- 48 - K knowledge ความรู้ U understanding ความเขา้ ใจ S skill ทกั ษะ ความชานาญ ความคล่องแคล่ว A attitude ทัศนคติ การให้คุณคา่ ความชอบ B behavior พฤติกรรม กจิ กรรมการเรยี นรู้ / กจิ กรรมการอบรม 1. การบรรยายให้ความรหู้ ลักสูตรโค้ชเพือ่ การรคู้ ิดตา้ นทจุ รติ 2. การยกตัวอยา่ งและวิเคราะหก์ รณีศกึ ษา 3. การทากิจกรรมกลุม่ 4. การอภปิ รายกลมุ่ 5. การฝึกทดลองปฏบิ ัติการภาคสนาม สอื่ / แหลง่ การเรียนรู้ 1. เอกสารประกอบการบรรยาย 2. สอื่ การเรียนรู้อิเล็กทรอนกิ ส์ 3. วิทยากรผูท้ รงคณุ วุฒิ และปราชญ์ชาวบ้านผนู้ าชุมชน การวดั และประเมนิ ผล 1. ร้อยละผลการทดสอบและวดั ประเมนิ ผลก่อนและหลังการเรียนรูก้ ่อนและหลังบทเรียน (Pre & Post Test) 2. รอ้ ยละของจานวนชวั่ โมงท่ีเขา้ รบั การอบรม 3. การผ่านการฝึกทดลองปฏิบตั ิการภาคสนาม ขอ้ เสนอแนะ การปรบั ตัวของโค้ชในฐานะผนู้ าการเปลี่ยนแปลงตอ้ งมีการปฏิบตั ิตนเป็นแบบอย่างและฝนื กระแสปฏิบัติ ของสงั คมที่ปฏบิ ัตไิ มถ่ กู ตอ้ งตามกันมา ดังน้ันโคช้ พึงเปน็ บุคคลทีต่ ้องมีความเขม้ แข็งทางจิตใจและการปฏิบัติตนให้ ถูกต้อง เพ่ือเป็นแบบอย่างแก่สังคมและเป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นสู่สังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต ท้ังน้ี หน่วยงานทผ่ี ลติ โค้ชพึงใหข้ อ้ เสนอแนะ ข้อแนะนา และการสนับสนุนแก่โค้ช เพื่อลดความรู้สึกของความโดดเด่ียวท่ี โคช้ ไดร้ บั และสนบั สนุนการทางานของโค้ชให้สาเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์ของหลกั สตู ร
- 49 - โค้ชเพ่ือการรู้คิดต้านทุจริต วิชาท่ี 1.3 : เรอ่ื ง เรยี นรูผ้ ู้เรียน จานวนชั่วโมง : 3 ชว่ั โมง สาระสาคัญ การสร้างโค้ชที่มีความสามารถและทักษะในการเรียนการสอนด้วยเทคนิคและวิธีการท่ีเหมาะสม เพอ่ื เปน็ ตัวแทนของสานักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับเร่ืองค่านิยมการต้าน ทุจริตไปสู่ผู้เรียน จะช่วยให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้ และเห็นความสาคัญของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน อันจะ นาไปสู่การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและเกิดค่านิยมต้านทุจริต “ช่วยกันสร้างชุมชน/สังคมดีให้กับบ้านเมือง สง่ ต่ออนาคตทดี่ ีใหล้ กู หลานอยา่ งยัง่ ยนื ” วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื สรา้ งโคช้ ดา้ นการรู้คดิ ตา้ นทุจรติ 2. เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้สอนเกี่ยวกับบทบาทในการเป็นโค้ชให้กับผู้เรียน โดยสามารถกระตุ้นการ รู้คิดอย่างตอ่ เนือ่ ง เพอื่ ดงึ ศกั ยภาพของผู้เรียน 3. เพื่อเพม่ิ พูนทกั ษะของผสู้ อนให้สามารถนานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เป็นส่ือในการเรียน การสอนได้อยา่ งเหมาะสม รายละเอียดเน้ือหา โดยธรรมชาติของผู้เรียนยอ่ มมีความแตกต่างกัน ท้ังด้านจิตใจ อารมณ์ สติปัญญา ความสนใจ ความเชื่อ รวมถงึ ประสบการณ์ในแต่ละบุคคลด้วย การโค้ชเพ่ือการรู้คิดต้านทุจริตน้ัน โค้ชจึงจาเป็นต้องเรียนรู้ธรรมชาติของ ผเู้ รยี นในแตล่ ะประเภท และสามารถนาเทคนคิ วธิ ตี ลอดจนเคร่อื งมือต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสมและสามารถถ่ายทอด การร้คู ิดตา้ นทจุ รติ ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพสูงสดุ โดยรายละเอียดเนือ้ หาของหลักการเรียนรู้ผู้เรียน ประกอบด้วย 2 หัวข้อ ดงั น้ี 1. เรยี นร้ผู ้เู รียนด้วยจริต 6 การโค้ชเป็นกระบวนการท่ีจะต้องให้ความสาคัญกับท้ังโค้ชและผู้เรียน ซ่ึงการดึงศักยภาพของผู้เรียนให้ เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรู้คิดต้านทุจริตน้ัน เป็นผลมาจากการสังเกตและเรียนรู้ผู้เรียนเป็นสาคัญ การนาเอา หลักจริต 6 มาใช้ในการกาหนดประเภทและอธิบายลักษณะของผู้เรียน จะช่วยให้โค้ชสามารถเลือกวิธีการท่ี เหมาะสมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ผ่านตัวแทนของสัตว์ที่มีลักษณะนิสัยต่างๆ ท้ัง 6 ลักษณะ เพื่อให้สามารถ นาไปใชไ้ ดเ้ ปน็ การท่วั ไปและง่ายต่อการเขา้ ใจ 2. เรียนรู้ผเู้ รยี นตาม Generation ในปัจจุบัน หน่วยงานหรือองค์การต่างๆ ได้ให้ความสาคัญ เรื่อง Generation มากข้ึน การแบ่งกลุ่มคน ตามช่วงอายุ ตาม Generation จะเป็นการอธิบายว่า Generation คืออะไร มีพฤติกรรมและความสนใจในสิ่ง ใดบ้าง เพอื่ ให้เป็นเครอ่ื งมอื สาหรับการโคช้ ในการทาความเข้าใจและปรับใชเ้ ทคนิคให้เหมาะสมกับผ้เู รยี น กจิ กรรมการเรียนรู้ / กจิ กรรมการอบรม 1. การบรรยายให้ความรู้หลกั สตู รโค้ชเพ่อื การรคู้ ดิ ตา้ นทุจรติ 2. การวิเคราะห์กรณีศกึ ษา การทากจิ กรรมกลมุ่ การอภิปรายกลุ่ม 3. การถอดบทเรียน (lesson - learned)
- 50 - สื่อ / แหลง่ การเรียนรู้ เอกสารประกอบการบรรยาย ชุดฝกึ ทักษะการเรยี นรู้ บทเรียนสาเรจ็ รูปแบบสอ่ื ผสม เกมส์ การต์ นู นทิ าน ฯลฯ การวดั และประเมินผล 1. ร้อยละผลการทดสอบและวัดประเมินผลก่อนและหลังการเรียนร้กู ่อนและหลังบทเรยี น (Pre & Post Test) 2. รอ้ ยละของจานวนชั่วโมงทเี่ ขา้ รบั การอบรม 3. การผา่ นการฝกึ ทดลองปฏบิ ตั ิการภาคสนาม ขอ้ เสนอแนะ การปรับตัวของโค้ชในฐานะผู้นาการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างและฝืนกระแส ปฏบิ ัติของสังคมท่ีปฏบิ ัตไิ มถ่ ูกต้องตามกันมา ดงั น้ันโค้ชพงึ เปน็ บุคคลทตี่ ้องมคี วามเข้มแข็งทางจิตใจและการปฏิบัติ ตนให้ถกู ตอ้ ง เพ่อื เป็นแบบอยา่ งแก่สงั คมและเป็นผู้นาการเปล่ียนแปลงให้เกิดข้ึนสู่สังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต ท้ังนี้ หนว่ ยงานทผ่ี ลติ โค้ชพึงใหข้ อ้ เสนอแนะ ข้อแนะนา และการสนบั สนนุ แกโ่ คช้ เพอ่ื ลดความรู้สึกของความโดดเด่ียวที่ โค้ชได้รับ และสนบั สนุนการทางานของโค้ชให้สาเร็จตามวัตถปุ ระสงคข์ องหลักสูตร
- 51 - โคช้ เพ่อื การรคู้ ดิ ตา้ นทจุ รติ วชิ าท่ี 1.4 : เรื่อง เทคนคิ สาคัญในการโคช้ จานวนชั่วโมง : 3 ชั่วโมง สาระสาคญั การสร้างโค้ชท่ีมีความสามารถและทักษะในการเรียนการสอนด้วยเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสม เพือ่ เป็นตวั แทนของสานักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์เก่ียวกับเร่ืองค่านิยมการต้าน ทุจริตไปสู่ผู้เรียน จะช่วยให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้ และเห็นความสาคัญของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน อันจะ นาไปสู่การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและเกิดค่านิยมต้านทุจริต “ช่วยกันสร้างชุมชน/สังคมดีให้กับบ้านเมือง ส่งตอ่ อนาคตทด่ี ใี หล้ ูกหลานอยา่ งย่งั ยืน” วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ สร้างโค้ชดา้ นการร้คู ดิ ตา้ นทุจริต 2. เพ่ือพัฒนาศักยภาพของผู้สอนเก่ียวกับบทบาทในการเป็นโค้ชให้กับผู้เรียน โดยสามารถกระตุ้นการ รู้คดิ อยา่ งต่อเนื่อง เพอ่ื ดงึ ศกั ยภาพของผูเ้ รียน 3. เพือ่ เพ่มิ พูนทกั ษะของผูส้ อนให้สามารถนานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อในการเรียน การสอนได้อยา่ งเหมาะสม รายละเอียดเนอ้ื หา แนวคิดหลักการโค้ชเพ่ือการรู้คิดเพื่อการต่อต้านการทุจริต ประกอบด้วยรายละเอียดเน้ือหาหลัก 5 ประการ ดงั น้ี 1. การสื่อสารเชงิ บวก (positive communication) การใช้การส่ือสารเชิงบวก ในระหว่างการสะท้อนผลการประเมินไปสู่ผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดแรง บนั ดาลใจ และความมุ่งม่ันในการพัฒนาตนเอง 2. คาถามทท่ี รงพลัง (power questions) คาถามท่ีทรงพลัง เป็นคาถามกระตุ้นการคิด และนาไปสู่การเรียนรู้ เป็นคาถามท่ีสอดคล้องกับ จุดม่งุ หมายของการเรียนรู้ เป็นคาถามแบบเปิด การตง้ั ใจฟัง เปิดโอกาสรบั ฟงั รอคอยการรบั ฟังอยา่ งจริงจัง 3. การสะท้อนคิด (reflection) การสะท้อนคิด หมายถึง การให้ผู้เรียนคิดไตร่ตรอง ทบทวน (reflective thinking) พิจารณาส่ิงต่างๆ อยา่ งรอบคอบมีเหตผุ ล ดว้ ยสติและปญั ญา เป็นวิธีการทบทวนประสบการณ์จากการปฏิบัติของตนเอง เพ่ือนาไปสู่ การเรยี นรู้ การสรา้ งความรู้ การคน้ พบจดุ เด่น และจุดทต่ี อ้ งปรับปรุงแก้ไข เกิดการพฒั นาอยา่ งต่อเน่ือง 4. การเรียนร้ยู คุ ใหม่ด้วยการนานวตั กรรมมาใชใ้ นการโค้ช นวัตกรรม (innovation) เป็นการนาความเปล่ียนแปลงใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเป็นแนวคิด แนวทาง ระบบ รูปแบบ วิธีการ กระบวนการสื่อและเทคนิคต่างๆ ที่นามาใช้ เพื่อเป็นตัวกลางหรือช่องทางในการถ่ายทอด องค์ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากแหล่งความรู้ไปสู่ผู้เรียน ทาให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองท่ีเรียน ได้กระจ่างชัดเจนย่ิงขึ้น อันจะนาไปสู่การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและเกิดค่านิยมต้านทุจริต อาทิ ชุดการเรียนการ สอน ชุดฝึกทกั ษะการเรยี นรู้ บทเรียนสาเรจ็ รปู แบบสือ่ ผสม เกมส์ การต์ นู นิทาน หนังสอื อ่านเพิม่ เติม
- 52 - 5. การถอดบทเรียน (lesson - learned) การถอดบทเรียน (lesson - learned) เป็นวิธีการหน่ึงของการจัดการความรู้ โดยเป็นกระบวนการ ดงึ เอาความร้จู ากการทางานออกมาใชเ้ ปน็ ทนุ ในการทางานเพ่อื ยกระดับให้ดยี ่งิ ขน้ึ การถอดบทเรียนจึงเป็นการสกัด ความรู้ท่ีมีอยู่ในตัวคนออกมาเป็นบทเรียน และเกิดการเรียนรู้ร่วมกันของผู้ร่วมกระบวนการ ซึ่งผลท่ีได้จากการ ถอดบทเรียน ทาให้ได้บทเรียนในรูปแบบชุดความรู้ท่ีเป็นรูปธรรม และเกิดการเรียนรู้ร่วมกันของผู้เข้าร่วม กระบวนการอนั นามาซ่งึ การปรับวธิ ีคิดและเปล่ียนแปลงวธิ กี ารทางานทสี่ รา้ งสรรค์มพี ลงั และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น กจิ กรรมการเรียนรู้ / กิจกรรมการอบรม 1. การบรรยายให้ความรู้หลักสตู รโคช้ เพือ่ การรู้คดิ ต้านทจุ รติ 2. การวเิ คราะหก์ รณศี ึกษา การทากิจกรรมกลุม่ การอภปิ รายกล่มุ 3. การถอดบทเรยี น (lesson - learned) ส่ือ / แหลง่ การเรียนรู้ เอกสารประกอบการบรรยาย ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ บทเรียนสาเร็จรูปแบบส่ือผสม เกมส์ การ์ตูน นิทาน ฯลฯ การวัดและประเมินผล 1. ร้อยละผลการทดสอบและวัดประเมนิ ผลก่อนและหลังการเรียนรู้ก่อนและหลังบทเรียน (Pre & Post Test) 2. ร้อยละของจานวนชั่วโมงทเ่ี ข้ารับการอบรม 3. การผ่านการฝึกทดลองปฏบิ ัตกิ ารภาคสนาม ข้อเสนอแนะ การปรับตัวของโค้ชในฐานะผู้นาการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างและฝืนกระแส ปฏบิ ตั ขิ องสังคมที่ปฏบิ ตั ิไม่ถกู ตอ้ งตามกันมา ดังนั้นโคช้ พึงเปน็ บคุ คลทตี่ ้องมคี วามเข้มแข็งทางจิตใจและการปฏิบัติ ตนให้ถกู ตอ้ ง เพือ่ เปน็ แบบอย่างแก่สังคมและเป็นผู้นาการเปล่ียนแปลงให้เกิดข้ึนสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ทั้งนี้ หน่วยงานที่ผลิตโค้ชพงึ ให้ข้อเสนอแนะ ขอ้ แนะนา และการสนบั สนนุ แก่โค้ช เพอ่ื ลดความรู้สึกของความโดดเด่ียวที่ โคช้ ได้รับ และสนบั สนนุ การทางานของโค้ชให้สาเร็จตามวตั ถุประสงค์ของหลกั สตู ร
- 53 - โค้ชเพือ่ การร้คู ิดตา้ นทุจรติ วชิ าที่ 1.5 : เรอื่ ง การประเมนิ ผลการเรียนรู้ทเ่ี สริมพลังต้านทจุ รติ จานวนชว่ั โมง : 3 ชวั่ โมง สาระสาคญั การสร้างโค้ชท่ีมีความสามารถและทักษะในการเรียนการสอนด้วยเทคนิคและวิธีการ ท่ีเหมาะสม เพื่อเปน็ ตัวแทนของสานักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์เก่ียวกับเร่ืองค่านิยมการต้าน ทุจริตไปสู่ผู้เรียน จะช่วยให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้ และเห็นความสาคัญของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน อันจะ นาไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเกิดค่านิยมต้านทุจริต “ช่วยกันสร้างชุมชน/สังคมดีให้กับบ้านเมือง ส่งต่ออนาคตทีด่ ีใหล้ กู หลานอยา่ งยั่งยืน” วัตถุประสงค์ 1. เพอ่ื สรา้ งโค้ชด้านการรู้คดิ ต้านทุจรติ 2. เพ่ือพัฒนาศักยภาพของผู้สอนเก่ียวกับบทบาทในการเป็นโค้ชให้กับผู้เรียน โดยสามารถกระตุ้นการ รคู้ ิดอย่างตอ่ เน่อื ง เพื่อดึงศักยภาพของผู้เรยี น 3. เพ่อื เพม่ิ พูนทักษะของผู้สอนให้สามารถนานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เป็นส่ือในการเรียน การสอนไดอ้ ย่างเหมาะสม รายละเอยี ดเนอ้ื หา หลักการประเมินผลการเรียนรู้ท่ีเสริมพลังต้านทุจริต คือ วิธีการวัด และประเมินผลตามสภาพจริง (authentic assessment) มีหลักการ 4 ข้อ ดงั นี้ 1) ใช้ผู้ประเมนิ หลายๆ ฝ่าย เชน่ ผูเ้ รยี น เพ่อื น ตนเอง ผู้ปกครอง ผู้เก่ียวข้อง 2) ใชว้ ิธีการและเครอื่ งมอื หลายๆ ชนิด เชน่ การสังเกต การปฏบิ ตั ิจริง การทดสอบ 3) วัดและประเมินหลายๆ คร้ัง ในช่วงเวลาการเรียนรู้ ได้แก่ ก่อนเรียน ระหว่างเรียน หลังเรียน ตดิ ตามผล 4) สะท้อนผลการประเมินสู่การปรบั ปรุงและพัฒนา ผ้เู รียน รวมท้งั การจัดการเรยี นการสอนอย่างตอ่ เน่อื ง กิจกรรมการเรียนรู้ / กิจกรรมการอบรม 1. การบรรยายให้ความรหู้ ลักสูตรโคช้ เพ่อื การรูค้ ิดตา้ นทุจรติ 2. การยกตัวอย่างและวิเคราะหก์ รณศี ึกษา 3. การทากิจกรรมกล่มุ 4. การอภิปรายกลุม่ 5. การฝึกทดลองปฏิบตั ิการภาคสนาม ส่อื / แหลง่ การเรียนรู้ 1. เอกสารประกอบการบรรยาย 2. สือ่ การเรียนร้อู ิเล็กทรอนิกส์ 3. วทิ ยากรผทู้ รงคุณวฒุ ิ และปราชญช์ าวบา้ นผู้นาชุมชน
- 54 - การวดั และประเมินผล 1. ร้อยละผลการทดสอบและวัดประเมนิ ผลก่อนและหลงั การเรียนรู้กอ่ นและหลังบทเรียน (Pre & Post Test) 2. ร้อยละของจานวนชว่ั โมงทเ่ี ขา้ รบั การอบรม 3. การผา่ นการฝึกทดลองปฏบิ ตั ิการภาคสนาม ขอ้ เสนอแนะ การปรับตัวของโค้ชในฐานะผู้นาการเปล่ียนแปลง ต้องมีการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างและฝืนกระแส ปฏิบตั ขิ องสงั คมทป่ี ฏบิ ัตไิ มถ่ ูกต้องตามกันมา ดังนน้ั โคช้ พึงเปน็ บุคคลท่ีต้องมคี วามเข้มแข็งทางจิตใจและการปฏิบัติ ตนใหถ้ กู ตอ้ ง เพ่อื เปน็ แบบอยา่ งแก่สังคมและเป็นผู้นาการเปลยี่ นแปลงใหเ้ กดิ ข้ึนส่สู ังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต ท้ังนี้ หนว่ ยงานท่ผี ลิตโคช้ พงึ ให้ข้อเสนอแนะ ข้อแนะนา และการสนับสนนุ แก่โคช้ เพื่อลดความรู้สึกของความโดดเดี่ยวท่ี โคช้ ได้รบั และสนับสนุนการทางานของโคช้ ให้สาเรจ็ ตามวัตถุประสงคข์ องหลกั สูตร
- 55 - (5) ระยะเวลาหลักสตู ร 3 วนั 2 คืน (6) ส่ือการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ เอกสารประกอบการบรรยาย สื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนกิ ส์ วิทยากรผู้ทรงคุณวฒุ แิ ละปราชญ์ชาวบานผู้นา ชมุ ชน ชดุ ฝึกทักษะการเรยี นรู บทเรียนสาเรจ็ รปู แบบส่ือผสม เกมส์ การต์ นู นิทาน ฯลฯ (7) การวดั และประเมินผล (7.1) ร้อยละผลการทดสอบและวัดประเมินผลก่อนและหลังการเรียนรูก้ ่อนและหลังบทเรียน (Per & Post Test) (7.2) รอ้ ยละของจานวนชั่วโมงทเ่ี ข้ารับการอบรม (7.3) การผา่ นการฝกึ ทดลองปฏิบตั กิ ารภาคสนาม (8) การทดลองใช้ (8.1) สานักงาน ป.ป.ช. โดยสานักป้องกันการทุจริตภาคประชาสังคมและการพัฒนาเครือข่าย ได้นาไปใช้ในโครงการ STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต ระหว่างวันที่ 13-15 พ.ย. 60 ณ โรงแรมเดอะ ทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพมหานคร โดยเป็นการอบรมให้ความรู้กับเจ้าหน้าท่ีของสานักงาน ป.ป.ช. ประจาจังหวัด 27 จังหวัด ที่ต้องดาเนินโครงการ STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต ซ่ึงจะต้องจัดตั้งชมรม STRONG ข้ึนมา และคัดเลือก สมาชิกชมรมเพ่ือเป็นตัวแทนของสานักงาน ป.ป.ช. ในการจัดทากิจกรรมป้องกันการทุจริตและขยายผลภายใน จงั หวดั ผู้เขา้ ร่วมจานวน 72 คน (8.2) สานักงาน ป.ป.ช. ได้นาไปใช้ในการจัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทาธรรมนูญชมรมจิต พอเพยี งต้านทุจริต แผนงานระยะยาว และแผนประจาปี ภายใต้โครงการ STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต ระหว่าง วนั ที่ 14 - 17 มกราคม 2561 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนช่ัน กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ผลักดนั การป้องกันการทจุ รติ เชงิ รุกด้วยการสรา้ งเสรมิ ใหบ้ คุ คลและชมุ ชนมจี ติ พอเพียงตา้ นทจุ ริตด้วยกรอบแนวคิด STRONG จนสามารถพฒั นาเปน็ วัฒนธรรมต้านทุจริต เพ่ือปลูกฝัง STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริตแก่ประชาชน ในระดับจังหวัด ปรับฐานคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม สร้างจิตสานึกความอายใน การกระทาการทุจริต และไม่ทนต่อการทุจริตแก่ประชาชนในระดับจังหวัด เพ่ือป้องกันการทุจริตเชิงรุกผ่าน กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน และยกระดับการรับรู้การทุจริตของชุมชน สังคม และประเทศชาติผ่าน กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยกิจกรรมดังกล่าวน้ีมีกลุ่มเป้าหมายทั้งส้ิน 314 คน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ของสานักงาน ป.ป.ช. ประจาภาค 9 ภาค เจ้าหน้าท่ีของสานักงาน ป.ป.ช. ประจาจังหวัด 27 จังหวัด ที่ต้องดาเนินโครงการ STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และโค้ช STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต จาก 27 จังหวดั ๆ ละ 10 คน
- 56 - 5 แนวทางการนาหลักสตู รตา้ นทุจริตศกึ ษา (Anti-Corruption Education) ไปใช้ 1) หลกั สูตรการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน (1) เปดิ รายวิชาเพิ่มเตมิ (2) บรู ณาการเรยี นการสอนกบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (3) บูรณาารเรยี นการสอนกบั กลมุ่ กลุ่มสาระอนื่ ๆ (4) จัดในกจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น (5) จัดเปน็ กจิ กรรมเสรมิ หลกั สูตร (6) บรู ณาการกับวิถีชวี ติ ในโรงเรยี น โดยให้สถานศกึ ษาเปน็ ผู้พจิ ารณาว่าจะดาเนนิ การในแนวทางใด 2) หลักสตู รอุดมศึกษา (1) จัดทาเป็น 1 รายวิชา จานวน 3 หน่วยกติ (2) จัดทาเป็นหน่วยการเรียนรู้ โดยอาจารย์ผู้สอนสามารถนาเน้ือหาในหน่วยการเรียนรู้ต่างๆ ไปปรับ/ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นรายวชิ าของตนเอง (3) จัดทาเป็นวชิ าเลือก 3) หลักสูตรกลุ่มทหารและตารวจ สอดแทรกในการฝกึ อบรม (1) ทหาร (หลักสูตรตามแนวทางรบั ราชการและหลกั สูตรเพิ่มพูนความรู้) (2) ตารวจ (หลกั สตู รฝึกอบรมท่เี ลื่อนตาแหน่งสูงขน้ึ และหลกั สูตรฝกึ อบรมอื่นๆ) 4) หลกั สตู รวิทยากร ป.ป.ช. / บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (1) ใช้ฝึกอบรมให้กบั บุคลากรของสานกั งาน ป.ป.ช. (2) ใชฝ้ กึ อบรมให้กับบุคลากรภาครัฐและพนักงานรัฐวสิ าหกิจ (3) บูรณาการกบั หลักสตู รฝกึ อบรมในระดบั ต่างๆ ของสานกั งาน ก.พ. 5) หลักสูตรโคช้ (1) ใชฝ้ ึกอบรมใหก้ ับเจา้ หน้าท่ีของสานกั งาน ป.ป.ช. เพือ่ ไปขยายผลสร้างโค้ชให้กับสมาชิกชมรม STRONG : จิตพอเพยี งตา้ นทุจรติ ในแตล่ ะจงั หวดั (2) ใชฝ้ ึกอบรมใหก้ บั โค้ช STRONG : จติ พอเพียงต้านทุจริต (3) ใช้ฝึกอบรมให้กบั บุคลากรภาครฐั
- 57 - 6 เนื้อหาโดยสงั เขป (6.1) การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม 1. ทฤษฎี ความหมาย และรูปแบบของการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม (conflict of interest) คาว่า conflict of Interest มีผู้ให้คาแปลเป็นภาษาไทยไว้หลากหลาย เช่น “การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “การ ขัดกันระหว่างผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์ส่วนตน” หรือ “ประโยชน์ทับซ้อน” หรือ “ผลประโยชน์ ทับซ้อน” หรือ “ผลประโยชน์ขัดกัน” หรือบางท่านแปลว่า “ผลประโยชน์ขัดแย้ง” หรือ “ความขัดแย้งทาง ผลประโยชน์” การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม หรือท่ีเรียกว่า Conflict of Interest น้ันก็มี ลักษณะทานองเดียวกันกับกฎศีลธรรม ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี หลักคุณธรรม จริยธรรม กล่าวคือ การ กระทาใดๆ ที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม เป็นส่ิงท่ีควรหลีกเลี่ยงไม่ควรจะ กระทา แต่บุคคลแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละสังคม อาจเห็นว่าเร่ืองใดเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับ ประโยชน์ส่วนรวมแตกต่างกันไป หรือเม่ือเห็นว่าเป็นการขัดกันแล้วยังอาจมีระดับของความหนักเบาแตกต่างกัน อาจเหน็ แตกตา่ งกันว่าเรือ่ งใดกระทาไดก้ ระทาไม่ได้แตกต่างกันออกไปอีก และในกรณีท่ีมีการฝ่าฝืนบางเรื่องบางคน อาจเห็นว่าไม่เป็นไร เป็นเรื่องเล็กน้อย หรืออาจเห็นเป็นเรอื่ งใหญ่ ตอ้ งถกู ประณาม ตาหนิ ติฉิน นินทา ว่ากล่าว ฯลฯ แตกต่างกันตามสภาพของสังคม คมู่ อื การปฏบิ ตั สิ าหรบั เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อมิให้ดาเนินกิจการท่ีเป็นการขัดกันระหว่างประโยชนส่วนตน และประโยชน์ส่วนรวม ตามมาตรา 100 แห่งกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการ ทจุ รติ ได้ใหค้ วามหมายไวด้ ังน้ี “ประโยชน์ส่วนตน (private interest) คือ การที่บุคคลท่ัวไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ในสถานะเอกชนไดท้ ากิจกรรมหรอื ได้กระทาการต่างๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว เครือญาติ พวกพ้อง หรือ ของกลุม่ ในสังคมทมี่ ีความสมั พันธก์ ันในรปู แบบต่างๆ เช่น การประกอบอาชพี การทาธุรกิจ การค้า การลงทุน เพื่อ หาประโยชน์ในทางการเงินหรือในทางธุรกจิ เป็นต้น” “ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ (public interest) คือ การท่ีบุคคลใดๆ ในสถานะท่ีเป็น เจ้าหนา้ ทข่ี องรฐั (ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ พนกั งานรัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐในหน่วยงาน ของรัฐ) ได้กระทาการใดๆ ตามหน้าที่หรือได้ปฏิบัติหน้าท่ีอันเป็นการดาเนินการในอีกส่วนหน่ึงท่ีแยกออกมาจาก การดาเนินการตามหน้าที่ในสถานะของเอกชน การกระทาการใดๆ ตามหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ีของรัฐจึงมี วัตถุประสงค์หรือมีเป้าหมายเพ่ือประโยชน์ของส่วนรวม หรือการรักษาประโยชน์ส่วนรวมท่ีเป็นประโยชน์ของรัฐ การทาหนา้ ทขี่ องเจา้ หน้าทข่ี องรฐั จึงมคี วามเกี่ยวเน่ืองเชื่อมโยงกับอานาจหน้าท่ีตามกฎหมายและจะมีรูปแบบของ ความสัมพันธ์หรือมีการกระทาในลักษณะต่างๆ กันที่เหมือนหรือคล้ายกับการกระทาของบุคคลในสถานะเอกชน เพียงแต่การกระทาในสถานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกับการกระทาในสถานะเอกชน จะมีความแตกต่างกันท่ี วัตถุประสงค์ เปา้ หมายหรือประโยชน์สดุ ทา้ ยทแ่ี ตกตา่ งกนั ”
- 58 - “การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interest) คือ การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทาการใดๆ หรือดาเนินการในกิจการสาธารณะท่ีเป็นการดาเนินการตาม อานาจหน้าท่ีหรือความรับผิดชอบในกิจการของรัฐหรือองค์กรของรัฐ เพื่อประโยชน์ของรัฐหรือเพื่อประโยชน์ของ ส่วนรวม แตเ่ จา้ หน้าทข่ี องรัฐไดม้ ผี ลประโยชน์ส่วนตนเขา้ ไปแอบแฝง หรอื เปน็ ผู้ทม่ี สี ่วนไดเ้ สียในรปู แบบต่างๆ หรือ นาประโยชน์ส่วนตนหรือความสัมพันธ์ส่วนตนเข้ามามีอิทธิพลหรือเกี่ยวข้องในการใช้อานาจหน้า ที่หรือดุยลพินิจ ในการพิจารณาตัดสินใจในการกระทาการใดๆ หรือดาเนินการดังกล่าวน้ัน เพื่อแสวงหาประโยชน์ในการทางเงิน หรอื ประโยชนอ์ ื่นๆ สาหรบั ตนเองหรือบุคคลใดบคุ คลหนงึ่ ” 2. ความสัมพันธ์ระหว่าง “การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม” “จริยธรรม” และ “การทจุ ริต “จริยธรรม” เป็นกรอบใหญ่ทางสังคมที่เป็นพื้นฐานของแนวคิดเก่ียวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตน และประโยชนส์ ่วนรวมและการทุจริต การกระทาใดที่ผิดต่อกฎหมายว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์ส่วนรวมและการทจุ ริต ยอ่ มเป็นความผดิ จรยิ ธรรมดว้ ย แตต่ รงกันข้าม การกระทาใดท่ีฝ่าฝืนจริยธรรม อาจไม่เป็นความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ ส่วนตนและประโยชน์สว่ นรวมและการทจุ ริต เช่น มพี ฤตกิ รรมสว่ นตวั ไมเ่ หมาะสม มพี ฤตกิ รรมชูส้ าว เปน็ ตน้
- 59 - “จริยธรรม” เป็นหลักสาคัญในการควบคุมพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เปรยี บเสมือนโครงสร้างพ้นื ฐานท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐต้องยึดถือปฏิบตั ิ “การขัดกันระหวา่ งประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม” เป็นพฤติกรรมที่ อยู่ระหว่างจริยธรรมกับการทุจริต ที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ส่วนตนกระทบต่อ ผลประโยชน์สว่ นรวม ซึ่งพฤตกิ รรมบางประเภทมีการบัญญัติเป็นความผิดทางกฎหมาย มบี ทลงโทษชัดเจน แตพ่ ฤตกิ รรมบางประเภทยังไม่มกี ารบัญญัตขิ ้อห้ามไว้ในกฎหมาย “การทุจริต” เป็นพฤติกรรมท่ีฝ่าฝืนกฎหมายโดยตรง ถือเป็นความผิดอย่าง ชัดเจน สังคมส่วนใหญ่จะมีการบัญญัติกฎหมายออกมารองรับ มีบทลงโทษชัดเจน ถือ เปน็ ความผิดขนั้ รนุ แรงท่สี ดุ ทเี่ จ้าหน้าท่ีของรฐั ต้องไมป่ ฏบิ ัติ “เจา้ หนา้ ทข่ี องรัฐทข่ี าดจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ โดยเข้าไปกระทาการ ใดๆ ทเี่ ป็นการขดั กันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ถือว่าเจ้าหน้าท่ี ของรัฐผู้น้ันขาดความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ และจะเป็นต้นเหตุของการ ทจุ ริตต่อไป” 3. รูปแบบของการขัดกันระหว่างประโยชน์สว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวม กา ร ขั ด กัน ร ะห ว่ า ง ป ร ะโ ย ช น์ ส่ ว น ต น แ ล ะป ร ะโ ย ช น์ ส่ ว น ร ว มมีไ ด้ ห ล า ย รู ป แ บ บ ไม่จ า กัด อยู่ เ ฉ พา ะ ในรูปแบบของตัวเงิน หรือทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงผลประโยชน์อ่ืนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของตัวเงินหรือ ทรัพย์สินด้วย ท้ังน้ี John Langford และ Kenneth Kernaghan ได้จาแนกรูปแบบของการขัดกันระหว่าง ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวม ออกเปน็ 7 รูปแบบ คือ 3.1 การรับผลประโยชน์ต่างๆ (accepting benefits) ซ่ึงผลประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทรัพยส์ นิ ของขวัญ การลดราคา การรับความบันเทิง การรับบริการ การรับการฝึกอบรม หรือส่ิงอ่ืนใดในลักษณะ เดยี วกันน้ี และผลจากการรบั ผลประโยชนต์ ่างๆ นั้น ได้ส่งผลตอ่ การตดั สินใจของเจ้าหน้าท่ขี องรฐั ในการดาเนินการ ตามอานาจหน้าที่ 3.2 การทาธุรกิจกับตนเอง (self - dealing) หรือเป็นคู่สัญญา (contracts) เป็นการท่ี เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะผู้มีอานาจในการตัดสินใจ เข้าไปมีส่วนได้เสียในสัญญาท่ีทากับหน่วยงานที่ตนสังกัด โดยอาจจะเป็นเจ้าของบริษัทท่ีทาสัญญาเอง หรือเป็นของเครือญาติ สถานการณ์เช่นนี้เกิดบทบาทที่ขัดแย้ง หรือ เรยี กได้ว่าเป็นทงั้ ผซู้ ้ือและผขู้ ายในเวลาเดียวกนั
- 60 - 3.3 การทางานหลังจากออกจากตาแหน่งหน้าที่สาธารณะหรือหลังเกษียณ (post - employment) เป็นการท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐลาออกจากหน่วยงานของรัฐ และไปทางานในบริษัทเอกชนที่ดาเนินธุรกิจประเภท เดียวกันหรือบริษัทท่ีมีความเก่ียวข้องกับหน่วยงานเดิม โดยใช้อิทธิพลหรือความสัมพันธ์จากที่เคยดารงตาแหน่ง ในหน่วยงานเดิมนนั้ หาประโยชน์จากหนว่ ยงานให้กับบรษิ ัทและตนเอง 3.4 การทางานพิเศษ (outside employment or moonlighting) ในรูปแบบนี้มีได้หลาย ลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐต้ังบริษัทดาเนินธุรกิจ ท่ีเป็นการแข่งขันกับหน่วยงานหรือองค์การ สาธารณะท่ีตนสังกัด หรือการรับจ้างพิเศษเป็นที่ปรึกษาโครงการ โดยอาศัยตาแหน่งในราชการสร้างความ นา่ เชอ่ื ถอื ว่าโครงการของผู้ว่าจา้ งจะไมม่ ีปญั หาติดขัดในการพจิ ารณาจากหน่วยงานท่ที ป่ี รึกษาสงั กดั อยู่ 3.5 การรู้ข้อมูลภายใน (inside information) เป็นสถานการณ์ท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐใช้ ประโยชน์จากการที่ตนเองรับรู้ข้อมูลภายในหน่วยงาน และนาข้อมูลนั้นไปหาผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือพวก พอ้ ง อาจจะไปหาประโยชนโ์ ดยการขายข้อมูลหรอื เข้าเอาประโยชนเ์ สยี เอง 3.6 การใช้ทรัพย์สินของราชการเพื่อประโยชน์ธุรกิจส่วนตัว (using your employer’s property for private advantage) เป็นการท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐนาเอาทรัพย์สินของราชการซ่ึงจะต้องใช้เพื่อ ประโยชน์ของทางราชการเท่าน้ันไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้อง หรือการใช้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไป ทางานสว่ นตัว 3.7 การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตั้งเพ่ือประโยชน์ทางการเมือง (pork - barreling) เป็นการท่ีผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารระดับสูงอนุมัติโครงการไปลงพื้นที่หรือบ้านเกิด ของตนเอง หรือการใช้งบประมาณสาธารณะเพื่อหาเสยี ง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณา “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ สว่ นตนกับประโยชนส์ ่วนรวม พ.ศ. ....” ทาให้มรี ปู แบบเพม่ิ เติมจาก ทกี่ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งต้นอกี 2 กรณี คือ 3.8 การใช้ตาแหน่งหน้าท่ีแสวงหาประโยชน์แก่เครือญาติหรือพวกพ้อง (nepotism) หรือ อาจจะเรียกว่าระบบอุปถัมภ์พเิ ศษ เป็นการทเ่ี จ้าหน้าท่ขี องรัฐใช้อิทธิพลหรือใช้อานาจหน้าที่ทาให้หน่วยงานของตนเข้า ทาสญั ญากบั บรษิ ัทของพน่ี ้องของตน 3.9 การใช้อิทธิพลเข้าไปมีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าท่ีรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐอื่น (influence) เพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง โดยเจ้าหน้าท่ีของรัฐใช้ตาแหน่งหน้าที่ข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้หยดุ ทาการตรวจสอบบรษิ ัทของเครอื ญาติของตน 4. ตัวอย่างการขดั กนั ระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมในรูปแบบต่างๆ 4.1 การรบั ผลประโยชน์ต่างๆ 4.๑.๑ นายสุจริต ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการในพ้ืนท่ีจังหวัดราชบุรี ซ่ึงในวัน ดังกลา่ ว นายรวย นายก อบต. แหง่ หน่ึง ไดม้ อบงาช้างจานวนหนง่ึ คู่ให้แก่ นายสุจริต เพอ่ื เป็นของทรี่ ะลึก 4.๑.๒ การทเ่ี จ้าหน้าทข่ี องรัฐรบั ของขวญั จากผู้บรหิ ารของบรษิ ัทเอกชน เพ่ือชว่ ยให้บรษิ ทั เอกชนรายน้ัน ชนะการประมูลรบั งานโครงการขนาดใหญ่ของรฐั 4.๑.๓ การท่ีบริษัทแห่งหนึ่งให้ของขวัญเป็นทองคามูลค่ามากกว่า 10 บาท แก่เจ้าหน้าที่ในปีท่ีผ่านมา และปนี ้ีเจา้ หนา้ ทเี่ ร่งรัดคืนภาษีให้กับบริษัทน้ันเป็นกรณีพิเศษ โดยลัดคิวให้ก่อนบริษัทอื่นๆ เพราะคาดว่าจะได้รับ ของขวัญอีก
- 61 - 4.๑.๔ การท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเป็นคณะกรรมการของบริษัทเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจและได้รับความบันเทิง ในรูปแบบต่างๆ จากบริษทั เหล่าน้ัน ซง่ึ มผี ลต่อการใหค้ าวินจิ ฉัยหรอื ขอ้ เสนอแนะที่เป็นธรรมหรือเป็นไปในลักษณะ ทเ่ี อ้ือประโยชน์ตอ่ บรษิ ทั ผ้ใู หน้ ัน้ ๆ 4.๑.๕ เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับชุดไม้กอล์ฟจากผู้บริหารของบริษัทเอกชน เม่ือต้องทางานท่ีเก่ียวข้องกับ บรษิ ัทเอกชนแห่งนั้น ก็ชว่ ยเหลือให้บริษัทน้นั ไดร้ บั สัมปทาน เน่อื งจากรู้สกึ ว่าควรตอบแทนทเ่ี คยได้รับของขวัญมา 4.2 การทาธรุ กิจกับตนเองหรอื เปน็ คสู่ ญั ญา 4.2.1 การท่ีเจ้าหน้าที่ในกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้างทาสัญญาให้หน่วยงานต้นสังกัดซ้ือคอมพิวเตอร์ สานักงานจากบริษัทของครอบครวั ตนเอง หรือบรษิ ทั ทต่ี นเองมหี ุน้ ส่วนอยู่ 4.๒.2 ผูบ้ รหิ ารหนว่ ยงานทาสัญญาเช่ารถไปสัมมนาและดงู านกับบรษิ ัท ซงึ่ เป็นของเจ้าหน้าที่หรือบริษัท ทผี่ บู้ รหิ ารมหี ุ้นส่วนอยู่ 4.2.3 ผู้บริหารของหน่วยงาน ทาสัญญาจ้างบริษัทที่ภรรยาของตนเองเป็นเจ้าของมาเป็นที่ปรึกษาของ หน่วยงาน 4.2.4 ผ้บู ริหารของหนว่ ยงาน ทาสัญญาให้หนว่ ยงานจัดซ้ือท่ีดนิ ของตนเองในการสร้างสานักงานแห่งใหม่ 4.3 การทางานหลงั จากออกจากตาแหน่งหน้าที่สาธารณะหรือหลังเกษยี ณ 4.๓.๑ อดีตผู้อานวยการโรงพยาบาลแห่งหน่ึงเพิ่งเกษียณอายุราชการไปทางานเป็นที่ปรึกษาในบริษัท ผลิตหรือขายยา โดยใช้อิทธิพลจากท่ีเคยดารงตาแหน่งในโรงพยาบาลดังกล่าว ให้โรงพยาบาลซ้ือยาจากบริษัทท่ี ตนเองเป็นทป่ี รึกษาอยู่ 4.๓.๒ การที่ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรด้านเวชภัณฑ์และสุขภาพออกจากราชการไปทางาน ในบรษิ ทั ผลติ หรอื ขายยา 4.๓.๓ การท่ีผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานท่ีเกษียณแล้วใช้อิทธิพลที่เคยดารงตาแหน่งในหน่วยงาน รัฐ รับเป็นท่ีปรึกษาให้บริษัทเอกชนที่ตนเคยติดต่อประสานงาน โดยอ้างว่าจะได้ติดต่อกับหน่วยงานรัฐได้อย่าง ราบรืน่ 4.๓.๔ การว่าจ้างเจ้าหน้าท่ีผู้เกษียณมาทางานในตาแหน่งเดิมท่ีหน่วยงานเดิมโดยไม่คุ้มค่ากับภารกิจ ทไ่ี ด้รับมอบหมาย 4.4 การทางานพิเศษ 4.๔.๑ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 6 สานักงานสรรพากรจังหวัดในส่วนภูมิภาค ได้จัดต้ังบริษัทรับจ้างทา บัญชีและให้คาปรึกษาเก่ียวกับภาษีและมีผลประโยชน์เก่ียวข้องกับบริษัท โดยรับจ้างทาบัญชีและย่ืนแบบแสดง รายการให้ผเู้ สยี ภาษีในเขตจงั หวดั ทรี่ ับราชการอย่แู ละจงั หวัดใกลเ้ คียง กลับมพี ฤติการณ์ช่วยเหลือผู้เสียภาษีให้เสีย ภาษีน้อยกว่าความเป็นจริง และรับเงินค่าภาษีอากรจากผู้เสียภาษีบางรายแล้ว มิได้นาไปย่ืนแบบแสดงรายการ ชาระภาษีให้ 4.4.2 นติ กิ ร ฝา่ ยกฎหมายและเรง่ รดั ภาษีอากรค้าง สานกั งานสรรพากรจงั หวัดในส่วนภูมิภาคหารายได้ พิเศษโดยการเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตของบริษัทเอกชน ได้อาศัยโอกาสที่ตนปฏิบัติหน้าท่ีเร่งรัดภาษีอากรค้าง ผู้ประกอบการรายหนงึ่ หาประโยชน์ให้แก่ตนเองด้วยการขายประกันชีวิตให้แก่หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ประกอบการ ดงั กลา่ ว รวมทงั้ พนกั งานของผู้ประกอบการนน้ั อีกหลายคน
- 62 - 4.๔.3 การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐอาศัยตาแหน่งหน้าที่ทางราชการรับจ้างเป็นท่ีปรึกษาโครงการ เพื่อให้ บรษิ ทั เอกชนท่ีว่าจา้ งน้นั มีความนา่ เช่ือถือมากกว่าบรษิ ัทคแู่ ขง่ 4.๔.4 การทเี่ จา้ หน้าทขี่ องรฐั ไม่ทางานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายจากหน่วยงานอย่างเต็มท่ี แตเ่ อาเวลาไปรับงาน พเิ ศษอนื่ ๆ ทอ่ี ยนู่ อกเหนืออานาจหน้าท่ีทไี่ ด้รับมอบหมายจากหน่วยงาน 4.4.5 การทผี่ ้ตู รวจสอบบญั ชภี าครัฐรับงานพิเศษเป็นท่ีปรึกษา หรือเป็นผู้ทาบัญชีให้กับบริษัทท่ีต้องถูก ตรวจสอบ 4.5 การรู้ขอ้ มลู ภายใน 4.๕.๑ นายช่าง 5 แผนกชุมสายโทรศัพท์เคล่ือนที่ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ได้นาข้อมูล เลขหมายโทรศพั ท์เคลื่อนทร่ี ะบบ 470 MHZ และระบบปลดลอ็ คไปขายให้แก่ผู้อ่ืน จานวน 40 หมายเลข เพื่อนาไป ปรบั จนู เข้ากับโทรศัพท์เคล่ือนท่ีท่ีนาไปใช้รับจ้างให้บริการโทรศัพท์แก่บุคคลทั่วไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติช้ีมูล ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และ มาตรา 164 และมีความผิดวินัย ข้อบังคับ องค์การโทรศพั ทแ์ ห่งประเทศไทยวา่ ด้วยการพนักงาน พ.ศ. 2536 ขอ้ 44 และ 46 4.๕.๒ การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐทราบข้อมูลโครงการตัดถนนเข้าหมู่บ้าน จึงบอกให้ญาติพี่น้องไปซ้ือท่ีดิน บริเวณโครงการดังกล่าว เพอ่ื ขายให้กับราชการในราคาทสี่ ูงขึ้น 4.๕.๓ การท่ีเจ้าหน้าท่ีหน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงข่ายโทรคมนาคมทราบมาตรฐาน (spec) วัสดุอุปกรณ์ที่ จะใช้ในการวางโครงข่ายโทรคมนาคม แลว้ แจ้งข้อมูลให้กบั บริษทั เอกชนทตี่ นรู้จัก เพ่ือให้ไดเ้ ปรียบในการประมูล 4.5.4 เจ้าหน้าท่ีพัสดุของหน่วยงานเปิดเผยหรือขายข้อมูลท่ีสาคัญของฝ่ายที่มาย่ืนประมูลไว้ก่อนหน้า ให้แกผ่ ูป้ ระมลู รายอนื่ ทใี่ ห้ผลประโยชน์ ทาให้ฝ่ายทม่ี ายนื่ ประมูลไว้ก่อนหนา้ เสยี เปรียบ 4.6 การใชท้ รัพย์สินของราชการเพือ่ ประโยชน์สว่ นตน 4.๖.๑ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ใช้อานาจหน้าท่ีโดยทุจริต ด้วยการส่ังให้เจ้าหน้าท่ีนาเก้าอ้ีพร้อมผ้า ปลอกคมุ เกา้ อ้ี เครอื่ งถ่ายวดิ ีโอ เคร่ืองเล่นวิดีโอ กล้องถ่ายรูป และผ้าเต็นท์ นาไปใช้ในงานมงคลสมรสของบุตรสาว รวมท้ังรถยนต์ รถตู้ส่วนกลาง เพื่อใช้รับส่งเจ้าหน้าท่ีเข้าร่วมพิธี และขนย้ายอุปกรณ์ท้ังที่บ้านพักและ งานฉลอง มงคลสมรสท่ีโรงแรม ซึ่งล้วนเป็นทรัพย์สินของทางราชการ การกระทาของจาเลยนับเป็นการใช้อานาจโดยทุจริต เพ่อื ประโยชนส์ ว่ นตนอันเป็นการเสยี หายแก่รฐั 4.๖.๒ การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐ ผู้มีหน้าท่ีขับรถยนต์ของส่วนราชการ นาน้ามัน ในรถยนต์ไปขาย และนา เงินมาไว้ใช้จ่ายส่วนตัวทาให้ส่วนราชการต้องเสียงบประมาณ เพ่ือซ้ือน้ามันรถมากกว่าที่ควรจะเป็น พฤติกรรม ดงั กลา่ วถือเป็นการทุจริต เป็นการเบียดบังผลประโยชน์ของส่วนรวมเพ่ือประโยชน์ของตนเอง และมีความผิดฐาน ลกั ทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา 4.๖.๓ การท่ีเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอานาจอนุมัติให้ใช้รถราชการหรือการเบิกจ่ายค่าน้ามันเช้ือเพลิง นารถยนต์ของส่วนราชการไปใชใ้ นกิจธรุ ะสว่ นตวั 6.4 การท่ีเจ้าหน้าท่ีรัฐนาวัสดุครุภัณฑ์ของหน่วยงานมาใช้ที่บ้าน หรือใช้โทรศัพท์ของหน่วยงานติดต่อ ธรุ ะส่วนตน หรอื นารถส่วนตนมาลา้ งทห่ี น่วยงาน
- 63 - 4.7 การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกต้งั เพื่อประโยชนใ์ นทางการเมือง 4.๗.๑ นายกองค์การบริหารส่วนตาบลแห่งหนึ่งร่วมกับพวก แก้ไขเปล่ียนแปลงรายละเอียดโครงการ ปรับปรุงและซ่อมแซมถนนคนเดินใหม่ ในตาบลท่ีตนมีฐานเสียงโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ และตรวจรับ งานทั้งท่ีไม่ถูกต้องตามรูปแบบรายการท่ีกาหนด รวมทั้งเม่ือดาเนินการแล้วเสร็จได้ติดป้ายช่ือของตนและพวก การ กระทาดังกล่าวมีมูลเป็นการกระทาการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย หรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอานาจหน้าที่ มีมูลความผิดท้ังทางวินัยอย่างร้ายแรงและทางอาญา คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้มีอานาจ แต่งต้ังถอดถอน และสานักงานคณะกรรมการการเลอื กตั้งทราบ 4.๗.๒ การท่ีนักการเมืองในจังหวัด ขอเพ่ิมงบประมาณเพ่ือนาโครงการตัดถนน สร้างสะพานลงใน จังหวดั โดยใช้ชื่อหรือนามสกุลของตนเองเป็นชือ่ สะพาน 4.๗.๓ การทร่ี ฐั มนตรอี นุมัตโิ ครงการไปลงในพื้นทหี่ รือบา้ นเกิดของตนเอง 4.8 การใชต้ าแหน่งหน้าท่แี สวงหาประโยชน์แกเ่ ครือญาติ พนักงานสอบสวนละเว้นไม่นาบันทึกการจับกุมท่ีเจ้าหน้าท่ีตารวจชุดจับกุม ทาข้ึนในวันเกิดเหตุรวมเข้า สานวน แต่กลับเปล่ียนบันทึกและแก้ไขข้อหาในบันทึกการจับกุม เพ่ือช่วยเหลือผู้ต้องหาซึ่งเป็นญาติของตนให้รับ โทษน้อยลง คณะกรรมการ ป.ป.ช. พจิ ารณาแล้วมมี ูลความผิดทางอาญาและทางวนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง 4.9 การใชอ้ ทิ ธิพลเขา้ ไปมีผลตอ่ การตัดสินใจของเจ้าหนา้ ท่ีรฐั หรอื หนว่ ยงานของรัฐอ่นื 4.๙.๑ เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตาแหน่งหน้าที่ในฐานะผู้บริหาร เข้าแทรกแซงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ี ให้ปฏบิ ตั หิ นา้ ทโี่ ดยมิชอบด้วยระเบยี บ และกฎหมายหรอื ฝา่ ฝนื จรยิ ธรรม 4.๙.๒ นายเอ เปน็ หัวหน้าสว่ นราชการแห่งหนง่ึ ในจงั หวัด รจู้ ักสนทิ สนมกบั นายบี หวั หน้าสว่ นราชการอกี แหง่ หน่ึง นายเอ จึงใชค้ วามสัมพนั ธ์สว่ นตวั ฝากลูกชาย คือ นายซี เขา้ รบั ราชการภายใตส้ ังกัดของนายบี 5. วธิ คี ิดแบบฐาน 10 (Analog Thinking) / ฐาน 2 (Digital Thinking) แนวทางการแก้ปัญหาการทุจริตอย่างย่ังยืน ต้องเริ่มต้นแก้ไขที่ตัวบุคคล โดยการปรับเปลี่ยนระบบการ คิดของคนในสงั คมแยกแยะให้ได้วา่ … “เรอื่ งใดเป็นประโยชนส์ ่วนตน...เร่อื งใดเปน็ ประโยชน์ส่วนรวม” ตอ้ งแยกออกจากกันให้ได้อย่างเด็ดขาด ไม่นามาปะปนกัน ไม่เอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นประโยชน์ส่วนตน ไมเ่ อาผลประโยชนส์ ่วนรวมมาทดแทนบุญคุณส่วนตน ไมเ่ ห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพอ้ งเหนือกว่าประโยชน์ สว่ นรวม กรณีเกิดผลประโยชน์ขัดกนั ตอ้ งยดึ ประโยชน์สว่ นรวมเหนือกว่าประโยชนส์ ่วนตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม “เจ้าหน้าท่ีของรัฐ” ซ่ึงมีอานาจหน้าที่ที่จะต้องกระทาการหรือใช้ดุลยพินิจ ในการตัดสินใจที่เก่ียวข้องกับผลประโยชน์ของส่วนรวม หากปล่อยให้มีผลประโยชน์ส่วนตนหรือความสัมพันธ์ส่วน ตนเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจแล้ว ย่อมต้องเกิดการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมหรือ ผลประโยชนท์ บั ซ้อน (conflict of interests) ข้นึ แน่นอน และความเสียหายก็จะตกอยู่กับประชาชนและประเทศชาติ นน่ั เอง
- 64 - ระบบคิดทจ่ี ะกล่าวตอ่ ไปนี้… เป็นการนามาประยุกต์ใช้และเปรียบเทียบ เพ่ือให้เจ้าหน้าที่ของรัฐนาไปเป็น “หลกั คิด” ในการปฏบิ ัตงิ านให้สามารถแยกประโยชน์สว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมได้อยา่ งเดด็ ขาด คือ “ระบบคดิ ฐานสิบ (Analog)” กับ “ระบบคิด ฐานสอง (Digital)” - 67 - ทาไม จึงใชร้ ะบบเลขฐานสิบ (Analog) และระบบเลขฐานสอง (Digital) มาใช้แยกแยะการแก้ทุจรติ เรามาทาความเข้าใจในระบบ… ฐานสบิ (Analog), ฐานสอง (Digital) กนั เถอะ ระบบเลข “ฐานสิบ” (decimal number system) หมายถึง ระบบเลขท่ีมีตัวเลข 10 ตัว คือ 0 , 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 , 7 , 8 , 9 เป็นระบบคิดเลขที่เราใช้ในชีวิต ประจาวนั กันมาตั้งแต่จาความกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บอกปริมาณหรือบอกขนาด ช่วยให้ เกิดความเข้าใจท่ีตรงกันในการส่ือความหมาย สอดคล้องกับระบบ “Analog” ที่ใช้ค่า ต่อเน่ืองหรือสัญญาณซ่ึงเป็นค่าต่อเน่ือง หรือแทนความหมายของข้อมูลโดยการใช้ฟังช่ันท่ี ตอ่ เน่ือง (continuous) ระบบเลข “ฐานสอง” (binary number system) หมายถึง ระบบเลขท่ีมี สญั ลักษณ์เพยี งสองตัว คือ 0 (ศูนย์) กับ 1 (หนึง่ ) สอดคล้องกับการทางานระบบ Digital ที่ มีลักษณะการทางานภายในเพยี ง 2 จงั หวะ คอื 0 กับ 1 หรือ ON กับ OFF (discrete) ตัด เด็ดขาด จากท่ีกล่าวมา... เมื่อนาระบบเลข “ฐานสิบ Analog” และ ระบบเลข “ฐานสอง Digital” มาปรับใช้ เป็นแนวคิด คอื ระบบคดิ “ฐานสบิ Analog” และ ระบบคิด “ฐานสอง Digital” จะเห็นไดว้ า่ ... ระบบคิด “ฐานสิบ Analog” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่มีตัวเลขหลายตัว และอาจหมายถึง โอกาสท่ีจะเลือกได้หลายทาง เกิดความคิดที่หลากหลาย ซับซ้อน หากนามาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าท่ีของรัฐ จะทาให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องคิดเยอะ ต้องใช้ดุลยพินิจเยอะ อาจจะนาประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชนส์ ว่ นรวมมาปะปนกนั ได้ แยกประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวมออกจากกันไม่ได้ ระบบคิด “ฐานสอง Digital” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูลท่ีสามารถเลือกได้เพียง 2 ทางเท่านั้น คือ 0 (ศูนย์) กับ 1 (หนึ่ง) และอาจหมายถึงโอกาสท่ีจะเลือกได้เพียง 2 ทาง เช่น ใช่ กับ ไม่ใช่, เท็จ กับ จริง, ทาได้ กับ ทาไม่ได้, ประโยชน์ส่วนตน กับ ประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น จึงเหมาะกับการนามาเปรียบเทียบกับการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่ต้องสามารถแยกเร่ืองตาแหน่งหน้าท่ีกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด และไม่กระทาการทีเ่ ป็นการขัดกนั ระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวม
- 65 - ระบบคิด “ฐานสิบ Analog” Vs ระบบคดิ “ฐานสอง Digital” “การปฏิบัติงานแบบใช้ระบบคิดฐานสิบ (Analog)” คือ การท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐยังมีระบบการคิดที่ยัง แยกเร่ืองตาแหน่งหน้าท่ีกับเรื่องส่วนตนออกจากกันไม่ได้ นาประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมมาปะปนกัน ไปหมด แยกแยะไมอ่ อกว่าส่ิงไหนคือประโยชน์ส่วนตนส่ิงไหนคือประโยชน์ส่วนรวม นาบุคลากรหรือทรัพย์สินของ ราชการมาใช้เพ่ือประโยชน์ส่วนตน เบียดบังราชการ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เครือญาติ หรือพวกพ้อง เหนือกว่า ประโยชน์ของส่วนรวมหรือของหน่วยงาน จะคอยแสวงหาประโยชน์จากตาแหน่งหน้าท่ีราชการ กรณีเกิดการ ขดั กันระหว่างประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวม จะยดึ ประโยชน์สว่ นตนเป็นหลัก “การปฏิบัติงานแบบใช้ระบบคิดฐานสอง (Digital)” คือ การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐมีระบบการคิด ที่สามารถแยกเร่ืองตาแหน่งหน้าที่กับเร่ืองส่วนตนออกจากกัน แยกออกอย่างชัดเจนว่าสิ่งไหนถูกส่ิงไหนผิด สิ่งไหนทาได้สิ่งไหนทาไม่ได้ สิ่งไหนคือประโยชน์ส่วนตนส่ิงไหนคือประโยชน์ส่วนรวม ไม่นามาปะปนกัน ไม่นา บุคลากรหรือทรัพย์สินของราชการมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่เบียดบังราชการ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมหรือ ของหน่วยงานเหนือกว่าประโยชน์ของส่วนตน เครือญาติ และพวกพ้อง ไม่แสวงหาประโยชน์จากตาแหน่งหน้าที่ ราชการ ไม่รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากการปฏิบัติหน้าท่ี กรณีเกิดการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์ส่วนรวม ก็จะยึดประโยชนส์ ่วนรวมเป็นหลกั
- 66 - 6. กรณตี วั อย่างระบบคดิ เพื่อแยกแยะระหว่างประโยชนส์ ่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ตัวอย่างระบบคดิ ฐานสิบ & ระบบคดิ ฐานสอง ตัวอยา่ งระบบคดิ ฐานสบิ & ระบบคิดฐานสอง
- 67 - คิดแบบไหน ? ...ไม่ทุจริต คดิ ได้ - คิดกอ่ นทา (ก่อนกระทาการทุจริต) - คดิ ถงึ ผลเสยี ผลกระทบต่อประเทศชาติ (ความเสยี หายที่เกดิ ข้ึนกับ ประเทศในทุกๆ ดา้ น) - คดิ ถึงผู้ได้รับบทลงโทษจากการทจุ รติ (เอามาเป็นบทเรียน) - คิดถึงผลเสียผลกระทบที่จะเกิดขน้ึ กับตนเอง (จะต้องอยกู่ ับความ เสย่ี งท่จี ะถูกร้องเรียน ถกู ลงโทษไล่ออกและติดคุก) - คิดถึงคนรอบข้าง (เสือ่ มเสียต่อครอบครวั และวงศ์ตระกลู ) - คดิ อย่างมีสติสัมปชญั ญะ คิดดี - คิดแบบพอเพยี ง ไม่เบียดเบียนตนเอง ไมเ่ บียดเบยี นผู้อน่ื และไม่ เบยี ดเบยี นประเทศชาติ - คดิ อยา่ งรบั ผิดชอบตามบทบาทหน้าที่ กฎระเบยี บ - คิดตามคุณธรรม วา่ “ทาดีไดด้ ี ทาชั่วได้ชัว่ ” คิดเป็น - คิดแยกเรอ่ื งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวมออกจากกัน อยา่ งชัดเจน - คิดแยกเรื่องตาแหน่งหน้าท่ี กบั เรื่องส่วนตัวออกจากกัน - คดิ ทจ่ี ะไม่นาประโยชน์ส่วนตนกับประโยชนส์ ว่ นรวมมาปะปนกัน มากา้ วก่ายกนั - คิดทีจ่ ะไม่เอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นประโยชน์สว่ นตน - คดิ ทจ่ี ะไมเ่ อาผลประโยชน์สว่ นรวมมาตอบแทนบญุ คุณสว่ นตน - คดิ เห็นแก่ประโยชนส์ ่วนรวมมากกว่าประโยชนส์ ่วนตน เครอื ญาติ และพวกพ้อง - คดิ ฐานสองและท้ิงฐานสบิ
- 68 - บรรณานกุ รม - ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) - พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และ ทแี่ ก้ไขเพิ่มเตมิ - คมู่ อื การป้องกนั ผลประโยชนท์ บั ซ้อน สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข - คู่มือปอ้ งกันผลประโยชนท์ บั ซ้อน สานักงานปลดั สานกั นายกรัฐมนตรี - ค่มู อื การป้องกนั ผลประโยชน์ทับซ้อน สานักงานปลดั กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม - คู่มือการป้องกนั ผลประโยชนท์ ับซ้อน สานกั งานปลัดกระทรวงพาณิชย์ - คมู่ ือการปอ้ งกันผลประโยชนท์ บั ซอ้ น กรมสรรพากร - หนงั สือชดุ ความร้กู ารเฝ้าระวงั การทจุ รติ ของหนว่ ยงานภาครัฐ ชุดที่ 3 สานักงาน ป.ป.ช. - กาชัยจงจักรพันธ์“การขัดกันแห่งผลประโยชน์และมาตรา 100 พ.ร.บ. ป.ป.ช.”จัดพิมพ์และเผยแพร่ โดยสานักงานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ - สุทธินันท์ สาริมาน. การกาหนดตาแหน่งเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีต้องห้ามดาเนินกิจการอันเป็นการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ตามบทบัญญัติมาตรา 100 พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, ภาควิชานิตศิ าสตรจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552. - สุวรรณาตุลยวศินพงศ์ และคณะ. (2546). รายงานผลการวิจัยเรื่องความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม. กรุงเทพฯ : สานกั งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. เวบ็ ไซตส์ านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ (www.nacc.go.th)
- 69 - (6.2) ความอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต 1. การทจุ ริต ปัญหาการทจุ ริต เปน็ ปัญหาท่สี าคัญท้ังของประเทศไทยและประเทศอ่นื ๆ ท่ัวโลก ปัญหาการทุจริตจะทา ให้เกิดความเสื่อมในด้านต่างๆ เกิดข้ึน ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และนับวันปัญหาดังกล่าวก็จะรุนแรงมากขึ้น และมีรูปแบบการทุจริตที่ซับซ้อน ยากแก่การตรวจสอบมากข้ึน จากเดิมที่กระทาเพียงสองฝ่าย ปัจจุบันการทุจริตจะ กระทากันหลายฝ่าย ทั้งผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชน โดยประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ๆ คือ ผู้ให้ผลประโยชน์กับผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายน้ีจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ตราบใดท่ีผลประโยชน์ สมเหตุสมผลต่อกนั ก็จะนาไปสูป่ ญั หาการทุจริตได้ บางครงั้ ผูท้ รี่ ับผลประโยชน์กเ็ ป็นผู้ให้ประโยชน์ได้เช่นกัน โดยผู้รับ ผลประโยชนแ์ ละผูใ้ ห้ผลประโยชน์ คือ 1. ผู้รับผลประโยชน์ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอานาจ หน้าท่ีในการกระทา การดาเนินการต่างๆ และรับประโยชน์จะเป็นไปในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดซ้ือจัดจ้าง การเรียกรับประโยชน์โดยตรง การกาหนด ระเบียบหรอื คุณสมบตั ิที่เอือ้ ตอ่ ตนเองและพวกพ้อง 2. ผู้ให้ผลประโยชน์ เช่น ภาคเอกชน โดยการเสนอผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ เช่น เงิน สิทธิพิเศษ อ่ืนๆ เพ่ือจูงใจให้นักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดอย่างหนึ่งในตาแหน่งหน้าท่ี ซ่ึงการกระทาดังกล่าวเป็นการกระทาท่ีฝา่ ฝนื ต่อระเบียบหรือผดิ กฎหมาย เปน็ ต้น ๑.๑ ทุจริต คอื อะไร คาวา่ ทจุ ริต มกี ารให้ความหมายได้มากมาย หลากหลาย ขึ้นอยูก่ บั ว่าจะมกี ารใหค้ วามหมายดังกล่าวไว้ว่า อย่างไร โดยท่ีคาว่าทุจริตนั้น จะมีการให้ความหมายโดยหน่วยงานของรัฐ หรือการให้ความหมายโดยกฎหมายซึ่งไม่ว่า จะเป็นการให้ความหมายจากแหล่งใด เนื้อหาสาคัญของคาว่าทุจริตก็ยังคงมีความหมายที่สอดคล้องกันอยู่ น่ันคือ การ ทจุ ริตเป็นส่ิงที่ไมด่ ี มีการแสวงหาหรอื เอาผลประโยชน์ของส่วนรวมมาเป็นของส่วนตัว ทั้งๆ ที่ตนเองไม่ได้มีสิทธิใน ส่งิ ๆ นั้น การยดึ ถือเอามาดงั กล่าวจงึ ถอื เปน็ สิ่งทผ่ี ดิ ท้งั ในแงข่ องกฎหมายและศีลธรรม ในแง่ของกฎหมายน้ัน ประเทศไทยได้มีการกาหนดถึงความหมายของการทุจริตไว้หลักๆ ในกฎหมาย 2 ฉบบั คือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) “โดยทุจริต” หมายถึง “เพื่อแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดย ชอบดว้ ยกฎหมายสาหรับตนเองหรอื ผอู้ นื่ ” พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 คาวา่ “ทจุ ริตต่อหน้าท่ี” หมายถึง “ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตาแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัตอิ ยา่ งใดในพฤติการณ์ ท่ีอาจทาใหผ้ ู้อืน่ เช่ือว่ามีตาแหน่งหรือหน้าท่ีท้ังที่ตนมิได้มีตาแหน่งหรือ หน้าท่ีนั้น หรือใช้อานาจในตาแหน่งหรือหน้าที่ ท้ังน้ี เพ่ือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสาหรับตนเองหรือ ผอู้ นื่ ” นอกจากนี้ คาว่าทุจริต ยังได้มีการบัญญัติให้ความหมายเอาไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 โดยระบไุ ว้ว่าทจุ รติ หมายถงึ “ความประพฤตชิ ัว่ คดโกง ฉอ้ โกง” ในคาภาษาอังกฤษ คาว่าทุจริตจะตรงกับคาว่า Corruption (คอร์รัปชัน) โดยในประเทศไทยมักมีการ กล่าวถึงคาว่าคอร์รัปชันมากกว่าการใช้คาว่าทุจริต โดยการทุจริตน้ีสามารถใช้ได้กับทุกที่ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงาน ราชการ หนว่ ยงานของเอกชน หากเกิดกรณกี ารยึดเอา ถือเอาซ่ึงประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ไม่คานึงถึงว่า สิ่งๆ น้ันเป็นของของตนเอง หรือเป็นสิทธิท่ีตนเองควรจะได้มาหรือไม่แล้วน้ัน ก็จะเรียกได้ว่าเป็นการทุจริต เช่น การทุจรติ ในการเบิกจา่ ยเงิน ไม่วา่ จะเกดิ ขนึ้ ในหนว่ ยงานของรฐั หรอื ของเอกชน การกระทาเช่นน้ีก็ถอื เป็นทจุ ริต
- 70 - อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากคอร์รัปชันมิได้เกิดเฉพาะในวงราชการเท่านั้น ดังนั้น ในอีกมุมหน่ึง คอร์รัปชัน จึงต้องหมายรวมถึงการแสวงหาผลประโยชน์ของภาคธุรกิจเอกชน ในรูปของการให้สินบนหรือส่ิงตอบแทน แก่นักการเมืองหรือข้าราชการเพ่ือให้ได้มาซ่ึงผลประโยชน์ท่ีตนเองอยากได้ในรูปแบบของการประมูล การสัมปทาน เป็นต้น รูปแบบเหล่านี้จะสามารถสร้างกาไรให้แก่ภาคเอกชนเป็นจานวนมากหากภาคเอกชนสามารถเข้ามา ดาเนินงานได้ รวมถึงการท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐมีความต้องการทรัพย์สิน ประโยชน์อื่นนอกเหนือจากสิ่งท่ีได้รับ ตามปกติ เม่ือเหตผุ ลของทง้ั สองฝา่ ยสามารถบรรจบหากนั ได้ การทุจรติ ก็เกิดข้นึ ได้ จากนยิ ามของการทุจรติ คอร์รปั ชันไม่เพยี งแต่จะกินความถึงการทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงเร่ืองกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในภาคเอกชนอีกด้วย ซึ่งอาจกล่าว ได้ว่าการทจุ รติ คอรร์ ัปชันคือ การทุจรติ และ การประพฤติมิชอบของขา้ ราชการ ดังน้ัน การทุจริต คือ การคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต การกระทาท่ีผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิดความได้เปรียบ ในการแข่งขัน การใช้อานาจหน้าที่ในทางที่ผิดเพ่ือแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับส่ิงตอบแทน การให้หรือการรับ สนิ บน การกาหนดนโยบายทเ่ี อือ้ ประโยชน์แกต่ นหรอื พวกพอ้ งรวมถงึ การทจุ รติ เชิงนโยบาย 1.๒ รปู แบบการทจุ รติ รูปแบบการทุจริตที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ แบ่งตามผู้ที่เก่ียวข้อง แบ่งตามกระบวนการ ทใี่ ช้ และแบง่ ตามลักษณะรูปธรรม ดังนี้คือ 1) แบ่งตามผู้ท่ีเกี่ยวข้อง เป็นรูปแบบการทุจริตในเร่ืองของอานาจและความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ ระหว่างผู้ท่ีให้การอุปถัมภ์ (ผู้ให้การช่วยเหลือ) กับผู้ถูกอุปถัมภ์ (ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ) โดยในกระบวนการการ ทจุ ริตจะมี 2 ประเภทคือ (1) การทุจริตโดยข้าราชการ หมายถึง การกระทาท่ีมีการใช้หน่วยงานราชการเพ่ือมุ่งแสวงหา ผลประโยชน์จากการปฏิบตั งิ านของหน่วยงานนั้นๆ มากกว่าประโยชนส์ ว่ นรวมของสังคมหรือประเทศ โดยลักษณะ ของการทุจรติ โดยขา้ ราชการสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย ดงั น้ี ก) การคอร์รัปชันตามนา้ (corruption without theft) จะปรากฏขน้ึ เม่ือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องการ สินบนโดยให้มีการจ่ายตามช่องทางปกติของทางราชการ แต่ให้เพิ่มสินบนรวมเข้าไว้กับการจ่ายค่าบริการ ของ หนว่ ยงานน้ันๆ โดยท่เี งนิ ค่าบริการปกติที่หน่วยงานน้ันจะต้องไดร้ ับก็ยงั คงได้รบั ต่อไป ข) การคอร์รัปชันทวนน้า (corruption with theft) เป็นการคอร์รัปชันในลักษณะท่ีเจ้าหน้าท่ีของ รฐั จะเรียกร้องเงินจากผขู้ อรับบรกิ ารโดยตรง โดยที่หนว่ ยงานน้ันไม่ได้มีการเรียกเก็บเงินค่าบริการแต่อยา่ งใด (2) การทุจริตโดยนกั การเมอื ง (political corruption) เป็นการใช้หน่วยงานของทางราชการโดย บรรดานักการเมืองเพ่ือมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ในทางการเงินมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของสังคมหรือประเทศ เช่นเดียวกัน โดยรูปแบบหรือวิธีการท่ัวไปจะมีลักษณะเช่นเดียวกับการทุจริตโดยข้าราชการ แต่จะเป็นในระดับท่ี สูงกว่า เช่น การทุจริตในการประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และมีการเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือ ประโยชน์ตา่ งๆ จากภาคเอกชน เปน็ ต้น 2) แบง่ ตามกระบวนการทใี่ ช้ มี 2 ประเภทคือ (1) เกิดจากการใช้อานาจในการกาหนด กฎ กติกาพ้ืนฐาน เชน่ การออกกฎหมาย และกฎระเบยี บตา่ งๆ เพ่อื อานวยประโยชนต์ อ่ กลุม่ ธุรกจิ ของตนหรือพวกพ้อง และ (2) เกิด จากการใช้อานาจหนา้ ทเี่ พื่อแสวงหาผลประโยชน์จากกฎ และระเบียบท่ีดารงอยู่ ซึ่งมักเกิดจากความไม่ชัดเจนของ กฎและระเบียบเหล่านั้นท่ีทาให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ความคิดเห็นของตนได้ และการใช้ความคิดเห็นน้ันอาจไม่ ถูกตอ้ งหากมีการใช้ไปในทางท่ีผดิ หรือไม่ยตุ ธิ รรมได้
- 71 - 3) แบ่งตามลักษณะรปู ธรรม มที ้ังหมด 4 รูปแบบคือ (1) คอร์รัปชันจากการจัดซื้อจัดหา (Procurement Corruption) เช่น การจัดซื้อส่ิงของ ในหนว่ ยงาน โดยมีการคดิ ราคาเพิ่มหรอื ลดคณุ สมบตั ิแต่กาหนดราคาซื้อไวเ้ ทา่ เดมิ (2) คอร์รัปชันจากการให้สัมปทานและสิทธิพิเศษ (Concessionaire Corruption) เช่น การให้ เอกชนรายใดรายหน่ึงเขา้ มามีสทิ ธใิ นการจัดทาสัมปทานเป็นกรณพี ิเศษตา่ งกับเอกชนรายอน่ื (3) คอรร์ ปั ชนั จากการขายสาธารณสมบตั ิ (Privatization Corruption) เช่น การขายกิจการของ รัฐวสิ าหกจิ หรอื การยกเอาที่ดิน ทรัพย์สินไปเปน็ สิทธิการครอบครองของต่างชาติ เป็นตน้ (4) คอร์รัปชันจากการกากับดูแล (Regulatory Corruption) เช่น การกากับดูแลในหน่วยงานแล้ว ทาการทจุ รติ ตา่ งๆ เป็นต้น 1.๓ สาเหตทุ ีท่ าใหเ้ กดิ การทุจริต จากการศึกษาวิจัยโครงการประเมินสถานการณ์ด้านการทุจริตในประเทศไทยของ เสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ได้ ระบุ เงือ่ นไข/สาเหตทุ ี่ทาให้เกิดการทจุ ริตคอรร์ ปั ชันอาจมาจากสาเหตภุ ายในหรือสาเหตภุ ายนอก ดังนี้ (1) ปจั จยั สว่ นบุคคล ได้แก่ พฤตกิ รรมส่วนตวั ของขา้ ราชการบางคนท่ีเป็นคนโลภมาก เห็นแก่ได้ไม่รู้จัก พอ ความเคยชินของข้าราชการท่ีคุ้นเคยกับการท่ีจะได้ “ค่าน้าร้อนน้าชา” หรือ “เงินใต้โต๊ะ” จากผู้มาติดต่อ ราชการ ขาดจิตสานกึ เพอ่ื สว่ นรวม (๒) ปจั จยั ภายนอก ประกอบดว้ ย 1) ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ รายได้ของข้าราชการน้อยหรือต่ามากไม่ได้สัดส่วนกับการครองชีพที่ สูงข้ึน การเติบโตของระบบทุนนิยมที่เน้นการบริโภค สร้างนิสัยการอยากได้ อยากมี เม่ือรายได้ไม่เพียงพอก็ต้อง หาทางใชอ้ านาจไปทจุ รติ ๒) ด้านสังคม ได้แก่ ค่านิยมของสังคมท่ียกย่องคนมีเงิน คนร่ารวย และไม่สนใจว่าเงินน้ันได้มา อย่างไร เกิดลทั ธเิ อาอย่าง อยากไดส้ ิง่ ทคี่ นรวยมี เมอื่ เงินเดือนของตนไม่เพยี งพอ ก็หาโดยวิธมี ชิ อบ ๓) ด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การนิยมจ่ายเงินของนักธุรกิจให้กับข้าราชการที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว หรือการบรกิ ารท่ีดกี วา่ ด้วยการลดต้นทนุ ทจ่ี ะตอ้ งปฏิบัตติ ามระเบยี บ 4) ด้านการเมือง ได้แก่ การทุจริตของข้าราชการแยกไม่ออกจากนักการเมือง การร่วมมือของคน สองกลุม่ น้เี กดิ ขึน้ ได้ในประเดน็ การใช้จ่ายเงนิ การหารายไดแ้ ละการตัดสินพจิ ารณาโครงการของรัฐ 5) ดา้ นระบบราชการ ไดแ้ ก่ - ความบกพรอ่ งในการบริหารงานเปดิ โอกาสให้เกดิ การทุจรติ - การใช้ดุลพินจิ มากและการผกู ขาดอานาจจะทาให้อตั ราการทจุ รติ ในหน่วยงานสูง - การที่ขั้นตอนของระเบียบราชการมีมากเกินไป ทาให้ผู้ท่ีไปติดต่อต้องเสียเวลามาก จึงเกดิ การสมยอมกนั ระหว่างผ้ใู หก้ ับผรู้ บั - การตกอยู่ใต้ภาวะแวดล้อมและอิทธิพลของผู้ทุจริตมีทางเป็นไปได้ที่ผู้น้ันจะทาการ ทจุ รติ ดว้ ย - การรวมอานาจ ระบบราชการมีลักษณะที่รวมศูนย์ ทาให้ไม่มีระบบตรวจสอบที่เป็น จรงิ และมีประสิทธภิ าพ - ตาแหน่งหน้าที่ในลักษณะอานวยต่อการกระทาผิด เช่น อานาจในการอนุญาต การอนุมัติจัดซื้อจัดจ้าง ผู้ประกอบการเอกชนมักจะยอมเสียเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดความสะดวกและ รวดเรว็
- 72 - 6) กฎหมายและระเบยี บ ไดแ้ ก่ - กฎหมายหลายฉบบั ทีใ่ ชอ้ ยู่ยงั มี “ช่องโหว่” ที่ทาให้เกดิ การทจุ ริตที่ดารงอยไู่ ด้ - การทุจริตไม่ได้เป็นอาชญากรรมให้คู่กรณีท้ังสองฝ่าย หาพยานหลักฐานได้ยาก ยิง่ กวา่ นน้ั คูก่ รณีทั้งสองฝ่ายมักไมค่ ่อยมีฝ่ายใดยอมเปิดเผยออกมา และถ้าหากมีฝ่ายใดต้องการท่ีจะเปิดเผยความ จรงิ ในเรื่องนี้ กฎหมายหมิ่นประมาทก็ยับย้ังเอาไว้ อีกทั้งกฎหมายของทุกประเทศเอาผิดกับบุคคลผู้ให้สินบนเท่าๆ กบั ผู้รบั สนิ บน จงึ ไม่ค่อยมีผู้ให้สนิ บนรายใดกลา้ ดาเนินคดกี ับผู้รับสินบน - ราษฎรท่ีรู้เห็นการทุจริตก็เป็นโจทก์ฟ้องร้องมิได้เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหาย ยิ่งกว่าน้ัน กระบวนการพจิ ารณาพิพากษายงั ย่งุ ยากซับซ้อนจนกลายเปน็ ผลดแี กผ่ ูท้ ุจริต - ข้ันตอนทางกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติยุ่งยาก ซับซ้อน มีข้ันตอนมาก ทาให้เกิด ช่องทางใหข้ า้ ราชการหาประโยชนไ์ ด้ 7) การตรวจสอบ ไดแ้ ก่ - ภาคประชาชนขาดความเข้มแข็ง ทาให้กระบวนการต่อต้านการทุจริตจากฝ่าย ประชาชนไม่เข้มแขง็ เทา่ ที่ควร - การขาดการควบคมุ ตรวจสอบของหน่วยงานท่มี ีหน้าที่ตรวจสอบหรือกากับดูแลอยา่ งจรงิ จัง 8) สาเหตอุ ื่นๆ - อิทธิพลของภรรยาหรือผู้หญิง เน่ืองจากเป็นผู้ใกล้ชิดสามีอันเป็นตัวการสาคัญ ทสี่ นับสนนุ และส่งเสรมิ ให้สามขี องตนทาการทจุ รติ เพือ่ ความเปน็ อยู่ของครอบครัว - การพนนั ทาให้ขา้ ราชการที่เสียพนนั มแี นวโนม้ จะทุจรติ มากขนึ้ 1.๔ ระดับการทจุ ริตในประเทศไทย 1) การทุจริตระดับชาติ เปน็ รปู แบบการทุจริตของนักการเมืองที่ใช้อานาจในการบริหารราชการ รวมถึง อานาจนิตบิ ัญญตั ิ เปน็ เคร่อื งมือในการออกกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย การออกนโยบายต่างๆ โดยการอาศัยช่องว่าง ทางกฎหมาย 2) การทุจริตในระดับท้องถิ่น การบริหารราชการในรูปแบบท้องถ่ินเป็นการกระจายอานาจเพ่ือ ให้บริการต่างๆ ของรัฐสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น แต่การดาเนินการในรูปแบบ ของทอ้ งถ่ินก็ก่อใหเ้ กิดปัญหาการทจุ ริตเปน็ จานวนมาก ผู้บริหารท้องถนิ่ จะเป็นนกั การเมืองท่ีอยู่ในท้องถ่ินนั้น หรือ นักธรุ กจิ ที่ปรบั บทบาทตนเองมาเป็นนักการเมอื ง และเมือ่ เป็นนักการเมือง เปน็ ผ้บู รหิ ารท้องถ่ินแล้วก็เป็นโอกาสใน การแสวงหาผลประโยชน์สาหรบั ตนเองและพวกพ้องได้ ระดับการทุจริตในประเทศไทยท่ีแบ่งออกเป็นระดับชาติและระดับท้องถ่ินส่วนใหญ่มักจะมีรูปแบบ การ ทจุ รติ ที่คล้ายกนั เชน่ การจดั ซอ้ื จัดจ้าง การประมูล การซ้ือขายตาแหนง่ โดยเฉพาะในระดับท้องถ่ินที่มีข่าวจานวน มากเก่ียวกับผ้บู ริหารท้องถ่นิ เรียกรับผลประโยชน์ในการปรับเปล่ียนตาแหน่ง หรือเลื่อนตาแหน่ง เป็นต้น โดยการ ทุจริตท่ีเกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่การทุจริตท่ีเป็นตัวเงินให้เห็นได้ชัดเจนเท่าใด แต่จะแฝงตัวอยู่ในรูปแบบต่างๆ หากไม่ พจิ ารณาใหด้ ีแล้วอาจมองไดว้ ่าการกระทาดังกล่าวไม่ใช่การทุจริต แต่แท้จริงแล้วการกระทาน้ันเป็นการทุจริตอย่าง หน่ึง และร้ายแรงมากพอท่ีจะส่งผลกระทบ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น การประเมินผลการปฏิบัติงานซึ่งผู้บังคับบัญชาให้คะแนนประเมินพิเศษแก่ลูกน้องที่ตนเองชอบ ทาให้ได้รับ เงินเดือนในอัตราที่สูงกว่าความเป็นจริงที่บุคคลนั้นควรจะได้รับ เป็นต้น การกระทาดังกล่าวถือเป็นความผิดทาง วนิ ยั ซ่งึ เจ้าหน้าท่ขี องรฐั จะมีบทบัญญตั เิ กี่ยวกับประมวลจริยธรรมขา้ ราชการพลเรือนใหย้ ดึ ถือปฏิบัติอยูแ่ ล้ว
- 73 - 1.๕ สถานการณ์การทุจรติ ของประเทศไทย การทุจริตที่เกิดข้ึนย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หากประเทศใดมีการทุจริตน้อยจะส่งผล ให้ ประเทศนั้นมีความเป็นอยู่ท่ีดี นักลงทุนมีความต้องการท่ีจะมาลงทุนในประเทศ ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจของประเทศ จะสามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง แต่หากมีการทุจริตเป็นจานวนมากนักธุรกิจย่อมไม่กล้าท่ีจะลงทุนในประเทศ นน้ั ๆ เนือ่ งจากต้องเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการทาธุรกจิ ทม่ี ากกว่าปกติ แต่หากสามารถดาเนินธุรกิจดังกล่าวได้ผลท่ีเกิดขึ้น ย่อมตกแก่ผู้บริโภคที่จะต้องซ้ือสินค้าและบริการที่มีราคาสูง หรืออีกกรณีหน่ึงคือการใช้สินค้าและบริการที่ไม่มี คุณภาพ ดงั น้นั จงึ ได้มกี ารวดั และจดั อันดบั ประเทศต่างๆ เพื่อบ่งบอกถึงสถานการณ์การทุจริต ซึ่งการทุจริตที่ผ่านมา นอกจากจะพบเห็นข่าวการทุจริตด้วยตนเอง และผ่านสื่อต่างๆ แล้ว ยังมีตัวชี้วัดท่ีสาคัญอีกตัวหน่ึงท่ีได้รับการ ยอมรับ คือ ตัวช้ีวัดขององค์กรเพ่ือความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI) ได้จัดอันดับดัชนีชี้วัด ภาพลกั ษณค์ อรร์ ปั ชันประจาปี 2560 พบว่า ประเทศไทยได้ 37 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน อยู่อันดับท่ี 96 จากการจัดอันดับท้ังหมด 180 ประเทศท่ัวโลก หากเทียบกับปี 2559 ประเทศไทยได้คะแนน 35 คะแนน อยู่ลาดับที่ 101 เท่ากับว่าประเทศไทย มีคะแนนความโปร่งใสดีข้ึน แต่ยังแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีการ ทจุ รติ คอรร์ ัปชนั อย่ใู นระดบั สูงซงึ่ สมควรได้รบั การแกไ้ ขอย่างเร่งดว่ น โดยคะแนนของประเทศไทยมีดังตารางนี้ ตารางท่ี 1 แสดงภาพลกั ษณ์คอร์รัปชันของประเทศไทย ระหว่างปี 2547 – 2560 ปี พ.ศ. คะแนน อันดบั จานวนประเทศ 2547 3.60 (คะแนนเต็ม 10) 64 146 2548 3.80 (คะแนนเต็ม 10) 59 159 2549 3.60 (คะแนนเต็ม 10) 63 163 2550 3.30 (คะแนนเตม็ 10) 84 179 2551 3.50 (คะแนนเต็ม 10) 80 180 2552 3.40 (คะแนนเต็ม 10) 84 180 2553 3.50 (คะแนนเตม็ 10) 78 178 2554 3.40 (คะแนนเตม็ 10) 80 183 2555 37 (คะแนนเต็ม 100) 88 176 2556 35 (คะแนนเต็ม 100) 102 177 ๒๕๕๗ ๓๘ (คะแนนเต็ม 100) ๘๕ ๑๗๕ ๒๕๕๘ ๓๘ (คะแนนเต็ม 100) ๗๖ ๑๖๘ 2559 35 (คะแนนเต็ม 100) 101 176 2560 37 (คะแนนเตม็ 100) 96 180 และเม่ือจัดอันดับประเทศในกลุ่มอาเซียน จานวน 10 ประเทศ เพื่อเปรียบเทียบดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์ คอร์รัปชันในปี พ.ศ. 2560 ประเทศสิงคโปร์ยังคงอันดับหนึ่งในกลุ่มอาเซียนเช่นเดียวกับ ปี พ.ศ. 2559 ตาม ตารางด้านล่างน้ี
- 74 - ตารางที่ 2 แสดงภาพลักษณ์คอรร์ ปั ชนั ประจาปี 2558 - 2560 ในภูมิภาคอาเซียน อนั ดับใน ประเทศ คะแนนปี ๒๕60 คะแนนปี ๒๕๕9 คะแนนปี ๒๕๕๘ อาเซยี น สิงคโปร์ 84 ๘4 ๘๕ ๑ บรไู น 62 58 - 2 มาเลเซยี 47 49 ๕๐ 3 อินโดนีเซยี 37 ๓7 ๓๖ 4 ไทย 37 ๓5 ๓๘ 5 เวยี ดนาม 35 ๓3 ๓๑ 6 ฟลิ ปิ ปนิ ส์ 34 ๓๕ ๓๕ 7 พมา่ 30 28 ๒๒ 8 ลาว 29 30 ๒๖ 9 กมั พูชา 21 ๒๑ ๒๑ 10 ในการประเมนิ ดชั นีการรบั รกู้ ารทุจริตท่ีผ่านมา จะถูกประเมินจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่ง ครอบคลุมด้าน ต่างๆ ทงั้ ด้านเศรษฐกิจ การเมือง การจัดการของรัฐบาล ความสามารถในการแข่งขันระดับประเทศ ความคิดเห็น เกี่ยวกับการรับรู้การทุจริต ประสิทธิภาพของภาครัฐและภาคเอกชนในการดาเนินงานและการวัดด้านความเป็น ประชาธิปไตยของประเทศ โดยวัดจากความคิดเห็นของประชาชนว่าประเทศนั้นมีความเป็นประชาธิปไตยมากน้อย แค่ไหน เช่น การมีส่วนร่วม ความเป็นเอกฉันท์ การเลือกตั้ง ความเท่าเทียม ความเป็นเสรี โดยทั้งหมดน้ีจะใช้ รูปแบบของการสอบถามจากนักลงทนุ ชาวต่างชาติท่เี ข้ามาทาธรุ กิจในประเทศ 2. ความอายต่อการทุจรติ แนวคดิ เกีย่ วกบั ความอายตอ่ การทุจรติ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคาว่าละอาย หมายถึง การรู้สึกอายที่จะทาในสิ่งที่ ไม่ถกู ไมค่ วร เชน่ ละอายทจี่ ะทาผิด ละอายใจ ความละอาย เป็นความละอายและความเกรงกลัวต่อส่ิงท่ีไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เพราะเห็นถึงโทษ หรือผลกระทบท่ีจะได้รับจากการกระทาน้ัน จึงไม่กล้าที่จะกระทา ทาให้ตนเองไม่หลงทาในส่ิงท่ีผิด นั่นคือ มคี วามละอายใจ ละอายตอ่ การทาผดิ ลักษณะของความละอายต่อการทจุ รติ ลักษณะของความละอายสามารถแบ่งได้ 2 ระดับ คือ ความละอายระดับต้น หมายถึง ความละอาย ไม่กล้าที่จะทาในสิ่งท่ีผิด เนื่องจากกลัวว่าเมื่อตนเองได้ทาลงไปแล้วจะมีคนรับรู้ หากถูกจับได้จะได้รับการลงโทษ หรือได้รับความเดือดร้อนจากสิ่งทตี่ นเองได้ทาลงไป จงึ ไมก่ ล้าท่ีจะกระทาผิด และในระดับท่ีสองเป็นระดับที่สูง คือ แมว้ ่าจะไม่มใี ครรบั รหู้ รือเห็นในสิ่งทีต่ นเองไดท้ าลงไป กไ็ มก่ ล้าทจี่ ะทาผิด เพราะนอกจากตนเองจะได้รับผลกระทบ แล้ว ครอบครัว สังคมก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ท้ังชื่อเสียงของตนเองและครอบครัวก็จะเสื่อมเสีย บางครั้ง การทุจริตบางเรือ่ งเป็นสิง่ เล็กๆ น้อยๆ เชน่ การลอกข้อสอบ อาจจะไม่มีใครใส่ใจหรือสังเกตเห็น แต่หากเป็นความ ละอายขน้ั สงู แลว้ บุคคลนน้ั กจ็ ะไมก่ ล้าทา
- 75 - 3. ความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต 3.1 แนวคิดเก่ียวกับความไม่ทนตอ่ การทุจริต พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคาว่า ทน หมายถึง การอดกล้ันได้ ทานอยู่ได้ เช่น ทนดา่ ทนทุกข์ ทนหนาว ไม่แตกหักหรอื บบุ สลายง่าย ความอดทน คือ การรู้จักรอคอยและคาดหวัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความม่ันคง แน่วแน่ต่อส่ิงที่รอคอย หรอื สิ่งที่จูงใจให้กระทาในส่ิงที่ไม่ดี ไม่ทน หมายถึง ไมอ่ ดกลั้น ไม่อดทน ไม่ยอม ดังนนั้ ความไม่ทน หมายถงึ การแสดงออกตอ่ การกระทาทเี่ กดิ ขึ้นกับตนเอง บุคคลที่เกี่ยวข้องหรือสังคม ในลักษณะทไี่ มย่ นิ ยอม ไม่ยอมรับในสิ่งท่ีเกิดขึ้น ความไม่ทนสามารถแสดงออกได้หลายลักษณะ ท้ังในรูปแบบของ กรยิ าทา่ ทางหรอื คาพูด ความไม่ทนต่อการทุจริตหรือการกระทาที่ไม่ถูกต้อง ต้องมีการแสดงออกอย่างใดอย่างหน่ึงเกิดขึ้น เช่น การแซงคิวเพื่อซื้อของ การแซงคิวเป็นการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง ผู้ถูกแซงคิวจึงต้องแสดงออกให้ผู้ที่แซงคิวรับรู้ว่า ตนเองไม่พอใจ โดยแสดงกิริยาหรือบอกกล่าวให้ทราบ เพื่อให้ผู้ที่แซงคิวยอมท่ีจะต่อท้ายแถว กรณีนี้แสดงให้เห็น วา่ ผทู้ ่ีถูกแซงคิว ไมท่ นต่อการกระทาท่ไี ม่ถูกตอ้ ง และหากผู้ที่แซงคิวไปต่อแถวก็จะแสดงให้เห็นว่าบุคคลน้ันมีความ ละอายตอ่ การกระทาทไ่ี ม่ถกู ต้อง เป็นตน้ ความไม่ทนต่อการทุจริต บุคคลจะมีความไม่ทนต่อการทุจริตมาก – น้อย เพียงใด ข้ึนอยู่กับจิตสานึก ของแต่ละบุคคลและผลกระทบท่ีเกิดขึ้นจากการกระทานั้นๆ แล้วมีพฤติกรรมท่ีแสดงออกมา ซึ่งการแสดงกริยา หรือการกระทาจะมีหลายระดับ เช่น การว่ากล่าวตักเตือน การประกาศให้สาธารณชนรับรู้ การแจ้งเบาะแส การร้องทุกข์กล่าวโทษ การชุมนุมประท้วงซ่ึงเป็นขั้นตอนสุดท้ายท่ีรุนแรงที่สุด เน่ืองจากมีการรวมตัวของคน จานวนมาก และสรา้ งความเสยี หายอยา่ งมากเชน่ กัน ความไม่ทนของบุคคลต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวที่ส่งผลในทางไม่ดีต่อตนเองโดยตรง สามารถพบเห็นได้ง่าย ซึ่งปกตแิ ล้วทกุ คนมักจะไม่ทนต่อสภาวะสภาพแวดล้อมท่ีไม่ดีและส่งผลกระทบต่อตนเองแล้ว มักจะแสดงปฏิกิริยา ออกมา แต่การที่บุคคลจะไม่ทนต่อการทุจริตและแสดงปฏิกิริยาออกมาน้ันอาจเป็นเร่ืองยาก เน่ืองจากปัจจุบัน สังคมไทยมีแนวโน้มยอมรับการทุจริต เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์หรือให้งานสามารถดาเนินต่อไปสู่ความสาเร็จ ซึ่งการยอมรับการทุจริตในสังคมไม่เว้นแม่แต่เด็กและเยาวชน และมองว่าการทุจริตเป็นเร่ืองไกลตัวและไม่มี ผลกระทบกับตนเองโดยตรง 3.2 ลักษณะของความไมท่ นต่อการทุจรติ ความไม่ทนต่อการทุจริต จากความหมายท่ีได้กล่าวมาแล้ว คือ เป็นการแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดขน้ึ เพ่ือให้รบั รู้ว่าจะไมท่ นตอ่ บุคคลหรือการกระทาใดๆ ที่ทาให้เกดิ การทุจรติ ความไม่ทนต่อการทุจริตสามารถ แบง่ ระดบั ตา่ งๆ ได้มากกว่าความละอาย ใช้เกณฑค์ วามรนุ แรงในการแบ่งแยก เช่น หากเพื่อนลอกข้อสอบเรา และ เราเห็นซึ่งเราจะไม่ยินยอมให้เพื่อนทุจริตในการลอกข้อสอบ เราก็ใช้มือหรือกระดาษมาบังส่วนที่เป็นคาตอบไว้ เช่นน้ีก็เป็นการแสดงออกถึงการไม่ทนต่อการทุจริต นอกจากการแสดงออกด้วยวิธีดังกล่าวที่ถือเป็นการแสดงออก ทางกายแล้ว การว่ากล่าวตักเตือนต่อบุคคลท่ีทุจริต การประณาม การประจาน การชุมนุมประท้วง ถือว่าเป็นการ แสดงออกซึ่งการไม่ทนต่อการทุจริตท้ังส้ิน แต่จะแตกต่างกันไปตามระดับของการทุจริต ความตื่นตัวของประชาชน และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทุจริต โดยท้ายบทน้ีได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่มีสาเหตุมาจากการทุจริต ทาให้ ประชาชนไมพ่ อใจและรวมตัวตอ่ ต้าน
- 76 - 4. ตัวอยา่ งความอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต การทุจริตมีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ทาให้เกิดความเสียหายอย่างมากในด้านต่างๆ หากนาเอาเงิน ท่ีทุจริตไปมาพัฒนาในส่วนอ่ืน ความเจริญหรือการได้รับโอกาสของผู้ท่ีด้อยโอกาสก็จะมีมากขึ้น ความเหลื่อมล้า ทางด้านโอกาส ทางด้านสังคม ทางด้านการศึกษา ฯลฯ ของประชาชนในประเทศก็จะลดน้อยลง ดังท่ีเห็น ในปัจจุบันว่าความเจริญต่างๆ มักอยู่กับคนในเมืองมากกว่าชนบท ท้ังๆ ท่ีคนชนบทก็คือประชาชนส่วนหนึ่งของ ประเทศ แต่เพราะอะไรทาไมประชาชนเหล่าน้ันถึงไม่ได้รับโอกาสให้ทัดเทียมหรือใกล้เคียงกับคนในเมือง ปัจจัย หน่ึงคอื การทุจริต สาเหตุการเกดิ ทจุ รติ มหี ลายประการตามที่กลา่ วมาแล้วขา้ งต้น แต่ทาอย่างไรถงึ ทาให้มีการทุจริตได้ มาก อย่างหนึง่ คือการลงทุน เม่ือมีการลงทุนก็ย่อมมงี บประมาณ เมอ่ื มีงบประมาณก็เป็นสาเหตุให้บุคคลท่ีคิดจะทุจริต สามารถหาชอ่ งทางดงั กล่าวในทางทจุ ริตได้ เม่ือประชาชนในประเทศมีความตื่นตัวท่ีว่า “ไม่ทนต่อการทุจริต” แล้ว จะทาให้เกิดกระแสการต่อต้าน ต่อการกระทาทุจริต และคนที่ทาทุจริตก็จะเกิดความละอายไม่กล้าท่ีจะทาทุจริตต่อไป เช่น หากพบเห็นว่ามีการ ทุจริตเกิดขึ้นอาจมีการบันทึกเหตุการณ์หรือลักษณะการกระทา แล้วแจ้งข้อมูลเหล่านั้นไปยังหน่วยงานหรือ สื่อมวลชนเพ่ือร่วมกันตรวจสอบการกระทาที่เกิดข้ึน และยิ่งในปัจจุบันเป็นสังคมสมัยใหม่ และกาลังเดินหน้า ประเทศไทยก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 แต่การจะเป็น 4.0 ให้สมบูรณ์แบบได้นั้น ปัญหาการทุจริตจะต้องลดน้อยลงไป ด้วย เมื่อประชาชนมีความตื่นตัวต่อการท่ีไม่ทนต่อการทุจริตแล้ว ผลท่ีเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ตัวอย่างท่ีจะนามา กล่าวถึงต่อไปน้ีเป็นกรณีที่เกิดข้ึนในต่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงความไม่ทนต่อการทุจริตที่ประชาชนได้ลุกข้ึนมา ต่อสู้ ต่อต้านต่อนักการเมืองท่ีทาทุจริต จนในที่สุดนักการเมืองเหล่านั้นหมดอานาจทางการเมืองและได้รับ บทลงโทษทง้ั ทางสงั คมและทางกฎหมาย ดงั นี้ 1. ประเทศเกาหลีใต้ เกาหลีใต้ถือเป็น ประเทศหน่ึงท่ีประสบความสาเร็จในด้านของการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ก็ยังคงมีปัญหา การทุจรติ เกดิ ขน้ึ อยบู่ า้ ง เช่น เมื่อปี พ.ศ. 2559 มีข่าวกรณีของ ประธานาธิบดีถูกปลดออกจากตาแหน่งเพราะเข้าไปมี ส่วนเกี่ยวขอ้ งในการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง โดยการ ท่ีมา : http://www.bbc.com/thai/international-39227441 ถูกกล่าวหาว่าให้เพ่ือนสนิทของครอบครัวเข้ามาแทรกแซงการบริหารประเทศ รวมถึงใช้ความสัมพันธ์ท่ีใกล้ชิดกับ ประธานาธิบดีแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ผลท่ีเกิดขึ้นคือถูกดาเนินคดีและตั้งข้อหาว่าพัวพันการทุจริตและใช้อานาจ หน้าที่ในทางมิชอบเพ่ือเอื้อผลประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง กรณีที่เกิดขึ้นนี้ประชาชนเกาหลีใต้ได้มีการรวมตัวกัน ประทว้ งกวา่ พันคนเรยี กร้องให้ประธานาธิบดีคนดังกล่าวลาออกจากตาแหนง่ หลงั มเี หตอุ ื้อฉาวทางการเมอื ง อกี กรณที ่ีจะกล่าวถึงเพื่อเป็นตัวอย่างการต่อต้านการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง คือ การที่นักศึกษาคนหน่ึงได้เข้า เรียนในมหาวิทยาลัยท้ังท่ีผลคะแนนท่ีเรียนมาน้ันไม่ได้สูง และการท่ีคุณสมบัติของนักศึกษาดังกล่าวมีคุณสมบัติไม่ ตรงกับการคัดเลือกโควต้านักกีฬาที่กาหนดไว้ว่าจะต้องผ่านการแข่งขัน ประเภทเด่ียว แตน่ กั ศึกษาคนดังกล่าวผ่านการแข่งขันประเภททีม เท่ากับว่า คุณสมบัติไม่ถูกต้องแต่ได้รับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดังกล่าว การกระทา เช่นน้ีจึงเป็นสาเหตุหน่ึงของการนาไปสู่การประท้วง ต่อต้านจากนักศึกษา และอาจารย์ของมหาวิทยาลัยดังกล่าว ซึ่งทางมหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถให้ คาตอบท่ีชัดเจนแก่กลุ่มผู้ประท้วงได้ จนในที่สุด ประธานของมหาวิทยาลัย ทม่ี า : https://teen.mthai.com/education / ดังกล่าวจึงลาออกจากตาแหน่ง 119903.html
- 77 - 2. ประเทศบราซิล ปลายปี พ.ศ. 2559 ประชาชนใน ป ร ะ เ ท ศ บ ร า ซิ ล ไ ด้ มี ก า ร ชุ ม นุ ม ป ร ะ ท้ ว ง ก า ร ทุ จ ริ ต ที่ เ กิ ด ข้ึ น เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อวัฒนธรรมการโกงของ ระบบราชการของประเทศ โดยมปี ระชาชนจานวนหลายหม่ืนคน เข้าร่วมการชุมนุมในครั้งน้ี และมีการแสดงภาพหนูเพ่ือเป็น สัญลักษณ์ในการประณามต่อนักการเมืองท่ีทุจริต การประท้วง ดังกล่าวยังถือว่ามีขนาดเล็กกว่าคร้ังก่อน เพราะที่ผ่านมาได้มี การทุจริตเกิดข้ึนและมีการประท้วง จนในท่ีสุดประธานาธิบดี ไดถ้ ูกปลดจาตาแหน่ง เนือ่ งจากการกระทาทล่ี ะเมิดต่อกฎระเบียบ ท่ีมา : https://www.dailynews.co.th/ foreign/540734 เรือ่ งงบประมาณ จากตัวอย่างข้างต้นแสดงใหเ้ ห็นถึงความต่ืนตัวของประชาชนท่ีออกมาต่อต้านต่อการทุจริต ไม่ว่าจะเป็น การทุจริตในระดับหน่วยเล็กๆ หรือระดับประเทศ เป็นการแสดงออกซ่ึงการไม่ทนต่อการทุจริต การไม่ทนต่อการ ทุจริตสามารถแสดงออกมาได้หลายระดับตั้งแต่การเห็นคนท่ีทาทุจริตแล้วตนเองรู้สึกไม่พอใจ มีการส่งเรื่อง ตรวจสอบ ร้องเรียน และในท่ีสุดคือการชุมนุม ประท้วง ตามตัวอย่างท่ีได้นามาแสดงให้เห็นข้างต้น ตราบใดที่ สามารถสร้างให้สังคมไม่ทนต่อการทุจริตได้ เมื่อน้ันปัญหาการทุจริตก็จะลดน้อยลง แต่หากจะให้เกิดผลดีย่ิงข้ึน จะต้องสรา้ งให้เกดิ ความละอายต่อการทจุ ริต ไม่กล้าท่จี ะทาทุจริต โดยนาเอาหลกั ธรรมทางศาสนามาเป็นเครื่องมือ ในการส่ังสอน อบรม ในขณะเดียวกันหากมีการทุจริตเกิดขึ้นกระบวนการในการแสดงออกต่อการ ไม่ทนต่อการทุจริตจะต้องเกิดข้ึน และมีการเปิดเผยชื่อบุคคลท่ีทุจริตให้กับสาธารณะชนได้รับทราบอย่างท่ัวถึง เมือ่ สังคมมที ัง้ กระบวนการในการปอ้ งกนั การทุจริต การปราบปรามการทจุ ริตท่ีดี รวมถึงการสร้างให้สังคมเป็นสังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต มีความละอายต่อการทาทุจริตแล้ว ปัญหาการทุจริตจะลดน้อยลง ประเทศชาติ จะสามารถพัฒนาไดม้ ากขน้ึ 5. การลงโทษทางสงั คม (Social Sanctions) คาว่า “การลงโทษโดยสังคม” หรือเรียกว่า “การลงโทษทางสังคม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษคาว่า “Social Sanction” พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2532 : 361 - 362) ได้ให้ความหมายของ คาว่า “Social Sanctions” เป็นภาษาไทยว่า สิทธานุมัติทางสังคม หมายถึง การขู่ว่าจะลงโทษหรือการสัญญาว่าจะให้ รางวัลตามที่กลุ่มกาหนดไว้สาหรับการประพฤติปฏิบัติของสมาชิกเพื่อชักนาให้สมาชิกกระทาตาม ข้อบังคับและ กฎเกณฑ์ Radcliffe-Brown (1952 : 205) อธิบายการลงโทษโดยสังคมว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางสังคม อยา่ งหนึง่ และเปน็ การแสดงออกถึงพฤตกิ รรมทีเ่ ป็นดา้ นตรงกันข้ามระหว่างการเห็นชอบกับการไม่เห็นชอบ พูดอีก อย่างหน่ึงก็คือการลงโทษโดยสังคมนั้นมีคุณลักษณะวิภาษ (dialectic) คือมีท้ังด้านบวกและด้านลบอยู่ภายใน ความหมายของตัวเองสาหรับการลงโทษโดยสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanctions) จะอยู่ในรูปของการให้ การสนับสนนุ หรอื การสร้างแรงจงู ใจ ฯลฯ Whitmeyer (2002 : 630-632) กล่าวว่า การลงโทษโดยสังคม มีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เป็นการ ทางานตามกลไกของสังคม การลงโทษโดยสังคมเป็นมาตรการควบคุมทางสังคมท่ีต้องการให้สมาชิกในสังคม ประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับร่วมกัน เม่ือสมาชิกปฏิบัติตามก็จะมีการให้รางวัลเป็น แรงจูงใจ และลงโทษเมื่อสมาชิกไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมและจะแสดงการไม่ยอมรับสมาชิกคนหน่ึงหรือ กล่มุ คนกลุ่มหนึ่ง
- 78 - โดยสรุปแล้ว การลงโทษโดยสังคม (Social Sanctions) หมายถึง ปฏิกิริยาปฏิบัติทางสังคม เป็น มาตรการควบคุมทางสงั คมที่ต้องการให้สมาชกิ ในสังคมประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ท่ีสังคมกาหนด โดยมีท้ังด้านลบและด้านบวก การลงโทษโดยสังคมเชิงลบ (Negative Social Sanctions) เป็นการลงโทษ โดย การกดดันและแสดงปฏิกิริยาต่อต้านพฤติกรรมของบุคคลท่ีไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคม ทาให้บุคคลน้ันเกิด ความอับอายขายหน้า การลงโทษทางสงั คม เปน็ การลงโทษกับบุคคลทป่ี ฏบิ ัติตนฝ่าฝืนกับธรรมเนียม ประเพณี หรือแบบแผนท่ี ปฏิบัติตอ่ ๆ กนั มาในชมุ ชน มกั ใชใ้ นลกั ษณะการลงโทษทางสังคมเชิงลบมากกว่าเชิงบวก การฝ่าฝืนดังกล่าวอาจจะ ไมผ่ ดิ กฎหมาย แตด่ ้วยธรรมเนียมท่ปี ฏบิ ัตสิ ืบตอ่ กันมานั้นถูกละเมิด ถูกฝ่าฝืน หรือถูกดูหม่ินเก่ียวกับความเชื่อของ ชมุ ชน ก็จะนาไปส่กู ารตอ่ ตา้ นจากคนในชุมชน แม้ว่าการฝ่าฝืนดังกล่าวจะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม และท่ีสาคัญไปกว่า นั้น หากการกระทาดังกล่าวผิดกฎหมายด้วยแล้ว อาจสร้างให้เกิดความไม่พอใจข้ึนได้ ไม่เพียงแต่ในชุมชนนั้น แต่อาจ เกย่ี วเนื่องไปกับชมุ ชนอืน่ รอบข้าง หรอื เป็นชุมชนที่ใหญ่ท่ีสุด นั่นคือ ประชาชนท้ังประเทศซ่ึงการลงโทษทางสังคม มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ดงั นี้ การลงโทษโดยสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanctions) จะอยู่ในรูปของการให้การสนับสนุนหรือ การสรา้ งแรงจงู ใจ หรอื การให้รางวลั ฯลฯ แก่บุคคลและสังคม เพื่อให้ประพฤติปฏิบัติสอดคล้องกับปทัสถาน (norm) ของสงั คมในระดับชุมชนหรือในระดับสงั คม การลงโทษโดยสังคมเชิงลบ (Negative Social Sanctions) จะอยู่ในรูปแบบของการใช้มาตรการต่างๆ ในการจดั ระเบียบสงั คม เชน่ การว่ากลา่ วตักเตอื น ซึง่ เป็นมาตรการขนั้ ต่าสดุ เรือ่ ยไปจนถึงการกดดันและบีบค้ันทาง จิตใจ (moral coercion) การต่อต้าน (resistance) และการประท้วง (protest) ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะโดย ปัจเจกบคุ คลหรือการชมุ นุมของมวลชน 6. ชอ่ งทางและวิธกี ารร้องเรยี นการทจุ ริต สามารถร้องเรียนมายังสานักงาน ป.ป.ช. ได้โดยมีวธิ กี ารดังน้ี 1) ทาเปน็ หนงั สือ “เรยี น เลขาธกิ ารคณะกรรมการ ป.ป.ช.” และส่งไปท่ีสานักงาน ป.ป.ช. เลขที่ 361 ถนนนนทบุรี ตาบลท่าทราย อาเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 หรือส่งมาท่ีตู้ ปณ. 100 ถนนพิษณุโลก เขตดุสติ กรุงเทพฯ 10300 หรอื สง่ มาท่สี านักงาน ป.ป.ช. ประจาจงั หวัดใกล้บา้ นของทา่ น 2) กลา่ วหาด้วยวาจาโดยตรงตอ่ เจา้ หน้าที่ของสานักงาน ป.ป.ช. สว่ นกลาง หรือสานักงาน ป.ป.ช. ประจาจังหวดั เพ่ือใหเ้ จา้ หนา้ ทท่ี าการบนั ทกึ คากล่าวหาไว้เปน็ พยานหลักฐาน 3) ทางโทรศัพทห์ มายเลข 0 2528 4800 – 49 หรอื สายดว่ น ป.ป.ช. โทร. 1205 4) ทางเวบ็ ไซต์สานักงาน ป.ป.ช. www.nacc.go.th หัวข้อ “ร้องเรยี น” โดยในคากลา่ วหา ตอ้ งมีรายละเอยี ด ดังนี้ ๑) ชือ่ – สกลุ ทอี่ ยู่ และหมายเลขโทรศพั ท์ของผ้กู ลา่ วหา ๒) ชอื่ – สกุล ตาแหน่ง สังกัด ของผู้ถูกกล่าวหา ๓) ระบขุ อ้ กล่าวหาการกระทาความผดิ 4) บรรยายการกระทาความผิดอยา่ งละเอียดตามหัวข้อ ดังน้ี 4.1 หากเป็นการกระทาความผิดต่อหน้าท่ี การกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ การกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม จะต้องระบุว่า การกระทาความผิดเกิดข้ึนเม่ือใด มีข้ันตอน หรือรายละเอียดการกระทาความผิดอย่างไร มีพยานบุคคลรู้เห็นเหตุการณ์หรือไม่ มีเอกสารหลักฐานที่เก่ียวข้อง หรือไม่ (ถ้าไม่สามารถนามาได้ให้ระบุว่าใครเป็นผู้เก็บรักษา) และในเร่ืองน้ีได้ร้องเรียนต่อหน่วยงานใดบ้าง เมื่อใด และผลเป็นประการใด
- 79 - 4.2 หากเป็นการกล่าวหาว่าร่ารวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพ่ิมข้ึนผิดปกติ จะต้องระบุ ว่า ฐานะเดิมของผู้ถูกกล่าวหา และภรรยาหรือสามี รวมทั้งบิดามารดาของท้ังสองฝ่ายเป็นอย่างไร ผู้ถูกกล่าวหา และภรรยาหรือสามี มีอาชีพอ่ืนๆ หรือไม่ ถ้ามีอาชีพอื่นแล้วมีรายได้มากน้อยเพียงใด และทรัพย์สินท่ีจะแสดงให้ เหน็ วา่ รา่ รวยผดิ ปกตมิ อี ะไรบ้าง เชน่ - บ้าน มีจานวนก่ีหลัง ตั้งอยู่ที่ใด (เลขที่บ้าน ถนน ซอย ตาบล/แขวง อาเภอ/เขต จังหวัด) ซือ้ เมื่อใด และราคาขณะซ้ือเทา่ ใด - ที่ดิน มีจานวนก่ีแปลง ตั้งอยู่ที่ใด (ถนน ซอย ตาบล/แขวง อาเภอ/เขต จังหวัด) ซ้อื เม่ือใด และราคาขณะซื้อเท่าใด - รถยนต์ มีจานวนกี่คัน ยี่ห้อ รุ่น สี หมายเลขทะเบียนรถ ซื้อเม่ือใด จากใคร และราคา ขณะซือ้ เทา่ ใด - มเี งนิ ฝากทีธ่ นาคารใด สาขาใด รวมท้ังทรพั ยส์ นิ อ่นื ๆ สาคัญทีส่ ุด คอื ตอ้ งให้ข้อมูลเกี่ยวกับชือ่ – สกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ ของผู้กล่าวหาที่สามารถติดต่อ ได้อย่างชัดเจน เพ่ือประโยชน์ในการติดต่อกลับเพ่ือยืนยันการกล่าวหาร้องเรียน ขอทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้ ชัดเจนจนสามารถดาเนินการต่อไปได้ และรายงานผลให้ผู้กล่าวหาทราบ ทั้งน้ี ข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับท่ีสุด ถา้ ไมต่ อ้ งการใหม้ กี ารเปดิ เผยช่อื ก็ใหบ้ อกด้วยว่าใหป้ กปิดช่ือ - ทีอ่ ยไู่ ว้เป็นความลับ ตอนทาคาส่ังไต่สวนจะได้ระบุ ไว้ตามความประสงค์ กรณีการร้องเรียนโดยไม่แจ้งชื่อ – สกุลจริง ถือว่าเป็น “บัตรสนเท่ห์” จะต้องระบุพยานหลักฐานให้ ชัดเจนเพยี งพอท่จี ะดาเนนิ การไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ ซ่งึ คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจจะรับไวพ้ จิ ารณา ทั้งน้ี สานักงาน ป.ป.ช. จะแจ้งกลับไปให้ผู้กล่าวหาทราบว่ารับเรื่องไว้พิจารณาและแจ้งผลการพิจารณา ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แตห่ ากประสงค์จะตดิ ตามเรอื่ งร้องเรียน ก็สามารถติดตามไดท้ างนี้ 1) ตดิ ตอ่ ดว้ ยตนเองท่สี านักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง หรือสานกั งาน ป.ป.ช. ประจาจงั หวัด 2) ทางโทรศัพท์หมายเลข 0 2528 4800 – 49 หรอื สายดว่ น ป.ป.ช. โทร. 1205 3) ทางเว็บไซต์ www.nacc.go.th หัวข้อ “ติดตามเร่ืองรอ้ งเรยี น” ทั้งน้ี โปรดจาเลขรับเรื่องจากสานักงาน ป.ป.ช. /วัน เดือน ปี ท่ียื่นเรื่อง / ช่ือ – สกุล เรื่อง ของผู้ถูก กล่าวหา นอกจากน้ี ยังสามารถร้องเรียนไปยงั หน่วยงานตา่ งๆ ไดด้ งั น้ี 1) ศูนย์บรกิ ารประชาชน สานกั งานปลัดสานกั นายกรฐั มนตรี (สายดว่ น) ทาเนยี บรัฐบาล หมายเลข 1111 บริการรับแจ้งเรื่องร้องทุกข์ ตลอด 24 ช่ัวโมง หรือรับร้องเรียนผ่านทาง โทร. 0 2283 1271 - 84 2) สานักงานการตรวจเงินแผน่ ดนิ โทร. 0 2271 8000 3) สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สานักงาน ป.ป.ท.) สายด่วน โทร. 1206 4) ศนู ย์ดารงธรรม กระทรวงมหาดไทย สายด่วน โทร. 1567 หรอื ศูนยด์ ารงธรรมจงั หวัด 5) คณะกรรมการธรรมาภบิ าลจังหวดั ในแต่ละจังหวัด 6) แจ้งความ ร้องทุกข์ กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ณ สถานีตารวจในเขตอานาจสอบสวน โดยพนักงานสอบสวนจะส่งเร่ืองท่ีหากอยู่ในอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปยังสานักงาน ป.ป.ช. เพ่ือ ดาเนินการตอ่ ไป
- 80 - บรรณานกุ รม ดชั นีช้วี ัดภาพลกั ษณ์คอร์รัปชัน. (2560). เข้าถงึ ได้จาก http://thaipublica.org/2017/01/corruption- perceptions-index-2016-thailand/ (วันท่คี น้ ขอ้ มูล : 15 กมุ ภาพันธ์ 2560). ประวตั ิหน่วยดับเพลงิ ในประเทศไทย. (ม.ป.ป.). เข้าถึงได้จาก http://www.firefara.org/firebrigade.html (วนั ทค่ี ้นขอ้ มลู : 24 กุมภาพันธ์ 2560). พระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ.2542 สงั ศติ พริ ิยะรังสรรค์ และคณะ. (2559). โครงการส่งเสรมิ และสนบั สนนุ มาตรการลงโทษทางสงั คม. ทนุ สนบั สนุนการวจิ ยั จากสานักงานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ เสาวนยี ์ ไทยร่งุ โรจน์ และคณะ. (2553). โครงการประเมินดา้ นสถานการณด์ ้านการทจุ รติ ในประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร : คณะอนกุ รรมการฝา่ ยวจิ ยั สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทจุ รติ แห่งชาติ สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ. (2558). เปิดแฟ้ม 10 คดีทุจริต บทเรียนราคาแพงของคนไทย. กรุงเทพมหานคร : อมรินพรน้ิ ตง้ิ แอนด์พับลิชชิ่ง ________________________________________________. (2560). ยทุ ธศาสตรช์ าติว่าด้วยการ ป้องกนั และปราบปรามการทุจริต.https://www.nacc.go.th/ more_news.php?cid=36 (วนั ทคี่ น้ ข้อมูล : 16 กุมภาพันธ์ 2560). กฎ ก.พ. ว่าดว้ ยหลกั เกณฑ์และวธิ ีการการให้บาเหนจ็ ความชอบ การกันเปน็ พยาน การลดโทษ และการให้ ความคมุ้ ครองพยาน พ.ศ.๒๕๕๓ หอการค้าไทย. (ม.ป.ป.). ผลกระทบจากการทจุ ริต. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.thairath.co.th/content/661992 (วันท่ีคน้ ข้อมูล : 15 กมุ ภาพันธ์ 2560). Radcliffe-Brown, A.R. (1952). Structure and function in primitive society. Illinois. The free Press.
- 81 - (6.3) STRONG : จติ พอเพยี งต้านทุจริต เมื่อวันท่ี 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จข้ึนเถลิง ถวัลยราชสมบัติ และเม่ือวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ณ พระท่ีนั่งไพศาลทักษิณ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกใน พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นเวลา 70 ปี ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชย์ ทรงมีพระราชปณิธาณที่จะให้ประชาชนชาวไทยได้ประโยชน์และความสุขของอย่างทั่วถึงกันท้ัง ประเทศ โดย “คน” เป็นศนู ยก์ ลางในการพัฒนา และทรงพระวิริยะอุตสาหะที่จะขจัดปัญหาต่างๆ ท้ัง อาทิ ปัญหา ด้านเศรษฐกิจ เกษตรกรรม สังคม การศึกษา เป็นต้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยสามารถ พึง่ พาตนเองอยา่ งม่ันคงและยงั่ ยนื ต่อไป พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระราชทานแนวพระราชดาริหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง จากพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ โดยมีใจความตอนหนงึ่ วา่ “...การพัฒนาประเทศจาเปน็ ตอ้ งทาตามลาดับข้ัน ตอ้ งสร้างพืน้ ฐาน คอื ความพอมีพอกนิ พอใชข้ องประชาชนสว่ นใหญเ่ ปน็ เบอื้ งต้นก่อน โดยใชว้ ิธกี ารและใช้อุปกรณ์ ทปี่ ระหยัดแต่ถูกตอ้ งตามหลักวชิ า เมอ่ื ไดพ้ ื้นฐานมนั่ คงพร้อมพอควรและปฏบิ ัตไิ ด้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความ เจริญและฐานะเศรษฐกจิ ขน้ั ที่สูงขึ้นโดยลาดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญยกเศรษฐกิจข้ึนให้รวดเร็ว แต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเร่ืองต่างๆ ข้ึนซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ท่ีอารยประเทศ หลายประเทศกาลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้...” ซ่ึงเป็นแนวพระราชดาริที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานแก่ราษฎร มานานกว่า 40 ปี เพื่อให้ราษฎร สามารถดารงชวี ิตด้วยการพงึ พาตนเอง มสี ตอิ ย่อู ย่างประมาณตนสามารถดารงชีพปกตสิ ขุ อย่างมนั่ คงและยั่งยืน เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 องค์การสหประชาชาติ (United Nations :UN) โดยนายโคฟีอันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ทลู เกลา้ ทูลกระหม่อม ถวายรางวัลความสาเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ของ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(The Human Development Lifetime Achievement Award) เพื่อ เทิดพระเกียรติเป็นกรณีพิเศษ ในวโรกาสท่ีทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยนายโคฟีอันนันได้กล่าวสุดดี พระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และกล่าวถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น หลักการที่มุ่งเน้นการกล่ันกรองในการบริโภคเน้นความพอประมาณและการมีภูมิคุ้มกันในตัวสามารถต้าน ทาน ผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ \"ทางสายกลาง\" จึงเป็นการตอกย้าแนวทางที่สหประชาชาติที่มุ่งเน้นคนเป็น ศูนย์กลางการพัฒนาเพ่ือคุณภาพชีวิตที่ดีและย่ังยืนต่อมาในปี พ.ศ. 2550 สานักงานโครงการพัฒนาแห่ง สหประชาชาติประจาประเทศไทย (United Nations Development Programme : UNDP) ได้กล่าวถึงปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง โดยจัดพิมพ์ในรายงานประจาปี 2007 เพื่อเผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปยังประเทศ สมาชกิ กวา่ 150 ประเทศทวั่ โลก STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจริต ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ไดม้ ีการวเิ คราะห์ภาพอนาคตของประชาชนและสังคมไทยในระยะ ๕ ปีข้างหน้าไว้ว่า หากยุทธศาสตร์ชาติฯ ได้รับ ความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนของสังคมไทยในการนาไปปฏิบัติจริง ประชาชนไทยจะมีความต่ืนตัวต่อการ ทุจรติ มากขึ้น มกี ารให้ความสนใจตอ่ ขา่ วสารและตระหนักถงึ ผลกระทบของการทุจริตท่ีมีต่อประเทศมากขึ้น มีการ แสดงออกซ่ึงการต่อต้านการทุจริตท้ังในชีวิตประจาวันและการแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะและส่ือสังคมออนไลน์ ต่างๆ ประชาชนในแตล่ ะชว่ งวยั ได้รับกระบวนการกล่อมเกลาทางสงั คมว่าการทจุ รติ ถอื เป็นพฤติกรรมทนี่ อกจาก
- 82 - จะผิดกฎหมายและทาให้เกิดความเสียหายต่อประเทศแล้ว ยังเป็นพฤติกรรมที่ผิดจริยธรรม ไม่ได้รับการยอมรับ จากสังคม ประชาชนจะเร่ิมเรียนรู้การปรับเปล่ียนฐานความคิดที่ทาให้สามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วน ตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ วัฒนธรรมทางสงั คมทม่ี ีฐานอยู่บนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะหล่อหลอม ให้ประชาชนไม่กระทาการทุจริตเนื่องจากมีพ้ืนฐานจิตที่พอเพียง มีความละอายต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ และ ไมย่ อมใหผ้ ู้อ่ืนกระทาการทุจริตอันส่งผลให้เกิดความเสยี หายต่อสังคมส่วนรวม เพ่ือให้ภาพอนาคตดังกล่าวสามารถบรรลุผลได้จริง หน่วยงานทุกภาคส่วนต้องให้ความสาคัญอย่าง แท้จริงกับการปรับประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประกอบกับหลักการต่อต้านการทุจริตอื่นๆ เพื่อสร้างฐานคิดจิตพอเพียงต่อต้านการทุจริตให้เกิดข้ึนเป็นพ้ืนฐานความคิดของปัจเจกบุคคล โดยประยุกต์หลัก “STRONG : จติ พอเพียงต้านทจุ รติ ” ซ่ึงคดิ คน้ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ ในปี พ.ศ. 2560 มาเปน็ แนวทางในการพฒั นาวัฒนธรรมหน่วยงาน คาอธิบายความหมายของ “STRONG : จติ พอเพียงต้านทจุ รติ ” ๑) S (sufficient) : ความพอเพียง ผู้นา ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กรและชุมชนน้อมนา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับประยุกต์เป็นหลักความพอเพียงในการทางาน การดารงชีวิต การพัฒนา ตนเองและส่วนรวม รวมถึงการปอ้ งกนั การทุจรติ อย่างยัง่ ยนื ความพอเพียงต่อส่ิงใดส่ิงหนึ่ง ของมนุษย์แม้ว่าจะแตกต่างกันตามพื้นฐาน แต่การตัดสินใจว่า ความพอเพียงของตนเองต้องตั้งอยบู่ นความมีเหตุมผี ลรวมทัง้ ต้องไมเ่ บยี ดเบยี นตนเอง ผ้อู น่ื และสว่ นรวม ความพอเพียงดังกล่าวจึงเป็นภูมิคุ้มกันให้บุคคลน้ันไม่กระทาการทุจริต ซ่ึงต้องให้ความรู้ความ เข้าใจ (knowledge) และปลกุ ใหต้ ืน่ รู้ (realize) ๒) T (transparent) : ความโปร่งใส ผู้นา ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กรและชุมชนต้อง ปฏิบัติงานบนฐานของความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ดังน้ัน จึงต้องมีและปฏิบัติตามหลักปฏิบัติ ระเบียบ ข้อปฏิบัติ กฎหมาย ด้านความโปรง่ ใส ซ่งึ ตอ้ งใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจ (knowledge) และปลกุ ใหต้ ื่นรู้ (realize)
- 83 - ๓) R (realize) : ความต่ืนรู้ ผู้นา ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กรและชุมชน มีความรู้ความ เข้าใจและตระหนักรู้ถึงรากเหง้าของปัญหาและภัยร้ายแรงของการทุจริตประพฤติมิชอบภายในชุมชนและประเทศ ความต่นื รจู้ ะบงั เกิดเมือ่ ไดพ้ บเห็นสถานการณท์ ี่เส่ียงต่อการทจุ ริต ย่อมจะมีปฏิกิริยาเฝ้าระวังและไม่ยินยอมต่อการ ทุจริตในที่สุดซ่ึงต้องให้ความรู้ความเข้าใจ (knowledge) เก่ียวกับสถานการณ์การทุจริตที่เกิดขึ้น ความร้ายแรง และผลกระทบต่อระดบั บคุ คลและสว่ นรวม ๔) O (onward) : มุ่งไปข้างหน้า ผู้นา ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กรและชุมชน มุ่งพัฒนา และปรับเปลี่ยนตนเองและส่วนรวมให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน บนฐานความโปร่งใส ความพอเพียงและ รว่ มสรา้ งวัฒนธรรมสจุ รติ ใหเ้ กดิ ขน้ึ อย่างไมย่ อ่ ท้อ ซงึ่ ต้องมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ (knowledge) ในประเด็นดังกลา่ ว ๕) N (knowledge) : ความรู้ ผู้นา ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กรและชุมชน ต้องมีความรู้ ความเข้าใจสามารถนาความรไู้ ปใช้ สามารถวเิ คราะห์ สังเคราะห์ ประเมินได้อย่างถ่องแท้ ในเร่ือง สถานการณ์การ ทุจริต ผลกระทบที่มีต่อตนเองและส่วนรวม ความพอเพียงต้านทุจริต การแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวและ ผลประโยชน์ส่วนรวมท่ีมีความสาคัญย่ิงต่อการลดการทุจริตในระยะยาว รวมท้ังความอายไม่กล้าทาทุจริตและ ความไม่ทนเม่ือพบเห็นว่ามกี ารทจุ รติ เกดิ ขนึ้ เพ่ือสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต ๖) G (generosity) : ความเอ้ืออาทร คนไทยมีความเอื้ออาทร มีเมตตา น้าใจ ต่อกันบนฐาน ของจติ พอเพยี งต้านทุจรติ ไมเ่ อือ้ ต่อการรับหรือการใหผ้ ลประโยชนห์ รือต่อพวกพ้อง S (sufficient) : ความพอเพยี ง พระราชดารัสพระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ท่ีเข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคลเน่ืองในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลยั สวนจติ รลดาฯ พระราชวงั ดสุ ิต วันศกุ ร์ท่ี 4 ธันวาคม 2541 “...คาว่าพอเพียง มีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายถึงการมีพอสาหรับใช้ของตัวเอง มีความหมายว่าพอมี พอกิน พอมีพอกินน้ี ถ้าใครได้มาอยู่ที่น่ี ในศาลาน้ีเมื่อ ๒๔ ปี ๒๕๑๗ ถึง ๒๕๔๑ ก็ ๒๔ ปี ใช่ไหม วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรจะปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมี พอกินนี้ก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนพอมี พอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าท้ังประเทศพอมีพอกินก็ย่ิงดีและประเทศไทยเวลานั้น ก็เริ่มจะไม่พอมี พอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย สมัยก่อนนี้พอมีพอกิน มาสมัยนี้ชักจะไม่พอมีพอกิน จึงต้องมีนโยบายที่จะทา เศรษฐกิจพอเพยี ง เพ่ือทจี่ ะให้ทุกคนมีพอเพียงได้...” “...คาว่าพอก็เพียง พอเพียงน้ีก็พอดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เม่ือมีความ โลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศใดมีความคิดอันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่า ทาอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงน้ีอาจจะมีมาก อาจจะมีของ หรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอ่ืน ต้องให้พอประมาณ พูดจาก็พอเพียง ทาอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็ พอเพยี ง…” “...อยา่ งเคยพูดเหมอื นกันวา่ ท่านทัง้ หลายที่น่ังอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่พอเพียงคืออยากจะไปนั่งบนเก้าอ้ีของผู้ที่ อย่ขู า้ งๆ อันนั้นไม่พอเพียงและทาไม่ได้ ถ้าอยากน่ังอย่างน้ันก็เดือดร้อนกันแน่เพราะว่าอึดอัด จะทาให้ทะเลาะกัน และเมอ่ื มีการทะเลาะกนั ก็ไม่มปี ระโยชนเ์ ลย ฉะน้ันควรทจี่ ะคดิ วา่ ทาอะไรพอเพียง...” “...ถ้าใครมีความคิดอยา่ งหนง่ึ และต้องการให้คนอ่ืนมีความคิดอย่างเดียวกับตัวซ่ึงอาจจะไม่ถูก อันน้ีก็ไม่ พอเพียง การพอเพียงในความคิดก็คือแสดงความคิด ความเห็นของตัวและปล่อยให้อีกคนพูดบ้างและมาพิจารณา ว่าท่ีเขาพูดกับที่เราพูด อันไหนพอเพียงอันไหนเข้าเร่ือง ถ้าไม่เข้าเร่ืองก็แก้ไขเพราะว่าถ้าพูดกันโดยท่ีไม่รู้เรื่องกัน ก็จะกลายเป็นการทะเลาะ จากการทะเลาะด้วยวาจาก็กลายเป็นการทะเลาะด้วยกาย ซ่ึงในท่ีสุดก็นามาสู่ความ เสยี หาย เสียหายแก่คนสองคนทเ่ี ปน็ ตัวการ เป็นตัวละครทั้งสองคน ถา้ เปน็ หมูก่ ็เลยเปน็ การตกี ันอยา่ งรนุ แรง ซึ่งจะ ทาให้คนอืน่ อีกมากเดอื ดรอ้ น ฉะน้นั ความพอเพียงนก้ี ็แปลวา่ ความพอประมาณและความมีเหตผุ ล...”
- 84 - สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประมวลและกล่ันกรองจาก พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เร่ืองเศรษฐกิจพอเพียง และขอพระราชทาน พระบรมราชานญุ าตนาไปเผยแพร่ ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไข และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม พระราชทานพระบรมราชานญุ าตตามทข่ี อพระมหากรณุ าโดยมีใจความว่า “เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ท้ังในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพ่ือให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจาก การเปลีย่ นแปลงทั้งภายนอกและภายใน ท้ังนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่าง ยง่ิ ในการนาวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดาเนินการทุกข้ันตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้าง พื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสานึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความ รอบคอบ เพ่ือให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม ส่ิงแวดล้อม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ปน็ อยา่ งดี” คุณลักษณะที่สาคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เง่ือนไข คือแนวทาง การดาเนินชีวิตให้อยู่บนทางสายกลางตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือพ้นจากภัยและวิกฤติการณ์ต่างๆ ทเ่ี กิดขึน้ กอ่ ให้เกดิ คุณภาพชีวิตทด่ี อี ยา่ งมน่ั คงและยั่งยนื ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดตี ่อความจาเป็นไม่มากเกนิ ไป ไมน่ ้อยเกินไปและ ตอ้ งไมเ่ บียดเบียนตนเองและผ้อู ่ืน ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจดาเนินการเร่ืองต่างๆ อย่างมีเหตุผลตามหลัก วิชาการ หลักกฎหมาย หลักศีลธรรม จริยธรรมและวัฒนธรรมที่ดีงาม คิดถึงปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องอย่างถ่ีถ้วน โดย คานึงถงึ ผลทคี่ าดวา่ จะเกดิ ข้นึ จากการกระทาน้ันๆ อย่างรอบคอบ มีภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการ เปล่ยี นแปลงดา้ นเศรษฐกจิ สังคม สิง่ แวดลอ้ มทจ่ี ะเกิดขน้ึ เพื่อให้สามารถปรับตวั และรับมอื ได้อย่างทนั ท่วงที เง่ือนไขในการตดั สินใจในการดาเนนิ กจิ กรรมต่างๆ ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง ๑. เง่ือนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องรอบด้าน ความ รอบคอบทจี่ ะนาความรู้เหลา่ น้ันมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมดั ระวงั ในการปฏบิ ตั ิ ๒. เง่ือนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความ ซอ่ื สตั ยส์ จุ ริต และมคี วามอดทน มีความเพยี ร ใช้สติปญั ญาในการดาเนนิ ชีวิต ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางดาเนินชีวิตทางสายกลาง การพ่ึงตนเอง รู้จักประมาณตนอย่าง มีเหตุผล อยู่บนพ้ืนฐานความรู้และคุณธรรมในการพิจารณา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงดาเนินการไม่ได้ เฉพาะเจาะจงในเรื่องของเศรษฐกิจแต่เพยี งอย่างเดยี วแต่ยังครอบคลุมไปถึงการดาเนินชีวิตด้านอื่นๆ ของมนุษย์ให้ อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข อย่างเช่น หากเรามีความพอเพียง เราจะไม่ทุจริต คดโกง ไม่ลักขโมยของ เบียดเบียนผู้อื่น ก็จะส่งผลให้ผ้อู นื่ ไมเ่ ดอื ดรอ้ น สงั คมก็อยู่ไดอ้ ยา่ งปกตสิ ุข
- 85 - แบบอยา่ งในเรอื่ งของความพอเพียง เรือ่ ง ฉลองพระองค์ บนความ “พอเพียง”: หนงั สอื พมิ พ์คม ชดั ลกึ 24 ตุลาคม 2559 นายสุนทร ชนะศรีโยธิน เจ้าของร้านสูท “วินสัน เทเลอร์” ได้บอกเล่าพระราชจริยวัตรในด้าน “ความพอเพียง”ท่ีพระองค์ท่านทรงปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง ว่า “นายตารวจนามาให้ผมซ่อม เป็นผ้ารัดอกสาหรับ เล่นเรือใบสภาพเก่ามากแล้ว นายตารวจท่านน้ันบอกว่าไม่มีร้านไหนยอมซ่อมให้เลย ผมเห็นว่ายังแก้ไขได้ก็รับมา ซ่อมแซมให้ไม่คิดเงิน เพราะแค่นึกอยากบริการแก้ไขให้ดีให้ลูกค้าประทับใจ แต่ไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ใน พระราชสานักตอนนัน้ ผมบอกไมค่ ดิ คา่ ตัดบอกเขาว่าไม่รับเงิน แก้ไขแค่นี้ ผมมีน้าใจ ผมเปิดร้านเส้ือเพราะต้องการ ให้มีชื่อเสียงด้านคุณภาพและบริการลูกค้ามากกว่า แก้ไขนิดเดียวก็อยากทาให้เขาดีๆ ไม่ต้องเสียเงิน ตอนนั้นเขา ถามผมอีกว่า แล้วจะเอามาให้ทาอีกได้ไหม เราก็บอกได้เลยผมบริการให้ จากนั้นเราก็รับแก้ชุดให้ให้นายตารวจ ทา่ นน้เี รื่อยๆ เขาขอให้คิดเงินก็ไมค่ ิดให้ พอครง้ั ท่ี 5 นสี่ ิ ทา่ นเอาผ้ามา 4-5 ผืน จะให้ตัดถามผมว่า เท่าไหร่ๆ แล้ว กร็ บี ควักนามบตั รมาให้ผม ทา่ นชอื่ พล.ต.ต.จรสั สดุ เสถียร ตาแหน่งเขยี นวา่ เป็นนายตารวจประจาราชสานัก ท่าน บอกวา่ “สิง่ ทเ่ี ถ้าแก่ทาให้เปน็ ของพระเจ้าอยู่หัวนะ” ผมอึ้งมากรีบยกมือท่วมหัว ดีใจที่ได้รับใช้เบ้ืองพระยุคลบาทแล้ว” นายสุนทรเล่าด้วยน้าเสียงตื้นตันใจแต่ละฉลองพระองค์ท่ีได้รับมาให้ซ่อมแซม ถ้าเป็นคนอื่นผ้าเก่าขนาดน้ันเขาไม่ ซ่อมกันแล้ว เอาไปท้ิงหรือให้คนอ่ืนๆ ได้แล้ว แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีความมัธยัสถ์แต่ละองค์ท่ีเอามา เกา่ มาก เชน่ เสื้อสูทสีฟา้ ชัยพัฒนา ผ้าเก่าสีซีดมากแล้ว ตรงตราชัยพัฒนามัวหมอง ตรงด้ินทองก็หลุดเกือบหมด ผม เอามาแกะหมดเลยให้โรงงานปักใหม่ให้เหมือนแบบเดิม เพราะเข้าใจว่าท่านอยากได้ฉลองพระองค์องค์เดิม แต่ เปลี่ยนตราให้ดูใหม่ ถ้าสมมุติวันน้ีมีเจ้าหน้าที่มาส่งซ่อม พรุ่งน้ีเย็นๆ ผมก็ทาเสร็จส่งคืนเข้าไป เจ้าหน้าท่ีท่ีมารับ ฉลองพระองค์ชอบถามว่า ทาไมทาไว ผมตอบเลยวา่ เพราะต้ังใจถวายงานครับ ผมอยู่ผืนแผ่นดินไทย ใตร้ ม่ พระบารมีของ พระองค์ ผมก็อยากได้รบั ใช้เบอ้ื งพระยคุ ลบาทสักเร่อื ง ผมเป็นแคช่ ่างตดั เส้ือ ได้รับใชข้ นาดนผ้ี มก็ปลม้ื ปีติทสี่ ดุ แล้ว “ผมถือโอกาสนาหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านมาใช้ตลอด เสื้อผ้าเก่าๆ ท่ีได้รับมาวันแรกทา ให้รู้ว่าพระองค์ทรงอยู่อย่างประหยัด มัธยัสถ์ ทรงเป็นแบบอย่างความพอเพียงให้แก่ประชาชน และเม่ือได้ถวาย งานบ่อยครั้งทาให้ผมตระหนักว่าคนเราวันหน่ึงต้องคิดพิจารณาตัวเองว่าสิ่งไหนบกพร่องก็ต้องแก้ไขส่ิงน้ัน ทุกคน ต้องแก้ไขสิ่งท่ีบกพร่องก่อน งานถึงจะบรรลุเป้าหมาย และเมื่อประสบความสาเร็จแล้วอย่าลืมตั้งใจทาส่ิงดีๆ ให้ ประเทศชาตติ ลอดไป” ข้อคดิ และขอ้ ปฏบิ ตั ดิ ีๆ ทไี่ ด้จากพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวของชา่ งสุนทร ฉลองพระบาท ก.เปรมศลิ ป์ ช่างซอ่ มฉลองพระบาท รอยเท้าในหลวง ร. 9 รอยเทา้ ของความพอเพียง นายศรไกร แน่นศรีนิล หรือช่างไก่ ช่างนอกราชสานักผู้ถวายงานซ่อมฉลองพระบาท ในหลวงรัชกาลที่ 9 มานานกว่า 10 ปี ปัจจุบันยังเป็นเจ้าของร้านซ่อมรองเท้า ก.เปรมศิลป์ บริเวณสี่แยกพิชัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ ประมาณปี 2546 มลี กู ค้าสวมชุดพระราชสานักมา 2 คน เดินประคองถุงผ้าลายสก๊อต ด้านในเป็นรองเท้าเข้ามา ในร้าน พอวางรองเท้าลงก็ก้มลงกราบ เลยถามว่า เอาอะไรมาให้ ลูกค้ารายน้ันตอบว่า ฉลองพระบาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ยินเท่าน้ัน ทาตัวไม่ถูก ขนลุก พูดอะไรไม่ถูก ในใจคิดแต่เพียงว่าโชคดีแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีโอกาสได้ซ่อมรองเท้าของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ช่างไก่ เล่าว่า รองเท้าคู่แรกท่ีในหลวง ร. 9 ทรง นามาซ่อม เป็นรองเท้าหนังสีดา ทรงคัทชู แบรนด์ไทย เป็นฉลองพระบาทคู่โปรดของพระองค์ เบอร์ 43 เท่าที่ สังเกตสภาพชารุดทรุดโทรม ราวกับใส่ใช้งานมาแล้วหลายสิบปี ภายในรองเท้าผุกร่อนหลุดลอกหลายแห่ง ถา้ เปน็ คนทั่วไปจะแนะนาใหท้ ้งิ แล้วซอ้ื ใหม่ “จริงๆ ผมใช้เวลาซ่อมรองเท้าคู่นั้นไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็เสร็จ แต่ด้วยความท่ีอยากให้รองเท้าคู่นั้นอยู่ในบ้าน ให้นาน เลยบอกเจ้าหน้าทว่ี ่า ใช้เวลาซ่อม 1 เดอื น ซึง่ ฉลองพระบาทคนู่ ้ี ทรงโปรดใชท้ รงดนตรี”
- 86 - นับจากนั้นเป็นต้นมาช่างไก่ยังมีโอกาสได้ถวายงานซ่อมฉลองพระบาทอีกหลายคู่ ซึ่งคู่ที่ 2 และคู่ที่ 3 เปน็ รองเท้าหนังสีดา ทรงคัทชู คู่ท่ี 4 ฉลองพระบาทหนังวัว ทรงฮาฟ มักใส่ในงานราชพิธี ซ่ึงฉลองพระบาทคู่น้ี มี รอยพระบาทตดิ มากบั แผ่นรองเทา้ ชา่ งไกเ่ ก็บแผ่นรองเท้าไว้ทรี่ ้านเพือ่ ความเป็นสิรมิ งคล ส่วนฉลองพระบาทคู่ท่ี 5 ทรงนามาเปล่ียนพ้ืน ฉลองพระบาทคู่ท่ี 6 เปน็ รองเท้าเปิดสน้ ซง่ึ คุณทองแดง สนุ ขั ทรงเล้ยี งกดั รวมแล้วทั้งหมด 6 คู่ “ผมซ่อมฉลองพระบาททุกคู่อย่างสุดความสามารถ ซ่ึงรองเท้าของพระองค์จะนาไปวางปนกับของลูกค้าคนอื่น ไม่ได้ เลยซื้อพานมาใส่พร้อมกับผ้าสีเหลืองมารอง แล้วนาไปวางไว้ท่ีสูงที่สุดในร้าน เพราะท่านคงทรงโปรดมาก สภาพรองเท้าชารุดมาก ซับในรองเท้าหลุดออกมาหมด ถ้าเป็นเศรษฐีท่ัวไปคงจะไม่นามาใช้แล้ว แต่นี่พระองค์ยัง ทรงใชค้ เู่ ดิมอยู่” ประการสาคัญที่ทาให้ชายผู้นี้ได้เรียนรู้จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ “ความพอเพยี ง” ขนาดฉลองพระบาทขาดและเก่ายังส่งมาซ่อม หากคนไทยเดินตามรอยของพระองค์ท่าน ชีวิตไม่ ฟงุ้ เฟ้อจะเปน็ สุขกนั มากกวา่ น้ี “ดร.สเุ มธ ตันติเวชกลุ ” เขียนไว้ในหนังสือ “ใตเ้ บอื้ งพระยคุ ลบาท” “...พระองค์ท่าน ทรงเป็นผู้นาอย่างแท้จริง ดูแค่ฉลองพระบาทเป็นต้น พวกตามเสด็จฯ ท้ังหลาย ใสร่ องเทา้ นอก และยง่ิ มาจากต่างประเทศใส่แลว้ น่มุ เท้าดี พระองค์กลับทรงรองเท้าท่ีผลิตในเมืองไทยคู่ละร้อยกว่า บาทสดี าเหมือนอย่างทน่ี กั เรียนใส่กนั แม้กระทั่งพวกเรายงั ไมซ่ ื้อใสเ่ ลย...” “ดร.สุเมธ ตนั ติเวชกุล” เขยี นไวใ้ นหนังสือ “ใต้เบื้องพระยุคลบาท” นาฬกิ าบนข้อพระกร วันงานเปิดตัวรายการทีวี “ธรรมดีที่พ่อทา” และงานสัมมนา “ถอดรหัส”ธรรมดีที่พ่อทาพอเร่ิมบรรยาย ดร.สุเมธ ตนั ติเวชกลุ ถามผู้ฟังวา่ พวกเรามเี ส้อื ผ้าคนละกช่ี ดุ ใส่นาฬกิ าเรือนละเท่าไหร่ หลายคนแย่งกันตอบ และ พากันองึ้ เมอ่ื ดร.สุเมธ ตันตเิ วชกลุ เล่าว่า \"ครง้ั หนึ่ง ผมพยายามจะแอบดูวา่ พระองค์ท่านใส่นาฬิกาย่ีห้ออะไร จน พระองค์ท่านรู้สึกได้ว่าผมพยายามอยากจะดูยี่ห้อ ท่านจึงย่ืนข้อพระหัตถ์มาให้ดูตรงหน้า จึงทราบว่าพระองค์ท่าน ใส่นาฬิการาคาเพียงเรือนละ 750 บาทเท่านั้นซ่ึงก็เดินตรงเหมือนกันกับนาฬิกาเรือนแพง แม้กระทั่ง ฉลองพระองคก์ ท็ รงมีไม่กชี่ ุด ทรงใช้จนเปื่อยซีด แต่พวกเรามักคิดว่า การมีแบบเหลือกินเหลือใช้จึงจะดี เพราะคน สมัยนี้เร่มิ ไมเ่ อาเกษตรกรรม แต่เลือกทจี่ ะทาอตุ ส่าหากรรม (เปน็ ศพั ท์ทบี่ ัญญตั ิขน้ึ เอง สดุ ท้ายอนาคตก็จะอดกิน\" ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ถามอีกว่า คนในห้องนี้มีรองเท้าคนละก่ีคู่ ก็มีนักธุรกิจสตรีตอบว่า ร้อยกว่าคู่ ดร.สเุ มธ จงึ ถามตอ่ วา่ วนั นใี้ ส่มากี่คู่ ถ้าจะใช้ให้คมุ้ ทาไมไม่เอามาแขวนคอด้วย (ทาเอาบรรยากาศในห้องเงียบสงัด เพราะโดนใจกันเต็มๆ) ก่อนจะบอกว่า พระองค์ทรงฉลองพระบาทคู่ละ 300-400 บาท ขณะท่ีข้าราชบริพาร ใส่รองเท้าคู่ละ 3-4 พัน แต่เวลาท่ีพระองค์ทรงออกเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ห่างไกล ท่ีสุดแล้วข้าราชบริพารก็เดินตาม พระองคไ์ ม่ทันอยดู่ ี เวลาเดินคนเราใส่รองเทา้ ไดค้ ูเ่ ดยี ว อีกทง้ั ฉลองพระบาทของพระองค์ยังถูกนาสง่ ไปซอ่ มแลว้ ซอ่ มอีก หลอดยาสีพระทนต์ หลอดยาสีพระทนต์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีลักษณะแบนราบเรียบ คล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอดยิ่งปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด สาเหตุที่เป็นเช่นน้ี เพราะพระองค์ท่านทรงใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีดและกดจนเป็นรอยบุ๋ม ศาสตราจารย์พิเศษ ทันตแพทย์หญิง ทา่ นผหู้ ญงิ เพ็ชรา เตชะกมั พชุ ทันตแพทย์ประจาพระองค์ อดีตคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เขียนเล่าว่า \"ครั้งหนึ่งทันตแพทย์ประจาพระองค์ กราบถวายบังคมทูลเรื่องศิษย์ทันตแพทย์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย บางคนมีค่านิยมในการใช้ของต่างประเทศ และมีราคาแพง รายที่ไม่มีทรัพย์พอซ้ือหาก็ยังขวนขวาย เชา่ มาใช้เป็นการชั่วครัง้ ช่ัวคราว ซ่ึงเท่าทที่ ราบมา มีความแตกต่างจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงนิยมใช้ กระเปา๋ ทผ่ี ลิตภายในประเทศเชน่ สามญั ชนท่วั ไป ทรงใชด้ ินสอสน้ั จนตอ้ งต่อดา้ ม แมย้ าสีพระทนตข์ องพระองค์ท่าน กท็ รงใช้ด้ามแปรงพระทนต์รดี หลอดยาจนแบนจนแนใ่ จวา่ ไม่มียาสีพระทนต์หลงเหลืออยู่ในหลอดจริงๆ\"
- 87 - \"เมื่อกราบบงั คมทูลเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับส่ังว่า ของพระองค์ท่านก็เหมือนกัน และ ยังทรงรบั สง่ั ต่อไปอกี ด้วยวา่ เมอื่ ไมน่ านมานเี้ องมหาดเล็กห้องสรง เห็นว่ายาสีพระทนต์ของพระองค์คงใช้หมดแล้ว จึงได้นาหลอดใหม่มาเปล่ียนให้แทน เม่ือพระองค์ได้ทรงทราบ ก็ได้ขอให้เขานายาสีพระทนต์หลอดเก่ามาคืนและ พระองคท์ ่านยงั ทรงสามารถใช้ต่อไปไดอ้ กี ถงึ 5 วนั จะเหน็ ได้ว่าในส่วนของพระองค์ท่านเองน้ัน ทรงประหยัดอย่าง ย่งิ ซึง่ ตรงกนั ข้ามกบั พระราชทรพั ย์ส่วนพระองค์ท่ีทรงพระราชทานเพื่อราษฎรผยู้ ากไร้อยเู่ ป็นนจิ \" \"พระจริยวัตรของพระองค์ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มชัดถึงพระวิริยะ อุตสาหะ ตลอดจนความประหยัด ในการใช้ของอย่างคุ้มค่า หลังจากนั้นทันตแพทย์ประจาพระองค์ได้กราบพระบาททูลขอพระราชทานหลอดยาสี พระทนตห์ ลอดน้นั เพือ่ นาไปให้ศิษย์ไดเ้ หน็ และรบั ใส่เกล้าเปน็ ตวั อย่างเพื่อประพฤติปฏิบตั ใิ นโอกาสตอ่ ๆ ไป\" \"ประมาณหน่ึงสัปดาห์หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานส่งหลอดยาสีพระทนต์ เปล่าหลอดนั้นมาให้ถึงบ้าน ทันตแพทย์ประจาพระองค์รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าย่ิง เม่ือได้ พิจารณาถึงลกั ษณะของหลอดยาสีพระทนต์เปล่าหลอดนั้นแล้วทาให้เกิดความสงสัยว่า เหตุใดหลอดยาสีพระทนต์ หลอดน้ีจงึ แบนราบเรียบโดยตลอด คลา้ ยแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบรเิ วณคอหลอดยงั ปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปเกือบถึง เกลยี วคอหลอด เมอ่ื ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ อกี คร้ังในเวลาต่อมา จึงได้รับคาอธิบายจากพระองค์ว่า หลอดยาสีพระทนต์ ทเี่ หน็ แบนเรยี บน้นั เปน็ ผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีดและกดจนเป็นรอยบุ๋มท่ีเห็นนั่นเอง และเพื่อท่ีจะ ขอนาไปแสดงให้ศษิ ย์ทันตแพทยไ์ ดเ้ ห็นเป็นอุทาหรณ์ จึงได้ขอพระราชานุญาต ซ่ึงพระองค์ท่านก็ได้ทรงพระเมตตา ด้วยความเต็มพระราชหฤทัย\" ภาพหลอดยาสีพระทนต์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีท่ีมาจากทันตแพทย์ประจาพระองค์ (ท่าน ผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช) ได้กราบถวายบังคมทูลพระองค์ท่านเรื่องลูกศิษย์บางคนมีค่านิยมใช้ของต่างประเทศ และของมีราคาแพง แม้บางรายไม่มีเงินพอที่จะซื้อหาก็ยังขวนขวายไปเช่ามาช่ัวคร้ังช่ัวคราว ซึ่งเท่าท่ีทราบมา แตกต่างจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงนิยมใช้กระเป๋าที่ผลิตภายในประเทศเช่นสามัญชนท่ัวไป ทรงใช้ ดินสอส้ันจนต้องต่อด้าม แม้จนยาสีฟันพระทันต์ของพระองค์ท่านก็ใช้ด้ามแปรงพระทนต์รีดหลอดยาจนแบน จน แน่ใจว่าไม่มียาสีพระทนตห์ ลงเหลืออยู่ในหลอดจรงิ ๆ เมื่อกราบบงั คมทลู เสรจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวทรงตรัสว่า “...ของเรา กม็ ี วันกอ่ นยังใช้ไม่หมด มหาดเลก็ มาทาความสะอาดห้องสรง คิดว่าหมดแล้วมาเอาไป แล้วเปลี่ยนหลอดใหม่มาให้ เราบอกใหไ้ ปตามกลบั มา เรายังใชต้ อ่ ไดอ้ กี ๕ วนั ...” จึงได้กราบพระบาทของทูลขอพระราชทานหลอดยาสีพระทนต์ หลอดนั้น หลอดยาสีพระทนต์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้จนแบนราบเรียบโดย ตลอด คล้าย แผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบรเิ วณคอหลอดยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปเกือบถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งได้รับคาอธิบายจาก พระองค์ภายหลังว่า หลอดยาสีพระทนต์ท่ีเห็นแบนเรียบนั้นเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีดและกด จนเป็นรอยบุ๋มอย่างทเี่ ห็นน่นั เอง หอ้ งทรงงาน ห้องทรงงานพระตาหนักจิตรลดารโหฐานไม่ได้หรูหราประดับด้วยของแพงแต่อย่างใด เวลาทรงงานจะ ประทับบนพ้ืนพระตาหนักจิตรลดารโหฐาน มิได้ประทับพระเก้าอ้ีเวลาทรงงาน เพราะทรงวางส่ิงของต่างๆ ได้ สะดวก ห้องทรงงานเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3 x 4 เมตร ภายในห้องทรงงานจะมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรสาร โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เทเล็กซ์ เครื่องบันทึกเสียง เคร่ืองพยากรณ์อากาศ เพื่อจะได้ทรงสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ทันท่วงที โดยผนังหอ้ งทรงงานโดยรอบมแี ผนทท่ี างอากาศแสดงถงึ พื้นทปี่ ระเทศ ห้องทรงงานของพระองค์ก็เป็นอีกสิ่งหน่ึง ท่ีเตือนสติคนไทยได้อย่างมาก โต๊ะทรงงานหรือเก้าอ้ีโยก รปู ทรงหรหู ราไมเ่ คยมปี รากฏในห้องน้ี ดังพระราชดารัสของพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนหนึ่ง ที่ว่า “...สานักงานของท่าน คือห้องกว้างๆ ไม่มีเก้าอ้ี มีพ้ืน และท่านก็ก้มทรงงานอยู่กับพื้น...” น่ันเอง นับเป็น แบบอย่างของความพอดี ไมฟ่ ุ้งเฟ้อโดยแท้
- 88 - บรรณานกุ รม https://www.youtube.com/watch?v=buvNmqtbz_g http://www.amarin.com/royalspeech/speech41.htm http://www.tsdf.or.th/th/kingspeech.aspx
- 89 - (6.4) พลเมอื งกบั ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม 1. ความหมายและท่ีมาของคาศัพท์ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับพลเมือง คาว่า “พลเมือง” มีความหมายในหลายแง่มุม และมีการนาไปใช้เทียบกับคาอื่นๆ อาทิ ประชากร ประชาชน ปวงชน และราษฎร์ ฯลฯ แต่หากพิจารณาให้ละเอียดจะสามารถทาความเข้าใจความหมายของคาต่างๆ ทค่ี ล้ายกัน ได้ดงั นี้ ประชาชน หมายความถึง คนท่ัวไป คนของประเทศ ซ่ึงไม่ใช่ผู้ปกครอง เป็นสามัญชนอยู่ภายใต้รัฐ เช่น ประชาชนทกุ คนมหี น้าทตี่ อ้ งรู้กฎหมาย ใครจะปฏิเสธวา่ ไม่รู้ไม่ได้ ประชากร หมายถงึ คนโดยทั่วไป โดยมกั ใช้ในกรณีพิจารณาถงึ จานวน ราษฎร คาว่า \"ราษฎร\" เป็นคาเก่าแก่ท่ีมีใช้กันมานาน ในกฎหมายสมัยกรุงศรีอยุธยาและกฎหมายตราสาม ดวง ก็มกี ารใชค้ าว่า “ราษฎร” หมายถงึ คนโดยทั่วไป แต่วา่ “ราษฎร” เปน็ คาท่ใี ชใ้ นช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจาก สงั คมไทยสมยั โบราณ ประชาชนเป็นไพร่หรือทาสเกือบท้ังหมด พอมาถึงช่วงรัชกาลท่ี 5 ได้มีการเปล่ียนแปลงการ บริหารราชการแผ่นดินคร้ังใหญ่และได้ทาการเลิกทาสเลิกไพร่ทาให้ประชาชนเหล่านั้นกลายเป็นราษฎรหรือเสรีชน ท่ีไม่ต้องเป็นข้ารับใช้มูลนายและมีสถานะทางกฎหมายเท่าเทียมกัน จึงเรียกอดีตไพร่ ทาส ขุนนาง รวมท้ังชนช้ันใหม่ๆ ว่า “ราษฎร”ในความหมายของ ผู้ที่ต้องเสียภาษีให้กับรัฐและต้องปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองเช่นเดียว กนั หมด ปัจจุบันคาว่าราษฎร และประชาชน มีความหมายเกือบจะเหมือนกัน แต่ประชาชน สื่อถึงการเป็น เจา้ ของประเทศ และเจา้ ของอานาจอธิปไตย มากกว่าราษฎร ส่วนราษฎรมีนัยของคนท่ีเสียเปรียบคนที่ด้อยกว่าอยู่ ด้วย และมีนัยความหมายเป็นทางการน้อยกว่าคาว่า ประชาชนเช่น แม้เราจะเป็นราษฎรธรรมดา แต่ถ้าผู้บริหาร ประเทศคดโกงฉ้อราษฎร์บังหลวง เราก็ต้องไปคัดค้าน ที่ผ่านมาข้าราชการมักจะกดขี่ราษฎร ด้ังน้ัน ราษฎรแปลว่า คน ของรฐั เดมิ หมายถึง สามัญชน คือคนทไ่ี ม่ใชข่ ุนนาง โดยท่วั ไปมักหมายถึง คนธรรมดา หมู่คนทีม่ ิใชข่ า้ ราชการ พลเมือง คาว่า “พลเมือง” เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเกิดการปฏิวัติใหญ่ในฝร่ังเศส เริ่มต้นเม่ือปี ค.ศ. 1789 ชาวฝร่ังเศสลุกฮอื กนั ข้ึนมาล้มล้างระบอบการปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ล้มล้างระบบชนช้ันต่างๆ ขณะน้ัน ได้แก่ พระราชวงศ์ ขุนนางข้าราชการ สมณะ นักพรต นักบวช และไพร่ ประกาศความเสมอภาคของชาวฝรั่งเศส ทกุ คน ต่อมาคาวา่ \"Citoyen\" จงึ แปลเป็น \"Citizen\" ในภาษาองั กฤษ สาหรับประเทศไทย คาว่า “พลเมือง” น่าจะถูกนามาใช้สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เน่ืองจากผู้นาคณะราษฎรบางท่านเคยเรียนที่ประเทศฝร่ังเศส จึงได้นาเอาคาน้ีมาใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งประกาศใชเ้ มอื่ วนั ท่ี 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ต่อมากลายเป็นวิชาบังคับท่ีนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาจะต้องเรียน ควบคกู่ ับวิชาศีลธรรม กลายเป็นวชิ า \"หนา้ ที่พลเมืองและศีลธรรม\" ในส่วนที่เป็นหน้าท่ีพลเมืองก็ลอกมาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2475 เร่ือยมาจนถึง รัฐธรรมนญู ฉบับปี 2475 แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ พ.ศ.2495 และเลิกใชเ้ มือ่ จอมพลสฤษดธิ์ นะรัชต์ ทาการรัฐประหารเม่ือ วันที่ 16 กนั ยายน 2500 แตว่ ชิ าหนา้ ทพ่ี ลเมอื งกย็ งั คงเรยี นและสอนกันตอ่ มาอีกหลายปีจึงเลิกไปพร้อมๆ กับคาว่า \"พลเมือง\" โดยต่อมาก็ใช้คาว่า \"ปวงชน\" แทน คาว่าราษฎรคงเป็นการใช้แทนคาว่า “ประชาชน” หรือคาว่า People ในภาษาอังกฤษ อาจจะมาจากอิทธิพลของอเมริกาสืบเนื่องมาจากสุนทรพจน์เกตทีสเบิร์กของ ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ท่ีให้คาจากัดความของรัฐบาลประชาธิปไตยไว้ว่า เป็น \"รัฐบาลของประชาชน โดย ประชาชน และเพอื่ ประชาชน\" แต่แทนท่ีเราจะใชค้ าว่า \"ประชาชน\" แทนคาว่า \"ราษฎร\" เรากลับใช้คาว่า \"ปวงชน\" แทน อย่างไรก็ตาม คาวา่ ปวงชนกใ็ ช้แตใ่ นรัฐธรรมนูญฉบับตา่ งๆ เทา่ นั้น แต่ไม่ติดปากที่จะใช้กันท่ัวไปในที่อ่ืนๆ ไม่ว่า ในหนา้ หนังสือพิมพ์หรอื ในสือ่ อื่นๆ ยังนยิ มใชค้ าว่า \"ประชาชน\" มากกวา่ คาวา่ \"ปวงชน\"
- 90 - อย่างไรก็ตาม คาว่า \"พลเมือง\" ได้มาปรากฏอีกคร้ังในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เริ่มต้ังแต่หมวดท่ี 2 ประชาชน สว่ นที่ 1 ความเป็นพลเมอื งและหน้าท่ีของพลเมือง มาตรา 26 บัญญัติไว้ว่า \"ประชาชนชาวไทยย่อมมี ฐานะเป็นพลเมอื ง\" ท่นี ่าสงั เกตกค็ ือ ในมาตรานีใ้ ชค้ าว่า \"ประชาชน\" ชาวไทย แทนคาว่า \"ปวงชน\" ชาวไทยท่ีเขียนไว้ ในมาตรา 3 \"อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย\" และมาตรา 5 \"ปวงชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากาเนิดเพศหรือ ศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญเสมอกัน\" ซ่ึงร่างรัฐธรรมนูญมีท้ังคาว่า \"ปวงชน\" \"ประชาชน\" และ \"พลเมอื ง\" ในทตี่ ่างๆ แทนคาว่า \"ปวงชน\" เหมอื นรัฐธรรมนูญฉบบั อนื่ ๆ (วีรพงษ์ รามางกรู , 2558) สาหรับคาวา่ “พลเมือง” มนี กั วชิ าการให้ความหมาย สรปุ ได้พอสงั เขป พจนานุกรมนักเรียนฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมาย “พลเมือง” หมายถึง ชาวเมือง ชาวประเทศ ประชาชน“วิถี” หมายถึง สาย แนว ทาง ถนน และ “ประชาธิปไตย” หมายถึง แบบการปกครองท่ีถือมติปวงชนเป็น ใหญ่ ดังน้นั คาวา่ “พลเมืองดใี นวถิ ีชวี ติ ประชาธปิ ไตย” จงึ หมายถึง พลเมืองทมี่ ีคณุ ลักษณะท่ีสาคัญ คือ เป็นผู้ที่ยึด ม่ันในหลักศีลธรรมและคุณธรรมของศาสนา มีหลักการทางประชาธิปไตยในการดารงชีวิตปฏิบัติตนตามกฎหมาย ดารงตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันอันจะก่อให้เกิดการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ให้เปน็ สังคมและประเทศประชาธปิ ไตยอย่างแท้จรงิ วราภรณ์ สามโกเศศ อธิบายว่า ความเป็นพลเมือง หมายถึง การเป็นคนท่ีรับผิดชอบได้ด้วยตนเอง มคี วามสานึกในสันติวิธี มกี ารยอมรบั ความคดิ เหน็ ของผอู้ ่ืน ปริญญา เทวานฤมิตรกุล กล่าวว่า ความเป็นพลเมืองของระบอบประชาธิปไตย หมายถึง การท่ีสมาชิก มอี สิ รภาพ ควบคกู่ ับความรบั ผิดชอบ และมอี ิสรเสรภี าพควบคู่กบั “หนา้ ที่ ” จากความหมายของนักวิชาต่างๆ พอสรุปได้ว่า “พลเมือง” หมายถึง ประชาชนที่นอกจากเสียภาษีและ ปฏิบัติตามกฏหมายบ้านเมืองแล้ว ยังต้องมีบทบาทในทางการเมือง คือ อย่างน้อยมีสิทธิไปเลือกตั้ง แต่ย่ิงไปกว่า น้ันคือมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ต่อทางการหรือรัฐได้ ท้ังยังมีสิทธิเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ กับรัฐและ อาจเป็นฝา่ ยรกุ เพ่ือเรียกรอ้ งกฏหมาย นโยบายและกิจกรรมของรัฐตามท่ีเห็นพ้อง พลเมืองนั้นจะเป็นคนที่รู้สึกเป็น เจ้าของในสิ่งสาธารณะ มีความกระตือรือร้นอยากมีส่วนร่วม เอาใจใส่การทางานของรัฐ และเป็นประชาชน ที่สามารถแกไ้ ขปญั หาสว่ นรวมไดใ้ นระดบั หน่ึง โดยไมต่ ้องรอใหร้ ัฐมาแก้ไขใหเ้ ทา่ นนั้ 2. ความหมายและแนวคิดเกยี่ วกับการศึกษาเพอ่ื สรา้ งความเปน็ พลเมอื ง 2.1 ความหมายของพลเมืองศกึ ษา พลเมืองศึกษา (Civic education) หมายถงึ การจดั การศึกษาและประสบการณ์เรียนรู้เพ่ือพัฒนาผู้เรียน ใหเ้ ปน็ พลเมืองดีของประเทศ มีความภาคภูมิใจในความเป็นพลเมืองตนเอง มีสิทธิมีเสียง สนใจต่อส่วนรวม และมี ส่วนร่วมในกิจการบ้านเมืองตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือการเรียนรู้เกี่ยวกับรัฐบาล รฐั ธรรมนูญ กฎหมาย ระบบการเมืองการปกครองสิทธิและความรับผิดชอบของพลเมือง ระบบการบริหารจัดการ สาธารณะและระบบตลุ าการ 2.2 คณุ ลกั ษณะของพลเมอื ง “พลเมือง\" ในระบอบประชาธิปไตย ประกอบดว้ ยลักษณะ 6 ประการ (ปริญญา เทวานฤมติ รกลุ , 2555) คือ 1) มีอสิ รภาพและพงึ่ ตนเองได้ หมายความว่า ประชาธปิ ไตย คือ ระบอบการปกครองที่ประชาชน เป็นเจ้าของอานาจสูงสุดในประเทศ ประชาชนจึงมีฐานะเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของชีวิตและมีสิทธิเสรีภาพ ในประเทศของตนเอง ระบอบประชาธิปไตยจึงทาให้เกิดหลักสิทธิเสรีภาพ และทาให้ประชาชนมีอิสรภาพ คือ เป็นเจ้าของชีวิตตนเอง “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นไท คือ เป็นอิสระชนที่พึ่งตนเองและสามารถ รับผิดชอบตนเองได้ และไม่ยอมตกอยูภ่ ายใตอ้ ทิ ธิพลอานาจ หรือ “ระบบอปุ ถมั ภ์” ของผูใ้ ด
- 91 - 2) เห็นคนเท่าเทียมกัน หมายความว่า ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองท่ีอานาจสูงสุดในประเทศเป็น ของประชาชน ดังนั้น ไม่ว่าประชาชนจะแตกต่างกันอย่างไรทุกคนล้วนแต่เท่าเทียมกันในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ “พลเมือง” จึงต้องเคารพหลักความเสมอภาคและจะต้องเห็นคนเท่าเทียมกัน คือ เห็นคนเป็นแนวระนาบ (horizontal) เห็นตนเท่าเทยี มกับคนอ่ืน ทกุ คนล้วนมีศกั ด์ศิ รีของความเป็นเจ้าของประเทศอย่างเสมอกัน ถึงแม้จะ มีการพง่ึ พาอาศยั แต่จะเปน็ ไปอยา่ งเท่าเทยี ม 3) ยอมรบั ความแตกตา่ ง หมายความว่า ประชาธปิ ไตย คอื ระบอบการปกครองทปี่ ระชาชนเป็นเจ้าของ ประเทศ ประชาชนจึงมีเสรีภาพ ระบอบประชาธิปไตยจึงให้เสรีภาพและยอมรับความหลากหลายของ ประชาชน ประชาชนจึงแตกต่างกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองการเลือกอาชีพ วิถีชีวิต ความเช่ือทางศาสนาหรือความ คิดเห็นทางการเมือง ดังน้ัน เพื่อมิให้ความแตกต่างนามาซ่ึงความแตกแยกในสังคม “พลเมือง” ในระบอบ ประชาธิปไตยจึงต้องยอมรับและเคารพความแตกต่างของกันและกัน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ และจะต้องไม่มี การใช้ความรนุ แรงตอ่ ผ้ทู เี่ หน็ แตกตา่ งไปจากตนเอง 4) เคารพสิทธิผู้อื่น หมายความว่า ในระบอบประชาธิปไตยทุกคนเป็นเจ้าของประเทศทุกคนจึงมีสิทธิ แต่ ถ้าทุกคนใช้สิทธิโดยคานึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง หรือเอาแต่ความคิดของตนเองเป็นท่ีต้ัง โดยไม่คานึงถึงสิทธิผู้อื่น หรือไม่สนใจว่าจะเกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใดย่อมจะทาให้เกิดการใช้สิทธิที่กระทบซึ่งกันและกัน สิทธิในระบอบ ประชาธิปไตยจึงจาเป็นต้องมีขอบเขต คือ มีสิทธิและใช้สิทธิได้เท่าท่ีไม่ละเมิดสิทธิผู้อ่ืน “พลเมือง” ในระบอบประชาธปิ ไตยจึงต้องเคารพสิทธผิ ู้อนื่ และจะต้องไมใ่ ช้สิทธิเสรีภาพของตนไปละเมิดสิทธขิ องผู้อ่ืน 5) รับผิดชอบต่อสังคม หมายความว่า ประชาธิปไตยมิใช่ระบอบการปกครองตามอาเภอใจหรือใคร อยากจะทาอะไรก็ทาโดยไม่คานึงถึงส่วนรวม ดังนั้น “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยยังจะต้องใช้สิทธิเสรีภาพของ ตนโดยรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ด้วยเหตุที่สังคมหรือประเทศชาติมิได้ดีข้ึนหรือแย่ลง โดยตัวเอง หากสังคมจะดีขึ้น ไดก้ ็ดว้ ยการกระทาของคนในสังคม 6) เข้าใจระบอบประชาธิปไตยและมีส่วนร่วม หมายความว่า ประชาธิปไตยคือการปกครองโดยประชาชน ใช้กติกาหรือกฎหมายท่ีมาจากประชาชนหรือผู้แทนประชาชน ระบอบประชาธิปไตยจะประสบความสาเร็จได้ก็ ต่อเมอ่ื มี “พลเมือง” ที่เขา้ ใจหลักการพ้ืนฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามสมควร ท้ังในเรื่องหลัก ประชาธิปไตยหรือการปกครองโดยประชาชน และหลักนิติรัฐหรือการปกครองโดยกฎหมาย ถ้ามีความขัดแย้ง กเ็ คารพกติกาและใชว้ ิถีทางประชาธิปไตยในการแกป้ ัญหาโดยไม่ใช้กาลังหรือความรนุ แรง 3. องคป์ ระกอบของการศกึ ษาความเปน็ พลเมอื ง สาหรบั นักวชิ าการต่างประเทศ ได้เขียนบทความวิชาการเกี่ยวกับการศึกษาเพ่ือสร้างพลเมือง อาทิ John Porter เขียนบทความเร่ือง “The Challenge of education for active citizenship” โดยอธิบายการศึกษา ความเป็นพลเมืองว่ามี 3 ประเด็นที่เชื่อมกับมิติพลเมือง การเมือง และสังคม ทั้งนี้ พลเมืองประกอบด้วย สิทธิ จาเปน็ สาหรบั ความอสิ ระ เสรีภาพระดับปัจเจกบุคคล การเมืองประกอบด้วยสิทธิในการมีส่วนร่วมในการใช้อานาจ ทางการเมือง ส่วนสังคมประกอบด้วยสิทธิที่มีต่อสวัสดิการทางเศรษฐกิจ และความมั่งคงท่ีมีต่อสิทธิที่จะร่วมมือกัน และเพ่ืออาศัยอยใู่ นชวี ติ ของความศวิ ิไล 3.1 ความรับผดิ ชอบทางสังคม (Social Responsibility) การเรียนรู้ของเด็กจะเริ่มต้นจากความไว้ใจตนเอง เกี่ยวกับสังคม ศีลธรรม พฤติกรรมความรับผิดชอบ ทง้ั ในและอยูเ่ หนือห้องเรยี น การเรยี นร้ขู องเด็กควรทาหรือแสดงบทบาทในกลุ่มหรือมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมของชุมชน 3.2 ความเก่ยี วพันชุมชน (Community Involvement) การเรยี นรผู้ ่านชมุ ชนหรือการบริการในชมุ ชนมี 2 สาขาของความเป็นพลเมือง มันไม่จากัดเวลาของเด็ก ทโ่ี รงเรยี น แตค่ วรรับรใู้ นฐานะเป็นกลมุ่ อาสาสมคั รทีไ่ มเ่ ป็นการเมือง
- 92 - 3.3 ความสามารถในการอ่านและเขยี นทางการเมอื ง (Political Literacy) การเรียนของนักเรียนเก่ียวกับการทาให้ ”ชีวิตสาธารณะ” มีประสิทธิผล โดยผ่านความรู้ ทักษะ และ ค่านิยม คาว่า “ชีวิตสาธารณะ” ถูกใช้ในความรู้สึกท่ีกว้างที่สุดเพื่อท่ีจะล้อมรอบความรู้ที่สมเหตุสมผลของการมี สว่ นรว่ มในการแก้ปญั หาความขัดแย้ง และเก่ียวข้องกับการตัดสินใจต่อเศรษฐกิจหลักและปัญหาสังคมของทุกวัน รวมท้ังแต่ละการคาดหมายของบุคคลและการตระเตรียมสาหรับโลกของการจ้างงาน และการอภิปรายของการ จัดสรรทรพั ยากรภาครัฐและการสมเหตุสมผลของระบบการจดั เก็บภาษี 4. แนวทางการปฏบิ ัตติ นเปน็ พลเมอื งดี ณัฐนันท์ ศริ ิเจรญิ (2555) ไดก้ ล่าวถงึ แนวทางการปฏิบัตติ นเปน็ พลเมืองดีตามวิถีชีวิตประชาธิปไตยควร มแี นวทางการปฏิบัติตน ดงั น้ี ด้านสังคม ไดแ้ ก่ 1) การแสดงความคิดอยา่ งมีเหตุผล 2) การรบั ฟงั ขอ้ คิดเหน็ ของผู้อ่นื 3) การยอมรบั เมื่อผ้อู ื่นมเี หตุผลทดี่ กี ว่า 4) การตัดสินใจโดยใช้เหตผุ ลมากกว่าอารมณ์ 5) การเคารพระเบียบของสังคม 6) การมจี ิตสาธารณะ คือ เห็นแก่ประโยชนข์ องสว่ นรวมและรักษาสาธารณสมบตั ิ ด้านเศรษฐกจิ ไดแ้ ก่ 1) การประหยดั และอดออมในครอบครัว 2) การซอ่ื สัตย์สจุ รติ ต่ออาชีพท่ีทา 3) การพัฒนางานอาชีพให้กา้ วหนา้ 4) การใชเ้ วลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ต่อตนเองและสังคม 5) การสรา้ งงานและสรา้ งสรรค์ส่งิ ประดษิ ฐใ์ หม่ๆเพอ่ื ให้เกดิ ประโยชน์ต่อสังคมไทยและสงั คมโลก 6) การเป็นผู้ผลติ และผู้บรโิ ภคทีด่ ี มีความซอื่ สตั ย์ ยดึ มัน่ ในอดุ มการณ์ท่ดี ีต่อชาตเิ ปน็ สาคัญ ด้านการเมอื งการปกครอง ได้แก่ 1) การเคารพกฎหมาย 2) การรับฟังข้อคิดเหน็ ของทุกคนโดยอดทนต่อความขัดแย้งท่เี กดิ ขน้ึ 3) การยอมรบั ในเหตผุ ลท่ดี ีกว่า 4) การซ่ือสัตยต์ ่อหนา้ ที่โดยไมเ่ ห็นแกป่ ระโยชน์สว่ นตน 5) การกล้าเสนอความคิดเห็นต่อส่วนรวมกล้าเสนอตนเองในการทาหน้าท่ีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สมาชกิ วฒุ ิสภา 6) การทางานอยา่ งเตม็ ความสามารถเตม็ เวลา 5. แนวทางการสรา้ งเสริมสานกึ ความเป็นพลเมือง : กรณีศึกษาประเทศไทย จากรายงานการศึกษาแนวทางการสร้างเสริมสานึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชน โดยสภาพัฒนา การเมอื งสถาบนั พระปกเกลา้ รว่ มมือกบั หนว่ ยงานในพ้นื ท่ีจดั ทารายงานการศกึ ษาในระดบั พืน้ ที่ เชน่ กรณภี าคเหนือ : จงั หวัดลาปาง ภาพรวมของการจัดกิจกรรมสร้างเสริมสานึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชนและภาพรวมของการ สนับสนุนส่งเสริมจากภาคส่วนต่างๆ ในการจัดกิจกรรมสร้างเสริมสานึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชนในจังหวัด ลาปาง ส่วนใหญ่เปน็ การดาเนินการจัดกิจกรรมเพ่อื การแกไ้ ขปัญหาและพฒั นาเดก็ และเยาวชน ไม่ไดต้ ้งั วัตถปุ ระสงค์เพ่ือ
- 93 - สร้างเสริมสานึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชนโดยตรง เหมือนเช่นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบัน พระปกเกล้าท่ีได้ดาเนินการในโรงเรียนบางแห่งของจังหวัดลาปาง แต่อย่างไรก็ตามการจัดกิจกรรมการพัฒนาเด็ก และเยาวชนต่างๆ ที่ได้ดาเนินการในจังหวัดลาปางนั้นท้ายที่สุดแล้วก็จะส่งผลหนุนเสริมเติมเต็มสานึกความเป็น พลเมอื งของเด็กและเยาวชนได้เช่นกัน ในขณะเดียวกัน ภาคส่วนต่างๆ ที่ดาเนินการสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมการ พัฒนาเดก็ และเยาวชนหรือกิจกรรมสร้างเสริมสานึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชน ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มผู้ปฏิบัติการ กลุ่มผู้สนับสนุนงบประมาณ กลุ่มผู้สนุบสนุนวิชาการองค์ความรู้ กลุ่มผู้สนับสนุนบุคลากรวิทยากรกลุ่มผู้สนับสนุน อาคารสถานท่ี วัสดุอุปกรณ์ และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการจัดกิจกรรมต่างๆ มีความร่วมมือระหว่างกัน ตามภาระหน้าท่ี พันธกิจและตามความสัมพันธข์ องภาคส่วนต่างๆ เหล่านี้ กรณีภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ : จังหวดั สกลนคร ในรอบ 3 ปีท่ีผ่านมา เป็นการดาเนินกิจกรรมของหน่วยงานทั้งภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน ที่ทางาน ขับเคลื่อนการพัฒนาเด็กและเยาวชน แต่พบว่าเป็นกิจกรรมที่มักจะพัฒนาแนวคิดการดาเนินงานที่เป็นลักษณะ นโยบายสว่ นกลาง เพอ่ื รองรบั งบประมาณ เชน่ สานักงานพัฒนาสังคมและความม่นั คงของมนุษย์ แต่ถ้าเป็นกิจกรรม เด่นๆ ทเี่ กิดจากมมุ มองในปญั หาของเด็กและเยาวชนและผูท้ ่ีทางานกับเดก็ และเยาวชนจริงๆ จะเห็นว่ายังไม่ได้เกิด ในหน่วยงานภาครัฐ กจิ กรรมท่สี ามารถสร้างสานึกพลเมืองเด็กและเยาวชนที่เห็นผลของการพัฒนาการสร้างสานึก ความเป็นพลเมืองแก่เด็กและเยาวชน ท่ีมีเสียงจากกลุ่มเด็กและเยาวชน คือ กิจกรรมค่ายที่ให้โอกาสเด็กและ เยาวชนได้คิดสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ และหลากหลาย โดยอยู่ภายใต้การดูแลให้คาแนะนาและได้รับการสนับสนุน งบประมาณจากผู้ใหญ่ใจดี เช่น กิจกรรมของชมรมคนรักศิลป์ กิจกรรมของกลุ่มเด็กฮักถ่ิน สรุปภาพรวมผลการ สนทนากลุม่ ย่อยในการสร้างสานกึ ความเป็นพลเมอื งแก่เดก็ และเยาวชนในจังหวัดสกลนคร มีสาระสาคัญ คือ การให้ นยิ ามความหมายของเด็ก เยาวชนและผู้ใหญ่ไม่ได้แตกต่างกัน ส่วนสานึก พลเมืองเด็กและเยาวชนในปัจจุบันควรจะมี ต้นแบบสานึกพลเมืองจากผู้ใหญ่ ส่วนสานึกพลเมืองของเด็กและเยาวชนนั้น ได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมค่ายท่ีมุ่งเน้น การพัฒนาจิตอาสา กรณีภาคใต้ : จังหวัดยะลา บริบทปัญหาส่วนใหญ่ท่ีคุกคามหรือส่งเสริมการสร้างสานึกพลเมืองจังหวัดยะลา คือ เยาวชนว่างงาน เยาวชนเล่นการพนัน เยาวชนติดยาเสพติด เยาวชนขับรถชิ่ง เยาวชนขาดการศึกษา ขาดทุนทรัพย์ในการศึกษา แต่ที่สาคัญจากผลการวิจัย พบว่า ปัญหาสาคัญในจังหวัดยะลา คือ เยาวชนติดยาเสพติด และเยาวชน ได้รับ การศึกษาน้อย สาหรบั ทีผ่ า่ นมา การดาเนนิ งานด้านการพัฒนาเยาวชนในจังหวัดยะลา จากข้อมูลประเด็นยุทธศาสตร์ของ จงั หวดั ยะลา สรปุ ได้วา่ โครงการพฒั นาเยาวชนเพ่อื สรา้ งงานโครงการจา้ งงานนักเรียน นักศึกษาในช่วงปิดภาคฤดู รอ้ น โครงการฝึกอาชพี แกเ่ ยาวชนในสถาบนั การศกึ ษาปอเนาะ โครงการมหกรรมเปิดโลกการศึกษาและอาชีพเพื่อ การมีงานทาโครงการศูนย์ยะลาสันติสุขคืนคนดีสู่สังคม โครงการมวลชนสานสัมพันธ์สานฝันสู่อามานดามัน และ โครงการครอบครัวปอ้ งกันภัยแก่ไขปัญหายาเสพติด ตลอดจนมีโครงการพัฒนาเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร โครงการ ทูบีนับเบอร์วัน เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่า การสร้างเยาวชนให้มีสานึกพลเมือ เร่ิมต้นจากการอบรม ดูแล เอาใจใส่ ศึกษาให้ความรู้ของครอบครัว พ่อแม่ และญาติพ่ีน้อง การได้รับการศึกษาจากสถาบันท่ีเยาวชนศึกษาและ หน่วยงานภาครฐั ทมี่ หี น้าท่เี กี่ยวกบั เยาวชน คือ สานกั งานพัฒนาสังคมและความมัน่ คงของมนษุ ย์จังหวัดยะลา และ สานักงานพฒั นาชมุ ชนจงั หวัดยะลา
- 94 - บรรณานกุ รม ความเปน็ ราษฎรและความเปน็ พลเมอื ง สืบค้นเม่ือวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 จาก http://km.streesp.ac.th/external_links.php?links=3766 คอลัมน์โลกและเรา [ฉบับอิเลก็ ทรอนิกส์] ไทยโพสต์ แทบลอยด์ ฉบับวนั อาทติ ย์ท่ี 26 มกราคม 2556 จาก http://www.oknation.net/blog/talkwithMetha/2014/01/27/entry-1 ปรญิ ญา เทวานฤมิตรกลุ “พลเมืองศึกษา (Civic Education) : พฒั นาการเมืองไทย โดยสรา้ งประชาธิปไตยท่ี “คน” สืบค้นเม่อื วันท่ี 29 พฤษภาคม 2558 จาก http:/www.social.obec.go.th/node/64 ยงยทุ ธ มัยลาภ (2557) “วนิ ัยและความรบั ผิดชอบของชาวเกาหลใี ต้” สบื ค้นเมือ่ วนั ที่ 28 พฤษภาคม 2558 จาก http://www.thaiworld.org/thn/thailand_monitor/answera.php?question_id=1338 เร่ืองราวดีๆ ของคนญ่ีปุ่นยามภาวะฉกุ เฉนิ สืบคน้ เมื่อ 28 พฤษภาคม 2558 จาก http://www.dmc.tv/ pages/scoop.html วรี พงษ์ รามางกรู “พลเมือง ราษฎร ปวงชน ประชาชน”สืบค้นเมื่อ 29 พฤษภาคม 2558 จาก http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1430887063 เสศิ พงษ์ อุดมพงศ์“การศึกษาเพื่อความเป็นพลเมอื ง (Civic/Citizenship Education) ในการส่งเสริม บทบาทของภาคพลเมอื งในการเมอื งระบบตัวแทน : แนวทางทีย่ ั่งยืนผ่านประสบการณ์จาก ต่างประเทศ” สบื ค้นเมื่อวนั ท่ี 29 พฤษภาคม 2558 จาก http://kpi.ac.th/media/pdf/M8_272.pdf Foon, J. Kui .& Kennedy C.– K. J. (2012). Citizenship and Governance in the Asian Region : Insights from the International Civic and CitizenshipEducation Study. Public Organiz,12 : 299-311 Porter J. (n.d. ). The Challenge of Education for Active Citizenship. Scheerens, J. (2011). Indicators on Informal learning for Active Citizenship at School. EducAsseEval. Acc 201-222. Westheimer, J. andKahne, J. (2004). What kind of Citizen? The Politic of Educating for Democracy. American Educational Research Journal 41, 2, 237-269.
- 95 - ภาคผนวก
- 96 - คาส่ังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ท.ี่ . 646/2560 เร่อื ง แตง่ ต้ังคณะอนกุ รรมการจดั ทาหลกั สตู รหรือชดุ การเรียนร้แู ละสือ่ ประกอบการเรยี นรู้ ด้านการปอ้ งกนั การทุจรติ ---------------------------------------- ด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชมุ ครั้งท่ี 855-26/2560 เม่ือวันท่ี 11 เมษายน 2560 ได้มีมติ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต เพ่ือดาเนินการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต สาหรับใช้ เป็นเนอื้ หามาตรฐานกลางให้สถาบนั การศกึ ษาหรือหน่วยงานทเ่ี ก่ยี วข้องนาไปพิจารณาปรับใช้ในการเรียนการสอน ให้กับกล่มุ เปา้ หมายครอบคลุมทกุ ระดับชน้ั เรียน เพอ่ื ปลกู ฝังจิตสานกึ ในการแยกแยะประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ สว่ นรวม จิตพอเพียง และสร้างพฤตกิ รรมทไี่ มย่ อมรบั และไมท่ นตอ่ การทุจริต อันเป็นการดาเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ยุทธศาสตร์ท่ี 1 “สร้างสังคม ไม่ทนต่อการทุจริต” กลยุทธ์ท่ี 1 ปรับฐานความคิดทุกช่วงวัย ต้ังแต่ปฐมวัยให้สามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม และกลยุทธ์ที่ 3 ประยุกตห์ ลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงเป็นเครื่องมือต้านทุจริต ฉะน้ัน อาศัยอานาจตามมาตรา 19 (16) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2559 จึงขอแต่งต้ังคณะอนุกรรมการ จัดทาหลกั สูตรหรือชุดการเรยี นรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการปอ้ งกันการทุจริต โดยมีองค์ประกอบ ดังน้ี 1. รองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธีรานวุ ัฒศริ ิ ประธานอนุกรรมการ 2. รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. อนุกรรมการ (นายประหยดั พวงจาปา) 3. ผู้ชว่ ยเลขาธกิ ารคณะกรรมการ ป.ป.ช. อนกุ รรมการ (นายกิตติ ลิ้มพงษ์) 4. ผชู้ ว่ ยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. อนกุ รรมการ (นายอุทิศ บัวศร)ี 5. ผอู้ านวยการสานักป้องกันการทจุ ริตภาคการเมือง อนุกรรมการ 6. ผู้อานวยการสานกั ปอ้ งกันการทุจริตภาครัฐวิสาหกิจ อนุกรรมการ และธุรกิจเอกชน 7. ผ้อู านวยการสานกั ปอ้ งกันการทุจรติ ภาคประชาสังคม อนกุ รรมการ และการพฒั นาเครอื ข่าย 8. ผ้แู ทนสานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ อนุกรรมการ (ด้านการสรา้ งหลักสูตรและส่ือการเรยี นรู้)
- 97 - 9. ผแู้ ทนสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน อนุกรรมการ (ดา้ นการสร้างหลักสตู รและส่อื การเรียนรู้) 10. ผูแ้ ทนสานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา อนุกรรมการ (ด้านการสรา้ งหลักสูตรและสอื่ การเรียนร)ู้ 11. ผแู้ ทนสานักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา อนกุ รรมการ (ดา้ นการสร้างหลักสูตรและสือ่ การเรยี นรู้) 12. ผแู้ ทนสานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา อนุกรรมการ (ดา้ นการสรา้ งหลักสตู รและสื่อการเรียนรู้) 13. ผู้แทนสานกั งานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและ อนุกรรมการ การศึกษาตามอัธยาศัย (ดา้ นการสรา้ งหลกั สูตรและสื่อการเรยี นร)ู้ 14. ผ้แู ทนสานักงานลูกเสือแห่งชาติ อนกุ รรมการ (ด้านการสรา้ งหลักสูตรและสอ่ื การเรียนร)ู้ 15. ผู้แทนทปี่ ระชุมอธิการบดแี ห่งประเทศไทย อนกุ รรมการ (ด้านการสร้างหลักสตู รและสอ่ื การเรียนรู้) 16. ผู้แทนทปี่ ระชมุ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภฏั อนกุ รรมการ (ดา้ นการสร้างหลกั สตู รและสอ่ื การเรยี นร)ู้ 17. ผ้แู ทนคณะกรรมการอธกิ ารบดีมหาวิทยาลยั อนกุ รรมการ เทคโนโลยรี าชมงคล (ดา้ นการสรา้ งหลกั สูตรและสอ่ื การเรยี นรู้) 18. ผู้แทนสถาบันวชิ าการปอ้ งกนั ประเทศ อนุกรรมการ กองบญั ชาการกองทัพไทย (ดา้ นการสรา้ งหลักสูตรและสอ่ื การเรียนร)ู้ 19. ผู้แทนกรมยุทธศึกษาทหารบก อนุกรรมการ (ด้านการสร้างหลักสูตรและส่ือการเรียนร้)ู 20. ผู้แทนกรมยทุ ธศกึ ษาทหารเรอื อนกุ รรมการ (ดา้ นการสร้างหลกั สตู รและสื่อการเรียนร)ู้ 21. ผู้แทนกรมยทุ ธศึกษาทหารอากาศ อนุกรรมการ (ด้านการสรา้ งหลักสตู รและสอื่ การเรียนร)ู้ 22. ผแู้ ทนกองบัญชาการศึกษา สานักงานตารวจแห่งชาติ อนกุ รรมการ (ดา้ นการสร้างหลักสตู รและสอ่ื การเรียนรู้) 23. พลโท ดร.ชยั ฤกษ์ แกว้ พรหมมาลย์ อนกุ รรมการ 24. นายเสฏฐนันท์ องั กรู ภาสวิชญ์ อนกุ รรมการ 25. นายสุเทพ พรหมวาศ อนกุ รรมการ 26. ผู้อานวยการสานักป้องกันการทุจรติ ภาครัฐ อนุกรรมการและเลขานุการ 27. นายสมพจน์ แพง่ ประสิทธิ์ ผ้ชู ่วยเลขานกุ าร 28. นางสาวกัลยา สวนโพธิ์ ผู้ชว่ ยเลขานุการ 29. นายสราวฒุ ิ เศรษฐกร ผชู้ ว่ ยเลขานุการ 30. นายกาญจน์บัณฑติ สนนุช ผ้ชู ่วยเลขานุการ
Search