ความหมายของการขยายพันธ์ุพืช (Plant Propagation) ในทางการเกษตรน้ัน หมายถึง การเพ่ิมปริมาณให้ต้นพืชมีจานวนมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อคงลักษณะพันธุ์ที่ต้องการไว้ให้ได้ปริมาณ มากอยา่ งรวดเร็ว มีผลตอบแทนสูงและดารงรกั ษาเผา่ พันธุ์ไว้ไม่ให้สูญพันธ์ุ มีลักษณะทางพันธุกรรมของพ่อ แมไ่ วต้ รงตามพันธุ์
1. การใชเ้ มล็ดในการขยายพันธ์ุ สามารถขยายพันธพ์ุ ืชได้เปน็ จานวนมาก ๆ 2. การใชเ้ มล็ดในการขยายพันธุ์ ทาให้ไดต้ น้ ตอทีม่ ีความแขง็ แรง 3. ในการใชส้ ่วนต่าง ๆ ของพชื ขยายพนั ธุพ์ ชื บางชนิด ทาได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว 4. การใช้ส่วนต่าง ๆ ในการขยายพนั ธ์ุ ทาให้ได้พนั ธุ์ที่เหมือนแม่พนั ธุ์ซ่ึงเรียกต้นใหม่น้ีว่า สายต้น หรือโคลน (Clone) 5. สามารถรวมพืชมากกว่าหนึ่งลักษณะไว้ในต้นเดียวกัน ซ่ึงมักรวมพันธุ์พืชท่ีดีไว้ในต้นตอ เดยี วกนั เรียกว่า จโี นไทป์ (Genotype) 6. ลัดชว่ งของวยั เจริญพนั ธุ์ ทาใหไ้ ดผ้ ลผลติ ที่เรว็ 7. ควบคุมชว่ งการเติบโตและลักษณะทางสัณฐานวิทยาได้ เช่น ส้ม ท่ีเพาะจากเมล็ดจะมีหนามท่ี กง่ิ และลาตน้ เจรญิ เติบโตดีและแข็งแรงมาก แต่หากผลผลิตที่คุณภาพไม่ดี แต่หากนาไป ต่อก่ิง ตอนกิ่ง หรือ ตดิ ตา จะได้ต้นสม้ ที่ไม่มหี นาม ใหผ้ ลผลิตท่ดี ี
ใช้สาหรับตัดแต่งก่ิงไม้ขนาดเล็ก เช่น กง่ิ ท่แี ห้ง ไม่สมบูรณ์ เป็นโรค และแมลง กัดกิน กรรไกรตดั แตง่ ก่งิ
ใชส้ าหรบั เฉือนหรือปาดแผน่ ตา และเตรยี มต้นตอสาหรับการติดตา ตอ่ กิ่ง ตอนกิ่ง และทาบก่งิ มดี ขยายพันธุ์
กระบะเพาะชา
ดนิ
แกลบท่ีใช้ในการเกษตร คือ แกลบดิบและขี้เถ้าแกลบ นามาผสมกับดินเพื่อปรับปรุงดิน เช่น เพิ่มความรว่ นซุย เพม่ิ แร่ธาตุ แกลบ
กาบมะพรา้ ว
ป๋ยุ คอก
ฮอรโ์ มนเรง่ ราก
หลกั ในการศกึ ษาวิชาการการขยายพนั ธ์ุพชื การขยายพนั ธ์พุ ชื ใหไ้ ด้ผลดหี รือประสบผลสาเรจ็ น้ัน ผ้ปู ฏิบตั ิตอ้ งมคี วามรคู้ วามเข้าใจดงั นี้ 1. มคี วามรู้เรอ่ื งส่วนต่าง ๆ และการเจริญเติบโตของต้นพชื 2. มคี วามรเู้ รอ่ื งชนิดและวิธีการขยายพันธเ์ุ ฉพาะอยา่ งของพชื น้นั ๆ 3. มที ักษะในการขยายพันธุท์ ดี่ ี 4. หมน่ั ฝึกฝนอยู่เสมอ 5. รักตน้ ไม้
การขยายพันธพุ์ ืชแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดงั น้ี 4.4.1 การขยายพนั ธุพ์ ืชแบบอาศัยเพศ การขยายพันธ์ุพืชแบบอาศัยเพศ ได้แก่ การเพาะเมล็ด เป็นการขยายพันธ์ุโดยใช้ส่วนของเมล็ดท่ี เกิดจากการผสมเกสรระหวา่ งเกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศเมยี สว่ นประกอบท่ีสาคญั ของเมลด็ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1. เปลอื กหมุ้ เมล็ด (Seed Coat) 2. อาหารสะสม (Endosperm) 3. คัพภะ (Embryo)
การงอกของเมลด็ พืชนนั้ จะเกิดไดด้ ี เมื่อเมล็ดมีความพร้อมทางสรีรวิทยาและไม่มีปัจจัยอนื่ มา ยับย้ังการงอกของเมล็ด เช่น เปลือกของเมล็ด สารยับย้ังการงอกท่ีห่อหุ้มอยู่ที่เปลือกเมล็ด ดังน้ันเมล็ดท่ีนามาใช้เพาะขยายพันธ์ุต้องเป็นเมล็ดท่ีมีชีวิต เมล็ดสามารถงอกได้พน้ จากการพักตัว และมี สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมต่อการงอก การงอกของเมลด็
คุณภาพของเมลด็ พนั ธ์ุ (Seed Quality) ทดี่ ตี ้องมคี ุณสมบัติ ดังน้ี 1. ตรงตามพนั ธ์ุ (True to Type) เป็นเมล็ดที่ได้ผ่านการรับรองว่าถกู ต้องตามพนั ธ์ุ โดยไม่มี เมลด็ พนั ธอุ์ น่ื ๆ ปะปน 2. ปราศจากสิง่ เจอื ปน (Purity) มีความบริสทุ ธิ์ ปราศจากสง่ิ เจือปน เช่น ฝุ่น เมล็ดพชื และ เศษวสั ดอุ ื่น ๆ รวมท้ังปราศจากโรคและแมลงและสว่ นขยายพนั ธุ์ของศตั รูพชื 3. มีความงอกสูง (High Germination) เมล็ดมีเปอร์เซ็นต์การงอกสูงตามมาตรฐานที่ กาหนดซึ่งมีความแตกต่างกนั ตามแตช่ นดิ ของพชื เชน่ ตัง้ แต่ 40–98 เปอร์เซ็นต์
วิธกี ารเพาะเมลด็ สามารถทาได้หลายวิธีคอื 1. การเพาะเมล็ดในแปลง สามารถปฏิบัตไิ ด้ 3 วธิ ี คือ (1) การเพาะเมล็ดเป็นหลมุ (2) การเพาะเมล็ดเป็นแถว (3) การเพาะเมลด็ โดยวธิ กี ารหว่าน 2. การเพาะเมล็ดในวัสดุเพาะ เป็นวิธีท่ีนิยมใช้กับเมล็ดพืชที่มีราคาแพง หายาก ต้องการการ ดแู ลอยา่ งใกล้ชดิ ในระยะต้นกลา้
4.4.2 การขยายพนั ธุ์แบบไม่อาศัยเพศ การขยายพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศเป็นการขยายพันธ์ุพืชด้วยการใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืช ได้แก่ ราก ลาตน้ ใบ โดยสว่ นต่าง ๆ ของพชื เหล่านีส้ ามารถเกิดรากและเจรญิ เติบโตเปน็ ต้นพืชได้ สว่ นประกอบต่าง ๆ ของพชื ท่ีสามารถนาไปขยายพันธไ์ุ ด้ ได้แก่ 1. ราก (Root) โดยนาไปตดั แบ่งกอ่ นนาไปชา เพื่อทาให้เกดิ ตาและรากขน้ึ ใหม่ 2. ลาต้น (Stem) โดยนาส่วนของกง่ิ กา้ นของลาต้นมาปกั ชาหรอื โดยการตอนก่ิง สามารถแบง่ ส่วนของลาตน้ ทน่ี ามาใชไ้ ด้ 3 แบบ ดังนี้ (1) ใช้สว่ นของลาตน้ จรงิ (2) ใช้สว่ นของลาต้นทีเ่ ปลย่ี นรูปไป (3) ใชส้ ่วนของลาต้นและรากพิเศษ
การตอนก่งิ (Layering) การตอนเป็นวิธีการขยายพันธ์ุพืชอีกวิธีหนึ่งที่ทาให้ก่ิงหรือต้นพืชเกิดรากขณะติดอยู่กับ ต้นแม่ เม่ือตัดไปปลูกจะได้ต้นพชื ใหม่ที่มีลักษณะสายพันธ์ุเหมือนต้นแม่ทุกประการ แต่มีข้อเสียคือ ระบบ รากของพชื ไมค่ ่อยแข็งแรง เนอ่ื งจากไมม่ ีระบบรากแกว้ วิธีการตอน ประกอบด้วยขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ดงั นี้ (1) การเลือกก่ิงท่ีจะทาการตอน ต้องเปน็ ก่ิงกง่ึ ออ่ นกึง่ แก่ท่ีมคี วามสมบูรณ์ ปราศจากการทาลาย ของโรคและแมลง (2) การทาแผลบนก่งิ ตอน มวี ธิ ีการทาได้ 3 แบบ คือ - แบบการควน่ั กิ่ง - แบบการปาดก่งิ - แบบการกรีดกงิ่ (3) การหุ้มก่งิ ตอน (4) การปฏบิ ัตดิ แู ลรักษากง่ิ ตอน (5) การตัดกิ่งตอน (6) การชาก่ิงตอน
คว่นั กงิ่ โดยรอบเปน็ วงแหวน 2 วง หมุ้ ดว้ ยต้มุ ตอน และลอกเปลือกไมอ้ อก ตัวอยา่ งการตอนก่ิงแบบการควน่ั กิ่ง
การติดตา (Budding) การติดตาเป็นวิธีการขยายพันธุ์พืชอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ก่ิงพันธุ์ดีน้อย สะดวกรวดเร็ว และสามารถนา ก่ิงพันธุ์ดีจากแหล่งหนึ่งไปทาการติดตาอีกแหล่งหน่ึงได้ แต่อาจต้องใช้เวลาในการบังคับและเลี้ยงตาใหม่ให้ เป็นต้นพืชนานกว่าการทาบกิ่ง ผู้ท่ีจะทาการขยายพันธ์ุด้วยการติดตาได้ต้องอาศัยความชานาญและ ประมาณจึงจะได้ผลดี
วิธีการติดตา มวี ธิ ีดงั น้ี 1 การติดตาแบบตัวที (T–Budding) และแบบตวั ทีแปลง (Terminal Budding) การติดตาแบบตวั ที (T) เปน็ วธิ ีการตดิ ตาท่เี ปิดปากแผลบนต้นตอแบบตวั ที สงิ่ ทีต่ อ้ งคานงึ ถงึ กอ่ นทา การตดิ ตาแบบน้ี คอื - ตน้ ตอต้องสมบูรณ์ ลอกเปลอื กไมง้ ่าย ไม่เปราะหรอื ฉกี ขาด และตาพนั ธ์ุดีสามารถลอกแผน่ ตา ออกไดง้ ่าย - ต้นตอต้องมีขนาดไมใ่ หญ่โตเกินไป ควรมีขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 0.5 น้ิว
2. การติดตาแบบเพลตหรือแบบเปดิ เปลอื กไม้ (Plate Budding) การติดตาแบบเพลตหรือแบบเปิดเปลือกไม้เป็นวิธีการติดตาท่ีคล้ายการติดตาแบบตัวที แต่ขนาดต้นตอใหญ่กว่าแบบตัวที เหมาะสาหรับพืชท่ีมีน้ายาง เช่น ยางพารา ขนุน หรือพืชที่สร้างรอย ประสานช้า เชน่ มะขาม และทสี่ าคญั คือ ตน้ ตอและตาพนั ธดุ์ ตี ้องลอกเนอื้ ไม้ออกจากเปลอื กไดง้ ่าย
ตวั อย่างการติดตาแบบตวั ที
การต่อก่งิ (Grafting) 1. การตอ่ กิ่งไมเ้ นื้ออ่อน (Herbaceous Grafting) วธิ นี ้ใี ช้ต่อกง่ิ ไม้เน้อื อ่อน ไมช้ ุม่ น้า และยอดออ่ นของไมเ้ นื้อแข็งทั่ว ๆ ไป วธิ ีการต่อมี 2 วิธี ดังนี้ 1.1 การตอ่ ก่งิ แบบฝานบวบ (Spliced Grafting) 1.2 การตอ่ กิง่ แบบเขา้ เดอื ย (Saddle Grafting)
2. การตอ่ กงิ่ แบบเสยี บเปลอื ก (Bark Grafting) และแบบเสียบเปลือกแปลง (Modified Bark Grafting) การต่อกิ่งแบบเสียบเปลือกนิยมใช้ในการต่อยอดไม้ผล ทั้งพืชที่มีเปลือกหนาและเปลือกบาง ข้อดีของการต่อกิ่งวิธีนี้คือ เนื้อไม้จะไม่ถูกผ่าออกจากกัน โอกาสท่ีรอยต่อจะเน่าหรือถูกทาลายจากเช้ือโรค จึงมีน้อย แตม่ ีข้อเสยี คอื ตอ้ งทาการตอ่ ขณะท่ีต้นตอมเี ปลือกล่อนในระยะท่ีตน้ พืชมกี ารเจริญเตบิ โตดเี ท่าน้นั
ตวั อย่างการต่อก่งิ แบบฝานบวบ
การทาบกงิ่ (Approach Grafting) การทาบก่ิงเป็นวิธีการขยายพันธ์ุท่ีทาให้ได้ต้นพันธุ์ดีซ่ึงมีลักษณะทางสายพันธ์ุเหมือน ต้นแม่วิธีหน่ึง โดยกิ่งพันธ์ุดีทาหน้าที่เป็นลาต้นของต้นพืชใหม่ ส่วนต้นตอที่นามาทาบติดกับก่ิงของต้น พนั ธ์ุดีจะทาหนา้ ทเ่ี ป็นระบบราก เพื่อหาอาหารใหก้ บั ตน้ พันธด์ุ ี วิธีการทาบก่ิง แบ่งออกเปน็ 2 แบบ คอื 1. การทาบกิง่ แบบประกบั (Spliced Approach Grafting) 2. การทาบกิ่งแบบเสยี บ (Modified Approach Grafting)
เฉอื นกิ่งพันธ์ดุ ีและตน้ ตอเป็นรูปโล่ จดั แนวเยื่อเจริญใหส้ ัมผัสกัน พันรอบดว้ ยพลาสตกิ ใสใหแ้ นน่ ตัวอย่างการทาบกงิ่ แบบประกบั ดว้ ยวิธกี ารทาบก่ิงแบบฝานบวบ
การตดั ชา (Cutting) การตัดชา หมายถึง การนาสว่ นต่าง ๆ ของพชื พันธด์ุ ตี ้องการมาตัดแลว้ ปักชาในวสั ดุเพาะชา เพ่อื ให้ได้พชื ตน้ ใหม่จากส่วนที่นามาปกั ชา 1. การตดั ชาก่งิ (Stem Cutting) แบง่ ออกเปน็ 3 ลกั ษณะ คือ 1.1 การตดั ชากงิ่ แก่ (Hardwood Cutting) 1.2 การตัดชากง่ิ กึ่งออ่ นก่งึ แก่ (Semi–Hardwood Cutting) 1.3 การตัดชากิ่งอ่อนและยอดอ่อน (Softwood Cutting)
2. การตดั ชาราก (Root Cutting) การตดั ชารากจะทาได้สาเรจ็ หรือไม่ขึน้ อยกู่ บั การเกดิ ตา ซ่ึงจะให้กาเนิดต้นและราก บนรากของ พชื ที่จะนามาตัดชา พืชทมี่ ีแนวโนม้ ตามธรรมชาติในการเกดิ หนอ่ ที่ราก เชน่ สน แคแสด สกั สาเก เปน็ ตน้ 3. การตดั ชาใบ (Leaf Cutting) แบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังน้ี 3.1 การตัดชาแผ่นใบ 3.2 การตัดชากา้ นใบ 3.3 การตดั ชาส่วนของใบ
4. การตดั ชาใบท่ีมตี าติดอยู่ (Leaf with Bud Cutting) การตัดชาใบท่ีมีตาติดอยู่เป็นวิธีการที่เปล่ียนมาจากการตัดชาใบ คือนอกจากมีใบพร้อมด้วย กา้ นใบแลว้ ตอ้ งมสี ว่ นของตน้ และตาท่ีโคนก้านใบติดไปดว้ ย ตวั อย่างการตดั ชาแผน่ ใบ
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: