Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ห่าลงปีมะโรง

ห่าลงปีมะโรง

Published by kam47033, 2022-05-29 08:13:00

Description: โรคระบาดในรัชกาลที่2ที่รุนเเรงที่สุด

Search

Read the Text Version

ห่าลงปีมะโรง (อหิวาตกโรค)

“ห่าลงปีมะโรง” อหิวาตกโรคระบาดครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย รัชกาลที่ 2 ในปีมโรงโทศก จุลศักราช 1182 ตรงกับ พ.ศ. 2363 เกิดเหตุโรคระบาดครั้งใหญ่ในสยาม

อหิวาตกโรค เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงและสามารถระบาดได้อย่างรวดเร็ว แหล่งที่ เกิดโรคมักเกิดในชุมชนที่อยู่ กันอย่างหนาแน่น และในถิ่นที่ไม่มีน้ำสะอาดใช้อย่างพอเพียง ไม่มี ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ มีการสุขาภิบาล ไม่ดี เช่น มีการทิ้งขยะเกลื่อนกลาด ร้านอาหารไม่สะอาด ถูกหลักสุขาภิบาล

สาเหตุ เป็นโรคที่เกิดกับลำไส้เล็กโดยเชื้อแบคทีเรีย พบได้กับคน ทุกเพศทุกวัยแต่พบ น้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี มักเกิดใน ช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะหลังความแห้งแล้งไม่มีฝนตกเป็น เวลานาน และมักเกิดหลังจากงานเทศกาล งานฉลองซึ่ง มีคนจากที่ต่างๆมารวมกันมาก การติดต่อ เป็นโรคติดต่อชนิดเฉียบพลัน สามารถติดต่อได้ทั้งทางตรงและ ทางอ้อม โดยผู้ป่วยเป็นผู้แพร่เชื้อ แต่ส่วนมากจะติดต่อทาง อ้อมผ่านทางแมลงวัน อาหาร และนํ้าดื่ม เป็นต้น ในกรณีที่ผู้ป่วยขับถ่ายของเสียลงในแหล่งนํ้าสาธารณะ เชื้อ โรคจะสามารถแพร่กระจาย ไปสู่ผู้อื่นได้

\"อหิวาตกโรค\" หรือที่คนไทยเรียกว่า \"โรคห่า\" ปรากฏในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 พระนิพนธ์สม เด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า \"เมื่อเดือน 7 ปีมโรงโทศกนั้น อหิวาตกะโรค หรือที่เรียกในเวลานั้นว่า ไข้ป่วง ใหญ่ เริ่มมาเกิดขึ้นเปนคราวใหญ่ที่ผู้คนเปนอันตรายมาก...\"

สันนิษฐานว่าระบาดขึ้นที่เกาะหมาก ปีนัง ก่อน จากนั้นระบาดเข้ามาทางหัวเมือง ตะวันตก เรื่อยเข้ามาถึงแม่น้ำเจ้าพระยา จนชาวเมืองสมุทราปราการล้มตายจำนวน มาก ชาวบ้านบ้างก็อพยพหนีมากรุงเทพฯ หนีไปเมืองอื่นบ้าง จากนั้นจึงเริ่มระบาดที่ กรุงเทพเมื่อ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2363 .

กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า อหิวาตกโรคครั้งนี้ร้ายแรงที่สุดเท่าที่คนสมัยนั้นจำได้ ไม่เคยมีครั้งใดที่มีผู้คนล้มตายมากอย่างครั้งนี้ สภาพบ้านเมืองก็เต็มไปด้วยศพ ตั้งแต่ในวัดไป จนถึงแม่น้ำลำคลอง ชาวบ้านหนีออกจากบ้าน กลายเป็นเมืองร้าง ไม่มีผู้คน ดังในพงศาวดาร ความว่า . \"...คนตายทั้งชายทั้งหญิง ศพที่เอาไปทิ้งไว้ในป่าช้าแลศาลาดินในวัดสระเกษ วัดบางลำภู วัดบพิตรภิมุข วัดประทุม คงคา แลวัดอื่น ๆ ก่ายกันเหมือนกองฟืน ที่เผาเสี ยก็มากกว่ามาก ถึงมีศพลอยในแม่น้ำลำคลองเกลื่อนกลาดไปทุก แห่ง จนพระสงฆ์ก็หนีออกจากวัด คฤหัสถ์ก็หนีออกจากบ้าน ถนนหนทางก็ไม่มีคนเดิน ตลาดก็ไม่ได้ออกซื้ อขายกัน ต่างคนต่างกินแต่ปลาแห้งพริกกับเกลือเท่านั้น น้ำในแม่น้ำก็กินไม่ได้ ด้วยอาเกียรณ์ไปด้วยทรากศพ...\"

เหตุการณ์เลวร้ายมากกว่าครั้งไหน ๆ จนรัชกาลที่ 2 มีรับสั่งให้ตั้ง \"พระราชพิธี อาพาธพินาศ\" คล้ายกับพิธีตรุษ ประกอบพระราชพิธีที่พระที่นั่งดุสิตมหา ปราสาท มีการยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดคืน จากนั้นอัญเชิญพระแก้ว มรกต และพระบรมสารีริกธาตุออกแห่รอบพระนคร โดยมีพระราชาคณะและ พระสงฆ์ในขบวนสวดพระปริตรประพรมน้ำพระปริตรไปในขบวนแห่นั้นด้วย . รัชกาลที่ 2 ก็ทรงศีล ทรงสละพระราชทรัพย์ ซื้อชีวิตสัตว์สี่เท้าสองเท้า ปล่อย นักโทษ (เว้นแต่ข้าศึกชาวพม่า) และห้ามราษฎรทำปาณาติบาต ให้พระบรมวงศา นุวงศ์และข้าราชการทรงศีลหรือถือศีลตามความสมัครใจ และมีพระบรมราชานุ ญาตให้ละเว้นกิจการงานราชการที่ไม่จำเป็นลงชั่วคราว โดยมีรับสั่งให้คนเหล่านั้น กลับไปบำรุงดูแลครอบยครัวของตน ความว่า . \"...ประเพณีสั ตวทั้งหลาย ไภยมาถึงก็ย่อมรักชีวิตร บิดามารดาภรรยาแลบุตรญาติพี่น้องก็เป นที่รักเหมือนกันทั่วไป จะได้ไปรักษาพยาบาลกัน...\"

แต่ผลของการทำพิธีกลับไม่ได้ทำให้โรคหาย ราษฎรและพระภิกษุที่ เข้าร่วมกระบวนแห่ และหามพระพุทธรูปก็ล้มลงขาดใจตาย ที่กลับ มาบ้านแล้วตายก็มีมาก ในการระบาดครั้งต่อไปจึงยกเลิกการกระ ทำพระราชพิธีนี้เสีย พงศาวดารระบุว่า โรคนี้ชอบที่โสโครกโสมม คนตายมาก คนที่บ้านเรือนสะอาดก็ตายน้อย

อหิวาตกโรคระบาดอยู่ราว 15 วัน ครั้นเมื่อถึงแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ตรงกับวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2363 อหิวาตกโรคก็เริ่มซาลงไป เมื่อสำรวจคนตายในกรุงเทพฯ และ หัวเมืองใกล้เคียงแล้วมีประมาณ 30,000 คน ผู้หญิงตายมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 ใน 3 ต่อจากนั้นเมื่อการระบาดที่กรุงเทพฯ สงบแล้ว จึงได้ระบาดต่อไปทางเหนือ

อ้างอิง ศิลปวัฒนธรรม SLPA-MAG.COM https://www.thaksinhospital.com/thaksin/hot.php?


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook