รปู แบบการเขียนบรรณานกุ รม การเขียนบรรณานุกรมมีหลากหลายรูปแบบ ในท่ีน้ีขอยึดตาม แบบที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานปี 2551 ซ่ึงอาจแตกต่างจากระบบ APA 6th edition ตรง ปีพิมพ์ ไม่ต้อง ใส่วงเล็บ การเว้นวรรค หรือการย่อหน้าเม่ือข้ึนบรรทัดใหม่ ซ่ึงครูจะต้อง อธบิ ายความแตกต่างนใี้ หน้ กั เรยี นเขา้ ใจ
รปู แบบการเขียนบรรณานกุ รม หนงั สอื เล่ม ใหร้ ะบุ ผู้แต่ง. ปีพมิ พ์. ชอ่ื เร่อื ง. คร้ังทพ่ี มิ พ์. เมืองทพ่ี มิ พ:์ สานกั พิมพ.์ ตวั อย่าง ลมุล รตั ตากร. 2539. การใช้หอ้ งสมดุ . พมิ พค์ รัง้ ที่ 8. กรุงเทพฯ: สวุ ีริยาสาสน์ . พวา พนั ธุ์เมฆา. 2541. สารนิเทศกบั การศกึ ษาค้นคว้า. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 8. กรุงเทพฯ: ภาควิชาบรรณารกั ษศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนคริ นทรวิโรฒ ประสานมติ ร.
รปู แบบการเขยี นบรรณานกุ รม นติ ยสารหรือวารสาร ใหร้ ะบุ ผเู้ ขียนบทความ. ปพี มิ พ์, วนั , เดือน, “ช่ือบทความ.”ชือ่ วารสาร. ปีท่ี (ฉบับที่) : หน้าที่อ้าง. สรงชล. (นามแฝง). 2540, สิงหาคม. “หนงั สือดี 100 เลม่ ในรอบศตวรรษ.” วารสารวฒั นธรรมไทย. 35(11): 12-16. สันต์ หตั ถรี ตั น์. 2541, ธันวาคม. “การดแู ลผปู้ ว่ ยทหี่ มดหวงั .”หมอชาวบ้าน. 20 (236): 14-16.
รปู แบบการเขยี นบรรณานกุ รม หนงั สอื พมิ พ์ ใหร้ ะบุ ผู้เขียน. ปีพิมพ,์ วันท่ี เดอื น. “ชอ่ื บทความ.”ชือ่ หนังสอื พิมพ.์ หนา้ ท่ีอ้างองิ . สุพิศ สจุ นิ ตะกูล. 2541, 23 พฤศจกิ ายน.“โอเปคทมี่ าเลเซยี ใครได้-ใครเสยี ”. บ้านเมอื ง. หนา้ 5. ในกรณที ไี่ ม่ปรากฏรายการชื่อผแู้ ต่ง ให้ใส่ชอื่ บทความไวใ้ นตาแหน่งรายการชอ่ื ผู้ แต่งดงั นี้ “พาดหัวขา่ ว.” ปที ่พี มิ พ,์ วัน เดือน. ช่ือหนังสอื พิมพ.์ หนา้ ทอ่ี ้าง. ตวั อยา่ ง “เกินคาด 24 ทองไทยผงาดที่ 4 อชก. .” (2541. 20 ธันวาคม”. สยาม กฬี า. หนา้ 1, 18.
รปู แบบการเขยี นบรรณานกุ รม อนิ เทอรเ์ น็ต ใหร้ ะบุ ผู้แต่ง. ปีท่ีสืบคน้ . ช่อื เรื่อง. (ออนไลน์). แหลง่ ท่มี า: ชือ่ ย่อยของแหลง่ ทม่ี า. วัน เดือน ปีที่สืบคน้ . พัชรา แสงศรี. 2547. จังหวดั เชยี งใหม่. (ออนไลน์). แหลง่ ทม่ี า: http://travel.mweb.co.th/north/ Chiangmai/index.html.12 มกราคม 2547. เรวตั ิ แสงสรุ ิยงค์. 2542. คนอนิ โดจีน. วารสารมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั บูรพา. (ออนไลน)์ . 6 (6) เข้าถึงไดจ้ าก: http:/www .husobuu.ac.th/~ journal/vol.0606/ section9.pdf. (วนั ทีค่ น้ ขอ้ มลู : 5 กุมภาพนั ธ์ 2552).
หลกั เกณฑก์ ารเขยี นบรรณานกุ รม 1. เขยี นคาว่าบรรณานุกรมไว้กลางหนา้ กระดาษ 2. เม่อื เรม่ิ ตน้ เขียนให้ชดิ ขอบกระดาษท่เี วน้ ไว้ประมาณ 11/2นิว้ หาก บรรทัดเดียวไมจ่ บบรรทัดทดั ไปใหย้ อ่ เข้ามา 7 ช่วงตวั อกั ษร 3. เม่ือรวบรวมแหล่งสารนเิ ทศที่อ้างอิงไวค้ รบถ้วนท้ังหมดแลว้ ให้นามา เรยี งลาดับตามตัวอักษรของรายการแรกโดยเรยี งตามแบบพจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานโดยเรยี งลาดับเอกสารอา้ งองิ ที่เป็นภาษาไทยก่อน แลว้ จงึ ตามดว้ ยภาษาอังกฤษ
7. การเขยี นสว่ นประกอบอนื่ ๆ ข้ันตอนสุดท้ายของการทารายงานการค้นคว้า คือการเขียน ส่วนประกอบอื่นๆ นอกเหนือจากส่วนที่เขียนมาแล้ว ได้แก่ ส่วนประกอบตอนต้น อันประกอบด้วย ปกนอก หน้าปกใน คา นา สารบัญ และส่วนประกอบตอนท้าย นอกเหนือจาก บรรณานุกรม เช่น ภาคผนวก จากน้ันก็เขียนหรือพิมพ์ ตรวจทานแก้ไข แลว้ เย็บเล่มเป็นรายงานฉบบั สมบรู ณ์
7. การเขยี นส่วนประกอบอนื่ ๆ สว่ นประกอบของการเขียนรายงานทางวิชาการ รายงานเชิงวิชาการมีส่วนประกอบที่สาคัญ ๓ ส่วน คือ ส่วนนา สว่ นเนือ้ เรอื่ ง และส่วนท้าย มีรายละเอียดดังน้ี ๑. ส่วนนา ประกอบดว้ ย ๑.๑ ปกนอก คือ สว่ นที่เป็นปกหุ้มรายงานท้ังหมด มีทั้งปก หน้า และปกหลังกระดาษที่ใช้เป็นปกควรเป็นกระดาษแข็ง พอสมควร สีใดกไ็ ด้ ขอ้ ความทีป่ รากฏบนปกนอก ประกอบดว้ ย
7. การเขียนสว่ นประกอบอน่ื ๆ 1) ช่ือเร่ืองของรายงาน อยูห่ ่างจากขอบบนของหน้ากระดาษลงมาประมาณ 1.5 - 2 นิว้ โดยใหอ้ ยู่ก่ึงกลางกระดาษพอดี 2) ช่ือ – นามสกุลของผู้จัดทาอยู่ก่ึงกลางหน้ากระดาษถ้าเป็นรายงานกลุ่ม ให้ใส่ชอื่ ทุกคน โดยเรยี งลาดับตามตัวอกั ษร 3) ชั้น – เลขท่ี ขอให้เขียนแบบเป็นทางการ เช่น ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ... หอ้ ง เลขท่ี โดยให้อยู่ก่ึงกลางหนา้ กระดาษตอ่ จากช่อื -นามสกลุ ของผจู้ ดั ทา 4) ส่วนล่างของหน้าปก ประกอบด้วย ช่ือรายวิชา , ช่ือโรงเรียน หรือ สถาบัน,ภาคการศึกษา ปกี ารศึกษา ควรห่างจากขอบล่าง 1.5 – 2 นิ้ว (บางคร้งั หลายคนอาจเอาชือ่ โรงเรียนไวก้ อ่ นภาคการศึกษากถ็ ือว่าไม่ผิด)
7. การเขยี นสว่ นประกอบอน่ื ๆ ตวั อย่างหนา้ ปก
7. การเขียนส่วนประกอบอนื่ ๆ ๑.๒ ใบรองปก คือ กระดาษเปลา่ ๑ แผน่ อยู่ต่อจากปกนอก เพ่ือความสวยงาม และเป็นเครอื่ งชว่ ยป้องกนั ไมใ่ ห้เสียหายถงึ ปกใน หากปกฉกี ขาดเสยี หายไป ๑.๓ ปกใน คือ ส่วนท่ีอยู่ต่อจากปกนอก นิยมเขียนเหมือนปกนอกแต่ใช้ กระดาษขาวหรอื กระดาษรายงาน ๑.๔ คานา คือ ส่วนท่ีอยู่ถัดจากหน้าปกใน ผู้เขียนรายงานเป็นผู้เขียนเอง โดย กล่าวถึงวัตถุประสงค์ และขอบเขตของรายงาน อาจรวมถึงปัญหา อุปสรรคใน การศึกษาค้นคว้าทารายงาน ตลอดจนคาขอบคุณผู้ท่ีให้ความช่วยเหลือในการ รวบรวมข้อมูล หรือการเขียนรายงาน (ถ้ามี) ให้ลงท้ายด้วยชื่อผู้จัดทารายงาน หากมหี ลายคนให้ลงว่าคณะผู้จัดทา และลงวันที่กากับ
7. การเขียนสว่ นประกอบอนื่ ๆ ๑.๕ สารบัญ คือ ส่วนท่ีอยู่ต่อจากหน้าคานา ในหน้าสารบัญจะมีลักษณะ คล้ายโครงเรื่องของรายงาน ทาให้ผู้อ่านได้ทราบว่า ขอบเขตเน้ือหาของ รายงานครอบคลุมเร่ืองใดบ้าง ในหน้านี้ให้เขียนคาว่า สารบัญไว้กลางหน้า ข้อความในหน้าสารบัญจะเร่ิมต้นจากคานา หัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง และหัวข้อ ยอ่ ย ซงึ่ เป็นหัวขอ้ สาคญั ๆ ของรายงาน เรยี งตามลาดับเร่ือง และท้ายสดุ เป็น รายการอ้างอิงที่ใช้ประกอบการเรียบเรียงรายงาน ข้อความในหน้าสารบัญ ควรเขียนห่างจากขอบซ้ายของหน้ากระดาษประมาณ ๑.๕ น้ิว และด้านขวา จะมีเลขหน้าแจ้งให้ทราบว่าแต่ละหัวข้อเร่ิมจากหน้าใด หน้าสารบัญควร จัดทาเม่ือเขียนรายงานเสร็จแล้ว เพ่ือจะได้ทราบว่าแต่ละหัวข้อเร่ิมจากหน้า ใดบา้ ง
7. การเขยี นสว่ นประกอบอนื่ ๆ ๒. ส่วนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนท่ีสาคัญที่สุดของรายงาน ผลงานการศึกษา ค้นควา้ จะนามาเสนอตามโครงเร่ืองทไี่ ด้กาหนดไว้ โดยก่อนเรม่ิ ต้น ควรมี การเกร่ินเร่ือง และจบเน้ือเร่ืองด้วยบทสรุป เนื้อหาท่ีเขียนนั้นจะต้อง เขียนอย่างมีหลักเกณฑ์ หรืออ้างอิงหลักวิชา แสดงความคิดท่ีเฉยี บแหลม และลึกซง้ึ
7. การเขียนสว่ นประกอบอน่ื ๆ - การเขียนบทนา (Introduction) เป็นส่ิงแรกที่จะทาให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับความคิดและกลวิธี การเขียนของผู้เขียน มีส่วนอย่างสาคัญในการจุดประกายความสนใจของผู้อ่านให้อยากติดตาม อ่านต่อไป ถ้าบทนาไม่น่าสนใจ สับสน หรือคลุมเครือผู้อ่านจะไม่รู้สึกอยากอ่านดังน้ันบทนาจึง ต้องชัดแจ้ง น่าอ่าน และกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านต้ังแต่แรกเร่ิมของบทนิพนธ์บทนาอาจเป็น แค่เพยี งยอ่ หน้าเดียวหรอื ทั้งบทก็ได้โดยท่ัวไปแล้วความยาวของรายงานการค้นคว้ามีผลต่อความ ยาวของบทนา รายงานฉบบั เล็กๆ อาจจะมีความนาท่ีเรียบเรียงอย่างน่าอ่านเพียงหน่ึงย่อหน้าที่ เรียกวา่ ย่อหน้านาในขณะที่ภาคนิพนธเ์ รื่องยาวๆ อาจจะมีบทนาแยกต่างหากหน่ึงบทสาหรบั บท นาที่แยกเป็นบทจะจัดอยู่ในบทที่ 1 โดยเขียนแบบเดียวกับบทอื่นๆ คือกลางหน้ากระดาษ บรรทัดแรกเขียน “บทที่ 1” และบรรทัดถัดลงมาใช้ชื่อบทว่า “บทนา” หรืออาจใช้ช่ือบทเป็น อย่างอื่นตามความเหมาะสม ในกรณีที่เขียนบทนาอย่างสั้นแต่เนื้อหาอ่ืนๆ แบ่งเป็นบทอาจใช้ หัวขอ้ ว่า “บท” หรอื “ความนา” โดยไม่ต้องมีคาว่า บทที่ เนื้อความท่ีเรยี บเรยี งลงในบทนาเป็น การปูพ้ืนให้ผู้อ่านเข้าใจความเป็นมาของเรื่อง ความมุ่งหมายและขอบเขตของเร่ืองหรือสภาพ ปัญหาทต่ี ้องการนาเสนอ หรอื ความบันดาลใจของเรื่องทง้ั น้ีเพือ่ เป็นการนาผอู้ ่านเข้าสู่เน้ือเรอ่ื งให้ ผอู้ ่านมองเหน็ ภาพรวมของเน้ือเร่อื งทง้ั หมด
7. การเขียนสว่ นประกอบอน่ื ๆ - การเขียนส่วนเนื้อหา เป็นส่วนที่เสนอเรื่องราวสาระท้ังหมดของรายงานการ ค้นคว้า การนาเสนอเน้ือหาอาจแบ่งเป็นบทหรือเป็นตอนเพ่ือให้ผู้อ่านได้เห็น ประเด็นสาคัญของเนื้อหาตามลาดับและต่อเน่ืองกัน ส่วนการจะแบ่งเป็นบทหรือ เป็นตอน หรือเป็นหัวข้ออย่างไรและมีจานวนมากน้อยเท่าใดนั้นข้ึนอยู่กับลกั ษณะ ขอบเขต และความสั้นยาวของเน้ือเรื่องถ้าเป็นรายงานการค้นคว้าขนาดสั้นไม่ จาเป็นต้องแบ่งเป็นบทหรือตอนก็ได้เพียงแต่แบ่งตามหัวข้อสาคัญๆ ของเน้ือเร่ือง ใหเ้ หมาะสมแตถ่ า้ เป็นภาคนิพนธข์ นาดยาวควรแบง่ เปน็ บทหรอื ตอนให้ชัดเจน
7. การเขยี นสว่ นประกอบอนื่ ๆ - บทสรุปหรือสรุปคือส่วนท่ีเขียนย้าหรือเน้นประเด็นสาคัญของเน้ือหา หรือสรุปผลของการศึกษาค้นคว้า เช่นเดียวกับท่ีบทนาเป็นความสาคัญขั้น แรกในการชักจูงให้ผู้อ่านสนใจติดตามเน้ือเร่ือง บทสรุปก็มีบทบาทสาคัญ ในการทาให้ผู้อ่านจับประเด็นของเน้ือเรื่องท่ีได้อ่านไปท้ังหมด บทสรุปจะ อยู่ตอนท้ายของเนื้อเร่ือง อาจแยกเป็นบทตากหากหรือเป็นเพียงย่อหน้า ทา้ ยๆ ของเรอื่ ง
7. การเขียนส่วนประกอบอนื่ ๆ ๓. สว่ นท้าย เปน็ ส่วนทที่ าใหร้ ายงานนา่ เชื่อถอื และสมบูรณ์ ประกอบด้วย เมื่อพิมพ์หรือเขียนรายงานเสร็จ จึงทบทวนและเข้าเล่มรายงานโดยเรียง ตามลาดับ ดังนี้ 1. ปกนอก 7. สารบัญภาพ (ถา้ มี) 2. ใบรองปก 8. เนือ้ เรื่อง โดยเรม่ิ ตามโครงเรอื่ งท่ีวางไว้ 3. ปกใน 9. บรรณานกุ รม 4. คานา 10. ภาคผนวก (ถ้ามี) 5. สารบัญ 11. ใบรองปก 6. สารบัญตาราง (ถา้ มี) 12. ปกหลัง
ลกั ษณะของรายงานเชงิ วิชาการ ทดี่ ี 1. มีการนาหลักการและ/หรือทฤษฎีมาใช้อย่างเหมาะสมเนื่องจากใน การศึกษาค้นคว้า จะต้องมีการวิเคราะห์เนื้อหา โดยมีหลักการหรือ ทฤษฎีมารองรับอย่างเหมาะสม หลักการหรือทฤษฎีดังกล่าวควรเป็นท่ี ยอมรับในแวดวงสาขาวิชาการน้ันๆ พอควรและตรงกับเร่ืองท่ีศึกษา ค้นคว้า 2. มีการแสดงความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์อย่างเหมาะสม เช่น เสนอ แนวทางการแก้ปัญหาท่ีไม่เคยมีผู้ทามาก่อน หรือเคยมีผู้ทาแต่ไม่ชัดเจน เพยี งพอ
ลกั ษณะของรายงานเชงิ วชิ าการ ทด่ี ี 3. ความสมบูรณ์และความถูกต้องของเนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระต้อง สมบูรณ์ตามชื่อเร่ืองที่กาหนด และถูกต้องในข้อเท็จจริง การอ้างอิงที่มา หรือแหล่งค้นคว้าต้องถูกต้องเพื่อแสดงจรรยามารยาทของผู้เขียน และ เป็นแหล่งชี้แนะให้ผู้สนใจได้ติดตามศึกษาค้นคว้าต่อไป การค้นคว้าควร ศกึ ษามาจากหลายแหลง่ 4. ความชัดเจนของการเขียนรายงานจะต้องมีความชัดเจนในด้านลาดับ การเสนอเร่ืองมีความสามารถในการใช้ภาษา และการนาเสนอตาราง แผนภูมิ/ภาพประกอบทั้งน้ีเพ่ือให้การนาเสนอเนื้อหาชัดเจน เข้าใจง่าย เป็นระเบียบไม่ซา้ ซ้อนสับสน
การใชภ้ าษาในการเขียนรายงานเชิงวชิ าการ 1. ควรใชภ้ าษาหรือสานวนโวหารเปน็ ของตนเองที่เข้าใจงา่ ยและถูกต้อง 2. ใช้ประโยคสัน้ ๆ ใหไ้ ดใ้ จความชัดเจน สมบรู ณ์ ตรงไปตรงมาไมว่ กวน 3. ใชภ้ าษาทเ่ี ป็นทางการไมใ่ ช้ภาษาพดู คาผวน คาแสลง อกั ษรย่อ คายอ่ 4. ใชค้ าท่มี คี วามหมายชัดเจน ละเว้นการใชภ้ าษาฟุม่ เฟอื ย การเล่นสานวน 5. ระมัดระวงั ในเร่อื งการสะกดคา การแบ่งวรรคตอน
การใชภ้ าษาในการเขียนรายงานเชิงวชิ าการ 6. ระมัดระวังการแยกคาด้วยเหตุท่ีเนื้อท่ีในบรรทัดไม่พอหรือหมดเน้ือ ท่ีในหน้าที่น้ันเสียก่อน เช่น ไม่แยกคาว่า “ละเอียด” ออกเป็น “ละ” ในบรรทดั หนง่ึ ส่วน “ละเอียด” อยูอ่ ีกบรรทดั ต่อไปหรอื หน้าตอ่ ไป 7. ใหเ้ ขยี นเปน็ ภาษาไทยไมต่ ้องมีคาภาษาอังกฤษกากับ ถ้าเป็นคาใหม่ หรือศพั ท์วชิ าการในการเขยี นครงั้ แรกใหก้ ากับภาษาองั กฤษไวใ้ นวงเลบ็ คร้งั ต่อๆ ไปไม่ต้องกากบั ภาษาองั กฤษ
Search