Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 1 แผนที่ 1-4

หน่วยที่ 1 แผนที่ 1-4

Published by Kru-musn Masor, 2022-07-03 03:15:53

Description: หน่วยที่ 1 แผนที่ 1-4

Search

Read the Text Version

แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 1 กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว 13101 ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา........... เรอื่ ง ปฐมนิเทศและข้อตกลงในการเรียน เวลา 1 ชั่วโมง วนั ท่ี ……........ เดอื น ………………........…. พ.ศ. ………...........…. ครูผู้สอน ........................................................... **************************************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ - 2. ตวั ช้ีวดั ชั้นปี - 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. มคี วามร้คู วามเข้าใจแนวทางการจัดการเรียนรวู้ ชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เจตคตติ ่อวิชา วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และการวัดและประเมินผลวิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (K) 2. ชแ้ี จงเจตคตทิ มี่ ตี ่อวิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยไี ด้ (A) 3. สื่อสารและนาความรู้ความเขา้ ใจเจตคติตอ่ วชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P) 4. สาระสาคัญ การปฐมนิเทศเป็นการสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างครูกับนักเรียน เป็นการตกลงกันในเบื้องต้น ก่อนทจี่ ะเริม่ การเรียนการสอน ครูได้รู้จักนักเรียนดียิ่งข้ึน รับทราบความต้องการ ความรู้สึก และเจตคติต่อวิชา ท่ีเรียน ในขณะเดียวกันนักเรียนได้ทราบความต้องการของครู แนวทางในการจัดการเรียนการสอน และการวัด และประเมนิ ผล สงิ่ ตา่ งๆ ดังกล่าวจะนาไปสู่การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียน การสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ช่วยให้นักเรียนคลายความวิตกกังวล สามารถเรียนได้อย่างมีความสุข อันจะส่งผลให้ นกั เรยี นประสบความสาเรจ็ บรรลุตามเป้าหมายทีไ่ ดก้ าหนดไว้ 5. สาระการเรยี นรู้ การปฐมนิเทศ - แนวทางการจัดการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ - เจตคติต่อวชิ าวิทยาศาสตร์ - การวัดและประเมินผลวิชาวทิ ยาศาสตร์

6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. มวี นิ ัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุง่ มน่ั ในการทางาน 4. มจี ติ วิทยาศาสตร์ 7. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน ความสามารถในการส่ือสาร 8. ชนิ้ งานหรือภาระงาน - 9. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น 1. ครแู นะนาตนเองแลว้ ให้นกั เรียนในห้องเรยี นแนะนาตนเองทกุ คน 2. ครูอาจให้นักเรียนแนะนาทีละกลุ่มตัวอักษร หรือตามลาดับหมายเลขประจาตัว หรือตามแถวที่นั่ง ตามความเหมาะสม ขั้นจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 1. ครูอธิบายข้อตกลงในการเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงคาอธิบาย รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โครงสร้างรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเน้ือหาท่ี ตอ้ งเรยี นรูใ้ นรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 ว่ามีอะไรบ้าง 2. ครถู ามความคดิ เห็นของนักเรยี นเกี่ยวกบั สิง่ ประดิษฐ์ของนักวิทยาศาสตร์ว่า ส่ิงประดิษฐ์ที่นักเรียน ใชอ้ ยใู่ นปจั จบุ นั มอี ะไรบ้าง แล้วใหน้ ักเรียนอภปิ รายรว่ มกนั ว่า ส่ิงประดิษฐด์ ังกลา่ วเกดิ ขึ้นได้อยา่ งไร 3. ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันว่า การเรียนด้วยวิธีการ ให้นักเรียนค้นคว้าด้วยตนเอง จากการ ทดลองและปฏบิ ัติจรงิ เหมอื นนกั วิทยาศาสตร์ นักเรยี นคิดว่ามีประโยชนห์ รอื ไม่ 4. ครูเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนซกั ถามปญั หาเพอ่ื ทาความเขา้ ใจร่วมกนั 5. ครูแนะนาวิธกี ารเรียนรู้วิทยาศาสตร์วา่ นกั เรียนมีวธิ ีการเรยี นรูห้ ลายแบบ เชน่ - ลงมือปฏบิ ตั กิ จิ กรรมที่บ้านและทโ่ี รงเรยี น - ค้นขอ้ มลู จากแหลง่ การเรยี นร้ตู ่างๆ - อภปิ รายกลุ่มย่อย

- แสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง 6. ครูถามความคิดเห็นของนักเรียนเก่ียวกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ว่า การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้ ประสบความสาเร็จต้องมลี กั ษณะนิสยั อยา่ งไร 7. ครูให้นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็น (แนวคาตอบ 1. ช่างสังเกต เพราะการ สังเกตทาใหค้ น้ พบสิ่งใหมๆ่ ซึง่ นาไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่ 2. อยากรู้อยากเห็น เพราะการเป็นคนอยากรู้อยาก เห็น ช่างคิดช่างสงสัย มักคิดตั้งคาถามเพ่ือค้นหาคาตอบ ลักษณะนิสัยแบบนี้นาไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่เสมอ 3. มเี หตุผล เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตรต์ อ้ งอธบิ ายดว้ ยเหตุและผล เม่ือได้ความรู้ใหม่ต้องอธิบายได้ว่าผลท่ีได้ เกิดจากสาเหตุใด เมอื่ ทราบสาเหตุแล้วก็อธิบายได้วา่ ผลเป็นอยา่ งไรโดยเช่อื ในหลักฐานที่สนับสนุน 4. มีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ เพราะผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เป็นผู้ที่อยากคิดอยากทาในสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ซ่ึงนาไปสู่ การคน้ พบความรใู้ หมไ่ ด้ 5. มีความพยายามและความอดทน เพราะผลของคาตอบไม่ใช่ได้มาโดยการค้นคว้าและ ทดลองเพยี งครัง้ เดยี ว แตต่ อ้ งใช้ความพยายามและความอดทนในการผ่านอุปสรรคตา่ งๆ เพ่อื ใหไ้ ด้คาตอบ) 8. ครูแนะนาวิธกี ารวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของนกั เรียน ซ่งึ มอี ัตราส่วนคะแนน ดังน้ี (1) การวัดและประเมนิ ผลดา้ นความรู้ (K) 60 คะแนน สอบกลางปี (ตามกาหนดการของโรงเรียน) 30 คะแนน สอบปลายปี (ตามกาหนดการของโรงเรยี น) 30 คะแนน 30 คะแนน (2) การวดั และประเมินผลด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 10 คะแนน - การประเมินการสังเกต 10 คะแนน - การประเมนิ การสารวจ - การประเมินการสบื ค้นข้อมลู - การประเมนิ โครงงานวิทยาศาสตร์ - การประเมินแฟม้ สะสมผลงาน - การประเมินดา้ นทักษะ/กระบวนการ - การประเมนิ ด้านสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น (3) การวัดและประเมินผลดา้ นคุณธรรม จริยธรรมและจิตวิทยาศาสตร์ (A) - การประเมินด้านเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ คะแนนรวม 100 คะแนน ขัน้ สรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เจตคตติ อ่ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการวัดและประเมนิ ผลวิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. ครูมอบหมายให้นกั เรียนไปศกึ ษาคน้ ควา้ เนือ้ หาของบทเรยี นช่ัวโมงหน้า เพื่อจัดการเรียนรู้คร้ังต่อไป โดยให้นักเรยี นศกึ ษาค้นคว้าลว่ งหนา้ ในหวั ขอ้ วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์

3. ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพ่ือนามาอภิปราย ร่วมกนั ในห้องเรยี นคร้ังตอ่ ไป 10. ส่ือการเรยี นรู้ 1. ค่มู อื การสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 2. สือ่ การเรียนรู้ PowerPoint รายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 3. แบบฝกึ ทกั ษะรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 3 4. หนังสือเรียนรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 11. การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) และจติ วิทยาศาสตร์ (A) ซักถามความร้เู รื่องแนวทางการ 1. ประเมนิ เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ - จดั การเรยี นรวู้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์และ เปน็ รายบคุ คลโดยการสังเกตและใช้ เทคโนโลยี เจตคตติ อ่ วิชา แบบวดั เจตคติทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 2. ประเมนิ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ การวัดและประเมินผลวชิ า เป็นรายบุคคลโดยการสงั เกตและใช้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี แบบวดั เจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตร์

12. บนั ทกึ หลงั การจดั การเรียนรู้ ผลการสอนจากการประเมินในคาบเรียน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………….................................... ......………………………………………………………………………………………………………………………………………………........... .................................................................................................................................................................... ............. ปญั หาที่พบจากการสอนในคาบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การปรับปรุงแก้ไข (ระบุว่าทาเมือ่ ไหร)่ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................................................................................................................................. ผลจากการปรับปรงุ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชอ่ื ........................................................ (....................................................) ตาแหน่ง................................................. ความคดิ เหน็ ของผบู้ ริหารโรงเรยี น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………...................................................................................................................................................... ......... ลงชือ่ …………………………………………………… (....................................................) ตาแหนง่ .................................................

แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว 13101 ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา........... หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ เวลา 1 ชัว่ โมง วนั ที่ ……........ เดือน ………………........…. พ.ศ. ………...........…. ครผู สู้ อน ........................................................... **************************************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรียนรู้ - 2. ตวั ชว้ี ดั ชั้นปี - 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธิบายวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ได้ (K) 2. มคี วามสนใจใฝ่ร้หู รอื อยากรอู้ ยากเห็น (A) 3. พอใจในประสบการณ์การเรียนร้ทู เ่ี ก่ียวกับวิทยาศาสตร์ (A) 4. ทางานรว่ มกบั ผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์ (A) 5. สอื่ สารและนาความร้เู รื่องวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ (P) 4. สาระสาคญั วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ ข้ันตอนการทางานอย่างเป็นระบบที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการค้นคว้าหา ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ 5. สาระการเรียนรู้ วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ 6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. มวี ินัย 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. มุ่งมน่ั ในการทางาน 4. มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ 7. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการสื่อสาร

2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะ/กระบวนการและทักษะในการดาเนินชวี ติ 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 8. ชิน้ งานหรือภาระงาน 1. สงั เกตแก๊สออกซิเจนในน้า 2. สืบคน้ ข้อมูลวิธีการทางวิทยาศาสตร์ 9. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่ือตรวจสอบความพร้อม และพืน้ ฐานของนักเรยี น ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน 1. ครถู ามคาถามนกั เรยี นเพื่อกระตุ้นความสนใจ เชน่ - นักเรยี นรจู้ กั นักวิทยาศาสตรห์ รอื ไม่ (แนวคาตอบ รู้จกั ) - นักวิทยาศาสตร์คือใคร (แนวคาตอบ บุคคลผู้มีความเช่ียวชาญด้านวิทยาศาสตร์อย่างน้อย หนงึ่ สาขา และใชว้ ธิ ีการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการคน้ ควา้ หาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์) 2. นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพ่ือเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้ เรอื่ ง วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ขน้ั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแบบกลับด้านชั้นเรียน ซ่ึงมีข้ันตอน ดงั น้ี 1) ข้ันสร้างความสนใจ 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเก่ียวกับวิธีการทาง วิทยาศาสตร์ ท่ีครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพ่ือนๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมา นาเสนอข้อมูลหนา้ หอ้ งเรยี น 2. ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก ของนกั เรียน และถามคาถามเกย่ี วกับภาระงาน ดังนี้ - วิธีการทางวิทยาศาสตร์คืออะไร (แนวคาตอบ ข้ันตอนการทางานอย่างเป็นระบบที่ นักวทิ ยาศาสตรใ์ ช้ในการค้นคว้าหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์) - วิธีการทางวิทยาศาสตร์มีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 5 ขั้นตอน ได้แก่ ต้ังคาถาม คาดคะเนคาตอบ รวบรวมขอ้ มูล วิเคราะหข์ อ้ มูล และสรุปผล) 3. ครเู ปิดโอกาสให้นกั เรียนต้ังประเด็นคาถามที่นักเรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซ่ึงครใู ห้นักเรียนเตรยี มมาลว่ งหน้า และให้นกั เรียนชว่ ยกนั ตอบและแสดงความคดิ เหน็

4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ คือ ข้ันตอนการทางานอย่างเป็นระบบที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ต้ังคาถาม คาดคะเนคาตอบ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และ สรปุ ผล 2) ข้นั สารวจและคน้ หา 1. ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วย อธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ ขั้นตอนการทางานอย่างเป็นระบบที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ ในการค้นควา้ หาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 5 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ - ต้งั คาถาม เป็นการตงั้ คาถามเกย่ี วกับเร่ืองท่ีต้องการหาคาตอบจากการสังเกตส่ิงต่างๆ รอบตัว แลว้ เกิดข้อสงสัยในสิง่ ทพี่ บเหน็ - คาดคะเนคาตอบ เปน็ การคาดคะเนคาตอบของคาถามว่าน่าจะคืออะไร โดยใช้ข้อมูลที่ได้จาก การสังเกต การศกึ ษาจากขอ้ มลู ท่เี ก่ียวขอ้ ง หรือการสอบถามจากผู้รู้ในเรอ่ื งนน้ั ๆ - รวบรวมข้อมลู เป็นการลงมอื ปฏบิ ตั เิ พ่อื ตรวจสอบวา่ คาตอบที่คาดคะเนไว้ถูกต้องหรือไม่ โดย การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสังเกต การสารวจ หรือการทดลองแล้วรวบรวมข้อมูลให้เป็น หมวดหมแู่ ละบนั ทกึ ข้อมลู ไว้ - วิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนาข้อมูลท่ีได้รวบรวมเป็นหมวดหมู่ไว้แล้วมาแปลความหมายหรือ อธิบายความหมายของข้อมูล - สรปุ ผล เป็นการนาผลท่ีไดจ้ ากการวิเคราะห์ข้อมูลมาเปรียบเทียบกับคาตอบที่คาดคะเนไว้ว่า เป็นจริงหรอื ไม่ จากน้ันเขยี นสรปุ ผลท่คี น้ พบได้ 2. ครูยกตวั อยา่ งการใช้วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ในการสังเกตการเก็บความร้อนของวตั ถุ 3. ครูให้นักเรียนสังเกตแก๊สออกซิเจนในน้า โดยให้นักเรียนนาแก้วน้าที่บรรจุน้าเย็นวางไว้ใน อณุ หภูมิหอ้ งประมาณ 2 ชวั่ โมง สังเกตส่ิงทเ่ี กดิ ขึ้น บนั ทกึ ผล 4. ครคู อยแนะนาช่วยเหลือนกั เรยี นขณะปฏิบตั กิ ิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส ใหน้ กั เรยี นทุกคนซกั ถามเม่อื มปี ญั หา 3) ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรุป 1. นักเรยี นแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมหนา้ ห้องเรยี น 2. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบัตกิ ิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เชน่ - นักเรียนตั้งคาถามของกิจกรรมนี้ว่าอะไร (แนวคาตอบ ในน้ามีแก๊สออกซิเจนละลายอยู่ หรอื ไม่) - นักเรียนคาดคะเนคาตอบของกิจกรรมน้ีว่าอะไร (แนวคาตอบ ในน้ามีแก๊สออกซิเจนละลาย อยู่) - นักเรียนใช้วิธีใดในการรวบรวมข้อมูลเพ่ือตรวจสอบว่าคาตอบท่ีคาดคะเนไว้ถูกต้องหรือไม่ (แนวคาตอบ นาแก้วน้าที่บรรจุน้าเย็นวางไว้ในอุณหภูมิห้องประมาณ 2 ช่ัวโมง แล้วสังเกตว่ามีฟองอากาศลอย ขน้ึ มาท่ีผิวน้าหรือไม)่

- นักเรียนวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตว่าอะไร (แนวคาตอบ จากการสังเกตพบว่า มี ฟองอากาศลอยข้นึ มาทผี่ วิ นา้ ) - ผลที่ไดจ้ ากการวิเคราะห์ข้อมูลตรงกับคาตอบท่ีนักเรียนคาดคะเนไว้หรือไม่ ลักษณะใด (แนว คาตอบ ตรงกบั คาตอบที่คาดคะเนไว้ คอื ในน้ามีแกส๊ ออกซเิ จนละลายอยู่) - นกั เรยี นสามารถใช้วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ในการสังเกตว่าในน้ามีแก๊สออกซิเจนละลายอยู่ได้ หรือไม่ (แนวคาตอบ ได้) 3. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั สรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า วิธีการทาง วทิ ยาศาสตร์สามารถใชใ้ นการสังเกตแก๊สออกซิเจนในน้าได้ ทาให้ทราบว่า ในน้ามีแก๊สออกซิเจนละลายอยู่ เมื่อ อากาศอ่นุ ข้ึนแก๊สออกซเิ จนจะลอยข้ึนขา้ งบน จึงเห็นเป็นฟองอากาศลอยข้นึ มาท่ีผิวนา้ 4) ขั้นขยายความรู้ 1. ครอู ธบิ ายเรื่องน่ารู้ เรื่อง เซอรไ์ อแซก นิวตนั ให้นกั เรียนเข้าใจว่า เซอร์ไอแซก นิวตัน สงสัยว่าเมื่อ ลูกแอปเปิลหล่นจากต้น ทาไมจึงต้องตกลงสู่พื้นดินเสมอ ทาไมไม่ลอยไปในอากาศ ปัญหานี้นาไปสู่การค้นพบ ความร้เู รอ่ื งแรงดงึ ดดู ของโลก 2. ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จากหนังสือ วารสาร สารานุกรม วทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรอื อินเทอร์เนต็ แลว้ นาข้อมลู ที่ไดม้ านาเสนอหนา้ ห้องเรียน 3. นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จากหนังสือเรียน ภาษาตา่ งประเทศหรืออินเทอรเ์ น็ต และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในหอ้ งฟัง คดั คาศัพท์พร้อมทงั้ คาแปลลงสมดุ ส่งครู 5) ขนั้ ประเมิน 1. ครใู หน้ กั เรยี นแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่ เขา้ ใจหรอื ยงั มขี ้อสงสยั ถา้ มี ครูชว่ ยอธิบายเพ่มิ เติมใหน้ ักเรียนเขา้ ใจ 2. นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข อย่างไรบ้าง 3. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ การนาความรทู้ ี่ได้ไปใช้ประโยชน์ 4. ครทู ดสอบความเข้าใจของนักเรยี นโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น - วิธีการทางวิทยาศาสตร์มีประโยชน์อย่างไร (แนวคาตอบ ช่วยให้ค้นคว้าหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ได้) ขน้ั สรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ีความคิด หรอื ผงั มโนทัศน์ 2. ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเน้ือหาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพ่ือจัดการเรียนรู้ครั้ง ตอ่ ไป โดยให้นักเรยี นศึกษาค้นคว้าล่วงหนา้ ในหัวข้อ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพื่อนามาอภิปราย รว่ มกันในห้องเรียนครัง้ ต่อไป

10. สื่อการเรียนรู้ 1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 2. น้าเย็น 3. แก้วน้า 4. หนงั สือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออนิ เทอร์เนต็ 5. หนงั สอื เรียนภาษาต่างประเทศ 6. คมู่ ือการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 7. สอื่ การเรยี นรู้ PowerPoint รายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 8. แบบฝึกทักษะรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 9. หนงั สอื เรียนรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 11. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) 1. ซักถามความรู้เร่ืองวิธีการทาง 1. ประเมนิ เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 1. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการ วทิ ยาศาสตร์ เป็นรายบุคคลโดยการสังเกตและ ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด 2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ ใชแ้ บบวดั เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง กิจกรรมฝกึ ทกั ษะระหว่างเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ 3 . ท ด ส อ บ ก่ อ น เ รี ย น โ ด ย ใ ช้ เป็นรายบุคคลโดยการสังเกตและ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ใช้แบบวัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการทางานกลมุ่ 3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา โดยการสงั เกตการทางานกลุ่ม 4. ประเมินพฤตกิ รรมในการปฏิบัติ กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย กลุม่ โดยการสงั เกตการทางานกลมุ่

12. บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ ผลการสอนจากการประเมินในคาบเรยี น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………….................................... ......………………………………………………………………………………………………………………………………………………........... .................................................................................................................................................................... ............. ปัญหาท่ีพบจากการสอนในคาบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การปรับปรงุ แก้ไข (ระบวุ ่าทาเม่อื ไหร)่ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................. .................................................... ผลจากการปรับปรุง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่อื ........................................................ (....................................................) ตาแหนง่ ................................................. ความคดิ เห็นของผ้บู ริหารโรงเรยี น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………............................................................................................................................................................... ลงชื่อ…………………………………………………… (....................................................) ตาแหน่ง.................................................

วสั ดุอุปกรณ์ ใบกิจกรรม 1. แก้วน้า สังเกตแกส๊ ออกซิเจนในน้า 2. นา้ 1 ใบ 250 มิลลลิ ิตร วิธกี ารทดลอง นาแกว้ นา้ ท่บี รรจุน้าเยน็ วางไวใ้ นอุณหภมู ิห้องประมาณ 2 ชัว่ โมง สงั เกตสงิ่ ทเ่ี กดิ ข้ึน บันทึกผล นกั เรียนต้ังคาถามของกจิ กรรมนว้ี ่าอะไร …………………………………………………………………………............... นกั เรียนคาดคะเนคาตอบของกิจกรรมนวี้ ่าอะไร…………………………………………………………………………..... บนั ทกึ ผลการทดลอง ผลการสงั เกต บรรจนุ ้าเยน็ ทนั ทหี ลังบรรจุน้าเย็น ทงิ้ ไว้ประมาณ 2 ชวั่ โมง สรปุ ผลการทดลอง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. คาถามทา้ ยกจิ กรรม นกั เรียนใช้วธิ ใี ดในการรวบรวมขอ้ มลู เพื่อตรวจสอบว่าคาตอบท่ีคาดคะเนไว้ถกู ต้องหรือไม่ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………........................................................................................................... .................................................... นักเรยี นวเิ คราะห์ขอ้ มูลทีไ่ ดจ้ ากการสงั เกตว่าอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ผลที่ไดจ้ ากการวเิ คราะหข์ ้อมูลตรงกบั คาตอบทีน่ กั เรียนคาดคะเนไว้หรอื ไม่ ลกั ษณะใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. นักเรียนสามารถใช้วิธีการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการสังเกตว่าในนา้ มแี ก๊สออกซิเจนละลายอยู่ไดห้ รือไม่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

วสั ดอุ ุปกรณ์ เฉลยใบกิจกรรม 1. แกว้ นา้ สงั เกตแก๊สออกซเิ จนในนา้ 2. นา้ 1 ใบ 250 มิลลิลติ ร วธิ ีการทดลอง นาแก้วน้าทบ่ี รรจนุ ้าเย็นวางไว้ในอณุ หภูมิหอ้ งประมาณ 2 ชวั่ โมง สงั เกตสิง่ ที่เกดิ ขน้ึ บนั ทกึ ผล นกั เรยี นตั้งคาถามของกิจกรรมนีว้ า่ อะไร ในนา้ มแี กส๊ ออกซเิ จนละลายอยู่หรอื ไม่ นักเรียนคาดคะเนคาตอบของกจิ กรรมนีว้ ่าอะไร ในน้ามีแก๊สออกซเิ จนละลายอยู่ บนั ทกึ ผลการทดลอง ผลการสังเกต บรรจุนา้ เย็น ทนั ทหี ลังบรรจนุ ้าเย็น ทงิ้ ไว้ประมาณ 2 ชวั่ โมง ตามทน่ี กั เรียนสังเกตได้ ตามท่นี ักเรยี นสังเกตได้ สรุปผลการทดลอง วิธีการทางวิทยาศาสตร์สามารถใช้ในการสังเกตแก๊สออกซิเจนในน้าได้ ทาให้ทราบว่า ในน้ามีแก๊ส ออกซเิ จนละลายอยู่ เมอ่ื อากาศอุ่นขึน้ แก๊สออกซเิ จนจะลอยขน้ึ ข้างบน จงึ เหน็ เป็นฟองอากาศลอยขึน้ มาท่ีผวิ นา้ คาถามทา้ ยกิจกรรม นักเรยี นใชว้ ิธีใดในการรวบรวมขอ้ มลู เพอื่ ตรวจสอบว่าคาตอบท่ีคาดคะเนไว้ถูกต้องหรือไม่ แนวคาตอบ นาแก้วน้าท่ีบรรจุน้าเย็นวางไว้ในอุณหภูมิห้องประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วสังเกตว่ามี ฟองอากาศลอยข้นึ มาที่ผิวนา้ หรอื ไม่ นักเรยี นวิเคราะหข์ อ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการสังเกตวา่ อะไร แนวคาตอบ จากการสงั เกตพบว่า มฟี องอากาศลอยขึน้ มาทผี่ ิวน้า ผลท่ไี ดจ้ ากการวิเคราะห์ข้อมูลตรงกบั คาตอบทน่ี ักเรยี นคาดคะเนไวห้ รอื ไม่ ลกั ษณะใด แนวคาตอบ ตรงกบั คาตอบท่คี าดคะเนไว้ คือ ในนา้ มีแกส๊ ออกซเิ จนละลายอยู่ นักเรยี นสามารถใชว้ ธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ในการสงั เกตว่าในน้ามีแกส๊ ออกซเิ จนละลายอยู่ได้หรือไม่ แนวคาตอบ ได้

แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ คาชแ้ี จง เลือกคาตอบท่ีถูกต้องท่สี ุดเพยี งคาตอบเดียว 1. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเก่ยี วกบั “ตงั้ คาถาม คาดคะเนคาตอบ รวบรวมขอ้ มูล วเิ คราะห์ขอ้ มูล และสรปุ ผล” ก. จิตวิทยาศาสตร์ ข. เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ ค. วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ง. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2. วิธีการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ริม่ ตน้ จากขน้ั ตอนใด ก. ตงั้ คาถาม ข. รวบรวมขอ้ มลู ค. วิเคราะหข์ ้อมลู ง. คาดคะเนคาตอบ 3. จากรูป ใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใด ก. การวัด ข. การพยากรณ์ ค. การจาแนกประเภท ง. การจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมลู 4. ข้อใดคือทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน ก. การทดลอง ข. การพยากรณ์ ค. การสรา้ งแบบจาลอง ง. การตีความหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรปุ

5. ขอ้ ใดคือทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขน้ั บรู ณาการ ก. การสงั เกต ข. การทดลอง ค. การลงความคดิ เหน็ ขอ้ มลู ง. การจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมลู 6. จากปัญหา“สขี องแสงมผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของถัว่ เขยี วหรือไม่” ควรตัง้ สมมุตฐิ านวา่ อะไร ก. ถั่วเขยี วดูดกลนื แสงสีใดได้ดกี วา่ กัน ข. สขี องแสงมผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของถ่ัวเขียวหรอื ไม่ ค. ถัว่ เขียวที่ได้รับแสงมากเจริญเติบโตไดด้ ีกวา่ ถัว่ เขียวที่ได้รบั แสงน้อย ง. ถัว่ เขียวท่ไี ดร้ ับแสงสนี า้ เงินเจรญิ เตบิ โตไดด้ ีกว่าถัว่ เขียวท่ีได้รบั แสงสแี ดง 7. มีรสขมดว้ ย เปลือกมะนาว มีกล่ินฉุนจงั จากรูป ใชท้ ักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใด ก. การวดั ข. การสังเกต ค. การพยากรณ์ ง. การจาแนกประเภท 8. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ลกั ษณะของบุคคลท่มี จี ิตวทิ ยาศาสตร์ ก. นา้ แก้ไขค่าที่ได้จากการวดั ให้เปน็ จานวนเตม็ ข. นายชอบสังเกตลกั ษณะการวา่ ยนา้ ของปลาแตล่ ะตัวที่เล้ียงไว้ ค. ลกู ปลาวางแผนทาการทดลองใหมเ่ มอื่ ทาการทดลองผดิ พลาด ง. มนี ยอมรับในคาอธิบายของเพอื่ นเมื่อเพื่อนทาการทดลองสาเรจ็

9. “นักวทิ ยาศาสตร์ต้องทาการทดลองซา้ หลายครั้งจนกวา่ จะประสบผลสาเร็จ เมื่อผลการทดลองลม้ เหลว” จาก ข้อความแสดงถึงคณุ ลักษณะใด ก. มีความอดทน ข. มีความซอ่ื สัตย์ ค. มีความประหยัด ง. มีความสนใจใฝร่ ู้ 10. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเก่ยี วกับความมีเหตผุ ล ก. การไม่ยึดถอื ความคิดเห็นของตนเองเป็นหลัก ข. การใชส้ ารเคมีในการทดลองในปริมาณท่ีเหมาะสม ค. การไม่บันทึกผลการทดลองตามความต้องการของตนเอง ง. การยอมรบั ในคาอธบิ ายเมื่อมีหลักฐานและข้อมลู เพยี งพอก่อนสรปุ ผล

เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ คาชีแ้ จง เลอื กคาตอบท่ีถกู ต้องท่สี ุดเพยี งคาตอบเดียว 1. ข้อใดกล่าวถกู ต้องเก่ยี วกับ “ตัง้ คาถาม คาดคะเนคาตอบ รวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะห์ขอ้ มลู และสรปุ ผล” ก. จิตวิทยาศาสตร์ ข. เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ ค. วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ง. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2. วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์เริ่มต้นจากขัน้ ตอนใด ก. ต้ังคาถาม ข. รวบรวมขอ้ มลู ค. วิเคราะหข์ ้อมูล ง. คาดคะเนคาตอบ 3. จากรูป ใชท้ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ใด ก. การวัด ข. การพยากรณ์ ค. การจาแนกประเภท ง. การจัดกระทาและสื่อความหมายขอ้ มูล 4. ขอ้ ใดคือทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พน้ื ฐาน ก. การทดลอง ข. การพยากรณ์ ค. การสรา้ งแบบจาลอง ง. การตีความหมายขอ้ มลู และการลงขอ้ สรุป

5. ขอ้ ใดคือทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขน้ั บรู ณาการ ก. การสงั เกต ข. การทดลอง ค. การลงความคดิ เหน็ ขอ้ มลู ง. การจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมลู 6. จากปัญหา“สขี องแสงมผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของถัว่ เขยี วหรือไม่” ควรตัง้ สมมุตฐิ านวา่ อะไร ก. ถั่วเขยี วดูดกลนื แสงสีใดได้ดกี วา่ กัน ข. สขี องแสงมผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของถ่ัวเขียวหรอื ไม่ ค. ถัว่ เขียวที่ได้รับแสงมากเจริญเติบโตไดด้ ีกวา่ ถัว่ เขียวที่ได้รบั แสงน้อย ง. ถัว่ เขียวท่ไี ดร้ ับแสงสนี า้ เงินเจรญิ เตบิ โตไดด้ ีกว่าถัว่ เขียวท่ีไดร้ บั แสงสแี ดง 7. มีรสขมดว้ ย เปลือกมะนาว มีกล่ินฉุนจงั จากรูป ใชท้ ักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใด ก. การวดั ข. การสังเกต ค. การพยากรณ์ ง. การจาแนกประเภท 8. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ลกั ษณะของบุคคลท่มี จี ิตวทิ ยาศาสตร์ ก. นา้ แก้ไขค่าที่ได้จากการวดั ให้เปน็ จานวนเตม็ ข. นายชอบสังเกตลกั ษณะการวา่ ยนา้ ของปลาแตล่ ะตัวที่เล้ียงไว้ ค. ลกู ปลาวางแผนทาการทดลองใหมเ่ มอื่ ทาการทดลองผดิ พลาด ง. มนี ยอมรับในคาอธิบายของเพอื่ นเมื่อเพื่อนทาการทดลองสาเรจ็

9. “นักวทิ ยาศาสตร์ต้องทาการทดลองซา้ หลายครั้งจนกวา่ จะประสบผลสาเร็จ เมื่อผลการทดลองลม้ เหลว” จาก ข้อความแสดงถึงคณุ ลักษณะใด ก. มีความอดทน ข. มีความซอ่ื สัตย์ ค. มีความประหยัด ง. มีความสนใจใฝร่ ู้ 10. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเก่ยี วกับความมีเหตผุ ล ก. การไม่ยึดถอื ความคิดเห็นของตนเองเป็นหลัก ข. การใชส้ ารเคมีในการทดลองในปริมาณท่ีเหมาะสม ค. การไม่บันทึกผลการทดลองตามความต้องการของตนเอง ง. การยอมรบั ในคาอธบิ ายเมื่อมีหลักฐานและข้อมลู เพยี งพอก่อนสรปุ ผล

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว 13101 ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา........... หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 เรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่ือง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เวลา 1 ชัว่ โมง วนั ท่ี ……........ เดือน ………………........…. พ.ศ. ………...........…. ครูผู้สอน ........................................................... **************************************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ - 2. ตัวช้ีวัดช้นั ปี - 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธบิ ายทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ (K) 2. มคี วามสนใจใฝ่รู้หรืออยากร้อู ยากเหน็ (A) 3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรทู้ เ่ี กยี่ วกบั วทิ ยาศาสตร์ (A) 4. ทางานรว่ มกบั ผ้อู ืน่ อย่างสร้างสรรค์ (A) 5. ส่ือสารและนาความรู้เรอื่ งทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้ในชวี ิตประจาวนั ได้ (P) 4. สาระสาคัญ การใช้ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการค้นหาคาตอบของคาถามอยา่ งสม่าเสมอ จะช่วยพัฒนา ความคิดสรา้ งสรรค์ กอ่ ให้เกดิ ผลงานทแี่ ปลกใหม่ และมีคุณคา่ มากขึ้น 5. สาระการเรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 6. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. มวี ินัย 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. มุ่งมัน่ ในการทางาน 4. มจี ติ วิทยาศาสตร์ 7. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน 1. ความสามารถในการสอื่ สาร

2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะ/กระบวนการและทักษะในการดาเนนิ ชวี ติ 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 8. ชน้ิ งานหรือภาระงาน 1. อวยั วะภายนอกของสัตวบ์ ริเวณโรงเรียน 2. ประดษิ ฐ์แบบจาลองเคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ ภายในบ้าน 3. สืบคน้ ขอ้ มลู ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันนาเขา้ สู่บทเรยี น 1. ครถู ามคาถามนักเรยี นเพอื่ กระตุน้ ความสนใจ เชน่ - นกั เรียนร้จู กั เซอร์ไอแซก นวิ ตันหรือไม่ (แนวคาตอบ รูจ้ ัก) - เซอรไ์ อแซก นวิ ตนั มีอาชีพใด (แนวคาตอบ นกั วิทยาศาสตร์) - เซอร์ไอแซก นิวตันเป็นผู้ค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์เรื่องใด (แนวคาตอบ แรงดึงดูดของ โลก) - เซอร์ไอแซก นิวตันใช้ทักษะใดในการค้นพบความรู้เร่ืองแรงดึงดูดของโลก (แนวคาตอบ การ สังเกต) 2. นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้ เรอื่ ง ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ขั้นจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแบบกลับด้านชั้นเรียน ซ่ึงมีขั้นตอน ดังน้ี 1) ข้นั สรา้ งความสนใจ 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ท่ีครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมา นาเสนอข้อมลู หน้าหอ้ งเรยี น 2. ครตู รวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก ของนักเรียน และถามคาถามเกี่ยวกบั ภาระงาน ดงั นี้ - ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์คืออะไร (แนวคาตอบ กระบวนการท่ีนักวิทยาศาสตร์ นามาใชใ้ นการค้นหาคาตอบของคาถามอย่างเปน็ ระบบ) - ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์แบ่งเป็นกี่ข้ัน อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 2 ข้ัน ได้แก่ ทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั พ้ืนฐานและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขัน้ บูรณาการ)

- ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานมีกี่ทักษะ อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 8 ทักษะ ได้แก่ การสังเกต การวัด การจาแนกประเภท การใช้จานวน การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ และสเปซกบั เวลา การจัดกระทาและสอ่ื ความหมายขอ้ มูล การลงความคิดเห็นข้อมูล และการพยากรณ)์ - ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการมีก่ีทักษะ อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 6 ทักษะ ได้แก่ การตั้งสมมุติฐาน การกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ การกาหนดและควบคุมตัวแปร การทดลอง การ ตคี วามหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรปุ และการสรา้ งแบบจาลอง) 3. ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนต้ังประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซง่ึ ครูใหน้ ักเรยี นเตรยี มมาลว่ งหนา้ และใหน้ ักเรียนชว่ ยกนั ตอบและแสดงความคดิ เหน็ 4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ กระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์นามาใช้ในการค้นหาคาตอบของคาถามอย่าง เป็นระบบ แบ่งเปน็ 2 ขั้น ประกอบดว้ ย 14 ทักษะ 2) ขน้ั สารวจและค้นหา 1. ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ืองทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ กระบวนการท่ีนักวิทยาศาสตร์ นามาใช้ในการค้นหาคาตอบของคาถามอย่างเป็นระบบ แบ่งเป็น 2 ข้ัน ประกอบด้วย 14 ทักษะ ดังน้ี ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน มี 8 ทักษะ ได้แก่ การสังเกต การวัด การจาแนกประเภท การใช้ จานวน การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซและสเปซกับเวลา การจัดกระทาและส่ือความหมายข้อมูล การลงความคิดเห็นข้อมูล และการพยากรณ์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันบูรณาการมี 6 ทักษะ ได้แก่ การต้ังสมมุติฐาน การกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ การกาหนดและควบคุมตัวแปร การทดลอง การ ตคี วามหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรุป และการสร้างแบบจาลอง 2. ครูยกตัวอย่างทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีต้องเรียนรู้และฝึกฝนสาหรับการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ เชน่ การจาแนกประเภทและการจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมูล 3. ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 3-4 คน ปฏิบัติกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ อวัยวะภายนอกของสัตว์บริเวณ โรงเรียน ตามข้นั ตอน ดงั น้ี - นักเรียนใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ศึกษาอวัยวะ ภายนอกของสัตวบ์ ริเวณโรงเรียน 1 ชนิด - บนั ทึกขัน้ ตอนทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาและข้อมูลท่ีศกึ ษาได้ในรูปแบบของแผนภาพ 4. ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ บริเวณที่นักเรียนสังเกต และเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา 3) ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรุป 1. นักเรียนแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมหน้าห้องเรยี น 2. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายผลจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เชน่ - นักเรียนเลือกศึกษาอวัยวะภายนอกของสัตว์ชนิดใด เพราะอะไร (แนวคาตอบ แมว เพราะ บริเวณโรงเรียนมีแมวจานวนมาก จึงหาได้ง่าย แมวในโรงเรียนไม่ดุร้าย จึงไม่เป็นอันตราย และแมวในโรงเรียน ชอบนอน ไมค่ อ่ ยเคลื่อนทจี่ งึ ง่ายตอ่ การศึกษา)

- ขั้นตอนวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนใช้ในการศึกษาอวัยวะภายนอกของสัตว์มีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ ตัง้ คาถาม: แมวมอี วัยวะภายนอกอะไรบ้าง  คาดคะเนคาตอบ: แมวน่าจะมีตา หู จมูก ปาก ขน ขา และหาง  รวบรวมขอ้ มูล: วางแผนและทาการศกึ ษาโดยการสงั เกตแมวท่ีอาศัยอยู่ในบริเวณโรงเรียน แล้ว บันทกึ ผล  วเิ คราะห์ข้อมูล: จากการสงั เกตด้วยตาเปลา่ พบวา่ แมวทุกตัวที่อาศัยอยู่ในบริเวณโรงเรียนมีตา หู จมูก ปาก ขน ขา และหาง  สรุปผล: จากการสังเกตสามารถสรุปได้ว่า แมวมีตา หู จมูก ปาก ขน ขา และ หาง) - แผนภาพอวยั วะภายนอกของสัตว์ท่ีนกั เรยี นศึกษาคืออะไร (แนวคาตอบ อวัยวะภายนอกของ แมว) ตา หู จมูก ปาก ขา ขน หาง - จากการทากิจกรรมนักเรียนใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อะไรบ้าง (แนวคาตอบ การสังเกต การใช้จานวน และการจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมลู ) 3. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรส์ ามารถใช้ในการศกึ ษาอวยั วะภายนอกของสตั วไ์ ด้ 4) ข้นั ขยายความรู้ 1. ครูให้นักเรียนประดิษฐ์แบบจาลองเคร่ืองใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน จากหัวข้อสนุกทา สนุกคิด กับ วทิ ยาศาสตร์ ตามท่ีกาหนด 2. ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ตแล้วนาข้อมูลที่ได้มานาเสนอหน้า ห้องเรียน

3. นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเก่ียวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จาก หนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอให้เพ่ือนในห้องฟัง คัดคาศัพท์พร้อมทั้งคาแปลลง สมดุ ส่งครู 5) ขัน้ ประเมิน 1. ครูให้นกั เรยี นแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ จากหัวข้อทเี่ รียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่ เข้าใจหรือยงั มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูชว่ ยอธิบายเพ่ิมเตมิ ให้นกั เรยี นเขา้ ใจ 2. นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข อย่างไรบา้ ง 3. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ การนาความรทู้ ไ่ี ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 4. ครทู ดสอบความเข้าใจของนักเรยี นโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่ - การคิดหาคาตอบล่วงหน้าท่ีสามารถเป็นไปได้ก่อนดาเนินการทดลอง โดยอาศัยความรู้เดิม หรือประสบการณ์เดิมเปน็ พนื้ ฐานเปน็ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ใด (แนวคาตอบ การตั้งสมมตุ ิฐาน) - ใน 1 สัปดาห์นักเรียนใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใดบ้าง (แนวคาตอบ ใช้ทักษะ การสังเกต การใช้จานวน และการจัดกระทาและส่ือความหมายข้อมูล ในการสารวจจานวนนักเรียนแต่ละ ระดับช้ันของโรงเรยี นและนาข้อมลู ที่ไดม้ าจดั ทาใหอ้ ยู่ในรปู แบบของแผนภมู ิแทง่ ) ข้นั สรุป 1. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสรุปเกยี่ วกบั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผน ทค่ี วามคดิ หรอื ผังมโนทศั น์ 2. ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพื่อจัดการเรียนรู้คร้ัง ต่อไป โดยให้นกั เรียนศึกษาคน้ คว้าล่วงหน้าในหวั ข้อ จติ วิทยาศาสตร์ 3. ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพ่ือนามาอภิปราย รว่ มกนั ในหอ้ งเรียนคร้ังตอ่ ไป 10. สอ่ื การเรียนรู้ 1. ใบกจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ อวัยวะภายนอกของสตั วบ์ ริเวณโรงเรยี น 2. หนงั สอื วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน หรืออนิ เทอรเ์ นต็ 3. หนงั สือเรียนภาษาตา่ งประเทศ 4. คมู่ ือการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 3 5. ส่ือการเรยี นรู้ PowerPoint รายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 6. แบบฝึกทกั ษะรายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3 7. หนงั สือเรยี นรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3

11. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) และจิตวิทยาศาสตร์ (A) 1. ซั กถา มคว ามรู้เ ร่ือง ทักษ ะ 1. ประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 1. ประเมินทกั ษะกระบวนการ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นรายบุคคลโดยการสังเกตและใช้ ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้แบบวัด 2. ตรวจช้ินงานหรือภาระงานของ แบบวดั เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง กจิ กรรมฝึกทักษะระหวา่ งเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ เป็นรายบุคคลโดยการสังเกตและใช้ 2. ประเมินทักษะการคิดโดยการ แบบวัดเจตคตติ ่อวิทยาศาสตร์ สังเกตการทางานกลมุ่ 3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหาโดย การสังเกตการทางานกลุ่ม 4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติ กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย กลมุ่ โดยการสงั เกตการทางานกล่มุ

12. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้ ผลการสอนจากการประเมินในคาบเรยี น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………….................................... ......………………………………………………………………………………………………………………………………………………........... .................................................................................................................................... ............................................. ปัญหาท่ีพบจากการสอนในคาบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การปรับปรุงแก้ไข (ระบุว่าทาเม่อื ไหร)่ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................. .................................................... ผลจากการปรบั ปรุง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่ือ........................................................ (....................................................) ตาแหนง่ ................................................. ความคิดเห็นของผบู้ ริหารโรงเรยี น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………............................................................................................................................................................... ลงชอื่ …………………………………………………… (....................................................) ตาแหนง่ .................................................

ใบกจิ กรรมเสรมิ การเรียนรู้ อวัยวะภายนอกของสตั ว์บรเิ วณโรงเรียน ข้นั ตอน ทักษะสร้างเสรมิ ความเข้าใจท่คี งทน 1. นักเรียนใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และทักษะ 1. การสงั เกต กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ศึกษาอวัยวะภายนอกของสัตว์ บริเวณโรงเรยี น 1 ชนดิ 2. การใชจ้ านวน 2. บันทึกขั้นตอนท่ีใช้ในการศึกษาและข้อมูลท่ีศึกษาได้ 3. การจดั กระทาและส่อื ความหมายข้อมูล ในรูปแบบของแผนภาพ อุปกรณ์ 1. สีไม/้ สเี ทียน 1 กลอ่ ง 2. กระดาษแขง็ 1 แผ่น การสงั เกตอวยั วะภายนอกของสตั ว์บริเวณโรงเรียน คาถามประกอบกิจกรรม 1. นกั เรียนเลอื กศกึ ษาอวยั วะภายนอกของสตั ว์ชนิดใด เพราะอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………....................................................................................................................... ........................................ 2. ขั้นตอนวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ท่นี ักเรียนใชใ้ นการศกึ ษาอวัยวะภายนอกของสตั วม์ ีอะไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………....................................................................................................................... ........................................ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………….......................................................................................................................................... ..................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

3. แผนภาพอวยั วะภายนอกของสัตวท์ ีน่ ักเรยี นศึกษาคืออะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………............................................................................................................................ ................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………....................................................................................................................... ........................................ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………............................................................................................................................................................... 4. จากการทากิจกรรมนักเรยี นใชท้ กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ อะไรบ้าง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………....................................................................................................................... ........................................

เฉลยใบกิจกรรมเสริมการเรยี นรู้ อวัยวะภายนอกของสัตวบ์ รเิ วณโรงเรยี น ข้ันตอน ทักษะสร้างเสรมิ ความเขา้ ใจที่คงทน 1. นักเรียนใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และทักษะ 1. การสงั เกต กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ศึกษาอวัยวะภายนอกของสัตว์ บริเวณโรงเรียน 1 ชนดิ 2. การใชจ้ านวน 2. บันทึกข้ันตอนที่ใช้ในการศึกษาและข้อมูลท่ีศึกษาได้ 3. การจัดกระทาและสอื่ ความหมายข้อมลู ในรปู แบบของแผนภาพ อุปกรณ์ 1. สีไม/้ สีเทียน 1 กลอ่ ง 2. กระดาษแขง็ 1 แผ่น การสังเกตอวยั วะภายนอกของสตั ว์บรเิ วณโรงเรียน คาถามประกอบกิจกรรม 1. นกั เรยี นเลอื กศกึ ษาอวัยวะภายนอกของสัตวช์ นิดใด เพราะอะไร แนวคาตอบ แมว เพราะบรเิ วณโรงเรียนมีแมวจานวนมาก จงึ หาได้ง่าย แมวในโรงเรียน ไมด่ ุรา้ ย จงึ ไม่เปน็ อันตราย และแมวในโรงเรยี นชอบนอน ไมค่ ่อยเคล่ือนท่จี งึ งา่ ยต่อการศึกษา 2. ข้นั ตอนวิธีการทางวทิ ยาศาสตรท์ ่ีนักเรียนใชใ้ นการศกึ ษาอวัยวะภายนอกของสตั ว์มอี ะไรบา้ ง แนวคาตอบ ตงั้ คาถาม: แมวมีอวัยวะภายนอกอะไรบา้ ง  คาดคะเนคาตอบ: แมวน่าจะมตี า หู จมูก ปาก ขน ขา และหาง  รวบรวมขอ้ มลู : วางแผนและทาการศกึ ษาโดยการสังเกตแมวทอี่ าศัยอยู่ในบรเิ วณโรงเรยี น แล้วบนั ทกึ ผล  วเิ คราะหข์ อ้ มลู : จากการสงั เกตดว้ ยตาเปลา่ พบวา่ แมวทกุ ตวั ทีอ่ าศัยอยใู่ นบรเิ วณโรงเรยี นมตี า หู จมูก ปาก ขน ขา และหาง  สรุปผล: จากการสังเกตสามารถสรุปไดว้ า่ แมวมีตา หู จมกู ปาก ขน ขา และหาง

3. แผนภาพอวยั วะภายนอกของสตั วท์ ่ีนกั เรียนศึกษาคืออะไร หู แนวคำตอบ ปาก ขน ตา จมกู ขา หาง 4. จากการทากจิ กรรมนักเรยี นใชท้ กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ อะไรบ้าง แนวคาตอบ การสงั เกต การใชจ้ านวน และการจัดกระทาและส่อื ความหมายข้อมลู

แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4 กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว 13101 ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา........... หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรื่อง จิตวิทยาศาสตร์ เวลา 1 ช่ัวโมง วนั ท่ี ……........ เดือน ………………........…. พ.ศ. ………...........…. ครูผสู้ อน ........................................................... **************************************************************************************************** 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ - 2. ตัวช้วี ัดช้ันปี - 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. อธบิ ายจิตวทิ ยาศาสตร์ได้ (K) 2. มีความสนใจใฝร่ ูห้ รืออยากรอู้ ยากเห็น (A) 3. พอใจในประสบการณก์ ารเรยี นรู้ทีเ่ กี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A) 4. ทางานรว่ มกับผ้อู ืน่ อย่างสรา้ งสรรค์ (A) 5. สื่อสารและนาความรูเ้ รอ่ื งจติ วิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้ (P) 4. สาระสาคัญ จิตวิทยาศาสตร์ คือ คุณลักษณะหรือลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้โดยใช้ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 5. สาระการเรียนรู้ จติ วิทยาศาสตร์ 6. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. มุ่งมน่ั ในการทางาน 4. มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ 7. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร

2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 8. ชนิ้ งานหรือภาระงาน สบื คน้ ข้อมลู จติ วทิ ยาศาสตร์ 9. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นนาเขา้ สบู่ ทเรยี น 1. ครถู ามคาถามนักเรยี นเพอ่ื กระตนุ้ ความสนใจ เช่น - นกั เรยี นอยากเป็นนกั วทิ ยาศาสตร์หรือไม่ (แนวคาตอบ อยากเปน็ ) - ยกตัวอย่างลักษณะนิสัยท่ีทาให้นักเรียนสามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ (แนวคาตอบ ความ สนใจใฝ่รู้ ความรอบคอบ และความมีเหตุผล) 2. นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้ เรื่อง จติ วิทยาศาสตร์ ขั้นจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแบบกลับด้านชั้นเรียน ซ่ึงมีข้ันตอน ดังน้ี 1) ข้นั สร้างความสนใจ 1. ครแู บ่งกลมุ่ นักเรียนแลว้ เปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับจิตวิทยาศาสตร์ ที่ครู มอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอข้อมูลหน้า หอ้ งเรียน 2. ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก ของนักเรยี น และถามคาถามเกีย่ วกับภาระงาน ดงั น้ี - จิตวิทยาศาสตร์คืออะไร (แนวคาตอบ คุณลักษณะหรือลักษณะนิสัยของบุคคลท่ีเกิดข้ึนจาก การศกึ ษาหาความรู้โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์) - จิตวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยคุณลักษณะใดบ้าง (แนวคาตอบ ความสนใจใฝ่รู้ ความมุ่งม่ัน ความอดทน ความรอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็นและ ยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผอู้ ื่น ความมเี หตผุ ล และการทางานรว่ มกับผ้อู ื่นไดอ้ ย่างสร้างสรรค์) 3. ครูเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นตั้งประเดน็ คาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม ซง่ึ ครใู ห้นกั เรยี นเตรียมมาลว่ งหนา้ และให้นกั เรียนชว่ ยกันตอบและแสดงความคดิ เหน็ 4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า จิต วิทยาศาสตร์ คือ คุณลักษณะหรือลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิดข้ึนจากการศึกษาหาความรู้โดยใช้กระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ยคณุ ลักษณะต่างๆ ได้แก่ ความสนใจใฝ่รู้ ความมุ่งมั่น ความอดทน ความรอบคอบ

ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน ความมีเหตุผล และการทางานรว่ มกบั ผูอ้ ่ืนได้อย่างสรา้ งสรรค์ 2) ขั้นสารวจและคน้ หา 1. ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ืองจิตวิทยาศาสตร์ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้ นักเรียนเข้าใจว่า จิตวิทยาศาสตร์ คือ คุณลักษณะหรือลักษณะนิสัยของบุคคลท่ีเกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยคณุ ลกั ษณะตา่ งๆ ได้แก่ - ความสนใจใฝ่รู้ คือ พฤติกรรมท่ีแสดงออกถึงความอยากรู้ อยากเห็น ชอบซักถามในส่ิงที่ ตนเองสนใจ มคี วามกระตือรือรน้ ในการสืบเสาะหาความรูใ้ หม่ๆ อยเู่ สมอ - ความมุ่งมั่น คือ ความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายด้วยความเพียรพยายาม เพ่ือใหก้ ารปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ สาเร็จลุล่วงตามเปา้ หมายทกี่ าหนด - ความอดทน คือ การปฏิบัติกิจกรรมด้วยความไม่ท้อถอย เมื่อผลการทดลองล้มเหลวหรือมี อปุ สรรคต่างๆ - ความรอบคอบ คือ การวางแผนการทางานและจัดระบบการทางานเป็นข้ันตอน มีความพินิจ พเิ คราะห์ ละเอยี ดถ่ถี ว้ นในการทางานกอ่ นตัดสนิ ใจสรปุ - ความรับผิดชอบ คือ การปฏิบตั ิหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายให้สาเร็จอย่างเต็มความสามารถด้วย ความตัง้ ใจ ตรงต่อเวลา ยอมรับผลเมอ่ื มขี อ้ ผดิ พลาดเกดิ ข้ึน และพร้อมท่จี ะปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้ดีข้นึ - ความซ่ือสัตย์ คือ การนาเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง การบันทึกผลโดยปราศจากความ ลาเอียงหรืออคติ ไม่แปรผันตามความต้องการของตนเองและผู้อื่น และไม่แอบอ้างเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็น ของตนเอง - ความประหยัด คือ การเห็นคุณค่าของวัสดุอุปกรณ์ และใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างประหยัดและ คมุ้ คา่ รจู้ ักเลอื กใช้ และใชใ้ นปรมิ าณท่เี หมาะสม - การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คือ การไม่ยึดถือความ คิดเหน็ ของตนเองเปน็ หลัก ยอมรบั ฟังคาวิพากษ์วิจารณ์ ขอ้ โต้แยง้ หรอื ขอ้ คดิ เห็นทีม่ เี หตผุ ลของผอู้ ่นื - ความมเี หตผุ ล คือ การอธิบายหรือแสดงความคดิ เห็นอย่างมีเหตผุ ล ยอมรับในคาอธิบาย เมื่อ มหี ลกั ฐานและขอ้ มลู เพยี งพอกอ่ นสรุปผล - การทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ คือ ความเต็มใจท่ีจะทางานร่วมกับผู้อ่ืน ประพฤติ และปฏิบตั ติ ามข้อตกลง เหน็ แกป่ ระโยชน์ส่วนรวมมากกวา่ ประโยชน์ส่วนตน เหน็ คุณค่าการทางานร่วมกับผอู้ ื่น 2. ครูแบง่ นกั เรยี นกลุ่มละ 3-4 คน สบื คน้ ขอ้ มูลเกยี่ วกับจติ วิทยาศาสตร์ ตามขนั้ ตอนดังน้ี - แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ี สมาชิกกลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ความสนใจใฝ่รู้ ความมุ่งมั่น ความอดทน ความรอบคอบ ความ รับผดิ ชอบ ความซ่ือสัตย์ ความประหยัด การรว่ มแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน ความมี เหตุผล และการทางานรว่ มกบั ผูอ้ ื่นไดอ้ ย่างสรา้ งสรรค์ - สมาชิกกลมุ่ แตล่ ะคนหรอื กลมุ่ ยอ่ ยช่วยกันสบื คน้ ขอ้ มูลตามหัวข้อยอ่ ยที่ตนเองรับผิดชอบ โดย การสบื คน้ จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต

- สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลท่ีสืบค้นได้มารายงานให้เพื่อนๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมท้ังร่วมกัน อภิปรายซกั ถามจนคาดวา่ สมาชกิ ทุกคนมคี วามรูค้ วามเข้าใจทต่ี รงกนั - สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงาน การศกึ ษาคน้ ควา้ เกยี่ วกับจติ วิทยาศาสตร์ 3. ครคู อยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏบิ ัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส ให้นักเรยี นทกุ คนซักถามเม่ือมปี ญั หา 3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรปุ 1. นกั เรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมหน้าห้องเรยี น 2. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายผลจากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เช่น - การบันทึกผลการทดลองโดยไม่แปรผันตามความต้องการของตนเองแสดงถึงคุณลักษณะใด (แนวคาตอบ ความซื่อสัตย์) - การรจู้ กั เลอื กใช้สารเคมีทถี่ ูกต้องในการทดลอง และใช้สารเคมีในปริมาณท่ีเหมาะสมแสดงถึง คุณลกั ษณะใด (แนวคาตอบ ความประหยดั ) 3. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ความสนใจ ใฝร่ ู้ ความมุ่งม่นั ความอดทน ความรอบคอบ ความรับผดิ ชอบ ความซื่อสัตย์ ความประหยัด การร่วมแสดงความ คิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ความมีเหตุผล และการทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ เป็น คณุ ลกั ษณะสาคัญท่ที าใหน้ ักวิทยาศาสตร์ประสบความสาเร็จในการคน้ ควา้ หาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 4) ข้นั ขยายความรู้ 1. ครยู กตวั อย่างลกั ษณะนสิ ัยของผูท้ มี่ จี ิตวิทยาศาสตร์ เชน่ ความสนใจใฝร่ ้แู ละความมีเหตผุ ล 2. นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเก่ียวกับจิตวิทยาศาสตร์ จากหนังสือเรียน ภาษาต่างประเทศหรอื อินเทอร์เนต็ และนาเสนอให้เพอื่ นในห้องฟัง คดั คาศัพทพ์ ร้อมท้งั คาแปลลงสมุดส่งครู 5) ขัน้ ประเมนิ 1. ครูให้นักเรยี นแตล่ ะคนพิจารณาวา่ จากหัวขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่ยังไม่ เข้าใจหรอื ยังมขี ้อสงสัย ถ้ามี ครูชว่ ยอธบิ ายเพมิ่ เติมให้นกั เรียนเขา้ ใจ 2. นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข อย่างไรบา้ ง 3. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ การนาความรทู้ ี่ได้ไปใชป้ ระโยชน์ 4. ครทู ดสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เชน่ - ยกตัวอย่างจิตวิทยาศาสตร์ท่ีนักเรียนเคยใช้ในชีวิตประจาวัน และบอกประโยชน์ที่นักเรียน สามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้ (แนวคาตอบ เคยสังเกตเห็นมดเดินหลบน้าที่ขังอยู่บนพ้ืน จึงนามาประยุกต์ใช้กับ การเก็บขนมที่กินไม่หมด โดยนาขนมท่ีกินไม่หมดใส่ในถ้วย แล้วนาถ้วยน้ันไปแช่ในจานท่ีมีน้า เพ่ือป้องกันไม่ให้ มดมากินขนม)

ขัน้ สรปุ 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับจิตวิทยาศาสตร์ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผัง มโนทัศน์ 2. ครูดาเนินการทดสอบหลงั เรียน โดยใหน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียนเพือ่ วดั ความ ก้าวหน้า/ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 ของนกั เรียน 3. ครเู ช่ือมโยงเนื้อหาจากบทเรียนนี้กับบทเรียนชั่วโมงหน้า เพื่อให้นักเรียนเตรียมความพร้อมในการ เรยี นชว่ั โมงต่อไป โดยการใชค้ าถามกระตุน้ ดงั น้ี - ถา้ นกั เรยี นต้องการสังเกตการเจรญิ เติบโตของรา่ งกาย เพื่อนาขอ้ มูลมานาเสนอหน้าห้องเรียน นักเรียนต้องใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใด (แนวคาตอบ การสังเกต การวัด การใช้จานวน การจัด กระทาและสือ่ ความหมายขอ้ มูล และการลงความคดิ เหน็ ขอ้ มูล) 4. ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพ่ือจัดการเรียนรู้คร้ัง ตอ่ ไป โดยให้นักเรยี นศึกษาคน้ คว้าลว่ งหน้าในหัวข้อ ปจั จัยที่จาเปน็ ตอ่ การเจรญิ เติบโตของมนุษย์ 5. ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพื่อนามาอภิปราย รว่ มกนั ในหอ้ งเรียนครงั้ ต่อไป 10. ส่ือการเรยี นรู้ 1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน หรอื อินเทอร์เนต็ 2. หนังสอื เรยี นภาษาตา่ งประเทศ 3. แบบทดสอบหลงั เรียน 4. คู่มอื การสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 5. สือ่ การเรียนรู้ PowerPoint รายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 6. แบบฝึกทักษะรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 7. หนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 11. การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ดา้ นความรู้ (K) ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) และจติ วิทยาศาสตร์ (A) 1 . ซั ก ถ า ม ค ว า ม รู้ เ ร่ื อ ง จิ ต 1. ประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 1. ประเมินทักษะการคิดโดยการ วทิ ยาศาสตร์ เป็นรายบุคคลโดยการสังเกตและ สังเกตการทางานกลมุ่ 2. ตรวจชิ้นงานหรือภาระงานของ ใชแ้ บบวัดเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติ กิจกรรมฝึกทกั ษะระหวา่ งเรียน 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือราย 3 . ท ด ส อ บ ห ลั ง เ รี ย น โ ด ย ใ ช้ เป็นรายบุคคลโดยการสังเกตและ กลมุ่ โดยการสังเกตการทางานกลุ่ม แบบทดสอบหลังเรียน ใชแ้ บบวัดเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์

12. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้ ผลการสอนจากการประเมินในคาบเรียน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………….................................... ......………………………………………………………………………………………………………………………………………………........... ............................................................................................................................. .................................................... ปญั หาที่พบจากการสอนในคาบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การปรับปรุงแก้ไข (ระบุว่าทาเมื่อไหร่) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. .......................................................................................................................................................................... ....... ผลจากการปรับปรุง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่ือ........................................................ (....................................................) ตาแหน่ง................................................. ความคดิ เหน็ ของผูบ้ รหิ ารโรงเรยี น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………....................................................................................................................... ........................................ ลงชอ่ื …………………………………………………… (....................................................) ตาแหน่ง.................................................

ใบกจิ กรรม สืบค้นขอ้ มูลเก่ยี วกับจติ วทิ ยาศาสตร์ 1. ครูแบง่ นักเรียนกลุม่ ละ 3-4 คน สบื ค้นข้อมูลเก่ยี วกับจิตวิทยาศาสตร์ 2. แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพ่ือนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ีสมาชิก กลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ความสนใจใฝ่รู้ ความมุ่งม่ัน ความอดทน ความรอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน ความมีเหตุผล และการทางานร่วมกับผูอ้ ่นื ไดอ้ ย่างสร้างสรรค์ 3. สมาชกิ กลมุ่ แตล่ ะคนหรือกล่มุ ย่อยช่วยกันสบื ค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยทตี่ นเองรับผิดชอบ โดยการ สบื คน้ จากหนงั สอื วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน หรอื อนิ เทอร์เนต็ 4. สมาชิกกลุม่ นาข้อมูลทสี่ บื ค้นได้มารายงานใหเ้ พื่อนๆ สมาชกิ ในกลมุ่ ฟัง รวมทั้งรว่ มกันอภปิ ราย ซักถามจนคาดว่าสมาชกิ ทุกคนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจทต่ี รงกัน 5. สมาชิกกลุ่มชว่ ยกันสรุปความรูท้ ่ีได้ทั้งหมดเป็นผลงานของกลมุ่ และช่วยกนั จดั ทารายงานการศึกษา คน้ คว้าเกย่ี วกับจิตวิทยาศาสตร์ บันทกึ ผลการสบื ค้น ความสนใจใฝร่ ู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ความม่งุ ม่นั …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ความรอบคอบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ความรบั ผิดชอบ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ความซ่อื สัตย์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ความประหยัด …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การทางานร่วมกับผูอ้ น่ื ได้อย่างสร้างสรรค์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ความมเี หตุผล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การรว่ มแสดงความคดิ เหน็ และยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผอู้ ่นื …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. สรุปผลการสบื ค้น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. คาถามทา้ ยกิจกรรม 1. การบนั ทกึ ผลการทดลองโดยไมแ่ ปรผันตามความตอ้ งการของตนเองแสดงถึงคุณลกั ษณะใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. การรู้จกั เลือกใชส้ ารเคมีทีถ่ ูกต้องในการทดลอง และใชส้ ารเคมใี นปริมาณที่เหมาะสมแสดงถึงคุณลักษณะใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

เฉลยใบกจิ กรรม สบื ค้นข้อมูลเกีย่ วกับจิตวิทยาศาสตร์ 1. ครูแบ่งนักเรยี นกลุ่มละ 3-4 คน สบื ค้นขอ้ มลู เกย่ี วกับจติ วิทยาศาสตร์ 2. แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ีสมาชิก กลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ความสนใจใฝ่รู้ ความมุ่งม่ัน ความอดทน ความรอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซ่ือสัตย์ ความประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ความมีเหตุผล และการทางานรว่ มกับผูอ้ ่ืนไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ 3. สมาชิกกล่มุ แต่ละคนหรือกลุม่ ยอ่ ยชว่ ยกนั สืบคน้ ข้อมลู ตามหัวข้อย่อยท่ีตนเองรับผดิ ชอบ โดยการ สบื ค้นจากหนังสอื วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออินเทอรเ์ น็ต 4. สมาชกิ กลุ่มนาข้อมลู ท่สี บื คน้ ได้มารายงานให้เพ่อื นๆ สมาชิกในกล่มุ ฟงั รวมท้ังรว่ มกันอภปิ ราย ซักถามจนคาดวา่ สมาชกิ ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจทต่ี รงกัน 5. สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรปุ ความรูท้ ไ่ี ด้ท้งั หมดเปน็ ผลงานของกลุ่ม และชว่ ยกนั จดั ทารายงานการศึกษา คน้ ควา้ เกีย่ วกบั จิตวทิ ยาศาสตร์ บันทกึ ผลการสบื ค้น ความสนใจใฝร่ ู้ คือ พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความอยากรู้ อยากเห็น ชอบซักถามในสิ่งที่ตนเองสนใจ มีความ กระตอื รอื รน้ ในการสืบเสาะหาความรูใ้ หม่ๆ อยู่เสมอ ความมุ่งมนั่ คือ ความตั้งใจในการปฏิบัติหนา้ ทที่ ่ีได้รับมอบหมายด้วยความเพียรพยายาม เพื่อให้การปฏิบัติกิจกรรม ต่างๆ สาเรจ็ ลลุ ว่ งตามเปา้ หมายที่กาหนด ความอดทน คือ การปฏิบตั ิกจิ กรรมดว้ ยความไม่ทอ้ ถอย เมอ่ื ผลการทดลองล้มเหลวหรอื มีอปุ สรรคต่างๆ ความรอบคอบ คือ การวางแผนการทางานและจัดระบบการทางานเป็นข้ันตอน มีความพินิจพิเคราะห์ ละเอียดถี่ถ้วน ในการทางานก่อนตัดสินใจสรุป ความรับผิดชอบ คือ การปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สาเร็จอย่างเต็มความสามารถด้วยความต้ังใจ ตรงต่อเวลา ยอมรบั ผลเม่ือมีข้อผดิ พลาดเกิดขน้ึ และพรอ้ มทจ่ี ะปรับปรุงแกไ้ ขให้ดขี ึน้ ความซือ่ สตั ย์ คือ การนาเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง การบันทึกผลโดยปราศจากความลาเอียงหรืออคติ ไม่แปรผัน ตามความตอ้ งการของตนเองและผู้อืน่ และไม่แอบอา้ งเอาผลงานของผอู้ ่นื มาเป็นของตนเอง

ความประหยัด คือ การเหน็ คุณคา่ ของวัสดุอุปกรณ์ และใช้วสั ดอุ ปุ กรณ์อย่างประหยัดและคุ้มค่า รู้จักเลือกใช้ และใช้ใน ปรมิ าณทเ่ี หมาะสม การร่วมแสดงความคดิ เหน็ และยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของผู้อน่ื คือ การไม่ยึดถือความคิดเห็นของตนเองเป็นหลัก ยอมรับฟังคาวิพากษ์วิจารณ์ ข้อโต้แย้ง หรือ ขอ้ คดิ เหน็ ทีม่ ีเหตุผลของผอู้ น่ื ความมีเหตุผล คือ การอธิบายหรือแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล ยอมรับในคาอธิบาย เม่ือมีหลักฐานและข้อมูล เพยี งพอก่อนสรุปผล การทางานรว่ มกบั ผอู้ ่นื ได้อย่างสร้างสรรค์ คือ ความเต็มใจท่ีจะทางานร่วมกับผู้อ่ืน ประพฤติและปฏิบัติตามข้อตกลง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกวา่ ประโยชน์ส่วนตน เหน็ คุณคา่ การทางานร่วมกบั ผอู้ นื่ สรุปผลการสืบค้น ความสนใจใฝ่รู้ ความม่งุ มน่ั ความอดทน ความรอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ความมีเหตุผล และการทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ อย่างสร้างสรรค์ เป็นคุณลักษณะสาคัญท่ีทาให้นักวิทยาศาสตร์ประสบความสาเร็จในการค้นคว้าหาความรู้ทาง วทิ ยาศาสตร์ คาถามท้ายกจิ กรรม 1. การบันทึกผลการทดลองโดยไมแ่ ปรผนั ตามความตอ้ งการของตนเองแสดงถงึ คุณลกั ษณะใด แนวคาตอบ ความซ่ือสตั ย์ 2. การรู้จกั เลือกใชส้ ารเคมีทถี่ กู ตอ้ งในการทดลอง และใชส้ ารเคมีในปรมิ าณทเี่ หมาะสมแสดงถงึ คุณลกั ษณะใด แนวคาตอบ ความประหยดั

แบบทดสอบหลังเรียน หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ คาชีแ้ จง เลอื กคาตอบท่ีถูกต้องท่ีสดุ เพียงคาตอบเดียว 1. ข้อใดเรยี งลาดบั ขัน้ ตอนของวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกต้อง ก. ตั้งคาถาม รวบรวมขอ้ มูล และสรุปผล ข. ตัง้ คาถาม รวบรวมขอ้ มูล วิเคราะหข์ ้อมลู และสรุปผล ค. ตงั้ คาถาม คาดคะเนคาตอบ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ขอ้ มูล และสรปุ ผล ง. ตง้ั คาถาม รวบรวมข้อมลู วเิ คราะห์ข้อมลู คาดคะเนคาตอบ และสรปุ ผล 2. วธิ ีการทางวิทยาศาสตรข์ ้นั ตอนใดท่จี ะนาไปสกู่ ารสรปุ ผล ก. ต้ังคาถาม ข. รวบรวมข้อมลู ค. วเิ คราะหข์ ้อมูล ง. คาดคะเนคาตอบ 3. จากรูป ใชท้ ักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใด ก. การวัด ข. การทดลอง ค. การจาแนกประเภท ง. การกาหนดและควบคุมตัวแปร 4. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพนื้ ฐาน ก. การลงความคิดเห็นข้อมูล ข. การจดั กระทาและสอ่ื ความหมายข้อมูล ค. การตคี วามหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป ง. การหาความสมั พนั ธ์ระหว่างสเปซกับสเปซและสเปซกบั เวลา

5. ขอ้ ใดไม่ใช่ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั บูรณาการ ก. การสังเกต ข. การทดลอง ค. การตั้งสมมตุ ฐิ าน ง. การกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบัตกิ าร 6. จากปัญหา“ปรมิ าณนา้ มผี ลต่อการเจรญิ เติบโตของขา้ วโพดหรอื ไม่” ควรต้ังสมมตุ ิฐานว่าอะไร ก. ข้าวโพดจะเจรญิ เตบิ โตได้ดใี นน้าแบบใด ข. ข้าวโพดเจรญิ เติบโตในน้าท่ีใสได้ดกี ว่านา้ ท่ีขนุ่ ค. ปรมิ าณน้ามีผลต่อการเจริญเติบโตของข้าวโพดหรือไม่ ง. ข้าวโพดทไี่ ดร้ ับปริมาณนา้ มากเจรญิ เตบิ โตได้ดีกว่าขา้ วโพดท่ีได้รับปริมาณนา้ น้อย 7. เปลือกมะนาว มีกลิ่นฉุนจงั มีรสขมดว้ ย จากรูป ใช้ประสาทสัมผสั ใดในการสังเกตเปลือกมะนาว ก. การรบั รส การดม ข. การมอง การรบั รส การดม ค. การมอง การรับรส การฟัง การดม ง. การมอง การสัมผสั การรบั รส การฟัง การดม 8. ข้อใดไม่ใช่ลกั ษณะนสิ ยั ของผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์ ก. มีความละเอียดรอบคอบ ข. มคี วามอดทนและความมุ่งมน่ั ค. ใชค้ วามคดิ ของตนเองเปน็ หลัก ง. บันทกึ ผลการสงั เกตตามความจริง

9. ความสนใจใฝ่รูข้ องนักวิทยาศาสตรน์ ามาซ่ึงความสาเรจ็ ในเรือ่ งใด ก. คน้ พบความรู้ใหม่ ข. ไมพ่ บอปุ สรรคในการทางาน ค. ไมม่ ขี ้อผดิ พลาดในการทางาน ง. ทางานร่วมกบั ผูอ้ นื่ ได้อย่างราบร่ืน 10. ข้อใดกลา่ วถูกต้องเก่ยี วกับการทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสรา้ งสรรค์ ก. การเหน็ แกป่ ระโยชน์สว่ นรวมมากกว่าประโยชน์สว่ นตน ข. การยอมรบั ในคาอธิบายเมื่อมีหลกั ฐานและข้อมลู เพยี งพอก่อนสรุปผล ค. การยอมรับผลเมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึน้ และพรอ้ มท่จี ะปรับปรุงแก้ไขใหด้ ีขนึ้ ง. การยอมรบั ฟงั คาวิพากษ์วิจารณ์ ข้อโต้แย้ง หรือข้อคดิ เห็นทม่ี เี หตผุ ลของผู้อ่นื

เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 เรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ คาชแ้ี จง เลอื กคาตอบท่ีถูกต้องทสี่ ดุ เพยี งคาตอบเดียว 1. ข้อใดเรียงลาดบั ขน้ั ตอนของวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ถูกตอ้ ง ก. ตง้ั คาถาม รวบรวมข้อมลู และสรปุ ผล ข. ตั้งคาถาม รวบรวมข้อมลู วิเคราะหข์ ้อมูล และสรปุ ผล ค. ตัง้ คาถาม คาดคะเนคาตอบ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผล ง. ตงั้ คาถาม รวบรวมข้อมลู วิเคราะห์ข้อมูล คาดคะเนคาตอบ และสรุปผล 2. วิธีการทางวิทยาศาสตรข์ ั้นตอนใดทจ่ี ะนาไปสกู่ ารสรุปผล ก. ตง้ั คาถาม ข. รวบรวมข้อมูล ค. วเิ คราะหข์ ้อมลู ง. คาดคะเนคาตอบ 3. จากรูป ใชท้ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ใด ก. การวัด ข. การทดลอง ค. การจาแนกประเภท ง. การกาหนดและควบคมุ ตวั แปร 4. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ ้นั พ้นื ฐาน ก. การลงความคดิ เห็นข้อมลู ข. การจดั กระทาและสื่อความหมายข้อมลู ค. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป ง. การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสเปซกบั สเปซและสเปซกบั เวลา

5. ขอ้ ใดไม่ใช่ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั บูรณาการ ก. การสังเกต ข. การทดลอง ค. การตั้งสมมตุ ฐิ าน ง. การกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบัตกิ าร 6. จากปัญหา“ปรมิ าณนา้ มผี ลต่อการเจรญิ เติบโตของขา้ วโพดหรอื ไม่” ควรต้ังสมมตุ ิฐานว่าอะไร ก. ข้าวโพดจะเจรญิ เตบิ โตได้ดใี นน้าแบบใด ข. ข้าวโพดเจรญิ เติบโตในน้าท่ีใสได้ดกี ว่านา้ ท่ีขนุ่ ค. ปรมิ าณน้ามีผลต่อการเจริญเติบโตของข้าวโพดหรือไม่ ง. ข้าวโพดทไี่ ดร้ ับปริมาณนา้ มากเจรญิ เตบิ โตได้ดีกว่าขา้ วโพดท่ีได้รับปริมาณนา้ น้อย 7. เปลือกมะนาว มีกลิ่นฉุนจงั มีรสขมดว้ ย จากรูป ใช้ประสาทสัมผสั ใดในการสังเกตเปลือกมะนาว ก. การรบั รส การดม ข. การมอง การรบั รส การดม ค. การมอง การรับรส การฟัง การดม ง. การมอง การสัมผสั การรบั รส การฟัง การดม 8. ข้อใดไม่ใช่ลกั ษณะนสิ ยั ของผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์ ก. มีความละเอียดรอบคอบ ข. มคี วามอดทนและความมุ่งมน่ั ค. ใชค้ วามคดิ ของตนเองเปน็ หลัก ง. บันทกึ ผลการสงั เกตตามความจริง

9. ความสนใจใฝ่รูข้ องนักวิทยาศาสตรน์ ามาซ่ึงความสาเรจ็ ในเรือ่ งใด ก. คน้ พบความรู้ใหม่ ข. ไมพ่ บอปุ สรรคในการทางาน ค. ไมม่ ขี ้อผดิ พลาดในการทางาน ง. ทางานร่วมกบั ผูอ้ นื่ ได้อย่างราบร่ืน 10. ข้อใดกลา่ วถูกต้องเก่ยี วกับการทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสรา้ งสรรค์ ก. การเหน็ แกป่ ระโยชน์สว่ นรวมมากกว่าประโยชนส์ ว่ นตน ข. การยอมรบั ในคาอธิบายเมื่อมีหลกั ฐานและข้อมลู เพยี งพอก่อนสรุปผล ค. การยอมรับผลเมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึน้ และพรอ้ มท่จี ะปรับปรุงแก้ไขใหด้ ีขนึ้ ง. การยอมรบั ฟงั คาวิพากษ์วิจารณ์ ข้อโต้แย้ง หรือข้อคดิ เห็นทม่ี เี หตผุ ลของผู้อ่นื


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook