แบบเรยี น วชิ า การแตง่ คาประพันธ์ รหสั ท32201 เรยี บเรยี งโดย นางสาวพรรษรัตน์ พรมมนิ ทร์ ครู วทิ ยฐานะชานาญการ โรงเรยี นโคกสาโรงวทิ ยา อาเภอโคกสาโรง จังหวัดลพบรุ ี สังกัดสานักงานเขตพืน้ ท่มี ัธยมศกึ ษา ลพบรุ ี
วชิ า การแต่งคาประพนั ธ์ รหสั ท32201 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5
บทที่ 1 คาประพนั ธไ์ ทย ความหมายของคาประพันธ์ คาประพนั ธ์ หมายถงึ ถ้อยคาที่เรียบเรยี งให้เป็นระเบยี บ ตามบัญญัติแห่ง ฉันทลักษณโ์ ดยมีกาหนด ข้อบงั คับต่าง ๆเพื่อใหเ้ กดิ ความครกึ ครนื้ และมีความไพเราะแตกต่างไปจากถ้อยคาธรรมดา ความเป็นมาของคาประพนั ธ์ไทย คาประพนั ธ์ของไทยถือกาเนดิ ข้ึนแตเ่ มอ่ื ใด ไม่มีใครสามารถใหค้ าตอบได้ แต่ถ้าเชื่อตามท่ีเคยกล่าวกนั มาว่าไทยเป็นชาตนิ ักกลอนแล้ว คาประพนั ธ์ของไทย ต้องมมี าก่อนที่พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช จะทรง ประดษิ ฐ์อักษรไทยในปีพ.ศ. 1826 แตเ่ ป็นคาประพันธ์ทีบ่ ันทกึ ไวใ้ นสมองและถ่ายทอดกนั ดว้ ยปากหรือท่ี เรียกว่า \"กลอนสด\" น่นั เอง คาประพันธ์หรือบทร้อยกรอง มาปรากฏเป็นหลักฐานคร้ังแรก ในวรรณคดี เรอื่ ง\"ลลิ ิตโองการแช่งนา้ \" หรอื \"ประกาศแช่งน้าโคลงหา้ \" ซง่ึ เชอ่ื กันว่าแต่งใน รชั สมยั สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง พ.ศ. 1829 - 1912) เปน็ คาประพันธป์ ระเภทโคลงกับรา่ ย ถา้ สังเกตดูในศิลาจารึกสโุ ขทัย หลักท่ี 1 จะมลี กั ษณะคาประพนั ธ์ หรอื บทร้อยกรองเพราะจะเหน็ ลกั ษณะสมั ผสั ซ่งึ เกิดจากการใชค้ าคลอ้ งจองกัน เชน่ \"ในน้ามปี ลา ในนามขี ้าว\" \"เพื่อนจงู วัวไปค้า ขม่ี า้ ไปขาย\" \"ไพร่ฟ้าหนา้ ใส\" คาประพันธไ์ ทยนี้ สานกั วัฒนธรรมทางวรรณกรรม ซง่ึ ต้งั ขึ้นเม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๕ ใชเ้ รียกวรรณกรรม ประเภททมี่ ีลักษณะบังคับในการแต่ง หรอื มกี าร กาหนดคณะวา่ \"รอ้ ยกรอง\" ควบคู่กันกับคาว่า\"ร้อยแกว้ \" อนั เป็นความเรยี ง คาประพนั ธท์ ร่ี ยี กว่า ร้อยกรองในปจั จบุ นั น้ี โบราณเรียกกันหลายอย่าง เชน่ กวา่ \"กลอน\" ในลิลติ พระลอ เรียกวา่ \"กาพย\"์ ในกาพย์มหาชาติ เรียกว่า \"ฉันท์\" ในลลิ ิตยวนพา่ ย เรยี กว่า \"กานท\"์ ในทวาทศมาส และเรยี กอีกหลายอยา่ งเป็นต้นวา่ \"บทกลอน\" \"กาพยก์ ลอน\" \"บทกว\"ี \"กวีนิพนธ\"์ \"บทประพนั ธ์\" และ \"คาประพนั ธ์\" ฉันทลกั ษณข์ องคาประพันธ์ ฉนั ทลกั ษณ์ แปลวา่ ตาราว่าด้วยคาประพนั ธ์ หมายถึงระเบยี บและข้อบังคับตา่ ง ๆ ทีใ่ ช้ในการแต่งคา ประพนั ธช์ นิดต่างๆ
สุนทรยี ะของคาประพนั ธ์ไทย สุนทรียะ คือ ความนิยมในความงามของคาประพันธ์ อันเป็นเคร่ืองยังใหเ้ กิดความสะเทือนอารมณ์ ได้แก่ความสุข ความเบิกบานใจ ความพอใจ และความอม่ิ เอิบใจแก่ผู้อา่ น สนุ ทรียะของคาประพันธไ์ ทย เกดิ จากองคป์ ระกอบ 3 ประการคือ 1. สนุ ทรยี รปู คือ ฉนั ทลักษณ์ที่เหมาะสม ไดแ้ ก่ การเลือกใช้รปู แบบของคาประพนั ธ์ใหเ้ หมาะสมกับ เน้อื หา และอารมณท์ ่ีผู้แต่งต้องการสื่อ รวมทั้งความถูกตอ้ งตามแบบแผนของคาประพันธ์ทใี่ ช้นน้ั ดว้ ย 2. สุนทรียลีลา คอื กระบวนการพรรณนาทเี่ หมาะสมด้านกระบวนการพรรณนา ซง่ึ มีอยู่ 4 กระบวน คอื 1) เสาวรจนี คอื บทชมโม ซ่งึ ไดแ้ ก่กระบวนชมความงาม 2) นารปี ราโมทย์ คือ บทเก้ียว บทโอโ้ ลม เป็นรสแหง่ ความรักใคร่ 3) พิโรธวาทัง คอื กระบวนความตัดพ้อต่อว่า หงึ หวง โกรธ วา่ กล่าว ประชดประชนั 4) สลั ลาปงั คพิไสย คือ กระบวนความเศร้าโศก คร่าครวญ อาลยั อาวรณ์ 3. สุนทรยี รส คือ ความงดงามในด้านอารมณ์สะเทือนใจ อันเกดิ จากกระบวนการพรรณนา และกลวิธี ในการประพันธ์ทเี่ หมาะสม มีอยู่ 9 รส คอื 1) ศฤงคารรส คอื รสแหง่ ความรัก 2) หาสยรส คือ รสแหง่ ความขบขัน 3) กรณุ ารส คือ รสแห่งความเมตตากรุณา 4) รทุ ธรส คอื รสแห่งความโกรธเคอื ง 5) วีรรส คอื รสแหง่ ความเพียร หรือความกลา้ หาญ 6) ภยานกรส คือ รสแหง่ ความกลวั 7) พภี ติรส คอื รสแห่งความชังความรังเกียจ 8) อัพภูตรส คอื รสแหง่ ความพศิ วงประหลาดใจ 9) ศานตริ ส คือ รสแห่งความสงบ
บทที่ 2 คาประพนั ธ์ประเภทกลอน กลอนแปด กลอนแปดเป็นกลอนสุภาพที่มีผนู้ ยิ มแตง่ กนั มากท่ีสดุ เน่ืองจากจานวนคาไมม่ ากไม่นอ้ ยเกนิ ไป สามารถเกบ็ ความไดพ้ อดี ถือเป็นกลอนพืน้ ฐานของกลอนต่างๆ ไมว่ ่าจะเป็นกลอนนิราศ กลอนนทิ าน กลอน เพลงยาว หรือกลอนขบั ร้องต่างๆ กลอนแปด ตวั อยา่ ง : บัดเดยี๋ วดังหงา่ งเหง่งวงั เวงแว่ว สะดุง้ แลว้ เหลียวแลชะแง้หา เห็นโยคขี ีร่ ุ้งพุง่ ออกมา ประคองพาขึ้นไปจนบนบรรพต แล้วสอนว่าอยา่ ไวใ้ จมนุษย์ มนั แสนสดุ ลกึ ล้าเหลอื กาหนด ถงึ เถาวลั ยพ์ นั เกยี่ วท่เี ล้ียวลด กไ็ ม่คดเหมือนหน่งึ ในนา้ ใจคน (พระอภัยมณี) กฎ : 1.บทหนง่ึ มี 2 บาท บาทท่ี 1 เรียกวา่ บาทเอก มี 2 วรรค คือ วรรคสลบั และวรรครับ บาทที่ 2 เรยี กว่าบาทโท มี 2 วรรค คือวรรครองและวรรคส่ง แตล่ ะวรรคมีคาวรรคละ 8 คา
2. สัมผัสมีดงั น้ี คาสุดทา้ ยของวรรคสลับ สัมผสั กับคาที่ 3 หรือ 5 ของวรรครบั คาสดุ ทา้ ยของวรรครบั สมั ผัสกับคาสดุ ทา้ ยของวรรครอง คาสุดท้ายของวรรครอง สมั ผัสกับคาท่ี 3 หรอื 5 ของวรรคสง่ ถ้าจะแต่งบทต่อไป จะต้องให้คาสดุ ท้ายของบทต้น สมั ผัสกับคาสดุ ทา้ ย ของวรรครบั ของบทต่อไปเสมอ ตวั อย่าง : ความรู้ ความเอย๋ ความรู้ ทกุ อย่างอาจเป็นครหู ากศึกษา เหน็ สง่ิ ใดใชส้ มองลองปัญญา ใครค่ รวญหาเหตผุ ลจนแจง้ ใจ อนั ความรเู้ รียนเทา่ ไรก็ไมจ่ บ ยิ่งคน้ พบก็ย่ิงมีทสี่ งสยั ใชค้ วามรู้ผิดทางสรา้ งทุกข์ภัย รู้จกั ใช้ทาประโยชนส์ ุขโสตถ์เอย (ดอกสร้อยรอ้ ยแปด : ฐะปะนีย์ นาครทรรพ)
นกเอี้ยง คนเขา้ ใจว่าเจ้าเลีย้ งซ่ึงควายเฒา่ นกเอ๋ยนกเอี้ยง แมอ้ าหารกไ็ ปเอาบนหลงั ควาย รู้มากเอาเปรยี บคนท้ังหลาย แต่นกเอ้ยี งนน้ั เลย่ี งทางานเบา จงึ น่าอายเพราะเอาเย่ียงนกเอี้ยงเอย เปรียบเหมอื นคนทาตนเป็นกาฝาก หนีงานหนักคอยสมัครงานสบาย (บทดอกสรอ้ ยสุภาษิต) กฎ : 1. กลอนดอกสรอ้ ยบทหนึง่ มี 4 คากลอนหรือ 8 วรรค วรรคหนึ่งใชค้ า 6 ถึง 8 คา 2. วรรคแรกทขี่ น้ึ ตน้ โดยมากมี 4 คา หรืออาจมี 5 คา กไ็ ด้ คาท่ี 1 กับคาที่ 3 ตอ้ งซา้ คาเดียวกัน คาที่ 2 เปน็ คาวา่ \"เอย๋ \"สว่ นคาที่ 4 เป็นคาอ่นื ทร่ี ับกัน เชน่ นักเอ๋ยนักเรยี น , ความเอ๋ยความรู้ , นกเอ๋ยนกกระจาบ, วงั เอย๋ วังเวง ฯลฯ 3. กลอนดอกสรอ้ ยจะตอ้ งลงท้ายด้วยคาว่า \"เอย\" เสมอ แตถ่ ้าเปน็ กลอนดอกสร้อยในบทละครจะไม่ ลงทา้ ยดว้ ยคาวา่ \"เอย\" 4. สมั ผสั และลกั ษณะไพเราะอืน่ ๆ เหมือนกลอนสุภาพท่กี ล่าวมาแล้ว
บทที่ 3 คาประพนั ธ์ประเภทกาพย์
บทท่ี 4 คาประพันธ์ประเภทโคลง โคลง คือคาประพนั ธซ์ ึ่งมวี ิธเี รยี บเรียงถอ้ ยคาเขา้ คณะ มกี าหนดเอก โทและสัมผสั โคลงมีลักษณะบังคับ 6 อย่าง ได้แก่ คณะ พยางค์ สัมผัส คาเอกคาโท คาเปน็ คาตาย และคาสรอ้ ย โคลง เป็นคาประพนั ธ์เก่าแกอ่ ยา่ งหนงึ่ ของไทย สันนษิ ฐานว่าเป็นของภาคเหนอื ดังปรากฏในหนังสอื นริ าศหริภุญชยั ซงึ่ แตง่ เปน็ โคลงยาว ราวสมัยพระเจา้ ปราสาททองซ่งึ เป็นหนังสือโคลงเล่มแรก หนงั สือ วรรณคดีทเ่ี ป็นแบบฉบับใน การประพนั ธ์ คาโคลง คือ กาสรวลโคลงด้ัน โคลงทวาทศมาส ลลิ ิตยวนพ่าย ลลิ ติ พระลอ ลลิ ติ นิทรา ชาครติ นิราศนรนิ ทร์ ลิลติ ตะเลงพา่ ย โคลงโลกนติ ิ โคลงแบง่ ออกเป็น 3 ชนดิ คอื 1. โคลงสภุ าพ 2. โคลงด้นั 3. โคลงโบราณ
บทที่ 5 คาประพนั ธป์ ระเภทฉนั ท์ ฉนั ท์ คือลกั ษณะถ้อยคาทก่ี วีไดร้ ้อยกรองข้นึ เพ่ือให้เกิดความไพเราะ โดยกาหนดครุลหุ และสัมผัสไวเ้ ป็น มาตรฐานฉันท์น้ีไทยได้แบบแผนมาจากอนิ เดีย ซึ่งเดมิ แต่งเป็นภาษาบาลีและสันสกฤต โดยเฉพาะในภาษาบาลี มีตาราที่กลา่ วถึงวธิ ีแตง่ ฉนั ท์ไวเ้ ป็นแบบเฉพาะโดยเรยี ก โดยเพิม่ ชือ่ ว่า\"คัมภรี ว์ ตุ โตทัย\" ต่อมาไทยไดจ้ าลอง แบบมาแตง่ ในภาษาไทย บงั คับสมั ผัสขึ้น เพ่ือให้เกิดความไพเราะตามแบบนยิ มของไทย
บทท่ี 6 คาประพนั ธป์ ระเภทร่าย ร่าย เป็นคาประพนั ธ์ชนดิ หนงึ่ ซ่งึ ไมก่ าหนดวา่ มีบทหรอื บาทเทา่ นนั้ เทา่ นี้ จะแต่งใหย้ าวเท่าไรกไ็ ด้ เปน็ แต่ ต้องเรียงคาให้คล้องกนั ตามข้อบงั คับเท่านั้นคาว่า \"รา่ ย\" แปลวา่ อ่าน เสก หรอื เดิน ร่ายทน่ี ยิ มแต่งกนั ใน วรรณกรรม มอี ยู่ ๔ ชนิด คือ 1.รา่ ยสุภาพ 2.ร่ายด้ัน 3.ร่ายโบราณ 4.ร่ายยาว และมีคาประพนั ธท์ ใี่ ชแ้ ตง่ รว่ มกับร่ายอีกอยา่ งหนึ่งเรียกว่า \"ลลิ ติ \"
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: