Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-BOOK ณัฐพงศ์ 028

E-BOOK ณัฐพงศ์ 028

Published by thinwongmom20, 2022-01-22 15:23:03

Description: E-BOOK ณัฐพงศ์ 028

Search

Read the Text Version

E-BOOK พนั ธ์ไุ ม้ วชิ า พนั ธุไ์ ม้และการตกแตง่ รหัสวิชา 20108-9002 จดั ทำโดย นาย ณัฐพงศ์ ถน่ิ วงค์ม่อม รหสั ประจำตัว 62201080028 ปวช.3 สาขางานสถาปตั ยกรรม

สารบัญ เร่อื ง หนา้ ท่ี หญ้า 1-6 ไม้กอ 7 ไม้คลมุ ดิน 8 ไม้ยนื ตน้ 9-10 ไม้พมุ่ 11-12 ไม้กอหรอื ไมแ้ ตกหนอ่ 13-14 พันธุ์ไม้น้ำ 15 พันธ์ุไมร้ ากสวยงาม 16 พันธไ์ุ ม้ทีต่ อ้ งการแสงแดด 17-21 พนั ธ์ุไม้ในรม่ หรือแสงรำไร 22-27 พันธ์ุไม้ใบสวย 28-32 พนั ธ์ุไมด้ อกสวย 33-37 ขอ้ คดิ ในการเลอื กพนั ธุ์ไม้จัดสวน บรรณานกุ รม 38 39

1 หญ้า ชอื่ หญา้ : หญา้ เบอรม์ ิวดา้ ร(์ Bermuda Grass) หรืออีกช่อื ท่ีคนไทยใช้เรยี กกนั คอื หญา้ แพรก สามารถนำมาปลกู เปน็ สนาม ได้เชน่ กัน ลำต้นจะค่อนข้างแบนและต้ังตรงหรอื โคง้ จากฐานของลำต้น มที งั้ ลำตน้ ใตด้ ินและบนดนิ ซง่ึ แตกแขนงออกมาแลว้ มี รากทขี่ ้อ ใบ ค่อนขา้ งบางเรียวแหลม ขอบใบมขี นเล็กๆ ใบมสี เี ขียวเข้ม เนื้อใบค่อนขา้ งหยาบ ต้องการแสงแดดเตม็ ทีใ่ นการ เจริญเตบิ โตจงึ จะได้หญ้าทดี่ ี ถา้ ปลกู ในทรี่ ่มหรอื ตามชายคาบา้ นลำต้นจะยาวยดื ใบหญา้ จะบางออ่ นแอ หญ้าเบอรม์ วิ ด้าร์ ทนตอ่ การเหยียบย่ำไดด้ ี มีความทนตอ่ โรคและแมลงไดด้ ใี นสภาพแวดลอ้ มและการดแู ลที่เหมาะสม การใช้ หญา้ น้ีมาทำสนามต้องระมดั ระวงั เนอ่ื งจากหญ้านม้ี กี ารเจริญเติบโตเร็ว มน่ั คอยตดั ใบบ่อยๆ จงึ จะทำให้สนามดูสวยงาม

2 หญา้ ชอื่ หญ้า : เซนตอ์ อกสั ตหิ ญ้า ( Stenotaphrum secundatum ) ตำ่ เสอื่ ข้ึนรูปยืนต้น หญา้ ของครอบครัวหญา้ หญา้ เซนต์ ออกัสตนิ มีถน่ิ กำเนดิ ในอเมรกิ าเหนือตอนกลางและตะวนั ออกเฉยี งใต้และอเมรกิ ากลางและมีสญั ชาตติ ามชายฝ่งั ทะเลหลาย แห่งทว่ั โลก พชื จะไดร้ ับการปลกู ฝงั เปน็ หญา้ สนามหญา้ ในเขตร้อนและอกี หลายสายพนั ธุ์ท่มี ใี บทน่ี า่ สนใจและมีการปลกู เป็นไม้ ประดับ หญา้ เซนตอ์ อกสั ตินเป็นพชื ฤดรู ้อนท่มี พี ้ืนผิวหยาบแขง็ แรง มนั แพรก่ ระจายเป็นพชื ดว้ ยหินและรากพร้อมกับลำตน้ ที่ กราบ พืชมกั ไมผ่ ลติ เมลด็ พนั ธ์ทุ ่ีมชี ีวิต เจริญเตบิ โตไดด้ ีในท่ีชนื้ สภาพแวดลอ้ มและมีการ จำกัดภัยแลง้ ความอดทน

3 หญ้า ชอ่ื หญ้า : หญ้ามาเลเซีย (Carpet Grass) จัดเปน็ หญา้ พน้ื เมอื งในแถบประเทศเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตท้ ี่เม่อื หลายสบิ ปกี อ่ น นยิ มปลกู เป็นสนามหญา้ และปลูกตกแตง่ ตามสวนสาธารณะตา่ งๆ โดยเฉพาะตามลานหญา้ ของสถานท่ีราชการ เนอ่ื งจาก เป็น หญา้ ท่มี ลี ำต้นเตยี้ ลำตน้ แตกไหลเลอ้ื ยตามผิวดิน สว่ นใบมีขนาดส้นั สเี ขียวสด และแตกออกปกคลมุ ดนิ ได้ดที ำใหเ้ หมาะ สำหรบั ปลกู ในสนามหญา้ หญา้ มาเลเซยี ในชว่ งแรกๆพบปลกู และแพร่กระจายมากในแถบจังหวัดภาคใต้ ซึ่งการต้งั ชือ่ หญ้า มาเลเชยี สันนษิ ฐานว่า อาจมีการนำเขา้ มาปลกู จากประเทศมาเลเชียหรอื คนท่ีปลูกขายดงั้ เดมิ ต้งั ชื่อใหเ้ ดน่ ท่ีช่วยให้คนเขา้ ใจวา่ เปน็ หญ้ามาจากตา่ งประเทศ เพือ่ หวังประโยชน์ทางการค้าทีท่ ำใหข้ าย และนิยมมากขนึ้

4 หญา้ ช่อื หญา้ : หญ้านวลจันทร์ มอี ีกชอ่ื วา่ หญ้า \"หญ้าไผแ่ ดง\" เพราะมลี กั ษณะคลา้ ยใบใผ่ทีย่ ่อใหเ้ ลก็ ลงมา เป็นหญา้ ของเมอื งไทย นยิ มทำเป็นสนามหญา้ ในบ้าน และสนามกฬี า การดแู ลรกั ษาตำ่ การเจรญิ เติบโตเรว็ มาก และสามารถกลายเป็นวัชพืชไดง้ า่ ย ถ้าปลกู รวมกับหญา้ ชนิดอืน่ ๆ มคี วามตอ้ งการปุย๋ ไม่มากนกั ถา้ ปลูกในพ้นื ทีแ่ ห้งแล้งก็สามารถทนได้ โดยเฉพาะถา้ มีไนโตรเจน นอ้ ย ดอกกจ็ ะออกมามากใบจะเปน็ สีแดงในฤดูแล้ง และเปน็ สีเขียวในฤดฝู น หญา้ นี้ เหมาะในการปลกู ในเขตอบอ่นุ และขึ้นได้ ในดินทั่ว ๆ ไป แต่ดนิ ท่ีเหมาะควรเป็นดินร่วนปนทราย มี pH ประมาณ 6 - 7 นอกจากนีย้ งั สามารถทนตอ่ ดินเคม็ ได้

5 หญา้ ชอ่ื หญ้า : หญา้ ญปี่ ุ่น(Japanese Lawngrass) เป็นหญ้าท่ีเจรญิ เตบิ โตได้ดีในพน้ื ที่เขตรอ้ น แต่ก็สามารถเจรญิ เตบิ โตได้ในเขต หนาวและแห้งแล้งซ่งึ มกี ารเจริญเติบโตได้ดีพอสมควร แตป่ ลูกในพน้ื ท่ีชื้นแฉะจะไมด่ นี กั สามารถทนต่อพนื้ ทีร่ ม่ ไดป้ ระมาณ 50 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในพน้ื ที่ดินเคม็ ก็พอจะปลกู ไดแ้ ตไ่ มด่ นี ัก แตจ่ ะชอบขน้ึ ไดด้ ีในพ้ืนท่ีดนิ เหนยี ว หญา้ ญ่ีปนุ่ ลำต้นจะตง้ั แขง็ ท้งั ลำตน้ บนดินและลำต้นใตด้ นิ ใบมีสเี ขยี วเขม้ ใบเลก็ ละเอยี ดกลมแข็งปลายใบแขง็ กระดา้ งเวลา สมั ผสั จะระคายผิวหนงั หญา้ ญี่ปุ่นตอ้ งการน้ำมากและเตบิ โตชา้ แต่ถา้ ขึน้ แล้วจะหนาแนน่ มาก ใชค้ ุมวัชพืชไดด้ ี ถา้ ขาดน้ำใบ จะเหลอื งทนตอ่ การเหยยี บย่ำพอสมควรแตไ่ มค่ ่อยยืดหยุ่นตัวเหมือนหญ้านวลน้อย การตดั ใบควรตัดให้สั้นโดยตัดทกุ ๆ 7 -10 วัน จะทำใหห้ ญ้าแนน่ และสวยดีแต่ถ้าปล่อยท้งิ ไวน้ านวัน หญ้าจะขนึ้ เป็นกระจกุ เวลาตดั หญ้าจะมสี เี หลอื งเป็นหย่อมๆ มองดู ไมส่ วยงาม ซงึ้ เปน็ ขอ้ เสยี ของหญา้ ชนดิ นี้ เน่ืองจากหญ้าญ่ีปนุ่ มลี ำต้นและใบทแ่ี ข็งมากทำให้เวลาตดั ต้องมัน่ รบั คมใบมดี อยู่ เสมอและขอ้ เสยี อีกอย่างของหญ้าชนิดนี้คือปลายใบเรียวแหลมจะทม่ิ ตำทำให้ระคายผิวหนงั

6 หญ้า ช่ือหญ้า : หญ้านวลนอ้ ย (Manila Grass) จดั เปน็ หญ้าพ้นื เมอื งของไทยทนี่ ิยมปลกู มากตามลานหน้าบา้ น แปลงจดั สวน สนาม กีฬา สนามกอล์ฟ และอน่ื ๆ เนื่องจากเป็นหญา้ ทเี่ ตบิ โตไดด้ ใี นดินเกอื บทกุ ชนดิ ท้ังดินเหนยี ว ดินทราย ทนตอ่ สภาพอากาศรอ้ น หรือแห้งแลง้ ไดด้ ี และทนต่อสภาพน้ำขังไดบ้ า้ ง รวมถึงเติบโตเรว็ และสามารถขยายไหลเปน็ แผ่นทีค่ รอบคลุมหนา้ ดนิ ไดเ้ ร็ว หญ้านวลน้อย มลี ักษณะคล้ายกบั หญ้าญี่ปุ่น แตม่ ลี กั ษณะท่ีแตกต่างกนั คือ – หญา้ นวลนอ้ ยมใี บกว้างกว่า – การเจรญิ เติบโตเรว็ กว่า – ใบไมแ่ ขง็ กระดา้ ง แตห่ ญา้ ญป่ี ุน่ มคี อ่ นขา้ งแขง็ กระดา้ ง – ชอ่ ดอกยาว และเหน็ ได้ชัดกวา่

7 ไม้กอ ชือ่ : ขิงแดง ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Alpinia purpurata (Vieill.) K.Schum. ถิน่ กำเนิด : หมเู่ กาะโซโลมอน วงศ์ : ZINGIBERACEAE ลำต้น : เหงา้ ทอดเลอ้ื ยอยใู่ ตด้ ิน แตกกอเปน็ พมุ่ แนน่ ดอก เป็นชอ่ เชงิ ลดออกทีป่ ลายยอด แตล่ ะชอ่ มใี บประดบั สีแดงซอ้ นกัน ดอกรูปกรวย ออกจากซอกกาบรองดอก ออกดอก ตลอดปี ดอกทตี่ ดิ บนชอ่ สามารถเจริญเป็นตน้ ใหมไ่ ด้ การปลกู และดแู ลรกั ษา : จะใช้วิธกี ารขยายพันธุ์ใช้วธิ ีการแยกกอจากตน้ ที่มอี ายุ 4-5 เดือนขน้ึ ไป หรอื เลอื กจากกอที่สมบูรณ์ แข็งแรง โดยขดุ หลมุ ลึกประมาณ 20 เซนติเมตร ระยะห่างระหวา่ งตน้ 60 เซนติเมตร และระหว่างแถว 80 เซนตเิ มตร รองก้น หลุมดว้ ยป๋ยุ เคมหี รือปยุ๋ ชีวภาพ นำตน้ พันธุ์ลงปลูกหลุมละ 4-5 ตน้ กลบดินโคนตน้ แลว้ รดน้ำให้ชุ่ม ประโยชน์ : ปลูกเปน็ ไมป้ ระดับเพมิ่ ความสวยงามและร่มรื่นให้กับบรเิ วณบ้านรวมถึงพนื้ ท่ตี ่างๆด้วย การขยายพนั ธุ์ : แยกกอ

8 ไมค้ ลมุ ดิน ชอื่ : บัวดิน ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zephyranthes spp.. ถนิ่ กำเนิด : อเมริกา เมก็ ซโิ ก โคลมั เบยี กัวเตมาลา และทางทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ของสหรฐั อเมรกิ า โดยมีมากกวา่ 50 ชนดิ วงศ์ : Amaryllidaceae ลำต้น : บวั ดนิ เปน็ พืชล้มลกุ ที่มีหัวอายยุ นื หลายปี มีระบบรากเปน็ แบบรากฝอยอยา่ งเดียว โดยลำตน้ จะเป็นหวั ท่ีอยใู่ ตด้ นิ มี รปู รา่ งค่อนขา้ งกลมคล้ายหวั หอม โดยประกอบด้วยลำตน้ จริงทเี่ ปลย่ี นรปู ไปเป็นฐานหัว ประกอบด้วยปล้องที่มีลักษณะสน้ั และถ่ซี ้อนกนั อยู่เป็นชั้นๆ ดอก : ดอกเปน็ ดอกชอ่ แต่เจรญิ เพยี ง 1 ดอกในชอ่ ดอก ก้านชอ่ ดอกมลี ักษณะเรยี วยาว และกลวงภายใน เจริญขึ้นมาจากหวั ในดินโดยไม่มีใบตดิ กาบหมุ้ ชอ่ ดอกเปน็ แผน่ บางโปร่งแสง มแี ผน่ เดยี วติดอยู่ทป่ี ลายของก้านดอกย่อย ปลายของกาบห้มุ ชอ่ ดอกอาจติดกนั เปน็ แผ่นหรอื แยกเปน็ สองแฉกการปลูกและดูแลรกั ษา : เตบิ โตได้ดีในดนิ รว่ นซยุ กักเก็บความชน้ื ดี แต่น้ำไม่ขัง จนแฉะ วางหัวในแนวต้ัง กลบดนิ นิดหนอ่ ยเพยี งเพือ่ รกั ษาความชืน้ ไว้เทา่ น้ัน ไม่ควรปลูกลกึ เพราะจะทำใหห้ วั เน่าได้ ประโยชน์ : นิยมปลูกเป็นไม้ประดบั ทัว่ ไป การขยายพันธ์ุ : โดยการเพาะเมลด็ แยกหน่อ แยกหวั และผา่ หวั

9 ไม้ยนื ต้น ชื่อ : ราชพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L. ถนิ่ กำเนดิ : เอเชียใต้ วงศ์ : (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) ลำต้น : โดยต้นไม้ชนดิ นมี้ ีลักษณะเป็นไมย้ ืนตน้ ผลดั ใบ ลำตน้ ต้ังตรง สูงประมาณ 5-15 เมตร ใบมสี ีเขยี วเปน็ มัน ซ่งึ สว่ นใหญ่ แล้วนิยมนำมาใช้ในพธิ ีสะเดาะเคราะห์ ส่วนดอกมขี นาดค่อนข้างใหญ่ มสี ีเหลอื งหรือสีเหลอื งอมเขียวออ่ น ดโู ดดเดน่ เพราะ ออกรวมกันเปน็ ช่อ ห้อยยาวลงมาจากก่งิ แต่สามารถหลดุ รว่ งได้งา่ ย ดอก : ออกดอกเปน็ ช่อ ยาวประมาณ 20-45 เซนติเมตร มีกลบี รองดอกรปู ขอบขนาน มคี วามยาวประมาณ 1 เซนติเมตร กลบี มี 5 กลีบ หลดุ ร่วงได้ง่าย และกลบี ดอกยาวกว่ากลบี รองดอกประมาณ 2-3 เทา่ และมกี ลบี รูปไข่จำนวน 5 กลีบ บริเวณพื้น กลบี จะเหน็ เส้นกลบี ชัดเจน การปลกู และดแู ลรกั ษา : ในช่วงแรกๆตน้ ราชพฤกษจ์ ะเจริญเตบิ โตไดช้ า้ ในระยะเวลาประมาณ 1-3 ปแี รกหลงั จากนั้นตน้ ราช พฤกษจ์ ะเจรญิ เตบิ โตเร็วข้ึน เปลือกจะเปน็ สนี ำ้ ตาลเรยี บ มรี ากแก้วยาวสีเหลืองและ มรี ากแขนงเป็นจำนวนมาก เม่อื ต้นรา พฤกษ์มอี ายุ 4-5 ปี จึงออกดอกและเมล็ดและเจรญิ เตบิ โตตอ่ ไป ประโยชน์ : นอกจากนนั้ ราชพฤกษ์ยงั เปน็ พืชทมี่ ฤี ทธิ์ทางอลั ลโี ลพาที สารสกดั จากฝักด้วยเอทานอลสามารถยบั ยง้ั การเจรญิ ของคะนา้ ได้ การขยายพันธุ์ : ที่นยิ ม คือ การเพาะเมล็ด โดยใชเ้ มลด็ สด ๆ มาขลบิ ดว้ ยกรรไกรตดั เลบ็ แต่ต้องเลอื กขลบิ บริเวณดา้ นปา้ น เพราะดา้ นแหลมจะมตี ้นอ่อนอยู่ จากนัน้ นำไปแชน่ ้ำสะอาดทง้ิ ไวข้ ้ามวัน จึงคอ่ ยเทน้ำออกใหเ้ หลือปรมิ าณพอหล่อเลีย้ งเมลด็ ได้ จากน้นั ทงิ้ ไว้อกี คนื ก็จะพบรากงอก และสามารถนำลงปลกู ได้เลย

10 ไม้ยืนตน้ ชือ่ : ชมพูพันธุท์ พิ ย์ ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Tabebuia rosea (Bertol.) DC. ถ่นิ กำเนดิ : ทวปี อเมรกิ าใต้ วงศ์ : Bignoniaceae โดยมชี อ่ื ทใี่ ช้เรยี กกันทวั่ ไปในภาษาอังกฤษว่า Pink Tecoma, Pink Trumpet Tree และ Rosy Trumpet-tree ลำตน้ : ชมพูพนั ธุ์ทพิ ย์ เป็นตน้ ไมข้ นาดกลาง ผลัดใบ ความสูงประมาณ 8-25 เมตร แตกก่งิ แผ่กว้างเปน็ ชน้ั เรือนยอดรปู ไข่ หรอื ทรงกลม ลำต้นขนาดใหญ่ เปลือกลำต้นเรียบสนี ำ้ ตาลหรอื สเี ทา แตเ่ ม่อื มีอายมุ ากเปลือกลำต้นจะแตกเปน็ รอ่ ง กิง่ เปราะ หักง่าย ใบเป็นใบประกอบรปู นว้ิ มอื ใบเรียงตรงกนั ขา้ ม มใี บย่อย 5 ใบ แผน่ ใบหนาขอบเรยี บ สเี ขียวเขม้ ปลายใบเรียว โคนใบ สอบ ใบคลา้ ยรูปไขแ่ กมรปู รี ความกว้าง 3-7 เซนตเิ มตร ยาว 7.5-16 เซนติเมตร ดอก : ออกดอกเป็นช่อ กระจุกตามกง่ิ ชอ่ ละ 5-8 ดอก กลบี ดอกมีท้งั สีชมพูออ่ น ชมพูสด และสขี าว ตรงกลางดอกสเี หลอื ง ดอกบานเตม็ ที่จะมีความกวา้ งประมาณ 5-8 เซนตเิ มตร โดยท้งิ ใบในชว่ งเดอื นพฤศจกิ ายน-มกราคม และออกดอกในช่วงเดอื น กมุ ภาพนั ธ-์ เมษายน นอกจากนยี้ ังมฝี ักกลม ยาว 15-30 เซนติเมตร เมลด็ แบน สนี ้ำตาล การปลูกและดูแลรักษา : ชมพพู นั ธ์ุทพิ ย์ นิยมปลูกด้วยเมลด็ เพราะปลูกง่ายได้ในดนิ แทบทุกชนดิ แต่จะชอบดนิ ทรี่ ะบายนำ้ และระบายอากาศไดด้ เี ปน็ พิเศษ ควรปลกู บริเวณทม่ี แี สงแดดเตม็ วนั ประโยชน์ : นชมพพู ันธุท์ ิพย์ นอกจากจะนิยมปลูกให้รม่ เงาและประดับตามอาคารบา้ นเรอื น หรืออยา่ งทีเ่ หน็ กนั ในลานกว้าง ตามสวนสาธารณะและรมิ ถนนแลว้ ยงั มีประโยชน์ทางด้านอืน่ ๆ ดว้ ยเช่นกัน อาทิ นำใบไปตม้ ทำยาบรรเทาอาการท้องเสยี หรอื ตำให้ละเอียดไว้พอกแผล สว่ นลำตน้ และเย่อื ไม้กส็ ามารถนำไปใช้เปน็ เชือ้ เพลิงและทำกระดาษได้ การขยายพนั ธ์ุ : เพาะเมลด็ ตอนกิง่ หรือ ปักชำ ประโยชน์ : ชมพพู ันธุท์ ิพย์เป็นต้นไมท้ ี่ปลูกงา่ ย ทนทานต่อดินฟ้าอากาศ ทน นำ้ ท่วมขัง และโรคแมลง โตเร็ว มดี อกดกสวยงาม จงึ นิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดบั และใหร้ ม่ เงาในบรเิ วณสถานท่ีราชการ สวนสาธารณะ และตามถนนหนทาง แตก่ ง่ิ เปราะไม่เหมาะปลกู ใกลส้ นามเดก็ เล่น ดอกรว่ งมาก

11 ไม้พุม่ ชื่อ : พยับหมอก ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ : Plumbago auriculata Lam. ถน่ิ กำเนดิ : แอฟริกาใต้ วงศ์ : Plumbaginaceae ลำต้น : ต้น ไม้พุม่ เต้ยี สงู ไดถ้ ึง 1.5 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นพมุ่ คอ่ นขา้ งโปรง่ ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลบั รปู ไขก่ ลับ ปลายมน ขอบหยกั เล็กน้อย โคนสอบเรียว ผวิ ด้านบนสเี ขยี ว ผวิ ดา้ นลา่ งมีขนออ่ น สากระคายมือ ดอก : ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจุกแนน่ ทป่ี ลายกง่ิ ดอกสฟี ้าครามถึงมว่ งอ่อน กลีบเลย้ี ง 5 กลีบ สเี ขยี ว กลบี ดอกโคนเชอื่ มตดิ กนั เป็นหลอดเล็ก ปลายแยกเป็น 5 แฉก ขอบเรยี บ ปลายโค้งมน กลีบนุ่ม เกสรเพศเมยี ยาวย่นื ออกมาแยกเปน็ 5 แฉกเลก็ ๆ ท่ี ส่วนปลาย เกสรเพศผรู้ วมเป็นกลมุ่ อยใู่ นหลอดกลีบดอก การปลูกและดแู ลรกั ษา : ดนิ รว่ น ระบายนำ้ ไดด้ ี ต้องการนำ้ ปานกลาง แสงแดดจดั ประโยชน์ : ปลกู ลงแปลงประดับตกแต่งสวน ดอกสวยงามในฤดูหนาว การขยายพนั ธุ์ : ปักชำ ตอนก่ิง

ไม้พมุ่ 12 ช่ือ : กหุ ลาบ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rosa chinensis Jacq. var minima Voss. ถน่ิ กำเนิด : ทวปี เอเชยี วงศ์ : Rosaceae ลำต้น : เปน็ พมุ่ ขนาดเลก็ ลำตน้ มคี วามยาวประมาณ 30-200 เซนตเิ มตร ลำต้นเตี้ยและสูง มหี นามหรอื ไม่มี แลว้ แตช่ นิดพนั ธุ์ ลำตน้ สเี ขยี วเม่อื แกจ่ ะเปน็ สีนำ้ ตาล แตกกง่ิ ก้านมารอบต้นใบเปน็ ใบรวมแตกออกจากกงิ่ ก้านกา้ นใบจะมีหใู บตดิ ดอก : ดอกกหุ ลาบสามารถจำแนกไดห้ ลายแบบ เชน่ จำแนกตามลกั ษณะการเจรญิ เตบิ โต ขนาดดอก สดี อก ความสูงตน้ และ จำแนก ตามลกั ษณะของดอก เปน็ ตน้ ในทนี่ ไ้ี ด้จำแนกกหุ ลาบเฉพาะกุหลาบตัดดอกตามลกั ษณะการใชป้ ระโยชน์ ทางการค้า ในตลาดโลกเป็น 5 ประเภทดังน้ี จัดอย่ใู นประเภทไมด้ อก การปลกู และดูแลรกั ษา : ใหน้ ้ำระบบน้ำหยด หรอื ใช้หวั พน่ น้ำระหว่างแถวปลูก อัตรา 6-7 ลิตร/ตร.ม./ วัน หรอื 49 ลิตร/ตร. ม./สปั ดาห์ อาจใหท้ ุกวัน วนั เว้นวนั หรอื 2-3 วันตอ่ ครั้ง แล้วแต่สภาพการอุ้มนำ้ ของดนิ อย่ารดนำ้ ใหด้ ินแฉะตลอดเวลา ควร ใหด้ ินมโี อกาสระบายน้ำ และมีอากาศเข้าไปแทนทบ่ี า้ ง ดงั นั้นใน 1 สปั ดาห์ หากปลูกในโรงเรือนจะตอ้ งใชน้ ำ้ ประมาณ 78,400 ลิตร หรอื 78.4 คิวบคิ เมตร ต่อไร่ น้ำท่ีใชค้ วรมีคุณภาพดี มี pH 5.8-6.5 ประโยชน์ : เมอ่ื นำมาสกัดเปน็ น้ำมันหอมระเหย ชว่ ยให้รสู้ กึ ผ่อนคลายจากความเครียด เลอื ดลมไหลเวียนดี ลดอาหารใจส่นั นอนหลบั งา่ ยข้นึ การขยายพนั ธุ์ : การตอ่ กง่ิ (grafting)การขยายพนั ธดุ์ ้วยวิธีน้ี นิยมทำกบั กหุ ลาบท่ีปลูกในกระถาง ไม่นิยมท่ัวไป เพราะ เสยี เวลาและไม่มีความแน่อน อีกท้งั ตอ้ งใช้ฝมี อื พอสมควร การตดิ ตา (budding)การขยายพนั ธุ์ด้วยวธิ นี ี้ ดเู หมือนวา่ จะเป็นท่ี นยิ มมากท่สี ดุ ท้ังนเี้ พราะสามารถขยายพันธด์ุ ไี ดเ้ ร็วกว่า คนท่มี ีความชำนาญในการติดตา จะสามารถทำการตดิ ตาได้มากกว่า 1,000 ต้นต่อวัน ตอ่ สองคน อกี ทั้งยังสามารถคดั เลอื กต้นตอทีเหมาะสมกบั สภาพดินฟ้าอากาศในแตล่ ะท้องถน่ิ และแตล่ ะ พนั ธุข์ องกุหลาบพันธุ์ดีที่จะนำมาตดิ

13 ไมก้ อ ชือ่ : หมากเหลอื ง ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Dypsis lutescens ถน่ิ กำเนิด : มาดากสั การ์ วงศ์ : Arecaceae ลำตน้ : เสน้ ผ่านศนู ย์กลางขนาด 4 – 8 เซนติเมตร ลำตน้ และคอใบมีสีเหลืองสม้ จนถึงเขยี ว สงู ได้ถึง 8 เมตร ความสูงที่ สวยงามอยู่ในช่วง 1 – 3 เมตร ใบรูปขนนก ทางใบยาว 2 เมตร ใบยอ่ ยรปู แถบแคบเรียวแหลม ดอก : ชอ่ ดอกแยกเพศอยรู่ ว่ มต้น ออกใต้คอ ชอ่ แผก่ ระจาย ยาว 50 – 70 เซนติเมตร การปลกู และดแู ลรกั ษา : หมากเหลอื งเปน็ ไม้ยืนต้นทีม่ ีความสงู ในราว 5-12 เมตร เป็นพืชชอบแดดจัดหรือรำไร และต้องการ น้ำปริมาณมาก การปลกู ในกระถางต้องใหน้ ำ้ อย่างน้อยทกุ 3 วนั ตอ่ ครง้ั สว่ นการปลูกในแปลงตอ้ งใหน้ ำ้ อยา่ งน้อยทุก 5-7 วนั ตอ่ คร้งั ใหน้ ำ้ แต่พอชุม่ ก็จะช่วยใหต้ น้ หมากเหลอื งเจรญิ เตบิ โตสมบรู ณ์ ประโยชน์ : ใชป้ ลกู เพอื่ เปน็ ไม้มงคล โดยมคี วามเช่ือต่างๆ ได้แก่ – หมากเหลอื งชว่ ยใหผ้ ูค้ นเกดิ ความเคารพ และเชอื่ ฟงั ในตน เหมอื นก้านใบหมากเหลืองทโี่ ค้งโน้มลง รวมถงึ ทำให้สมาชิกใน บ้านเป็นผ้มู จี ิตใจดี จติ ใจงดงาม มคี วามถอ่ มเนือ้ ถอ่ มตน – หมากเหลอื งมีก้าน และใบสเี หลอื งอมเขยี วหรือบางตน้ มสี เี หลอื งทอง ช่วยสง่ เสริมใหเ้ กดิ ความร่ำรวย มีโชคลาภใหแ้ กผ้ ู้ปลกู หรือสมาชกิ ภายในบา้ น การขยายพนั ธุ์ : แยกหนอ่ หรอื เพาะเมล็ด ใชเ้ วลา 2 เดือนจงึ งอก

14 ไมแ้ ตกหน่อ ชอื่ : ว่าวส่ที ิศ ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ : Hippeastrum johnsonii Bury ถ่นิ กำเนดิ : ทวปี อเมรกิ าใต้ และทางตอนใตข้ องทวปี อาฟรกิ า วงศ์ : AMARYLLIDACEAE ลำตน้ : เป็นไมด้ อกพมุ่ สงู ประมาณ 35-60 เซนตเิ มตร มีลำตน้ เปน็ หัวหรือเหง้าอยใู่ ตด้ นิ โดยสว่ นทโี่ ผลข่ นึ้ มาจะเปน็ ส่วนของ กา้ นและใบ โดยหวั ของว่านสท่ี ิศจะมีลักษณะคล้ายกบั หัวหอมใหญ่ ดอก : ดอกจะออกเปน็ ช่อที่ปลายกา้ นประมาณ 4-8 ดอก หันไปทั้ง 4 ทิศ ดอกคล้ายรปู ถ้วย มีขนาดประมาณ 8-15 เซนติเมตร กลบี ดอกมี 6 กลีบ มที งั้ สีแดง สชี มพู และสขี าว โดยวา่ นสท่ี ิศจะออกดอกในช่วงเดอื นพฤษภาคมถึงเดอื นมิถุนายน และการปลกู วา่ นสี่ทิศจะขยายพันธุ์โดยวิธกี ารแยกหัวในทรายหรอื ดนิ ปลูก แลว้ กลบดินตน้ื ๆ เพียงคอหวั การปลกู และดูแลรักษา : รดนำ้ ให้ชุ่มหลังปลูกทนั ที และใหน้ ้ำชว่ งเช้าทุกๆ วัน โดยใหน้ ้ำแก่พืชทร่ี ะดบั 100% ETC โดยรอจน น้ำหยดุ ไหลจากกน้ กระถาง - ใหป้ ยุ๋ สูตร 15-15-15 อัตรา 2.5 กรัมตอ่ คร้ัง เดือนละ 1 คร้ัง นาน 6 เดือน จะทำใหว้ ่านสท่ี ศิ มี ความสูง จำนวนใบ คณุ ภาพหวั พนั ธทุ์ ด่ี ี ประโยชน์ : ใชเ้ ป็นไมด้ อกไมป้ ระดบั เพราะมดี อกและสที ่งี ดงาม และยงั ถอื ว่าเปน็ วา่ นมงคลอีกด้วย ในการข้ึนบา้ นใหมค่ นไทย กน็ ยิ มปลกู วา่ นส่ที ิศไวใ้ นบรเิ วณบา้ นด้วยเช่นกัน โดยจะปลกู ไวท้ างทศิ เหนือ ด้วยเช่ือว่าจะชว่ ยเสรมิ ดวงให้เจรญิ กา้ วหนา้ มี วาสนาบารมี ชว่ ยปกป้องคมุ ครองภัยตา่ ง ๆ การขยายพันธ์ุ : การเพาะเมล็ด เปน็ การขยายพนั ธ์เุ พ่อื ใหไ้ ด้พันธใ์ุ หม่ โดยการถ่ายละอองเกสร ผลจะแก่ภายใน 30-35 วัน เมลด็ มเี ปลอื กสดี ำ ไมม่ กี ารพกั ตัว ควรนำเมลด็ ไปเพาะทนั ที หรือภายใน 7 วัน ใช้วสั ดุทีก่ ารระบายนำ้ ดีและมคี วามช้นื สม่ำเสมอ เมลด็ จะงอกภายใน 10-14 วนั

15 พันธุไ์ ม้น้ำ ชอื่ : ผกั เปด็ แดง ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Alternanthera bettzickiana (Regel) G.Nicholson ถิ่นกำเนดิ : อเมริกาใตแ้ ละเมก็ ซิโก วงศ์ : AMARANTHACEAE ลำต้น : จดั เป็นไมล้ ้มลุก มอี ายหุ ลายปี ลำตน้ ตัง้ ตรง มีความสงู ได้ประมาณ 10-20 เซนตเิ มตร หรือสงู กว่า แตกกง่ิ กา้ น หนาแน่น ลำตน้ เปน็ ร่องตามยาว ลำต้นหักงา่ ยคล้ายกับลำต้นที่อวบนำ้ เลก็ นอ้ ย ขยายพนั ธดุ์ ว้ ยวิธกี ารปกั ชำกิ่ง เป็นพรรณไมท้ ี่ มถี ิ่นกำเนดิ ในอเมริกาใตแ้ ละเม็กซโิ ก ตอ่ มาไดร้ ับความนิยมปลูกกันอยา่ งแพร่หลายกระจายไปท่ัวโลก ในประเทศไทยถกู นำเข้า มาขยายพันธป์ุ ลกู ประดับนานแล้ว แตไ่ มไ่ ด้รับความสนใจเท่าทคี่ วร เนื่องจากไม่ทราบว่าเป็นไม้ประดับประเภทไหน ดอก : ออกดอกเปน็ ช่อกระจุกแนน่ รปู ทรงกลมหรอื รูปขอบขนาน โดยจะออกบรเิ วณซอกใบหรอื ปลายกิ่ง กลบี รวมมี 5 กลบี เปน็ สขี าว การปลกู และดูแลรกั ษา : ปลกู ไดด้ ใี นดนิ แทบทกุ ชนดิ แตห่ ากใหเ้ หมาะสมและเจรญิ เตบิ โตดี ควรเป็นดนิ รว่ นปนทราย ดนิ ปลูก หากเปน็ ดนิ ผสมควรเปน็ ดนิ รว่ นปนทรายผสมขเี้ ถา้ แกลบ และปยุ๋ คอกท่ีแห้งดีแล้ว คลกุ เคลา้ ใหเ้ ข้ากนั แล้วนำกิง่ มาปกั ลงดนิ รดน้ำให้ชุ่มในชว่ งแรก ประมาณ 3 วัน เชา้ เยน็ จากน้นั วนั ละคร้ังในชว่ งเยน็ ประโยชน์ : ในประเทศศรีลังกาจะใชผ้ ักเป็ดเป็นอาหารบำรงุ ของแมล่ กู อ่อน เปน็ ผักที่ชว่ ยขับน้ำนม บา้ งว่านำมาใช้ปรุงเป็น อาหารได้ ทัง้ การนำมาชบุ แปง้ ทอดให้กรอบหรอื นำมาใส่แกงเหมือนผกั ชนดิ อ่นื ๆ หรอื ใชเ้ ป็นอาหารสตั ว์ไดด้ ี เพราะมคี ุณคา่ ทางอาหารสงู และย่อยง่ายใช้ปลูกเปน็ ไมป้ ระดับไดด้ ี เพราะมีสสี วย ปลกู งา่ ย ทนทาน เจรญิ เติบโตเรว็ สามารถปลูกทั่วไปได้ การขยายพนั ธุ์ : ต้นผกั เปด็ แดง จดั เปน็ ไม้ล้มลุก มอี ายหุ ลายปี ลำตน้ ตั้งตรง มคี วามสงู ไดป้ ระมาณ 10-20 เซนตเิ มตร หรอื สงู กวา่ แตกกิ่งก้านหนาแนน่ ลำตน้ เปน็ ร่องตามยาว ลำต้นหกั งา่ ยคล้ายกับลำต้นท่อี วบนำ้ เล็กนอ้ ย ขยายพันธ์ดุ ว้ ยวธิ กี ารปักชำกิง่ เป็นพรรณไม้ทม่ี ถี ่นิ กำเนิดในอเมรกิ าใตแ้ ละเมก็ ซโิ ก ต่อมาได้รบั ความนยิ มปลูกกันอยา่ งแพรห่ ลายกระจายไปทว่ั

พันธไุ์ ม้รากสวยงาม 16 ชือ่ : เคราฤาษี ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Tillandsia usneoides L. ถิ่นกำเนิด : ทวปี อเมรกิ าเหนือและใต้ วงศ์ : Bromeliaceae ลำต้น : ลำตน้ ทอดยาวได้ถงึ 30 เมตรและยดื ยาวเรียวเลก็ คลา้ ยเสน้ ดา้ ยใบ : ใบบาง รปู แถบ ยาว 2.5-5 เซนติเมตร ทกุ สว่ นมี ขนเส้นเลก็ ละเอยี ดสีเทาเงนิ ทเ่ี รียกว่า ไทรโคม (trichome) ช่วยสะทอ้ นแสงและเก็บรกั ษาความช้ืน ดอก : ดอกสีมว่ งขนาดเล็ก มกี ล่ินหอมออ่ น ๆ มกั ออกดอกดกในช่วงฤดหู นาว การปลูกและดแู ลรกั ษา : แสงแดดเตม็ วันหรือครึ่งวนั เชา้ น้ำ : ปานกลาง ชอบความชืน้ ในอากาศสงู อากาศถ่ายเทสะดวก การ ขยายพนั ธุ์ : แยกกอ การใช้งานและอน่ื ๆ : ปลกู เป็นไมแ้ ขวนหรือใช้จัดสวนแนวต้ัง ควรแขวนเคราฤาษใี นบรเิ วณทไี่ ด้รบั แสงเตม็ วัน มีลมพัดผา่ น ใหป้ ุย๋ เกลด็ ละลายน้ำเจอื จางเดือนละคร้ัง จะทำใหต้ ้นสมบรู ณ์ แข็งแรง ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้แขวนหรอื ใชจ้ ัดสวนแนวตั้ง ควรแขวนเคราฤาษีในบรเิ วณท่ไี ดร้ ับแสงเตม็ วัน มลี มพดั ผา่ น ให้ป๋ยุ เกลด็ ละลายน้ำเจอื จางเดือนละครงั้ จะทำใหต้ น้ สมบรู ณ์ แขง็ แรง การขยายพันธ์ุ : แยกกอ

17 พนั ธุไ์ ม้ทต่ี ้องการแสงแดด ชอ่ื : ต้นเขม็ อินเดีย ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Pentas lanceolata ถ่ินกำเนิด : เขตร้อนของแอฟรกิ า วงศ์ : RUBIACEAE ลำตน้ : ตน้ ไมพ้ มุ่ สูง 25-50 เซนตเิ มตร มีขนบรเิ วณลำต้นและใบ ดอก : ออกดอกเป็นชอ่ แบบชอ่ กระจุก ตามปลายกิ่งหรือปลายยอด ช่อละ 15-30 ดอก มีหลายสี เชน่ ดอกสีขาว ดอกสชี มพู อ่อน ดอกสแี ดง ดอกสีมว่ ง กลบี เลีย้ ง 5 กลีบ สีเขยี ว กลบี ดอกโคนเชอ่ื มตดิ กนั เปน็ หลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปคล้ายดอก เข็ม ออกดอกตลอดปี การปลกู และดูแลรักษา : ดนิ รว่ น ต้องการน้ำปานกลาง แสงแดดรำไร-แดดจัด ประโยชน์ : ปลูกประดับสวน การขยายพนั ธ์ุ : เพาะเมลด็ ปักชำ

18 พันธุไ์ ม้ที่ตอ้ งการแสงแดด ชอ่ื : โคลงเคลงเล้ือย ช่อื วิทยาศาสตร์ : Heterocentron elegans (Schltdl.) Kuntze ถิ่นกำเนิด : เขตรอ้ นของทวปี แอฟรกิ า วงศ์ : Melastomataceae ลำตน้ : ทกุ สว่ นอวบนำ้ และมีขนปกคลมุ ลำต้นทอดเล้อื ยคลุมดนิ รากออกตามขอ้ กิง่ ก้านสแี ดงเรอื่ ดอก : ดอกเดย่ี ว ออกทซ่ี อกใบปลายยอด สมี ่วงสด กลีบดอกบอบบาง 4 – 5 กลีบ ดอกบานมีเส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง 3 – 5 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี การปลูกและดูแลรักษา : ทำได้ดว้ ยการเพาะเมลด็ ปักชำกิ่ง และตอนกิ่ง โคลงเคลงเลอื้ ยสามารถเจรญิ เตบิ โตได้ดีในดนิ ร่วนที่ มสี ารอาหารอย่อู ยา่ งอุดมสมบรู ณ์ มคี วามเปน็ กรดเล็กน้อย ตอ้ งการความชุม่ ช้นื ในดนิ สงู เป็นพืชที่เตบิ โตเร็ว ตอ้ งการนำ้ ใน ปรมิ าณปานกลาง ชอบแสงแดดแบบเต็มวนั หรือครงึ่ วัน หากปลกู ในที่รม่ จะมลี ำตน้ ทยี่ ดื ยาวและใหด้ อกไดน้ ้อย ประโยชน์ : ปลูกเปน็ ไมค้ ลมุ ดนิ แตด่ อกร่วงงา่ ย ถ้าปลูกในท่ีรม่ ลำตน้ จะยืดยาวและออกดอก การขยายพนั ธ์ุ : ปักชำก่ิง

19 พนั ธไ์ุ มท้ ่ตี ้องการแสงแดด ช่ือ : ลิน้ มังกร ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Dracaena trifasciata ถ่นิ กำเนิด : แอฟรกิ าตะวนั ตก วงศ์ : Asparagaceae ลำตน้ : ลน้ิ มงั กรเป็นไมล้ ม้ ลุก อายุหลายปี มเี หงา้ ทอดเลอ้ื ยไปตามผิวดิน เห็นขอ้ ปลอ้ งชดั เจน ทุกส่วนของตน้ อวบน้ำ เปราะ หักง่าย มีใบเดีย่ ว ออกเวียนสลับรอบต้น หรอื เรยี งสลบั ระนาบเดียว รูปใบมหี ลายแบบ ท้งั รปู ใบหอก รปู แถบกวา้ ง รปู ไข่กลบั รปู ช้อน รูปรี และเปน็ แท่งกลมยาว ขนาดแตกตา่ งกันตัง้ แต่ 3 เซนตเิ มตรจนยาวกว่า 1 เมตร แผน่ ใบหนาอวบนำ้ ขอบใบเรยี บ เป็นสันแข็งหรือเปน็ คล่ืน มสี สี ันและลวดลายแตกตา่ งกนั บางชนดิ มเี สน้ ใยเหนยี วทใ่ี ช้ทำเชือก ดอก : ช่อดอกออกจากซอกกาบใบ มักชสู ูงพ้นพุ่มใบ มีหลายแบบ ทั้งชอ่ เชิงลด (spike) ชอ่ กระจะ (raceme) ช่อกระจะแยก แขนง (racemose panicle) บางชนิดเปน็ ชอ่ กระจุกทโี่ คนต้น แตล่ ะชอ่ มดี อกจำนวนมาก ดอกสีขาวถึงสขี าวอมชมพู มีวงกลบี รวมเชอ่ื มตดิ กันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 กลีบบานจากลา่ งขน้ึ บนในช่วงเย็นถงึ ชว่ งเช้าของวนั รงุ่ ข้นึ และมกี ล่นิ หอม ผลมี เนอ้ื น่มุ เม่ือสุกมีสแี ดงอมส้ม ภายในมี 1 – 2 เมล็ด การปลูกและดูแลรักษา : ควรใชว้ ัสดุปลกู มากกวา่ ดนิ อย่างเดยี ว เลอื กวสั ดุปลกู ทร่ี ะบายน้ำไดด้ ี มีนำ้ หนักเบา กกั เก็บความช้นื ไดด้ ี เช่น ขยุ มะพรา้ ว กาบมะพร้าวสับ ประโยชน์ : ใช้ปลูกเป็นไมป้ ระดบั ไมข้ อบรัว้ หรือตามทางเดนิ ทว่ั ไป การขยายพนั ธ์ุ : ลนิ้ มงั กรเป็นพชื ท่แี ตกหนอ่ ไดจ้ ำนวนมำก จงึ นยิ มขยำยพนั ธดุ์ ว้ ยกำรแยกหนอ่ และอีกวธิ ีหนึ่งท่ไี ดต้ น้ จำนวนมำกคือ กำรปักชำใบ

20 พันธไุ์ ม้ทต่ี อ้ งการแสงแดด ชอื่ : พยบั หมอก ช่ือวิทยาศาสตร์ : Plumbago auriculata Lam. ถิน่ กำเนิด : แอฟรกิ าใต้ วงศ์ : Plumbaginaceae ลำต้น : ตน้ ไมพ้ มุ่ เตยี้ สงู ไดถ้ งึ 1.5 เมตร ลำตน้ แตกกิง่ ก้านเป็นพมุ่ ค่อนข้างโปรง่ ใบ ใบเดยี่ ว เรียงสลบั รปู ไขก่ ลับ ปลายมน ขอบหยกั เลก็ น้อย โคนสอบเรยี ว ผวิ ดา้ นบนสีเขียว ผิวด้านล่างมขี นอ่อน สากระคายมอื ดอก : ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกแน่น ทีป่ ลายกิง่ ดอกสีฟ้าครามถงึ ม่วงออ่ น กลบี เลี้ยง 5 กลีบ สีเขยี ว กลบี ดอกโคนเชื่อมตดิ กัน เป็นหลอดเล็ก ปลายแยกเปน็ 5 แฉก ขอบเรียบ ปลายโค้งมน กลีบนุม่ เกสรเพศเมยี ยาวยืน่ ออกมาแยกเปน็ 5 แฉกเล็ก ๆ ที่ สว่ นปลาย เกสรเพศผรู้ วมเป็นกลมุ่ อยู่ในหลอดกลีบดอก การปลูกและดูแลรกั ษา : ดนิ ร่วน ระบายนำ้ ไดด้ ี ต้องการน้ำปานกลาง แสงแดดจัด ประโยชน์ : ปลกู ลงแปลงประดบั ตกแตง่ สวน ดอกสวยงามในฤดหู นาว การขยายพนั ธ์ุ : ปักชำ ตอนก่งิ

21 พันธ์ไุ มท้ ่ีตอ้ งการแสงแดด ช่อื : นีออน ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Leucopyllum frutescens (Bert.) Johnson ถ่ินกำเนิด : แถบตะวนั ตกเฉยี งใตข้ องสหรัฐอเมรกิ าและเมก็ ซโิ ก วงศ์ : Scrophulariaceae ลำต้น : เปน็ ไมพ้ มุ่ ขนาดกลางลำตน้ แตกกิง่ ก้านจำนวนมาก กิ่งชูตั้งขึน้ ทรงพมุ่ แนน่ ทรงพุ่มสูง 1 - 2 เมตร ลักษณะใบเดี่ยว ผิว ใบด้านบนสเี ขียวอมเทา มผี ิวสัมผสั ใบละเอยี ด ออกเรยี งเวียนสลบั ใบเปน็ รปู ใข่กลับถงึ รูปรีกว้าง 1-1.5 เซนติเมตรยาว 2-2.5 ซม. ปลายใบมน โคนใบสอบ ขอบใบเรยี ว มขี นอ่อนนมุ่ สขี าวปกคลมุ จึงดูคล้ายใบสเี ทา มักบดิ หอ่ ขึ้นเลก็ น้อย ดอกมีสีมว่ งสดถงึ ชมพูอมม่วงแดง ออกดอกเดีย่ วตามซอกใบปลายก่งิ โคนกลีบดอกเปน็ สีม่วงจางโคนกลีบดอกเช่ือมตดิ กนั เป็นหลอด ปลายแยก เป็น 5 แฉก มีขมนมุ่ ขนาดเล็กปกคลุม ดอกบานเต็มทก่ี ว้าง 1-2 ซม. ออกดอกตลอดปี และมักออกดอกพร้อมกันทัง้ ตน้ ดอก : ช่อดอกแบบชอ่ กระจุกแน่น ทปี่ ลายก่งิ ดอกสฟี ้าครามถึงมว่ งอ่อน กลีบเลยี้ ง 5 กลบี สีเขียว กลีบดอกโคนเชอ่ื มตดิ กันเป็น หลอดเลก็ ปลายแยกเปน็ 5 แฉก ขอบเรียบ ปลายโค้งมน กลบี น่มุ เกสรเพศเมยี ยาวยื่นออกมาแยกเปน็ 5 แฉกเลก็ ๆ ที่ส่วน ปลาย เกสรเพศผ้รู วมเปน็ กลมุ่ อยใู่ นหลอดกลบี ดอก การปลกู และดูแลรักษา : ชอบดินร่วนระบายน้ำไดด้ ี ต้องการแสงแดดจา้ เตม็ วันและนำ้ ปานกลาง ประโยชน์ : ปลกู ลงแปลงประดบั ตกแต่งสวน การขยายพนั ธุ์ : โดยการปักชำกงิ่ ของลำต้น หรอื สว่ นยอด และการตอนกิง่

22 พนั ธไุ์ ม้ในร่มหรอื แสงร่ำไร ช่อื : ต้นคลา้ ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ : Schumannianthus dichotomus (Roxb.) Gagnep. ถนิ่ กำเนดิ : ประเทศโบลเิ วยี วงศ์ : Marantaceae ลำตน้ : คล้าจดั เป็นไม้ยนื ตน้ ทมี่ เี นอื้ อ่อน เจรญิ เติบโตเปน็ กอหรอื พุ่ม มอี ายหุ ลายปี ลำตน้ มีทั้งตงั้ ตรงและเลอ้ื ย มีเหง้า (rhizome) หรอื หัว (tuberous) ใต้ดนิ แตกหนอ่ ได้ ใบเปน็ ใบเดย่ี วออกสลับกนั มกั มลี วดลายและสสี ันบนใบสวยงาม โคนต้นมี กาบใบหุม้ ลกั ษณะประจำพืชวงศน์ ี้คอื แผ่นใบสองดา้ นของเสน้ กลางใบไม่เท่ากัน ดอก : ดอกออกเป็นช่อบรเิ วณยอดออ่ นจากซอกกาบใบ ดอกจะออกเปน็ ช่อบริเวณยอดออ่ นจากซอกกาบใบ ดอกจะออกเปน็ คู่ จากกาบรองดอกท่เี รียงซ้อนกันเปน็ แถวในระนาบเดยี วกนั สลับซ้ายขวาจากแกนช่อดอก (distichous) หรืออาจะรยี งสลบั กนั เปน็ วง (spiral) การปลูกและดแู ลรกั ษา : แสง ตอ้ งการแสงแดดรม่ รำไร จนถึงแดดจดั หรือกลางแจ้งนำ้ ต้องการปรมิ าณน้ำปานกลาง ควรให้ น้ำ 3 – 5 วนั / คร้งั ดิน ดินร่วนซยุ ปุย๋ ปุ๋ยคอกหรือปยุ๋ หมกั อัตรา 0.5-1 กิโลกรม/ กอ ใส่ 1 – 2 เดือน/ครั้ง ประโยชน์ : ใชป้ ลกู เปน็ ไม้ประดับในบริเวณบ้านทัว่ ไป ใช้ตกแต่งสวนนำ้ หรือใชป้ ลูกตามสถานทต่ี า่ ง ๆ การขยายพันธุ์ : การปลูกในแปลงปลกู เพอื่ ประดับบริเวณบ้านและสวนขนาดหลุมปลกู 20 x 20 x 20 เซนติเมตรี ใชป้ ยุ๋ คอก หรอื ปยุ๋ หมกั : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดนิ ปลกู โบราณนยิ มปลูกไว้บริเวณรวั้ บ้าน ถา้ ใหส้ วยงามควรปลูกรวมกนั เปน็ กลุ่ม จะ มองเหน็ สวยงามเด่นชดั มากข้นึ

23 พันธ์ุไม้ในรม่ หรือแสงร่ำไร ช่อื : ตน้ สาวน้อยประแป้ง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dieffenbachia sp. ถนิ่ กำเนิด : หมเู กาะอินดสิ ตะวันตก และทวปี อเมริกาใต้ วงศ์ : Araceae ลำตน้ : สาวนอ้ ยประแปง้ มีลำต้นท่วั ไปคลา้ ยกบั แกว้ กาญจนา/เขียวหมื่นปี ลำต้นทรงกลม ต้งั ตรง และอวบน้ำ ผวิ ลำตน้ มสี ี เขยี วสด และเป็นขอ้ ถ่ีที่เป็นวงสขี าวอนั เกิดจากจากรอยแผลของใบ ปลายลำต้นแตกยอดอ่อนของใบทลี ะใบ ทั้งน้ี ต้นสาวนอ้ ย ประแป้งสามารถแตกหนอ่ เปน็ ลำต้นใหม่ที่โคนตน้ ได้ ดอก : ดอกสาวน้อยประแป้งออกเปน็ ชอ่ ที่ปลายยอด คลา้ ยดอกหน้าววั ตัวชอ่ ดอกมกี าบหุ้มสีเขยี วลอ้ มรอบ ดา้ นในกาบหมุ้ บรรจุดว้ ยดอกขนาดเลก็ สขี าวที่เรยี งซ้อนกนั แน่นจำนวนมาก เมื่อดอกบาน กาบหุ้มจะกางออก จนมองเหน็ ช่อดอกที่เป็นรปู ทรงกระบอกยาว การปลูกและดูแลรักษา : สาวน้อยประแป้งสามารถขยายพนั ธุ์ดว้ ยเมลด็ ปกั ชำต้น และการแยกหน่อ แตท่ ่ีนิยมมาก คอื การ ขดุ แยกหนอ่ จากตน้ แม่มาแยกปลกู ประโยชน์ : สาวนอ้ ยประแป้งนอกจากจะปลกู เพ่ือประดับต้น และใบแล้ว ผู้ทน่ี ิยมปลกู ยงั มีความเช่ือว่า เปน็ พรรณไมท้ ่คี อยให้ โชคลาภ ช่วยคมุ้ ครองภัย และชว่ ยใหผ้ ู้ปลูกมอี ายยุ ืนยาว การขยายพันธ์ุ : นยิ มขยายพันธด์ ว้ ยการปักชำตน้ โดยใชล้ ำต้นท่ีแกม่ าตัดเป็นทอ่ นเล็กๆ ยาวประมาณ 2 นวิ้ ใหม้ ีตาติดมาดว้ ย ทกุ ท่อนทต่ี ดั ออกแลว้ วางตามแนวนอนในกระบะสำหรับเพาะชำ รดนำ้ ใหช้ น้ื แตร่ ะวงั อย่าให้แฉะ ไม่ชา้ ไม่นานท่อนชำกจ็ ะแตก ใบพร้อมด้วยราก

24 พนั ธุไ์ ม้ในรม่ หรอื แสงร่ำไร ชอ่ื : วา่ นเขียวหม่ืนปี ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ : Dieffenbachia seguine (Jacq.) Schott ถิ่นกำเนดิ : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนี และ แอฟริกา วงศ์ : ARACEAE ลำต้น : จัดเปน็ พรรณไมล้ ้มลุก ลำตน้ มลี กั ษณะเปน็ ปลอ้ ง ๆ คลา้ ยตน้ อ้อย ลำตน้ อวบนำ้ ตง้ั ตรงมคี วามสูงไดป้ ระมาณ 70 เซนตเิ มตร โคนนนั้ จะมลี ักษณะบาง อาจมโี คนบางส่วนนอนราบกับพื้นดิน สว่ นของต้นนี้จะมีน้ำยางใสเมื่อถูกผิวหนังจะทำให้ เกิดอาการระคายเคอื ง ขยายพนั ธดุ์ ว้ ยวิธกี ารแยกหนอ่ เป็นพรรณไมท้ ่มี ีถ่ินกำเนดิ อยูใ่ นอเมริกาเขตร้อน ดอก : ออกดอกเป็นช่อ เปน็ แทง่ ยาวและมกี าบหมุ้ ตอนล่างของกาบจะมลี กั ษณะม้วนโอบช่อดอกไว้ สว่ นตอนบนของกาบจะ ผายออก ดอกอดั กันแน่นอยบู่ นแกนชอ่ ดอก โดยดอกเพศผจู้ ะอย่ชู ่วงบน สว่ นดอกเพศเมยี จะอยู่ช่วงลา่ ง และจะมดี อกไมม่ ีเพศ แซมอยู่บา้ ง ส่วนเกสรเพศผนู้ ้นั จะอยตู่ ิดกันเป็นกลุ่ม กลมุ่ ละประมาณ 4-5 อัน การปลกู และดูแลรกั ษา : เขียวหม่นื ปเี ป็นพืชทไี่ มต่ อ้ งการนำ้ และแสงแดดมากนัก แคร่ ดน้ำใหห้ นา้ ดนิ ชนื้ พอประมาณกถ็ ือว่า ใช้ได้ และต้ังกระถางในทีท่ ่แี สงแดดสอ่ งถึงบ้างเล็กนอ้ ยก็พอ นอกจากน้คี วรบำรุงตน้ ด้วยการใส่ปุ๋ยคอกละลายนำ้ เดอื นละครง้ั ด้วย ประโยชน์ : ใบนำมาบดใชเ้ ปน็ ยาพอกรกั ษาอาการเคล็ด บวม รกั ษาโรคไขข้ออกั เสบ การขยายพนั ธุ์ : แยกหนอ่ ปกั ชำ เพาะเมล็ด

25 พนั ธุไ์ ม้ในร่มหรือแสงรำ่ ไร ชือ่ : ฟโิ ลใบหวั ใจ ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : PhiloDendron oxycardium ถ่ินกำเนิด : อเมริกาใต้ วงศ์ : ARACEAE ลำตน้ : เป็นไมเ้ ลอ้ื ยตามพื้นดิน บนไมย้ นื ต้น หรอื ตามโขดหนิ สูงไดถ้ ึง 3-6 ม. ดอก : ออกเปน็ ช่อเชิงลดมีกาบ ขนาด 5-6 ซม. สีเขยี วแกมเหลือง ดอกเป็นหมัน การปลูกและดแู ลรกั ษา : ปลกู ไดด้ ใี นดินรว่ นซยุ สว่ นผสมของดินใช้ดนิ รว่ น 2 สว่ น ป๋ยุ หมกั หรอื ปยุ๋ คอก 1 ประโยชน์ : พืชประดับ ตกแตง่ สวน การขยายพันธ์ุ : ขยายพันธโ์ุ ดยใช้ก่งิ ปักชำ

26 พนั ธไ์ุ ม้ในร่มหรือแสงรำ่ ไร ชือ่ : แกว้ กาญจนา ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Aglaonema hybrid ถ่นิ กำเนิด : ทวปี เอเชีย และแอฟรกิ า วงศ์ : Araceae ลำตน้ : ทกุ สว่ นอวบนำ้ เมอื่ อายุมากข้นึ มักทง้ิ ใบลา่ ง เห็นขอ้ และปลอ้ งชดั เจน ดอก : เปน็ ช่อเชิงลด ออกทซี่ อกกาบใบใกล้ปลายยอด มกี าบหมุ้ ช่อดอกอกี ชน้ั หนงึ่ ออกดอกตลอดปี การปลกู และดูแลรักษา : ชอบความชืน้ แตไ่ ม่แฉะหรือมีนำ้ ขัง ปกตคิ วรรดน้ำวันละ 1-2 คร้งั ยกเวน้ ในชว่ งฤดฝู นควรเวน้ ระยะการใหน้ ้ำตามความเหมาะสม และใหป้ ุ๋ยละลายชา้ สตู รเสมอเพอ่ื บำรงุ ต้น ส่วนโรคทีพ่ บบอ่ ย คอื โรคเกย่ี วกับเชอื้ รา โดยเฉพาะโรครากเนา่ โคนเน่า ประโยชน์ : นอกจากความสวยงาม เรายงั เชือ่ กนั ว่าพชื ตัวนี้นบั วา่ เปน็ สมุนไพรชัน้ ดเี ลยทเี ดยี ว เราสามารถเอามาใช้เปน็ ยาได้ หลายรูปแบบอยา่ งเช่น การนำใบมาบดเปน็ ยาแก้ลดบวม อักเสบ ขอ้ เคล็ด ตามร่างกายภายนอก การขยายพนั ธ์ุ : แยกหน่อ ปกั ชำ เพาะเมล็ด และเพาะเลย้ี งเนอ้ื เย่อื

27 พันธุ์ไม้ในรม่ หรอื แสงร่ำไร ชอื่ : เดหลี ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Spathiphyllum cannifolium (Dryand.) Schott. ถนิ่ กำเนดิ : ทวปี อเมริกาใต้ วงศ์ : Araceae ลำตน้ : เดหลี เป็นไมล้ ม้ ลกุ ทมี่ อี ายนุ านหลายปี มลี ำต้นแยกออกเปน็ 2 สว่ น คอื ลำตน้ ส่วนใตด้ ินทเี่ ปน็ หัว และไหล และลำต้น เหนอื ดนิ แตกหน่อจากไหลขึน้ มา โดยลำต้นเหนอื ดินแตกหน่อออกดา้ นข้างทำใหเ้ ป็นกอจนแลดเู ป็นทรงพุ่มขนาดเล็ก ลำตน้ สงู ประมาณ 40 – 70 เซนติเมตร ทง้ั นี้ ทุกสว่ นทง้ั ลำต้น ใบ และดอก เม่ือกรีดจะมนี ำ้ ยางใส ดอก : ดอกเดหลี ออกดอกเป็นชอ่ แทงออกจากยอดของลำตน้ ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ปลายก้านดอกประกอบดว้ ย ใบประดับสีขาวนวล 1 ใบ มีลักษณะเป็นรูปหัวใจสวยงาม โคนใบกว้างเวา้ ตรงกลาง ปลายใบแหลม กวา้ งประมาณ 8-12 เซนติเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร ถัดมาเปน็ ชอ่ ดอกท่มี ลี กั ษณะเป็นแท่งทรงกระบอก ซ่ึงประกอบด้วยดอกย่อยท่ไี มม่ ีกา้ นดอก ขนาดเล็กจำนวนมาก คลา้ ยกบั ไขแ่ มงดานา โดยดอกย่อยแตล่ ะดอกมีสีเหลืองออ่ น ซง่ึ เม่อื บานจะสง่ กล่ินหอมอ่อนๆนาน 8-10 วัน ซ่ึงจะสง่ กลิน่ หอมแรงในช่วงเช้า ท้ังน้ี เดหลจี ะออกดอกได้ตลอดท้งั ปี และออกดอกมากในฤดฝู นตงั้ แตเ่ ดือนพฤษภาคม- กนั ยายน การปลูกและดแู ลรกั ษา : รดนำ้ ควรใหน้ ำ้ เปน็ ประจำทกุ วัน อย่างนอ้ ย 2 วันต่อครงั้ ในปรมิ าณที่เพยี งหนา้ ดนิ ชุม่ – ใสป่ ุ๋ย ควรเนน้ ทปี่ ยุ๋ คอกเปน็ หลกั ให้ 2-3 เดอื น/ครัง้ แตล่ ะครง้ั ให้ 1-2 กำมอื หรืออาจใหร้ ่วมกับปยุ๋ สตู ร 15-15-15 ด้วยการละลาย นำ้ 1 หยิบมอื ในทุกๆปีละ 2 คร้ัง ประโยชน์ : เดหลนี ิยมปลูกเป็นไมป้ ระดบั ต้น และประดบั ดอก เน่ืองจาก ลำต้น และใบมสี ีเขียวเข้ม ใบมีขนาดใหญ่ สว่ นดอก จะมสี ีขาว สามารถให้ดอกไดต้ ลอดทัง้ ปี การขยายพนั ธ์ุ : ปักชำ

28 พันธุไ์ ม้ใบสวย ชอ่ื : โกฐจฬุ า ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Artemisia annua L. ถ่ินกำเนดิ : ประเทศจีน วงศ์ : Compositae ลำต้น : จัดเปน็ ไมล้ ้มลกุ อายปุ เี ดยี วทั้งต้นมีกล่นิ แรง สูงได้ 0.7-2 เมตร ลำต้นอ่อนแตกกง่ิ กา้ นมาก ในเด่ยี วเรยี งเวียน มตี ่อม โปรง่ แสง ใบบริเวณ โคนต้นรูปไขห่ รือรูปสามเหล่ียมแกมรูปไข่ กว้าง 2-6 เซนติเมตร ยาว 3-7 เซนติเมตร ขอบใบหยกั ลกึ แบบ ขนนก 3 หรอื 4 ชัน้ เปน็ 5-8 คู่ แฉกใบจกั ฟนั เล่ือยลกึ รปู สามเหลยี่ ม กวา้ ง ดอก : ชอ่ ดอก แบบช่อแยกแขนง รปู พีระมดิ กวา้ ง ชอ่ ย่อยแบบช่อกระจุกแนน่ รูปกลม มจี ำนวนมาก เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง1.5- 2.5 มิลลิเมตร สเี หลืองถงึ สีเหลอื งเขม้ ก้านชอ่ ย่อยสั้น วงนอกเปน็ ดอกเพศเมีย มี 10-18 ดอก โคนกลบี เชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายจักเป็นซฟ่ี ัน 2 หรือ 3-4 ซี่ ยอดเกสรเพศเมียแหลม ดอกยอ่ ยตรงกลางเปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศมี 10-30 ดอก โคนกลีบเชอื่ ม ตดิ กันเป็นหลอด ปลายจกั ซฟี่ ัน 5 ซ่ี เกสรเพศผมู้ ี 5 อัน อบั เรณเู ชอื่ มตดิ กนั แตล่ ะอนั มรี ยางค์ด้านบน 1 อัน รปู สามเหลย่ี ม ปลายแหลม และมรี ยางคป์ ลายมนท่โี คน 2 อัน การปลกู และดแู ลรกั ษา : เมอื่ เตรยี มแปลงปลูกแลว้ นำตน้ กลา้ อายุ 3 – 4 เดอื น ลงปลูกห่างกันประมาณ 30 เซนตเิ มตร ระหว่างต้น 30 เซนตเิ มตร กลบดนิ แล้วนำไปผูกเชือก รดนำ้ ใหช้ มุ่ ชน้ื อยเู่ สมอ ประโยชน์ : ในตำราสรรพคณุ ยาไทยโบราณระบวุ ่า โกฐจฬุ าลมั พามสี รรพคณุ แก้ \"ไข้เจลยี ง\" (เป็นไข้จบั สนั่ ประเภทหนง่ึ ) แกไ้ ข้ ลดเสมหะ แกห้ ดื แกไ้ อ ใชเ้ ป็นยาขับเหง่ือ การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุด์ ้วยการปักชำ โกฐจฬุ าลมั พาจะปกั ชำโดยการตดั ตน้ ยาว 8 – 10 น้วิ แล้วปักในถุงเพาะชำทผ่ี สม ดินกับขเี้ ถา้ แกลบ เอาไวใ้ นเรือนเพาะชำ รดน้ำใหช้ ่มุ ชนื้ อย่เู สมอประมาณ 10 – 20 วนั จะงอกรากเป็นต้นใหม่ตอ่ ไป

29 พนั ธุไ์ มใ้ บสวย ชอ่ื : หูกระจงแดง ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Terminalia sp. ถิ่นกำเนิด : แอฟริกาตะวันตก วงศ์ : Combretaceae ลำต้น : สูง 3 เมตร ทรงพ่มุ คลา้ ยรูปกรวยควำ่ ลำตน้ แตกก่งิ ก้านเปน็ ช้ัน ดอก : ชอ่ ดอกแบบช่อเชิงลด ออกที่ซอกใบปลายก่ิง ดอกยอ่ ยจำนวนมาก สีขาวนวลหรือขาวอมเหลอื ง เมอื งไทยยงั ไมพ่ บออก ดอก การปลกู และดแู ลรกั ษา : นอกจากจะทำให้สวนของคุณดโู ดดเด่น และแตกตา่ งจากคนอ่ืนแล้ว หูกระจงแดง ยงั สามารถดแู ลได้ ง่ายอีกด้วย ปลกู ไดใ้ นดนิ ทั่วไป ตอ้ งการน้ำปานกลาง 2-3 วัน ครั้ง เหมาะจะปลกู ประดับตามบ้าน สำนกั งาน สวนสาธารณะ และรสี อรท์ ทั่วไป ปลูกได้ทงั้ แบบลงดินและปลกู ลงกระถาง ต้ังประดบั ในทแ่ี จง้ เวลาตน้ สูงใหญไ่ ด้แสงแดดอยา่ งสมำ่ เสมอ สสี นั ของต้นใบ และกิง่ กา้ นจะเขม้ ข้นขน้ึ ดสู วยงาม แปลกตาแต่โดดใจสดุ ๆ ประโยชน์ : ปลกู เปน็ ไม้ประดับ และใช้เปน็ สมนุ ไพร รักษาโรคติดเชื้อทางผวิ หนัง ท้องเสีย ใช้ทำเรือ และเฟอรน์ เิ จอร์ บางครั้ง ใช้ในการปลูกปา่ การขยายพันธ์ุ : ตอนก่งิ

30 พนั ธ์ไุ มใ้ บสวย ชอ่ื : พลแู ฉก/มอนสเตอรา่ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Monstera deliciosa Liebm. ถิน่ กำเนดิ : ทวปี อเมรกิ ากลาง วงศ์ : Araceae ลำตน้ : มีขอ้ สน้ั เลือ้ ยไดไ้ กล 2-4 เมตร ดอก : มักไม่พบช่อดอก การปลกู และดแู ลรกั ษา : ต้องการแสงน้อย อณุ หภูมิ ชอบอณุ หภมู ิ ประมาณ 18 - 24 องศาเซลเซียส ความชน้ื ชอบความชน้ื สูง ดังน้ันหม่นั ฉีดพน่ ละอองนำ้ ให้บอ่ ยๆ เพอื่ ใบจะได้สดชืน่ อยู่เสมอ น้ำ ควรใหน้ ำ้ อาทิตยล์ ะ 1 ครั้ง หรอื อาจตรวจเชค็ ดินกอ่ น การให้นำ้ ทุกครง้ั กไ็ ด้ ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับ รากอากาศถูกใชเ้ ป็นเชือก ในเม็กซิโก รากอากาศถกู ใชท้ ำตะกร้า ใบและรากมสี รรพคณุ บรรเทาอาการข้ออักเสบ ในมาร์ตนิ ีก ใช้สำหรับรกั ษาโรคงูกดั ในโคลัมเบยี มกั ถกู ใช้เป็นพืชประดบั การขยายพันธ์ุ : ปกั ชำยอด

31 พนั ธุ์ไมใ้ บสวย ช่ือ : หอมเจด็ ช้ัน ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Tarenna wallichii (Hook.f.) Ridl. ถ่ินกำเนิด : ทวีปอเมรกิ ากลาง วงศ์ : Rubiaceae ลำต้น : แตกก่งิ ยอดจำนวนมาก กงิ่ เปราะ เปลือกต้นสดี ำ มใี บเฉพาะที่ปลายยอด ดอก : ชอ่ ดอกสีขาวนวลหรอื ขาวอมเหลอื ง ออกเป็นช่อใหญท่ ป่ี ลายกงิ่ มดี อกย่อยจำนวนมากคลา้ ยดอกเข็ม โคนกลบี เช่ือม ตดิ กนั เป็นหลอด ปลายแยกเปน็ 5 กลบี เส้นผ่านศูนยก์ ลางดอก 1 เซนตเิ มตร ดอกบานพรอ้ มกนั ท้งั ชอ่ นาน 2 – 3 วนั แล้วโรย สง่ กล่นิ หอมแรงตลอดวนั ออกดอกช่วงเดอื นตลุ าคม – กมุ ภาพันธ์ หากปลูกในพ้นื ทที่ ่มี ีความชน้ื ตลอดปี จะทยอยออกดอก ในชว่ งอน่ื ๆ ได้ การปลกู และดแู ลรักษา : ดินร่วนซยุ ตอ้ งการน้ำปานกลาง แสงแดดจัด ประโยชน์ : ใชป้ ลูกประดบั แปลง ใหก้ ล่ินหอม การขยายพันธุ์ : ปักชำกิ่ง ตอนก่ิง

32 พันธไ์ุ ม้ใบสวย ช่ือ : เศรษฐพี ันลา้ น ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Kalanchoe hybrid ถนิ่ กำเนิด : เกาะมาดากสั การ์ วงศ์ : Crassulaceae ลำต้น : รูปไขแ่ กมรปู ใบหอก กว้าง 2.5 – 3 เซนตเิ มตร ยาว 10 – 15 เซนตเิ มตร ปลายใบแหลม คนใบสอบ ขอบใบหยักมนมี ตาพิเศษท่เี กิดเปน็ ต้นเลก็ ๆ ตามขอบใบจำนวนมาก แผน่ ใบหนา ตั้งขนึ้ สเี ขยี วอมฟ้า ก้านใบสีเขียว เมอื่ ต้นสมบรู ณเ์ ต็มทจ่ี ะผลิ ชอ่ ดอก ดอก : ออกเป็นช่อดอกแยกแขนง ออกทซี่ อกใบใกล้ปลายยอดชตู ั้งขนึ้ ดอกยอ่ ยจำนวนมากรูประฆงั คว่ำ สีสม้ ปลาย การปลกู และดูแลรักษา : ต้องการปรมิ าณแสงแดดปานกลาง ขึ้นอยูก่ ับอายุของต้นไม้ บ้างกท็ นแดดได้คร่งึ วนั บ้างก็ทนแดดได้ เตม็ วัน ดังนั้นจึงควรปลูกในตำแหน่งทีม่ รี ่มเงาบดบงั ในชว่ งบา่ ย หรือปลกู ในลกั ษณะท่ีเคล่ือนย้ายได้ ประโยชน์ : เปน็ ไม้อวบน้ำทไ่ี ด้รบั ความนิยมในชว่ งไม่กสี่ บิ ปที ่ีผ่านมา ขยายพันธง์ุ ่ายจึงเปน็ พชื ทพี่ บได้ทว่ั ไป เช่ือกันว่า ถ้า ปลกู ไว้จะรำ่ รวย ทำมาคา้ ข้นึ การขยายพันธุ์ : ปกั ชำใบ โดยแยกต้นเล็กทีเ่ จรญิ จากขอบใบมาปลกู ได้

33 พันธ์ไุ มด้ อกสวย ชือ่ : ลำดวนแดง ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Melodorum fruticosum Lour. ถิ่นกำเนิด : ประเทศไทย วงศ์ : Annonaceae ลำตน้ : เปลอื กตน้ สีนำ้ ตาลเขม้ ก่ิงแกส่ ดี ำและเหนยี วมาก ดอก : ดอก ออกเป็นดอกเด่ยี วตามซอกใบ มกี ลีบดอก 2 ชนั้ ๆละ 3 กลบี ทรงรี ปลายกลีบแหลมมีต่งิ เลก็ นอ้ ย สแี ดงอมชมพสู ่ง กล่ินหอมนานในยามเยน็ และกลางคนื การปลกู และดูแลรักษา : ควรปลกู ไวใ้ นบริเวณทีไ่ ดร้ ับแสงแดดเตม็ ท่ี กลางแจ้ง หรือ ในบรเิ วณท่ไี ดร้ บั แสงแดดครึง่ วัน หรอื สามารถปลกู ในบรเิ วณร่มรำไรกไ็ ดแ้ ต่จะออกดอกน้อยกว่าต้นทไ่ี ด้รับแสงแดดเตม็ ท่ี ประโยชน์ : ดอกแห้งมสี รรพคณุ เปน็ ยาบำรุงกำลัง บำรุงโลหติ บำรงุ หวั ใจ แก้ลมวิงเวียน แก้ไข้ บรรเทาอาการไอ การขยายพนั ธุ์ : การตอนกิ่ง ทาบกง่ิ หรอื เสยี บยอด

34 พนั ธไ์ุ ม้ดอกสวย ช่อื : สายน้ำผึง้ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Lonicera japonica Thunb. ถนิ่ กำเนิด : เอเชยี ตะวันออก วงศ์ : Annonaceae ลำต้น : เล้อื ยไดไ้ กล 2 – 3 เมตร ลำตน้ แขง็ และเหนยี ว มีขนนมุ่ ปกคลมุ ดอก : ออกเปน็ ชอ่ กระจกุ ตามซอกใบ มี 5-15 ดอก ดอกเป็นหลอด กลบี ดอกบานวันแรกสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลอื งจน เหลืองเข้ม โคนเชอื่ มตดิ กันเปน็ หลอด ปลายแยกเปน็ 2 ส่วน สว่ นบนมี 1 กลีบ ส่วนลา่ ง 4 กลีบ มกี ลน่ิ หอม ออกดอกตลอดปี ดอกดกเดือนมนี าคม การปลูกและดูแลรกั ษา : สายนำ้ ผงึ้ เปน็ ไมก้ ลางแจง้ ทไ่ี มช่ อบแสงแดดจดั มาก ต้องการนำ้ ปานกลาง ที่ไมถ่ ึงกบั แฉะ และ พยายามอยา่ รดให้มากเกนิ ไป เพราะจะไปทำลายระบบรากทำให้รากเนา่ ตายได้ ประโยชน์ : ตามตำราการแพทย์แผนจนี ระบวุ า่ มีรสอมหวานและเยน็ มีฤทธผิ์ ่อนคลายและกระจายความรอ้ น แก้หวดั อันเกดิ จากการกระทบลมร้อน ชว่ ยขับพิษ แก้บดิ ถ่ายบิดเป็นมูกเลือด แกแ้ ผลฝี แผลเปอื่ ย บวม แกส้ ตรที ี่มอี าการตกเลือด อาเจียน เปน็ เลือด และมีเลอื ดกำเดาไหล การขยายพนั ธ์ุ : ปักชำและตอนกง่ิ

35 พันธุไ์ ม้ดอกสวย ชอ่ื : พุดเศรษฐสี ยาม ชือ่ วิทยาศาสตร์ Tabernaemontana pachysiphon Stapf ถ่นิ กำเนิด : บราซลิ ฝรัง่ เศส กอิ านา วงศ์ : Apocynaceae ลำตน้ : ทกุ สว่ นมีนำ้ ยางสขี าว ดอก : ดอกเดย่ี ว สีขาว ออกใกล้ปลายยอด โคนกลีบสเี หลืองเช่อื มตดิ กันเปน็ หลอด ปลายแยกเป็น 5 กลบี บดิ เวยี นคลา้ ย กงั หัน ดอกบานมเี สน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 8 – 10 เซนติเมตร ดอกบานสองวนั แลว้ โรย สง่ กลิน่ หอมออ่ นๆ ตลอดวัน ออกดอกตลอด ปี การปลกู และดูแลรกั ษา : เป็นไมช้ อบดินร่วนและแดดจดั ไม่ชอบนำ้ ท่วม ขังอย่างเดด็ ขาด หลงั ปลกู รดนำ้ พอชมุ่ เชา้ เยน็ ปยุ๋ ท่ี ต้นพุดเศรษฐสี ยามช่นื ชอบ ได้แก่ ขีว้ วั หรอื ขค้ี วายแห้ง หรือ ปุย๋ ขี้ค้างคาวโรยเดือนละครั้ง จะมดี อกดกไม่ขาดตน้ ประโยชน์ : ออกดอกตลอดปี ลำตน้ และใบสวยงาม ใช้ในการประดบั และตกแต่งสวนและสนามได้ดี การขยายพันธุ์ : เสยี บยอด ถ้าใชพ้ ุดกุหลาบเป็นตน้ ตอจะเจรญิ เติบโตไดด้ ี

36 พนั ธ์ุไมด้ อกสวย ชือ่ : มณฑาทิพย์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Talauma candellei ถนิ่ กำเนดิ : เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ วงศ์ : Magnoliaceae ลำตน้ : ลกั ษณะเป็นพ่มุ ผวิ เปลอื กลำต้นเรยี บสีเทา ลำต้นสูงประ มาณ 4-10 เมตร ลำตน้ แตกกง่ิ กา้ นสาขานอ้ ย ใบขนาดใหญ่ มสี เี ขยี ว ลกั ษณะใบเปน็ รปู มนรี ขอบใบขนานตัว ใบเปน็ คลืน่ เล็กนอ้ ย ดอกแตกออกตามง่ามใบ หรือสว่ นยอดของลำตน้ กลบี ดอกแข็งหนา มีกลีบดอก 3 กลบี ซอ้ นกนั เป็นชนั้ ลักษณะคลา้ ยดอกลำดวน ดอกเลก็ สเี หลอื งมีกลน่ิ หอมไปไกล ดอก : ดอกเดี่ยว สีขาว ออกใกลป้ ลายยอด โคนกลบี สเี หลืองเช่ือมตดิ กนั เป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ บิดเวียนคล้ากงั หนั ดอกบานมเี ส้นผ่านศูนย์กลาง 8 – 10 เซนติเมตร ดอกบานสองวันแล้วโรย สง่ กลนิ่ หอมอ่อนๆ ตลอดวนั ออกดอกตลอดปี การปลูกและดูแลรกั ษา : มณฑาทพิ ย์เปน็ ไมด้ อก แต่ก็ไมช่ อบแดดจดั เหมือนไมด้ อกชนิดอื่นๆ สภาพแสงที่ชอบมากทีส่ ุดก็คือ แดดออ่ นในช่วงเช้า แดดรำไรหรือแดดเช้า ระยะหา่ งประมาณ 2-3 เมตร/ตน้ ส่วนดินปลกู จะชอบดินรว่ น ระบายนำ้ ดี แตเ่ ก็บ สะสมความชืน้ ไดส้ ูง รดน้ำสปั ดาหล์ ะครั้ง แต่ถา้ ดินแห้งมากอาจตอ้ งรดให้บอ่ ยขน้ึ สว่ นการใสป่ ุ๋ยถา้ เปน็ ปยุ๋ คอก ควรใสป่ ีละ 3- 5 ครั้ง ประโยชน์ : ปลกู เป็นไม้ประดบั ไมด้ อกหอม การขยายพนั ธุ์ : เพาะเมลด็ ตอนก่ิง ทาบก่ิง

37 พนั ธไ์ุ มด้ อกสวย ชือ่ : แย้มปนี ัง ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ Strophanthus gratus (Wall. & Hook.) Baill. ถน่ิ กำเนดิ : แอฟริกาและเอเชีย วงศ์ : APOCYNACEAE ลำตน้ : ทกุ สว่ นมนี ้ำยางสขี าว เปลอื กหนาสนี ำ้ ตาลเข้ม ดอก ออกเป็นชอ่ กระจกุ ทป่ี ลายกงิ่ ดอกยอ่ ย 5 – 10ดอก รปู กรวยตืน้ กลบี เล้ยี งสีเขยี วอมแดงกลบี ดอกสชี มพอู มม่วง โคนกลบี สีชมพูอ่อนปนเหลอื ง ขอบกลีบบดิ โค้ง รอบปากหลอดมีรยางค์เป็นเสน้ สีมว่ งอมชมพู 10 – 12 เสน้ ดอกบานมเี ส้นผา่ น ศนู ย์กลาง 4 – 5 เซนติเมตรชอ่ ดอกทยอยบานและบานอยนู่ านหลายวนั สง่ กล่นิ หอมออ่ นๆ ตลอดวนั ออกดอกตลอดปี การปลูกและดแู ลรักษา : มณฑาทิพยเ์ ปน็ ไมด้ อก แตก่ ไ็ ม่ชอบแดดจัดเหมือนไมด้ อกชนิดอน่ื ๆ สภาพแสงทช่ี อบมากท่สี ดุ กค็ ือ แดดออ่ นในช่วงเชา้ แดดรำไรหรือแดดเชา้ ระยะหา่ งประมาณ 2-3 เมตร/ตน้ สว่ นดนิ ปลกู จะชอบดินรว่ น ระบายนำ้ ดี แต่เก็บ สะสมความช้ืนได้สงู รดนำ้ สปั ดาหล์ ะคร้งั แตถ่ า้ ดินแหง้ มากอาจต้องรดให้บอ่ ยขน้ึ สว่ นการใส่ป๋ยุ ถา้ เปน็ ป๋ยุ คอก ควรใสป่ ีละ 3- 5 คร้ัง ประโยชน์ : ดินร่วนซยุ ระบายน้ำดี ตอ้ งการนำ้ น้อย แสงแดดจดั การขยายพนั ธ์ุ : เพาะเมล็ด ตอนก่งิ และปกั ชำ

38 การขยายพันธุ์ เพาะเมลด็ การใชป้ ระโยชน์ นิยมปลูกเปน็ ไม้ประดับ ไมต้ ดั ดอก ข้อคิดในการเลอื กพรรณไม้ จดั สวนประดบั 1. พรรณไม้ประเภทไมช้ า เชน่ หปู ลาชอ่ น ชบาด่าง ลน้ิ กระบอื เขม็ เชยี งใหม่ เข็มพิษณุโลก ฯลฯ ควรเลอื กใช้ ตน้ ขนาด เลก็ (ถุงชาขนาด 3” x 5” ) จะดีกว่าใชต้ น้ ใหญท่ ี่บรรจอุ ยู่ในถุงดา ดังนี้ 1.1 ราคาต่อต้นจะถกู 1.2 ขนส่งไดจ้ านวนมาก 1.3 ขณะขนสง่ จะบอบช้านอ้ ย 1.4 หลังปลูกเสรจ็ ยอดและใบจะถกู ขลบิ เลม็ ออกเพยี งเลก็ น้อย 1.5 สามารถบงั คบั ทรงพมุ่ หลงั ปลกู ไดด้ ีกว่า 2. เลอื กพรรณไม้ทเ่ี จรญิ เตบิ โตได้ดี ไมต่ ้องดูแลรักษาเป็นพเิ ศษ เช่นไมต่ ้องฉดี ยาหรือต้องรือ้ ปลกู บอ่ ยๆ 3. พรรณไม้ที่ใชป้ ลูกนอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว ควรให้ประโยชน์อยา่ งอื่นได้อกี ด้วย เชน่ ปรกิ กหุ ลาบ ปรง หมาก เหลืองซ่งึ สามารถใช้ดอกและใบประดับแจกนั หรือทาพวงหรีดได้ 4. ในการจดั สวนบางแห่ง เช่น โรงเรยี นเด็กเล็ก ต้องหลกี เล่ียงการใช้พรรณไมท้ ่เี ป็นพษิ หรอื อาจเป็นอันตราย ได้ เชน่ ลา โพง เขม็ กดุ ่นั อากาเว่ กระบองเพชร ฝ่นิ มะพรา้ ว

39 เว็บไซต์ท่ีใชข้ ้อมูลศกึ ษา https://home.kapook.com/view231204.html https://www.naibann.com/10-low-light-needed-houseplants/ https://www.baanlaesuan.com/25555/diy/10-sunshine-plants https://rpplant.royalparkrajapruek.org/Display/details_fn/4859 https://www.naibann.com/10-low-light-needed-houseplants/ https://www.baanlaesuan.com/216906/plant-scoop/30-hit-plant


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook