วันมาฆบูชา ตรงกับวันขนึ ๑๕ คา เดือน ๓
ความหมายของวันมาฆบูชา คําวา่ \"มาฆะ\" นัน เปนชอื ของเดือน 3 ย่อมาจากคําวา่ \"มาฆบุรณม\"ี หมายถึง การบูชาพระในวนั เพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทนิ ของ อินเดีย หรอื เดือน 3
การกําหนดวนั มาฆบูชา การกําหนดวนั มาฆบูชาตามปฏิทินจันทรคติของไทยนันจะ ตรงกับวันขนึ 15 คา เดือน 3 แต่ถ้าปใดมเี ดือนอธกิ มาส คือมีเดือน 8 สองครงั วันมาฆบูชาก็จะเลือนไปเปนวนั ขนึ 15 คา เดือน 4 และมกั ตรงกับเดือนกมุ ภาพนั ธห์ รอื มีนาคม
ความสาํ คัญของวันมาฆบูชา คือเปนวนั ทพี ระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทรงแสดง \"โอวาทปาติโมกข\"์ แก่พระสงฆเ์ ปนครงั แรก หลังจากตรสั รูม้ าแล้วเปนเวลา 9 เดือน ซงึ หลักคําสอนนีเปนหลักการ และวิธกี ารปฏิบัติต่าง ๆ หากสรุปเปนใจความสําคัญ จะมีเนือหาว่า \"ทําความดี ละเวน้ ความชัว ทาํ จิตใจให้ บรสิ ทุ ธ\"ิ
ความเปนมาวันมาฆบูชา สว่ นทเี กียวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรสั รูไ้ ด้ ๙ เดือนขณะนันเมอื เสรจ็ พทุ ธกิจแสดงธรรมทถี าสุกร ขาตาแล้ว เสด็จมาประทับทวี ดั เวฬุวัน เมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ ประเทศอินเดียในปจจบุ นั วนั นันตรงกับวันเพญ็ เดือน มาฆะหรอื เดือน ๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชมุ พรอ้ มกัน ณ ทีประทับของพระพุทธเจ้า นับ เปนเหตอุ ัศจรรย์ ทีมอี งค์ประกอบสาํ คัญ ๔ ประการ เรยี กวา่ ว่า วันจาตรุ งคสันนิบาต คําวา่ \"จาตุรงคสันนิบาต\" แยกศัพทไ์ ด้ดังนี คือ \"จาตุร\" แปลวา่ ๔ \"องค์\" แปลว่า ส่วน \"สันนิบาต\" แปลว่า ประชมุ
ฉะนันจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า \"การประชมุ ด้วยองค์ ๔\" กล่าวคือมีเหตกุ ารณ์พเิ ศษทีเกิดขนึ พรอ้ มกันใน วันนี คือ 1. เปนวนั ที พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จํานวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพรอ้ มกันทีเวฬุวันวหิ ารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย 2. พระภิกษุสงฆเ์ หล่านีล้วนเปน \"เอหิภิกขอุ ุปสัมปทา\" คือเปนผทู้ ไี ด้รบั การอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทงั สิน 3. พระภิกษุสงฆ์ทกุ องค์ทีได้มาประชุมในครงั นี ล้วนแต่เปนผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทกุ ๆองค์ 4. เปนวันทพี ระจันทรเ์ ต็มดวงกําลังเสวยมาฆฤกษ
ประวัติวนั มาฆบูชา มลู เหตุวนั มาฆะบูชา หลังจากพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าได้ตรสั รูใ้ นวันขนึ 15 คา เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหัน ตสาวกออกไปจารกิ เพือเผยแพรพ่ ระพุทธศาสนายังสถานทีต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวนั ทีใกล้พระจันทร์ เสวยมาฆฤกษ์ (วันขนึ 15 คา เดือน 3) พระอรหันต์ทงั หลายเหล่านันต่างได้ระลึกวา่ วนั นีเปนวนั สาํ คัญของศาสนา พราหมณ์ อันเปนศาสนาของตนอยูเ่ ดิม ก่อนทจี ะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพทุ ธเจ้า และในลัทธศิ าสนาเดิม นันเมอื ถึงวันเพญ็ เดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรทั ธาพราหมณลัทธนิ ิยมนับถือกันว่าวนั นีเปนวันศวิ าราตรี โดยจะทาํ การบูชา พระศวิ ะด้วยการลอยบาปหรอื ล้างบาปด้วยนา แต่มาบดั นีตนได้เลิกลัทธเิ ดิมหันมานับถือพระธรรมวนิ ัยของ พระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเขา้ เฝาบูชาฟงพระสัทธรรมจากพระพทุ ธเจ้า พระอรหันต์เหล่านันซงึ เคยปฏิบตั ิ ศิวาราตรอี ยูเ่ ดิม จึงพรอ้ มใจกันไปเข้าเฝาพระพุทธเจ้าโดยมไิ ด้นัดหมาย มผี กู้ ล่าวว่า สาเหตุสําคัญทีทาํ ให้พระสาวกทงั 1,250 องค์มาประชุมพรอ้ มกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากใน วันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เปนวนั พิธศี ิวาราตรี พระสาวกเหล่านันซึงเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้ เปลียนจากการรวมตัวกันทําพิธชี าํ ระบาปตามพธิ พี ราหมณ์ มารวมกันเขา้ เฝาพระพุทธเจ้าแทน
โอวาทปาฏิโมกข์ หลักคําสอนสาํ คัญของพระพุทธศาสน า หรอื คําสอนอันเปนหัวใจของพระพุทธศาส นา ได้แ ก่ พระพทุ ธพจ น์ ๓ คาถากึง ทีพระพทุ ธเจ้าตรสั แก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผไู้ ปประชุมกันโดยมไิ ด้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวนั เพ็ญ เดือน ๓ ทีเราเรยี กกันวา่ วันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี แก่ทีประชุมสงฆ์ ตลอดมา เปนเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนทจี ะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปจจบุ ันนีแทนต่อมา), คาถาโอวาทปาฏิโมกข์ มี ดังนี (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขยี น) สพพฺ ปาปสฺส อกรณํกสุ ลสสฺ ูปสมฺปทา สจิตตฺ ปรโิ ยทปนํเอตํ พทุ ธาน สาสนํฯ ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกขฺ า นิพพฺ านํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกเฺ ข จ สวํ โร มตฺต ฺ ุตา จ ภตตฺ สฺมึ ปนฺต ฺจ สยนาสนํ อธจิ ิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทธฺ าน สาสนํฯ
แปล : การไม่ทาํ ความชัวทงั ปวง ๑ การบําเพญ็ แต่ความด ี ๑ การทําจิตของตนให้ผ่อง ใส ๑ นีเปนคําสอนของ พระพทุ ธเจ้าทงั หลาย ขันติ คือความอดกลัน เปนตบะอยา่ งยิง, พระพุทธเจ้าทงั หลายกล่าวว่านิพพาน เปนบรมธรรม, ผู้ทาํ รา้ ยคนอืน ไมช่ อื วา่ เปนบรรพชิต,ผู้เบยี ดเบียนคนอืน ไม่ชือว่าเปนสมณะการไมก่ ล่าวรา้ ย ๑ การไม่ทาํ รา้ ย ๑ ความ สาํ รวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเปนผู้รูจ้ ักประมาณในอาหาร ๑ ทนี ังนอนอันสงดั ๑ ความเพยี รในอธจิ ิต ๑ นีเปนคําสอน ของพระพทุ ธเจ้าทังหลายทเี ข้าใจกันโดยทัวไป และจํากันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกทีวา่ ไมท่ าํ ชั ว ทาํ แต่ความดี ทําจิตใจให้ผ่องใส
สถานทสี าํ คัญเนืองด้วยวนั มาฆบูชา (พทุ ธสังเวชนียสถาน) พระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสงั ฆสนั นิบาต ในโบราณสถานวดั เวฬุวันมหา วิหาร เมืองราชคฤห์ รฐั พิหาร อินเดีย (เปนพระพทุ ธรูปสรา้ งใหม่ ปจจุบนั เปนสถานที จารกิ แสวงบุญสําคัญของชาวพุทธทัวโลก)เหตุการณ์สําคัญทีเกิดในวนั มาฆบูชา เกิด ภายในบรเิ วณทีตังของ \"กลุ่มพทุ ธสถานโบราณวดั เวฬุวนั มหาวหิ าร\" ภายในอาณา บรเิ วณของวัดเวฬุวนั มหาวิหาร ซึงลานจาตรุ งคสันนิบาตอันเปนจุดทีเกิดเหตุการณ์ สําคัญในวนั มาฆบูชานัน ยังคงเปนทีถกเถียงและหาข้อสรุปทางโบราณคดีไมไ่ ด้มา จนถึงปจจบุ ัน
วัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล เดิมวัดเวฬุวนั เปนพระราชอุทยานสําหรบั เสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพสิ าร เปนสวนปาไผร่ ม่ รนื มีรวั รอบและ กําแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชอื หนึงปรากฏในพระสตู รว่า \"พระวหิ ารเวฬุวนั กลันทกนิวาปสถาน\"หรอื \"เวฬุวันกลันทกนิ วาป\" (สวนปาไผ่สถานทสี าํ หรบั ให้เหยอื แก่กระแต) พระเจ้าพมิ พิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนีเปนวัดในพระพุทธ ศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพกิ ถาและจตรุ ารยิ สัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐวิ นั (พระราชอุทยานสวน ตาลหนุ่ม) โดยในครงั นันพระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เปนพระอรยิ บุคคลในพระพทุ ธศาสนา และหลังจากการถวาย กลันทกนิวาปสถานไมน่ าน อารามแห่งนีก็ได้ใช้เปนสถานทีสําหรบั พระสงฆป์ ระชุมจาตุรงคสันนิบาตครงั ใหญ่ในพระ พทุ ธศาสนา อันเปนเหตุการณ์สาํ คัญในวันมาฆบูชา
วดั เวฬุวันหลังการปรนิ ิพพาน หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรนิ ิพพาน วดั เวฬุวนั ได้รบั การดแู ลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกฎุ ีทมี พี ระสงฆเ์ ฝาดูแลทาํ การปดกวาดเชด็ ถู ปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทบั อยู่ทุก ๆ แห่ง เหมอื นสมัยทพี ระพุทธองค์ทรงพระชนมชพี อยูม่ ิได้ขาด โดยมี การปฏิบตั ิเช่นนีติดต่อกันกวา่ พนั ป แต่จากเหตุการณ์ยา้ ยเมอื งหลวงแห่งแควน้ มคธหลายครงั ในชว่ ง พ.ศ. 70 ทีเรมิ จากอํามาตยแ์ ละราษฎรพรอ้ มใจกันถอดกษัตรยิ ์ นาคทสั สก์แห่งราชวงศข์ องพระเจ้าพมิ พสิ ารออกจากพระราชบลั ลังก์ และยกสุสูนาคอํามาตย์ซึงมเี ชอื สายเจ้าลิจฉวใี นกรุงเวสาลีแห่งแคว้น วชั ชีเก่า ให้เปนกษัตรยิ ต์ ังราชวงศ์ใหมแ่ ล้ว พระเจ้าสสุ ูนาคจึงได้ทําการยา้ ยเมอื งหลวงของแควน้ มคธไปยงั เมอื งเวสาลีอันเปนเมอื งเดิมของ ตน และกษัตรยิ พ์ ระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เปนพระราชโอรสของพระเจ้าสุสนู าค ได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จาก เมืองเวสาลีไปยงั เมืองปาตลีบุตร ทาํ ให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสาํ คัญลงและถูกทงิ รา้ ง ซงึ เปนสาเหตุสาํ คัญทที ําให้วดั เวฬุวนั ขาดผู้ อุปถัมภ์และถกู ทิงรา้ งอย่างสนิ เชิงในชว่ งพนั ปถัดมา
โดยปรากฏหลักฐานบนั ทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ทไี ด้เขา้ มาสืบศาสนาในพุทธภมู ิในชว่ งป พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรชั สมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย)์ แห่งราชวงศ์คปุ ตะ ซงึ ท่านได้บันทึกไวว้ ่า เมืองราชคฤห์อยูใ่ นสภาพปรกั หักพงั แต่ยงั ทันได้เห็นมูลคันธกฎุ ีวดั เวฬุวันปรากฏอยู่ และยงั คงมพี ระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรกั ษาปดกวาดอยูเ่ ปนประจํา แต่ไมป่ รากฏวา่ มีการ บันทกึ ถึงสถานทีเกิดเหตุการณ์จาตุรงคสนั นิบาตแต่ประการใด แต่หลังจากนันประมาณ 200 ป วัดเวฬุวันก็ถกู ทงิ รา้ งไป ตามบนั ทึกของพระถังซาํ จัง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซงึ ได้ จารกิ มาเมอื งราชคฤห์ราวป พ.ศ. 1300 ซงึ ทา่ นบนั ทกึ ไวแ้ ต่เพยี งว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึงมกี ําแพงและอิฐล้อมรอบอยู่ เท่านัน (ในสมยั นันเมืองราชคฤห์โรยราถึงทีสดุ แล้ว พระถังซาํ จังได้แต่เพยี งจดตําแหน่งทตี ังทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถาน เก่าแก่อืน ๆ ในเมอื งราชคฤห์ไว้มาก ทาํ ให้เปนประโยชน์แก่นักประวตั ิศาสตรแ์ ละนักโบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมอื ง ราชคฤห์ในปจจุบัน)
จดุ แสวงบุญและสภาพของวดั เวฬุวันในปจจุบัน ปจจบุ ันหลังถูกทอดทงิ เปนเวลากวา่ พนั ป และได้รบั การบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงทอี ินเดียยงั เปน อาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวนั ยงั คงมเี นินดินโบราณสถานทียังไม่ได้ขดุ ค้นอีกมาก สถานทสี ําคัญ ๆ ที พุทธศาสนิกชนในปจจบุ นั นิยมไปนมัสการคือ \"พระมูลคันธกุฎี\" ทปี จจุบนั ยงั ไมไ่ ด้ทําการขดุ ค้น เนืองจากมีกโุ บรข์ อง ชาวมุสลิมสรา้ งทับไว้ข้างบนเนินดิน, \"สระกลันทกนิวาป\" ซงึ ปจจบุ นั รฐั บาลอินเดียได้ทําการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ \"ลานจาตุรงคสันนิบาต\" อันเปนลานเล็ก ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่กลางซุม้ ลานนีเปน จดุ สําคัญทชี าวพทุ ธนิยมมาทาํ การเวยี นเทียนสกั การะ (ลานนีเปนลานทกี องโบราณคดีอินเดียสนั นิษฐานวา่ พระพทุ ธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี)
จดุ ทเี กิดเหตกุ ารณ์สําคัญในวนั มาฆบูชา (ลานจาตุรงคสนั นิบาต) ถึงแม้ว่าเหตกุ ารณ์จาตรุ งคสนั นิบาตจะเปนเหตุการณ์สาํ คัญยิงทีเกิดในบรเิ วณวดั เวฬุวนั มหาวิหาร แต่ทว่าไมป่ รากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปฎกแต่อย่าง ใดว่าเหตกุ ารณ์ใหญ่นีเกิดขนึ ณ จุดใดของวดั เวฬุวัน รวมทังจากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ ปรากฏหลักฐานวา่ มกี ารทําเครอื งหมาย (เสาหิน) หรอื สถปู ระบุสถานทปี ระชุมจาตรุ งคสันนิบาตไว้ แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบรเิ วณทเี กิดเหตุการณ์สาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนา มกั จะพบสถปู โบราณหรอื เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชสรา้ งหรอื ปกไวเ้ พอื เปนเครอื งหมายสาํ คัญสําหรบั ผแู้ สวง บุญ) ทาํ ให้ในปจจบุ ันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตกุ ารณ์จาตรุ งคสนั นิบาตเกิดขนึ ในจดุ ใด ของวัด
ในปจจบุ นั กองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า \"เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบรเิ วณลานด้านทศิ ตะวันตกของสระกลันทกนิวาป\" (โดยสนั นิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานวา่ เหตกุ ารณ์ดังกล่าวมพี ระสงฆ์ประชุมกัน มากถึงสองพนั กว่ารูป และเกิดในชว่ งทีพระพทุ ธองค์พงึ ได้ทรงรบั ถวายอารามแห่งนี การประชมุ ครงั นันคงยงั ต้องนัง ประชมุ กันตามลานในปาไผ่ เนืองจากเสนาสนะหรอื โรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไมไ่ ด้สรา้ งขึน และโดยเฉพาะอย่าง ยงิ ในปจจุบนั ลานด้านทิศตะวนั ตกของสระกลันทกนิวาป เปนลานกวา้ งลานเดียวในบรเิ วณวัดทีไมม่ โี บราณสถานอืนตัง อยู)่ โดยได้นําพระพุทธรูปยนื ปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บรเิ วณซุม้ เล็ก ๆ กลางลาน และเรยี กว่า \"ลาน จาตรุ งคสันนิบาต\" ซงึ ในปจจุบันก็ยังไมม่ ขี ้อสรุปแน่ชัดว่าลานจาตุรงคสนั นิบาตทแี ทจ้ รงิ อยู่ในจดุ ใด และยงั คงมีชาว พทุ ธบางกล่มุ สรา้ งซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบรเิ วณอืนของวดั โดยเชอื ว่าจุดทีตนสรา้ งนันเปนลานจาตุรงคสันนิบาตทีแทจ้ รงิ แต่พทุ ธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญก่ ็เชือตามข้อสนั นิษฐานของกองโบราณคดีอินเดียดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุม้ พระพทุ ธรูปกลางลานนีเปนจดุ สกั การะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสาํ คัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจดุ หนึง คือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชกฏู )
กิจกรรมต่างๆ ทีควรปฏิบตั ิในวันมาฆบูชา การปฎิบัติตนสําหรบั พุทธศาสนาในวันนีก็คือ การทาํ บุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรอื ไมก่ ็จัดหาอาหารคาวหวานไป ทําบุญฟงเทศน์ทีวดั ตอนบา่ ยฟงพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนําดอกไม้ ธูปเทียน ไปทีวัดเพอื ชมุ นุมกันทาํ พธิ เี วียนเทียน รอบพระอุโบสถ พรอ้ มกับพระภิกษุสงฆโ์ ดยเจ้าอาวาสจะนําว่า นะโม ๓ จบ จากนันกล่าวคํา ถวาย ดอกไมธ้ ูปเทยี น ทุกคนวา่ ตาม จบแล้วเดิน เวยี นขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคณุ พระธรรมคณุ พระ สงั ฆคณุ จนครบ ๓ รอบ แล้วนําดอกไม้ ธูปเทยี นไปปกบูชาตามทีทางวดั เตรยี มไว้ เปนอันเสรจ็ พธิ ี
หลักธรรมทคี วรนําไปปฏิบตั ิ หลักการ ๓ ๑. การไมท่ าํ บาปทังปวง ได้แก่การงดเว้น การลด ละเลิก ทาํ บาปทงั ปวง ซงึ ได้แก่ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชวั มสี บิ ประการ อันเปน ความชวั ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ความชัวทางกาย ได้แก่ การฆา่ สตั ว์ การลักทรพั ย์ การประพฤติ ผิดในกาม ความชวั ทางวาจา ได้แก่ การพูดเท็จ การพดู ส่อเสียด การพดู เพ้อเจ้อ ความชัวทางใจ ได้แก่ การอยากได้สมบัติของผูอ้ ืน การผกู พยาบาท และความเห็นผดิ จากทาํ นองคลองธรรม
๒. การทาํ กุศลให้ถึงพรอ้ ม ได้แก่ การทาํ ความดีทุกอยา่ งซงึ ได้แก่ กศุ ลกรรมบถ ๑๐ เปนแบบของการทาํ ฝายดีมี ๑๐ อย่าง อันเปนความดี ทางกาย ทางวาจาและทางใจ ความดีทางกาย ได้แก่ การไม่ฆา่ สตั ว์ ไม่ทํารา้ ยเบยี ดเบยี นผอู้ ืนมแี ต่ช่วยเหลือเกือกูลกัน การไม่ถือเอาสงิ ของทีเจ้าของเขาไมไ่ ด้ให้ มาเปน ของตน มคี วามเอือเฟอเผือแผ่ และการไม่ประพฤติผดิ ในกาม การทําความดีทางวาจา ได้แก่ การไมพ่ ดู เทจ็ ไมพ่ ูดสอ่ เสยี ด ไม่พดู คําหยาบ และไมพ่ ดู เพ้อเจ้อพดู แต่คําจรงิ พูดคําอ่อนหวานพูดคําให้ เกิดความสามัคคีและพูดถูกกาลเทศะ การทาํ ความดีทางใจ ได้แก่ การไม่โลภอยากได้ของของผู้อืนมีแต่คิดเสียสละ การไม่ผกู อาฆาตพยาบาทมแี ต่คิดเมตตาและ ปราถนาดี และมคี วามเห็นความรูค้ วามเข้าใจทีถูกต้อง ตามทํานองคลองธรรม เชน่ เห็นวา่ ทาํ ดีได้ดี ทําชวั ได้ชัว
๓. การทาํ จิตให้ผอ่ งใส ได้แก่ การทําจิตของตนให้ผ่องใส ปราศจากนวรณ์ซงึ เปนเครอื งขดั ขวางจิตไมใ่ ห้เขา้ ถึงความสงบ มี ๕ ประการ ได้แก่ ๑. ความพอใจในกาม (กามฉันทะ) ๒. ความอาฆาตพยาบาท (พยาบาท) ๓. ความหดหู่ทอ้ แท้ ง่วงเหงาหาวนอน (ถีนะมิทธะ) ๔. ความฟุงซา่ น ราํ คาญ (อุทธจั จะกกุ กจุ จะ) และ ๕. ความลังเลสงสยั (วิกิจฉา) เชน่ สงสัยในการทาํ ความดีความชวั ว่ามีผลจรงิ หรอื ไม่ วธิ กี ารทําจิตให้ปฏิบตั ิสมถะผอ่ งใส ทีแท้จรงิ เกิดขนึ จากการละบาปทังปวง ด้วยการถือศลื และบําเพ็ญกศุ ล ให้ถึงพรอ้ มด้วยการ และวิปสสนา จนได้บรรลอุ รหัตผล อันเปนความผ่องใสทแี ท้ จรงิ
นางสาว ชนกเนตร ผา่ นอ้น เลขที 1 ปวส.1/9 สาขาการบัญชี
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: