Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มิติที่3สื่อ

มิติที่3สื่อ

Published by moetpr2514, 2020-06-28 09:35:23

Description: มิติที่3สื่อ

Search

Read the Text Version

คำนำ คมู่ อื มิตทิ ี่ ๓ การใช้สอื่ เทคโนโลยีและแหลง่ เรียนรู้เล่มนี้ เปน็ ส่วนหนงึ่ ของคู่มือการขบั เคลอ่ื น ๖ มิตคิ ณุ ภาพสู่ การปฏบิ ตั ิ จัดทำขนึ้ เพือ่ ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลือ่ นคณุ ภาพการศึกษา และเป็นแนวทางในการขบั เคล่ือนหลักสูตร สถานศกึ ษาสู่หอ้ งเรยี นคณุ ภาพตามนโยบายของสำนกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาอุดรธานี เขต ๒ โดยคู่มือเล่มนี้จะใช้เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนสำหรับครู อาจารย์ และผู้ที่อยู่ในวงการการศึกษา ตลอดจนผู้ที่มีความสนใจ ได้เลือกใช้เทคนิคการสอน ใบงาน และสื่อต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้จัดการเรียนการสอนที่ หลากหลาย ส่งผลตอ่ การถ่ายทอดความรู้สู่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต ๒ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารเล่มนี้จะอำนวย ประโยชน์ในการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาโดยรวมและเกดิ ผลในการปฏบิ ัติอย่างเปน็ รปู ธรรมในอนาคตต่อไป ขอขอบคุณคณะกรรมการจัดทำคู่มือการขับเคลื่อน ๖ มิติคุณภาพสู่การปฏิบัติ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓ ตลอดจนคณะผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรในสังกัดทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดทำเอกสารเล่มนี้จนสำเร็จลุล่วง ไปไดด้ ้วยดี สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาอุดรธานี เขต ๒ มนี าคม ๒๕๖๓

สารบัญ หนา้ ก คำนำ ข สารบญั 1 บทนำ 1 ส่อื การเรียนรู้ ๔ วตั ถุประสงคข์ องการใช้สอื่ การเรียนรู้ ๔ ประเภทของส่ือการเรียนการสอน ๕ การจำแนกสอ่ื การเรยี นการสอนตามประเภทตา่ งๆ ๖ หลกั การเลอื กส่อื การเรียนรู้ ๖ หลกั การใชส้ ื่อการเรียนรู้ ๘ ขัน้ ตอนใช้สื่อการเรียนรู้ ๘ เทคนคิ การใชส้ ื่อการเรยี นรู้ ๙ สื่อการเรียนรูแ้ ละเทคโนโลยีในยคุ ปัจจบุ นั ๑๑ รูปแบบการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการเรยี นการสอน ๑๒ ตวั อย่างส่ือการเรยี นการสอนสมยั ใหม่ ๑๒ - สือ่ e-Learning หรอื บทเรยี นออนไลน์ ๑๓ - ส่อื CAI หรือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) ๑๖ - e-Book หรือ หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ ๑๘ - Tablet หรือเครอ่ื งคอมพิวเตอรส์ ำหรับพกพา ๒๐ - กระดานอจั ฉริยะ (INTERACTIVE BOARD) ๒๓ การพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาทางไกลผ่านเทคโนโลยสี ารสนเทศ (Distance Learning Information Technology : DLIT) ๒๗ แหลง่ เรยี นรู้ ๒๙ การประเมินผลสื่อการเรยี นการสอนหรอื การประเมนิ ผลสือ่ การเรยี นรู้ ๓๒ วิธีการประเมินผลสอ่ื การเรยี นการสอน ๓๔ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมนิ สือ่ ๓๕ ตวั อย่างแบบประเมินสื่อการเรยี นรู้ ๓๗ บทสรุป ๓๘ บรรณานุกรม

กรใช้สื่อเทคโนโลยแี ละแหล่งเรียนรู/้ ส่ือการเรยี นรแู้ ละเทคโนโลยีทางการศกึ ษา บทนำ สื่อการเรียนรู้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล กับผู้เรียน เนื่องจากสื่อการเรียนรู้จะเป็นตัวชว่ ยให้ครูผู้สอนได้จดั การเรียนรูท้ ี่มกี ารส่ือสารกบั ผู้เรียนได้งา่ ย มีความ เป็นรูปธรรม ช่วยกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้ และผู้เรียนสามารถจะเรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งน้ี พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ระบถุ ึงความสำคญั ของสือ่ การเรียนการสอน การเรยี นการสอนในปัจจุบันน้ี ส่อื การสอนหรอื เทคโนโลยีทางการสอนมีอยู่อย่างมากมายที่จะให้เลือกใช้ เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูจะต้องจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีสื่อประกอบการสอนทั้งสื่อในท้องถิ่นและสื่อเทคโนโลยี นักเรียนจึงจะได้รับ การพัฒนากอ่ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ด้านตา่ ง ๆ หลายประการ คอื ช่วยเพิม่ ประสิทธิภาพการสอน ช่วยแกป้ ญั หาพ้ืนฐาน หรือภมู ิหลงั ของผเู้ รยี น และช่วยให้โอกาสในการเรยี นของผู้เรยี นเทา่ เทียมกัน ส่ือการเรยี นรู้ ๑. ความหมายของส่อื การเรยี นรู้ สื่อ (Media) เป็นคำที่มาจากภาษาลาตินว่า “medium” และแปลว่า “ระหว่าง” (between) หมายถึง ตัวกลางที่ใชถ้ ่ายทอดหรือนำความร้ใู นลักษณะตา่ ง ๆ จากผสู้ ่งไปยงั ผ้รู บั ให้เข้าใจ ความหมายได้ตรงกันในการเรียน การสอน ส่อื ทใี่ ชเ้ ป็นตวั กลางนำความรูใ้ นกระบวนการส่อื ความหมายระหว่างผู้สอนกบั ผเู้ รียน เรียกวา่ สื่อการเรยี น การสอน กิดานันท์ มลทิ อง (๒๕๔๙ : ๑๐๐) สื่อการสอน (Instruction Media) หมายถึง การนำสื่อมาใช้ในการเรียนการสอนโดยตรง ซึ่งหมายถึง การนำวัสดุ เครื่องมือและวิธีการ มาเป็นสะพานเชื่อมโยงความรู้ เนื้อหาไปยังผู้เรียนได้ เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ สิ่งที่ถ่ายทอดซึ่งกันและกัน ได้ผลตามจุดมุ่งหมาย เช่น เทปบันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ แผนภูมิ ภาพน่งิ ซง่ึ บรรจุเน้ือหาเกยี่ วกบั การเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอน หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เป็นบุคคล วัสดุ อุปกรณ์ ตลอดจนเทคนิควิธีการ ซึ่งเป็น ตัวกลางทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ของการเรียนการสอนที่กำหนดไว้ได้อย่างง่ายและรวดเร็ว เป็น เครื่องมือและตัวกลางซึง่ มีความสำคัญในกระบวนการเรยี นการสอน มีหน้าที่เป็นตัวนำความต้องการของครไู ปสู่ตวั นักเรยี นอยา่ งถูกต้องและรวดเร็ว เป็นผลใหน้ ักเรียนเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมไปตามจุดมุง่ หมายการเรียนการสอนได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม นักการศึกษาเรียกชื่อการสอนด้วยชื่อต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์การสอน โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยกี ารศึกษา ส่ือการเรียนการสอน สอ่ื การศกึ ษา เปน็ ต้น สื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่ หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวกลางที่มีความสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ในยุค โลกาภวิ ัฒน์หรือในยุคท่เี ตม็ ไปด้วย ICT เทคโนโลยีสารสนเทศและสอื่ สารตา่ งๆ โดยเครื่องมือเหล่าน้ี ช่วยสร้างสีสัน ดึงดูดใจ เปิดโลกการเรียนรู้กว้างไกลต่อผู้เรียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลโดยตรงถึงตัวผู้เรียนเอง ให้ ผู้เรียนมีการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม เปล่ยี นแปลงวิธกี ารเรยี นรู้ พฤตกิ รรมในท่นี ้ี หมายถงึ ลักษณะในการเรียนจะมี ความอยากร้อู ยากเหน็ มากย่ิงข้นึ เพราะสง่ิ ที่เห็นอยูน่ นั้ ถือเปน็ สิ่งทแ่ี ปลกใหมแ่ ละแปลกตาสำหรับเด็กนักเรียน โดย สอื่ การเรียนการสอนทคี่ รูนำมาสอนส่วนใหญ่แล้วมกั จะเป็นสิ่งทีท่ ันสมัยมกี ารพฒั นาไปตามการเปล่ยี นแปลงต่าง ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งครูผู้สอนหรือนักวิชาการจะเรียกชื่อสื่อการสอนเหล่านี้แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น โสตทศั นูปกรณ์ สอ่ื การเรยี นการสอน เทคโนโลยสี ารสนเทศ เป็นต้น

๒ ดงั นัน้ จะเห็นไดว้ ่าท้ังส่อื การเรยี นการสอนและส่ือการเรยี นการสอนสมัยใหม่มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน จะแตกต่างกันตรงที่เครื่องมือที่ใช้เป็นตัวกลางในการเรียนการสอนนั้นไม่เหมือนกัน ในส่วนของสื่อการเรียนการ สอนแบบเดิมนั้นจะเป็นสื่อที่ไม่หลากหลาย อาจจะไม่มีความทันสมัย ไม่น่าสนใจ อย่างเช่น ภาพ เสียง หรือส่ือ อะไรที่เก่า ๆ แต่สำหรับสื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่นั้นส่วนมากแล้วจะเป็นสื่อที่มีการนำนวัตกรรม เทคโนโลยี ITC ตา่ งๆ เข้ามาเก่ียวขอ้ ง เพ่อื ใหเ้ กดิ ความสนใจ อยากทจี่ ะเรยี นมาขนึ้ อยา่ งเชน่ ส่อื CAI บทเรยี น ออนไลน์ ส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ เป็นตน้ สรปุ ไดว้ า่ สอ่ื การเรียนรู้ คือ เครื่องมอื ของผ้สู อนทมี่ ีความจำเปน็ ต้องใช้ในการจดั การเรียนการสอน สิ่งใด ที่บรรจุข้อมูลสารสนเทศหรือเป็นตัวกลางข้อมูล ส่งผ่านจากผู้ส่ง หรือแหล่งส่ง ไปยังผู้รับ เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับ สามารถสื่อสารกันได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และยังสามารถถ่ายทอดความรู้ในการเรียนการสอนระหว่างผู้สอนกับ ผู้เรียนให้ได้เข้าใจมากขึ้น จึงจำเป็นต้องดำเนินไปตามกระบวนการสื่อความหมาย ซึ่งสื่อการสอนมีความสำคัญ และตัวกลางที่จะถ่ายทอดสารสนเทศไปสู่ผูเ้ รียน จะใช้เครื่องมือและเทคนิควิธีการที่ผูส้ อนนำมาประกอบการเรยี น การสอน เพื่อให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ และมีความเขา้ ใจในการเรียนรู้ ผู้สอนจะเน้นให้มีการ สง่ เสริมการค้นควา้ หรือการแสวงหาความรดู้ ว้ นตนเอง เพ่อื ชว่ ยให้ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างตอ่ เน่ืองตลอดชีวติ ๒. ความสำคญั ของสอ่ื การเรยี นการสอน สื่อการสอนแต่ละชนิดนั้นมีคุณค่าต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง ผู้สอนสามารถที่จะเอาสื่อ ใช้ประกอบการเรียนการสอนได้ทุกระดับชั้น ตั้งแต่การศึกษาระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในระดับปฐมวัยนั้น การใช้สื่อการเรียนการสอนกับวัยเด็กยิ่งมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอย่างย่ิง เพราะเป็นวัยแรกเริ่มแห่งการพัฒนาการในทุก ๆ ด้าน ซึ่งได้กล่าวถึงประโยชน์และความสำคัญของสื่อการเรียน การสอนไว้ ดังนี้ การจัดหาสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดทำและพัฒนาขึ้นเอง หรือปรับปรุงเลือกใช้อย่างมี คุณภาพจากสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัว เพื่อนำมาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมและสื่อสาร ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้มีหน้าที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรดำเนินการดังนี้ ๑. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่ายการเรียนรู้ ที่มีประสทิ ธภิ าพ ท้ังในสถานศกึ ษาและในชุมชน เพ่ือการศกึ ษาค้นคว้าและการแลกเปลยี่ นประสบการณก์ ารเรียนรู้ ระหว่างสถานศกึ ษา ทอ้ งถนิ่ ชมุ ชน สงั คมโลก ๒. จัดทำและจัดหาสื่อการเรียนรู้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน รวมท้ัง จัดหาส่งิ ที่มีอยู่ในท้องถ่ินมาประยุกตใ์ ชเ้ ป็นสือ่ การเรียนรู้ ๓. เลือกและใชส้ ื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้อง กับวิธีการ เรียนร้ธู รรมชาติของสาระการเรียนรู้ และความแตกตา่ งระหว่างบุคคลของผู้เรียน ๔. ประเมินคุณภาพของสื่อการเรยี นรทู้ ่เี ลือกใชอ้ ยา่ งเป็นระบบ ๕. ศึกษาค้นคว้าวิจัย เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ๖. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเกีย่ วกับสื่อและการใช้สื่อการเรียนรู้ เปน็ ระยะ ๆ และสม่ำเสมอ ในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ในสถานศึกษา ควรคำนึงถึง หลักการสำคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เนื้อหามีความถูกต้องและทันสมัย ไม่กระทบความมั่นคงของชาติ ไมข่ ดั ตอ่ ศีลธรรม มกี ารใชภ้ าษาทถ่ี กู ต้อง รูปแบบการนำเสนอที่เขา้ ใจงา่ ยและน่าสนใจ

๓ สอ่ื การเรยี นร้มู ีความสำคัญ คอื (ไชยยศ เรอื งสุวรรณ : ๒๕๕๐) ๑. ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ที่กว้างขวางยิ่งข้ึน ๒. ชว่ ยใหผ้ ู้สอนสามารถจัดประสบการณใ์ หแ้ กผ่ ูเ้ รยี นไดอ้ ยา่ งหลากหลาย ๓. ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ การตอบสนองตามความคาดหวังท่คี าดหวงั ให้เกิดขนึ้ ในตวั ผู้เรยี น ๔. ช่วยส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นได้ทำกจิ กรรมหลากหลายรปู แบบ ๕. ช่วยสอนสิ่งที่อยู่ในที่ลี้ลับ ไม่สามารถนำมาให้ดูโดยตรงได้ เช่น ภาพยนตร์การ์ตูนแสดง การทำงานของอะตอม ๖. ช่วยในการวนิ จิ ฉัย หรือการซ่อมเสรมิ ผู้เรยี นได้ ๓. ประโยชนแ์ ละคณุ ค่าของสือ่ การเรยี นการสอน สอ่ื การเรยี นการสอนสามารถใช้ประโยชน์ไดท้ ง้ั กบั ผเู้ รยี นและผ้สู อนดงั ต่อไปน้ี ประโยชน์และคุณค่าต่อครผู สู้ อน สื่อการเรียนการสอนสามารถช่วยการเรียนการสอนของครูได้ดีมากซึ่งเราจะเห็นว่าครูนั้นสามารถจัด ประสบการณก์ ารเรียนร้ใู หก้ บั นักเรยี นไดม้ ากทเี ดียวแถมยงั ช่วยใหค้ รมู ีความรมู้ ากขน้ึ ในการจดั หาแหล่งวิทยาการที่ เป็นเนื้อหาเหมาะสมแก่การเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายในการสอนช่วยครูในด้านการคุมพฤติกรรมการเรียนรู้และ สามารถสนบั สนุนการเรียนรขู้ องนกั เรยี นได้มากทีเดียวสือ่ การสอนจะช่วยสง่ เสริมให้นักเรียนไดท้ ำกจิ กรรมหลาย ๆ รูปแบบ เช่น การใช้ศูนย์การเรียน การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การสาธิต การแสดงนาฏการ เป็นต้น ช่วยให้ ครูผู้สอนได้สอนตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนและยังช่วยในการขยายเนื้อหาที่เรียนทำให้การสอนง่ายขึ้น และยังจะช่วยประหยัดเวลาในการสอนนักเรียนจะได้มีเวลาในการทำกิจกรรมการเรียนมากขึ้น จากข้อมูลเราจะ ได้เห็นถึงประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอนซึ่งทำให้เรามองเห็นถึงความสำคัญของสื่อสารมีประโยชน์และมีความ จำเป็นสามารถชว่ ยพัฒนาการเรยี นการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีขอ้ เสนอแนะอกี มากมาย อยา่ งเช่น ๑. เป็นการช่วยให้บรรยากาศในการสอนน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้สอนมีความสนุกสนานในการสอน มากกว่าวธิ ีการท่ีเคยใช้การบรรยายแต่เพยี งอย่างเดียว ๒. สื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระของผูส้ อนในการเตรยี มเนื้อหา เพราะบางครั้งอาจให้ผู้เรียนศึกษาจากเนื้อหา จากส่อื ได้บ้าง ๓. เป็นการกระตุ้นให้ผู้สอนตื่นตัวอยู่เสมอในการเตรียมและผลิตวัสดุใหม่ ๆ เพื่อใช้เป็นสื่อการ สอน ตลอดจนคิดค้นเทคนิควธิ กี ารตา่ ง ๆ เพอื่ ใหก้ ารเรียนรู้นา่ สนใจยง่ิ ข้ึน ประโยชนแ์ ละคุณค่าตอ่ ตวั ผเู้ รียน ๑. เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเนื้อหา บทเรียนที่ยุ่งยากซับซ้อนไดง้ ่ายข้ึนในระยะเวลาอันส้นั ๒. สื่อจะช่วยกระตุ้นและสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน ทำให้เกิดความสนุกและไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ๓. การใชส้ อื่ จะทำใหผ้ ้เู รยี นมคี วามเข้าใจตรงกนั และเกดิ ประสบการณร์ ่วมกนั ในวชิ าที่เรียน ๔. ชว่ ยให้ผ้เู รียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรยี นการสอนมากย่งิ ขน้ึ ทำให้เกิดมนษุ ยสัมพันธ์ ๕. ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงครูผู้สอนที่นำสื่อมาใช้ในการสอนและจากสิ่งแวดล้อมรวมไปถึงทาง สังคมและวฒั นธรรม ๖. เทคโนโลยีสารสนเทศของสือ่ การเรยี นการสอนทำใหเ้ ด็กสามารคดิ แยกแยะได้และมีความคิดรวบยอด เปน็ อย่างเดยี วกัน

๔ ๗. สื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่สามารถเอาชนะข้อจำกัดเรื่องความแตกต่างกันของประสบการณ์ ดั้งเดิมของผู้เรียนคือเมื่อใช้สื่อการเรียนการสอนแล้วจะช่วยให้เด็กซึ่งมีประสบการณ์เดิมต่างกันเข้าใจได้ใกล้เคียง กันหรือสามารถเปลีย่ นมมุ มองทศั นคติไปจากเดมิ ได้ ๘. ทำใหเ้ ดก็ มคี วามสนใจและต้องการเรยี นในเร่ืองตา่ ง ๆ มากขน้ึ เชน่ การอ่าน ความคิดรเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ ทศั นคติ การแก้ปญั หา ฯลฯ ๙. เป็นการสรา้ งแรงจูงใจ เร้าความสนใจให้เด็กสนใจในการเรียนอกี คร้ัง เปน็ การนำสงิ่ ท่ีอยู่ไกลมาศึกษา ได้ ๑๐. ช่วยใหผ้ ูเ้ รียนได้มีประสบการณจ์ ากรูปธรรมสู่นามธรรม ๑๑. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่น เรียนรู้ได้ดีขึ้นจากประสบการณ์ที่มี ความหมายในรูปแบบต่าง ๆ เรียนรู้ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง เรียนรู้ได้ง่ายและเข้าใจได้ชัดเจน เรียนรู้ได้มากขึ้นและเรียนรู้ ได้ในเวลาทีจ่ ำกดั ๑๒. เป็นการนำส่ิงท่เี กิดขึน้ ในอดีตมาศึกษาได้และชว่ ยกระตุ้นความสนใจของผู้เรยี นดว้ ย ๑๓. ชว่ ยใหจ้ ดจำไดน้ าน เกิดความประทบั ใจและมน่ั ใจในการเรยี นและการสอนของครผู สู้ อน ๑๔. ช่วยให้ผู้เรยี นได้คิดและแกป้ ญั หาเปน็ และตดั สินใจได้ วตั ถปุ ระสงค์ของการใช้ส่ือการเรยี นรู้ ๑. เพอื่ ใหป้ ระสบการณต์ รง (Direct Experience) และเป็นจรงิ แก่นกั เรียน ๒. เพอื่ ให้นกั เรยี นเรียนได้โดยงา่ ย และสะดวกขึน้ ๓. เพือ่ เรา้ นกั เรยี นใหม้ ีความสนใจในบทเรียนอย่างต่อเนื่องตามขนึ้ ตอน และตลอดเวลา ๔. เพ่ือให้นกั เรยี นมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรียนการสอน ๕. เพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะความสามารถ เนื่องจากได้เรียนรู้ด้วยการลงมือทดลองและฝึกปฏิบัติ (Learning by doing) ๖. เพื่อให้นักเรียนกล้าแสดงออกทางความคิด และการแสดงบทบาทอย่างสมควร และโดยสมเหตุสมผล ตามแนวทางท่ีดแี ละเป็นทพ่ี ึงประสงคข์ องสงั คม ๗. เพ่ือให้นกั เรียนเกิดความคิดริเรม่ิ สรา้ งสรรค์ ๘. เพื่อสร้างบรรยากาศทด่ี ใี นการเรยี นการสอน ๙. เพอื่ สร้างปฏิสัมพนั ธท์ ี่ดี (interaction) ระหวา่ งนกั เรียนครู ๑๐. เพื่อให้ประหยัดเวลา วัสดุ อุปกรณ์ ค่าใช้จ่าย และบุคลากร ในขณะเดียวกันทำให้นักเรียน จำนวนมาก เกิดการเรยี นรอู้ ยา่ งค้มุ ค่า ภายใต้สถานการณ์ที่ดแี ละไดม้ าตรฐานอย่างเดยี วกัน ประเภทของสือ่ การเรยี นการสอน ๑. สือ่ ประเภทวัสดุ ได้แกส่ ไลด์ แผ่นใส เอกสาร ตำรา สารเคมี สิง่ พิมพ์ตา่ ง ๆ และคมู่ อื การฝกึ ปฏบิ ตั ิ ๒. สื่อประเภทอุปกรณ์ ได้แก่ของจริง หุ่นจำลอง เครื่องเล่นเทปเสียง เครื่องเล่นวีดิทัศน์ เครื่องฉาย แผ่นใส อุปกรณแ์ ละเครื่องมือในหอ้ งปฏิบตั ิการ ๓. สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ ได้แก่การสาธิต การอภิปรายกลุ่ม การฝึกปฏิบัติการฝึกงาน การจัด นทิ รรศการ และสถานการณ์จำลอง ๔. สื่อประเภทคอมพิวเตอร์ ได้แก่คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer presentation) การใช้ Intranet และ Internet เพื่อการสื่อสาร (Electronic mail: E-mail) และ การใช้ WWW (World Wide Web)

๕ การจำแนกส่อื การเรยี นการสอนตามประเภทตา่ งๆ สอื่ การเรยี นการสอนจำแนกตามประสบการณ์ ๑. ประสบการณ์ตรงและมีความมุ่งหมาย ประสบการณ์ขั้นนี้ เป็นรากฐานสำคัญของการศึกษาทั้งปวง เป็นประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับมาจากความเป็นจริงและด้วยตัวเองโดยตรง ผู้รับประสบการณ์นี้จะได้เห็น ได้จับ ได้ทำ ได้รู้สึก และได้ดมกลิ่นจากของจริง ดังนั้นสื่อการสอนที่ไห้ประสบการณ์การเรียนรู้ในขั้นนี้ก็คือของจริงหรือ ความเป็นจรงิ ในชีวติ ของคนเรานน่ั เอง ๒. ประสบการณ์จำลอง เปน็ ทย่ี อมรบั กนั ว่าศาสตรต์ า่ งๆ ในโลก มมี ากเกนิ กว่าทีจ่ ะเรยี นรไู้ ด้หมดสิ้นจาก ประสบการณ์ตรงในชีวิต บางกรณีก็อยู่ในอดีต หรือซับซ้อนเร้นลับหรือเป็นอันตรายไม่สะดวกต่อการเรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง จึงได้มีการจำลองสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมาเพื่อการศึกษา ของจำลองบางอย่างอาจจะเรียนได้ง่าย กวา่ และสะดวกกวา่ ๓. ประสบการณ์นาฏการ ประสบการณ์ต่าง ๆ ของคนเรานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่สามารถ ประสบได้ด้วยตนเอง เช่น เหตุการณ์ในอดีต เรื่องราวในวรรณคดี การเรียนในเรื่องทีม่ ีปัญหาเกี่ยวกับสถานที่ หรือ เร่อื งธรรมชาติที่เปน็ นามธรรม การแสดงละครจะชว่ ยไปใหเ้ ราได้เขา้ ไปใกลค้ วามเปน็ จริงมากทส่ี ดุ เชน่ ฉาก เครื่อง แตง่ ตัว เครอ่ื งมอื หุ่นตา่ ง ๆ เป็นตน้ ๔. การสาธิต การสาธิตคือ การอธิบายถงึ ขอ้ เทจ็ จริงหรือแบง่ ความคิด หรอื กระบวนการตา่ ง ๆใหผ้ ฟู้ ังแล เห็นไปด้วย เช่น ครูวิทยาศาสตร์เตรียมก๊าซออกซิเจนให้นักเรียนดู ก็เป็นการสาธิต การสาธิตก็เหมือนกับนาฏการ หรอื การศกึ ษานอกสถานท่ี เราถอื เปน็ ส่อื การสอนอยา่ งหน่งึ ซงึ่ ในการสาธติ นอ้ี าจรวมเอาสง่ิ ของทใ่ี ชป้ ระกอบหลาย อยา่ ง นบั ตั้งแต่ของจริงไปจนถึงตัวหนังสือ หรือคำพดู เข้าไว้ดว้ ย แต่เราไม่เพ่งเลง็ ถึงส่ิงเหล่าน้ี เราจะให้ความสำคัญ กบั กระบวนการทัง้ หมดที่ผ้เู รียนจะตอ้ งเฝ้าสังเกตอยู่โดยตลอด ๕. การศึกษานอกสถานที่ การพานักเรียนไปศึกษานอกสถานที่ เป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต เพื่อให้นักเรียนได้เรียนจากแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ที่มีอยู่จริงภายนอกห้องเรียน ดังนั้นการศึกษานอกสถานที่จึง เป็นวธิ ีการหนงึ่ ที่เป็นสอ่ื กลางให้นกั เรยี นไดเ้ รียนจากของจริง ๖. นิทรรศการ นิทรรศการมีความหมายที่กว้างขวาง เพราะหมายถึง การจัดแสดงสิ่งต่างๆเพื่อให้ความรู้ แก่ผู้ชม ดังนั้นนิทรรศการจึงเป็นการรวมสื่อต่าง ๆ มากมายหลายชนิด การจัดนิทรรศการที่ให้ผู้เรียนมามีส่วนร่วม ในการจัด จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสคิดสร้างสรรค์มีส่วนร่วม และได้รับข้อมูลย้อนกลับด้วยตัวของเขาเอง ๗. โทรทัศน์และภาพยนตร์ โทรทศั นเ์ ป็นสอื่ การสอนทมี่ ีบทบาทมากในปัจจุบนั เพราะไดเ้ ห็นทง้ั ภาพและ ได้ยินเสียงในเวลาเดียวกัน และยังสามารถแพร่และถ่ายทอดเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ด้วย นอกจากนั้นโทรทัศน์ ยังมหี ลายรูปแบบ เช่น โทรทศั น์วงจรปิด ซงึ่ โรงเรยี นสามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอนได้เปน็ อยา่ งดี นอกจากนี้ ยังมีโทรทัศน์วงจรปิด ที่เอื้อประโยชน์ต่อการศกึ ษาอย่างกว้างขวาง ภาพยนตร์เป็นส่ือที่จำลองเหตุการณ์มาให้ผูช้ ม หรือผู้เรียนได้ดูและได้ฟังอย่างใกล้เคียงกบั ความจริง แต่ไม่สามารถถ่ายทอดเหตุการณ์ทีก่ ำลงั เกิดข้ึนได้ ถึงอย่างไร ก็ตามภาพยนตร์ก็ยังนับว่าเป็นสื่อที่มีบทบาทมากในการเรียนการสอน เช่นเดียวกันกับโทรทัศน์ ๘. ภาพนิ่ง การบันทึกเสียง และวิทยุ ภาพนิ่ง ได้แก่ ภาพถ่าย ภาพวาดซึ่งมีทัง้ ภาพทึบแสงและโปรง่ แสง ภาพทึบแสงคือรูปถ่าย ภาพวาด หรือภาพในสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ส่วนภาพนิ่งโปร่งใสหมายถึงสไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพ โปร่งใสที่ใช้กับเครื่องฉายวัสดุโปร่งใส เป็นต้น ภาพนิ่งสามารถจำลองความเป็นจริงมาให้เราศึกษาบนจอได้ การ บันทึกเสียง ได้แก่ แผ่นเสียงและเครื่องเล่นแผ่นเสียง เทปและเครื่องบันทึกเสียง และเครื่องขยายเสียงตลอดจน อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเสียงซึ่งนอกจากจะสามารถนำมาใช้อย่างอิสระในการเรียนการสอนด้วยแล้ว ยังใช้กับ รายการวิทยุและกิจกรรมการศึกษาอื่น ๆ ได้ด้วย ส่วนวิทยุนั้น ปัจจุบันที่ยอมรับกันแล้วว่า ช่วยการศึกษาและการ

๖ เรียนการสอนได้มาก ซึ่งไม่จำกัดอยู่แต่เพียงวิทยุโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงวิทยุทั่วไปอีกด้วย ๙. ทัศนสัญลักษณ์ สื่อการสอนประเภททัศนสัญญลักษณ์นี้ มีมากมายหลายชนิด เช่น แผนภูมิแผนภาพ แผนที่ แผนผัง ภาพโฆษณา การ์ตูน เป็นต้น สื่อเหล่านี้เป็นสื่อที่มีลักษณะเป็นสัญลักษณ์สำหรับถ่ายทอด ความหมายใหเ้ ข้าใจได้รวดเรว็ ขนึ้ ๑๐. วจนสัญลักษณ์ สื่อขั้นนี้เป็นสื่อที่จัดว่า เป็นขั้นที่เป็นนามธรรมมากที่สุด ซึ่งได้แก่ตัวหนังสือหรือ อักษร สัญลักษณ์ทางคำพูดที่เป็นเสียงพูด ความเป็นรูปธรรมของสื่อประเภทนี้จะไม่คงเหลืออยู่เลย อย่างไรก็ดี ถึงแม้สื่อประเภทนี้จะมีลักษณะที่เป็นนามธรรมที่สุดก็ตามเราก็ใช้ประโยชน์จากสื่อประเภทนี้มาก เพราะต้องใช้ใน การสื่อความหมายอยตู่ ลอดเวลา สื่อการเรียนการสอนจำแนกตามคณุ สมบัติ ๑. ทัศนวัสดุ (Visual Materials) เช่น กระดานดำ กระดานผ้าสำลี) แผนภูมิ รูปภาพ ฟิล์มสตริป สไลด์ ฯลฯ ๒. โสตวัสดุ (Audio Materisls ) เช่น เครื่องบันทึกเสียง (Tape Recorder) เครื่องรับวิทยุ หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารทางภาษา ระบบขยายเสียง ฯลฯ ๓. โสตทศั นวัสดุ (Audio Visual Materials) เชน่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ฯลฯ ๔. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ (Equipments) เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายฟิล์มสตริปเครื่องฉาย สไลด์ ๕. กิจกรรมต่าง ๆ (Activities )เช่น นิทรรศการ การสาธิต ทศั นศกึ ษา ฯลฯ ส่อื การเรยี นการสอนจำแนกตามรปู แบบ (Form) Louis Shores ได้แบง่ ประเภทสือ่ การสอนตามแบบไว้ ดังน้ี ๑. สงิ่ ตีพิมพ์ (Printed Materials) เช่น หนังสือแบบเรยี น เอกสารการสอน ฯลฯ ๒ วสั ดกุ กราฟกิ เช่น แผนภูมิ ( Charts) แผนสถิติ (Graph) แผนภาพ (Diagram) ฯลฯ ๓. วัสดุฉายและเครอื่ งฉาย (Projected Materials and Equipment) เช่น ภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ ๔. วสั ดถุ ่ายทอดเสยี ง (Transmission) เชน่ วทิ ยุ เครือ่ งบันทกึ เสยี ง สื่อการเรียนการสอนตามลกั ษณะและการใช้ ๑. เคร่อื งมือหรืออปุ กรณ์ (Hardware) ๒. วัสดุ (Software) ๓. เทคนิคหรอื วธิ กี าร (Techinques or Methods) หลักการเลอื กส่ือการเรียนรู้ ในการพิจารณาเลือกใช้หรือสร้างสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในขั้นต้น จะต้อง พิจารณาเป้าหมายของวัตถุประสงค์ของบทเรียนเป็นหลัก โดยการวิเคราะห์เนื้อหาของวัตถุประสงค์นั้น ๆ ว่ามี จุดสำคัญอะไร ควรสื่อความหมายลักษณะใด จากนั้นจึงเลือกลักษณะของสื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาหลัก ของวัตถุประสงค์นั้น โดยพิจารณาเลือกเรียงลำดับจากสิ่งที่เป็นนามธรรม (Abstract) ไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรม (Concrete)

๗ การเลือกสื่อการเรียนรู้เพื่อใช้ในการเรียนการสอน ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากที่สุด จำเป็นจะต้องมี จุดประสงค์ในการเลือกส่อื การเรยี นรูท้ ่ีเหมาะสม ซ่งึ หลักการเลือกสือ่ การเรียนรู้ มดี งั นี้ ๑. ส่ือนนั้ ตอ้ งสัมพนั ธ์กบั เนอื้ หาบทเรยี นและจุดมงุ่ หมายทจ่ี ะสอน ๒. เลือกสื่อที่มีเนื้อหาถูกต้อง ทันสมัย น่าสนใจ และเป็นสื่อที่จะให้ผลต่อการเรียนการสอนมากที่สุด ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนเขา้ ใจเนื้อหาวชิ านน้ั ไดด้ ี เปน็ ลำดับขัน้ ตอน ๓. เป็นสอ่ื ท่ีเหมาะสมกับวัย ระดบั ชั้น ความรู้ และประสบการณ์ของผเู้ รยี น ๔. ส่ือนนั้ ควรสะดวกในการใช้ มวี ธิ ีใชไ้ มซ่ บั ซอ้ นยงุ่ ยากจนเกนิ ไป ๕. ตอ้ งเปน็ สอื่ ที่มีคณุ ภาพเทคนคิ การผลิตทด่ี ี มีความชดั เจน และเปน็ จริง ๖. มรี าคาไม่แพงจนเกินไป หรอื ถา้ จะผลิตเอง ควรคุม้ กับเวลาและการลงทนุ สื่อที่เป็นกิจกรรมหรือกระบวนการ เป็นสื่อในลักษณะกิจกรรมที่จัดเพื่อฝึกกระบวนการคิดและ การปฏิบัติ ตลอดจนทักษะต่าง ๆ ให้กับผู้เรียน เช่น การร่วมมือกันแก้ปัญหา การใช้ปัญหาเป็นฐาน โครงงาน การสืบเสาะความรู้ การค้นพบความรู้ การแก้ปัญหา เกม การอภิปราย การทดลอง เป็นต้น ประโยชน์ของสื่อ กิจกรรมจะส่งเสริมการคิดขั้นสูง เพราะผู้เรียนได้วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินและตัดสินใจเกี่ยวกับสารสนเทศ มากกว่าการจดจำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ สามารถใช้พัฒนาทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ส่งเสริมการเรียนรู้แบบตื่นตัว (Active Learning) พัฒนากระบวนการทางสังคมและการสื่อสาร ฝึกการปฏิบัติ เพอ่ื เพมิ่ ทกั ษะเฉพาะด้าน เชน่ ทักษะการทำงานกล่มุ ทักษะทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะการใช้เครือ่ งมือ สื่อบุคคล คือ ตัวบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร อยู่ในระบบการสื่อสารระหว่างบุคคลและการสื่อสาร ระดับกลุ่ม ภูมิปัญญาเป็นความรู้ ความสามารถ วิธีการ ผลงานที่คนไทยได้ค้นคว้ารวบรวม และจัดเป็นความรู้ ถ่ายทอด ปรับปรุง จากคนรนุ่ หนึง่ มาสู่คนอีกรุน่ หน่ึง จนเกดิ ผลิตผลที่ดี งดงาม มคี ณุ ค่า มปี ระโยชน์ สามารถนำมา แก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตได้ แต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชนไทย ล้วนมีการทำมาหากินที่สอดคล้องกับภูมิประเทศ มีผู้นำที่มีความรู้ มีฝีมือทางช่าง สามารถคิดประดิษฐ์ ตัดสินใจแก้ปัญหาของชาวบ้านได้ ผู้นำเหล่านี้ เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้ทรงภูมิปัญญาไทย ประโยชน์ของสื่อบุคคลและภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ เกิดการเรียนรู้ จากประสบการณ์จริง พัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ในชุมชนท้องถ่ินได้ มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น และสร้าง ความสัมพนั ธ์ใหก้ ับชมุ ชนทอ้ งถ่นิ ได้ หลกั การใช้สือ่ การเรยี นรู้ ในปัจจุบันเป็นยุคที่การส่งข้อมูลข่าวสารรวดเร็ว ไร้ขีดจำกัด เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้คนเราสามารถ รวบรวม วิเคราะห์ และสื่อสารข้อมูลข่าวสารได้อย่างละเอียดและรวดเร็วมากกว่าที่ผ่านมา เป็นผลที่ทำให้ ความต้องการและขอบเขตเก่ียวกบั การศึกษาขยายเพม่ิ มากข้นึ เพอ่ื ทจี่ ะชว่ ยผู้เรยี นทุกคนได้รับทักษะท่ีเพิ่มมากข้ึน ที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมในการวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงที่ซับซ้อน ดังท่ี บรูเนอร์ (๑๙๘๓) กล่าวว่า ผู้เรียนต้องยกระดับการเรียนที่เพิ่มจากการจดจำ ข้อเท็จจริง ไปสู่การเริ่มต้นที่จะคิด อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ความจำเป็นที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ครูผู้สอนจะมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน จากเดิมเป็นการบอกถ่ายทอดความรู้จากครูไปสู่ผู้เรียน มาเป็นการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเรียนรู้ การยิ่งไปกว่านั้น ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจำเป็นที่ครูผู้สอนต้องมีพื้นฐานของความเข้าใจอย่างดี เกี่ยวกับผู้เรียนแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้อย่างไร ผู้สอนจึงควรศึกษาเทคนิควิธีการและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะ นำมาใช้ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้ใหม่ ซึ่งแต่เดิมมักเป็นการสอนให้ผู้เรียนเรียนโดยเน้นการท่องจำ และ ปรับเปลี่ยนมาสู่การใช้เทคนิควิธีการที่จะช่วยผู้เรียนได้รับข้อเท็จจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สิ่งท่ี สำคัญและเป็นความต้องการของการศึกษาในปัจจุบัน การสอนที่ผู้เรียนควรได้รับ คือ ทักษะการคิดในระดับสูง

๘ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตลอดจนการแก้ปัญหาและการถ่ายโอน โดยเน้นการใช้วิธีการต่าง ๆ อาทิ สถานการณ์จำลอง การค้นพบ การแก้ปัญหา และการเรียนแบบร่วมมือ สำหรับผู้เรียนจะได้รับประสบการณ์ การแกป้ ญั หาท่ีสอดคลอ้ งกับสภาพชีวติ จริง ในการใช้สอื่ การเรยี นรู้ ครูผ้สู อนจำเป็นตอ้ งเตรียมการ ดงั นี้ ๑. เตรียมตัวผู้สอน เป็นการเตรียมความพร้อมของตัวผู้สอนในการใช้สื่อการเรียนรู้ โดยการทำความ เข้าใจในเนอ้ื หาท่ีมีในสอ่ื ข้นั ตอน และวิธีการใชส้ ื่อ เปน็ ต้น ๒. เตรียมจัดสภาพแวดล้อม เช่น สถานที่ ห้องเรียน ห้อง Lab วัสดุอุปกรณ์ เครื่องไม้ เครื่องมือ และสิ่ง อำนวยความสะดวกตา่ ง ๆ ๓. เตรียมตัวผูเ้ รียน เพื่อให้มีความพร้อมที่จะเรียน อาจมีการทดสอบ มีการอธิบายวิธีการใช้สื่อ อุปกรณ์ เครือ่ งมือตา่ ง ๆ บอกวัตถุประสงค์ แนะนำหรอื ให้ความคิดรวบยอดของเนื้อหาในสือ่ น้นั ๆ เป็นต้น ๔. การใช้สื่อให้เหมาะกับขั้นตอนและวิธีการ ตามที่ได้เตรียมไว้แล้ว และควบคุมการนำเสนอสื่อ เพื่อให้ การเรียนการสอนเปน็ ไปอยา่ งราบรน่ื ๕. การติดตามผล (Follow Up) หลังจากการใช้ส่ือการเรียนรู้แล้ว ควรมีการติดตามผล เพื่อเป็นการ ทดสอบว่า ผู้เรียนเข้าใจบทเรียน และเรียนรู้จากสื่อที่นำเสนอไปนั้นอย่างถูกต้องหรือไม่ เช่น การให้ผู้เรียน ตอบคำถาม อภิปราย ทำรายงาน เป็นต้น เพื่อผู้สอนจะได้ทราบจุดบกพร่อง สามารถนำมาแก่ไขปรับปรุงสำหรับ การสอนในครง้ั ตอ่ ไป ข้นั ตอนการใช้ส่ือการเรยี นรู้ การใช้สื่อการเรียนรู้นั้น อาจจะใช้เฉพาะขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของการสอน หรือจะใช้ทุกขั้นตอนก็ได้ ดงั น้ี ๑. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหาที่กำลังจะเรียนนั้น สื่อที่ใช้ในขั้นน้ี จึงเป็นสื่อที่แสดงเนื้อหากว้าง ๆ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในครั้งก่อน ยังมิใช่สื่อที่เน้นเนื้อหาเจาะลึก อย่างแทจ้ ริง และควรเป็นส่ือทง่ี า่ ยตอ่ การนำเสนอในระยะเวลาอนั ส้นั เชน่ ภาพ บตั รคำ เปน็ ตน้ ๒. ขั้นดำเนินการสอนหรือประกอบกิจกรรมการเรียน เป็นขั้นที่จะให้ความรู้เนื้อหาอย่างละเอียด เพื่อสนองวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้สอนควรเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหา และวิธีการสอนต้องมีการจัดลำดับขั้นตอน การใชส้ ื่อใหเ้ หมาะและสอดคล้องกับกจิ กรรมการเรยี น การใช้สื่อในขนั้ นี้จะต้องเปน็ ส่ือทีเ่ สนอความรู้อย่างละเอียด ถูกตอ้ งและชัดเจนแก่ผเู้ รียน เชน่ สไลด์ แผนภมู ิ วีดีทศั น์ เปน็ ตน้ ๓. ขั้นวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ตรงแก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้ทดลองนำ ความรู้ที่เรียนมาแล้วไปใช้แก้ปัญหาในขั้นฝึกหัดโดยการลงมือฝึกปฏิบัติเอง สื่อในขั้นนี้จึงเป็นสื่อที่เป็นประเด็น ปัญหาให้ผ้เู รียนได้ขบคดิ โดยผู้เรียนเป็นผ้ใู ช้สือ่ เองมากทส่ี ดุ เช่น ภาพ บตั ร ปญั หา สมดุ แบบฝึกหดั เปน็ ต้น ๔. ขั้นสรุปบทเรียน เป็นการย้ำเนื้อหาบทเรียนให้ผู้เรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และตรงตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ขั้นสรุปควรใช้เวลาเพียงสั้น ๆ สื่อที่สรุปจึงควรครอบคลุมเนื้อหาสำคัญทั้งหมด เช่น แผนภูมิ แผน่ โปรง่ ใส เปน็ ต้น ๕. ขั้นประเมินผู้เรียน เป็นการทดสอบว่าผู้เรียนเข้าใจในสิ่งท่ีเรียนไปถูกต้องมากน้อยเพียงใด และบรรลุ ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ สื่อในขั้นการประเมินนี้มักจะเป็นคำถามจากเนื้อหาบทเรียน โดยอาจมีภาพ ประกอบด้วยก็ได้

๙ เทคนคิ การใชส้ อื่ การเรยี นรู้ การใช้สื่อการเรียนรู้ ย่อมจะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ลักษณะและ คุณสมบัติของสื่อแต่ละประเภท กลุ่มผู้เรียน ผู้สอน สถานที่ ความพร้อมของอุปกรณ์และเครื่องมือประกอบ ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เป็นต้น แต่หลักการสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงอยู่เสมอก็คือ “เงื่อนไข การเรียนรู้” คินเตอร์ ไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะในการใชส้ ื่อการเรยี นการสอนไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. ไม่มีวิธีการสอนหรือวัสดุประกอบการสอนชนิดใด ที่จะสามารถใช้กับผู้เรียนและบทเรียนทั่วไปได้ วธิ สี อนและวสั ดปุ ระกอบการสอนแต่ละประเภทยอ่ มมีจุดมุ่งหมายเฉพาะของมนั เอง ๒. ในบทเรียนหนึ่ง ๆ ไม่ควรใช้สื่อการเรียนการสอนมากเกินไป ควรใช้เพียงแต่เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ในบางครัง้ ก็ไมค่ วรใช้สือ่ อย่างเดียวตลอด ๓. สอื่ การเรยี นการสอนทใ่ี ช้ควรจะตอ้ งสอดคล้องกับบทเรยี นและกระบวนการเรียนการสอน ๔. สื่อการเรียนการสอนควรสร้างให้เกิดโอกาสที่ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเตรียมและการใช้ อนั กอ่ ให้เกิดประสบการณก์ ารเรียนรูท้ ี่ไมล่ มื ง่าย ๕. ก่อนใช้สื่อการเรียนการสอน ผู้สอนควรทดลองใช้ก่อนเพื่อความแน่ใจว่าจะใช้ได้ถูกต้องและ มีประสทิ ธภิ าพ นอกจากน้ันยังต้องจดั เตรยี มอปุ กรณ์และเครื่องมอื ประกอบให้พร้อมทกุ อยา่ ง สอ่ื การเรยี นร้แู ละเทคโนโลยใี นยคุ ปจั จบุ นั รูปแบบการศึกษาในปัจจุบนั ได้มีการเปล่ียนแปลงไปอย่างมาก จากการเรียนนี้จึงต้องพัฒนาในห้องเรียน ไปสู่การเรียนในห้องเรียนขนาดใหญ่และการศกึ ษาทางไกล ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการพัฒนาสือ่ การเรียนรู้ โดยการนำ สื่อเทคโนโลยีระดับสูงมาใช้ เพื่อให้ครูและนักเรียนสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย (กดิ านนั ท์ มลทิ อง. ๒๕๔๔ : ๒) ๑. การใช้กล้องโทรทัศน์ถ่ายทอดการสอนจากครูคนเดียวไปยังนักเรียนจำนวนมากที่อยู่ในห้องเรียน ตา่ ง ๆ ๒. การใช้เครื่องวิชวลไลเซอร์และเครื่องแอลซีดีถ่ายทอดเนื้อหาและภาพจากวัสดุขนาดเล็ก ให้ฉายขนาดใหญข่ ึ้นเพื่อใหช้ มไดอ้ ย่างชดั เจนท่วั ถงึ ๓. การใชเ้ ครือ่ งแอลซีดถี า่ ยทอดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์บนจอภาพ ๔. การใชค้ อมพิวเตอรเ์ พ่อื การเรียนและฝกึ อบรมในรูปแบบเว็บเพ่อื การศกึ ษา ๕. การใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตในการเรียนการสอนและฝึกอบรม รวมถึงการสืบค้นข้อมูลจากแหล่ง ต่าง ๆ ทัว่ โลก ๖. การใช้ดาวเทยี มถ่ายทอดการสอนจากสถาบนั การศึกษาหนึง่ ไปยงั สถาบันตา่ ง ๆ ทอี่ ยหู่ า่ งไกล ๗. การวางระบบแลน (local area network) เพื่อสร้างเครือข่ายภายในสถาบันการศึกษาในการติดต่อ และใช้ทรัพยากรร่วมกนั ๘. การพัฒนาระบบเครือข่ายและซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษาทางไกลในรูปแบบการสื่อสาร ๒ ทางใน ลักษณะการประชุมทางไกล (teleconference) ในศตวรรษแห่งภูมิปัญญามกี ารนำเอา ICT มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนหลายรูปแบบ เช่น การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (Computer Assisted Instruction) การเรียนในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์ (e-Leaning) การเรียนโดยใช้การสื่อสารทางไกล (Distance Learning) ภายใต้ความเชื่อเกี่ยวกับศักยภาพของ เทคโนโลยีในปัจจุบันที่จะให้ผู้เรียนเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่มากมาย หรือในโลกแห่งความรู้ (World Knowledge) ซงึ่ ผ้เู รียนมีความสามารถทจี่ ะเรยี นเวลาใด สถานที่ใด หรอื แมก้ ระทัง่ จะเรยี นรู้กบั ใครกไ็ ด้

๑๐ เทคโนโลยกี ับการเรียนการสอนทเ่ี ก่ยี วข้องกับการเรียนการสอน มี ๓ ลักษณะ คือ ๑. การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี (Learning about Technology) ได้แก่ เรียนรู้ระบบการทำงาน ของคอมพิวเตอร์ เรียนรู้จนสามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทำระบบข้อมูลสารสนเทศเป็น สื่อสารข้อมูลทางไกล ผา่ น Email และ Internet ได้ เปน็ ตน้ ๒. การเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี (Learning by Technology) ได้แก่ การเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ และ ฝึกความสามารถ ทักษะ บางประการโดยใช้สื่อเทคโนโลยี เช่น ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ทางโทรทัศน์ทส่ี ง่ ผ่านดาวเทยี ม การค้นคว้าเรอ่ื งท่สี นใจผ่าน Internet เป็นตน้ ๓. การเรียนรู้กับเทคโนโลยี (Learning with Technology) ได้แก่ การเรียนรู้ด้วยระบบการ สื่อสาร ๒ ทาง (interactive) กับเทคโนโลยี เช่น การฝึกทักษะภาษากับโปรแกรมที่ให้ข้อมูลย้อนกลับถึงความ ถูกต้อง (Feedback) การฝึกการแก้ปัญหากับสถานการณ์จำลอง (Simulation) เปน็ ต้น ตามแผนแม่บทของการศึกษาแห่งชาติ และการกำหนดนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้ สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษา โดยการใช้ไอซีทีในสถาบันการศึกษาทั้งหมดและมีให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสใช้ ไอซีทเี พอื่ การเรียนตามประสทิ ธิภาพที่พอเพียงอยา่ งทวั่ ถึง โดยมีวิสัยทัศนแ์ ละจุดมุง่ หมายสำคญั สรุปได้ดังน้ี ผู้เรียน ผูเ้ รียนสามารถใชไ้ อซที เี ป็นเครื่องมอื ในการเรยี นรูต้ ลอดชีวติ โดยมีจุดมุ่งหมายคอื ๑. การรู้เทคโนโลยีและการรู้สารสนเทศ ในระดับพื้นฐานเพื่อสามารถเข้าถึงและสามารถใช้ไอซีที เพื่อการค้นคว้า รวบรวม และประมวลผลจากแหลง่ ต่าง ๆ และเพื่อเการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๒. บูรณาการความรู้ด้านเทคโนโลยีและทักษะการจัดการสารสนเทศเพื่อพัฒนาความสามารถในการ วิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานเปน็ ทมี ๓. กระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาคุณค่า ทัศนคติ และจริยธรรมในเชงิ บวกในการใช้ไอซีทีซึง่ จะเป็นประโยชน์ ในการเรียนรตู้ ลอดชีวติ และกระบวนการคดิ อยา่ งวิเคราะห์ ๔. ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสเข้าถึง ใช้ และเรียนรู้ทักษะไอซีทีในการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วย หลักสตู รพื้นฐาน ๕. ต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสในการใช้และพัฒนาความรู้ไอซีทีในทุกสาขาวิชา และเพิ่มโอกาสให้ ผู้เรยี นมกี ารใช้ไอซที ใี หม้ ากขึ้น ๖. กระบวนการเรียนการสอนต้องไม่จัดเฉพาะในชั้นเรียนเท่านั้น ผู้เรียนควรมีโอกาสสัมผัสโลก ภายนอกผ่านเครือข่ายไอซีที การรู้ไอซีที และมีการพัฒนาการของทัศนคติที่ดีต่อไอซีทีตามความต้องการของแต่ ละคน ๗. นักเรียนทุกคนที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ และปีท่ี ๖ สามารถใช้โปรแกรมประมวลคำและ ตารางการคำนวณได้ นักเรยี นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕ สามารถเขียนโปรแกรมได้ ๘. นักเรยี นทุกคนในโรงเรียนท่มี ีนักเรยี นต้ังแต่ ๑-๑๐๐ คนข้ึนไป ใช้อินเทอรเ์ นต็ ในการสืบคน้ ข้อมูลได้ ผูส้ อน ผู้สอนควรมีความรู้และทักษะไอซีทีในระดับสูง รวมถึงความเข้าใจในการพัฒนาการของการใช้สื่อ เทคโนโลยใี นการเรยี นการสอน โดยมีจดุ มุ่งหมายดังน้ี ๑. สมรรถนะด้านไอซีทีจะช่วยให้ผู้สอนมีความรู้อย่างกว้างขวาง มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลเพื่อสามารถเป็นผู้ แนะนำแกผู้เรียนได้

๑๑ ๒. คอมพิวเตอร์จะเป็นเครื่องมือหลักสำคัญสำหรับผู้สอนเพื่อเข้าถึงทรัพยากรการเรียนการเตรียม แผนการสอน ใหก้ ารบ้าน และตดิ ตอ่ สอื่ สารกับผปู้ กครองนักเรยี น ผู้สอนคนอ่นื ๆและผบู้ ริหาร ๓. ผู้สอนควรได้รับการอบรมในการใช้ไอซที ีและสามารถบูรณาการไอซีทีในกิจกรรมการเรียนการสอน ได้เพอ่ื สง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ อย่างวเิ คราะหแ์ ละสรา้ งสรรค์ ๔. ผู้สอนควรติดตามพัฒนาการและความก้าวหน้าของไอซีทีเพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเรียน การสอนได้ ๕. ครูไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ใช้คอมพิวเตอร์เป็น และไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ สามารถใช้อินเทอร์เน็ต ได้ และต้องมีวิชาสอนดว้ ยการบรู ณาการไอซที ี รูปแบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรยี นการสอน ๑. การเรียนการสอนบนอินเทอรเ์ น็ตและเวลิ ดไ์ วด์เวบ็ ๒. การสง่ การสอนทางไกลด้วยการสง่ สญั ญาณผ่านดาวเทียม ๓. การเรียนการสอนโดยการประชุมทางไกลด้วยวีดิทัศน์ ๔. บทเรียนลกั ษณะขอ้ ความหลายมิติและสือ่ หลายมติ ิ ๕. บันทกึ ข้อมูลและสารสนเทศด้วยซีดแี ละดีวีดี ๖. การเรยี นการสอนด้วยเทคโนโลยไี รส้ าย ๗. การศึกษาเชิงลึกด้วยเทคโนโลยีความเปน็ จริงเสมือน กล่าวโดยสรุป จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี ปรัชญา ดา้ นเทคโนโลยกี ารศึกษา ซ่งึ เปน็ ปจั จยั ทสี่ ่งผลต่อ การเปลี่ยนแปลงตัวของมันเองรว่ มกับปัจจัยด้านต่าง ๆ ในด้านขอบข่ายสาระของแนวคิด และกระบวนทัศน์ของ เทคโนโลยีการศึกษา จากโสตทัศนศึกษา มาเป็นเทคโนโลยีการศึกษาครอบคลุม การจัดระบบ ทฤษฎีต่าง ๆ ที่ ส่งผลต่อศาสตร์ และสื่อต่าง ๆ เกิดเป็นสหวิทยาการที่มีขอบข่ายกว้างขวาง ครอบคลุมการศึกษาทุกแบบ การศึกษาด้วยตนเอง การศึกษาทางไกล การเรียนรู้ตลอดชีวิต การศึกษากับชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิน่ เทคโนโลยี การสื่อสารและสารสนเทศ การเรียนรู้ผ่านเครือข่ายและสื่อสมัยใหม่ มุ่งสร้างองค์ความรู้แก่ผู้เรียน โดยเปลี่ยน จาก Teacher Center เปน็ Child Center และมีแนวโน้มจะเป็น Media Center สื่อเทคโนโลยี เป็นสื่อที่นำศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการนำเสนอ เนื้อหาบทเรียน เช่น แถบบันทึกภาพ วีดีทัศน์ เทปเสียง สไลด์ คอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย สื่อบนเครือข่าย อนิ เทอรเ์ น็ต การศกึ ษาผ่านดาวเทียม กระบวนการเรียนร้ขู องผู้เรยี นด้วยสื่อเทคโนโลยี ผูเ้ รยี นสามารถมปี ฏิสมั พันธ์ และสร้างการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สื่อจำพวกมัลติมเี ดีย ยังสามารถนำเสนอภาพเคลือ่ นไหว ภาพจริง ที่แสดงความ เปลี่ยนแปลง ตลอดจนเสียงประกอบที่ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศยังสนอง ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ให้ความเหมือนจริง ค้นหาสารสนเทศ ความรู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และสนองตอบการเรียนรู้ระยะไกล

๑๒ ตัวอย่างสอื่ การเรียนการสอนสมยั ใหม่ ๑. สือ่ E-Leaning หรือบทเรียนออนไลน์ คำว่า e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะหรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหาน้ัน กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่นซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเนต็ หรือ ทางสัญญาณ โทรทัศน์หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้นซึ่งการเรียนลักษณะน้ีได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมืองไทยใน ระยะหนึ่งแล้ว เช่นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning), การ เรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทยี ม หรอื การเรยี นดว้ ยวีดีโอผา่ นออนไลน์ ดร. สุรสิทธิ์ วรรณไกรโรจน์ ผู้อำนวยการโครงการการเรียนรู้แบบออนไลน์แห่ง สวทช. ได้ให้คำจำกัด ความของ บทเรียนออนไลน์ (Online) e-Learning (อีเลิร์นนิง) คือ การเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ e-learning (อีเลิร์นนิ่ง) การศึกษา เรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็น การเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซ่ึง ประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่นๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดย ผู้เรียน ผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้ เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย เช่น e-mail, webboard, chat) จึงเป็นการเรียนสำหรบั ทุกคน, เรยี นไดท้ ุกเวลา และทุกสถานที่ (Learn for all : anyone, anywhere and anytime) สามารถนำไปใชป้ ระกอบกับการเรียนการสอน ได้ ๓ ระดับ ดังนี้ ๑. สื่อเสริม (Supplementary) กล่าวคือนอกจากเนื้อหาที่ปรากฏในลักษณะ e-Learning แล้วผู้เรียน ยังสามารถศึกษาเนื้อหาเดียวกันนี้ในลักษณะอื่น ๆ เช่น จากเอกสาร (ชีท)ประกอบการสอน จากวิดีทัศน์ (Videotape) ฯลฯ การใช้ e-Learning ในลักษณะนี้เท่ากับว่าผู้สอนเพียงต้องการจัดหาทางเลือกใหม่อีกทางหนึ่ง สำหรับผูเ้ รียนในการเขา้ ถงึ เนอ้ื หาเพื่อให้ประสบการณ์พิเศษเพิ่มเติมแก่ผู้เรยี นเทา่ น้นั ๒. สื่อเติม (Complementary) หมายถึงการนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะเพิ่มเติมจากวิธีการสอน ในลักษณะอื่นๆ เช่นนอกจากการบรรยายในห้องเรียนแล้วผู้สอนยังออกแบบเนื้อหาให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาเนื้อหา เพิ่มเติมจาก e-Learning ในความคดิ ของผเู้ ขียน ๓. สื่อหลัก (Comprehensive Replacement) หมายถึงการนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะแทนท่ี การบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหาทั้งหมดออนไลน์ ในปัจจุบัน e-Learning ส่วนใหญ่ใน ต่างประเทศจะได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้เป็นสื่อหลักสำหรับแทนครูในการสอนทางไกล ด้วย

๑๓ แนวคิดที่ว่า มัลติมีเดีย ที่นำเสนอทาง e-Learning สามารถช่วยในการถ่ายทอดเน้ือหาได้ใกล้เคียงกับการสอนจรงิ ของครผู ้สู อนโดยสมบูรณไ์ ด้ การเตรยี มความพร้อมของผเู้ รยี น สำหรบั การเรยี นแบบ e – Learning ๑. สามารถใช้งานคอมพวิ เตอร์ และใชง้ านอินเทอรเ์ นต็ ไดเ้ ป็นอย่างดี ๒. เพื่อการเรียนเนื้อหาบทเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วไม่ต่ำ กว่า ๒๕๖ K ๓. ผูเ้ รยี นจะตอ้ งวางแผนการเรียน แบง่ เวลาในการเรยี น ควบคุมการเรยี นใหเ้ ป็นไปตามความพร้อมและ ความสามารถของตนเองควบคไู่ ปกับตารางการเรยี นการสอนของทางสถาบัน การประเมินเนื้อหาต้องมีความถูกต้อง วิธีการสอนหรือการเสนอเนื้อหาความมุ่งหมายชัดเจนตรงตาม วัตถุประสงค์ มีความชัดเจนและตามตรรกะ เหมาะสมกับผู้เรียนส่งเสริมในการคิดสร้างสรรค์ตอบสนองความ ต้องการของผู้เรียนเหมาะสมกับสถานการณ์ เวลา และเหตุการณ์ช่วยบูรณาการประสบการณ์ในอดีตผู้เรียน สามารถควบคุมไดเ้ ทคนิควธิ ีการ การแสดงผลงา่ ยตอ่ การใช้งาน มีความแนน่ อนเชื่อถอื ได้ ๒. สอ่ื CAI หรอื คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (Computer Assisted Instruction) คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือโปรแกรมช่วยสอน คือสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนอันหนึ่ง CAI คล้ายกับสื่อ การสอนอื่น ๆ เช่น วิดีโอช่วยสอน บัตรคำช่วยสอน โปสเตอร์ แต่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะดีกว่าตรงที่ตัวสื่อการ สอน ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์นั้น สามารถโต้ตอบกับนักเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับคำสั่งเพื่อมาปฏิบัติ ตอบคำถาม หรอื ไมเ่ ชน่ นน้ั คอมพวิ เตอร์กจ็ ะเปน็ ฝา่ ยปอ้ นคำถาม หมายถงึ การนำคอมพวิ เตอร์มาเปน็ เครอ่ื งมอื สร้างใหเ้ ป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพอ่ื ให้ผเู้ รียนนำไปเรียน ด้วยตนเองและเกิดการเรียนรู้ในโปรแกรมประกอบไปด้วย เนื้อหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ ลักษณะของการ นำเสนออาจมีทั้งตัวหนังสือ ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว สีหรือเสียงเพื่อดึงดูดให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมากยิ่งข้ึน รวมท้งั การแสดงผลการเรียนให้ทราบทันทดี ว้ ยข้อมูลย้อนกลบั (Feedback) แก่ผูเ้ รยี นและยังมกี ารจดั ลำดับวิธีการ สอนหรอื กจิ กรรมตา่ ง ๆเพื่อให้เหมาะสมกบั ผเู้ รียนในแต่ละคนนอกจากนั้น คอมพวิ เตอร์ช่วยสอนเองยังมีลักษณะท่ี

๑๔ เรียกว่า “บทเรียนสำเรจ็ รูป” แต่เป็นบทเรียนสำเร็จรปู โดยการใช้ไมโครคอมพวิ เตอรเ์ ป็นตัวกลางแทนสิ่งพิมพ์หรอื สื่อประเภทต่างๆทำให้บทเรียนสำเร็จรูปในคอมพิวเตอร์มีศักยภาพเหนือกว่าบทเรียนสำเร็จรูปในรูปแบบอื่นๆ ทง้ั หมดโดยเฉพาะมีความสามารถท่เี กอื บจะแทนครูทเี่ ป็นมนุษยไ์ ด้ คณุ ลกั ษณะสำคญั ของคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) คุณลกั ษณะทีเ่ ป็นองคป์ ระกอบสำคญั ของคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. สารสนเทศ (Information) หมายถึง เนื้อหาสาระที่ได้รับการเรียบเรียง ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ หรือได้รับทักษะอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ผู้สร้างได้กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ การนำเสนออาจเป็นไปในลักษณะ ทางตรง หรือทางอ้อมก็ได้ ทางตรงได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทติวเตอร์ เช่น การอ่าน จำ ทำความเข้าใจ ฝกึ ฝน ตัวอยา่ ง การนำเสนอในทางอ้อมไดแ้ ก่ คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนประเภทเกมและการจำลอง ๒. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individualization) การตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล คือ ลักษณะสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บุคคลแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันทางการเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วย สอน เป็นสือ่ ประเภทหนง่ึ จึงตอ้ งได้รบั การออกแบบใหม้ ลี กั ษณะท่ตี อบสนองตอ่ ความแตกต่างระหว่างบคุ คลให้มาก ท่สี ดุ ๓. การโต้ตอบ (Interaction) คือการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการเรียน การสอนรูปแบบทดี่ ที ีส่ ดุ กค็ อื เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนได้มปี ฏสิ มั พนั ธก์ ับผูส้ อนไดม้ ากที่สดุ ๔.การให้ผลป้อนกลับโดยทันที (Immediate Feedback) ผลป้อนกลับหรือการให้คำตอบนี้ถือเป็นการ เสริมแรงอย่างหนึ่ง การให้ผลป้อนกลับแก่ผู้เรียนในทันทีหมายรวมไปถึงการที่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สมบูรณ์ จะตอ้ งมีการ ทดสอบหรอื ประเมนิ ความเข้าใจของผูเ้ รียนในเน้อื หาหรอื ทักษะต่าง ๆ ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ก่ี ำหนดไว้ ประโยชน์ของคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI) ๑. ช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นทีเ่ รียนอ่อน สามารถใช้เวลานอกเวลาเรียนในการฝึกฝนทักษะ และเพ่มิ เตมิ ความรู้ เพื่อ ปรับปรุงการเรยี นของตน ๒. ผู้เรียนสามารถนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปใช้ในการเรียนด้วยตนเองในเวลา และสถานที่ที่สะดวก ๓. คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถท่จี ะจงู ใจผ้เู รยี นใหเ้ กดิ ความกระตอื รือรน้ สนกุ สนานไปกับการเรยี น ตวั อย่างของคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน หรอื CAI ๑. การสอน (TutorialInstruction) เป็นโปรแกรมที่เสนอเนื้อหาความรู้เป็นเนื้อหาย่อย ๆ แก่ผู้เรียนใน รูปแบบของข้อความ ภาพ เสียง หรือทุกรูปแบบรวมกัน แล้วให้ผู้เรียนตอบคำถามเมื่อผู้เรียนให้คำตอบแล้ว คำตอบนั้นจะได้รับการวิเคราะห์เพื่อให้ข้อมูลป้อนกลับทันทีแต่ถ้าผู้เรียนตอบคำถามนั้นซ้ำและยังผิดอีกก็จะมีการ ใหเ้ นือ้ หาเพื่อทบทวนใหม่จนกว่าผูเ้ รยี นจะตอบถกู แล้วจึงตัดสินใจว่าจะยังคงเรียนเนื้อหาในบทนน้ั อีก หรือจะเรียน ในบทใหม่ตอ่ ไป ๒. การฝึกหัด (Drills and Practice) เป็นโปรแกรมฝึกหัดที่ไม่มีการเสนอเนื้อหาความรู้แก่ผู้เรียนก่อน แต่จะมีการให้คำถามหรือ ปัญหาที่ได้คัดเลือกมาจากการสุ่ม หรือออกแบบมาโดยเฉพาะโดยการนำเสนอคำถาม หรือปัญหานั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ผู้เรียนตอบแล้วมีการให้คำตอบที่ถูกต้อง เพื่อการตรวจสอบยืนยันแก้ไขและ พร้อมกับให้คำถามหรือปัญหาต่อไปอีก จนกว่าผู้เรียนจะสามารถตอบคำถามหรือแก้ปัญหานั้นจนถึงระดับที่น่า

๑๕ พอใจ ดังนั้นในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกหัดนี้ ผู้เรียนจึงจำเป็นต้องมีความคิดรวบยอดและมีความรู้ความ เข้าใจในเร่อื งราว และกฎเกณฑ์เกย่ี วกับเร่อื งนน้ั ๆเป็นอยา่ งดมี ากอ่ น แล้วจึงจะสามารถตอบคำถาม หรือแกป้ ัญหา ได้ ๓. การจำลอง (Simulation) เป็นโปรแกรมที่จำลองความเป็นจริงโดยตัดรายละเอียดต่าง ๆหรือนำ กิจกรรมท่ใี กลเ้ คยี งกับความเปน็ จริง มาใหผ้ ู้เรียนได้ศกึ ษานน้ั เปน็ การเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นไดพ้ บเห็นภาพจำลองของ เหตุการณ์ เพื่อการฝึกทักษะและการเรียนรู้ได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงภัย หรือเสียค่าใช้จ่ายมากนักโปรแกรมนี้มิใช่เป็น การสอนเหมือนกับโปรแกรมการสอนแบบธรรมดาซึ่งเป็นการเสนอเนื้อหาความรู้ แล้วจึงให้ผู้เรียนทำกิจกรรมแต่ เป็นเพียงการแสดงให้ผ้เู รยี นไดช้ มเท่านนั้ ๔. เกมเพื่อการสอน (Instructional Games) โปรแกรมชนิดนี้กำลังเป็นที่นิยมกันมากเนื่องจากเป็นสิ่งที่ กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้ได้โดยง่ายเพิ่มบรรยากาศในการเรียนรู้ให้ดียิ่งข้ึนและช่วยมิให้ผู้เรียนเกิด อาการเหม่อลอยหรือฝันกลางวัน ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเรียนเนือ่ งจากมีการแข่งขันจึงทำให้ผู้เรียนต้องมีการตืน่ ตัว อยู่เสมอ ๕. การค้นพบ (Discovery) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองให้ มากที่สุดโดยการเสนอปัญหาให้ผู้เรียนลองผิดลองถูกหรือโดยวิธีการจัดระบบเข้ามาช่วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะใหข้ ้อมลู แก่ผูเ้ รียนเพอื่ ช่วยในการค้นพบจนกวา่ จะไดข้ อ้ สรุปทีด่ ที ีส่ ดุ ๖. การแก้ปัญหา (Problem-Solving) เป็นการให้ผู้เรียนฝึกการคิด การตัดสินใจโดยมีการกำหนด เกณฑใ์ ห้ แล้วให้ผ้เู รียนพิจารณาไปตามเกณฑ์นั้นโปรแกรมเพ่ือการแกป้ ัญหาแบ่งไดเ้ ป็น ๒ ชนดิ คือ โปรแกรมที่ให้ ผเู้ รียนเขยี นเองและโปรแกรมท่ีมผี ู้เขียนไว้แล้ว เพือ่ ช่วยผู้เรยี นในการแก้ปัญหา โดยทคี่ อมพวิ เตอร์จะช่วยในการคิด คำนวณ และหาคำตอบทถ่ี ูกต้องให้ ๗. การทดสอบ (Tests) การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการทดสอบมิใช่เป็นการใช้เพียงเพื่อปรับปรุง คุณภาพของแบบทดสอบเพื่อวัดความรู้ของผู้เรียนเท่านั้นแต่ยังช่วยให้ผู้สอนมีความรู้สึกที่เป็นอิสระจากการผูกมัด ทางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เกีย่ วกับการทดสอบได้อีกด้วย การนำไปใช้ สื่อการเรียนการสอนนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการ เรียนรู้ได้หรือเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญสื่อการเรียนการสอนประเภท “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” เองนับว่าเป็นส่ือ ประเภทหนึ่งที่ให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง ทั้งนี้เนื่องจากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีคุณสมบัติในการนำเสนอแบบ หลายสื่อ (Multimedia) ด้วยคอมพิวเตอร์และการเรียนที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือเป็นเพิ่มความ น่าสนใจให้แก่ผู้เรียน โดยนำเสนอในรูปแบบต่างๆเช่น ภาพ เสียง กราฟฟิกต่าง ๆ โดยเน้นให้ผู้เรียนได้เกิดการ เรยี นรู้ดว้ ยตนเอง การประเมนิ ประเมินว่าหลังจากนักเรียนใช้โปรแกรมนี้แล้วบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่วิธีการประเมินผลส่วนน้ี กระทำโดยผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนและหลังการใช้โปรแกรมเพื่อวัดความก้าวหน้าของผู้เรียนถ้าผลการทดสอบ ออกมาตดิ ลบแสดงวา่ หลังจากการใช้โปรแกรมผู้เรยี นไม่ไดพ้ ัฒนาขึ้นเลยจำเปน็ ต้องมกี ารปรับปรุงวตั ถุประสงค์ใหม่ เพราะโปรแกรมที่สร้างไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้นอกจากนี้ยังประเมินในส่วนของโปรแกรมและการทำงาน ว่าการใช้โปรแกรมกับเนื้อหารวิชานี้เหมาะสมหรือไม่เจตคติของผู้เรียนต่อการใช้โปรแกรมเป็นอย่างไรวิธีการใช้

๑๖ โปรแกรมง่ายยากอย่างไรวิธีการสอนบทเรียนความถูกต้องของเนื้อหาเอกสารประกอบการติดต่อกับผู้เรียนเป็น อย่างไรการประเมินผลเป็นอย่างไรการประเมินผลส่วนนี้จะใช้แบบสอบถามจากขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนทกี่ ลา่ วมาท้งั หมดขา้ งต้นนี้ ๓. e-Book หรอื หนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์ อีบุ๊ค (e-book, e-Book, eBook, EBook,) เป็นคำภาษาต่างประเทศ ย่อมาจากคำว่า electronic book หมายถึง หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะ เป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์ คุณลักษณะของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเช่ือมโยงจุดไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของหนงั สอื เว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนมี ปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสือ อเิ ล็กทรอนิกส์สามารถปรบั ปรุงข้อมูลใหท้ นั สมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัตเิ หล่าน้ีจะไม่มีในหนังสอื ธรรมดาท่วั ไป หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นหนังสือที่จัดทำด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องพิมพ์เนื้อหาสาระของ หนังสือบนกระดาษหรือจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเปิดอ่านได้จากจอภาพของเครื่อง คอมพิวเตอร์ เหมือนกับเปิดอา่ นจากหนังสือโดยตรง ทั้งนี้สามารถนำเสนอข้อมูลได้ทัง้ ตัวอักษรหรือตัวเลข เรียกวา่ ไฮเปอร์เท็กซ์ (hypertext) และถ้าหากข้อมูลนั้นรวมถึงภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหวจะเรียกว่า ไฮเปอร์มีเดีย (hypermedia)โดยการประสานเชื่อมโยงสัมพันธ์ของเนื้อหาที่อยู่ในแฟ้มเดียวกัน หรืออยู่คนละแฟ้ม เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้ สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพซึ่งผู้เรียนสามารถที่จะเลือกเรียนได้ ตามความตอ้ งการไมจ่ ำกัดเวลาและสถานท่ี โครงสร้างหนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ (e-Book Construction) ลักษณะโครงสร้างของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะมีความคล้ายคลึงกับหนังสือทั่วไปที่พิมพ์ด้วยกระดาษ หากจะมีความแตกตา่ งที่เห็นได้ชัดเจนกค็ ือกระบวนการผลิต รูปแบบ และวิธีการอ่านหนังสือ สรุปโครงสร้างทั่วไป ของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ประกอบดว้ ย

๑๗ ๑. หน้าปก (Front Cover) หมายถึง ปกด้านหน้าของหนังสือซึ่งจะอยสู่ ่วนแรก เปน็ ตัวบง่ บอกว่าหนังสือ เลม่ น้ีชื่ออะไร ใครเปน็ ผแู้ ต่ง ๒. คำนำ (Introduction) หมายถึง คำบอกกล่าวของผู้เขียนเพื่อสรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับ ขอ้ มูล และเรอื่ งราวต่างๆ ของหนังสอื เลม่ น้ัน ๓. สารบัญ (Contents) หมายถึง ตัวบ่งบอกหัวเรื่องสำคัญที่อยู่ภายในเล่มว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง อยู่ ทห่ี น้าใดของหนงั สือ สามารถเชอื่ มโยงไปสหู่ น้าตา่ ง ๆ ภายในเลม่ ได้ ๔. สาระของหนังสือแต่ละหน้า (Pages Contents) ๕. อ้างอิง (Reference) ๖. ดัชนี (Index) ๗. ปกหลงั (Back Cover) ประโยชนข์ องหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book Construction) ๑. ช่วยใหผ้ ้เู รยี นสามารถย้อนกลบั เพ่ือทบทวนบทเรียนหากไม่เข้าใจ และสามารถเลือกเรียนได้ตามเวลา และสถานที่ทต่ี นเองสะดวก ๒. การตอบสนองที่รวดเร็วของคอมพิวเตอร์ที่ให้ทั้งสีสัน ภาพ และเสียง ทำ ให้เกิดความตื่นเต้นและไม่ เบือ่ หนา่ ย ๓. ช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีประสิทธิภาพในแง่ที่ลดเวลาลดค่าใช้จ่าย สนอง ความต้องการและความสามารถของบุคคล มีประสทิ ธิผลในแง่ทีท่ ำ ใหผ้ เู้ รยี นบรรลุจุดมุง่ หมาย ๔. สามารถปรับเปลี่ยน แก้ไข เพิ่มเติมข้อมูลได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว ทำให้สามารถปรับปรุงบทเรียน ให้ทันสมัยกับเหตกุ ารณไ์ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี ๕. เสริมสร้างให้ผู้เรียนเป็นผู้มีเหตุผล มีความคิดและทัศนะที่เป็น Logical เพราะการโต้ตอบกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ ผเู้ รยี นจะตอ้ งทำ อย่างมีขัน้ ตอน มรี ะเบียบ และมเี หตผุ ลพอสมควรเป็นการฝึกลักษณะนิสัยท่ีดีให้กับ ผเู้ รยี น ๖. ครูมีเวลาติดตามและตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียนแตล่ ะคนไดม้ ากขนึ้ ๗. ชว่ ยพัฒนาทางวชิ าการ

๑๘ ๔. Tablet หรือเครอ่ื งคอมพวิ เตอรส์ ำหรบั พกพา แทบ็ เล็ตคอมพิวเตอร์ หรอื แทบ็ เล็ต \"แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer\" หรือเรียกสั้นๆว่า \"แท็บเล็ต - Tablet\" คือ \"เครื่อง คอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก มี คีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุม ถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือ แบบสไลด์กต็ าม\" ปัจจุบันนี้เริ่ม มีการใช้ Tablet PC ในแวดวงการศึกษากันอย่างหลากหลาย ตัวอย่างเช่น ในรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงขั้นลงทุนซื้อ Table PC แจกให้กับนักเรียนเพื่อใช้แทนหนังสือในรูปแบบเดิม ๆ ทั้งน้ี เพราะTablet PC จะช่วยประหยัดงบประมาณในการจัดพิมพ์หนังสือและตำราเรียนได้อย่างมากมาย อีกทั้งยังทำ ให้การปรับปรุงเนื้อหาตำราเรียนสามารถทำได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องรอหนังสือเป็นเล่มๆ หมดแล้วค่อยพิมพ์ ใหม่แบบเดิม ๆ อกี ตอ่ ไป เพราะหนังสือต่าง ๆ ที่อยบู่ น Tablet PC น้ันล้วนแล้วแต่เป็นหนังสืออิเลคทรอนิคส์ท่ีถูก เก็บไวใ้ นรปู ดจิ ิตอล จึงสามารถแก้ไขเพิ่มเติมไดต้ ลอดเวลา Tablet PC หนึ่งเครื่องนั้นสามารถบรรจุหนังสือได้เป็นพันๆ เล่ม โดยผู้อ่านสามารถเลือกเล่มไหนขึ้นมา อ่านก่อนก็ได้ ความสามารถพิเศษอีกอย่างหนึ่งของ Tablet PC คือการเชื่อมโยงครูอาจารย์ และนักเรียนนักศึกษา เข้าด้วยกันผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้ข้อจำกัดเรื่องสถานที่ในการเรียนการสอนหมดไป ครูอาจารย์ และ นักเรียนนักศึกษา สามารถอยู่กันคนละที่แต่เข้ามาเรียนพร้อมกันแบบเห็นหน้าเห็นตาผ่านทางกล้องที่ถูกติดตั้งมา บน Tablet PC ได้ จึงทำให้การเรียนการสอนทางไกลเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย และเข้าไปถึงกลุ่มคนทุกชั้นไม่ว่าจะ อยู่ในชนบทห่างไกลแคไ่ หนกต็ าม สำหรับในประเทศไทย สถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยบางแห่งเริ่มมีการแจก Tablet PC ให้กับ นักศึกษาใหม่แล้ว แต่การนำไปประยุกต์ใช้ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนแน่นอนเพราะยังต้องอาศัยการพัฒนาโปรแกรม มารองรับรวมทั้งเนื้อหาตำราในรูปแบบ E-Book ที่จะต้องมีจำนวนมากกว่านี้ ในขั้นน้ี Tablet PC ในไทยจึงอาจ เป็นได้แค่เครื่องมือที่ไวจ้ งู ใจนักศึกษาหรือสรา้ งภาพลักษณ์ทันสมัยใหก้ บั มหาวิทยาลัยก่อน แต่ในอนาคต เมื่อราคา จำหน่ายของ Tablet PC ถูกลงกว่านี้จะมีจำนวนของหนังสือตำราเรียนต่างๆ ทยอยเข้าสู่E-Book มากขึ้น รวมท้ัง

๑๙ จะมกี ารพฒั นาโปรแกรมเพื่อรองรับการอา่ น E-Book แบบไทย ๆ มากขึ้น เม่อื ถงึ เวลานัน้ Tablet PC จะกลายเป็น ช่องทางใหม่ ที่เปลี่ยนรูปโฉมการเรียนการสอนและการกระจายความรู้ให้เข้าถึงคนไทยได้อย่างมากมายมหาศาล เลยทเี ดยี ว การนำเอา Tablet มาใช้เพื่อการศึกษาเป็นเรื่องที่ควรดำเนินการไปพร้อมกับพัฒนาการเรียนการสอน แต่ไม่ใช่เพียงการตั้งงบประมาณเพื่อจัดหาตัว Tablet แต่จะต้องพัฒนาเนื้อหา ระบบควบคุมและอบรมการใช้งาน ระบบที่รองรับเหล่านี้แก่บุคลากรในระบบการศกึ ษาด้วย ไม่เช่นน้ันกจ็ ะเปน็ เพียงช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์ จากการจดั ซอ้ื จดั จ้างอกี ช่องทางหนงึ่ เท่านั้น

๒๐ ๕. กระดานอัจฉริยะ (INTERACTIVE BOARD) Interactive Board หรือกระดานอัจฉรยิ ะ เป็นกระดานระบบสัมผัสที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เปน็ หน้าจอโปรเจคเตอร์คอมพิวเตอร์ (computer projector screen) ซึ่งสามารถควบคุมโดยการสัมผัสหรือเขียนบน หน้าจอแทนการใชเ้ มาส์หรือคยี ์บอร์ด หลักการทำงาน ประกอบไปด้วย ๔ องค์ประกอบคือ คอมพิวเตอร์ โปรเจคเตอร์ โปรแกรม และกระดานอัจฉริยะ โดยคอมพิวเตอร์จะถูกต่อเข้ากับโปรเจคเตอร์และกระดานอัจฉริยะ ซึ่งสามารถต่อผ่านสาย USB ไปยัง คอมพิวเตอร์ หรือบางรุ่นสามารถเชื่อมต่อผ่านทาง บลูทูธ หรืออินฟราเรด (Wireless) สำหรับโปรเจคเตอร์จะ แสดงผลจากภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปยังกระดานอัจฉริยะ การกระทำบนหน้าจอแสดงผลที่ผิวกระดานอัจฉริยะ จะมีการรับส่งสัญญาณข้อมลู กบั คอมพวิ เตอรผ์ ่านการเช่ือมต่อสาย USB หรือการเชอ่ื มต่อแบบ Wireless และแปร ผลผ่านโปรแกรมที่ติดตั้งไว้ทำให้สามารถควบคุมการทำงาน ระบบคอมพิวเตอร์ผ่านการสัมผัสที่ผิวกระดาน อัจฉริยะไดท้ ันที จะขาดส่ิงใดสิ่งหนึ่งไปมไิ ด้โดยเด็ด ขาด กระดานอัจฉริยะ หรอื Interactive White Board นั้น จะทำให้เราสามารถที่จะคอนโทรลหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้ ปากกา, นิ้วมือ, และอุปกรณ์อื่น ๆ สัมผัสไปท่ี กระดานอัจฉริยะ หรือ Interactive White Board ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานคือไม่ต้องเดินไปที่ คอมพิวเตอร์ ในการที่จะเลื่อนเมาส์ เพื่อคลิ๊ก หรือ พิมพ์ ส่วนใหญ่กระดานอัจฉริยะ หรือ Interactive White Board นน้ั จะแบง่ การทำงานออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก คือ ในส่วนของหน้าจอระบบปฏิบัติการ ( Operating System ) ชนิดต่าง ๆ ในที่นี้จะขอ ยกตัวอย่างเป็น ระบบปฏิบัติการวินโดส์ ซึ่งในการทำงานของกระดานจะสามารถสัมผัสไปที่ตัวกระดานได้เลยโดย ใช้ นว้ิ มอื หรือ อปุ กรณเ์ สรมิ ตา่ ง ๆ ส่วนที่สอง คือ ในส่วนของหน้าจอไวท์บอร์ดในส่วนนี้จะเปรียบเหมือนกระดานดำหรือกระดาน ไวท์ บอรด์ นน่ั เองต่างกันตรงที่กระดานดำหรือกระดานไวท์บอร์ดน่ัน จะตอ้ งใช้ ชอร์ค หรือ ปากกาเมจกิ ใช้ในการเขียน และไม่สามารถที่จะบันทึกสิ่งที่เขียนเอาไว้ในรูปแบบไฟล์คอมพิวเตอร์ได้ ตรงจุดนี้เองซึ่งเป็นข้อดีของกระดาน อัจฉริยะ หรือ Interactive White Board เพราะว่าสามารถที่จะใช้นิ้วหรือปากกาในการเขียนได้แล้วยังสามารถท่ี จะบันทึก ทุกสิ่งที่เราเขียนลงไปเก็บไว้ที่คอมพิวเตอร์ได้เลย นอกจากนั้นกระดานอัจฉริยะ หรือ Interactive White Board บางยี่ห้อ ยังสามารถที่จะแปลงตัวเขียนให้เป็น ตัวพิมพ์ ได้ทันที และยังสามารถที่จะบันทึกเสียงได้

๒๑ อีกด้วย แล้วก็สามารถเรยี กข้ึนมาใช้งานใหม่ได้ทันที และยังสามารถใช้ในการประชุมระหว่างตึก หรือการเรียนการ สอนระหวา่ งตกึ ไดอ้ ีกดว้ ย ข้อดสี ำหรบั ผเู้ รยี นทใี่ ช้สอื่ กระดานอัจฉริยะ (Activboard) ๑. ผู้เรียนสามารถเรยี นรู้เพิม่ เตมิ ด้วยตนเองได้ ๒. ไม่เป็นกำแพงกั้นทางด้านความคิดและความสามารถของผู้เรียน เพราะผู้เรียนสามารถใช้สื่อ ทดสอบ ความสามารถของผเู้ รียนได้ ๓. ช่วยใหก้ ารเรียนสนกุ สนาน เสมือนมีคณุ ครูคนใหม่เพมิ่ ขึน้ ๔. มีกระบวนการทางเทคนิคภายในสื่อ สามารถทำให้ผู้เรียน เรียนรู้จากนามธรรมเป็นรูปธรรมได้ อย่าง สมบรู ณ์ ๕. ชว่ ยประหยดั เรื่องของการบนั ทึกข้อมูลได้ ขอ้ ดีสำหรบั ผู้สอนทีใ่ ช้สือ่ กระดานอัจฉริยะ (Activboard) ๑. มีบทบาทในการช่วยครูผู้สอนได้มากกว่าที่คิด เพราะผู้เรียนสามารถเรียนรู้ก่อนล่วงหน้าได้ ถ้ามี ปญั หาก็สามารถซกั ถามภายในห้องเรยี น หรือส่งทางส่อื ไดร้ วดเรว็ ๒. ช่วยครูผู้สอนค้นคว้าความรู้อื่น ๆ เพื่อนำมาเพิ่มพูนความรู้กับผู้เรียน ให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยใช้เวลา สอนเทา่ เดมิ แต่ผ้เู รยี นเรียนรมู้ ากกว่าเดมิ ๓. สามารถใชป้ ระเมนิ ผลการเรยี นได้อยา่ งรวดเร็ว เทคโนโลยกี ระดานอัจฉริยะสามารถแบ่งออกได้ ดงั น้ี ๑. เทคโนโลยีกระดานอัจฉริยะแบบอิเล็กโตรแมกเนติก ( Electromagnetic Interactive Board) เป็น เทคโนโลยที ใี่ ชค้ ล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในการทำงาน ๒. เทคโนโลยีกระดานอัจฉริยะแบบอินฟราเรด (Infrared Interactive Board)เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่น อินฟราเรดในการรับจุดตัด ๓. เทคโนโลยีกระดานอัจฉริยะแบบดีวีทีที ( DVTT Interactive Board ) กระดานอัจฉริยะแบบดีวีทีที นั้นจะประกอบไปด้วยที่ส่งสัญญาณอินฟราเรดและ อุปกรณ์แปลงสัญญาณแสงให้เป็นสัญญาณอนาล็อค และ สญั ญาณอนาลอ็ คก็จะแปลงเปน็ สญั ญาณดจิ ติ อลอีกที ๔. เทคโนโลยีกระดานอัจฉริยะแบบ ทัชเซ้นซิทีฟ ( Touch Sensitive Interactive Board)เทคโนโลยี กระดานอัจฉริยะแบบTouch Sensitive ถูกสรา้ งข้นึ ดว้ ยผิวหนา้ ทม่ี คี วามแข็งแรงทนทาน

๒๒ สรุปสำหรบั ส่ือการเรยี นการสอนสมัยใหม่ ผเู้ รียนสามารถใช้ไอซที ีเป็นเครื่องมอื ในการเรียนรตู้ ลอดชวี ติ โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ ๑. การรู้เทคโนโลยีและการรูส้ ารสนเทศ ในระดบั พ้นื ฐานเพอ่ื สามารถเข้าถงึ และสามารถใช้ไอซีทีเพือ่ การ ค้นควา้ รวบรวม และประมวลผลจากแหล่งตา่ ง ๆ และเพอ่ื เการสรา้ งองคค์ วามรใู้ หม่ ๒. บูรณาการความรู้ด้านเทคโนโลยีและทักษะการจัดการสารสนเทศเพื่อพัฒนาความสามารถในการ วิเคราะห์ การแกป้ ญั หา และการทำงานเป็นทมี ๓. กระตุน้ ให้ผู้เรียนพัฒนาคุณคา่ ทัศนคติ และจริยธรรมในเชิงบวกในการใชไ้ อซีทซี ่งึ จะเปน็ ประโยชน์ใน การเรียนร้ตู ลอดชวี ิตและกระบวนการคดิ อย่างวเิ คราะห์ ๔. ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสเข้าถึง ใช้ และเรียนรู้ทักษะไอซีทีในการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วย หลกั สูตรพน้ื ฐาน ๕. ต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสในการใช้และพัฒนาความรู้ไอซีทีในทุกสาขาวิชา และเพิ่มโอกาสให้ ผูเ้ รียนมกี ารใช้ไอซีทีใหม้ ากข้ึน

๒๓ ๖. กระบวนการเรียนการสอนตอ้ งไมจ่ ัดเฉพาะในชั้นเรียนเท่านัน้ ผู้เรียนควรมีโอกาสสัมผัสโลกภายนอก ผ่านเครือขา่ ยไอซีที การรู้ไอซที ี และมีการพัฒนาการของทศั นคตทิ ่ดี ีตอ่ ไอซีทตี ามความตอ้ งการของแต่ละคน ๗. นกั เรยี นทกุ คนทเ่ี รยี นจบชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๓ และปที ี่ ๖ สามารถใช้โปรแกรมประมวลคำและตาราง การคำนวณได้ นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕ สามารถเขียนโปรแกรมได้ นักเรียนทุกคนในโรงเรียนท่ีมีนักเรียน ตง้ั แต่ ๑-๑๐๐ คนข้ึนไป ใช้อินเทอรเ์ น็ตในการสบื คน้ ขอ้ มลู ได้ ผู้สอนควรมีความรู้และทักษะไอซีทีในระดับสูง รวมถึงความเข้าใจในการพัฒนาการของการใช้ส่ือ เทคโนโลยีในการเรียนการสอน โดยมีจุดมุง่ หมายดงั นี้ ๑. สมรรถนะด้านไอซีทีจะช่วยให้ผู้สอนมีความรู้อย่างกว้างขวาง มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลเพื่อสามารถเป็นผู้ แนะนำแกผูเ้ รียนได้ ๒. คอมพิวเตอร์จะเป็นเครื่องมือหลักสำคัญสำหรับผู้สอนเพื่อเข้าถึงทรัพยากรการเรียนการเตรียม แผนการสอน ใหก้ ารบ้าน และตดิ ต่อสอื่ สารกบั ผปู้ กครองนักเรยี น ผูส้ อนคนอน่ื ๆ และผูบ้ รหิ าร ๓. ผ้สู อนควรได้รบั การอบรมในการใช้ไอซที ีและสามารถบรู ณาการไอซีทีในกจิ กรรมการเรยี นการสอนได้ เพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะการคดิ อย่างวเิ คราะห์และสร้างสรรค์ ๔. ผู้สอนควรติดตามพัฒนาการและความก้าวหน้าของไอซีทีเพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเรียน การสอนได้ ๕. ครูไม่น้อยกวา่ ร้อยละ ๘๐ ใช้คอมพิวเตอร์เป็น และไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ ๕๐ สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ และต้องมีวชิ าสอนดว้ ยการบูรณาการไอซีที การพัฒนาคุณภาพการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Distance Learning Information Technology : DLIT) DLIT เป็นการจัดการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มุ่งแก้ปัญหาการขาดแคลนครูของโรงเรียน ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ จำนวน 15,553 โรงเรียนครอบคลุมโรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหา การศึกษาโดยรวมอยา่ งยั่งยืน ซึ่งการพฒั นาคุณภาพศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยสี ารสนเทศ (Distance Learning information technology: DLIT) มี 5 รูปแบบ คอื 1. DLIT Classroom หอ้ งเรยี นแหง่ คุณภาพ 2. DLIT Resources คลงั สอ่ื การเรยี นรู้ 3. DLIT Digital Library หอ้ งสมุดดจิ ิทัล 4. DLIT Professional Learning Community: DLIT PLC ชมุ ชนการพัฒนาวชิ าชพี 5. DLIT Assessment คลงั ข้อสอบ

๒๔ ซึ่งแต่ละรปู แบบมีลกั ษณะดังน้ี 1. DLIT Classroom คือ หอ้ งเรยี นแห่งคุณภาพ เป็นการขยาย “ห้องเรียนแห่งคุณภาพ” จากโรงเรยี น ชั้นนำทั่วประเทศไปสู่โรงเรียนขนาดกลาง 15,553 แห่ง เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียม เน้นมาตรฐาน การเรียนรู้และตัวชี้วัดที่สอนยาก เข้าใจยาก และมีปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาตามที่ สถาบันทดสอบทาง การศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ต้นสังกัดเร่งพัฒนา โดยผ่านช่องทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ชื่อเว็บไซต์ www.dlit.ac.th โดยให้โรงเรียนปลายทางสามารถจัดการเรียนรู้พร้อมกับครูต้นทาง หรือสามารถเรียกดูย้อนหลัง ในชัว่ โมงสอนเสริม โดยครปู ลายทางจะดาวนโ์ หลดใหช้ มแบบ Offline ก็ได้

๒๕ 2. DLIT Resources คือ คลังสื่อการเรียนรู้ ประกอบการจัดการเรียนรู้ที่ตรงกับหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีการจัดระบบและหมวดหมู่ที่ให้ครูสามารถนาไปใช้งานได้ทันที มีทั้งสื่อที่เป็นภาพนิ่ง วีดิ ทัศน์ เกม และแอพพลิเคชั่นต่างๆ ครูสามารถใช้ส่ือจาก DLIT Resources นาเข้าสู่บทเรียน กระตุ้นให้นักเรียนคิด ใชส้ ือ่ ตัง้ คาถาม ใชส้ ือ่ เป็นคาตอบ ใช้สอื่ เปน็ แบบฝกึ หัดหรือทบทวนความเข้าใจ นอกจากนี้ ยังมีวดี ีโอ “สอนวิธีการ ทาส่อื รูปแบบตา่ งๆ” ด้วย เพอื่ ทำใหค้ รูมเี คร่ืองมือท่ีผลติ ส่อื ประกอบการเรยี นร้ทู ีม่ ีประสทิ ธภิ าพมากข้ึน 3. DLIT Digital Library คอื ห้องสมุดดจิ ทิ ัล เพ่ือครู นกั เรยี น ผปู้ กครองและผู้สนใจทว่ั ไป ลักษณะ DLIT Library เป็นหอ้ งสมุดออนไลน์ทม่ี เี นอื้ หาถกู ตอ้ ง แบง่ เปน็ หมวดหมู่ ตอบสนองความตอ้ งการของครู และ ความสนใจของผเู้ รียน มรี ปู แบบที่หลากหลายทงั้ บทความ รูปภาพและวดี โี อ มีระบบค้นคว้าทีท่ าได้ง่ายเพิ่ม ช่องทางให้นกั เรยี นมแี หล่งคน้ คว้าสำหรบั การเรยี นแบบโครงงาน (Project - Based Learning)

๒๖ 4. DLIT Professional Learning Community : DLIT PLC ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เป็นช่องทางในการสร้างและพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ให้กับครูทั่วประเทศ รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพครู เพราะการจะพัฒนาการศึกษาให้ยั่งยืน คือ การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ในกลุ่มครู ทว่ั ประเทศ DLIT PLC มี 3 รปู แบบ คอื 4.1 สื่อรายการท่ีทาให้ครูได้เหน็ แบบปฏิบัตกิ ารสอนที่ดี หรือ Good Practice ของครูไทยและครทู ่ัว โลก เชน่ โทรทัศนค์ รู 4.2 กิจกรรมการแบ่งปันและการเรียนรู้หรือ Share and Learn ผ่านกิจกรรมต่างๆและผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น ครูมีนวัตกรรมก็นาเสนอผ่านช่องทาง DLIT PLC คุณครูสนใจก็เลือกไปประกอบการ เรียนรู้ นวัตกรรมใดถูกเลอื กมากกอ็ าจจดั เปน็ ผลงานรางวลั ต่อไป 4.3 กิจกรรมการชี้แนะและระบบพี่เลี้ยง หรือ Coaching and Mentoring กิจกรรมที่สร้างครูหรือ ผู้บริหารให้มีความเชี่ยวชาญแล้วพัฒนาต่อยอดให้เป็นผู้ชี้แนะหรือพี่เลี้ยง เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนใน โรงเรียน โดยอาจสร้างครู หรือผู้บริหารในโรงเรียนเอง DLIT PLC จะทาให้ครูไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป แต่ครูและ บคุ ลากรทางการศกึ ษาทกุ ชีวิตจะรวมพลังกนั พฒั นาการศึกษาไทยและเยาวชนไทยให้ดขี ึ้น 5. DLIT Assessment คือ คลังข้อสอบ ที่รวบรวมข้อสอบมากมาย ตั้งแต่ป ร ะ ถ ม ศึก ษ า ปีที่ 1 จ น ถึง มัธ ย ม ศึก ษ า ปีท่ี 6 DLIT Assessment ค ลัง ข้อ ส อ บ เ ป็น ก า ร ส อบ ที่เรียกว่า Assessment for Learning สอบเพื่อเรียน ไม่ใช้เรียนเพื่อสอบ นั่นคือ ครูสามารถใช้ข้อสอบเพื่อทดสอบความเข้าใจของนักเรยี น ได้ตลอดเวลาเพื่อสอนเสริมและวางแผนการสอนให้ตรงกับ ความสามารถของนักเรียน นอกจากนี้ คลังข้อสอบ DLIT Assessment ยังมีข้อสอบกลางภาค ปลายภาค และข้อสอบเพื่อการเตรียมตัวสอบแบบต่างๆ เป้าหมาย สาคัญ DLIT Assessment มีเป้าหมายเพื่อทาให้ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนดีขึน้ นักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ทส่ี อดคล้องกับศตวรรษท่ี 21 ครูมเี ครอื่ งมือท่ที าใหเ้ กิดการพัฒนาทางวิชาชพี อย่างต่อเน่ือง และการศึกษาของไทย ไดก้ า้ วไปข้างหน้าอยา่ งแท้จริง

๒๗ แหล่งเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง แหล่งที่มีข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ประสบการณ์ สารสนเทศและเทคโนโลยี สำหรับผู้เรียนใช้ในการแสวงหาความรู้ ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติและมนุษย์สรา้ งขึ้น การบริหารจัดการเพื่อการพัฒนา และใชแ้ หลง่ การเรียนรู้ ความสำคญั ของแหลง่ เรียนรู้ ๑. แหล่งการศกึ ษาตามอัธยาศัย ๒. แหลง่ การเรียนร้ตู ลอดชีวิต ๓. แหล่งปลกู ฝงั นิสยั รกั การอา่ น การศึกษาคน้ คว้า แสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง ๔. แหล่งสร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏบิ ตั ิ ๕. แหล่งสรา้ งเสริมความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์

๒๘ ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ เกษม คำบตุ ดา (๒๕๕๐ : ๑๐) ได้จำแนกแหลง่ การเรยี นร้อู อกเป็น ๔ ประเภท ดังนี้ ๑. แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นบุคคล เช่น ครู เพื่อนในห้องเรียน เพื่อนต่างห้องเรียน เพื่อนต่างระดับ บุคลากรในโรงเรยี น ผปู้ กครอง คนในชมุ ชน เป็นตน้ ๒. แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นแหล่งวิชาการ ได้แก่ สถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงเรียนและ ชุมชน เชน่ ห้องสมดุ วดั ตลาด ร้านคา้ สถานีตำรวจ สถานอี นามัย โบราณสถาน สวนสตั ว์ เป็นต้น ๓. แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นแหล่ง ธรรมชาติ ได้แก่ ห้วย หนอง คลอง สวนสาธารณะ ป่า ต้นไม้ ใบไม้ อุทยานธรรมชาติ รวมทงั้ สตั ว์ตา่ ง ๆ เช่น สัตว์เลี้ยง สตั ว์ปา่ เปน็ ตน้ ๔. แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น หนังสือ ตำรา นิตยสาร วารสาร ส่งิ พมิ พ์ หนงั สอื พมิ พ์ แผ่นปลิว ป้ายโฆษณาต่างๆ รายการวิทยุ รายการโทรทศั น์ เสยี งตามสาย เกม คอมพิวเตอร์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตา่ ง ๆ เปน็ ต้น แหล่งเรยี นรู้ จำแนกตามลักษณะท่ตี ้งั ได้ ดังนี้ ๑. แหลง่ เรียนรใู้ นโรงเรียน ๒. แหลง่ เรยี นรใู้ นทอ้ งถน่ิ แหล่งเรยี นรู้ในโรงเรยี น วตั ถุประสงคข์ องการจดั แหลง่ เรยี นรู้ในโรงเรยี น ๑. เพื่อพัฒนาโรงเรียนให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ มีแหล่งข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ วิทยาการ และสร้าง เสรมิ ประสบการณ์ ที่กวา้ งขวางหลากหลาย ๒. เพ่อื เสรมิ สร้างบรรยากาศการเรยี นรใู้ นโรงเรยี น โดยเน้นผูเ้ รยี นเป็นสำคญั ๓. เพ่ือจดั ระบบและพัฒนาเครือขา่ ยสารสนเทศ และแหลง่ การเรยี นรู้ในโรงเรยี น ๔. เพื่อส่งเสริมให้ผเู้ รียนมที ักษะการเรียนรู้ เปน็ ผ้ใู ฝร่ ู้ ใฝ่เรียน และเรยี นรู้ด้วยตนเองอยา่ งตอ่ เนือ่ ง

๒๙ แหลง่ เรยี นรใู้ นท้องถน่ิ แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬา สถานประกอบการ วัด ครอบครวั ชมุ ชน องค์การภาครัฐและภาคเอกชน แหลง่ ข้อมลู ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น แหล่งการเรยี นร้อู ่นื ๆ เป็นต้น วัตถปุ ระสงค์ของการจัดแหล่งเรียนรู้ในท้องถนิ่ ๑. เป็นแหล่งการศกึ ษาตลอดชวี ติ ทป่ี ระชาชนสามารถหาความรตู้ า่ งๆไดด้ ว้ ยตนเองตลอดเวลา ๒. เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนและสังคม มีแหล่งการเรียนรู้เพื่อการศึกษาที่หลากหลาย สามารถเรียนรู้ได้ตาม อธั ยาศัย ๓. เปน็ เครื่องมอื ทีส่ ำคญั ของบคุ คลแหง่ การเรยี นรู้ ในการแสวงหาความรเู้ พอ่ื พฒั นาตนเอง การประเมินผลสอื่ การเรียนการสอนหรือการประเมนิ ผลสอื่ การเรียนรู้ การประเมินผลสื่อการเรียนการสอนหรือการประเมินผลสื่อการเรียนรู้ เป็นการนำผลจากการวัดผลส่ือ การเรยี นการสอนมาตคี วามหมาย (Interpretation) และตัดสนิ คุณค่า (Value Judgment) เพือ่ ที่จะรู้ว่าสื่อน้ันทำ หน้าที่ตามที่วัตถุประสงค์กำหนดไว้ได้แค่ไหน มีคุณภาพดีหรือไม่ดีเพียงใด มีลักษณะถูกต้องตรงตามที่ต้องการ หรือไม่ ประการใด จะเหน็ วา่ การประเมินผลสื่อการเรียนการสอน กระทำได้โดยการพิจารณาข้อมลู ท่ีได้จากการวัดผลส่ือน้ัน เทียบกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ข้อมูลที่ได้จากการวัดผลสื่อจึงมีความสำคัญ การวัดผลจึงต้องกระทำอย่างมี หลักการเหตุผลและเป็นระบบเพื่อที่จะได้ข้อมูลที่เที่ยงตรง สามารถบอกศักยภาพของสื่อได้ถูกต้องตรงตามความ เปน็ จรงิ เพ่อื ประโยชน์ของการประเมนิ ผลสอ่ื อย่างเที่ยงตรงตอ่ ไป การวัดผลสื่อการเรียนการสอน หมายถึง การกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์อย่างมีกฎเกณฑ์ ให้กับ สอื่ การเรียนการสอน เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลสื่อการเรียนการสอนมีหลายรูปแบบ ผู้กระทำการวัดและ ประเมินผลอาจเลอื กใช้ตามความเหมาะสม ที่นิยมกันมาก ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เปน็ ตน้ ทุกวันนี้สื่อการเรียนการสอนมีบทบาทสูงในสังคมการศึกษา ทั้งในและนอกระบบการศึกษาประเทศย่ิง เจริญเทคโนโลยียิ่งก้าวหน้า สื่อการศึกษายิ่งมีมากชนิดและรูปแบบ ประสิทธิภาพของ สื่อการศึกษาเป็นปัจจัย สำคัญหนึ่งที่ช่วยให้การสื่อสารการศึกษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพ รวดเร็ว และสามารถสนองความต้องการท่ี หลากหลายของบุคคลในสังคม สื่อที่มีประสิทธิภาพสูงย่อมจะยังผลสูง การวัดและการประเมินผลสื่อการเรียนการ สอนเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยชี้ศักยภาพ และประสิทธิภาพของสื่อว่าสื่อนั้นทำหน้าที่ตาม วัตถุประสงค์กำหนดได้แค่ไหนระดับใด กระบวนการนี้ เองนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขสื่อให้มีศักยภาพในระดับ มาตรฐาน การสำรวจเกี่ยวกับการนำสื่อการเรียนการสอนที่มิได้ผ่านการวัดและประเมินผลไปใช้มีขึ้นอยู่เสมอ ๆ ในปี ค.ศ. ๑๙๙๐ Rothe (ใน Nichols Randall G., Robinsin, Rhonda S. และ Wilgmann,Betar, ๑๙๙๓) กล่าวว่า ครูที่พิจารณาประสิทธิภาพสื่อและเทคนิคการผลิตสื่อมีน้อยมาก จากการศึกษาของ Komoski ในปี ๑๙๗๔ (Komoski, ๑๙๗๔) พบว่า วัสดุการสอนเพียงร้อยละ ๑ เท่านั้น ที่ได้รับการประเมินผลหนึ่งคร้ัง หรือมากกว่า เพื่อปรับปรุงสื่อเมื่อเวลาล่วงเลยมาเกือบ ๒๐ ปี คิดหวังกันว่าการประเมินผลสื่อเพื่อให้ได้สื่อที่มี

๓๐ คุณภาพสูงน่าจะมีขึ้นมาก แต่จากการศึกษาของ Rothe มิได้ยืนยันว่าความหวังนี้เป็นจริง อันที่จริงโดยอุดมการณ์ แล้ว สื่อการเรียนการสอนทุกชิ้น จะต้องได้รับการประเมินผลและปรับปรุงจนมีมาตรฐานดีตามเกณฑ์ที่กำหนด ก่อนที่จะนำออกใช้ เพื่อเป็นการประกันและให้ความมั่นใจแก่ผู้ใช้สื่อว่าสื่อนั้นมีศักยภาพสามารถทำงานได้ ตามท่ี กำหนดภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม สำหรับผู้ใช้กลุ่มเป้าหมายเฉพาะหนึ่ง ๆ การประเมินผลที่จะทำหน้าที่ข้างต้นได้ น่าจะเป็นการประเมินผลที่ใช้การวัดการประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ เพื่อให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กำหนด (Criterion-based standard) ในที่นี้จะเสนอแนะวิธีการวัดและประเมินผลสื่อการเรียนการสอนแบบอิงเกณฑ์ อันเป็นวธิ ที ีน่ ำไปส่กู ารพจิ ารณาปรับปรงุ ส่อื อยา่ งมีระบบ ในที่นี้ จะกล่าวถึงการวัดและการประเมินผลสื่อการเรียนการสอนที่มีขั้นตอนการตรวจสอบที่พิถีพิถัน เพื่อให้ได้สื่อที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง ในเบื้องแรกการตรวจสอบแบ่งออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ คือ การตรวจสอบ โครงสร้างภายในสื่อ (Structural) และการตรวจสอบคุณภาพสื่อ (Qualitative) ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียด การตรวจสอบทั้งสองสว่ นตามลำดับต่อไปน้ี ขนั้ ๑ การตรวจสอบโครงสรา้ งภายในสือ่ (Structural basis) การตรวจสอบในขั้นนี้เป็นการตรวจสอบสิ่งที่ปรากฏในสื่อ ซึ่งสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส ตา หู จมูก ลน้ิ และกาย ถา้ สว่ นทป่ี รากฏภายในมีลักษณะชัดเจน งา่ ย และสะดวกแก่การรับรู้ สื่อนั้นเป็นส่ือที่มีศักยภาพ สูงในการส่อื สาร การตรวจสอบที่สำคญั ในขน้ั น้ี ประกอบด้วยสองส่วนคอื ลกั ษณะสือ่ และเน้อื หาสาระในส่ือ ๑. ลักษณะสื่อ ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการผลิตสื่อให้มีลักษณะต่าง ๆ คือ ลักษณะเฉพาะตามประเภทของ สื่อ การออกแบบ เทคนิควิธีและความงาม ดังนั้นในการตรวจสอบลักษณะสื่อ ผู้ตรวจสอบจะมุ่งตรวจสอบ ท้ังส่ีประเด็นข้างต้นเป็นหลัก ๑.๑ ลักษณะเฉพาะตามประเภทของส่ือ สื่อแต่ละประเภทมีลักษณะและคุณสมบัติเฉพาะ สื่อการเรียนการสอนบางประเภทจะทำหน้าที่เพียง ให้สาระข้อมูล บางประเภทจะให้ทั้งสาระและกำหนดให้ผู้เรียนตอบสนองด้วยในสื่อบางประเภท เช่น สื่อสำหรับ การศึกษารายบุคคล สื่อที่เสนอเนื้อหาสาระข้อมูล อาจจะเสนอได้หลายรูปแบบ ซึ่งอาจจะให้ความเป็นรูปธรรม หรือนามธรรมมากน้อยแตกต่างกัน ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดคือ ของจริง ซึ่งเปิดโอกาสให้บุคคลใช้ประสาทสัมผัส ได้มาก ชอ่ งรบั สัมผสั กว่าส่ืออนื่ ท่ีมคี วามเปน็ รูปแบบ รองลงมา ได้แก่ ของตัวอย่าง ของจำลอง เป็นตน้ สอ่ื บางชนิด ให้สาระเป็นรายละเอียดมาก บางชนิดให้น้อย บางชนิดให้แต่หัวข้อ เช่น แผ่นโปร่งใส สื่อบางประเภทสื่อสารด้วย การดู บางประเภทสื่อสารทางเสียง หรือบางประเภทสื่อสารด้วยการสัมผัส ดมกลิ่น หรือลิ้มรส เช่น การสื่อสาร ด้วยภาพ ซึ่งมีหลายชนิด ตั้งแต่สื่อประเภทกราฟิกอย่างง่าย ไปจนถึงภาพเหมือนจริง สื่อประเภทกราฟิกนั้น ต้อง เสนอความคิดหลักเพียงความคิดเดียว ภาพก็มีหลายชนิด ภาพ ๒ มิติ หรือภาพ ๓ มิติ ภาพอาจจะอยู่นิ่งหรือ เคลื่อนไหวเร็ว บางชนิดเป็นลายเส้น รายละเอียดน้อย เช่น ภาพการ์ตูน ซึ่งต่างจากภาพเหมือนจริงที่ให้ รายละเอียดมาก เป็นต้น รูปแบบของการเสนอภาพนั้น อาจจะเสนอภาพหลายภาพพร้อมกัน (Simultaneous Images หรือ Multi - Images) หรอื อาจจะเสนอภาพทีละภาพ ต่อเนื่องกัน (Sequential Images) เหล่านี้เป็นต้น ลักษณะทแ่ี ตกต่างกนั นีย้ ่อมให้คณุ ค่าแตกตา่ งกนั จะเห็นว่า ในปัจจุบันสื่อแต่ละประเภทมีความหลากหลายในรูปแบบ ส่วนหนึ่งเนื่องจากความ เจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีและวิธีการสอน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่และทฤษฏีการเรียนการสอนที่นำมา เน้นใหม่ เชน่ การประยุกตใ์ ช้ทฤษฏีจิตวทิ ยาพุทธิปัญญา (Cognitive Psychology) ในการเรียนการสอน ทำให้ส่ือ การเรียนการสอนแต่ละประเภทมีมาก รูปแบบอันนำมาซ่ึงประโยชน์ต่อการสื่อสาร เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน (CAI) ซ่ึงแต่เดิมได้ประยุกต์ใชท้ ฤษฏีจิตวิทยาพฤติกรรมในการสร้างบทเรียน (Behavioral Psychology) CAI นั้นมีลักษณะเป็นบทเรียนสำเร็จรูป แต่ในปัจจุบันการประยุกต์ใช้ทฤษฏีจิตวิทยาพุทธิปัญญา (Cognitive

๓๑ Psychology) ทำให้เกิด CAI ในลักษณะของเกม (Games) สถานการณ์จำลอง (Simulation) และโปรแกรม ปัญญาประดิษฐ์ต่าง ๆ (Artificial Intelligence) แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้สื่อการเรียนการสอนจะมีรูปแบบ ทหี่ ลากหลาย สอื่ ที่ผลิตกจ็ ะตอ้ งคงลกั ษณะเฉพาะตามประเภทสือ่ ไว้ได้ ดังนั้นในการตรวจสอบสื่อ ผู้ตรวจสอบจะต้องพิจารณาความถูกต้องของสื่อแต่ละองค์ประกอบ และโดย ส่วนรวมในอันที่จะนำไปสู่การทำงานที่สมบูรณ์ตามศักยภาพของสื่อแต่ละประเภท และตามวัตถุประสงค์ของการ ผลติ สอื่ ๑.๒ มาตรฐานการออกแบบ (Design Standards) การออกแบบสื่อการเรียนการสอนเป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ด้วยการนำส่วนประกอบต่าง ๆ ตามประเภทของสื่อและองค์ประกอบการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องมาพิจารณา เพื่อประโยชน์ของการสื่อสาร ตามความคาดหมาย องค์ประกอบการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องในที่นี้ ได้แก่ จิตวิทยาการเรียนรู้เฉพาะ กลุ่มเป้าหมาย หลักการสอน กระบวนการสื่อสารและลักษณะเฉพาะเรื่อง เป็นต้น การออกแบบสื่อที่ดีจะต้อง ช่วยทำให้การสื่อสารชัดเจนและเป็นที่เข้าใจง่ายสำหรับกลุ่มเป้าหมาย กล่าวคือ ต้องไม่เป็นการออกแบบที่ทำให้ การสื่อสารคลุมเครือและสับสน จนเป็นอุปสรรคต่อการสื่อความเข้าใจ ดังนั้น ในการตรวจสอบสื่อในขั้นน้ี สิ่งที่ผู้ตรวจสอบสื่อจะต้องพิจารณา คือ การชี้หรือแสดงสาระสำคัญตามที่ต้องการได้อย่างน่าสนใจ กระชับและ ได้ใจความครบถ้วน มีความเหมาะสมกับการจัดการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรม เช่น จำนวนเวลาเรียน จำนวนบุคคลผู้ใช้สื่อ วิธีการใช้สื่อ เป็นต้น มีความน่าสนใจ ตื่นหู ตื่นตา เร้าใจ และน่าเชื่อถือ อนึ่ง หากสื่อนั้น มีกิจกรรมหรือตัวอย่างประกอบ กิจกรรมจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเนื้อหาสาระ ท้ังกิจกรรมและ ตัวอย่างต้องสามารถจุและตรึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ตลอดเวลา และนำไปสู่การขยายหรือเสริมสาระ ทีต่ อ้ งการเรยี นร้ใู ห้กระจ่างซัด แต่ถา้ ส่อื นั้นเป็นวสั ดกุ ราฟกิ กจ็ ะต้องเปน็ การออกแบบท่ีลงตัว มีความสมดลุ ในตวั นอกจากนี้ ในบางคร้งั อาจใช้การออกแบบแก้ข้อจำกัดหรือขอ้ เสยี เปรียบของลกั ษณะเฉพาะ บางประการของสื่อ แต่การกระทำเช่นนี้ จำเป็นต้องมีผลงานวิจัยรองรับ ตัวอย่างเช่น โปรแกรมการ สอน ด้วยไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer - based instructional programs) ซึ่งเป็นบทเรียนสำเร็จรูป รายบุคคล ตามปกติบทเรียนลักษณะนี้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนนานเท่าไรก็ได้ แต่นักวิจัยกลุ่มหน่ึง อันประกอบด้วย Belland, Taylor, Canelos, Dwyer และ Baker (๑๙๘๕) ตั้งประเด็นสงสัยว่า การให้ผู้เรียน มีโอกาสใช้เวลาเรียนนานเท่าใดก็ได้นั้น อาจจะเป็นผลทำให้ผู้เรียนไม่ตั้งใจเรียน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แล้วว่า ความตั้งใจเรียนเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ คณะวิจัยจึงได้ทำการวิจัยโดยกำหนดเวลาเรียนในโปรแกรม กรสอนด้วยไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งการกำหนดเวลาเรียนนี้กระทำได้ เพราะอยู่ในสมรรถวิสัยตามศักยภาพ คอมพิวเตอร์ ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมที่กำหนดเวลาเรียน ผนวกกับให้เวลาสำหรับกระบวนการคิด ช่วยให้ผล การเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วย ตัวอย่างงานวิจัยที่ยกมาข้างบนนี้ชี้ให้เห็นว่า การออกแบบโดยการ กำหนดเวลาเรียนในบทเรยี น และการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ท่ีสามารถกำหนดเวลาเรยี นในบทเรียนได้ ช่วยแก้จุดอ่อน หรือข้อจำกัดของลักษณะเฉพาะบทเรียนสำเร็จรูปรายบุคคลได้เป็นอย่างดี งานวิจัยในลักษณะนี้ จะช่วยนกั ออกแบบส่อื ให้มีความมนั่ ใจในการตัดสนิ ใจเลอื กใช้สอื่ ทพี่ ิสูจนแ์ ลว้ ว่ามปี ระสิทธิภาพในการออกแบบ ๑.๓ มาตรฐานทางเทคนิควิธี (Technical standards) เทคนิควิธีการเสนอสื่อ เป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้สื่อมีความน่าสนใจ และสามารถ สอ่ื สารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญประการหน่ึงทีค่ วรเน้นในที่น้คี ือ เทคนิควิธีที่ใชใ้ นส่อื การเรียนการสอน ต้อง เป็นเทคนิควิธีการทางการศึกษา กล่าวคือ เป็นเทคนิควิธีการที่ช่วยให้การเสนอสาระเป็นไปอย่างซัดเจน ไม่ คลุมเครือหรือไม่ซ่อนเร้นสาระ เพื่อให้มีการเดาในด้านการนำเสนอต้องน่าสนใจ ตื่นหู ตื่นตา ในกรณีที่มีการ เปรียบเทียบ ต้องสามารถชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างและความเหมือน ก่อให้เกิดความเข้าใจง่าย มีความกระซับ และสามารถ สรุปใจความได้ครบถ้วน ถูกต้องตามที่วัตถปุ ระสงค์ทีก่ ำหนด อีกทั้งเป็นเทคนิควิธีที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิด

๓๒ ความรสู้ กึ เปน็ จรงิ เปน็ จัง ๒. การตรวจสอบคุณภาพสื่อ (Qualitative basis) ในการทดสอบคุณภาพสื่อการเรียนการสอน เครอ่ื งมือทนี่ ิยมใชก้ นั มามี 2 แบบ คือ ๒.๑ แบบทดสอบ แบบทดสอบ ที่ใช้ในที่นี้ เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนควรเป็นแบบทดสอบที่มีความ ตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) สูง และสามารถวัดได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ในแต่ละจุดประสงค์ โดยทั่วไปการ พฒั นาแบบทดสอบมขี ั้นตอนดงั นี้ ๑) กำหนดจำนวนข้อของแบบทดสอบ ๒) พิจารณากำหนดน้ำหนักวัตถุประสงค์แต่ละข้อของการพัฒนาสื่อ แล้ว คำนวณจำนวนข้อ ทดสอบสำหรับวัตถปุ ระสงค์แตล่ ะขอ้ ๓) สร้างข้อสอบตามจำนวนที่กำหนดไว้ในข้อ 2) โดยสามารถวัดตามเกณฑ์ที่กำหนดได้ใน วตั ถุประสงคแ์ ต่ละขอ้ โดยปกติควรจะสร้างข้อสอบสำหรบั วัดแตล่ ะวัตถปุ ระสงค์ ใหม้ จี ำนวนข้ออย่างน้อยที่สุดเป็น 2 เท่าของจำนวนข้อสอบที่ต้องการเพื่อการคัดเลือกข้อที่เหมาะสม หลังจากที่ได้นำไปทดลองใช้และวิเคราะห์ ข้อสอบ ๔) พิจารณาตรวจเพื่อความถูกต้อง และการแก้ไขปรับปรุงแบบทดสอบ โดยผู้เชี่ยวชาญสร้าง แบบทดสอบ ๕) นำแบบทดสอบไปทดลองใชก้ บั ตวั แทนกลมุ่ เป้าหมายทม่ี ีความร้เู ร่อื ง เนือ้ หาในสอื่ แล้ว ๖) วเิ คราะหแ์ บบทดสอบโดยตรวจคา่ ความเช่อื มัน่ ความตรงเชิงเนื้อหา และคา่ ความยากงา่ ย ๗) คัดเลือกข้อสอบให้มีจำนวนข้อตามความต้องการ และสามารถวัดตาม เกณฑ์กำหนดสำหรับ แตล่ ะวตั ถุ ๒.๒ แบบสงั เกต ในระหว่างการทดลองใช้สื่อ ผู้ตรวจสอบควรจะสังเกตและบันทึกการแสดงของสื่อ และพฤติกรรม การใช้ส่อื ในการเรียนการสอนของผูใ้ ช้ เพื่อประโยชน์ในการปรบั ปรงุ ส่งิ สำคญั ที่ควรสังเกตและบนั ทกึ ไว้เปน็ รายการในแบบสงั เกต คือ ๑) ความสามารถเข้าใจได้งา่ ย (Understandable) ๒) การใชป้ ระสาทสมั ผสั ไดง้ ่าย เช่น มีขนาด อ่านง่าย หรือดูงา่ ย คณุ ภาพของเสยี งดี ฟังง่าย ฯลฯ ๓) การเสนอตัวชีแ้ นะ (Cuing) สำหรับสาระสำคญั เดน่ ชัดเจน สังเกตงา่ ย (Noticeable) ๔) ระยะเวลาที่กำหนดเหมาะสม ทั้งเวลาการนำเสนอ และตอบสนองอีกทั้ง ระยะเวลาในการ สือ่ สารเหมาะสมกับวยั ของผเู้ รยี น ๕) วธิ ีการใช้ท่ีงา่ ย สะดวก ไม่ยงุ่ ยาก หรือสลับซับซ้อนผเู้ รียนสนใจ และ ติดตามการแสดงของสื่อ โดยตลอด วธิ กี ารประเมนิ ผลส่อื การเรียนการสอน การประเมินสื่อการเรียนการสอนนบั ว่าเปน็ ขน้ั ตอนทสี่ ำคัญมากอกี ข้นั ตอนหน่งึ ของกระบวนการเรียนการสอน การประเมินสื่อการเรียนการสอนมักจะควบคู่ไปกับวิธีการประเมินไปด้วย การประเมินสื่อเป็นการพิจารณา ประสิทธิภาพและคุณภาพของสื่อการเรียนการสอน ซึ่งถ้าจะให้ได้ผลดีนั้นควรจะมีการประเมินสื่อนั้นเมื่อมีการใช้ ส่อื เป็น ครง้ั แรกเพอื่ การปรบั ปรุงการใชส้ ่อื ในคร้งั ต่อไป การประเมนิ สือ่ อาจทำได้โดย การประเมินโดยผู้สอน ผู้สอนควรเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการสอน เคยได้รับการฝึกอบรมจนมีความรู้ความ ชำนาญเกย่ี วกับการผลิตและมีประสบการณใ์ นการใช้สอื่ การเรียนการสอนมาเปน็ อยา่ งดี

๓๓ การประเมินโดยผู้ชำนาญ ซึ่งผู้ชำนาญในที่นี้ หมายถึง ผู้ชำนาญด้านสื่อการเรียนการสอนและจะต้องมี ประสบการณ์ด้านการประเมินด้วย ดังนั้น ผู้ชำนาญอาจเป็นผู้สอน เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่สอนในสาขาวิชา สื่อและเทคโนโลยีการศึกษา รวมทั้งอาจารย์ด้านการวัดผลและการประเมนิ ผลที่มีความรู้ความสามารถด้านสือ่ การ เรียนการสอน เปน็ ตน้ หลกั ในการประเมนิ ผลส่ือการเรียนรูโ้ ดยผูเ้ ช่ยี วชาญมีดงั น้ี ๑. ควรเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีความเช่ียวชาญ รอบรู้ มีประสบการณ์เกี่ยวกับสื่อนั้นๆ รวมทั้งเกี่ยวกับ เน้ือหาสาระทเี่ สนอหรอื ถา่ ยทอดโดยสื่อน้ัน ๒. การให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนประเมินผลสื่อการเรียนรู้ ย่อมได้ผลที่น่าเชื่อถือมากกว่าประเมินผลเพียง คนเดียวบ่งบอกคุณลักษณะและคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ว่ามีความเหมาะสม ถูกต้อง หรือเหมาะสมที่จะนำไปใช้ ในการเรยี นการสอนได้หรอื ไม่ ๓. ในการประเมินผลสื่อการเรียนรู้แต่ละประเภท ควรใช้แบบประเมินผลเฉพาะของสื่อการเรียนรู้ ประเภทน้ันๆ ซึ่งอาจมีความแตกตา่ งจากส่ือประเภทอ่ืนๆ ๔. สำหรับสื่อการเรยี นรทู้ ่มี ที ั้ง Hardware และ Software นน้ั จะประเมนิ ผล Software เปน็ สำคัญ แต่ ถ้าต้องการประเมิน Hardware โดยเฉพาะก็จะมีเกณฑ์การประเมินสาหรับสื่อแต่ละประเภทเป็นเครื่องมือสาหรับ การประเมินสอื่ นน้ั ๆ อย่างไรก็ตามมีประเด็นสำคัญและเป็นข้อสังเกตบางประการที่เป็นปัญหาของการประเมินผลสื่อการ เรียนร้โู ดยผูเ้ ชย่ี วชาญหรือครูดังตอ่ ไปนี้ ๑. ส่ือการเรยี นรู้ทผ่ี ูส้ อนสรา้ งข้ึนใช้เองโดยท่ัวไปจะผลติ ออกมาตามความจำเป็นที่จะใชเ้ ท่านน้ั เช่น ผลิต สื่อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( CAI ) 1 ชุด หรือผลิตสื่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์( e-Book ) 1 เรื่องขึ้นมาใช้ การส่งให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาอาจทาได้ยากโดยเฉพาะเมื่อต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนพิจารณา และการ พิจารณา Software จะต้องอาศัย Hardware ด้วยไม่ใช่ดูเฉพาะสื่อวัสดุโดยไม่ทดลองเปิดดู และถ้าจะให้ดีจะต้อง พิจารณาประกอบการใช้จากผู้ใช้หรือนักเรียนด้วย ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงเป็นไปได้ยากที่จะประเมินผลโดย ผู้เชีย่ วชาญในกรณีที่กล่าวมา และสาหรับสอ่ื การเรยี นรู้บางประเภทโดยเฉพาะประเภทสอ่ื ประสม ( Multimedia ) หรือส่อื เชิงปฏิสัมพนั ธ์ ( Interactive Media ) ก็จะยง่ิ มปี ญั หามากในประเดน็ การประเมินลักษณะดังกลา่ วนี้ ๒. การทีจ่ ะทราบว่าส่ือการเรยี นรู้นั้นมีคุณลกั ษณะ คณุ ภาพดตี ามความเห็นของผูเ้ ช่ียวชาญหรอื ครผู สู้ อน ไม่ได้เป็นการประเมินเพื่อตอบคำถามที่ว่า ผู้เรียนเห็นว่าสื่อนั้นช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ และไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้นั้น จนกว่าสื่อนั้นจะถูกนาไปสู่กระบวนการวิจัยและ พฒั นาใหเ้ กิดผลท่ีชัดเจนเสยี ก่อน ๓. การประเมินโดยคณะกรรมการเฉพาะกิจ คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อประเมินสื่อการสอนเป็นกลุ่ม บุคคลที่หนว่ ยงานแต่งต้ังข้ึนมาประเมินสื่อ ซ่ึงลักษณะของกรรมการชุดนจ้ี ะประเมินคณุ ลกั ษณะ ประสิทธิภาพการ ใชแ้ ละคุณลกั ษณะด้านอน่ื ๆของสอื่ การเรยี นการสอนดว้ ย ๔. การประเมนิ ผลโดยผู้เรยี น ผูเ้ รยี นเปน็ เปา้ หมายสำคญั ของการใชส้ อ่ื การเรียนการสอน ผ้เู รียนเป็นผู้ใช้ สื่อหรือเรียนรู้จำสื่อการเรียนรู้นั้นๆ หรือได้ใช้ประสาทสัมผัสกับสื่อการเรียนรู้นั้นในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือ หลายรูปแบบ ดังนั้นผู้เรียนจึงเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรงและเป็นผู้ที่มีการรับรู้ สามารถพิจารณาถึงคุณลักษณะ คณุ ภาพ และคุณค่าของสื่อการเรียนรู้ไดอ้ ย่างสมเหตสุ มผล การประเมนิ ผลส่ือการเรยี นรโู้ ดยผู้เรยี นมีหลักสำคญั ดงั ต่อไปนี้ ๑. จะตอ้ งประเมินผลทันทหี ลังจากการใช้สอื่ นน้ั เสร็จแลว้ ไมค่ วรปล่อยไว้นานเพราะจะจาไมไ่ ด้ หรอื การ ปล่อยท้ิงไวน้ านจะทำใหป้ ระสบการณ์จากการสัมผสั ส่ือการเรียนรูน้ ้นั เลอื นหายไปได้ ๒. ให้ผู้เรียนพิจารณาประเมินเฉพาะสื่อการเรียนรู้นั้น โดยแยกสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องออก เช่น แยก ความสามารถในการสอนของผ้สู อนออก

๓๔ ๓. ใช้แบบประเมินผลเฉพาะของสื่อการเรียนรู้ชนิดนั้นๆ ซึ่งอาจแตกต่างจากสื่อการเรียนรู้ชนิดอื่นๆที่มี คณุ ลักษณะเฉพาะในตัวส่ือเอง ๔. ช้ีแจงให้ผเู้ รยี นเขา้ ใจอยา่ งถูกตอ้ งว่าการประเมินผลสอื่ การเรยี นรู้นัน้ เพอ่ื ม่งุ ใหไ้ ด้ขอ้ เทจ็ จริงเก่ียวกับ สือ่ การเรยี นการสอน คณุ คา่ ของการประเมนิ ผลอยทู่ ่กี ารตอบตรงกับความรสู้ ึกนึกคดิ ทแ่ี ท้จริงของผู้ เรียนทุกคนท่ีมี ตอ่ ส่อื การเรยี นรู้น้นั ๕. การประเมินประสทิ ธิภาพของสื่อ เป็นอกี วิธีหนึ่งท่ีอาจทำได้ด้วยเชน่ กัน ซง่ึ การประเมินประสิทธิภาพ ของสื่อนั้นส่ือที่จะต้องได้รับการประเมนิ ประสิทธิภาพส่วนใหญ่จะเป็นส่ือที่ผลติ ขึน้ ตามหลักการของการสอนแบบ โปรแกรม เช่น บทเรียนโปรแกรมชุดการสอนโมดุลและโสตทัศนูปกรณ์โปรแกรม เป็นต้น การประเมินสื่อโดยวิธีน้ี จะคำนงึ ถงึ จุดมุ่งหมายของสอ่ื การเรียนการสอนและการ วดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของผู้เรยี นภายหลังจากท่ีเรียน จากสอ่ื นัน้ แล้ว ๖. การประเมินผลโดยตรวจสอบผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน การประเมินผลสื่อการเรียนรู้โดยตรวจสอบผลที่ เกิดขึ้น กับผู้เรียน เป็นการหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอนเพื่อหาความเที่ยงตรง และนับว่าเป็นการ พิสูจน์คุณภาพและคุณค่าของสื่อการเรียนรู้นั้น การประเมินผลโดยวิธีนี้จะต้องมีการวัดว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ อะไรบ้าง โดยวัดเฉพาะผลที่เป็นจุดประสงค์ของการสอนที่เกิดจากการใช้สื่อการเรียนรู้ นั้นๆ การประเมินผล ลักษณะดงั กล่าวน้ีอาจจำแนกออกเป็น 2 วธิ ีใหญๆ่ คอื วิธีท่ี 1. กำหนดเกณฑ์หรอื มาตรฐานข้ันต่ำสดุ ไว้เช่น ผู้เรียนต้องสอบได้ 80% หรอื 90% ของคะแนนเตม็ จึงจะถือว่าสื่อนั้นมีประสิทธิภาพ สื่อบางประเภทจะกำหนดเกณฑ์ไว้มากกว่า 1 เกณฑ์เช่นการประเมินเพื่อหา ประสิทธภิ าพบทเรยี นแบบโปรแกรม หรือ ชุดการสอน จากสูตร E1/E2 โดยกำหนดเกณฑม์ าตรฐานการประเมินไว้ เชน่ 80/80 Standard หรอื 90/90 Standard เปน็ ต้น วิธีที่ 2. ไม่ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานไว้ล่วงหน้า แต่จะพิจารณาประสิทธิภาพจากการเปรียบเทียบ กล่าวคือเปรียบเทียบผลการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ หรือไม่ หรือเปรียบเทียบว่า ผลสัมฤทธิ์จากการเรียนด้วยสื่อการเรียนรู้นั้นสูงกว่า (หรือเท่ากันกับ) สื่อหรือเทคนิคการสอนอย่างอื่น เช่นการ เปรียบเทียบผลการทดสอบหลังเรียนกับก่อนเรียนจากการใช้แบบทดสอบชุดเดียวกัน 2 ครั้ง (Pretest-Posttest) โดยใช้สถิติทดสอบชนิด t-dependent จากการคำนวณเปรียบเทียบค่าวิกฤตจากสูตร t-test, Z-test เปน็ ตน้ เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการประเมินส่อื ดังที่ได้กล่าวมาแล้ววา่ การประเมินสือ่ สามารถทำได้หลายวิธีและมจี ุดมุ่งหมายทีต่ ่างๆกนั ดังนั้น เครื่องมอื ที่ใช้ ในการรวบรวมข้อมลู เพือ่ การประเมินสื่อจึงทำไดห้ ลายลกั ษณะ คือ ๑. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จะเป็นเครื่องมือวัดความรู้ของผู้เรียนภายหลังการเรียนจาก สื่อแลว้ ๒. แบบทดสอบความถนัดเพอื่ วดั สมรรถนะของผูเ้ รยี นภายหลงั เรียนจากสือ่ ๓. แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสำรวจซึ่งเครื่องมือนี้จะประกอบด้วยข้อความหรือคำ ถาม ตา่ งๆเกยี่ วกบั ส่อื หรอื อาจจะมีช่องวา่ งใหเ้ ติมข้อความดว้ ยกไ็ ด้ เครื่องมือลักษณะนใี้ ช้ประเมนิ ได้กบั ทุกกลุ่มเรียน ๔. การสงั เกตเปน็ การเฝ้าดูผลทเ่ี กิดขน้ึ จากการใช้สอ่ื การสอนตง้ั แตเ่ รมิ่ ตน้ จนจบกระบวนการใช้ ๕. การสัมภาษณ์เป็นการซักถามและพูดคุยกับทั้งผู้ผลิต ผู้ใช้และผู้เรียนเกี่ยวกับสื่อนั้น เพื่อนำข้อมูลมา ประกอบพิจารณาในการประเมินสื่อ ลักษณะของเครื่องมือการประเมินสื่อการเรียนการสอน นอกจากที่ได้กล่าว มาแล้วนั้น ยังมีเครื่องมืออีกหลายลักษณะที่สามารถนำมาประยุกต์ในการออกแบบเครื่องมือการประเมินสื่อได้ ท้งั น้ีข้นึ อยู่กับจุดมงุ่ หมายและวธิ ีการประเมนิ

๓๕ ตัวอยา่ งแบบประเมนิ ส่อื การเรยี นรู้ ช่ือ-สกุล.................................................................... ช่อื สื่อ……………………………………………………….. คำช้แี จง โปรดทำเครอ่ื งหมาย / ลงในชอ่ งระดับคะแนนตามความเปน็ จรงิ ๕ หมายถึง มากทส่ี ุด ๔ หมายถงึ มาก ๓ หมายถงึ ปานกลาง ๒ หมายถงึ น้อย ๑ หมายถึง น้อยท่ีสดุ ขอ้ รายการประเมิน ระดับคณุ ภาพ ๕๔๓๒๑ ๑ เร้าความสนใจให้เกิดการใฝร่ ใู้ นเรื่องราวทตี่ ้องศกึ ษา ๒ ชว่ ยให้ผ้เู รยี นเกดิ การเรียนรไู้ ด้งา่ ย และสามารถจดจำไดน้ าน ๓ สอดคลอ้ งกับเนือ้ หาวชิ าและมคี วามถกู ต้อง ๔ สอดคล้องกบั วตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ ๕ สอดคล้องกับกิจกรรมการเรยี นการสอน ๖ ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดข้ ้อสรุปท่ีถูกต้อง ๗ กระต้นุ ใหเ้ กิดกระบวนการคดิ ๘ สะดวก งา่ ยต่อการใชง้ าน ๙ ราคาไม่แพง คุ้มคา่ ตอ่ การใชง้ าน ๑๐ มีความคงทน สามารถนำกลับมาใชไ้ ดอ้ กี ๑๑ ช่วยเพ่ิมพนู ประสบการณ์ใหก้ ับผเู้ รยี น ๑๒ เหมาะสมกับวัย และระดบั ความยากง่ายของเนื้อหา ๑๓ ถา่ ยทอดเนอ้ื หาท่เี ป็นนามธรรมให้เป็นรปู ธรรม ๑๔ เพม่ิ บทบาทผู้เรยี นในการเปน็ ผู้ปฏบิ ตั ิ ๑๕ ชว่ ยเชือ่ มโยงความร้เู ดิมกับความรู้ใหม่ ๑๖ มคี วามทันสมัย แปลกใหม่ แตกต่างไปจากการเรียนปกติ ๑๗ ถูกต้องตามหลักการผลติ สื่อ ๑๘ เป็นสื่อที่ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมให้แก่ผู้เรียน ไม่ขัดต่อคุณธรรม จริยธรรม ท่พี งึ มพี ึงปฏบิ ตั ิ ๑๙ ส่งเสรมิ ปฏสิ มั พนั ธ์ ระหวา่ งครกู ับผู้เรยี น ระหว่างผู้เรยี นกับผ้เู รียน ๒๐ เปน็ สอ่ื ท่มี กี ารประยุกตใ์ ช้ไดอ้ ย่างเหมาะสม

๓๖ ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติม………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… รวมคะแนนท่ีได้ คะแนน ผลการประเมนิ อยูใ่ นระดบั ๘๐ - ๑๐๐ ความหมาย เหมาะสมมากที่สุด ๗๐ - ๗๙ ความหมาย เหมาะสมมาก ๖๐ - ๖๙ ความหมาย เหมาะสมปานกลาง ๕๐ - ๕๙ ความหมาย เหมาะสมนอ้ ย ต่ำกวา่ ๕๐ ความหมาย เหมาะสมนอ้ ยท่สี ดุ ลงช่ือ……….. .....................ผู้ประเมิน (………………. …………………)

๓๗ บทสรปุ สื่อการเรียนรู้มีความสำคัญยิ่งกับการจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อการเรียนรู้ที่ถูกต้องและ เหมาะสม จะเกิด ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยสื่อการเรียนรู้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้เรียน เกิดความเข้าใจเนื้อหาบทเรียนท่ี ยุ่งยากซับซอ้ นได้ง่ายข้ึนอย่างรวดเรว็ และสามารถช่วยให้เกิดความคิด รวบยอดในเรือ่ งทเ่ี รียนรู้ไดอ้ ย่างถูกต้อง สื่อ การเรยี นรู้ยงั ชว่ ยกระตุ้นและสรา้ งความสนใจให้กับผู้เรยี น ทำให้มคี วามสนุกสนาน มคี วามสุขในการเรยี นรู้ และไม่ รู้สึกเบื่อหน่ายในการเรียนรู้ เนื่องจากผู้เรียน มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น รวมทั้งเป็นการสร้างมนุษย สัมพันธท์ ่ดี ีระหวา่ งผู้เรยี น ด้วยกันเองและกบั ครูผสู้ อน ดงั นั้น การจัดการเรียนรูท้ ปี่ ระสบผลสำเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์ หรือ จุดประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้สื่อการเรียนรู้ที่ถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งมี เทคนิค วิธกี ารท่หี ลากหลาย โดยครูผ้สู อนจะต้องคดั เลือกใชใ้ ห้สอดคล้องกับเนื้อหา บทเรียน สภาพ บริบทของสถานศึกษา และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน สื่อการเรียนรู้นั้นก็จะมีคุณค่า ต่อการจัดการเรียนรู้ ในอดีตครูผู้สอน จะเป็นผู้สร้างสื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่ในปัจจุบันครูผู้สอน สามารถค้นคว้าหาสื่อการเรียนรู้ทางอินเทอร์เน็ตได้ อย่างกว้างขวางมากข้ึน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สอื่ การเรียนรู้ท่เี ปน็ เทคโนโลยีทีส่ อดคล้องกับศตวรรษท่ี ๒๑ ท่ีสามารถ จะสร้างความสนใจให้กับผู้เรียนได้มากยิ่งขึ้น ในความเป็นจริงแล้วสื่อการเรียนรู้จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเป็นสื่อการ เรียนรู้ที่ครูผู้สอนได้ให้โอกาสผู้เรียนได้ใช้จริง ได้สัมผัส เพื่อเรียนรู้จากสื่อการเรียนรู้นั้นด้วยตนเอง และหากว่า ผู้เรียนมีโอกาส ช่วยเหลือครูผู้สอนในการสร้างสื่อการเรียนรู้แล้ว ก็จะเป็นการช่วยสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดี ในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ส่งเสริมการมีจิตอาสา ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เกิดความคิด สร้างสรรค์ จากการใชส้ อ่ื การเรยี นร้นู ั้นได้ดียิ่งขึ้น

บรรณานกุ รม เกษม คำบตุ ดา. การพฒั นาแหลง่ เรยี นรูใ้ นโรงเรยี น เพือ่ ส่งเสรมิ การพฒั นาคณุ ธรรม จริยธรรม นกั เรียน โรงเรยี นอนุบาลมหาสารคาม อำเภอเมอื ง จังหวัดมหาสารคาม. การศึกษาค้นควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๕๐. แหล่งเรียนรู้ (ออนไลน)์ สืบคน้ จาก : https://www.nmk.ac.th/maliwan๒/page/๔_๒ librarysource.html สืบค้น ๗ มนี าคม ๒๕๖๓ การนำ DLIT ไปใชใ้ นการจดั การเรยี นรู้ (ออนไลน์) สืบค้นจาก : https://www.slideshare.net /jamrat/dlit-76022379 สบื คน้ ๙ มนี าคม ๒๕๖๓

คำส่งั สำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต ๒ ที่ 56 / ๒๕๖3 เรอื่ ง แตง่ ต้ังคณะกรรมการจดั ทำคู่มอื 6 มติ ิคณุ ภาพสกู่ ารปฏบิ ัติ ********************************* เพอ่ื ให้การขบั เคลอ่ื นการนำหลกั สตู รสถานศึกษาสหู่ ้องเรยี นไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพสอดคล้องกบั พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามทก่ี ระทรวงศกึ ษาธกิ าร โดยสถาบนั สง่ เสรมิ การสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ได้ดำเนนิ การจัดทำมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชีว้ ัด กล่มุ สาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) และสำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐานไดด้ ำเนนิ การ จดั ทำสาระภูมศิ าสตร์ ในกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 และเพ่ือใหก้ ารจดั ทำหลกั สูตรสถานศึกษา ตาม หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 เปน็ ปจั จบุ นั และสามารถนำหลกั สตู รสถานศกึ ษาสู่ ห้องเรยี นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาศยั อำนาจตามมาตรา ๓๗ แหง่ พระราชบญั ญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธกิ าร พ.ศ.๒๕๔๖ และท่แี กไ้ ขเพม่ิ เติม จึงแตง่ ต้ังคณะกรรมการจดั ทำคู่มือ 6 มติ ิคุณภาพสู่การปฏิบัติ สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาอุดรธานี เขต 2 ดังนี้ 1. คณะกรรมการอำนวยการ ผอู้ ำนวยการสำนกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษา ๑.1 นายบรู พา พรหมสงิ ห์ ประถมศึกษาอดุ รธานี เขต 2 ประธานกรรมการ 1.2 นายชาญชยั ทองแสน รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ๑.๓ นายสมาน บญุ จะนะ ประถมศกึ ษาอดุ รธานี เขต 2 รองประธานกรรมการ ๑.๔ นายสุคิด พนั ธ์พุ รม รองผอู้ ำนวยการสำนักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา 1.๕ นายอุดมศักด์ิ ปอโนนสูง ประถมศกึ ษาอุดรธานี เขต 2 รองประธานกรรมการ ๑.๖ นายสุรยิ นต์ อนิ ทร์อดุ ม 1.๗ นางสาวศศธิ ร นาคดิลก รองผอู้ ำนวยการสำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษา ๑.๘ นางสนุ ีย์ อุทมุ ทอง ๑.๙ นางสภุ าวดี ปกครอง ประถมศึกษาอดุ รธานี เขต 2 รองประธานกรรมการ ผู้อำนวยการกลมุ่ นเิ ทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผล กรรมการ การจัดการศกึ ษา ศกึ ษานเิ ทศก์ กรรมการ ศกึ ษานเิ ทศก์ กรรมการและเลขานกุ าร ศึกษานเิ ทศก์ กรรมการและผ้ชู ว่ ยเลขานกุ าร ศกึ ษานเิ ทศก์ กรรมการและผชู้ ่วยเลขานุการ /.....คณะกรรมการ ๒

มหี น้าที่ : วางแผนการดำเนินงานการขับเคลือ่ น ๖ มติ คิ ุณภาพสู่การปฏบิ ัติให้สอดคล้องกับ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรงุ ๒๕๖๐) สภาพเศรษฐกจิ สงั คม ศิลปวฒั นธรรม ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น ตลอดทง้ั ให้คำปรึกษาและใหค้ วามช่วยเหลือคณะกรรมการดำเนินงาน 2. คณะกรรมการดำเนนิ งาน ประกอบดว้ ย ๒.๑ คณะกรรมการจัดทำคู่มอื ๖ มติ ิคณุ ภาพสู่การปฏิบัติ ๒.๑.๑ มิติที่ ๑ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วย ๒.๑.๑.๑ นางสาวศศธิ ร นาคดิลก ศกึ ษานเิ ทศก์ ประธานกรรมการ ๒.๑.๑.๒ นายสุรชยั ไผ่ตง ผอ.ร.ร.บา้ นโคกผักหวานโนนรงั สี รองประธานกรรมการ ๒.๑.๑.๓ นางสนุ ีย์ อทุ มุ ทอง ศึกษานเิ ทศก์ กรรมการ ๒.๑.๑.๔ นางสรอ้ ยทพิ ย์ ทองใหญ่ ครู ร.ร.อนบุ าลศรีธาตุ กรรมการ ๒.๑.๑.๕ นางสกุ ัญญา ศรเี สาวงษ์ ครู ร.ร.บา้ นสวรรค์ราษฎร์ กรรมการ ๒.๑.๑.๖ นางเยาวลกั ษณ์ สวุ รรณดวง ครู ร.ร.บา้ นหว้ ยเกง้ิ วัฒนเสรีราษฎรบ์ ำรงุ กรรมการและเลขานุการ ๒.๑.๑.๗ นางสาวอ้อยใจ ปากวิเศษ ครู ร.ร.อนบุ าลศรธี าตุ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒.๑.๑.๘ นางสาวนธิ ิทัศน์ แก้วเกดิ มี ครู ร.ร.บ้านหว้ ยเกิง้ วัฒนเสรีราษฎร์บำรุง กรรมการและผ้ชู ว่ ยเลขานกุ าร มหี น้าท่ี จัดทำคมู่ ือการพฒั นาหลกั สูตรสถานศกึ ษา หลกั สูตรปฐมวยั ระเบียบการวดั ผลประเมินผล กรอบหลักสตู รท้องถนิ่ ของเขตพนื้ ที่การศึกษา และอน่ื ๆทเี่ กย่ี วข้อง พรอ้ มทงั้ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของเอกสาร กอ่ นจดั ทำเปน็ รูปเลม่ ทีส่ มบรู ณ์ ๒.๑.๒ มิตทิ ี่ ๒ การจดั การเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย ๒.๑.๒.๑ นายสรุ ิยนต์ อนิ ทร์อุดม ศึกษานเิ ทศก์ ประธานกรรมการ ๒.๑.๒.๒ นางสาววรศิ รา เชญิ ชม ศกึ ษานเิ ทศก์ รองประธานกรรมการ ๒.๑.๒.๓ นางทับทมิ ภคู รองทอง ครู ร.ร.บา้ นกดุ ขนวน กรรมการ ๒.๑.๒.๔ นางนงลักษณ์ ทองมาศ ครู ร.ร.บา้ นหนองประเสรฐิ กรรมการ ๒.๑.๒.๕ นายวราวฒั น์ โสภารตั น์ ครู ร.ร.อนบุ าลศรธี าตุ กรรมการและผชู้ ว่ ยเลขานกุ าร มหี นา้ ท่ี จดั ทำคูม่ ือการจดั การเรียนรู้ จติ วิทยาการเรยี นรู้ และอนื่ ๆที่เก่ียวข้อง พร้อมทัง้ ตรวจสอบความถูกตอ้ งของเอกสารกอ่ นจัดทำเป็นรูปเลม่ ทสี่ มบูรณ์ ๒.๑.๓ มติ ทิ ่ี ๓ การใช้สอื่ /ส่ือเทคโนโลยี ประกอบดว้ ย ๒.๑.๓.๑ นายปรดี า พงษ์วุฒนิ ันท์ ศึกษานเิ ทศก์ ประธานกรรมการ ๒.๑.๓.๒ นายณัฐชา ทัศนิยม ผอ.ร.ร.บา้ นบะยาว รองประธานกรรมการ ๒.๑.๓.๓ นายพรี ะพัฒน์ อนุรักษ์ ครู ร.ร.บา้ นคำเตา้ แกว้ หินลาด กรรมการ ๒.๑.๓.๔ นายมนวฒั น์ คำรินทร์ ครู ร.ร.บา้ นดงเมอื ง (ดงเมอื งวทิ ยา) กรรมการ ๒.๑.๓.๕ นางสาวพัชรินทร์ นาคดลิ ก ธรุ การ ร.ร.อนุบาลโนนสะอาด กรรมการและผู้ชว่ ยเลขานุการ มหี น้าที่ จดั ทำคมู่ อื การใชส้ อ่ื /สอ่ื เทคโนโลยี และอ่ืนๆทเ่ี กี่ยวข้อง พร้อมท้ังตรวจสอบความถกู ต้อง ของเอกสารก่อนจดั ทำเปน็ รปู เล่มทีส่ มบรู ณ์ /2.1.4... ๓

๒.๑.๔ มิตทิ ี่ ๔ การวดั และประเมนิ ผล ๒.๑.๔.๑ นางฐติ นิ ันท์ อุปการ ศึกษานเิ ทศก์ ประธานกรรมการ ๒.๑.๔.๒ นางจริ ะพร เสนาภักดี ครู ร.ร.อนบุ าลประจกั ษ์ศลิ ปาคม รองประธานกรรมการ ๒.๑.๔.๓ นางสธุ ารี แสงกลา้ ครู ร.ร.บา้ นดงกลาง กรรมการ ๒.๑.๔.๔ นางปิยฉัตร จติ รดี ศกึ ษานิเทศก์ กรรมการและเลขานุการ มีหนา้ ที่ จดั ทำคูม่ อื การวัดและประเมินผล และอืน่ ๆท่ีเกี่ยวข้อง พรอ้ มทั้งตรวจสอบความถูกตอ้ ง ของเอกสารก่อนจัดทำเปน็ รปู เล่มทีส่ มบูรณ์ ๒.๑.๕ มติ ทิ ่ี ๕ การนเิ ทศภายใน ๒.๑.๕.๑ นายอดุ มศักดิ์ ปอโนนสงู ผอ.กลุ่มนิเทศฯ ประธานกรรมการ ๒.๑.๕.๒ นายสุทธิรักษ์ แสงนาค ผอ.ร.ร.บา้ นเหล่าหมากบา้ เชยี งสม รองประธานกรรมการ ๒.๑.๕.๓ นางสาววมิ ล เถาวลั ย์ ศกึ ษานเิ ทศก์ กรรมการ ๒.๑.๕.๔ นางรดั ดา วทิ ยากร ศกึ ษานิเทศก์ กรรมการและเลขานุการ มหี น้าที่ จัดทำคู่มือการนิเทศภายใน และอน่ื ๆท่เี กย่ี วข้อง พรอ้ มท้งั ตรวจสอบความถกู ต้อง ของเอกสารก่อนจัดทำเป็นรปู เลม่ ท่สี มบรู ณ์ ๒.๑.๖ มิติที่ ๖ การวจิ ยั ในชัน้ เรียน ๒.๑.๖.๑ นางสุภาวดี ปกครอง ศกึ ษานิเทศก์ ประธานกรรมการ ๒.๑.๖.๒ นางจรุ พี ร ชน่ื นริ นั ดร์ ครู ร.ร.บา้ นกุดขนวน กรรมการ ๒.๑.๖.๓ นางสาวจันทร์สดุ า ล้ีพงษก์ ลุ ครู ร.ร.บ้านเมอื งปงั กรรมการ มีหน้าที่ จดั ทำคมู่ ือการวิจยั ในช้ันเรยี น และอืน่ ๆทีเ่ กี่ยวข้อง พรอ้ มทั้งตรวจสอบความถกู ต้อง ของเอกสารกอ่ นจัดทำเปน็ รูปเล่มทส่ี มบูรณ์ ๒.๒ คณะกรรมการจดั ทำรูปเลม่ เอกสาร ประกอบด้วย ๒.๒.๑ นายสุรชัย ไผ่ตง ผอ.ร.ร.บา้ นโคกผักหวานโนนรงั สี ประธานกรรมการ ๒.๒.๒ นายณฐั ชา ทศั นยิ ม ผอ.ร.ร.บา้ นบะยาว รองประธานกรรมการ ๒.๒.๓ นายพรี ะพัฒน์ อนุรกั ษ์ ครู ร.ร.บ้านคำเต้าแก้วหนิ ลาด กรรมการ ๒.๒.๔ นายวราวัฒน์ โสภารตั น์ ครู ร.ร.อนบุ าลศรีธาตุ กรรมการ ๒.๓.๕ นายมนวฒั น์ คำรินทร์ ครู ร.ร.บ้านดงเมือง (ดงเมอื งวทิ ยา) กรรมการและเลขานุการ มีหน้าที่ ออกแบบและจดั ทำปกเอกสารคมู่ อื ๖ มติ ิคุณภาพสูก่ ารปฏิบัติทกุ มติ ิ ทงั้ น้ีให้ผ้ไู ด้รบั การแต่งตัง้ ปฏิบตั ิหนา้ ทที่ ไี่ ด้รับมอบหมายอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และบรรลุตามวตั ถุประสงค์ ท่ตี ัง้ ไว้ ตงั้ แตบ่ ัดนี้เป็นตน้ ไป ส่ัง ณ วันท่ี ๒ เดอื น มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๓ (นายบรู พา พรหมสงิ ห)์ ผอู้ ำนวยการสำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาอดุ รธานี เขต 2


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook