31 5.2 ข้อเสนอแนะ 5.2.1 ข้อเสนอแนะในกำรจดั กำรเรยี นกำรสอน 1. ผลการวิจัยช้ีให้เห็นว่า การสอนแบบผสมผสานนิรนัยและอุปนัยเป็นที่พึงพอใจ แต่ความสามารถทางด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนใน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 (จังหวัดสงขลาและสตูล) ยังอยู่ในระดับต่า ดังน้ันในระดับเขตพ้นื ที่และโรงเรียน ควรได้รับทราบปญั หาและร่วมมือกนั แก้ปัญหาอย่างเร่งดว่ น โดย อาจปรับรูปแบบการสอนไวยากรณ์เป็นแบบสอนรวมไวยากรณ์ในเน้ือหา กล่าวคือไม่แยกไวยากรณ์ ออกจากบริบทของการสอนทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน และไม่แยกการวัดผล ประเมินผลไวยากรณ์เป็นแบบสอบวัดจุดย่อย (Discrete-point test) ท้ังน้ีเพ่ือให้นักเรียนได้เห็นถึง ความสาคัญของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษว่าจาเป็นในทุกๆ ทักษะและสามารถนาความรู้เรอื่ งไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษไปใชไ้ ดอ้ ย่างถูกต้องในบริบทจริง 2. นักเรียนมีความรู้ไวยากรณ์ที่เป็นตัวช้ีวัดภาษาอังกฤษพื้นฐานของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ในระดับต่ากว่าคร่ึงท้ังหมด และระดับความ “ไม่รู้” ในแต่ละประเด็นมี ไม่เท่ากัน ดังนั้นครูจาเป็นต้องพิจารณาและวิเคราะห์ระดับความรุนแรงของปัญหาประกอบด้วย เพื่อนาไปพัฒนาการจัดการเรียนการสอนในด้านต่างๆ เช่น การออกแบบบทเรียน วิธีการนาเสนอ การประเมนิ ก่อน-หลงั เรยี น เป็นต้น 3. ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ด้านไวยากรณ์และระดับ ความสามารถในการอ่านและการเขยี น ซ่งึ อาจกล่าวได้วา่ หากความรู้ความเข้าใจทางด้านไวยากรณ์ต่า กจ็ ะส่งผลต่อทักษะอ่ืนๆ ทางภาษาอังกฤษดว้ ยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงทักษะการอ่านและการเขียน ดงั นั้นครผู ู้สอนอาจพฒั นาบทเรียน การสอน และการประเมนิ ผลให้สอดคลอ้ งกัน 4. ผลการวิจัยช้ีให้เห็นรูปแบบเทคนิค วิธีการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษท่ีครู ปัจจุบันนิยมใช้ว่า มีความพยายามที่จะเปล่ียนแปลงและผสมผสานวิธีการสอนระหว่างนิรนัยและ อุปนัย ทั้งน้ีเพราะผู้สอนตระหนักถึงรูปแบบ วิธีการสอน ปัญหาการเรียนไวยากรณ์ของผู้เรียน และต้องการให้ผู้เรียนสนใจเรียนไวยากรณ์มากข้ึน และวิธีการดังกล่าวเป็นท่ีพึงพอใจของนักเรียน ดังน้ันการพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้วิธีผสมผสานอุปนัยและนิรนัย อาจจะเหมาะสมกับการ จัดการเรียนการสอนในภาวะปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ดีครูควรคานึงถึงประสิทธิผลของวิธีการสอนท่ี เลอื กใชด้ ว้ ย 5. รูปแบบเทคนิค วิธีการสอนไวยากรณ์ที่นักเรียนพึงพอใจและต้องการเรียน มากท่ีสุด คือ สอนผ่านเกม เพลง เพ่ือนช่วยเพื่อน กิจกรรมกลุ่ม แสดงบทบาทสมมติ ใช้ส่อื ที่น่าสนใจ และอุปกรณ์จริงท่ีทันสมัย รูปแบบและวิธีการดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาการไม่สนใจเรียน
32 เพราะสามารถกระตุ้นความสนใจ เพิ่มแรงจูงใจ และสามารถปรับทัศนคติที่ดีในการเรียนไวยากรณ์ ของนักเรยี นได้ ดงั น้นั ครูควรใชเ้ ทคนคิ ทห่ี ลากหลาย นา่ สนใจ เหมาะกับเรื่องที่สอนและสภาพนักเรยี น เพื่อเปิดโอกาสให้นกั เรียนได้รบั ความรจู้ ากส่ิงที่เรียนอย่างเต็มท่ีและได้พัฒนาทักษะต่างๆ ในการเรียน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมากกว่าการให้ทาเพียงแบบฝึกหัดหรือการท่องจา ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีน่าเบ่ือสาหรับ นกั เรียน 5.2.2 ข้อเสนอแนะในกำรทำวิจยั ครัง้ ต่อไป วิจัยนี้พบปัญหาการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและประเด็น ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษที่นักเรียนระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 16 ยังไม่เรียนรู้ตามที่หลักสูตรกาหนด จึงขอเสนอแนะเพื่ออาจเป็นแนวทางในการศึกษาครั้ง ต่อไป ดังตอ่ ไปน้ี 1. ควรมีการศึกษาเก่ียวกับการพัฒนาโปรแกรมการเรียนการสอนไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษในประเด็นไวยากรณ์ท่ียังเป็นปัญหา เช่น Reported speech, Relative pronoun / clause และ conditional sentence เพ่อื กระตนุ้ ความสนใจผู้เรยี น และสามารถยกระดบั ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในทักษะการฟัง การพูด การอา่ น และการเขยี น 2. ควรมีการศึกษาปัญหาไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยภาพรวม เพื่อสามารถนามา แกป้ ญั หาไดถ้ ูกตอ้ งย่ิงขึ้น 3. ควรมีการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างอ่ืนในบริบทที่แตกต่างกัน เช่น ครู/นักเรียน ใน ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย ครู/นักเรียน โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มธั ยมศกึ ษาอ่นื ๆ และครู/นักเรียนระหวา่ งโรงเรียนของรฐั กับเอกชน เปน็ ต้น 4. ควรมีการศึกษาถึงสาเหตุท่ีทาให้นักเรียนได้คะแนนสูง/ต่า ในแต่ละประเด็นของ ไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ 5. ควรมีการศึกษาเชิงลึกต่อไปว่า เหตุใดผลสัมฤทธิ์ทางด้านของนักเรียนยังอยู่ใน ระดับต่า ท้ังๆท่ีครูใช้วิธีการสอนท่ีน่าสนใจ มีกิจกรรมการสอนที่หลากหลาย และนักเรียนมีความ พึงพอใจต่อรปู แบบ / วธิ ีการสอนดงั กลา่ ว
33 เอกสำรอำ้ งอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. เกศินี บารุงไทย. (2554). รายงานการวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดในการเขียนภาษาอังกฤษ ระดับย่อหน้าของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร. ดชั นคี วามสามารถทางภาษาอังกฤษ. (2015). การสารวจความสามารถทางภาษาองั กฤษของผู้ใหญ่ ในประเทศซงึ่ ไม่ใชเ่ จา้ ของภาษา. สืบค้นเมื่อ 30 กนั ยายน 2015, จาก http://www.ef.co.th/epi/regions/asia/thailand/. ชฎาพร วจนะคัมภรี ์. (2554). การศกึ ษาความร้ดู ้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นปร้ินสร์ อยแยล เชียงใหม่. สืบค้นเมอื่ 30 พฤษภาคม 2558, จาก http://www.prc.ac.th/Academic/TeacherResearchReport/ResearchDetail.php?ID=683 .2554. ธีราภรณ์ พลายเล็ก. (2555). เจตคติและความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษกับอาจารย์ ชาวต่างประเทศของนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏในเขตกรุงเทพมหานคร . กรุงเทพ มหานคร: มหาวิทยาลัยราชภั ฏ สวน สุนันท า สถาบันพั ฒ นาและวิจัย. นเรศ สุรสิทธ์ิ. (2547). English Grammar ไวยากรณฉ์ บบั สมบรู ณ์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เดือนตลุ า. ปองรตั น์ ศรีสืบ, และปัญชลี วาสนสมสิทธ์ิ. (2553). การศกึ ษาความตอ้ งการในการเรียนภาษาองั กฤษ เป็นภาษาท่ีสามของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามใน จังหวัดนราธิวาส. มหาวทิ ยาลยั นราธิวาสราชนครนิ ทร์, 2 (3), 84-98. ฟาฏนิ า วงศเ์ ลขา. (2553). พฒั นาภาษาองั กฤษ เตรียมเดก็ ไทยสอู่ าเซยี นและเวทโี ลก. สืบคน้ เมอ่ื 30 กันยายน 2558 จาก http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=21571&Key=hotnews. ลลิดา ภู่ทอง. (2553). รูปแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนประถมศึกษา เขต ภาคเหนือตอนบน. เชยี งใหม่: มหาวิทยาลยั แม่โจ.้ สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 16. (2557). รายงานผลการวิเคราะห์คณุ ภาพผ้เู รยี นใน มติ ิ O-NET ปีการศกึ ษา 2557.ม.ป.ท.
34 สุนี เทียน พึ่งเวียน, และคณะ. (2557). คู่มือครู รายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ SPRINT 3 ช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ.กรุงเทพฯ: บริษัท สานักพิมพ์เอม พันธ์ จากดั . Bloom, B.S. (1976). Human Characteristics and School Learning. New York: McGraw- Hill. Burgess, J., & Etherington, S.(2002). Focus on grammatical form: Explicit or implicit? System, 30: 433-458. Canale, M., & Swain, M. (1980). Theoretical bases of communicative approaches to second language teaching and testing. Applied Linguistics, 1, 1-47. Cowan, R. (2008). The teacher's grammar of English. New York: Cambridge University Press. Crystal, D. (1997). English as a global language. Cambridge: Cambridge University Press. De Wet, C. (2002). Factors influencing the choice of English as language of learning and teaching (LoLT)-A South African perspective. South African Journal of Education, 22: 119-124. Derewianka, B. (2008). A grammar companion for primary teachers.Sydney: PETA. Dickins, P.M.R., & Woods, E.G. (1988). Some criteria for the development of communicative grammar tasks. TESOL Quarterly, 22(3), 623-646. Ebsworth, M.E. & Schweers, C.W. (1997). What researchers say and practitioners do: Perspectives on conscious grammar instruction in the ESL classroom. Applied Language Learning, 8: 237-260. Hafiz, F. M., & Tudor, I. (1990). Graded Readers as an Input Medium in L2 Learning. System 18, 1: 31-42. Harmer, J. (1987).Teaching and Learning Grammar.London: Longman. Jakobovits, L. A. (1971). Foreign language learning: A psycholinguistic analysis of the issues.Rovley Mass: Newbury House. Kirkpatrick, A. (2010). English as a lingua franca in ASEAN: The multilingual model. Hong Kong: Hong Kong University Press. Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and psychological measurement, 30(3): 607- 610.
35 Long, Michael. H., & Richards, Jack. C. (1987). Methodology in TESOL, A Book of Readings, Newbury House Publishers, New York. McClure, E. S. (2006). Six middle school English language arts teachers' belief about grammar and their of grammar while participating in a professional community. Unpublished dissertation. Atlanta, Georgia: College of education, Georgia. Mccarthy, F. (2000). Lexical and Grammatical Knowledge in Reading and Listening Comprehension by Foreign Language Learners of Spanish. Applied Language Learning, 2000 (11), 323-348. Markley, T. (2004). Defining the effective teacher: Current arguments in education. Essays in education, 11(3): 1-14. Morelli, J. A. (2003). Ninth graders’ attitudes toward different approaches to grammar instruction.Unpublished dissertation.The graduate school of education, Fordham University, New York. Musigrungsi, M. (2002). An investigation of English grammar teaching in government secondary schools in educational region II. Thailand, Prince of Songkla University. Nunan, D. (2003).The impact of English as a global language on educational policies and practices in the Asia-Pacific region.TESOL Quarterly, 37(4): 589 - 613. Nunan, D. (2004). Task-based language teaching. Cambridge, UK ; New York: Cambridge University Press. Parrott, M. (2000). Grammar for English language teachers. Cambridge: Cambridge University Press. Peirce, B.N. (1989). Toward a pedagogy of possibility in the teaching of English internationally: People’s English in South Africa. TESOL Quarterly, 23(3):401- 420. Potgieter, A.P., & Conradie, S. (2013). Explicit grammar teaching in EAL classrooms: Suggestions from isiXhosa speakers’ L2 data. Southern African Linguistic and AppliedLanguage Studies, 31(1): 111-127.
36 Shanahan,T .(2013). Grammar and Comprehension: Scaffolding Student Interpretation of Complex Sentences. Retrived on May 25, 2015 From http://www.shanahanonliteracy.com/2013/12/grammar-and-comprehension- scaffolding.html Stevens, P. (1987). Language learning and language teaching: Towards an integrated model.George town University Press. Thornbury, S. (2000). How to teach grammar. Harlow: Longman. Uysal, H.H., & Bardakci, M. (2014). Teacher beliefs and practices of grammar teaching: Focusing on meaning, form, or forms? South African Journal of Education, 34 (1): 1-16. Zhang, Y. (2009). Reading to Speak: Integrating Oral Communication Skills. English Teaching Forum, 2009 (1): 32-34.
37 ภำคผนวก (1) เครื่องมือวิจยั ภำคผนวก ก แบบทดสอบควำมสำมำรถภำษำอังกฤษ
38 แบบทดสอบวัดระดบั ควำมสำมำรถภำษำอังกฤษ วิชำ ภาษาองั กฤษพ้ืนฐาน เวลำ 2 ชวั่ โมง ระดับช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 วันที่ ...... /................... /2558 _____________________________________________________________________ ช่อื -นามสกุล.........................................................................................................เลขที่………….. สถานท่สี อบ....................................................................................................ห้องสอบ………….. _____________________________________________________________________ คำอธิบำย 1. แบบทดสอบชุดน้ีแบง่ ออกเปน็ 3 ตอน ดงั น้ี ตอนที่ 1 ไวยากรณ์ (Grammar) จานวน 40 ขอ้ ( ข้อ 1-40 ) ตอนท่ี 2 ทกั ษะการอ่าน (Cloze test) จานวน 20 ข้อ ( ข้อ 41-60 ) ตอนที่ 3 ทักษะการเขียน (Writing) เขยี นเรียงความ 1 เรือ่ ง 2. เขยี นชือ่ – นามสกลุ เลขท่ีนง่ั สอบสถานทส่ี อบและห้องสอบบนกระดาษคาตอบ 3. ใชด้ ินสอ 2B ฝนลงในชอ่ งคาตอบ ถ้าต้องการเปลยี่ นตวั เลือกใหม่ให้ลบใหส้ ะอาดก่อนเปลีย่ น ตวั เลอื ก 4. ห้ามนาแบบทดสอบและกระดาษคาตอบออกจากหอ้ งสอบ
39 ตอนที่ 1: ไวยำกรณ์ (Grammar) จำนวน 40 ขอ้ / 40 คะแนน Directions: Choose the best answer. (จงเลือกคาตอบทถ่ี ูกต้อง) 1. It is the fact that the sun __________ 5. Please close __________ windows in the west and the moon__________ before you leave __________ room. around the earth. a. those, this b. this, that a. set, go b. sets, goes c. that, these d. these, those c. sets, is going d. set, goes 2. Hurry up! The bus __________.We are 6. An election for the going to have a good time. President__________ every four years in America. a. come b. comes c. are coming d. is coming a. is held b. is holding c. was held d. was holding 3. Tom can drive his car ___________ 7. If I were a millionaire, I_________ take here ___________ Hatyai within 1 hour. a trip around the world. a. from, by b. in, from a. will b. should c. to, from d. from, to c. would d. can 4. This orphan is a child__________ 8. Susan passed the midterm test parents were dead in the civil war. because she chose the answers__________. a. who b. whom c. whose d. which a. careful b. careless c. carefully d. carelessly
40 9. Mathematics __________ Kate's 14. The sentences ___________ in the favorite subject, while Science and letters had no mistakes in them. English __________ Patrick's favorite subjects. a. which Rosa wrote b. who Rosa wrote a. is, is b. is, are c. where Rosa wrote d. which wrote Rosa c. are, is d. are, are 10. Those __________ girls are actresses. 15. Paul and Michael went to their friend’s birthday party last night, ______? a. two beautiful slim b. beautiful slim two a. do they b. don’t they c. beautiful two slim d. slim two beautiful c. did they d. didn’t they 11. She ____ for this company ____ 2001. 16. This building was built quite _______. a. has worked, since b. has worked, for a. creating b. creative c. worked, for d. worked, since c. creatively d. creativity 12. Mario, __________ man we met last 17. The teacher________ punish him Sunday, is ___________ handsome man. if he_________ in class. a. talks, will b. will, talks a. a, an b. the, a c. talked, would d. would have, talked c. the, the d. a, the 13. Water pollution problem will _______ 18. My friend asked me how many books soon. I________ during the vacation. a. solve b. be solved a. have b. read c. be solving d. is solving c. have read d. had read
41 19. Mathematics ________ my favorite 24. Life ________easier for my family if subject when I was in high school. we were rich. a. was b. is a. would be b. had been c. were d. are c. is d. would have been 20. He is seriously ill. There’s_________ 25. He was caught by the teacher for hope that he will recover. cheating ____________the exam. a. few b. a few a. after b. near c. little d. a little c. during d. outside 21. This mobile phone brand 26. “I can run very fast”, said John. ___________ in China in 1984. John said that he _______ very fast. a. is made b. was made a. can run b. could run c. has been made d. will be made c. runs d. could have run 22. I lost ________ pen in the library. Can 27. For a delicious salad, fresh ingredients I borrow one of ________? and a large bowl ___________ essential. a. my, yours b. mine, yours a. is b. were c. my, your d. mine, your c. are d. had been 23. Jack is worried ________ the mid- 28. While Jasmin __________ breakfast term test because he thinks that he will with her family, the telephone_________. fail this time. a. has, rings b. was having, rang a. to b. on c. is having, rang d. was having, was c. of d. about ringing
42 29. The women, two of __________ were 34. She couldn’t check my homework, arrested while trying to cross the border. _________? a. who b. which a. can she? b. did she? c. whom d. whose c. could she? d. was she?’ 30. Paul never drinks too much, _______? 35. “Are you waiting for something a. doesn’t he? b. is he? special?”, asked Mary. c. isn’t he? d. does he? Mary asked me if I _______ for something special. a. am waiting b. have been waiting c. was waiting d. had been waiting 31. My goldfish__________by a 36. When we get ready for dinner, my neighbor’s cat last night. son has to take his telephone__________ the dining table. a. is eaten b. will be eaten c. was eaten d. has been eaten a. out of b. off c. on d. from 32. Somchai became a good student,___? 37. If it rains, the children _______ fishing. a. does he? b. did he? a. go b. wouldn’t go c. doesn’t he? d. didn’t he? c. won’t go d. wouldn’t have gone 33. A kangaroo is an animal ___________ 38. “I’ve been to Finland.” lives in Australia and carries its babies in its pouch. She told me that she _______ to Finland. a. which b. which is a. was b. has been c. which it d. where c. have been d. had been
43 39. The Mona Lisa is one of ________ 40. The large companies in our district, paintings in this museum. Hatyai ___________ a cheap source of a. beautifuler labor. b. more beautiful c. the most beautifully a. need b. needed d. the most beautiful c. needs d. have needed ตอนท่ี 2 : ทักษะกำรอำ่ น (Cloze test) จำนวน 20 ขอ้ / 20 คะแนน Directions: Choose the best answer. (จงเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สดุ ) Passage 1 (ข้อ 41-50) A desert is a special __________ (41) only certain kinds of plants and animals can survive. All deserts have very little water. This means that only animals and plants that can live without water __________ (42) long periods of time can exist in the desert. Plants in the deserts are particularly __________ ( 43) to the dry and hot environment. One well-known desert plant is the cactus. Like many desert plants, this plant has very tiny leaves. As plants lose most of their __________( 44) through their leaves, the small leaves of the cactus help to __________(45) water evaporation. There are some desert plants that do not have leaves at all. Some desert plants survive by __________ ( 46) the dry season altogether. During the dry season, this plant __________ ( 47) as a seed and does not__________ (48) from the soil at all. When the rains come, this seed would grow
44 very quickly into a plant. It would bloom rapidly and then scatter its seeds before the dry season returns.Desert animals have also learnt to adapt well to life in this area. The camel, for example, survives well in the desert because water can __________ ( 49) in its body. Other desert animals include rodents such as mice. These animals need very little water as they can get all the water they__________ (50) from their food. 41. b. spac 46. b. avoids a. region d. place a. avoid d. avoiding c. field c. avoided 42. b. for 47. b. remains a. since d. as a. remain d. has remained c. until c. is remained 43. b. adapts 48. b. emerge a. adapt d. adapting a. show d. withdraw c. adapted c. disappear 44. b. sweat 49. b. stored a. water d. oxygen a. store d. be storing c. breath c. be stored 45. b. cut off 50. b. store a. cut out d. cut down a. search d. require c. cut in c. supply
45 Passage 2 (ขอ้ 51-60) Dim sum is a Chinese light meal or brunch served with Chinese tea. It is eaten some time from morning to early afternoon with family or friends. Dim sum consists __________ ( 51) a wide spectrum of choices, from sweet to salty. It includes __________ ( 52) of meat, vegetables, seafood, as well as desserts and fruit. The various items are usually served in a small steamer basket or on a small plate, __________ (53) the type of dim sum. Here was the story of dim sum. Travelers on the __________ (54) Silk Road in China needed a place to takea nap, so teahouses were established along the roadside. Rural farmers, who were exhausted after working hard in the fields, would also go to teahouses for a __________ (55) afternoon tea. At first, it was considered inappropriate to __________ (56) tea with food because people believed it would _________ (57) to excessive weight gain. People later discovered that tea can aid in digestion, so teahouse owners began adding more variety ofsnacks, and the tradition of dim sum evolved. Nowadays, most people only have dim sum with tea. In Hong Kong, and most cities and towns in Guangdong province, __________ (58) Chinese restaurants start serving dim sum as early as five in the morning. It is a __________ (59) for the elderly to gather to eat dim sum and drink tea after morning exercises, often enjoying the morning newspapers. Nowadays, various dim sum items __________ (60) as take away for students and office workers on the go.
46 51. b. on 56. b. contain a. of d. out d. store a. separate c. in c. combine 52. b. ingredients 57. b. go a. mixture d. servings a. lead d. help c. recipes c. fail 53. b. depending of 58. b. little a. depending up d. depending on a. few d. many c. depending at c. much 54. 59. a. tradition b. celebration a. remote b. ancient c. occupation d. condition c. smooth d. classical 55. 60. b. are selling a. relax d. will be sold c. relaxing b. relaxed a. sell d. relaxation c. are sold
47 ชือ่ - นามสกลุ .................................................................................................เลขท.ี่ ...................... สถานทสี่ อบ.......................................................................................หอ้ งสอบ............................... ตอนท่ี 3: ทักษะกำรเขยี น (Writing) จำนวน 1 ข้อ / 30 คะแนน คำสง่ั : ใหน้ ักเรียนเขยี นเรยี งความเชงิ เรื่องเลา่ ตามหัวข้อทรี่ ะบุ โดยกาหนดความยาวประมาณ 8-10 บรรทัด My favorite trip ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ -----------------------------------------------Good Luck---------------------------------------------------------
48 ภำคผนวก (1) เคร่ืองมือวจิ ัย (ต่อ) ภำคผนวก ข แบบสอบถำมรปู แบบ เทคนิควธิ ีกำรจดั กำรเรียนกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ และปญั หำในกำรสอนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษ (สำหรับคร)ู
49 แบบสอบถำมสำหรับครู แบบสอบถำมรูปแบบ เทคนคิ วิธีกำรจดั กำรเรียนกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำอังกฤษ และปญั หำในกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ เรียน อำจำรยผ์ ู้สอนวชิ ำภำษำองั กฤษพนื้ ฐำนชนั้ มัธยมศกึ ษำปีที่ 3 แบบสอบถามนี้เป็นส่วนหน่ึงของการวิจัยโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษารูปแบบเทคนิควิธีการ จัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษท่ีใช้สอนอยู่ในปัจจุบันและปัญหาที่เก่ียวข้องกับการสอน ไวยากรณ์ ผลการวิจัยครั้งนี้จะทาให้ทราบข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ในการนาไปปรับปรุงคุณภาพการ จัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้นักเรียน คาตอบของท่านมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการเรียนการ สอนภาษาอังกฤษ ท้ังน้ีข้อมูลท่ีได้รับจากท่านผู้วิจัยจะเก็บเป็นความลับ โดยนาไปใช้เพื่อสรุปผลและ เสนอต่อสาธารณะเปน็ ภาพรวมเท่านั้น ผวู้ จิ ัยจึงใครข่ อความอนเุ คราะห์ โปรดตอบแบบสอบถามตามสภาพความเป็นจริงและครบทุก ข้อ ทง้ั น้ผี ู้วจิ ยั ขอขอบพระคุณผูต้ อบแบบสอบถามเปน็ อย่างสงู มา ณ โอกาสนี้ คำแนะนำ: โปรดทำเครื่องหมำย ลงในชอ่ งตัวเลขทต่ี รงกับควำมเหน็ ของทำ่ น ตอนท่ี 1 ตอนท่ี 2 1 หมายถงึ ใชว้ ธิ ีกำรดงั กล่ำวนอ้ ยท่สี ดุ 1 หมายถึง ระดับปัญหำน้อยท่ีสุด 2 หมายถงึ ใชว้ ิธกี ำรดังกล่ำวนอ้ ย 2 หมายถึง ระดับปญั หำน้อย 3 หมายถึง ใชว้ ิธกี ำรดังกล่ำวปำนกลำง 3 หมายถงึ ระดับปัญหำปำนกลำง 4 หมายถงึ ใชว้ ธิ ีกำรดังกลำ่ วมำก 4 หมายถงึ ระดับปัญหำมำก 5 หมายถึง ใชว้ ธิ กี ำรดังกล่ำวมำกท่ีสุด 5 หมายถึง ระดบั ปญั หำมำกที่สดุ
50 ตอนท่ี 1 : วิธกี ำรจดั กำรเรียนกำรสอนไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ ข้อ ในกำรสอนไวยำกรณ์ทำ่ นใช้วิธกี ำรสอน / กิจกรรมกำรสอนตอ่ ไปนี้ ระดับกำรใช้ ท่ี มำกน้อยเพียงใด 54321 1. ข้าพเจา้ สอนโดยเรม่ิ จากอธิบายหลักโครงสร้างไวยากรณแ์ ละยกตัวอย่าง ประโยคแลว้ ให้นักเรยี นทาแบบฝกึ หัด 2. ข้าพเจา้ สอนโดยเรมิ่ จากใหต้ ัวอยา่ งประโยคและวลีอยา่ งพอเพียงและให้ นักเรยี นชว่ ยกันสรปุ เป็นหลกั และกฎเกณฑ์แล้วจงึ ให้ทาแบบฝึกหดั 3. ขา้ พเจ้าสอนแทรกหลกั โครงสรา้ งไวยากรณ์ เม่ือมีโครงสร้างนั้นๆปรากฏ อยูใ่ นเนื้อหาหรอื กิจกรรมการเรยี นการสอน 4. ขา้ พเจ้าสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยใชเ้ ทคนคิ ตา่ งๆเพ่ือให้นักเรียน เขา้ ใจเนอื้ หาง่ายขน้ึ เช่น การยกตัวอย่าง การใชค้ าถาม เป็นต้น 5. ขา้ พเจา้ ให้นกั เรยี นพดู หรือเขียนประโยคหรือวลีในโครงสร้างภาษาที่ ต้องการซ้าหลายๆครง้ั จนจาได้ 6. ข้าพเจา้ ใหน้ ักเรยี นพดู หรอื เขียนประโยคหรือวลใี นโครงสร้างภาษาท่ี ต้องการซา้ หลายๆคร้งั จนจาได้แลว้ ให้ใชค้ าใหมเ่ ข้าเทียบแทน 7. ข้าพเจ้าใหน้ กั เรียนทารายงานเกีย่ วกบั หลักโครงสรา้ งไวยากรณใ์ นเรอ่ื งท่ี กาหนด 8. ขา้ พเจา้ ใช้ชดุ ฝกึ หรอื แบบฝกึ รูปแบบตา่ งๆให้นักเรียนไดฝ้ ึก 9. ขา้ พเจา้ ใหน้ กั เรยี นแปลประโยคจากภาษาไทยเปน็ ภาษาองั กฤษ เพอื่ ฝึก ใช้โครงสร้างประโยคทสี่ อน 10. ข้าพเจ้าให้นักเรียนแปลประโยคจากภาษาองั กฤษเปน็ ภาษาไทย เพื่อฝกึ ใชโ้ ครงสร้างประโยคที่สอน 11. ข้าพเจ้าอธบิ ายโครงสร้างไวยากรณท์ ีละประเดน็ อยา่ งละเอียด
51 ขอ้ ในกำรสอนไวยำกรณท์ ่ำนใช้วธิ กี ำรสอน / กิจกรรมกำรสอนตอ่ ไปน้ี ระดบั กำรใช้ ที่ มำกน้อยเพียงใด 54321 12. ขา้ พเจ้าให้นกั เรียนเขียนแตง่ ประโยคตามโครงสรา้ งทป่ี รากฏใน แบบฝกึ หัดในตาราเรยี น 13. ข้าพเจา้ ให้นักเรยี นเขียนประโยคสั้นๆอธิบายรปู ภาพโดยใช้ภาษาอังกฤษ อย่างอสิ ระ หลังจากนนั้ จึงช่วยสรปุ แกไ้ ขให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ 14. ข้าพเจ้าจัดสถานการณห์ รือเงื่อนไขการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษแลว้ จงึ ร่วมกนั สรุปเปน็ หลักไวยากรณ์ 15. ขา้ พเจ้าช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดด้านไวยากรณ์ในงานเขยี นรายบุคคล 16. ข้าพเจา้ ชว่ ยแก้ไขข้อผดิ พลาดด้านไวยากรณ์ในงานเขยี นรายกลุ่ม 17. ขา้ พเจ้าสอนไวยากรณผ์ ่านกจิ กรรมการเล่นเกมส์ 18. ข้าพเจ้าใช้ภาษาไทยในการอธิบายและสอนกฎไวยากรณ์ 19. ข้าพเจ้าใชภ้ าษาองั กฤษเป็นสื่อในการอธิบายและสอนกฎไวยากรณ์ 20. ข้าพเจ้าจดั กจิ กรรมโดยให้นักเรยี นนาประเดน็ ไวยากรณ์ไปฝกึ ใช้ในทักษะ อน่ื ๆ (ฟัง พดู อา่ น เขียน) 21. วธิ กี ารสอน / กจิ กรรมอ่นื ๆ ท่ีขา้ พเจา้ ใช้ (โปรดระบ)ุ 1. 2. 3.
52 ตอนท่ี 2 : ปญั หำที่ประสบในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษ ข้อ ขณะทีท่ ำ่ นสอนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษทำ่ นประสบปัญหำต่อไปนมี้ ำก ระดบั ปัญหำ ที่ นอ้ ยเพียงใด 54321 1. นักเรียนขาดแรงจงู ใจและมักคิดว่าไวยากรณ์เป็นเรอ่ื งน่าเบ่ือหน่าย 2. นักเรียนสามารถทอ่ งกฎไวยากรณ์ได้แตน่ าไปใช้ในทักษะอื่นไม่ได้ 3. ขา้ พเจ้ากลวั นกั เรยี นจะไมเ่ ขา้ ใจหากอธบิ ายเปน็ ภาษาอังกฤษ 4. ข้าพเจา้ มคี วามย่งุ ยากในการอธิบายให้นักเรียนเขา้ ใจหลักภาษาอังกฤษ 5. ข้าพเจา้ ต้องใชเ้ วลานานในการสอนไวยากรณ์เพื่อการเขียนภาษาองั กฤษ 6. กิจกรรมการสอนไมห่ ลากหลายเพราะต้องเน้นอธิบายกฎโครงสร้าง 7. กจิ กรรมการสอนไมเ่ น้นการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการสอื่ สาร เพราะ ข้าพเจ้าจาเป็นตอ้ งเนน้ กิจกรรมการสอนไวยากรณ์มากกว่าทักษะอ่นื ๆ เพื่อให้นักเรยี นสามารถทาข้อสอบวดั ผลระดบั ชาตไิ ด้ 8. ขา้ พเจา้ ขาดความรู้เก่ียวกบั เทคนิคการสอนหรือการจัดกจิ กรรมการฝกึ ไวยากรณ์ท่ีเหมาะสมกบั ผเู้ รยี น 9. ข้าพเจ้าขาดแหลง่ ความรูเ้ กีย่ วกบั เทคนิคการสอนหรอื การจัดกจิ กรรมท่ี เหมาะสมกบั ผเู้ รียน 10. ข้าพเจ้าขาดสือ่ อิเลก็ ทรอนิกสใ์ นการสอนภาษา เช่น คอมพิวเตอร์ อนิ เตอร์เน็ต 11. ขา้ พเจา้ ขาดทักษะในการใช้ส่อื ตา่ งๆ เช่น คอมพวิ เตอร์ อนิ เตอร์เน็ต 12. ขา้ พเจ้าไมส่ ามารถสร้างสอื่ การเรียนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษท่ีน่าสนใจได้ 13. ข้าพเจา้ ขาดความรู้ในการสร้างแบบทดสอบไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ 14. ข้าพเจา้ ขาดความมน่ั ใจในความรแู้ ละการใชไ้ วยากรณ์ภาษาอังกฤษใน บางประเด็น
53 ข้อ ขณะทที่ ำ่ นสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษทำ่ นประสบปัญหำตอ่ ไปนี้มำก ระดบั ปัญหำ ท่ี นอ้ ยเพียงใด 54321 15. ขนาดของช้ันเรียนหรอื จานวนของนักเรยี นมากเกินไปทาให้ข้าพเจา้ ไม่ สามารถจัดกจิ กรรมการสอนภาษาท่ีเหมาะสมกบั ผู้เรยี นได้ 16. ปัญหาอืน่ ๆ 1. 2. 3. ตอนที่ 3 : ขอ้ เสนอแนะ / ควำมคดิ เห็นอนื่ ๆ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ----------------------------------ขอขอบคุณเปน็ อย่ำงยิ่งทต่ี อบแบบสอบถำมค่ะ---------------------------
54 ภำคผนวก (1) เครอื่ งมือวจิ ยั (ต่อ) ภำคผนวก ค แบบสอบถำมควำมพึงพอใจตอ่ กำรจดั กำรเรียนกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ และควำมตอ้ งกำรเรยี นไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ (สำหรับนกั เรียน)
55 แบบสอบถำมสำหรับนักเรยี น แบบสอบถำมควำมพึงพอใจต่อกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ และควำมตอ้ งกำรเรยี นไวยำกรณภ์ ำษำอังกฤษ เรยี น นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษำปีที่ 3 แบบสอบถามนี้เป็นส่วนหน่ึงของการวิจัยโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อรูปแบบเทคนิค วิธีการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ใช้สอนอยู่ในปัจจุบัน ผลการวิจัยคร้ังน้ีจะทาให้ทราบข้อมูลที่ เปน็ ประโยชนใ์ นการนาไปปรบั ปรุงคุณภาพการจัดการเรยี นรู้ภาษาอังกฤษให้นกั เรียน คาตอบของท่านมีคณุ คา่ อยา่ ง ยิ่งต่อการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้รับจากท่านผู้วิจัยจะเก็บเป็นความลับ โดยนาไปใช้ เพื่อสรปุ ผลและเสนอตอ่ สาธารณะเปน็ ภาพรวมเทา่ นัน้ ผูว้ ิจยั จงึ ใคร่ขอความอนุเคราะห์ โปรดตอบแบบสอบถามตามสภาพความเปน็ จริงและครบทกุ ขอ้ ทั้งนี้ผวู้ จิ ัยขอขอบพระคุณผตู้ อบแบบสอบถามเป็นอยา่ งสูงมา ณ โอกาสน้ี คำแนะนำ: โปรดทาเครอ่ื งหมาย ลงในช่องตัวเลขท่ตี รงกับระดับความเห็นของท่าน ตอนท่ี 1 ควำมพงึ พอใจต่อวธิ กี ำรสอน ตอนท่ี 2 ควำมตอ้ งกำรเรียนไวยำกรณ์ 1 หมายถงึ ระดับควำมพอใจน้อยทส่ี ุด 1 หมายถึง ควำมต้องกำรระดับนอ้ ยท่ีสดุ 2 หมายถงึ ระดับควำมพอใจน้อย 2 หมายถงึ ควำมตอ้ งกำรระดับน้อย 3 หมายถึง ระดับควำมพอใจปำนกลำง 3 หมายถงึ ควำมตอ้ งกำรระดับปำนกลำง 4 หมายถงึ ระดบั ควำมพอใจมำก 4 หมายถึง ควำมต้องกำรระดับมำก 5 หมายถงึ ระดับควำมพอใจมำกที่สุด 5 หมายถงึ ควำมต้องกำรระดับมำกทีส่ ุด ตอนที่ 1: วิธีกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนและกิจกรรมกำรสอนของครผู ู้สอน ระดับควำมพอใจ 54321 ขอ้ ในกำรเรียนไวยำกรณ์นกั เรียนพึงพอใจกับวธิ ีกำรสอน / กิจกรรมกำร ท่ี สอนดังตอ่ ไปน้ีมำกนอ้ ยเพียงใด 1. ครสู อนโดยเรม่ิ จากอธบิ ายหลักโครงสรา้ งไวยากรณย์ กตัวอยา่ งประโยค แลว้ ใหน้ กั เรยี นทาแบบฝึกหัด
56 ขอ้ ในกำรเรยี นไวยำกรณ์นักเรยี นพงึ พอใจกับวธิ กี ำรสอน / กจิ กรรมกำร ระดบั ควำมพอใจ ที่ สอนดงั ต่อไปน้ีมำกน้อยเพียงใด 54321 2. ครสู อนโดยเริ่มจากใหต้ ัวอย่างประโยคและวลีอย่างพอเพียงและให้ นกั เรียนชว่ ยกนั สรปุ เปน็ หลกั และกฎเกณฑแ์ ล้วจงึ ให้ทาแบบฝึกหดั 3. ครูสอนหลักโครงสรา้ งไวยากรณ์โดยแทรกอยู่ในเน้ือหาและกิจกรรมการ เรยี นการสอน 4. ครูใหน้ กั เรียนพูดหรือเขียนประโยคหรือวลใี นโครงสร้างภาษาที่ตอ้ งการซา้ หลายๆครง้ั จนจาได้ 5. ครใู ห้นักเรยี นพดู หรอื เขียนประโยคหรอื วลใี นโครงสร้างภาษาที่ต้องการซ้า หลายๆคร้งั จนจาได้แล้วใหใ้ ชค้ าใหม่เข้าเทยี บแทน 6. ครูใหน้ ักเรยี นทารายงานเกยี่ วกบั หลกั โครงสรา้ งไวยากรณ์ในเรือ่ งที่กาหนด 7. ครใู ช้ชุดฝกึ หรือแบบฝึกรูปแบบตา่ งๆให้นกั เรยี นไดฝ้ ึกหัด 8. ครใู หน้ กั เรยี นแปลประโยคจากภาษาไทยเปน็ ภาษาอังกฤษ 9. ครอู ธิบายโครงสรา้ งไวยากรณ์ทีละประเดน็ อย่างละเอยี ด 10. ครูใหน้ ักเรียนเขยี นแต่งประโยคตามโครงสรา้ งที่ปรากฏในแบบฝึกหัดใน ตาราเรยี น 11. ครูใหน้ กั เรยี นเขยี นประโยคสั้นๆอธบิ ายรูปภาพโดยใชภ้ าษาองั กฤษอยา่ ง อิสระ หลังจากนนั้ ครจู ึงช่วยสรปุ แกไ้ ขใหถ้ ูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ภายหลัง 12. ครจู ัดสถานการณห์ รือเงื่อนไขการสื่อสารดว้ ยภาษาอังกฤษแล้วจึงร่วมกัน สรุปเปน็ หลกั ไวยากรณ์ 13. ครชู ่วยแกไ้ ขข้อผิดพลาดดา้ นไวยากรณใ์ นงานเขยี นรายบคุ คล 14. ครูช่วยแก้ไขขอ้ ผิดพลาดด้านไวยากรณใ์ นงานเขยี นรายกลุ่ม
57 ขอ้ ในกำรเรียนไวยำกรณน์ กั เรียนพึงพอใจกับวิธกี ำรสอน / กิจกรรมกำร ระดบั ควำมพอใจ ท่ี สอนดงั ต่อไปนี้มำกนอ้ ยเพียงใด 54321 15. ครสู อนไวยากรณผ์ า่ นกิจกรรมการเลน่ เกมส์ 16. ครูใชภ้ าษาไทยในการอธิบายและสอนกฎไวยากรณ์ 17. ครูใช้ภาษาอังกฤษเปน็ สือ่ ในการอธบิ ายและสอนกฎไวยากรณ์ 18. ครูจัดกิจกรรมโดยใชป้ ระเดน็ ไวยากรณ์ในการฝึกทักษะอื่นๆ (ฟัง พดู อ่าน เขยี น) 19. วิธกี ารสอน / กจิ กรรมอืน่ ๆท่ีครใู ช้ (โปรดระบุ) 1. 2. 3. ตอนที่ 2: ควำมต้องกำรในกำรเรียนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ ขอ้ ในกำรเรยี นไวยำกรณ์ท่ำนตอ้ งกำรใหค้ รใู ช้วธิ ีกำรสอน / กิจกรรมกำร ระดับควำมต้องกำร ท่ี สอนดงั ต่อไปนี้มำกน้อยเพียงใด 54321 1. ข้าพเจ้าต้องการเรยี นไวยากรณโ์ ดยเร่ิมจากการอธิบายหลกั โครงสรา้ ง ไวยากรณ์ ให้ตัวอย่างประโยค แล้วทาแบบฝกึ หัด 2. ขา้ พเจา้ ต้องการเรียนไวยากรณโ์ ดยเร่มิ จากการให้ดตู วั อย่างประโยค หลายๆประโยค และชว่ ยกันสรปุ เปน็ หลกั หรือกฎเกณฑ์แลว้ ทาแบบฝกึ หัด 3. ขา้ พเจ้าต้องการใหค้ รูแทรกการสอนไวยากรณใ์ นกิจกรรมการสอนเพ่ือการ ส่อื สาร ระดบั ควำมตอ้ งกำร
58 ข้อ ในกำรเรยี นไวยำกรณ์ทำ่ นตอ้ งกำรให้ครใู ช้วิธีกำรสอน / กิจกรรมกำร 5 4 3 2 1 ท่ี สอนดงั ตอ่ ไปน้ีมำกนอ้ ยเพียงใด 4. ข้าพเจ้าต้องการให้มีการฝึกพูดหรอื เขียนประโยคหรอื วลใี นโครงสรา้ ง ภาษาท่ตี อ้ งการซ้าหลายๆครง้ั จนสามารถจาได้ 5. ขา้ พเจา้ ต้องการใหค้ รูอธิบายโครงสรา้ งไวยากรณท์ ีละประเด็นอย่าง ละเอยี ด 6. ขา้ พเจ้าต้องการใหค้ รสู อนไวยากรณ์ผา่ นกจิ กรรมท่เี นน้ ความสนกุ สนาน เช่น เกม เพลง เปน็ ตน้ 7. ข้าพเจ้าต้องการฝึกเขยี นประโยคส้ันๆอธิบายรูปภาพโดยใช้ภาษาอังกฤษ อย่างอิสระเม่ือการเขยี นสาเร็จครชู ่วยสรุปแกไ้ ขไวยากรณ์ให้ถูกต้อง 8. ขา้ พเจา้ ต้องการให้ครูใช้ภาษาไทยในการอธบิ ายกฎ โครงสร้าง ไวยากรณ์ ภาษาองั กฤษ 9. ข้าพเจ้าต้องการให้ครูใช้ภาษาองั กฤษในการอธิบายกฎ โครงสรา้ ง ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 10. ขา้ พเจ้าต้องการฝกึ แปลจากภาษาองั กฤษเปน็ ภาษาไทย 11. ข้าพเจ้าต้องการฝกึ แปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ 12. ข้าพเจ้าต้องการใชค้ วามรูด้ า้ นไวยากรณใ์ นการฝกึ แตง่ ประโยคใหมๆ่ ดว้ ย ตนเอง แลว้ ครูตรวจแก้ไขข้อผิดพลาดใหถ้ ูกต้อง 13. ข้าพเจา้ ต้องการเรยี นไวยากรณผ์ ่านบทอ่านท่นี า่ สนใจ แล้วสรปุ กฎเกณฑ์ การใชภ้ ายหลัง 14. ขา้ พเจ้าต้องการเรยี นไวยากรณเ์ ฉพาะบางเร่อื งทสี่ ามารถนาไปใชไ้ ด้จริงใน ชวี ติ ประจาวัน 15. ข้าพเจา้ ต้องการให้มีการจดั กิจกรรมการสอนไวยากรณ์ในรูปแบบที่ หลากหลาย ไมน่ ่าเบ่ือ
59 ข้อ ในกำรเรยี นไวยำกรณ์ท่ำนตอ้ งกำรใหค้ รูใช้วธิ กี ำรสอน / กจิ กรรมกำร ระดับควำมตอ้ งกำร ท่ี สอนดงั ตอ่ ไปน้ีมำกนอ้ ยเพียงใด 16. ความตอ้ งการในวธิ ีการสอน / กิจกรรมการสอนอืน่ ๆ 54321 1. 2. 3. ตอนที่ 3 : ข้อเสนอแนะ / ควำมคดิ เห็นอ่นื ๆ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ -------------------------------ขอขอบคณุ เปน็ อยำ่ งย่ิงทตี่ อบแบบสอบถำมคะ่ -------------------------------
60 ภำคผนวก (1) เครือ่ งมือวจิ ัย (ต่อ) ภำคผนวก ง แบบสมั ภำษณร์ ปู แบบเทคนิควิธีกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ และปัญหำในกำรสอนไวยำกรณ์ภำษำอังกฤษ (สำหรบั คร)ู
61 แบบสมั ภำษณส์ ำหรบั ครู แบบสมั ภำษณร์ ูปแบบเทคนคิ วิธีกำรจดั กำรเรียนกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำอังกฤษ และปญั หำในกำรสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ 1. วิธีการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแบบใดท่ีทา่ นถนดั และพบว่าใช้ได้ผล เพราะเหตใุ ด ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 2. ท่านคิดว่าจาเป็นต้องสอนไวยากรณ์ดว้ ยเทคนิควิธีการสอนทหี่ ลากหลายหรือไม่ เพราะเหตุใด ในทางปฏิบตั ิสามารถทาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 3. นกั เรยี นทีท่ ่านสอนมีความรดู้ า้ นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษอย่ใู นระดับทีน่ ่าพอใจหรอื ไม่ นักเรยี นมี ปญั หาใดบา้ ง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
62 4. ทา่ นคดิ วา่ ความร้ดู า้ นไวยากรณ์มีความสมั พนั ธ์กบั การพัฒนาทกั ษะอ่ืนๆ (ฟัง พูด อา่ น เขียน) หรอื ไม่ เพยี งใด นักเรียนทเ่ี กง่ ไวยากรณจ์ ะเกง่ ในทักษะอื่นๆด้วยหรือไม่ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 5. ทา่ นคิดวา่ นักเรียนจะเรยี นร้ไู วยากรณ์โดยการสอนแบบไหนมากกวา่ กัน ระหวา่ ง แบบท่ี 1 การ อธบิ ายกฎ / โครงสร้าง ยกตัวอย่างและให้ทาแบบฝึกหัด และแบบที่ 2 ให้ฝกึ ใช้ประโยคทีม่ ีโครงสร้าง เปา้ หมาย และใหน้ ักเรียนสรุปกฎการใชภ้ ายหลงั ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 6. ทา่ นประสบปญั หาใดบ้าง ในการจัดการเรยี นการสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 7. ท่านมีวธิ กี ารแก้ปัญหาท่ปี ระสบใหผ้ า่ นพ้นไปไดอ้ ย่างไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------
63 ภำคผนวก (1) เครื่องมอื วิจัย (ต่อ) ภำคผนวก จ แบบสมั ภำษณ์ควำมพึงพอใจตอ่ เทคนิควิธีสอนไวยำกรณภ์ ำษำอังกฤษของครู และควำมต้องกำรเรียนไวยำกรณ์ภำษำองั กฤษ (สำหรบั นักเรยี น)
64 แบบสมั ภำษณน์ ักเรียน แบบสัมภำษณค์ วำมพึงพอใจตอ่ เทคนิควธิ ีสอนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษของครู และควำมตอ้ งกำรเรียนไวยำกรณภ์ ำษำองั กฤษ 1. นักเรียนคิดวา่ ความรดู้ ้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษสาคัญหรือไมเ่ พราะเหตใุ ด ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 2. นักเรียนคิดว่าสามารถนาความรู้ด้านไวยากรณ์ไปใช้ได้ในทักษะอื่นๆได้หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 3. เม่ือมกี ารสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษครใู ช้เทคนิคหรือกิจกรรมการสอนแบบใดบ้าง นักเรยี นเรียนรู้ ไวยากรณ์เพิ่มขึน้ หรือไม่ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
65 4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษหรือไม่ เพียงใด เพราะเหตใุ ด ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 5. นกั เรยี นต้องการใหค้ รสู อนไวยากรณภ์ าษาองั กฤษแบบอื่นๆดว้ ยหรอื ไม่ อยา่ งไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
66 ภำคผนวก (2) บทควำมวิจยั บทควำม 1 กาโสม หมาดเด็น, และนิสากร จารุมณี. (……). ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและ ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ค ว า ม ส า ม า ร ถ ด้ าน ไว ย าก ร ณ์ กั บ ทั ก ษ ะ ก า ร อ่ า น แ ล ะ ก าร เขี ย น . วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, _____ (อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ผู้ทรงคุณวฒุ ิ).
67 ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและความสมั พันธ์ ระหว่างความสามารถด้านไวยากรณ์กับทกั ษะการอ่านและการเขียน1 กาโสม หมาดเดน็ 2 Kasom Matden นิสากร จารุมณี 3 Nisakorn Charumanee บทคดั ย่อ งานวิจัยนีม้ ่งุ ศกึ ษาระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษและความสมั พันธ์ระหว่างความสามารถ ด้านไวยากรณ์กบั ทกั ษะการอ่านและการเขียนของนกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3 โรงเรียนสงั กดั สานกั งานเขตพืน้ ท่ี การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนีไ้ ด้แก่ นักเรียนจานวน 370 คน โดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจยั คือ แบบทดสอบความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ ทกั ษะการอ่านและทกั ษะการเขียน โดยอิงเกณฑ์การทดสอบตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( x ) ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าร้ อยละ และค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation) ผลการวจิ ัยพบวา่ 1)ความสามารถด้านไวยากรณ์ ทกั ษะการอ่านและทกั ษะการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนอย่ใู น ระดบั ต่า 2) ระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมีความสมั พันธ์ทางบวกกบั ทกั ษะการอ่านและทกั ษะการ เขียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดับ 0.01……………………………………………………………………… คาสาคัญ: ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ, ความสามารถด้านไวยากรณ์, ทกั ษะการอา่ น, ทกั ษะการเขียน Abstract The purposes of this study were to investigate students’ English grammar ability and its relationship with reading and writing skills at Matthayomsuksa 3 level in the Secondary Educational Service Area office 16 (SEA 1 6 ). The sample was 370 students selected by using the Krejcie and Morgan (1 9 7 0 ) sampling technique. The instrument was a test of English grammar, reading, and writing in which the test items were based on the Ministry of Education’s curriculum specification. The statistics used were mean ( x ), standard deviation (S.D.), percentage, and Pearson’s correlation. The results of this study were as follows: 1) the levels of students’ English grammar ability, reading and writing skills were low. 2) There were positive relationships between English grammar ability and reading skill, and between English grammar ability and writing skill. The correlation was significant at the 0.01 level.…………………………………………. ……………………. Keywords: English grammar, English grammar ability, reading skill, writing skill… … 1บทความนีเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของวิทยานิพนธ์เรื่อง “ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและการจัดการเรียนการสอน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 16 2นั ก ศึ ก ษ า ร ะ ดั บ ม ห า บั ณ ฑิ ต ส า ข า ก า ร ส อ น ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ เป็ น ภ า ษ า น า น า ช า ติ ค ณ ะ ศิ ล ป ศ า ส ต ร์ ม ห า วิ ท ย า ลัย ส งข ล า น ค ริ น ท ร์ วิ ท ย า เข ต ห า ด ให ญ่ .................................................................................................. 3รองศาสตราจารย์ ดร. ประจาภาควิชาภาษาและภาษาศาสตร์ คณ ะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตหาดใหญ่
68 บทนา ภาษาองั กฤษมีบทบาทสาคญั ในการสือ่ สารในชีวิตของคนไทย และผ้คู นทวั่ โลก ทงั้ ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และด้านอื่นๆ จึงเปรียบดง่ั ภาษานานาชาติ (International Language) ท่ีมีผ้คู นสว่ นใหญ่ นยิ มใช้เพ่ือสอ่ื สารระหวา่ งประเทศมากทส่ี ดุ ในปัจจุบนั (Crystal, 1997) จากบทบาทและความสาคญั ของการใช้ ภาษาองั กฤษดงั กลา่ ว ผ้ใู ช้ภาษาองั กฤษเพ่ือการสอ่ื สารในทกั ษะตา่ งๆ จาเป็ นที่จะต้องเรียนรู้ระบบโครงสร้างของ ภาษาองั กฤษอยา่ งแท้จริง ดงั ที่ Long and Richards (1987) ระบวุ า่ ไวยากรณ์เป็ นหวั ใจหรือแกนหลกั ของการ เรียนการสอนภาษาองั กฤษ ผู้เรียนภาษาท่ีสองและภาษาต่างประเทศ จาเป็ นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้ าง ไวยากรณ์เพราะไวยากรณ์เปรียบเสมือนโครงสร้างพนื ้ ฐานของการเรียนการสอนภาษาองั กฤษและเป็ นศนู ย์กลาง ของการเรียนรู้ภาษา สอดคล้องกับ นเรศ สรุ สิทธิ์ (2547) ท่ีกลา่ วว่า การใช้ภาษาที่ถกู ต้องเป็ นส่ิงท่ีสาคญั มาก โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในการอา่ นและเขียนซึง่ เน้นความรู้ ความเข้าใจท่ีถกู ต้องทางด้านหลกั ภาษาและไวยากรณ์ มากกว่าการฟังและการพดู ทงั้ นีผ้ ้เู รียนภาษาองั กฤษท่ีมีพืน้ ฐานไวยากรณ์ดี จะสามารถเรียนภาษาองั กฤษ ทงั้ การพดู การอา่ น และการเขียนได้เร็วกว่าและดีกวา่ ผ้ทู ี่ไม่รู้หรือรู้ไวยากรณ์องั กฤษน้อย ดงั นนั้ นกั เรียนจาเป็ นต้อง มีความรู้ด้านไวยากรณ์เป็ นพืน้ ฐานสาคญั เพราะไวยากรณ์เป็ นเคร่ืองมือสาคญั ในการสนบั สนนุ การส่ือสาร ทงั้ 4 ทกั ษะ คือ ฟัง พดู อา่ น และเขยี นของนกั เรียนทกุ ระดบั ชนั้ (Parrott, 2000) และดงั เชน่ Canale and Swain (1980) ระบวุ า่ ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกบั กฎเกณฑ์และโครงสร้างทางภาษามีความสาคญั เทา่ กบั ความถกู ต้อง ในการใช้ภาษา (Accuracy) จงึ สรุปได้ว่า การมีความรู้ด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษท่ีดี มีความเก่ียวข้องสมั พนั ธ์ ต่อการพฒั นาทกั ษะอ่ืนๆ และย่อมจะสามารถต่อยอดและพฒั นาไปสรู่ ะดบั ท่ีสงู ขึน้ ทงั้ ทกั ษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพต่อไป ด้วยเหตนุ ีใ้ นการจดั การเรียนการสอน ครูจาเป็ นต้องสอนกฎโครงสร้าง อยา่ งละเอียดและถกู ต้อง (Burges and Etherington, 2002; Ebsworth and Schweers, 1997; Potgieter and Conradie,2013) ถึงแม้ว่าหลกั สตู รการเรียนการสอนของประเทศไทยจะให้ความสาคญั กบั วิชาภาษาองั กฤษและการ พฒั นาทกั ษะดงั กลา่ ว แต่ผลสมั ฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกบั ทกั ษะภาษาองั กฤษยงั อย่ใู นระดบั คอ่ นข้างต่า ดงั จะเห็นได้ จากผลการสารวจความสามารถทางภาษาองั กฤษตงั้ แตป่ ี 2009-2015 ของบริษัท Education First ซงึ่ เป็ นผ้นู า ด้านการเรียนตอ่ ตา่ งประเทศ และการแลกเปลย่ี นวฒั นธรรมทว่ั โลก ทไี่ ด้จดั อนั ดบั ระดบั ทกั ษะความสามารถด้าน ภาษาองั กฤษ จากแบบทดสอบวดั ระดบั (Placement test) ที่มีการวดั ทงั้ ความสามารถด้านไวยากรณ์ คาศพั ท์ การอ่าน และการฟังผลปรากฏว่า ประเทศไทยมีผลคะแนนอยู่ในระดับต่ามากติดต่อกันจนถึงปั จจุบัน (ดชั นีความสามารถทางภาษาองั กฤษ, 2015) และย่งิ ไปกว่านนั้ ผลคะแนนการทดสอบทางการศกึ ษาแหง่ ชาติขนั้ พืน้ ฐาน (Ordinary National Educational Test : ONET) พบว่า คะแนนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนท่ัว ประเทศตงั้ แตป่ ี การศกึ ษา 2555-2557 มคี า่ คะแนนเฉลยี่ อยทู่ ร่ี ้อยละ 28.71, 30.35 และ 27.46 ตามลาดบั ซงึ่ ถือ วา่ ตา่ กวา่ เกณฑ์การประเมนิ ทสี่ ถาบนั การทดสอบทางการศกึ ษาแหง่ ชาติ (สทศ.) กาหนดไว้ ทงั้ ยงั สอดคล้องกบั รายงานผลการวิเคราะห์คุณภาพผู้เรียนในมิติ O-NET ปี การศึกษา 2557 ของสานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 16 ซึ่งได้เปรียบเทียบผลการทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาติขนั้ พืน้ ฐาน ปี การศกึ ษา 2556- 2557 ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ในระดบั ประเทศ ระดบั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐานและระดับ
69 สานกั งานเขตพนื ้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 16 พบว่าระดบั ประเทศ มีค่าคะแนนเฉลยี่ วิชาภาษาองั กฤษอยทู่ ่ี 30.35 และ 27.46 ตามลาดบั ซง่ึ มีค่าคะแนนพฒั นาเท่ากบั -2.89 ระดบั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน มีค่าคะแนนเฉล่ียวิชาภาษาองั กฤษอย่ทู ่ี 29.99 และ 27.90 ตามลาดบั ซ่ึงมีค่าคะแนนพฒั นาเท่ากับ 2.90 และระดบั สานกั งานเขตพนื ้ ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 16 มคี า่ คะแนนเฉลยี่ วิชาภาษาองั กฤษอยทู่ ่ี 31.29 และ 27.70 ตามลาดบั ซง่ึ มีคา่ คะแนนพฒั นาเท่ากบั -3.59 จากผลดงั ที่ได้กลา่ วมาชีใ้ ห้เห็นว่า คา่ คะแนนเฉลีย่ และค่าคะแนนพฒั นาของวิชาภาษาองั กฤษอย่รู ะดบั ต้องปรับปรุงในทุกระดับ จึงจาเป็ นอย่างย่ิงที่ควรเร่งรัด พัฒนาทักษะต่างๆ ทางด้ านภาษาอังกฤษ (สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16, 2557) จากความสาคญั ของทกั ษะด้านไวยากรณ์ทส่ี ง่ ผลตอ่ การพฒั นาทกั ษะภาษาองั กฤษด้านอ่ืนๆ และจาก ภาวะวิกฤติโดยรวมของคะแนนพฒั นาวชิ าภาษาองั กฤษของสานักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 16 จึงจาเป็ นต้องศึกษาความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษซึ่งเปรียบเสมือนแกนหลกั ของการพัฒนา ความสามารถทางภาษาอังกฤษว่าอยู่ในระดับใดและส่งผลต่อการพัฒนาทักษะอื่นๆ ในปัจจุบันหรือไม่ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ทกั ษะการอา่ นและการเขยี น แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ท่ีเก่ยี วข้อง 1. นิ ยามไวยากรณ์ ภ าษ าอังกฤษ และความสาคั ญ ของการส อน ไวยากรณ์ ภ าษ าอั งกฤษ ผ้เู ช่ียวชาญด้านไวยากรณ์หลายทา่ น ได้ให้นิยามไว้สอดคล้องกนั ซงึ่ สรุปได้วา่ ไวยากรณ์ คอื กฎเกณฑ์ ของภาษา ซ่ึงรวมถึง เสียง คาศัพท์ กลุ่มคาประโยค หลักการใช้ คา และการจัดวางคาเข้ าด้ วยกัน ให้ เป็ นรูปประโยคที่สามารถส่ือสารกันได้ อย่างเข้าใจ(Harmer, 1987; Thornbury , 2000; Cowan, 2008) Dickins and Woods (1988) ได้กล่าวถึงความสาคัญของไวยากรณ์ไว้ว่าถ้าขาดความรู้ด้านระบบ ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษแล้วผ้ทู ีเ่ รียนภาษาองั กฤษเป็ นภาษาทส่ี องจะไมเ่ กิดความเข้าใจและไมส่ ามารถสอื่ สารใน ระดบั สงู ได้ จึงกล่าวได้ว่าไวยากรณ์เป็ นเคร่ืองมือท่ีช่วยให้การส่ือสารประสบผลสาเร็ จและยังเป็ นตัวบ่งชีถ้ ึง สว่ นประกอบท่ีสาคญั ที่สดุ ในการใช้ภาษาอังกฤษในทกุ ทักษะทงั้ ฟัง พูด อ่าน เขียน เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพ สงู สดุ และอาจสรุปได้วา่ ไวยากรณ์เป็ นเสมือนบรรทดั ฐานของรูปแบบการใช้ภาษาซงึ่ เป็ นหลกั และแนวทางให้กบั ผ้ใู ช้หรือผ้เู รียนภาษานนั้ ๆว่าจะพดู หรือเขยี นอยา่ งไรกฎระเบียบหลกั การทาให้ผ้เู รียนสามารถจดจาและสามารถ นาภาษาไปใช้งานได้จริง โดยยึดไวยากรณ์เป็ นหลกั ในการส่ือสารและทาความเข้าใจในการใช้ภาษาองั กฤษ ดงั นนั้ ไวยากรณ์จึงเปรียบเสมือนโครงของบ้านท่ีเป็ นฐานสาคญั ของการพฒั นาทกั ษะการส่ือสารฟัง พูด อ่าน และเขียน อนั เป็ นจดุ มงุ่ หมายหลกั ของการเรียนภาษาองั กฤษ 2. ความสมั พันธ์ระหว่างความสามารถด้านไวยากรณ์และการพัฒนาทักษะอ่ืนๆ (ฟัง พดู อ่าน เขยี น) Nunan (2004) กลา่ วว่า การเรียนรู้รูปแบบโครงสร้ างภาษาเป็ นสิ่งสนบั สนุนความสามารถในการนา ภาษาไปใช้ได้ถกู ต้องตามกฎบรรทดั ฐานของภาษา กลา่ วคือหากผ้เู รียนภาษามีความรู้หรือความสามารถด้าน ไวยากรณ์ในระดบั ดี ก็จะสามารถใช้ภาษาองั กฤษทงั้ ในทกั ษะการฟัง การพดู การอา่ น และการเขยี นได้ดเี ช่นกนั สอดคล้องกบั ท่ี Canale and Swain (1980) และ Zhang and Min-Yan (2009) ระบวุ า่ สง่ิ ท่เี ป็ นปัจจยั สาคญั ใน การพูดให้ประสบผลสาเร็จ คือ ความรู้ด้านคาศัพท์และไวยากรณ์ การรู้โครงสร้ างไวยากรณ์ดีช่วยให้ผู้พูด
70 สามารถเข้าใจรูปแบบของคา ประโยคและสามารถคิดสร้างประโยคได้ถกู ต้องตามหลกั ไวยากรณ์ ทงั้ ยงั สามารถ พดู ส่ือสารได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่ (Fluency) และใช้ภาษาอย่างถูกต้อง (Accuracy) สาหรับบทบาทไวยากรณ์ใน การอ่าน กลา่ วคือผ้เู รียนจะสามารถเข้าใจบทอ่านได้ดีขนึ ้ หากมีความรู้ความเข้าใจในหลกั ไวยากรณ์ดี เพราะ ไวยากรณ์ช่วยให้ผ้อู ่านสามารถมองเห็นหน้าที่ของคา โครงสร้างประโยค ซึ่งชว่ ยให้การอ่านมีประสทิ ธิภาพมาก ขนึ ้ (Mccarthy, 2000) และสาหรับในการเขียน ไวยากรณ์สนบั สนนุ การเขียนเป็ นอย่างย่ิง เพราะหากผ้เู รียนมี ความรู้และแม่นยาในการใช้ไวยากรณ์ ก็จะช่วยให้ผ้เู รียนคิด วิเคราะห์ และประเมินการใช้คา ทัง้ ยงั สามารถใช้ ไวยากรณ์ที่เหมาะสมในงานเขยี น (Derewianka, 2008) จากความสาคญั ดงั กลา่ ว มงี านวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง เชน่ ชฎาพร วจนะคมั ภีร์ (2554) ทาการศกึ ษาเก่ียวกบั ระดบั ความรู้พืน้ ฐานด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษของนกั เรียนระดับชัน้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนปริน้ ส์รอย แยลสว์ ิทยาลยั จงั หวดั เชียงใหม่ จานวน 285 คน ผลการวิจยั พบวา่ นกั เรียนสว่ นใหญ่มีความรู้พนื ้ ฐานไวยากรณ์ ภาษาองั กฤษอย่ใู นระดบั ต่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ผ้วู ิจยั กาหนดไว้ เนื่องจากผลการวเิ คราะห์ข้อมลู แสดงให้เห็น วา่ กล่มุ ตวั อย่างที่ผ่านเกณฑ์ คิดเป็ นร้ อยละ 27.0 และกล่มุ ตวั อย่างไม่ผ่านเกณฑ์ คิดเป็ นอตั ราร้ อยละ 73.0 สว่ นคะแนนจากแบบทดสอบวดั ระดบั ความรู้ด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ กลมุ่ ตวั อย่างมีคะแนนเฉลีย่ เท่ากับ 14.46 ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 7.78 ข้อสรุปที่ได้จากงานวิจยั นีค้ ือ เม่ือผ้เู รียนมีพืน้ ฐานไวยากรณ์ต่าจึงไม่ สามารถเข้าใจภาษาองั กฤษได้ดีเช่นกนั เชน่ ไมส่ ามารถเข้าใจในบทอา่ นภาษาองั กฤษ เป็ นต้น นอกจากนไี ้ ด้แสดงให้เหน็ ถึงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความสามารถด้านไวยากรณ์ การอา่ นและการเขียน เชน่ Hafiz and Tudor (1990) โดยทดลองใช้กิจกรรมการอา่ นแบบกว้างขวางสองครัง้ โดยใช้ระยะเวลาสนั้ ๆ ใน ประเทศองั กฤษและปากีสถาน ผลการวิจยั พบว่า ผ้เู รียนภาษาองั กฤษเป็ นภาษาที่สองหรือภาษาตา่ งประเทศ สามารถนาความรู้ด้านคาศพั ท์ โครงสร้าง ที่ได้เรียนรู้จากการอ่าน ไปใช้ในงานเขียนของตนเองได้ ซ่ึงสรุปได้วา่ ผ้เู รียนอาจนาความรู้ ประสบการณ์ทไี่ ด้จากการอา่ นถ่ายโอนไปสทู่ กั ษะเขียน แสดงให้เห็นถงึ ความเชื่อมโยงของ การปรับใช้ทกั ษะตา่ งๆ จากการเรียนรู้ภาษาองั กฤษจนเกิดประสทิ ธิผล ดังนัน้ จึงอาจสรุปได้ว่า ความสามารถด้านไวยากรณ์เป็ นปัจจัยพืน้ ฐานในการพัฒนาทักษะอ่ืนๆ กลา่ วคือ เม่ือผ้เู รียนสามารถเข้าใจหลกั การใช้ไวยากรณ์ดี ก็จะสามารถนาไปสกู่ ารใช้ และการพฒั นาทกั ษะตา่ งๆ ทงั้ ในด้านการฟัง พดู อา่ น และเขียน ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพตอ่ ไป วัตถุประสงค์การวจิ ัย งานวจิ ยั นมี ้ งุ่ สารวจระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษของผ้เู รียน และความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งความสามารถด้านไวยากรณ์กบั ทกั ษะการอา่ นและการเขียน โดยมคี าถามวจิ ยั ดงั นี ้ 1. นกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3 มีความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษระดบั ใด 2. ระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์มีความสมั พนั ธ์กบั ความสามารถด้านการอา่ นและการเขยี น หรือไม่
71 วธิ ีดาเนินการวิจยั 1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ประชากรท่ีใช้ในงานวจิ ยั ครัง้ นี ้คือ นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 3 จานวน 10,753 คน ซ่งึ อยใู่ นโรงเรียน สงั กดั สานกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 16 (จงั หวดั สงขลาและจงั หวดั สตลู ) กลมุ่ ตวั อยา่ งที่ใช้ใน งานวิจยั ครัง้ นี ้คือ นกั เรียนมธั ยมศึกษาปี ที่ 3 จานวน 370 คน ซ่งึ ได้มาจากการสมุ่ กลมุ่ ตวั อย่าง โดยใช้ตาราง การกาหนดขนาดสดั ส่วนของกล่มุ ตัวอย่างของ Krejcieand Morgan (1970) จากนนั้ ใช้วิธีการส่มุ อย่างง่าย (simple random sampling) โดยให้กลมุ่ ตวั อยา่ งอาสาสมคั รเข้าร่วมงานวิจยั ตามจานวนเป้ าหมาย 2. เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั เคร่ืองมือและการพฒั นาเคร่ืองมอื เครื่องมือทใี่ ช้ในการวิจยั ครัง้ นี ้คือ แบบทดสอบความสามารถภาษาองั กฤษ ซ่ึงสร้างขนึ ้ โดยการศึกษา จากหลกั สตู รและตวั ชีว้ ดั วชิ าภาษาองั กฤษพืน้ ฐานของนกั เรียน ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3 แบบทดสอบแบง่ เป็ น 3 ตอน ดงั ตอ่ ไปนี ้ ตอนท่ี 1 : ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เป็ นข้อสอบแบบปรนยั ชนิดเลือกตอบจานวน 40 ข้อโดยผ้วู ิจยั มี จุดประสงค์วัดระดบั ความรู้ความเข้าใจด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษแบบเจาะจงประเด็น (discrete points) ใช้เวลาสอบ 40 นาที โดยมีประเด็นดงั ตอ่ ไปนี ้ ข้อ จานวน ข้อ จานวน ท่ี ประเดน็ ไวยากรณ์ ข้อ คะแนน ท่ี ประเดน็ ไวยากรณ์ ข้อ คะแนน 1. Tense 44 6. Subject verb 44 agreement 2. Determiner 44 7. Reported speech 44 3. Voice 44 8. Preposition 44 4. Question Tag 44 9. Conditional 44 5. Relative pronoun/clause 4 4 10. Modifier 44
72 ตอนที่ 2 : ทกั ษะการอ่าน (Cloze tests) เป็ นข้อสอบแบบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 2 เรื่องๆละ 10 ข้อ รวมทงั้ สิน้ 20 ข้อ โดยผู้วิจัยมีจุดประสงค์เพ่ือทดสอบความเข้าใจในบทอ่านและโครงสร้ าง ไวยากรณ์จากเนอื ้ เรื่องโดยมจี านวนข้อทีท่ ดสอบด้านเนอื ้ หาและด้านไวยากรณ์เทา่ ๆกนั ใช้เวลาสอบ 30 นาที ตอนท่ี 3 : ทกั ษะการเขียน เป็ นข้อสอบแบบอตั นยั ให้นกั เรียนเขยี นเรียงความเชิงเร่ืองเลา่ ตามหวั ข้อท่ี ระบุ คอื My favorite trip โดยกาหนดความยาวประมาณ 8-10 บรรทดั และใช้เวลาในการเขยี นภายใน 50 นาที หวั ข้อทก่ี าหนดนอี ้ งิ กบั หลกั สตู รตามระดบั ของนกั เรียน โดยมเี กณฑ์การประเมนิ งานเขยี นท่ีปรับจากเกณฑข์ อง O’Malley และ Pierce (1996) และคมู่ ือครู รายวชิ าภาษาองั กฤษ SPRINT 3 (2557) ดงั ตารางตอ่ ไปนี ้ เกณฑ์การประเมนิ ความสามารถด้านการเขียน ประเดน็ 9-10 ระดบั คุณภาพ / ระดบั คะแนน คะแนน การ 7-8 5-6 3-4 1-2 รวม ประเมิน 1. เนือ้ หา เนือ้ หา เนือ้ หาสอดคล้อง เนือ้ หาสอดคล้อง เนือ้ หา เนือ้ หาไม่ 10 สอดคล้องกบั กบั หวั ข้อที่เขียน กบั หวั ข้อท่เี ขียน สอดคล้อง สอดคล้องกบั หวั ข้อทีเ่ ขียน หรือเร่ืองท่ีกาหนด หรือเร่ืองที่ กบั หวั ข้อที่ หวั ข้อท่เี ขียน หรือเรื่องท่ี เป็นส่วนใหญ่ มี กาหนดในระดบั เขียนหรือ หรือเร่ืองที่ กาหนด ใจความสาคญั ที่ พอใช้ มีใจความ เร่ืองที่ กาหนด ไม่ ทงั้ หมด มี ชดั เจนสมบรู ณ์ใน สาคญั ที่ชดั เจน กาหนด สามารถจบั ใจความ ระดบั คอ่ นข้างดี สมบรู ณ์ในระดบั เลก็ น้อย ใจความสาคญั สาคญั ที่ ปานกลาง สามารถจบั ได้ ชดั เจน ใจความ สมบรู ณ์ สาคญั ได้ บางประเดน็ 2. การ งานเขียนมี งานเขียนมีการ งานเขียนมีการ งานเขียนมี งานเขียนไมม่ ี 10 เ รี ย บ การเรียบเรียง เรียบเรียง ลาดบั เรียบเรียง ลาดบั การเรียบ การเรียบเรียง เรียงความ ลาดบั เนือ้ หา เนือ้ หาได้ตอ่ เน่ือง เนือ้ หาได้ตอ่ เน่ือง เรียง ลาดบั ลาดบั เนือ้ หาได้ คดิ ได้ตอ่ เน่ือง เป็นสว่ นใหญ่ มี ในระดบั พอใช้ มี เนือ้ หาได้ อย่างตอ่ เน่ือง ทงั้ หมด มี ความน่าสนใจและ ความน่าสนใจ อยา่ ง ไมม่ ีความ ความนา่ สนใจ น่าตดิ ตามในระดบั และนา่ ตดิ ตามใน ตอ่ เน่ือง น่าสนใจและนา่ และน่า คอ่ นข้างดี ระดบั ปานกลาง เล็กน้อย มี ตดิ ตาม ตดิ ตามใน ความ ระดบั ดมี าก นา่ สนใจและ นา่ ตดิ ตาม ในระดบั ต่า
73 ประเดน็ 9-10 ระดับคุณภาพ / ระดับคะแนน คะแนน การ 7-8 5-6 3-4 รวม ประเมิน 1-2 ใช้ไวยากรณ์ ใช้ไวยากรณ์ ใช้ไวยากรณ์ ใช้ไวยากรณ์ ใช้ไวยากรณ์ 10 ถกู ต้องเป็นส่วน ถกู ต้องในระดบั และ/หรือ และ/หรือสะกด ถกู ต้อง ใหญ่และ/หรือไม่มี พอใช้ และ/ สะกดคาผดิ คาผิดเป็ น ข้อผดิ พลาดในการ หรือไม่มี เกนิ กวา่ 5 จานวนมาก ทงั้ หมดและ สะกดคาเล็กน้อย ข้อผิดพลาดใน แหง่ หรือไมเ่ กนิ 3 แหง่ การสะกดคาปาน 3. การใช้ ไม่มี กลาง หรือไมเ่ กิน ภาษา ข้อผดิ พลาด 5 แหง่ ในการสะกด คา รวม 30(100%) ช่วงคะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ 90 ขนึ ้ ไป 70–89 ระดบั คุณภาพ 50–69 ความสามารถด้านการเขียนอย่ใู นระดบั ดีมาก 30–49 ความสามารถด้านการเขียนอยใู่ นระดบั ดี ≥ 29 ความสามารถด้านการเขียนอยใู่ นระดบั พอใช้ ความสามารถด้านการเขียนอยใู่ นระดบั น้อย ความสามารถด้านการเขียนอย่ใู นระดบั น้อยมาก การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมอื เครื่องมือท่ใี ช้ในการวิจยั ครัง้ นี ้ได้รับการตรวจสอบคณุ ภาพความเท่ียงตรง (Content validity) ทางด้าน ภาษา เนือ้ หา จากผ้เู ชี่ยวชาญได้คา่ ดชั นีความสอดคล้องระหว่าง 0.8 – 1.00 นาแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try out) กบั นกั เรียน ระดบั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3 สงั กดั สานกั งานการศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 16 ทไี่ มอ่ ยใู่ นกลมุ่ ตวั อยา่ ง และนาผลมาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (P) มีค่าเท่ากบั 0.4 และค่าอานาจจาแนก (R) มีค่าเท่ากับ 0.20 ซงึ่ หมายความวา่ เคร่ืองมอื ทงั้ หมดมคี า่ ความเช่ือมนั่ สงู
74 3. วิธีการเกบ็ ข้อมลู ผ้วู ิจยั ดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู ตามขนั้ ตอนดงั นี ้ 1. ทาหนงั สอื ถงึ ผ้อู านวยการโรงเรียน ครู และแจ้งนกั เรียน โรงเรียนกลมุ่ ตวั อยา่ งเพ่ือติดตอ่ ขอความ ร่วมมอื ในการเก็บข้อมลู ประกอบการวจิ ยั 2. นดั หมายวนั เวลาดาเนนิ การทดสอบกบั นกั เรียนกลมุ่ ตวั อยา่ ง จานวน 370 คน จากโรงเรียนกลมุ่ ตวั อยา่ ง 10 แหง่ โดยขอทดสอบในคาบเรียนรายวิชาภาษาองั กฤษพืน้ ฐานหรือคาบที่เหมาะสม โดยครูผ้สู อนและผ้วู ิจยั เป็ นผ้คู มุ สอบ ทงั้ นีก้ ารนดั หมายเรื่องวนั เวลาและสถานท่ีในการจัดสอบ เป็ นไปตามความสะดวกของแตล่ ะโรงเรียน 3. ดาเนนิ การทดสอบระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษของนกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษา ปี ท่ี 3 ในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2558มีนกั เรียนกลมุ่ เป้ าหมายเข้ารับการ ทดสอบทงั้ สนิ ้ จานวน 370 คน 4. รวบรวมข้อมลู ที่ได้จากกล่มุ ตวั อย่าง โดยแยกเป็ นความสามารถในด้านการอา่ น การเขียน และ ด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เพ่อื นามาวเิ คราะห์ข้อมลู 4. การวเิ คราะห์ข้อมลู ผ้วู ิจยั ได้รับแบบทดสอบความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษคืนมา 258 ฉบบั คิดเป็ นร้อยละ 69.72 จากนนั้ ดาเนินการตรวจข้อสอบดงั นี ้ 1) ผ้วู ิจยั ตรวจข้อสอบไวยากรณ์ (40 ข้อ) และทกั ษะการอ่าน (20 ข้อ) ซ่ึงเป็ นข้อสอบปรนยั ด้วยตนเอง 2) อาจารย์ระดบั มหาวิทยาลยั ซึ่งเป็ นผ้เู ชี่ยวชาญด้านการสอนทกั ษะการ เขยี น จานวน 2 ทา่ น เป็ นผ้ตู รวจข้อสอบเรียงความ ตามเกณฑ์การประเมนิ ทเี่ ป็ นข้อกาหนดของงานวิจยั นี ้ผ้วู ิจยั นาผลคะแนนที่ได้จากการตรวจของทงั้ สองท่านมาหาค่าความสมั พนั ธ์ พบว่าการให้คะแนนเป็ นไปในทิศทาง เดียวกัน (r=0.58) หลงั จากนนั้ ดาเนินการวิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพ่ือคานวณค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ( x ) ค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และคา่ สมั ประสทิ ธิ์สหสมั พนั ธ์แบบเพียร์สนั เพ่ือหาคา่ ระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และค่าความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้ านไวยากรณ์ ภาษาองั กฤษกบั ทกั ษะการอา่ นและการเขียนของนกั เรียน
75 ผลการวจิ ยั การศกึ ษาความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3 โรงเรียนในสงั กดั สานกั งานเขตพนื ้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 16 ปรากฏผลดงั ตอ่ ไปนี ้ 2. ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ทกั ษะการอ่านและทักษะการเขยี น แผนภมู ิ 1 ระดบั ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ (N=258) 100.00 Scores (%) 90.00 80.00 70.00 60.00 50.00 46.32 37.21 45.25 37.31 31.49 41.67 30.43 48.06 37.02 44.09 39.88 40.00 30.00 20.00 10.00 .00 จากแผนภูมิ 1 ผลการวิจัยชีใ้ ห้เห็นว่า ในภาพรวมนักเรียนระดับชัน้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 3 ในสังกัด สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาเขต 16 มีระดบั คะแนนความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษอยู่ ในระดบั น้อย(ร้ อยละ 39.88) และเมื่อพิจารณารายประเด็น จะเห็นได้วา่ ประเด็นที่นกั เรียนได้คะแนนสงู สดุ คือ Preposition (ร้ อยละ 48.06) รองลงมาคือ Tense (ร้ อยละ 46.32) และประเด็นท่ีได้ คะแนนน้ อยที่สุดคือ Reported speech(ร้ อยละ 30.43)ระดับคะแนนไวยากรณ์ ดังกล่าวแสดงให้ เห็นถึงภาวะที่เป็ นปั ญหา เนือ่ งจากคะแนนทงั้ โดยภาพรวมและประเดน็ ยอ่ ย ตา่ กวา่ คร่ึงคอ่ นข้างมาก
76 แผนภมู ิ 2 ระดบั ความสามารถด้านการอ่าน (N=258) 30.00 Scores (%) 28.37 25.87 25.00 23.37 Grammar Total 20.00 15.00 10.00 5.00 .00 Content จากแผนภูมิ 2 พบว่าในภาพรวมนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ในสังกัดสานักงานเขตพืน้ ท่ี การศึกษามธั ยมศกึ ษาเขต 16 มีคะแนนระดบั ความเข้าใจในบทอ่าน อยใู่ นระดบั น้อยมาก (25.87%) และเมื่อ วิเคราะห์แยกประเด็นพบว่า ความเข้าใจด้านเนือ้ หา (content) อยู่ที่ระดับร้ อยละ 23.37 และความรู้ด้าน โครงสร้างไวยากรณ์ในเนอื ้ หา อยทู่ ่ีร้อยละ 28.37 เทา่ นนั้ แผนภมู ิ 3 ระดบั ความสามารถด้านการเขียน (N=258) 50.00 Scores (%) 43.70 39.55 40.00 21.38 34.88 Total 30.00 20.00 10.00 .00 การเรียบเรียงความคดิ การใช้ภาษา เนือ้ หา จากแผนภูมิ 3 พบว่าในภาพรวมความสามารถในการเขียนของนักเรียน ระดับมธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ในสงั กดั สานกั งานเขตพนื ้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศกึ ษาเขต 16 มีผลคะแนนอยใู่ นระดบั น้อย (ร้อยละ 34.88) และเม่ือ พิจารณาแตล่ ะประเดน็ ของงานเขียนพบวา่ นกั เรียนมีผลคะแนนด้านเนอื ้ หามากท่ีสดุ (ร้อยละ 43.70) รองลงมา คือประเด็นการเรียบเรียงความคิด (ร้อยละ 39.55) ส่วนประเด็นด้านการใช้ภาษาหรือไวยากรณ์ มีผลคะแนน น้อยทส่ี ดุ ( ร้อยละ 21.38)
77 2. ความสัมพนั ธ์ระหว่างความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษกบั ทักษะการอ่านและทกั ษะ การเขียน ตาราง 2 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษกบั ทกั ษะการอา่ นและทกั ษะการเขยี น ความสัมพนั ธ์ระหว่างคะแนนไวยากรณ์กับ คะแนนการอ่าน คะแนนการเขียน คะแนนการอ่านและการเขียน R p-value R p-value .405** 0.00 .372** 0.00 คะแนนไวยากรณ์ หมายเหต:ุ **มีระดบั นยั สาคญั ทางสถิติที่ 0.01 จากตาราง 2 ผลการวิจยั พบวา่ ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษมคี วามสมั พนั ธ์ทางบวกกบั คะแนนการอ่านและคะแนนการเขียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r=.405, p-value=0.00 และ r=.372, p-value=0.00) ซึ่งหมายความว่าหากนักเรียนมีคะแนนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษสูงก็มีแนวโน้มว่า คะแนนการอ่านและคะแนนการเขียนจะสูงด้วยในทางตรงกันข้าม หากนักเรียนมีคะแนนไวยากรณ์ต่าก็มี แนวโน้มจะทาให้นกั เรียนมคี ะแนนการอา่ นและคะแนนการเขียนตา่ ด้วยเชน่ กนั สรุปและอภปิ รายผลการวจิ ัย จากผลการวจิ ยั สามารถสรุปและอภิปรายผลประเด็นสาคญั ได้ดงั นี ้ 1. ความสามารถด้านไวยากรณ์ ทักษะการอ่านและทักษะการเขยี นภาษาอังกฤษ ผลการวิจยั สามารถสรุปได้ว่า โดยภาพรวม นกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 ในสงั กดั สานกั งานเขต พนื ้ ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษาเขต 16 (จงั หวดั สงขลาและสตลู ) มคี วามสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ ด้าน ทกั ษะการอา่ นและทกั ษะการเขียนในระดบั น้อย กลา่ วคอื ไวยากรณ์ ร้อยละ 39.88 การอา่ น ร้อยละ 25.87 และ การเขียน ร้อยละ 34.88 ซง่ึ นบั วา่ เป็ นระดบั ทค่ี อ่ นข้างวกิ ฤติ และเมอ่ื พิจารณาความรู้ไวยากรณ์ท่ีใช้ในทกั ษะการ อ่านหรือการใช้ความรู้ไวยากรณ์เพื่อการเขียนพบว่า อย่ใู นระดบั ท่ีต่ามากเช่นกัน (ร้ อยละ 28.57 และร้อยละ 21.38 ตามลาดบั ) ผลการวิจัยนีส้ อดคล้องกับผลการวิจัยของชฎาพร วจนะคมั ภีร์ (2554) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับ ระดบั ความรู้พืน้ ฐานด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษของนกั เรียนระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนปริน้ ส์รอย แยลวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จานวน 285 คน และพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้พืน้ ฐานไวยากรณ์ ภาษาองั กฤษอย่ใู นระดบั ต่ากวา่ เกณฑ์มาตรฐานท่ีผ้วู ิจัยกาหนดไว้ ซง่ึ เม่ือผ้เู รียนมีพืน้ ฐานไวยากรณ์ต่า ทาให้ ความสามารถในการเข้าใจภาษาองั กฤษน้อยลงเช่นกัน เช่น นกั เรียนไม่สามารถอ่านสื่อการเรียนการสอนท่ีมี คาอธิบายเป็ นภาษาองั กฤษได้ เน่ืองจากไมเ่ ข้าใจความหมาย เป็ นต้น
78 2. ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษกับทักษะการอ่านและ ทกั ษะการเขียน ผลการวิจยั แสดงให้เห็นวา่ ความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาองั กฤษมีความสมั พนั ธ์กับทกั ษะการ อา่ นและทกั ษะการเขียนของนกั เรียน ซง่ึ สามารถอธิบายได้วา่ หากนกั เรียนมีคะแนนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษสงู ก็มีแนวโน้มว่าคะแนนการอ่านและคะแนนการเขียนจะสูงด้วย ในทางตรงกันข้าม หากนักเรียนมีคะแนน ไวยากรณ์ต่าก็มีแนวโน้มจะทาให้นกั เรียนมีคะแนนการอา่ นและคะแนนการเขียนต่าด้วยเช่นกัน สอดคล้องกับ นเรศ สุรสิทธิ์ (2547) ท่ีกล่าวว่า ผู้เรียนภาษาอังกฤษที่มีพืน้ ฐานทางด้านไวยากรณ์ดี ก็จะสามารถเรียนรู้ ภาษาองั กฤษทงั้ ทกั ษะการพูด การอา่ น และการเขียน ได้ดีกวา่ หรือเร็วกวา่ ผ้ทู ่ีไม่รู้หรือรู้ไวยากรณ์องั กฤษน้อย สอดคล้องกบั Shanahan (2013) ท่ีระบวุ า่ ความรู้ด้านการใช้โครงสร้างไวยากรณ์ เป็ นองค์ประกอบสาคญั ทจ่ี ะ ช่วยให้นกั เรียนรู้ถึงลกั ษณะประโยคและเข้าใจประโยคที่อา่ น ทาให้ประสบความสาเร็จในการอา่ นมากขนึ ้ ทงั้ นี ้ Hafiz and Tudor (1990) ระบวุ า่ ผ้เู รียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ ประสบการณ์จากการเรียนภาษาองั กฤษถ่าย โอนไปส่ทู กั ษะการอ่านและการเขียนได้ และเช่นเดียวกับ เกศินี บารุงไทย(2554) (อ้างถึงใน Siriluck, 1983) กลา่ วว่า จาเป็ นอย่างยิง่ สาหรับผ้เู รียนภาษาองั กฤษเป็ นภาษาท่ีสองหรือภาษาตา่ งประเทศควรฝึ กฝนทกั ษะการ เขียนอย่างสม่าเสมอ เพราะการฝึ กเขียนเป็ นประจาจะทาให้ผ้เู รียนเกิดความเคยชินกับกฎเกณฑ์ หน้าที่ของ ภาษา และกลวธิ ีการเขียนในรูปแบบตา่ ง ๆ ข้อเสนอแนะ 1. ผลการวิจัยชีใ้ ห้เห็นว่า ความสามารถทางด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ในสงั กดั สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต 16 (จังหวดั สงขลาและสตูล) อย่ใู น ระดบั ที่เป็ นปัญหา จาเป็ นต้องปรับปรุง และแก้ไข ดงั นนั้ ในระดบั เขตพืน้ ที่และโรงเรียน ควรได้รับทราบปัญหา และร่วมมือกนั แก้ไขอยา่ งเร่งดว่ น 2. นกั เรียนมีความรู้ไวยากรณ์ท่ีเป็ นตวั ชีว้ ดั ภาษาองั กฤษพนื ้ ฐานของนกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3 ในระดบั ต่ากวา่ ครึ่งทงั้ หมด และระดบั ความ ”ไมร่ ู้” ในแต่ละประเด็นมีไม่เท่ากนั ดงั นนั้ ในการสอนหรือพฒั นา สอื่ การสอน จาเป็ นต้องพิจารณา ระดบั ความรุนแรงของปัญหาประกอบด้วย 3. ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงความสมั พนั ธ์ระหว่างความรู้ด้านไวยากรณ์และระดบั ความสามารถใน การอ่านและการเขียน ซงึ่ อาจกลา่ วได้ว่าหากความรู้ความเข้าใจทางด้านไวยากรณ์ต่า ก็จะสง่ ผลตอ่ ทกั ษะอื่นๆ ทางภาษาองั กฤษด้วยเชน่ กนั โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงทกั ษะการอ่านและการเขียน ดงั นนั้ หากผ้เู รียนควรมีโอกาสได้ เรียน Integrated skills ซงึ่ เป็ นการใช้ภาษาเหมือนสถานการณ์จริง ให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้และมีประสบการณ์ การใช้ไวยากรณ์ในบริบท ซงึ่ จะช่วยให้สามารถนาความรู้ไปปรับใช้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพมากขนึ ้
79 บรรณานุกรม เกศนิ ี บารุงไทย. (2554). รายงานการวจิ ัยเรื่อง การวเิ คราะห์ข้อผิดพลาดในการเขยี นภาษาอังกฤษระดับ ย่อหน้าของนักศึกษาคณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร.กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร. ดชั นคี วามสามารถทางภาษาองั กฤษ. (2558). การสารวจความสามารถทางภาษาองั กฤษของผู้ใหญ่ใน ประเทศซง่ึ ไม่ใช่เจ้าของภาษา. สบื ค้นเมอ่ื 30 กนั ยายน 2558, จาก http://www.ef.co.th/epi/regions/asia/thailand/. ชฎาพร วจนะคมั ภรี ์. (2554). การศกึ ษาความรู้ด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนปร้ินส์รอยแยลส์ เชยี งใหม่.สบื ค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2558, จาก http://www.prc.ac.th/Academic/TeacherResearchReport/ResearchDetail.php?ID=683.2554. นเรศ สรุ สทิ ธิ์. (2547).English Grammar ไวยากรณ์ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เดือนตลุ า. สนุ ี เทยี นพง่ึ เวียน, และคณะ. (2557). คู่มือครู รายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ SPRINT 3 ชั้นมัธยมศกึ ษาปี ที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ.กรุงเทพฯ: บริษัท สานกั พิมพ์เอมพนั ธ์ จากดั . สานกั งานเขตพนื ้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 16. (2557). รายงานผลการวเิ คราะห์คุณภาพผู้เรียนในมติ ิ O-NET ปี การศกึ ษา 2557.ม.ป.ท. Burgess, J., & Etherington, S. (2002). Focus on grammatical form: Explicit or implicit? System,30: 433- 458. Canale, M., & Swain, M. (1980). Theoretical bases of communicative approaches to second language teaching and testing. Applied Linguistics,1, 1-47. Cowan, R. (2008). The teacher's grammar of English. New York: Cambridge University Press. Crystal, D. (1997). English as a global language. Cambridge: Cambridge University Press. Derewianka, B. (2008). A grammar companion for primary teachers.Sydney: PETA. Dickins,P.M.R.,& Woods,E.G. ( 1988 ). Some criteria for the development of communicative grammar tasks. TESOL Quarterly, 22(3), 623-646. Ebsworth. M.E., & Schweers C.W. (1997). What researchers say and practitioners do: Perspectives on conscious grammar instruction in the ESL classroom. Applied Language Learning, 8:237- 260. Hafiz, F. M., & Tudor I. (1990). Graded Readers as an Input Medium in L2 Learning. System 18, 1:31-42. Harmer, J. (1987).Teaching and Learning Grammar.London: Longman Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), pp. 607-610.
80 Long, Michael H., & Richards, Jack C. (1987). Methodology in TESOL, A Book of Readings, Newbury House Publishers, New York. Mccarthy, F. (2000). Lexical and Grammatical Knowledge in Reading and Listening Comprehension by Foreign Language Learners of Spanish.Applied Language Learning,2000 (11), 323-348. Nunan, D. (2004). Task-based language teaching. Cambridge, UK ; New York, NY :Cambridge University Press, 126. Parrott, M. (2000). Grammar for English language teachers. Cambridge: Cambridge UP. Peirce B.N. (1989). Toward a pedagogy of possibility in the teaching of English internationally: People’s English in South Africa. TESOL Quarterly, 23(3):401-420. Potgieter A.P., & Conradie S. (2013). Explicit grammar teaching in EAL classrooms: Suggestions from isiXhosa speakers’ L2 data. Southern African Linguistic and AppliedLanguage Studies, 31(1):111-127. Shanahan,T.(2013).Grammar and Comprehension: Scaffolding Student Interpretation of Complex Sentences.Retrived on May 25, 2015 From http://www.shanahanonliteracy.com/2013/12/grammar-and-comprehension-scaffolding.html Thornbury, S. (2000).How to Teach Grammar. Harlow: Longman. Zhang, Y. (2009). Reading to Speak: Integrating Oral Communication Skills. English Teaching Forum, 2009 (1), 32-34.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114