เครื่องใชในครัวเรอื นจาํ พวก จานชาม ขวดโหลตาง ๆ ของเลนเดก็ วสั ดุกอ สรา ง สีทาบา น กาวติดไมแ ละตดิ โลหะ อุปกรณทางวิทยาศาสตรและวิทยาศาสตรการแพทย เปนตน เหตุที่พลาสติกเปนท่ีนิยม เพราะมีราคาถูกมีนํ้าหนักเบา ทนความชื้นไดดีไมเปนสนิม ทําใหเปนรูปรางตาง ๆ ตามตองการไดงายกวาโลหะ เปนฉนวนไฟฟา มีท้ังชนิดโปรงใส และมีสีตาง ๆ กัน ดวยเหตุน้ีพลาสติกจึงใชแทนโลหะ หรือวัสดุบางชนิด เชน แกว ไดเปนอยางดี แตพลาสติกก็มีขอเสียหลายอยางดวยกัน คือไมแ ข็งแรง (รบั แรงดงึ แรงบิด และแรงเฉอื นไดต่ํามาก) ไมท นความรอ น ทง้ั นี้ เพราะพลาสติกสามารถนาํ มาหลอ ใหเปน รูปรา งตา ง ๆ ตามแบบโดยใชความรอ น และแรงอัดเพียงเล็กนอย จุดหลอมตัวของพลาสตกิ อยรู ะหวา ง 80 - 350 องศาเซลเซียส ทงั้ นี้ขนึ้ อยูกบั ชนิดของพลาสตกิ จะเห็นไดวาจดุ หลอมตวั ของพลาสติกตํ่ากวาโลหะมาก วตั ถุเครอ่ื งใชที่ทําดว ยพลาสตกิ ที่เราคนุ เคยเปนอยางดีไดแ ก ตวู ทิ ยุ ตูโทรทศั น โทรศพั ทหวี กรอบแวน ตา ถงุ พลาสติกใสข อง ของเลน เดก็ ผาปโู ตะ เปน ตน นอกจากนี้ พลาสติกยังใชประโยชนกบั โลหะหรอื วตั ถุบางชนิด เชน ทาํ พวงมาลยั รถยนต ใชพลาสตกิ หมุ เหลก็ ทําใหไ มเ ปนสนิมและกระชับมือยงิ่ ขึ้น พลาสตกิ ใชห ุมสายไฟเปนฉนวนไฟฟา พลาสติกใชทาํ ไสกลางระหวา งกระจกสองแผน ประกบกนั เรยี กวา กระจกนริ ภยั ใชเปนกระจกรถยนต เพราะเมือ่ กระจกแตกจะไมก ระจาย ภาพท่ี 2.3 ตวั อยา งของใชในครัวเรอื นที่ทํามาจากพลาสติก
16 พลาสติกท่พี บในชีวติ ประจาํ วัน มี 2 ประเภท คอื เทอรโมพลาสติก และ เทอรโมเซตต้ิงมขี อพจิ ารณาในการใชตามสมบตั ิทางความรอ น ดังน้ี 1. เทอรโ มพลาสตกิ เปน พลาสติกท่ีใชก ันแพรหลายที่สุด โดยสมบตั พิ ิเศษของพลาสติกประเภทน้ี เม่อื ไดรบั ความรอ นถึงจดุ หนงึ่ กจ็ ะหลอมเหลว และสามารถนํากลับมาใชใ หมไดอกีหลังจากนําไปขนึ้ รปู เปน ผลติ ภณั ฑแ ลว โพลิเมอรป ระเภทน้ีจะมีโครงสรางโมเลกลุ ของสายโซโพลิเมอรเปนแบบเสนตรงหรือแบบกง่ิ สั้น ๆ สามารถละลายไดด ีในตัวทําละลายบางชนดิ เมื่อไดรบั ความรอ นจะออ นตวั และหลอมเหลวเปน ของเหลวหนดื เนอ่ื งจาก โมเลกุลของโพลเิ มอรท ี่พนั กนั อยูสามารถเคลื่อนท่ีผานกันไปมาไดงา ยข้นึ เม่อื ไดรับความรอ น และเมอ่ื เย็นตัวลงกจ็ ะแขง็ ตวั ซ่ึงการหลอมเหลวและเย็นตวั นี้ สามารถเกดิ กลบั ไปกลับมาไดโดยไมท าํ ใหสมบตั ทิ างเคมแี ละทางกายภาพ หรือโครงสรางของโพลเิ มอรเปลยี่ นไปมากนัก พลาสติกประเภทนสี้ ามารถข้ึนรปู โดยการฉดี ขณะทพ่ี ลาสตกิถูกทําใหอ อนตวั และไหลไดด ว ยความรอ นและความดัน เขา ไปในแมแบบทีม่ ชี องวางเปนรปู รางตามตอ งการ ภายหลงั จากท่พี ลาสตกิ ไหลเขา จนเต็มแมพมิ พจะถูกทาํ ใหเ ย็นตวั และถอดออกจากแมพิมพ ไดผลติ ภณั ฑท่มี ีรูปรางตามตอ งการ สามารถนาํ ไปใชง านได เมือ่ ใชเ สร็จแลวสามารถนาํ กลับมารไี ซเคลิ ไดโ ดยการบด และหลอมดว ยความรอ นเพ่ือขึน้ รปู เปนผลิตภัณฑใหมไดอกี แตพ ลาสติกประเภทนมี้ ีขอเสยี และขีดจาํ กัดของการใชง าน คอื ไมสามารถใชง านท่ีอุณหภมู สิ งู ได เพราะอาจเกิดการบิดเบีย้ วหรือเสยี รปู ทรงไป ตวั อยา ง เชน ขวดนํ้าดมื่ไมเ หมาะสาํ หรบั ใชบรรจนุ ํ้ารอนจดั หรือเดอื ด พลาสติกประเภทเทอรโ มพลาสติก ที่ใชก นั อยูท ่ัวไปในชวี ติ ประจาํ วัน ท่ีสามารถนํากลบั มาใชใหม (Recycle) ได มดี ังนี้ 1) โพลเิ อทธิลนี เทเรฟทาเลต (Poly ethylene terephthalate : PET) ทนแรงกระแทก ไมเปราะแตกงา ย สามารถทาํ ใหใส มองเห็นสง่ิ ที่บรรจอุ ยูภายในจึงนยิ มใชบรรจนุ ํ้าดมื่ นา้ํ มันพชื และเคร่อื งสําอาง นอกจากนย้ี ังมีสมบตั ปิ องกนั การแพรผ า นของกาซไดเปนอยา งดี จงึ ใชเปนภาชนะบรรจนุ ํา้ อัดลม สามารถนาํ กลับมารีไซเคิลใชใ หมไ ด โดยนยิ มนํามาผลิตเปน เสนใยสาํ หรับทําเสอื้ กันหนาว พรม และเสนใยสงั เคราะหส าํ หรบั ยดั หมอน หรือเสอ้ื สําหรบั เลน สกี
17 2) โพลเิ อทธิลีนความหนาแนน สูง (High density polyethylene : HDPE) โพลเิ อทธลิ นี ชนิดหนาแนนสงู มโี ครงสรา งโมเลกลุ เปนสายตรง คอ นขางแขง็ แตย ืดไดมาก ไมแตกงา ย สว นใหญทาํ ใหม สี ีสันสวยงาม ยกเวนขวดทใ่ี ชบรรจนุ ้ําด่ืม ซงึ่ จะขุน กวา ขวดPET ข้ึนรปู ไดงายทนสารเคมจี ึงนยิ มใชท ําบรรจภุ ัณฑส ําหรบั นํ้ายาทาํ ความสะอาด แชมพู สระผม แปงเด็ก และถุงหหู วิ้ นอกจากน้ีภาชนะท่ที ําจากโพลเิ อทธลิ ีนยงั มีสมบัตปิ องกันการแพรผานของความชน้ื ไดด ี จึงใชเ ปนขวดนมเพ่อื ยืดอายขุ องนมใหน านขน้ึ สามารถนํากลบั มารีไซเคิลเพอ่ืผลติ ขวดตา ง ๆ เชน ขวดใสน าํ้ ยาซักผา แทงไมเ ทียมเพอ่ื ใชท ํารั้วหรือมา นง่ั ในสวน 3) โพลิไวนลิ คลอไรด (Poly vinyl chloride : PVC) เปน พลาสติกแข็งใชท ําทอ เชน ทอ นํ้าประปา แตสามารถทําใหน่ิมโดยใสสารพลาสติกไซเซอร ใชทําสายยางใส แผน ฟล มสําหรบั หออาหาร มานในหองอาบนาํ้ แผน กระเบ้อื งยาง แผน พลาสตกิ ปูโตะ ขวดใสแชมพูสระผม โพลไิ วนิลคลอไรด เปน พลาสติกที่มสี มบัติหลากหลาย สามารถนํามาใชผ ลิตผลติ ภัณฑอน่ื ไดอีกมาก เชน ประตู หนาตา ง วงกบ และหนงั เทยี ม สามารถนาํ กลับมารีไซเคลิ เพอ่ื ผลติ ทอประปาสําหรับการเกษตร กรวยจราจร และเฟอรน เิ จอร หรือมา นงั่ พลาสตกิ 4) โพลเิ อทธิลีนความหนาแนนตาํ่ (Low density polyethylene : LDPE) โพลิเอทธลิ นี เปนพลาสติกทน่ี ่ิม สามารถยดื ตัวไดมาก มีความใส นยิ มนํามาทาํ เปนฟล มสําหรับหออาหารและหอของ ถงุ ใสขนมปง และถงุ เย็นสําหรับบรรจุอาหาร สามารถนาํกลบั มารีไซเคลิ ใชใหมได โดยใชผลิตเปนถุงดาํ สาํ หรับใสข ยะ ถุงหูหิ้ว หรือถงั ขยะ 5) โพลิโพรพลิ ีน (Polypropylene : PP) โพลโิ พรพิลีนเปน พลาสติกท่แี ขง็ ทนตอแรงกระแทกไดด ี ทนตอ สารเคมี ความรอ นและนํ้ามัน ทาํ ใหม สี ีสนั สวยงามได สว นใหญน ยิ มนํามาทําภาชนะบรรจอุ าหาร เชน กลอ ง ชามจาน ถงั ตะกรา หรอื กระบอกสําหรับใสนา้ํ แชเย็น สามารถนํากลบั มารไี ซเคิลใชใ หมไ ด โดยนิยมผลิตเปน กลอ งแบตเตอร่ีรถยนต ชิน้ สวนรถยนต เชน กันชน และกรวยสาํ หรบั นา้ํ มัน 6) โพลิสไตรีน (Polystyrene : PS) โพลิสไตรนี เปน พลาสตกิ ที่แข็ง ใส แตเ ปราะ และแตกงา ย ราคาถกู นยิ มนาํ มาทําเปนภาชนะบรรจขุ องใช เชน เทปเพลง สาํ ลี หรือของแหง เชน หมแู ผน หมูหยอง และคกุ กี้เน่อื งจาก โพลิสไตรนี เปราะและแตกงาย จงึ ไมนยิ มนําพลาสตกิ ประเภทนี้มาบรรจนุ ้าํ ด่มื หรอืแชมพสู ระผม เนื่องจากอาจล่ืนตกแตกได มีการนําพลาสตกิ ประเภทนี้มาใชทําภาชนะหรอื ถาดโฟมสําหรับบรรจอุ าหาร โฟมจะมีน้ําหนักทีเ่ บามากเนอ่ื งจากประกอบดว ย โพลสิ ไตรีนประมาณรอ ยละ 2-5 เทา น้ัน สวนที่เหลอื เปน อากาศท่ีแทรกอยใู นชอ งวา ง โพลิสไตรีน สามารถนาํ กลบั มาใชใหมได โดยนยิ มผลติ เปนไมแ ขวนเสือ้ กลอ งวีดีโอ ไมบ รรทดั หรอื ของใชอ่นื ๆ
18 7) พลาสตกิ อน่ื ๆ ทไ่ี มใ ช 6 ชนิดแรก หรอื ไมทราบวาเปน พลาสติกชนดิ ใดปจจบุ ันเรามพี ลาสตกิ หลายชนิดใหเ ลอื กใช พลาสตกิ ที่ใชใ นครัวเรอื นสว นใหญส ามารถนาํกลบั มารีไซเคิลเพอื่ หลอมใชใหมไ ด สาํ หรบั พลาสติกในกลุมท่ี 7 เปนพลาสติกชนิดอนื่ ที่ไมใช6 ชนดิ แรก 2. เทอรโ มเซตติ้ง เปนพลาสตกิ ทม่ี รี ูปทรงถาวร เม่ือผานกรรมวิธกี ารผลติ โดยใชความรอนหรอื กรรมวิธีการหลอพลาสติกเหลว จะนํากลับไปหลอมละลายเพื่อนาํ กลับมาใชใหม(recycle) ไมได โพลเิ มอรประเภทนี้จะมีโครงสรา งเปน แบบรางแห ซง่ึ จะหลอมเหลวไดในขั้นตอนการขน้ึ รูปคร้ังแรกเทา น้ัน ซ่ึงในข้ันตอนน้จี ะมปี ฏิกิริยาเคมเี กดิ ข้นึ ทําใหเ กดิ พันธะเช่ือมโยงระหวางโมเลกุล ทําใหโพลเิ มอรมีรปู รางที่ถาวร ไมสามารถหลอมเหลวไดอ ีกเม่ือไดร บั ความรอนและหากไดรบั ความรอ นสูงเกนิ ไป จะทาํ ใหพันธะระหวา งอะตอมในโมเลกุลแตกออก ไดส ารทีไ่ มมสี มบัตขิ องความเปนโพลิเมอรต อไป การผลิตพลาสติกชนิดเทอรโมเซตจะแตกตางจากพลาสติกชนดิ เทอรโมพลาสติก คอื ในข้ันตอนแรกตองทําใหเกิดปฏกิ ิริยาโพลเิ มอไรเซชนั เพยี งบางสวน มีการเชือ่ มโยงโมเลกลุ เกดิ ข้นึบางเลก็ นอย และยังสามารถหลอมเหลวเม่อื ไดรับความรอ น จงึ สามารถขึน้ รูปภายใตความดนัและอณุ หภูมสิ งู ได เมอ่ื ผลิตภัณฑมรี ปู รางตามตอ งการแลว ใหคงอุณหภมู ิไวประมาณ200 - 300 องศาเซลเซยี ส เพอื่ ใหไ ดโครงสรางแบบรางแหท่เี สถยี รและแขง็ แรง สามารถนําผลติ ภัณฑออกจากแบบโดยไมต องรอใหเย็น เนื่องจากผลติ ภัณฑจะแขง็ ตัวอยภู ายในแมพิมพดงั น้ันการใหความรอ นในกระบวนการผลิตพลาสตกิ เทอรโ มเซตกลบั ทําใหวัสดุแขง็ ขึ้น ตางจากกระบวนการผลิตพลาสตกิ เทอรโ มพลาสตทิ ีก่ ารใหความรอ นจะทําใหพ ลาสติกนิ่ม และหลอมเหลว พลาสตกิ เทอรโมเซตเม่อื ใชงานเสร็จแลวไมสามารถนาํ มาผา นการหลอมและผลติเปนผลติ ภัณฑใ หมหรอื รีไซเคิล ไดอ ีก และถาใหความรอ นมากเกินไป จะทําใหพลาสติกเกดิการสลายตวั หรือไหม โดยไมเ กดิ การหลอมเหลว ตวั อยาง ของพลาสตกิ ในกลุม นี้ เชนเบคเคอไลต และเมลามนี เปน ตน
19ตารางที่ 2.2 แสดงความแตกตางระหวางเทอรโมพลาสติกและเทอรโ มเซตตงิ้ เทอรโ มพลาสตกิ เทอรโมเชตต้ิง1. เปน โพลเิ มอรแบบเสนหรอื แบบกิง่ 1. เปนโพลเิ มอรแ บบเชือ่ มโยงหรอื แบบรางแห2. จะออ นตวั หรือหลอมเหลวเมอ่ื ไดร ับ 2. จะแข็งตัวเมอื่ ไดรับความรอ นความรอน3. ตอ งทําใหเย็นกอนเอาออกจากแมแบบ 3. ไมตองรอใหเ ยน็ กอนเอาออกจากมฉิ ะน้ันจะเสียรูปทรงได แมแ บบ4. ไมเ กิดปฏิกิรยิ าโพลเิ มอรไ รเซชนั ในแมพ มิ พ 4. เกิดปฏิกริ ยิ าโพลเิ มอรไ รเซชัน ในแมพมิ พ5. นาํ มารีไซเคลิ โดยการหลอมและขนึ้ รปู ใหมได 5. ไมส ามารถนํามารไี ซเคิลได
20ตารางท่ี 2.3 การนาํ พลาสตกิ บางชนดิ ไปใชป ระโยชนที่ ตวั ยอ ชอ่ื เต็ม ผลิตภณั ฑ1 PET โพลเิ อทธลิ นี เทเรฟทาเลต ภาชนะบรรจนุ าํ้ อัดลม เสนใยสาํ หรับทํา (Polyethylene terephthalate) เสอื้ กันหนาว พรม2 HDPE โพลิเอทธิลีนความหนาแนนสูง บรรจภุ ณั ฑสําหรับนํ้ายาทําความสะอาด (High density polyethylene) แชมพสู ระผม แปงเดก็ และถงุ หหู ว้ิ ขวดใสน ้ํายาซกั ผา3 PVC โพลิไวนิลคลอไรด ทอนา้ํ ประปาสายยางใสแผนฟลมสาํ หรบั (Polyvinyl chloride ) หออาหาร มานในหองอาบนํา้ แผน กระเบ้อื งยาง แผน พลาสตกิ ปูโตะ แผนพลาสตกิ ปโู ตะ ขวดใสแชมพูสระผม4 LDPE โพลิเอทธิลีนความหนาแนนตาํ่ ฟลมสาํ หรบั หอ อาหารและหอของ (Low density polyethylene ) ถุงใสขนมปง และถุงเย็นสําหรบั บรรจุ อาหาร ถงุ ดาํ สาํ หรบั ใสข ยะ ถงุ หหู ้ิว ถังขยะ5 PP โพลิโพรพลิ ีน (Polypropylene ) กลอ ง ชาม จาน ถงั ตะกรา กระบอก สาํ หรับใสน ้าํ แชเยน็ กลองแบตเตอร่ี รถยนต ชน้ิ สวนรถยนต เชน กันชน และ กรวยสําหรบั นา้ํ มนั6 PS โพลสิ ไตรนี (Polystyrene ) ภาชนะบรรจขุ องใช เชน เทปเพลง สาํ ลี หรือของแหง ถาดโฟมสําหรบั บรรจุ อาหารไมแขวนเสอื้ กลองวดี โี อ ไมบรรทดั หรือของใชอ ืน่ ๆ7 PC โพลคี ารบอเนต (Polycarbonate) นํากลบั มารไี ซเคิลเปนขวดนํ้า กลอ ง เปน พลาสตกิ ชนดิ อ่ืน ๆ ท่ีอาจจะนาํ ถุงบรรจุอาหาร กระสอบปุย และถงุ ขยะ พลาสติกหลายชนดิ มาผสมกนั แต ไมใชพ ลาสตกิ 6 ชนิดกอนหนา น้ี
21เรอ่ื งท่ี 2 ผลกระทบจากการใชวสั ดุ วัสดุเหลือใช หรือ ขยะมูลฝอย สําหรับคนท่ัวไป ซ่ึงสวนใหญจะคิดวาไมมีประโยชนตองเอาไปกําจัดเทานั้น แตความเปนจริงแลว ขยะเหลานั้น ยังสามารถนําไปใชประโยชนไดอีกถารูจกั คิดกอนท้ิง แลวนําขยะเหลาน้นั มาผานกระบวนการคัดแยกกอ นทง้ิ เพอ่ื นํากลบั มาใชใหเ กดิ ประโยชน หากขยะมูลฝอยไมผานกระบวนการคัดแยกกอ นท้ิง ขยะเหลาน้รี วมกนัมปี ริมาณท่มี ากขนึ้ เรอื่ ย ๆ และเพิ่มทวีคูณ ซง่ึ เม่อื ทงิ้ ไวในระยะเวลานาน จะถูกหมักหมมสรา งความสกปรก สง่ิ กลน่ิ เหมน็ สงผลกระทบทัง้ ตอ สุขภาพและระบบนเิ วศ 2.1 แหลงกําเกดิ ขยะมลู ฝอย แหลงกําเนิดของขยะมลู ฝอยจากกจิ กรรมตาง ๆ ขยะเปน ส่งิ ท่ีเหลือใช หรือสิง่ ท่ไี มตอ งการอีกตอไป สามารถแบงตามแหลง กําเนดิ ได ดังนี้ 2.1.1 ของเสียจากครัวเรอื นแหลงชมุ ชน เชน หลอดไฟ ถา นไฟฉาย แบตเตอร่ีแกว เศษอาหาร พลาสติก โลหะ หนิ ไม กระเบื้อง หนงั ยาง เปน ตน 2.1.2 ของเสยี จากภาคเกษตรกรรม เชน ยาฆาแมลงปุย มูลสัตว น้าํ ทง้ิ จากการทําปศุสัตว เปน ตน 2.1.3 ของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ของเสยี อันตรายท่ัวประเทศไทยรอยละ 73มาจากระบบอุตสาหกรรม สวนใหญยังไมม กี ารจัดการที่เหมาะสมโดยท้ิงกระจายอยตู ามสิ่งแวดลอมและทง้ิ รวมกับมลู ฝอยอืน่ 2.1.4 ของเสียจากโรงพยาบาลและสถานที่ศึกษาวิจยั ซึ่งเปนของเสยี อันตรายอยางยิ่ง เชน ขยะติดเช้ือ เข็มฉีดยา สําลีซับเลือด รวมทั้งของเสียที่ปนเปอนสารกัมมันตรังสีสารเคมี ไดท้ิงสูส่ิงแวดลอมโดยปะปนกับมูลฝอย ส่ิงปฏิกูลเปนการเพิ่มความเส่ียง ในการแพรก ระจายของเช้อื โรคและสารอนั ตราย 2.2 ผลกระทบดานสขุ ภาพ 2.2.1 ความเสีย่ งตอ การเกิดโรค การไดร ับสารอันตรายบางชนดิ เขาไปในรา งกาย อาจทาํ ใหเ จ็บปวยเปน โรคตาง ๆ จนอาจถึงตายได พษิ ของขยะอนั ตรายสามารถเขาสูร า งกายของเราได ดังนี้ 1) ทางการหายใจโดยการสูดดมไอระเหย ผง หรือละอองสารพิษเขาสูรางกาย เชน สี ตวั ทาํ ละลายน้ํามนั รถยนต 2) ทางผิวหนังโดยการสัมผสั หรือจับตองสารพิษซึง่ สามารถซึมเขาสูผิวหนังและจะดูดซมึ ไดม ากยิง่ ขนึ้ หากมีบาดแผลท่ีผวิ หนงั หรอื เปน โรคผิวหนงั อยูก อนแลว
22 2.2.2 เปน แหลงเพาะพนั ธุของแมลง และพาหะของโรค เศษวัสดุ ของเสยี มีปริมาณเพ่มิ มากข้ึนทุกขณะ เน่ืองจากการขยายตัวของเมืองการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออํานวยความสะดวกสบาย การอยูอาศัยอยางหนาแนน หากใชวิธีกําจัดเศษวัสดุ ของเสียท่ีไมถูกตองเหมาะสม ยอมกอใหเกิดปญหาตามมา เนื่องจากเช้ือจุลินทรียท่ีปนเปอนมากับขยะมูลฝอย จากเศษวัสดุตาง ๆ มีโอกาสท่ีจะขยายพันธุเพ่ิมจํานวนมากยิ่งขึ้นได เพราะขยะมูลฝอยมีท้ังความชื้นและสารอินทรียท่ีจุลินทรียใชเปนอาหารขยะพวกอินทรียสารท่ีทิ้งคางไว จะเกิดการเนาเปอยกลายเปนแหลงเพาะพันธุของเช้ือโรคนอกจากน้ันขยะที่ปลอยทิ้งไวนาน ๆ จะเปนที่อยูอาศัยของสัตวพาหะ โดยจะเขามาทํารังขยายพันธุ เพราะมีท้ังอาหารและท่ีหลบซอน ดังนั้นขยะที่ขาดการเก็บรวบรวม และการกําจัดจึงทําใหเกิดเปนแหลงเพาะพันธุท่ีสําคัญของเชื้อโรค แมลงวัน หนู แมลงสาบ ซ่ึงเปนพาหะนําโรคมาสูคน 2.2.3 กอ ใหเกดิ ความรําคาญ การเก็บรวบรวมขยะไดไมห มดกจ็ ะเกดิ เปนกลิน่ รบกวน กระจายอยูทัว่ ไปในชมุ ชน นอกจากนั้นฝุน ละอองท่ีเกิดจากการเกบ็ รวบรวมการขนถาย และการกําจดั ขยะกย็ ังคงเปน เหตุรําคาญที่มักจะไดรบั การรอ งเรยี นจากประชาชนในชมุ ชนอยูเสมอ 2.3 ผลกระทบตอระบบนเิ วศ ขยะเปนสาเหตุสําคัญที่ทําใหเกิดมลพิษของน้ํา มลพิษของดิน และมลพิษของอากาศ เนอื่ งจากขยะสวนทีข่ าดการเกบ็ รวบรวม หรือ ไมนาํ มากาํ จัดใหถ กู วธิ ี ปลอยทงิ้ คางไวในพนื้ ที่ของชุมชน เมือ่ มีฝนตกลงมาจะไหลชะนาํ ความสกปรก เช้อื โรค สารพษิ จากขยะไหลลงสแู หลง นา้ํ ทาํ ใหแ หลงนา้ํ เกิดเนา เสยี ไดหากสารอันตรายซึมหรือไหลลงสูพ้ืนดิน หรือแหลงนา้ํจะไปสะสมในหวงโซอาหาร เปน อนั ตรายตอ สัตวน ํา้ และพืชผัก เมือ่ เรานาํ ไปบริโภคจะไดรับสารน้นั เขาสรู า งกายเหมอื นเรากินยาพิษเขาไปอยา งชา ๆ 2.3.1 มลพิษดา นส่ิงแวดลอ ม ถามีการเผาขยะมูลฝอยกลางแจง เชน การเผาพลาสตกิ ถาการเผาไหมไมสมบูรณ จะกอใหเกิดกาซคารบอนมอนอกไซด (CO) ที่จัดเปนกาซพิษออกมาดวยทําใหเกิดควันมีสารพิษทําใหคุณภาพของอากาศเสีย สวนมลพิษทางอากาศจากขยะมูลฝอยนั้นอาจเกิดข้ึนไดทงั้ จากมวลสารท่ีมีอยใู นขยะและพวกแกสหรอื ไอระเหย ทีส่ ําคัญก็คือ กล่นิ เหมน็ท่เี กิดจากการเนาเปอ ย และสลายตัวของอนิ ทรยี สารเปน สว นใหญ นอกจากนี้พลาสตกิ ซ่ึงมีโมโนเมอร มธี าตุคลอรีนเปนองคประกอบ เชน โพลิไวนลิ คลอไรด หรือจุลนิ ทรีย เมอื่ เผาไหมจะใหก าซไฮโดรเจนคลอไรด ซ่ึงมสี มบัตเิ ปน กรดจะเปนอันตรายจากการสูดดม และอาจเปนสวนหนึง่ ท่ีทําใหเกดิ ฝนกรด สว นพลาสติกประเภทท่ีใชยูเรียในการผลติ โพลเิ มอร เมื่อเผาแลวจะเกิดกา ซแอมโมเนีย ซึง่ มสี มบตั เิ ปนดาง ดงั นน้ั จึงไมควรกําจดั พลาสติกดวยวธิ กี ารเผา
23 2.3.2 ระบบนิเวศถูกทําลาย มูลฝอยอันตรายบางอยา ง เชน ไฟฉายหลอดไฟ ซง่ึ มีสารโลหะหนกับรรจุในผลิตภัณฑ หากปนเปอนสดู นิ และนํา้ จะสงผลเสยี ตอระบบนิเวศ และหว งโซอ าหารซ่งึ เปนอนั ตรายตอ มนษุ ยแ ละส่ิงแวดลอม ภาพท่ี 2.4 ผลกระทบของขยะมลู ฝอยตอ ระบบนเิ วศ 2.3.3 ปญหาดนิ เสอ่ื มสภาพ ขยะมลู ฝอยและของเสียตาง ๆ ถาเราท้งิ ลงในดิน ขยะสว นใหญจะสลายตัวใหสารประกอบ อินทรียแ ละอนนิ ทรียมากมายหลายชนดิ ดว ยกัน แตก ็มีขยะบางชนดิ ที่สลายตัวไดยาก เชน ผาฝา ย หนงั พลาสติก โดยเฉพาะเกลอื ไนเตรตสะสมอยูเปนจาํ นวนมาก แลวละลายไปตามนา้ํ สะสมอยูในบริเวณใกลเคยี ง การทงิ้ ของเสียจากโรงงานอตุ สาหกรรมตาง ๆเปน แหลงผลิตของเสยี ท่ีสําคญั ย่ิง โดยเฉพาะของเสียจากโรงงานที่มโี ลหะหนักปะปน ทําใหด นิบรเิ วณนน้ั มีโลหะหนักสะสมอยูมาก โลหะหนักทสี่ ําคัญ ไดแก ตะก่วั ปรอท และแคดเมยี มซ่ึงจะมผี ลกระทบมากหรอื นอยขึน้ อยกู ับคุณลักษณะของขยะมูลฝอย ถา ขยะมีซากถานไฟฉายซากแบตเตอรี่ ซากหลอดฟลูออเรสเซนตจ ํานวนมาก กจ็ ะสงผลตอ ปริมาณโลหะหนกั พวกปรอทแคคเมยี ม ตะก่วั ในดนิ มาก ซ่ึงจะสงผลเสยี ตอระบบนิเวศในดนิ และสารอินทรียใ นขยะมลู ฝอยเมื่อมีการยอ ยสลาย จะทําใหเ กิดสภาพความเปน กรดในดิน และเมื่อฝนตกมาชะกองขยะมลู ฝอย จะทําใหน้าํ เสยี จากกองขยะมลู ฝอยไหลปนเปอนดินบริเวณรอบ ๆ ทําใหเกดิ มลพษิของดินได การปนเปอนของดิน ยังเกิดจากการนาํ มลู ฝอยไปฝง กลบ หรือการยกั ยอกนําไปท้งิทาํ ใหของเสียอันตรายปนเปอ นในดนิ นอกจากน้ันการเลี้ยงสตั วเปนจํานวนมาก กส็ งผลตอสภาพของดิน เพราะสงิ่ ขับถายของสตั วท นี่ าํ มากองทับถมไว ทําใหเกิดจลุ ินทรยี ยอยสลายไดอ นุมูลของไนเตรตและอนมุ ลู ไนไตรต ถาอนุมลู ดังกลาวน้ีสะสมอยูจํานวนมากในดนิ บริเวณนน้ั จะเกิดเปนพษิ ได ซ่งึ เปน อนั ตรายตอมนุษยโ ดยทางออม โดยไดร ับเขาไปในรูปของน้าํ ดื่มทมี่ ี
24สารพิษเจอื ปน โดยการรับประทานอาหาร พืชผักทปี่ ลกู ในดินทีม่ ีสารพิษสะสมอยแู ละยงั สง ผลกระทบตอคณุ ภาพดนิ 2.3.4 ปญหามลพษิ ทางนํ้า ขยะมูลฝอยอินทรยี จํานวนมากถา ถูกท้งิ ลงสูแ มน ํ้าลําคลอง จะถกู จุลนิ ทรียในน้าํ ยอ ยสลายโดยใชอ อกซเิ จน ทาํ ใหอ อกซิเจนในน้ําลดลงและสงผลใหเ กดิ นํา้ เนา เสีย ภาพท่ี 2.5 ผลกระทบของขยะมูลฝอยตอแมน้ําลําคลอง ที่มา : http://contentcenter.prd.go.th ปจจุบันเราพบวาอุณหภูมิของโลกเราสูงข้ึน ระบบนิเวศถูกทําลาย ซึ่งเกิดจากฝมือของมนุษยเรา ไดแก การท้ิงขยะไมถูกท่ี กําจัดขยะไมถูกวิธี นําไปเผาเกิดการเผาไหมท่ีไมสมบูรณและจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมตาง ๆ เชน การทําความเย็นในตูเย็นเคร่ืองปรับอากาศ โฟมกระปองสเปรย สารดับเพลิง สารชะลางในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกสซึ่งสารเหลาน้ี เรียกวา สารคลอโรฟลูโอโรคารบอน (Chlorofluorocarbon,CFC) และในอนาคต ถาเราไมช วยกนั ลดการใชสารทําลายชั้นโอโซนที่เกิดจากสาร CFC โลกของเราก็จะเจอกบั ปญ หาสิ่งแวดลอ มเปนพิษ อยางหลีกเลี่ยงไมไ ดเรอ่ื งที่ 3 การเลือกใชผลิตภัณฑท ่เี ปนมิตรกบั สิง่ แวดลอม การเลือกใชสินคา ที่เปนมิตรกับส่ิงแวดลอ มเปนการประยุกตใชแนวทางตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ท่ีพรอมรับมอื กับสิ่งทีจ่ ะเกิดข้นึ กับส่งิ แวดลอ ม สามารถลดปริมาณขยะซงึ่ เปนปญหาสิง่ แวดลอ มในอนาคตได โดยเลอื กใชสนิ คา อยางพอประมาณ มเี หตุผลในการเลือกใช มภี มู ิคุม กนั ไมเกดิ พิษภยั ตอตนเองและสง่ิ แวดลอ ม โดยควรศึกษาความรูเกยี่ วกบัผลิตภณั ฑที่เปน มิตรกับส่งิ แวดลอ มเพ่ือจะไดเ ลอื กซื้อไดอ ยา งถกู ตอ ง และใชจนเกดิ เปน นสิ ัยซงึ่ เปนพนื้ ฐานแหง คณุ ธรรมในหลายดา น
25 3.1 คณุ สมบัติสนิ คาทเี่ ปนมิตรกับสงิ่ แวดลอม 3.1.1 ใชว ัสดทุ ีม่ ีผลกระทบตอ สง่ิ แวดลอ มนอย เชน วัสดุท่ีไมมีพษิวสั ดุหมุนเวียนทดแทนได วสั ดรุ ไี ซเคิลและวัสดุทีใ่ ชพลังงานต่ําในการจัดหามา 3.1.2 ใชวัสดุนอย เชน น้ําหนักเบา ขนาดเล็ก มีจํานวนประเภทของวัสดุนอ ย มกี ารเสริมความแข็งแรง เพื่อใหลดขนาดลงได 3.1.3 มกี ารใชเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสทิ ธิภาพสูงสดุ เชนใชท รพั ยากรและพลงั งานอยา งมีประสิทธิภาพในการผลติ ใชพ ลงั งานท่ีสะอาด ลดการเกดิของเสีย จากกระบวนการผลิตและลดขน้ั ตอนของกระบวนการผลิต 3.1.4 มีระบบขนสง และจดั จาํ หนายท่ีมีประสิทธภิ าพสูงสดุ เชนลดการใชหีบหอบรรจุภัณฑท ีฟ่ ุมเฟอย ใชบ รรจุภัณฑท ี่ทําจากวัสดทุ ่ีใชซ ํ้าหรือหมุนเวยี นใหมไดใชร ูปแบบการขนสงทีก่ อ ผลกระทบตอ สิ่งแวดลอมตํา่ และเลอื กใชเสนทางการขนสง ท่ีประหยดัพลังงานท่ีสุด 3.1.5 ลดผลกระทบตอ ส่งิ แวดลอ มทีเ่ กดิ ในชว งการใชงาน เชนใชพ ลังงานต่ํา มีการปลอ ยมลพษิ ต่ํา ในระหวางใชงาน ลดการใชว ัสดุส้ินเปลอื ง (เชน ตองเปล่ียนไสก รองบอ ย) และลดการใชชิน้ สว นท่ไี มจาํ เปน 3.1.6 มีความคุมคาตลอดชีวิตการใชงาน เชน ทนทาน ซอมแซมและดแู ลรักษางา ย ปรบั ปรงุ ตอเตมิ ได ไมตอ งเปล่ียนบอย 3.1.7 มรี ะบบการจดั การหลงั หมดอายกุ ารใชงานทมี่ ปี ระสิทธิภาพสูงสุดเชน การเก็บรวบรวมที่กอผลกระทบตอสิ่งแวดลอมต่ํา มีการออกแบบใหนําสินคาหรือชิ้นสวนกลับมาใชซ ํา้ หมุนเวียนใชใ หมไดง าย หรอื หากตองกําจดั ทิง้ สามารถนําพลังงานกลับคืนมาใชไดและมคี วามปลอดภัยสําหรบั การฝงกลบ 3.2 ฉลากสนิ คาและบริการท่ีเปนมติ รตอ สงิ่ แวดลอม ฉลากสง่ิ แวดลอ ม หมายถงึ ฉลากทีต่ ิดบนผลติ ภัณฑหรอื บริการวา เปนมติ รกบั ส่งิ แวดลอ มโดยในกระบวนการผลิตหรอื ใชง านสามารถลดการใชท รพั ยากรหรอื ลดผลกระทบตอสิ่งแวดลอม ฉลากสิง่ แวดลอ มนับเปน กลยุทธอ ยางหนึง่ ทางการตลาด เพ่อื สรางแรงจงู ใจใหประชาชนตระหนักถงึ ความสําคัญของการรกั ษาสภาพแวดลอ ม และเปนการเสริมสรา งภาพลักษณท ีด่ ขี ององคก ร โดยสรางความตระหนักวา ผลติ ภณั ฑท่นี าํ ไปใชเปนเคร่ืองมอื หรอือปุ กรณสาํ คัญ ในการปกปองสภาพแวดลอ ม ซงึ่ เนนการมีสวนรวมของผบู ริโภคและผผู ลติซ่ึงผลิตภณั ฑท ่สี ามารถติดฉลากแวดลอ มตอ งผา นกระบวนการประเมนิ จากหนวยงานทใี่ หการรบั รองวา ผลติ ภัณฑด งั กลาวสง ผลกระทบตอ ส่ิงแวดลอ มโดยรวมนอ ยกวา เมื่อเปรยี บเทียบกบั ผลิตภณั ฑประเภทเดียวกนั และมคี ณุ ภาพการใชงานอยูในมาตรฐานเดียวกัน ซ่ึงในทนี่ ้ีหมายถงึ สินคา และบรกิ ารทวั่ ๆ ไปปจจุบนั ฉลากเพ่อื สิ่งแวดลอมซ่ึงจดั อยูใ นมาตรฐานการจัดการสงิ่ แวดลอ ม ISO 14001 จําแนกไดเ ปน 4 ประเภท ประกอบดวย
26 ฉลากประเภทท่ี 1 เปนฉลากสําหรับสินคาหรือบริการท่ีไดรับการรับรองจากบุคคลท่ี 3 ดําเนินการโดยองคกรอิสระ มอบใหกับผลิตภัณฑท่ีมีคุณสมบัติตรงตามขอกําหนดตามอนุกรมมาตรฐานISO 14020 ซง่ึ การกาํ หนดเกณฑพ ิจารณาการลดผลกระทบตอส่ิงแวดลอมตลอดทั้งวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ (Life cycle consideration) ภายใตกรอบดําเนินการตามอนุกรมมาตรฐาน ISO14024 ปจจุบันมีการใชฉลากประเภทนี้มากกวา 50 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศเยอรมณีเปนประเทศแรกที่เริ่มใชฉลากประเภทน้ี สําหรับฉลากประเภทน้ีในประเทศไทย ไดแก ฉลากเขียวซ่งึ ในปจจบุ นั มสี ินคา หลายประเภทที่ไดรับอนุมัติใหติดฉลากดงั กลาว ฉลากส่ิงแวดลอมประเภทน้ีจะใหกับผลิตภัณฑประเภทอุปโภคบริโภค และบริการทุกประเภท ยกเวน อาหาร ยาและเครื่องดื่ม และทางภาครัฐก็ใหการสนับสนุน โดยการรณรงคใหหนวยงานราชการ พิจารณาจัดซือ้ จดั จา งสนิ คา หรอื บรกิ ารสีเขียว ภาพท่ี 2.6 ตวั อยางฉลากสาํ หรับสินคาหรอื บริการประเภทที่ 1 ท่มี า : http://www.thailandindustry.com ฉลากประเภทที่ 2 เปนฉลากผลิตภัณฑที่ผูผลิตเปนผูออกฉลากเอง เพ่ือความมุงหมายเฉพาะดาน เนนลักษณะทางสิ่งแวดลอมดานใดดานหน่ึง เน่ืองจากเปนการเผยแพรขอมูลประเด็นดานส่ิงแวดลอมเชิงเด่ียว ไมไดพิจารณาตลอดทั้งวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ และไมมีกลไกการตรวจสอบโดยบุคคลท่ีสาม โดยการปฏิบิติตามอนุกรมมาตรฐาน ISO 14021 ซ่ึงเปนนิยามและคําศัพท ขอกําหนดและแนวทางในการเปดเผยขอมูลผลิตภัณฑ และบทลงโทษในกรณีที่ละเมิดขอกาํ หนดที่เก่ยี วกับการใชฉ ลากผลติ ภณั ฑประเภทที่ 2
27 ภาพท่ี 2.7 ตวั อยา งฉลากสําหรับสินคาหรือบริการประเภทท่ี 2 ทีม่ า : http://www.thaitextile.org ฉลากประเภทที่ 3 เปน ฉลากท่ีแสดงขอมลู เชงิ ปริมาณบนพน้ื ฐานของการประเมินตลอดวัฏจักรของสนิ คา โดยมีวัตถุประสงคเพอื่ ใหผ บู ริโภคสามารถประเมินผลกระทบของสินคาตอส่ิงแวดลอมไดจ า ก ก า ร เ ผ ย แ พ ร ข อ มู ล เ ชิ ง ป ริ ม า ณ ที่ บ อ ก ร า ย ล ะ เ อี ย ด เ ก่ี ย ว กั บ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ ใ น ก า ร ใ ชทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน ปริมาณมลพิษที่เกิดข้ึน ซึ่งมีลักษณะคลายกับฉลากโภชนาการอาหาร เปนสวนหนึ่งของอนุกรมมาตรฐาน ISO/TR 14025 เปนแนวทาง หลักการและขอกาํ หนดของวิธีการรบั รองผลติ ภัณฑท ่ีจะใชฉลากผลิตภณั ฑประเภทที่ 3 ภาพท่ี 2.8 ตัวอยา งฉลากสําหรับสนิ คาหรือบริการประเภทที่ 3 ท่ีมา : http://www.thaitextile.org
28 ฉลากประเภทท่ี 4 เปน ฉลากสง่ิ แวดลอ มท่บี ง ชี้ประเด็นดา นสิ่งแวดลอมของผลิตภัณฑ เชน ฉลากประหยัดไฟ หรือ Energy Star ในผลติ ภณั ฑเ ครอ่ื งใชไ ฟฟา ภาพท่ี 2.9 ตวั อยางฉลากสาํ หรบั สินคาหรอื บริการประเภทที่ 4 ที่มา : http://www.thaitextile.org 3.3 แนวทางการเลอื กสนิ คาที่เปนมติ รกบั สิ่งแวดลอม ผลิตภัณฑหรือสินคาทีเ่ ปน มติ รกบั สง่ิ แวดลอม ผบู ริโภค มีแนวทางการเลอื กสินคาทเ่ี ปน มติ รกับสง่ิ แวดลอ ม โดยพิจารณาคณุ สมบัตสิ ินคา ไดดงั นี้ 3.3.1 ใชวัสดุที่มีผลกระทบตอสิ่งแวดลอมนอย เชน วัสดุที่ไมมีพิษ วัสดุหมนุ เวยี นทดแทนได วัสดรุ ีไซเคิล และวสั ดุที่ใชพลงั งานต่ําในการจดั หามา 3.3.2 ใชวัสดุนอย เชน น้ําหนักเบา ขนาดเล็ก มีจํานวนประเภทของวัสดุนอยเชน มวี ัสดหุ ีบหอนอ ย มีการเสรมิ ความแข็งแรง เพือ่ ใหล ดขนาดลงได 3.3.3 มกี ารใชเ ทคโนโลยกี ารผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เชน ใชทรัพยากรและพลังงานอยางมีประสิทธิภาพในการผลิต ใชพลังงานท่ีสะอาด ลดการเกิดของเสียจากกระบวนการผลติ และลดข้นั ตอนของกระบวนการผลิต 3.3.4 มีระบบขนสงและจัดจําหนายที่มีประสิทธิภาพ เชน ลดการใชหีบหอบรรจภุ ัณฑท่ีฟมุ เฟอ ย ใชบรรจภุ ณั ฑท่ีทําจากวัสดทุ ี่ใชซ้ําหรือหมุนเวียนใชใหมได ใชรูปแบบการขนสง ทีก่ อผลกระทบตอสงิ่ แวดลอ มตํา่ และเลอื กใชเสนทางการขนสง ทป่ี ระหยัดพลงั งานท่สี ุด 3.3.5 ลดผลกระทบตอส่ิงแวดลอมท่ีเกิดในชวงการใชงาน เชนใชพลังงานต่ํา มีการปลอ ยมลพษิ ตํ่าในระหวางใชงาน ลดการใชว ัสดุส้ินเปลือง และลดการใชช ้นิ สว นทีไ่ มจ ําเปน 3.3.6 มคี วามคุมคาตลอดชวี ติ การใชงาน เชน ทนทาน ซอมแซมและดูแลรักษางา ย ปรบั ปรุงตอเติมได ไมต อ งเปลย่ี นบอ ย 3.3.7 มีระบบการจัดการหลังหมดอายุการใชงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เชนการเก็บรวบรวมท่ีกอผลกระทบตอส่ิงแวดลอมต่ํา มีการออกแบบใหนําสินคาหรือช้ินสวนกลับมาใชซ้ําหรือหมุนเวียนใชใหมไดงาย หรือหากตองกําจัดทิ้งสามารถนําพลังงานกลับคืนมาใชได และมคี วามปลอดภัยสาํ หรบั การฝง กลบ
29 3.3.8 การพิจารณาวา สนิ คา ใดเปนมิตรกับสิ่งแวดลอมควรพิจารณาวาสินคาน้ันสงผลกระทบตอส่ิงแวดลอมมากในชวงใดของวัฏจักรชีวิต เชน เครื่องใชไฟฟา จะกอผลกระทบมากในชวงใชงานมากกวาในชวงการผลิต และหากมีการลดผลกระทบในชวงดังกลาวใหนอยกวา สินคา อืน่ ทมี่ ลี ักษณะการทํางานเหมอื นกัน รวมท้งั ประเดน็ ดานส่งิ แวดลอมอ่นื ๆ ซ่ึงจะถือไดวาเปนสนิ คา ทีเ่ ปน มิตรกบั สง่ิ แวดลอ ม ดังนัน้ การพจิ ารณาเลอื กใชส นิ คาและบรกิ ารท่ีเปนมิตรตอสิง่ แวดลอ ม โดยใชหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นํามาพิจารณาใหรอบคอบ บนพื้นฐานความรูนั้น จะทําใหสามารถตัดสินใจเลือกใชสินคาและบริการน้ัน ๆ อยางมีเหตุมีผล พอประมาณ และมีภูมิคุมกันพิษภัยท่ีเกิดข้ึนกับวัสดุเหลือใชจากสินคาอุปโภคบริโภค ที่สงผลตอสุขภาพตนเองและเปนพิษตอ สงิ่ แวดลอ ม ผลิตภัณฑหรือสิ่งของเคร่ืองใชมากมายหลายชนิดทําใหมนุษยมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น แตอยางไรก็ตามเทคโนโลยีก็มีผลกระทบตอมนุษยหลายดาน เชน ทําใหเกิดมลภาวะ ทําลายสภาพแวดลอม ปญหาสังคม ความยากจน อาชญากรรม ปญหาเศรษฐกิจซึ่งปญหาเหลาน้ีจะตองแกไขโดยการมีจิตสํานึกของมนุษยทุกคนในการเลือกใชสิ่งของเคร่ืองใชอยางสรา งสรรค เลือกสิ่งของเครื่องใชที่เปนมิตรกับชีวิต สังคม และส่ิงแวดลอม มนุษยสามารถจะเปลยี่ นความคิด ลดความเห็นแกตัว การใชส ่ิงของที่เปนอันตรายตอส่ิงแวดลอมทําใหเกิดโทษมากกวาประโยชน ซ่ึงการแกปญหานอกจากจะใชกระบวนการเทคโนโลยีโดยการหาวิธีใหมๆแลวมนุษยทุกคนจะตองมีจิตสํานึกในการอนุรักษพลังงาน รวมถึงมีจิตสาธารณะคํานึงถึงประโยชนข องสวนรวมมากกวาประโยชนส วนตวั ใชส ่ิงของเลือกใชอยางสรางสรรค รูคุณคาและไมเกิดโทษตอ คนอ่ืน ๆ รวมถึงสังคม และกอ ใหเ กิดมลภาวะนอยทีส่ ดุ เปน ตน
30 กจิ กรรมทายหนว ยท่ี 2 หลงั จากทผ่ี ูเรียนศกึ ษาเอกสารชดุ การเรียนหนวยท่ี 2 จบแลว ใหผูเรียนคน ควาเพิม่ เติมจากแหลง เรยี นรตู าง ๆ แลวทํากิจกรรมการเรียนรหู นวยท่ี 2 ในสมุดบันทึกกิจกรรมการเรยี นรู แลวจัดสง ตามทผี่ สู อนกําหนด
31 หนว่ ยท่ี 3 การจัดการเศษซากวัสดุสาระสาคัญ วสั ดุทใี่ ชแ้ ล้วหรอื เศษซากวสั ดุจะถูกเรียกว่า “ขยะมูลฝอย” ในชีวิตประจาวันขยะมูลฝอยเริ่มทวคี ณู เพิม่ ปริมาณข้นึ เร่ือย ๆ เพ่อื ให้มปี ริมาณขยะท่ีลดนอ้ ยลง เราต้องมีการจัดการขยะมูลฝอยให้ถูกวธิ ี เพ่อื ลดผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ในปัจจุบันการจัดการขยะมลู ฝอยมหี ลากหลายวิธี เป็นการผสมผสานเพ่ือให้เป็นกระบวนการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการแกป้ ัญหาของขยะมูลฝอย การจัดการขยะมูลฝอยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง มีความยืดหยุ่นไม่มีรูปแบบที่ตายตัวข้ึนกับเง่ือนไขและปัจจัยด้านการจัดการขยะมูลฝอยของท้องถ่ินน้ันๆ เช่นพ้ืนที่หรือสถานท่ี ระดับการมีส่วนร่วมของชุมชน และ ในปัจจุบันวิธีการจากัดขยะอย่างง่าย ๆ ท่ีพบเหน็ มี 2 วธิ ี คือ โดยการเผาไหม้ และฝังกลบตวั ช้วี ัด 1. อธิบายหลกั สาคัญในการจัดการเศษซากวสั ดุ 2. บอกอตั ราเร็วในการยอ่ ยสลายเศษซากวัสดุ 3. อธิบายหลกั 3R ในการจัดการเศษซากวสั ดุ 4. ระบุประเภทของภาชนะรองรบั เศษซากวัสดุ 5. อธบิ ายเทคโนโลยีการกาจัดเศษซากวสั ดุขอบข่ายเนื้อหา 1. การจัดการเศษซากวสั ดุ 2. อตั รายอ่ ยสลายของเศษซากวัสดุ 3. หลกั 3R ในการจัดการเศษซากวสั ดุ 4. ภาชนะรองรับเศษซากวัสดุ 5. เทคโนโลยีการกาจัดเศษซากวสั ดุ
32 หน่วยที่ 3การจดั การเศษซากวัสดุเร่ืองที่ 1 การจดั การเศษซากวสั ดุ วัสดุที่ใชแ้ ล้ว หรอื เศษซากจากการใช้งาน หรือเศษซากท่หี ลงเหลือในขน้ั ตอนการผลติ จะถูกเรียกว่า “ขยะมลู ฝอย” ขยะมูลฝอยทเี่ ราพบเห็นในชวี ิตประจาวนั เกดิ จากบา้ นเรือน ตลาดสด สถานประกอบการ แหล่งทอ่ งเที่ยวในชุมชน รวมถึงสถานที่สาธารณะตา่ ง ๆเร่ิมทวีคูณเพ่ิมปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ เพ่ือให้มีปริมาณขยะทล่ี ดน้อยลง จงึ ต้องมีการจัดการขยะมูลฝอยใหถ้ กู วธิ ี เพ่ือลดผลกระทบทจ่ี ะเกิดขึ้นกับส่ิงแวดล้อมมากที่สุด ในปัจจบุ นั การจัดการขยะมูลฝอยมีหลากหลายวธิ ี เป็นการผสมผสานเพ่อื ให้เป็นกระบวนการท่ีเหมาะสมและมีประสทิ ธภิ าพในการแกป้ ัญหาของขยะมูลฝอย การจดั การขยะมูลฝอยข้ึนอยูก่ ับปจั จัยหลายอย่าง มคี วามยืดหยุ่นไม่มรี ูปแบบทต่ี ายตวั ข้นึ กบั เง่ือนไขและปัจจัยด้านการจัดการขยะมลู ฝอยของทอ้ งถ่นิ นัน้ ๆ เชน่พื้นทห่ี รือสถานท่ี ระดบั การมีสว่ นรว่ มของชุมชนในการลดและคดั แยกขยะมลู ฝอย สถานะทางการเงิน ความสามารถในการลงทนุ ของทอ้ งถิน่ การจัดการขยะมูลฝอย มีหลักการทีส่ าคัญ3 ประการ ดังนี้ 1) การเก็บรวบรวมและขนส่ง มวี ตั ถุประสงค์ เพ่อื ทจ่ี ะนาเอาขยะมลู ฝอยออกจากแหลง่ กาเนดิ เพอื่ ลดผลกระทบต่อสขุ อนามัยและสภาพแวดล้อม 2) กระบวนการใช้ประโยชนด์ ้วยวิธกี ารต่าง ๆ มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ การใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยในรปู แบบการนากลับมาใช้ใหม่ เช่น การทาปุ๋ย การนามาผลิตพลงั งาน หรอื จะนารูปแบบการลด คัดแยก และใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยให้เกิดประโยชน์สงู สุดโดยการใช้หลกั 3R คอื Reduce (ใช้นอ้ ย) Reuse (ใช้ซ้า) Recycle (นากลับมาใช้ใหม่)ตามความเหมาะสม 3) การกาจัด มีวัตถุประสงค์ เพื่อกาจัดส่วนท่ีเหลือจากการใช้ประโยชน์ ในปัจจบุ นั วิธกี ารจากดั ขยะอยา่ งง่าย ๆ มี 2 วธิ ี คือ (1) โดยการเผาไหม้ เปน็ การนาขยะไปเผาในเตาเผา แต่วิธีนี้จะก่อใหเ้ กิดปญั หา เพราะขยะบางชนิดเม่ือเผาแล้วทาให้เกดิ การเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์จะปล่อยก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ ซ่ึงเปน็ อนั ตรายและทาให้เกิดมลพษิ ทางอากาศ การเผาขยะจึงเปน็ สิ่งทพ่ี งึ ระวงั โดยท่ัวไปขยะจากบ้านเรอื นจะใชว้ ธิ กี ารเผามากทส่ี ดุ (2) โดยการฝังกลบ โดยท่ัวไปแล้ว ขยะจากบ้านเรือน ประมาณร้อยละ80 จะถูกนาไปเทในหลุมขนาดมหึมา เพ่ือทาการฝังกลบ แต่การฝังกลบ หลุมฝังกลบที่มีการจัดการท่ีดี จะต้องนาขยะเข้าเครื่องอัดให้แน่นเป็นแผ่นแบน ๆ แล้วทับถมด้วยดินท่ีสะอาด
33เพื่อป้องกนั สตั วต์ า่ ง ๆ เช่น สุนัข แมว หนู นก แมลงวัน มาขุดคุ้ย ขยะที่ถูกฝังจะมีแบคทีเรียมาช่วยย่อยสลาย ขยะที่ย่อยสลายได้น้ัน จะถูกย่อยสลายด้วยกระบวนการทางชีวภาพตามธรรมชาติ โดยมีปัจจัยประกอบด้วย แบคทีเรีย น้า ออกซิเจน และความร้อน หลุมฝังกลบจะต้องมีการป้องกันการไหลซึมของน้าเสียและเชื้อโรค เพราะขยะบางชนิดไม่สามารถย่อยสลายตวั ได้ เนื่องจากไมไ่ ดส้ ัมผสั กับออกซิเจนหรือนา้ เลย การกาจดั ด้วยวธิ นี ที้ าให้เกิดผลกระทบหลายอยา่ งตามมาเช่นกนั เน่ืองจากการเน่าเสียของขยะ ทาให้เกิดของเหลวท่ีเป็นพิษ ไหลซึมลงไปทาให้น้าใต้ดินเป็นพิษได้ นอกจากนั้นการเน่าเสียของขยะ ยังทาให้เกิดก๊าซมีเทน ซ่ึงมีผลทาให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ซ่ึงการฝังกลบแต่ละสถานท่ี เมื่อขยะเต็มแล้วจะต้องหาที่ใหม่ตอ่ ไปอีกเรื่อย ๆ ดงั นนั้ ต้องกาจัดขยะมูลฝอยให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ ด้วยการฝังกลบอย่างถกู หลกั สุขาภิบาล เพ่อื ป้องกันผลกระทบที่จะเกิดข้ึนตามมา ภาพท่ี 3.1 แสดงการกาจัดขยะมูลฝอยด้วยวธิ ีการฝังกลบ ทมี่ า : http://kanchanapisek.or.th
34เรือ่ งท่ี 2 อตั รายอ่ ยสลายของเศษซากวสั ดุ ในการกาจัดเศษซากวัสดุ หรือกาจัดขยะ หรือลดปริมาณการใช้วัสดุแต่ละชนิดนั้น มีข้อควรคานึง คือ อัตราเร็วในการย่อยสลายของวัสดุต่าง ๆ ซ่ึงวัสดุแต่ละชนิดมีอัตราเร็วของการย่อยสลายแตกต่างกัน บางชนิดอัตราเร็วการย่อยสลายต่ามาก และวัสดุบางชนิด เช่น แก้ว ก็ไม่สามารถย่อยสลายได้ ระยะเวลาการย่อยสลายตามธรรมชาติ อัตราเร็วของการย่อยสลายของขยะแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ดังนี้ 1. เศษพืชผัก ในการกาจัดเศษซากวัสดุจาพวกเศษพืชหรือเศษผัก ท่ีมาจากครัวเรือนหรือจากภาคเกษตรกรรมน้ัน ต้องใช้ระยะเวลาในย่อยสลายตามธรรมชาติ เป็นเวลานาน 5 ถึง 1 เดือนขน้ึ อยกู่ บั ขนาดของเศษพืชผกั 2. ใบไม้ ใช้ระยะเวลาย่อยสลายเปน็ เวลา 3 เดอื นเปน็ อย่างนอ้ ย 3. เศษกระดาษ ระยะเวลาย่อยสลายตามธรรมชาติของเศษกระดาษใช้ระยะเวลา 2 – 5เดอื น ขน้ึ อยกู่ บั ประเภทของกระดาษ 4. เปลอื กส้ม ระยะเวลาย่อยสลายตามธรรมชาติของเปลือกส้มใช้ระยะเวลานานถึง 6 เดือนเปน็ อยา่ งน้อย 5. กล่องนมเคลอื บพลาสตกิ ใชร้ ะยะเวลาย่อยสลายตามธรรมชาตินานถึง 5 ปี 6. กน้ กรองบหุ ร่ี ใช้ระยะเวลายอ่ ยสลายตามธรรมชาตนิ านถึง 12 - 15 ปี 7. รองเท้าหนงั ใชร้ ะยะเวลาย่อยสลายตามธรรมชาตินานถึง 25 - 40 ปี 8. กระป๋องอะลมู เิ นียม ใชร้ ะยะเวลาย่อยสลายตามธรรมชาตินานถงึ 80 - 100 ปี 9. ถุงพลาสตกิ ขวดพลาสตกิ ผา้ ออ้ มเด็กชนิดสาเรจ็ รปู ใช้ระยะเวลาย่อยสลายตามธรรมชาตินานถึง 450 – 500 ปี 10. โฟม ไมส่ ามารถยอ่ ยสลายได้เองตามธรรมชาติ
5 วัน – 1 เดอื น 3 เดอื น 35 เศษพืชผกั ใบไหม้ 2-5 เดือน เศษกระดาษ6 เดอื น 5 ปี 12-15 ปีเปลือกสม้ กล่องนมเคลอื บพลาสติก ก้นกรองบหุ รี่25-40 ปี 80-100 ปี 450 ปีรองเทา้ หนัง กระปอ๋ งอะลมู ิเนยี ม ถุงพลาสติก 450 ปี 500 ปี ไมย่ ่อยสลายขวดพลาสติก ผา้ อ้อมเด็กชนดิ สาเรจ็ รปู โฟมภาพที่ 3.2 ตารางภาพแสดงอตั ราเรว็ ในการย่อยสลายขยะมูลฝอย
36เรื่องที่ 3 หลกั 3R ในการจัดการเศษซากวสั ดุ การลดปริมาณขยะดว้ ยหลัก 3R ไดแ้ ก่ Reduce (ใช้น้อย) Reuse (ใชซ้ ้า) และRecycle (ผลติ ใช้ใหม่) ใช้เป็นแนวทางปฏบิ ัตใิ นการลดปริมาณขยะในครวั เรอื น โรงเรยี นและชุมชน ดงั น้ี 1. Reduce หมายถงึ การใชน้ อ้ ย หรอื ลดปรมิ าณการใช้ เช่น 1) หลกี เลยี่ งการใชอ้ ยา่ งฟุ่มเฟอื ย ลดปรมิ าณการใช้ให้อยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะลดปริมาณบรรจุภัณฑห์ ีบห่อทไี่ ม่จาเป็น ลดการขนขยะเขา้ บ้าน ไมว่ ่าจะเปน็ ถุงพลาสตกิถุงกระดาษ โฟม หรอื หนังสือพมิ พ์ เป็นต้น 2) เลือกใช้สินคา้ ท่ีมีอายกุ ารใช้งานสูงใช้ผลติ ภณั ฑช์ นดิ เติม เชน่ น้ายาล้างจานนา้ ยาปรบั ผ้านุ่ม ถ่านชนิดชารจ์ ได้สบเู่ หลว น้ายารดี ผา้ เปน็ ต้น 3) เลอื กบรรจภุ ัณฑ์ทีส่ ามารถนากลับมาใชใ้ หม่ได้ 4) คิดกอ่ นซอ้ื สนิ ค้า พจิ ารณาว่าส่ิงน้ันมีความจาเป็นมากน้อยเพียงใดหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมภี ายในบ้าน เช่น ยากาจัดแมลงหรือน้ายาทาความ สะอาดต่าง ๆ ควรจะหันไปใช้วิธีการทางธรรมชาติจะดีกว่า อาทิ ใช้เปลือกส้มแห้ง นามาเผาไล่ยุง หรือใช้ผลมะกรูดดับกลิ่นภายในห้องน้า 5) ลดการใช้กล่องโฟมหลีกเล่ียงการใช้โฟมและพลาสติกโดยใช้ถุงผ้าหรือตะกรา้ ในการจบั จ่ายซื้อ ของใชป้ นิ่ โต ใส่อาหาร 6) ลดการใชถ้ ุงพลาสติก ควรใช้ถงุ ผา้ หรอื ตะกร้าแทน ใช้ถงุ ผ้า ถกู วิธี ต้องไมม่ ี ถุงพลาสติก หลบอยขู่ า้ งในนะจ๊ะ . ภาพที่ 3.3 ภาพการรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติก
37 2. Reuse ใชซ้ า้ Reuse หมายถึง การใชซ้ า้ ผลติ ภณั ฑส์ ง่ิ ของต่าง ๆ เช่นใช้แกว้ น้าเซรามคิ หรอืแก้วใส ดว้ ยวิธีการใช้แลว้ ลา้ งนา้ ให้สะอาด สามารถนามาใช้ไดอ้ ีกครง้ั แทนการใช้แกว้ พลาสติกทต่ี อ้ งใช้แลว้ ตอ้ งทง้ิ นาถงุ พลาสตกิ ทใี่ ชแ้ ล้ว มาเป็นถงุ ขยะใชก้ ระดาษให้ครบท้ัง 2 หน้า บริจาคส่งิ ของเครื่องใช้ เสือ้ ผา้ ท่ีไม่ตอ้ งการให้ผอู้ นื่ ดดั แปลงวสั ดสุ ่ิงของเปน็ ของใชใ้ หม่เปน็ ต้น ภาพที่ 3.4 การลดปริมาณขยะดว้ ย Reuse โดยใช้แกว้ นา้ เซรามิค หรือ แกว้ ใส แทนแก้วพลาสติก หรอื แก้วกระดาษเคลอื บ นาสิ่งของมาดัดแปลงให้ใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น การนายางรถยนต์มาทาเก้าอ้ีการนาขวดพลาสตกิ มาดัดแปลงเปน็ ทใ่ี ส่ของ หรอื แจกัน การนาเศษผ้ามาทาเปลนอน เปน็ ตน้เกา้ อ้จี ากขวดน้า กระถางตน้ ไมจ้ ากรองเท้าเกา่ภาพท่ี 3.5 การนาสิง่ ของมาดัดแปลงใช้ประโยชน์ ท่มี า : http://www.naibann.com
38 3. Recycle การแปรรปู นากลบั มาใช้ใหม่ Recycle หมายถึง การรีไซเคิลหรือแปรรูปกลับมาใช้ใหม่ เพ่ือนาวัสดุท่ียังสามารถนากลับมาใช้ใหม่หมุนเวียนกลับมาเข้าสู่กระบวนการผลิตตามกระบวนการของแต่ละประเภทเพ่ือนากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดปริมาณขยะมูลฝอยแล้ว ยังเป็นการลดการใช้พลังงานและลดมลพิษท่ีเกิดกับส่ิงแวดล้อม ขยะรีไซเคิลโดยท่ัวไป แยกได้เป็น4 ประเภท คอื แกว้ กระดาษ พลาสติก โลหะ อโลหะ ส่วนบรรจุภัณฑ์บางประเภทอาจจะใช้ซ้าไมไ่ ด้ เชน่ กระป๋องอะลูมิเนียม หนังสือเก่า ขวดพลาสติก ซึ่งแทนที่จะนาไปทิ้ง ก็รวบรวมนามาขายใหก้ บั รา้ นรบั ซอื้ ของเก่า เพือ่ ส่งไปยังโรงงานแปรรูป เพื่อนาไปผลิตเป็นผลิตภณั ฑ์ต่าง ๆ ดงั นี้ 1) นาขวดพลาสติก มาหลอมเป็นเม็ดพลาสติก 2) นากระดาษใช้แล้วแปรรปู เป็นเย่อื กระดาษ เพื่อนาไปเป็นส่วนผสมในการผลิตเป็นกระดาษใหม่ 3) นาเศษแกว้ เก่ามาหลอม เพอ่ื ข้นึ รูปเปน็ ขวดแกว้ ใบใหม่ 4) นาเศษอลูมิเนียมมาหลอมข้ึนรูปเป็นแผ่น นามาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมรวมทงั้ กระป๋องอะลูมิเนยี ม ภาพที่ 3.6 การรีไซเคิลหรือการแปรรูปขยะนากลับมาใช้ใหม่ ทีม่ า : http://www.bantub.go.th
39เร่ืองที่ 4 ภาชนะรองรบั เศษซากวัสดุ เพื่อให้การจัดเก็บรวบรวมขยะมูลฝอย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปนเป้ือนของขยะมูลฝอยที่มีศักยภาพในการนากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ จะต้องมีการต้ังจุดรวบรวมขยะมูลฝอย และใหม้ ีการแบง่ แยกประเภทของถงั รองรับขยะมูลฝอยตามสีต่าง ๆ โดยมีถงุ บรรจภุ ายในถงั เพ่ือสะดวกและไม่ตกหล่น หรอื แพรก่ ระจาย ดงั น้ี ถังขยะมูลฝอยแบบแยกประเภท 1. สีเขียว รองรบั ขยะท่ีเน่าเสยี และยอ่ ยสลายได้ สามารถ นามาหมักทาปยุ๋ ได้เชน่ ผกั ผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ มีสญั ลักษณะท่ีถงั เปน็ รูปกา้ งปลาหรอื เศษอาหาร ภาพท่ี 3.7 ภาพแสดงถังขยะสเี ขยี วและสญั ลกั ษณ์ ทมี่ า : http://psu10725.com 2. สีเหลือง รองรับขยะที่สามารถนามารีไซเคิลหรือขาย ได้ เช่น แก้วกระดาษพลาสตกิ โลหะ ภาพที่ 3.8 ภาพแสดงถงั ขยะสเี หลืองและสัญลกั ษณ์ ทม่ี า : http://psu10725.com
Search