ทหลรงกั งกาานร ในหลวงรัชกาลที่ 9
หลักการทรงงาน ในหลวงรัชกาลที่ 9
คำ�นำ� ตลอดระยะเวลา 7 ทศวรรษการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงอุทศิ พระวรกายบ�ำเพญ็ พระราชกรณียกิจ ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ ท้ังในพื้นที่ห่างไกลและถ่ินทุรกันดาร เพื่อพัฒนาประเทศและ ชว่ ยบรรเทาทกุ ขข์ องพสกนกิ รใหม้ คี ณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ี พออยพู่ อกนิ ดว้ ยพระมหากรณุ าธคิ ณุ อนั ลน้ พน้ แกร่ าษฎรทกุ หมเู่ หลา่ และทรงเปย่ี มดว้ ยพระปรชี าสามารถรอบดา้ น ไดพ้ ระราชทาน แนวคิด “เศรษฐกจิ พอเพยี ง” ที่จะชว่ ยใหก้ ารพฒั นาเกิดความสมดุล องคร์ วม และยง่ั ยืน โดยมีหลักการความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดีพอที่จะ ตา้ นทานผลกระทบจากสภาพภายนอกไดอ้ ยา่ งรอบคอบ การทรงงานของพระองค์ท่านทรงยึดลักษณะทางสายกลางที่สามารถน�ำมาปฏิบัติ ได้จริง เรียบง่าย และเป็นแนวทางการพัฒนาท่ีก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน โดย หนังสือ “23 หลักการทรงงาน ในหลวงรัชกาลที่ 9” ฉบับนี้ได้รวบรวมเน้ือหาจาก “หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ของส�ำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพ่ือประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ (กปร.) เพื่อเผยแพร่และเสริมสร้าง ความรู้ความเข้าใจในหลักการทรงงานของพระองค์ท่าน อันจะยึดเป็นแนวปฏิบัติตาม รอยเบอื้ งพระยคุ ลบาท ใหท้ ุกคนสามารถพึ่งตนเอง พัฒนาชมุ ชน และสร้างรากฐานของ ประเทศชาติในวิถพี อเพยี ง ตลอดจนใช้ทรัพยากรธรรมชาตอิ ย่างยั่งยืน กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม
สารบัญ 6 ในหลวงรัชกาลที่ 9 10 หลักการทรงงาน ในหลวงรัชกาลที่ 9 13 29 45 1. ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ 9. ท�ำให้ง่าย 17. การพึ่งตนเอง 14 30 46 2. ระเบิดจากข้างใน 10. การมีส่วนร่วม 18. พออยู่พอกิน 17 33 49 3. แก้ปัญหาที่จุดเล็ก 11. ประโยชน์ส่วนรวม 19. เศรษฐกิจพอเพียง 18 34 50 4. ท�ำตามล�ำดับขั้น 12. บริการรวมท่ีจุดเดียว 20. ความซ่ือสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน 21 37 53 5. ภูมิสังคม 13. ทรงใช้ธรรมชาติ ช่วยธรรมชาติ 21. ท�ำงานอย่างมีความสุข 22 38 54 6. องค์รวม 14. ใช้อธรรมปราบอธรรม 22. ความเพียร : พระมหาชนก 25 41 56 7. ไม่ติดต�ำรา 15. ปลูกป่าในใจคน 23. รู้ รัก สามัคคี 26 42 8. ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด 16. ขาดทุนคือก�ำไร
ใน หลวงรั ชกาลท่ี ต้ังแต่ปี 2502 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 6 ในรัชกาลท่ี 9 ได้เสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศ ต่างๆ ท้ังในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชีย และได้เสด็จพระราชด�ำเนินไป ทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ทุกภาค ทรงประจักษ์ในปัญหาของราษฎรตามชนบท ที่ด�ำรงชีวิตด้วยความยากจนและด้อยโอกาส ได้ทรงพระวิริยะอุตสาหะหาทาง แก้ปัญหาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ทุกหนทุกแห่งบนผืนแผ่นดินไทย ท่ีรอยพระบาทได้ประทับลง ได้ทรงขจัดทุกข์ยากน�ำความผาสุกและทรงยกฐานะ ความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น ด้วยพระบุญญาธิการและพระปรีชาสามารถ ปราดเปร่ืองพร้อมด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุข ของราษฎรและพัฒนาประเทศชาติตลอดระยะเวลา โดยมิได้ทรงค�ำนึงถึงประโยชน์สุข ส่วนพระองค์ นอกจากนี้ได้พระราชทานโครงการนานัปการจ�ำนวน 4,596 โครงการ ทั้งด้านการแพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรในชนบท ทั้งยังทรงขจัดปัญหาทุกข์ยากของ ประชาชนในชุมชนเมือง เช่น ทรงแก้ปัญหาการจราจร อุทกภัย เป็นต้น พระองค์ ท ร ง ต ร า ก ต ร�ำ พ ร ะ ว ร ก า ย ท ร ง ง า น อ ย ่ า ง มิ ท ร ง เ ห น็ ด เ ห นื่ อ ย แ ม ้ ใ น ย า ม ท ร ง พระประชวร ก็มิได้ทรงหยุดยั้งพระราชด�ำริ หรือแม้ยามท่ีประเทศประสบภาวะ เศรษฐกิจ ทั้งน้ี ต้ังแต่ ปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา ได้พระราชทานแนวทางด�ำรงชีพ ตามแบบ “เศรษฐกจิ พอเพียง” และ “ทฤษฎใี หม”่ ใหร้ าษฎรไดพ้ ่งึ ตนเองบนผนื แผ่นดินไทย ให้เกิดประโยชนส์ งู สุด ท่ีสามารถด�ำรงอยูไ่ ด้อย่างมั่นคงและยง่ั ยนื
7
8
9
23 หลักการทรงงาน ในหลวงรชั กาลท่ี 9 หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ตามที่ส�ำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริ (กปร.) ได้รวบรวมไว้มีหลากหลายถึง 23 หลักการ ซ่ึงปวงชนชาวไทยสามารถน้อมน�ำไปปฏิบัติได้ตาม ความเหมาะสม 10
11
12
1 ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ การที่จะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่งจะทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบ ท้ังจาก ข้อมูลเบ้ืองต้นจากเอกสาร แผนที่ สอบถามเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และราษฎรในพื้นที่ ให้ได้รายละเอียด อย่างถูกต้อง เพ่ือที่จะพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วตรงตามความต้องการ ของประชาชน 13
2 ระเบิดจากข้างใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมุ่งเน้นเร่ือง การพัฒนาคน มีพระราชด�ำรัสว่า “ต้องระเบิดจากข้างใน” นั้นหมายความว่า ต้องมุ่งพัฒนาเพ่ือสร้างความเข้มแข็ง ให้คนและครอบครัวในชุมชนท่ีเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมท่ีจะรับการพัฒนาเสียก่อน แล้วจึง ค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การน�ำเอาความเจริญจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนและหมู่บ้าน ซ่ึงหลายชุมชนยังไม่ทันได้มีโอกาสเตรียมตัวหรือต้ังตัว จึงไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับกระแส การเปล่ียนแปลงและน�ำไปสู่ความล่มสลายได้ 14
15
16
“ 3 แก้ปัญหาที่จุดเล็ก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงเปี่ยมไปด้วย พระอัจฉริยภาพในการแก้ไขปัญหา ทรงมองปัญหาในภาพรวม (Macro) ก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหา ของพระองค์จะเร่ิมจากจุดเล็ก ๆ คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าท่ีคนมักจะมองข้าม ดังพระราชด�ำรัสที่ว่า “ …ถ้าปวดหัวก็คิดอะไรไม่ออก เป็นอย่างนั้นต้องแก้ไขการปวดหัว นี้ก่อน...มันไม่ได้เป็นการแก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปวดหัวก่อน เพ่ือที่จะให้อยู่ในสภาพท่ีคิดได้...แบบ Macro นี้เขาจะท�ำแบบ รื้อท้ังหมด ฉันไม่เห็นด้วย...อย่างบ้านคนอยู่ เราบอกบ้านนี้ มันผุตรงนั้น ผุตรงน้ี ไม่คุ้มท่ีจะไปซ่อม...เอาตกลงรื้อบ้านน้ี ระเบิดเลย เราจะไปอยู่ท่ีไหน ไม่มีที่อยู่...วิธีท�ำต้องค่อยๆ ท�ำ จะไประเบิดหมดไม่ได้... 17
4 “ ทำ�ตามลำ�ดับขั้น ในการทรงงาน พระองค์จะทรงเร่ิมต้นจากส่ิงที่จ�ำเป็นของประชาชนท่ีสุดก่อน ได้แก่ สาธารณสุข เมื่อมี ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้วก็จะสามารถท�ำประโยชน์ด้านอื่นๆ ต่อไปได้ จากนั้นจะเป็นเรื่องสาธารณูปโภค ข้ันพ้ืนฐานและสิ่งจ�ำเป็นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้�ำเพ่ือการเกษตร การอุปโภคบริโภค ที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนโดยไม่ท�ำลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการให้ความรู้ทางวิชาการ และเทคโนโลยีที่เรียบง่าย เน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีราษฎรสามารถน�ำไปปฏิบัติได้และ เกิดประโยชน์สูงสุด ดังพระบรมราโชวาท เมื่อวันท่ี ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ความตอนหน่ึงว่า “ ...การพัฒนาประเทศจ�ำเป็นต้องท�ำตามล�ำดับข้ัน ต้องสร้างพ้ืนฐานคือความพอมีพอกิน พอใช้ของ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เม่ือได้ พ้ืนฐานท่ีม่ันคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะเศรษฐกิจ ข้ันท่ีสูงข้ึนโดยล�ำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มสร้างความเจริญยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชน โดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิด ความไม่สมดุลในเร่ืองต่างๆ ขึ้น ซ่ึงอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในท่ีสุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศ กำ� ลังประสบปัญหาทางเศรษฐกจิ อย่างรนุ แรงในเวลาน้ี การชว่ ยเหลือสนับสนุนประชาชน ในการประกอบอาชพี และตั้งต้วให้มีความพอกิน พอใช้ก่อนอ่ืนเป็นพ้ืนฐานน้ัน เป็นส่ิงส�ำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพ และฐานะเพียงพอท่ีจะพึ่งตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าระดับที่สูงได้ต่อไปโดยแน่นอน ส่วนการถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญให้ค่อยเป็นไปตามล�ำดับ ด้วยความรอบคอบระมัดระวังและ ประหยัดน้ัน ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลวและเพื่อให้บรรลุผลส�ำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์... 18
19
20
“ 5 ภูมิสังคม การพัฒนาใด ๆ ต้องค�ำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้นว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเก่ียวกับ ลกั ษณะนสิ ยั ใจคอของคน ตลอดจนวฒั นธรรมประเพณใี นแตล่ ะทอ้ งถนิ่ ทม่ี คี วามแตกตา่ งกนั ดงั พระราชด�ำรสั ความตอนหน่ึงว่า “ ...การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา คือ นิสัยใจคอของ คนเรา จะไปบังคับให้คนคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะน�ำ เราเข้าไปช่วย โดยท่ีจะคิดให้เขาเข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่า เขาต้องการอะไรจริง ๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการ ของการพัฒนาน้ีก็จะเกิดประโยชน์อย่างย่ิง... 21
6 องค์รวม ทรงมีวิธีคิดอย่างองค์รวม (Holistic) หรือมองอย่างครบวงจร ในการที่จะพระราชทานพระราชด�ำริ เก่ียวกับโครงการหน่ึงน้ัน จะทรงมองเหตุการณ์ท่ีจะเกิดข้ึน และแนวทางแก้ไขอย่างเช่ือมโยง ดังเช่น กรณีของ “ทฤษฎีใหม่” ท่ีพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทย เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพนับเป็น แนวทางหนึ่งท่ีพระองค์ทรงมองอย่างองค์รวม ต้ังแต่การถือครองที่ดินโดยเฉล่ียของประชาชนคนไทย ประมาณ 10 – 15 ไร่ เพื่อการบริหารจัดการที่ดินและแหล่งน�้ำอันเป็นปัจจัยพื้นฐานท่ีส�ำคัญ ในการประกอบอาชีพ เม่ือมีน�้ำในการท�ำเกษตรแล้วจะส่งผลให้ผลผลิตดีข้ึน และหากมีผลผลิตเพ่ิมมากข้ึน เกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีการจัดการและการตลาด รวมถึงการรวมกลุ่มรวมพลังชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพื่อพร้อมท่ีจะออกสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกได้อย่างครบวงจร น่ันคือ ทฤษฎีใหม่ ขั้นท่ี 1, 2 และ 3 22
23
24
7 ไม่ติดตำ�รา การพัฒนาตามแนวพระราชด�ำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีลักษณะของการพัฒนาท่ีอนุโลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสภาพของสังคม จิตวิทยาแห่งชุมชน คือ “ไม่ติดต�ำรา” ไม่ผูกมัดติดกับวิชาการและเทคโนโลยีท่ีไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ท่ีแท้จริงของคนไทย 25
8 “ ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประหยัดมาก แม้เป็น เร่ืองส่วนพระองค์ดังที่ประชาชนชาวไทยเคยเห็นว่า หลอดยาสีพระทนต์นั้น ทรงใช้อย่างคุ้มค่า อย่างไร ฉลองพระองค์แต่ละองค์ทรงใช้อยู่เป็นเวลานาน หรือแม้แต่ฉลองพระบาทหากช�ำรุดก็จะส่งซ่อม และใช้อย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎรทรงใช้หลักในการแก้ไขปัญหาด้วยความ เรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถท�ำได้เอง หาได้ในท้องถ่ินและประยุกต์ใช้สิ่งส่ิงท่ีมีอยู่ในภูมิภาคนั้นๆ มาแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีท่ีไม่ยุ่งยากนัก ดังพระราชด�ำรัสความตอนหนึ่งว่า “...ให้ปลูกป่า โดยไม่ต้องปลูก โดยปล่อยให้ขึ้นเองตามธรรมชาติ จะได้ประหยัดงบประมาณ... 26
27
28
9 ทำ�ให้ง่าย ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ท�ำใหก้ ารคิดคน้ ดดั แปลง ปรับปรงุ และแก้ไขงานการพัฒนาประเทศตามแนวพระราชด�ำริ ด�ำเนินไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และท่ีส�ำคัญคือ สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่และระบบนิเวศ โดยส่วนรวม ตลอดจนสภาพทางสังคมของชุมชนน้ัน ๆ ทรงโปรดที่จะท�ำส่ิงท่ียากให้กลายเป็นง่าย ท�ำส่ิงท่ีสลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย อันเป็นการแก้ปัญหาด้วยการใช้กฎแห่งธรรมชาติเป็นแนวทางน่ันเอง ฉะน้ันค�ำว่า “ท�ำให้ง่าย” จงึ เป็นหลกั คิดส�ำคัญของการพัฒนาประเทศในรปู แบบของโครงการอันเน่ืองมาจาก พระราชด�ำริ 29
10 การมีส่วนร่วม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นนักประชาธิปไตย ทรงเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายท้ังสาธารณชน ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับได้เข้ามาร่วมกันแสดง ค ว า ม คิ ด เ ห็ น แ ล ะ ร ่ ว ม กั น ท�ำ ง า น โ ค ร ง ก า ร พ ร ะ ร า ช ด�ำ ริ โ ด ย ค�ำ นึ ง ถึ ง ค ว า ม คิ ด เ ห็ น ข อ ง ประชาชนหรือความต้องการของสาธารณชนด้วย ส�ำหรับวิธีการมีส่วนร่วมพระองค์ทรงน�ำ “ประชาพิจารณ์” มาใช้ในการบริหารจัดการด�ำเนินงาน ซึ่งเป็นวิธีการที่เรียบง่ายตรงไปตรงมา โดยหากจะท�ำโครงการใดจะทรงอธิบายถึงความจ�ำเป็นและผลกระทบที่เกิดกับประชาชนทุกฝ่าย รวมท้ังผู้น�ำชุมชนในท้องถ่ิน เมื่อประชาชนในพื้นที่เห็นด้วยแล้ว หน่วยราชการต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง และร่วมด�ำเนินการมีความพร้อม จึงจะพระราชทานพระราชด�ำริให้ด�ำเนินโครงการนั้น ๆ ต่อไป 30
31
32
“ 11 ประโยชน์ส่วนรวม การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และการพระราชทานพระราชด�ำริในการพัฒนาและช่วยเหลือพสกนิกร ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงระลึกถึงประโยชน์ของ “ส่วนรวมเป็นส�ำคัญ ดังพระราชด�ำรัสความตอนหน่ึงว่า ...ใครต่อใครบอกว่า ขอให้เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม อันนี้ฟังจนเบ่ือ อาจร�ำคาญด้วยซ้�ำว่า ใครต่อใครมาก็บอกว่า ขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจว่า ให้ ๆ อยู่เร่ือยแล้ว ส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่าคนที่ให้เพื่อส่วนรวมน้ัน มิได้ให้ส่วนรวมแต่อย่างเดียว เป็นการให้เพื่อตัวเอง สามารถที่จะมีส่วนรวมท่ีจะอาศัยได้... พระบรมราโชวาท มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2514 33
12 “ บริการรวมที่จุดเดียว การบริการรวมท่ีจุดเดียวเป็นรูปแบบการบริการแบบเบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Services ที่เกิดข้ึนเป็น ครั้งแรกในระบบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย โดยทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจาก พระราชด�ำริเป็นต้นแบบในการบริการรวมที่จุดเดียว เพ่ือประโยชน์ต่อประชาชนท่ีจะมาขอใช้บริการ จะประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย โดยจะมีหน่วยงานราชการต่าง ๆ มาร่วมด�ำเนินการและให้บริการประชาชน “ณ ท่ีแห่งเดียว ดังพระราชด�ำรัสความตอนหน่ึงว่า ...กรม กองต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับชีวิตประชาชนทุกด้านได้ สามารถแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น ปรองดองกัน ประสานกัน ตามธรรมดาแต่ละฝ่ายต้องมีศูนย์ของตน แต่ว่าอาจจะมีงานถือว่าเป็นศูนย์ของตัวเองคนอื่นไม่เก่ียวข้อง และศูนย์ศึกษาการพัฒนา เป็นศูนย์ท่ีรวบรวมก�ำลังท้ังหมดของเจ้าหน้าที่ทุกกรม กอง ท้ังในด้านเกษตรหรือ ในด้านสังคม ท้ังในด้านหางาน การส่งเสริมการศึกษามาอยู่ด้วยกัน ก็หมายความว่า ประชาชนซ่ึงจะต้องใช้วิชาการทั้งหลายก็สามารถท่ีจะมาดู ส่วนเจ้าหน้าท่ีจะให้ความอนุเคราะห์ แก่ประชาชนก็มาอยู่พร้อมกันในท่ีเดียวกันเหมือนกัน ซ่ึงเป็นสองด้าน ก็หมายถึงว่า ที่ส�ำคัญ ปลายทางคือ ประชาชนจะได้รับประโยชน์และต้นทางของผู้เป็นเจ้าหน้าที่จะให้ประโยชน์... 34
35
36
13 ทรงใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติ และต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกับทรัพยากรธรรมชาติ ทรงมองอย่างละเอียดถึงปัญหา ธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ อาทิ การแก้ไข ปัญหาป่าเส่ือมโทรม ได้พระราชทานพระราชด�ำริ “การปลูกป่า โดยไม่ต้องปลูก” ปล่อยให้ธรรมชาติ ช่วยในการฟื้นฟูธรรมชาติ หรือแม้กระท่ัง “การปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง” ได้แก่ ปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้ผล และไม้ฟืน นอกจากได้ประโยชน์ตามช่ือของไม้แล้ว ยังช่วยสร้างความชุ่มช้ืน ให้แก่พ้ืนดินด้วย เห็นได้ว่าทรงเข้าใจธรรมชาติ และมนุษย์อย่างเก้ือกูลกัน ท�ำให้คนอยู่ร่วมกับ ป่าได้อย่างยั่งยืน 37
“ 14 ใช้อธรรมปราบอธรรม ทรงน�ำความจริงในเร่ืองความเป็นไปแห่งธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการ แนวปฏิบัติท่ีส�ำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ปกติ เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การน�ำน�้ำดี ขับไล่น�้ำเสีย หรือเจือจางน้�ำเสียให้กลับเป็นน�้ำดี ตามจังหวะการข้ึนลงตามธรรมชาติ ของน�้ำ การบ�ำบัดน�้ำเสียโดยใช้ผักตบชวาซ่ึงมีตามธรรมชาติ ให้ดูดซึมสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้�ำ ดังพระราชด�ำรัสความว่า “ ใช้อธรรมปราบอธรรม 38
39
40
“ 15 ปลูกป่าในใจคน เป็นการปลูกป่าลงบนแผ่นดินด้วยความต้องการอยู่รอดของมนุษย์ ท�ำให้ต้องมีการบริโภคและ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง เพ่ือประโยชน์ของตนเองและสร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อม ดังนั้นการท่ีจะฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนมาจะต้องปลูกจิตส�ำนึกในการรักผืนป่าให้ “แก่คนเสียก่อน ดังพระราชด�ำรัสความตอนหนึ่งว่า ...เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่าน้ันก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง... 41
“ 16 ขาดทุนคือกำ�ไร “ ...ขาดทุน คือ ก�ำไร Our loss is our gain การเสีย คือ การได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้... จากพระราชด�ำรัสดังกล่าว คือ หลักการในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่ีมีต่อพสกนิกรไทย “การให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระท�ำอันมีผลเป็น ก�ำไร คือความอยู่ดีมีสุขของราษฎร ซ่ึงสามารถสะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนได้ ดังพระราชด�ำรัส ที่ได้พระราชทานแก่ตัวแทนของปวงชนชาวไทย ที่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร เน่ืองในโอกาส เฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันท่ี 4 ธันวาคม 2534 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระต�ำหนักจิตรลดารโหฐาน ความตอนหน่ึงว่า 42
“ ...ประเทศต่าง ๆ ในโลก ในระยะ 3 ปีมานี้ คนท่ีก่อตั้งประเทศที่มีหลักทฤษฎีในอุดมคติที่ใช้ “ ในการปกครองประเทศล้วนแต่ล่มสลายลงไปแล้ว เมืองไทยของเราจะสลายลงไปหรือ เมืองไทย นับว่าอยู่ได้มาอย่างดี เม่ือประมาณ 10 วันก่อน มีชาวต่างประเทศมาขอพบ เพ่ือขอโอวาท เกี่ยวกับการปกครองประเทศว่าจะทําอย่างไร จึงได้แนะนําว่า ให้ปกครองแบบคนจน แบบท่ีไม่ติดตํารามากเกินไป ทําอย่างมีสามัคคี มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไม่เหมือนกับ คนที่ท�ำตามวิชาการ ที่เวลาปิดตําราแล้วไม่รู้จะทําอย่างไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรก เร่ิมใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง ถ้าเราใช้ตําราแบบอะลุ้มอล่วยกันในท่ีสุดได้ก็เป็นการดี ให้โอวาทเขาไปว่าขาดทุนเป็นการได้กําไรของเรา นักเศรษฐศาสตร์คงค้านว่าไม่ใช่ แต่เราอธิบายได้ว่า ถ้าเราทําอะไรท่ีเราเสีย แต่ในท่ีสุดเราเสียนั้น เป็นการได้ทางอ้อม ตรงกับงาน ของรัฐบาลโดยตรง เงินของรัฐบาลหรืออีกนัยหนึ่งคือเงินของประชาชน ถ้าอยากให้ประชาชน อยู่ดี กินดี ก็ต้องลงทุน ต้องสร้างโครงสร้าง ซ่ึงต้องใช้เงิน เป็นร้อย พัน หมื่นล้าน ถ้าทําไป เป็นการจ่ายเงินของรัฐบาล แต่ในไม่ช้า ประชาชนจะได้รับผล ราษฎรอยู่ดีกินดี ราษฎร ได้กําไรไป ถ้าราษฎรมีรายได้ รัฐบาลก็เก็บภาษีได้สะดวก เพ่ือให้รัฐบาลได้ทําโครงการต่อไป เพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ ถ้ารู้รัก สามัคคี รู้เสียสละ คือการได้ ประเทศชาติ ก็จะก้าวหน้า และการท่ีคนอยู่ดีมีสุขน้ัน เป็นการนับท่ีเป็นมูลค่าเงินไม่ได้... 43
44
“ 17 การพึ่งตนเอง การพัฒนาตามแนวพระราชดํารัส เพื่อแก้ไขปัญหาในเบ้ืองต้นด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพ่ือให้ มีความแข็งแรง พอท่ีจะดํารงชีวิตได้ต่อไป แล้วข้ันต่อไป ก็คือการพัฒนาให้ประชาชนสามารถอยู่ในสังคมได้ ตามสภาพแวดล้อมและสามารถ “พ่ึงตนเองได้” ในท่ีสุด ดังพระราชดํารัสความตอนหน่ึงว่า “ ...การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพ และตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นส่ิงส�ำคัญย่ิงยวด เพราะผู้มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพ่ึงพาตนเองได้ ย่อมสามารถสร้างความเจริญในระดับสูงข้ันต่อไป... 45
“ 18 พออยู่พอกิน การพัฒนาเพ่ือให้พสกนิกรท้ังหลายประสบความสุขสมบูรณ์ในชีวิตได้ เริ่มจากการเสด็จฯ ไปเย่ียม ประชาชนทุกหมู่เหล่าในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ได้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎรด้วย พระองค์เอง จึงทรงสามารถเข้าพระราชหฤทัยในสภาพปัญหาได้อย่างลึกซ้ึงว่า มีเหตุผลมากมาย ท่ีทําให้ราษฎรตกอยู่ในวงจรแห่งทุกข์เข็ญ จากนั้นได้พระราชทานความช่วยเหลือให้พสกนิกร มีความ กินดีอยู่ดี มีชีวิตอยู่ในขั้น “พออยู่พอกิน” ก่อนแล้วจึงขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะท่ีก้าวหน้าต่อไป ในการพัฒนาน้ัน หากมองในภาพรวมของประเทศมิใช่งานเล็กน้อย แต่ต้องใช้ความคิดและกําลังของ คนท้ังชาติ จึงจะบรรลุผลสําเร็จ ด้วยพระปรีชาญาณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงทําให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์ว่าแนวพระราชดําริในพระองค์น้ัน ““เรียบง่าย ปฏิบัติได้ผล” เป็นท่ียอมรับโดยทั่วกัน ดังพระราชดํารัสความตอนหน่ึงว่า ...ถ้าโครงการดี ในไม่ช้า ประชาชนก็ได้ก�ำไร จะได้ผล ราษฎรจะอยู่ดีกินดีข้ึน จะได้ประโยชน์ไป... 46
47
48
19 เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดํารัสชี้แนะแนวทางการดําเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 30 ปี ตั้งแต่ ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงย�้ำแนวทางการแก้ไข เพ่ือให้รอดพ้น และสามารถดํารงอยู่ได้อย่างม่ันคงและย่ังยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ดังปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ได้พระราชทานไว้ดังนี้ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดํารงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ต้ังแต่ระดับ ครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดําเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจําเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปล่ียนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งน้ี จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวงั อย่างยิง่ ในการนําวิชาการตา่ ง ๆ มาใชใ้ นการวางแผน และการดาํ เนนิ การ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีส�ำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ ท่ีเหมาะสม ดําเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรับการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี 49
20 “ “ ความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน “ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลท่ี 9 พระราชทานพระราชดํารัส เร่ือง ความซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกันอย่างต่อเน่ืองตลอดมา เพราะเห็นว่าหากคนไทยทุกคนได้ ร่วมมือกันช่วยชาติ พัฒนาชาติด้วยความซ่ือสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกันแล้วประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้า “อย่างมาก ดังพระราชด�ำรัส ดังน้ี ...คนที่ไม่มีความสุจริต คนท่ีไม่มีความม่ันคง ชอบแต่มักง่ายไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวม ท่ีส�ำคัญอันใดได้ ผู้ท่ีมีความสุจริตและความมุ่งม่ันเท่านั้น จึงจะท�ำงานส�ำคัญยิ่งใหญ่ท่ีเป็นคุณ เป็นประโยชน์แท้จริงได้ส�ำเร็จ... “ พระราชดํารัส เมื่อวันท่ี 12 กรกฏาคม 2522 ...ผู้ท่ีมีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็ย่อมท�ำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้ มากกว่าผู้มีความรู้มากแต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธ์ิใจ... “ พระราชดํารัส เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533 ...ผู้ว่า CEO ต้องเป็นคนที่สุจริต ทุจริตไม่ได้ ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป... ...ข้าราชการหรือประชาชนมีการทุจริต ถ้ามีทุจริตแล้ว บ้านเมืองพัง ท่ีเมืองไทยพังมาเพราะมีทุจริต... พระราชดํารัส เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2546 50
Search