ไตรภูมิพระร่วง
ประวัติความเป็นมา ผู้แต่ง จุดมุ่งหมาย ภาษาและการแต่ง เนื้อเรื่อง(ย่อ) คุณค่าที่ปรากฎ
ประวัติไตรภูมิพระร่วง ไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณกรรมชิ้นเอก สมัยกรุงสุโขทัยนับเป็นวรรณคดีเรือ่ งแรกของไทย เป็น พระราชนิพนธ์ใน สมเด็จพระศรีสุริยพงศ์ รามมหาธรรม ราชาธิราช หรือพระมหาธรรมราชาลิไทย เป็นวรรณคดี ไทยที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุง ศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน เพราะได้รวบรวมเอาคติความ เชื่อทุกแง่ทุกมุมของทุกชนชั้ นหลายเผ่าพันธุ์ มาร้อยเรียง เป็นเรือ่ งราวให้ผู้อ่านผู้ฟังยำเกรงในการกระทำบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดีในการทำบุญทำกุศล อาจหาญมุ่งมั่น ในการกระทำคุณงามความดี
พระมหาธรรมราชาลิไทย มีพระปรีชารอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก อรรถ กถาฎีกาอนุฏีกา และปกรณ์ พิเศษต่าง ๆ พระองค์ ยังเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์จนถึงขั้นทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคมเป็นปฐม ธรรมเนียมสืบต่อมา จนถึงปัจจุบัน ในปี พ.ศ.๑๘๘๘ พระยาลิไทย อุปราชผู้ครองนครศรีสัชนาลัย ได้ทรงนิพนธ์ ไตรภูมิกถาขึ้น มีสาระสำคัญ คือ ทรงพรรณาถึงเรือ่ งการเกิด การตาย ของสัตว์ทั้ง หลายว่า การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิทั้งสามคือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ด้วยอำนาจของบุญและบาปที่ตนได้กระทำแล้ว
กามภูมิ คือ ภูมิระดับล่าง มีทั้งสิ้น ๑๑ ภูมิ แบ่งออกเป็น อบายภูมิ หรือ ทุคติภูมิ ๔ และ สุคติภูมิ ๗
อบายภูมิ ๔ เป็นภูมิของความชั่วร้ายต่างๆ นรกภูมิ คือภูมิชั้นต่ำที่สุดในอบายภูมิ ที่ยั่งลึกซ้อนกันลงไปอีกถึง ๘ ชั้น มหาอเวจีนรก คือชั้นนรกที่ต่ำที่สุด ผู้ที่กระทำบาปอันเป็น อนัตริยกรรม๕ (บาปอย่างหนัก ได้แก่ ฆ่ามารดา, ฆ่าบิดา, ฆ่าประ อรหันต์, ทำร้อยพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อขึ้นไป, ทำลายหรือ ยุยงสงฆ์ให้แตกแยกดัน) จะไปเกิดในขุมนากชั้นนี้ ถัดขึ้นมาคือ เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และอสุรการภูมิ ตามลำดับ สุคติภูมิ ๗ เป็นภูมิชั้นสูงขึ้นมา แบ่งออกเป็น ภูมิมนุษย์ ๑ และภูมิของเทวดา อีก ๖ ชั้น (ภูมิเทวดาทั้ง๖ รวมเรียกว่า ฉกามาพจร) ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในภามภูมิ คือยังหลงมัวเมาอยู่ในกามกิเลส
รูปภูมิ หรือรูปาวจรภูมิ ได้แก่ รูปพรหมสิบหกชั้น เริ่มตั้งแต่พรหม รูปภูมิ หรือรูปาวจรภูมิ ปริสัชชาภูมิ ที่อยู่สูงกว่าสวรรค์ ชั้นหก คือ ปรนิมมิตวสวัตดี มากจนนับ ระยะทางไม่ได้ ระยะทางดังกล่าวอุปมาไว้ว่า สมมติมีหินก้อนใหญ่เท่า โลหะปราสาทในลังกาทวีป หินก้อนนี้ทิ้ งลงมาจากชั้นพรหมปริสัชชาภูมิ หินก้อนนั้นใช้เวลาถึงสี่เดือนจึงจะตกลงถึงพื้น จากพรหมปริสัชชาภูมิขึ้นไปถึงชั้นที่สิบเอ็ด ชื่อชั้น อสัญญีภูมิ เป็นรูปพรหมที่มีรูปแปลกออกไปจากพรหมชั้นอื่น ๆ คือ พรหมชั้นอื่น ๆ มีรูป มีความรู้สึก เคลือ่ นไหวได้ แต่พรหมชั้นอสัญญีมีรูปที่ ไม่ไหวติง ไร้อริยาบท โบราณเรียกว่า พรหมลูกฟักครั้นหมดอายุ ฌานเสื่อมแล้วก็ไปเกิดตามกรรมต่อไป รูปพรหมที่สูงขึ้นไปจากอสัญญีพรหมอีกห้าชั้นเรียกว่า ชั้นสุทธาวาส หมายถึงที่อยู่ของผู้บริสุทธิ ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสคือ ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี คือเป็นผู้ที่ไม่กลับมาสู่โลกนี้ต่อไป ทุกท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพานในชั้นสุทธาวาสนี้
อรูปภูมิ อรูปภูมิ หรืออรูปาพาจรภูมิ มีสี่ชั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปปรากฏ หรืออรูปาพาจรภูมิ ผู้ที่ไปเกิดในภูมินี้คือผู้ที่บำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุฌานโลกีย์ ชั้นสูงสุดเรียกว่าอรูปฌานซึ่งมีอยู่สี่ระดับได้แก่ผู้ที่บรรลุอากาสานัญจา ยตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์ ) จะไปเกิดในอากาสานัญจายตะภูมิ ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาวิญญาณเป็นอารมณ์ ) จะไปเกิดใน วิญญาณัญจายตะภูมิ ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาความไม่มีเป็น อารมณ์ ) จะไปเกิดในอากิญจัญญาตนะภูมิ และผู้ที่บรรลุเนวสัญญานสสัญญายตนะ ฌาน (ยึดหน่วงเอาฌานที่สามให้ละเอียดลงจนเป็นผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีญาก็มิใช่) จะไปเกิดในแนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ พรหมเหล่านี้เมื่อเสื่อม จากฌานก็จะกลับมาเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือภูมิอื่น ๆ ได้เช่นกัน
ประวัติผู้แต่ง หนังสือไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณคดีทางศาสนาที่สำคัญเล่มหนึ่ง ในสมัยสุโขทัย ซึ่งมีอิทธิพล ต่อคนไทยมาก พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) ได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นหลังจากที่ทรง ผนวชแล้ว และขึ้นครองราชย์ได้ ๖ ปี ประมาณ พ.ศ. ๑๘๙๖ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งกรุงสุโขทัย ขึ้นครองราชย์ ต่อจากพญางั่วนำถุม จากหลักฐานในศิลาจารึกวัดมหาธาตุ พ.ศ. ๑๙๓๕ หลักที่ ๘ . ค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อพญาเลอไทสวรรคต ใน พ.ศ. ๑๘๘๔ พญางั่วนำถุมได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมา พญาลิไทยกทัพมาแย่งชิงราชสมบัติ และขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ ทรงพระนามว่า พระเจ้า ศรีสุริยพงษ์ รามมหาธรรมราชาธิราช ในศิลาจารึกมักเรียกพระนามเดิมว่า พญาลิไท หรือเรียก ย่อว่า พระมหาธรรมราชาที่ ๑ เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๑๑
พญาลิไท ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงอาราธนาพระเถระชาวลังกา เข้ามาเป็นสังฆราชในกรุงสุโขทัย ได้สละราชสมบัติออกทรงผนวชที่วัดป่ามะม่วง นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก พญาลิไททรงมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ทรงสนพระทัยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก และทรงพัฒนาบ้านเมืองให้ เจริญหลายประการ เช่น สร้างถนนพระร่วง ตั้งแต่เมืองศรีสัชนาลัยผ่านกรุง สุโขทัยไปถึงเมืองนครชุม (กำแพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม สร้างเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็นเมืองลูกหลวง และสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ ที่ฝีมือ การช่างงดงามเป็นเยี่ยม
ภาษาและการแต่ง ภาษา : ใช้ภาษากึ่งทางการ มีการใช้ภาษาบาลี-สันสกฤต การแต่ง:เป็นการแต่ง แบบร้อยแก้ว ประเภทความเรียง สำนวนพรรณนา
จุดมุ่งหมายในการแต่ง กล่าวไว้ในบานแพนกว่า \"ใส่เพื่อมีอัตถพระธรรม และจะ ใคร่เทศนาแก่พระมารดาท่าน..... ผู้ใดปรารถนาเถิงทิพยสมบัติปัตถ โมกขนิพพาน ให้สดับพระไตรภูมิกถานี้ ด้วยทำนุบำรุง ด้วยใจศรัทธา\" ดังนั้นจึงมีจุดมุ่งหมายในการแต่ง ๒ ประการ คือ ๑. เพื่อเทศน์โปรดพระมารดา เป็นการเจริญธรรมความกตัญญู ๒. เพื่อใช้สั่งสอนประชาชนให้มีคุณธรรม และเข้าใจพุทธ ศาสนา จะได้ช่วยดำรงพระพุทธศาสนาไว้ให้ยั่งยืน
เนื้อเรื่องย่อ ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้งสาม คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิซึ่งมี เนื้อหาพรรณนาถึงที่อยู่ ที่ตั้ง และการเกิดของมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเทวดา ที่ตั้งเหล่านี้มีเขาพระสุเมรุเป็น หลัก เขาพระสุเมรุนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อม ทิวเขามีชื่อต่างๆดังนี้ ทิวเขาเหล่านี้รวมเรียกว่าเขาสัตบริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ 7 ชั้น เรียกว่า มหานทีสีทันดร ถัดจากทิวเขาอัศกัณออกมาเป็นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบ จักรวาล พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล
นรกภูมิ มีนรกใหญ่ 8 ขุม คือ สัญชีพนรก กาลสูตนรก สังฆาฏนรก โรรุพนรก ตาปนรก มหาตาปนรก มหาอเวจีนรก มหาโรรุพนรก สัตว์ที่เกิดในนรกแห่งนี้มีอายุยืนนานนับไม่ถ้วน สัตว์นรกขุมแรกมีอายุยืนได้ 500 ปี (1 วันกับ 1 คืนของ เมืองนรกเท่ากับ 9 ล้านปีของเมืองมนุษย์) ส่วนสัตว์นรกที่อยู่ขุมถัดไปมีอายุนับทวีคูณจำนวนปีของขุมนรกแรก นรก 8 ขุมนี้ มีกำแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอล้อมเป็นสี่เหลี่ยม พื้นบนและพื้นล่างก็เป็นเหล็กแดงที่ลุกเป็นไฟ กำแพง ทั้ง 4 ด้าน ยาวด้านละ 1,000 โยชน์ หนา 9 โยชน์ มีประตูเข้า 4 ประตู ส่วนพื้นบนและพื้นล่างมีความหนา 9 โยชน์ นรก ใหญ่แต่ละขุมมีนรกบริวารหรือนรกบ่าวล้อมอยู่ด้านละ 4 ขุม นรกใหญ่ขุมหนึ่งจึงมีนรกบ่าว 16 ขุม นรกใหญ่ 8 ขุมจึงมีน รกบ่าวทั้งหมด 136 ขุม และก็มีนรกเล็กๆ น้อยๆ อีกจำนวนนับไม่ถ้วน นรกบ่าวทั้ง 16 ขุมรวมเรียกชื่อว่า อุสุทธ (อุสสทน รก) นรกโลกันต์ ยมบาล หรือผู้ดูแลนรกเฝ้าประตูนรกไว้ มีพระยายมราชเป็นผู้ทรงธรรมเที่ยงตรงเป็นใหญ่เหนือยมบาลทั้งหลาย หน้าที่ ของพระยายมราชคือสอบสวนบุญบาปของมนุษย์ที่ตายไป หากทำบุญก็จะได้ขึ้นสวรรค์ทำบาปก็จะตกนรก
ติรัจฉานภูมิ หรือ เดรัจฉานติภูมิ สัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงสัตว์ที่ไปไหนมาไหนต้องคว่ำอก ในหนังสือไตรภูมิตอนนี้เริ่มต้นกล่าวถึงสัตว์อันเกิดมาในแดนเดรัจฉานว่า มีเกิด จากไข่ (อัณฑชะ) จากมีรกอันห่อหุ้ม(ชลาพุชะ) จากใบไม้และเหงื่อไคล(สังเสทชะ) เกิดเป็นตัวขึ้นเองและโตทันที(อุปปาติกะ) สัตว์เดรัจฉานนั้นมีความเป็น อยู่ 3 ประการ คือ รู้สืบพันธุ์ รู้กิน รู้ตาย เรียกเป็นศัพท์ว่า กามสัญญา อาหารสัญญา และมรณสัญญา ส่วนคนนั้นเพิ่มอีกสัญญาหนึ่งคือ ธรรมสัญญา คือรู้จักการทำมาหากิน รู้บาปบุญ หรือตรงกับคำว่าวัฒนธรรมนั้นเอง สัตว์ที่กล่าวในแดนเดรัจฉานหลักๆก็มีดังนี้ ราชสีห์ ช้างแก้ว ปลา เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับสิงโต ช้างแก้ว ปลา ในแดนเดรัจฉานนี้ปลาที่อาศัยอยู่ที่นี้ ไม่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้แต่เป็น อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองว่ากันว่า จะมีขนาดใหญ่มาก ตัวที่เล็กสุดก็ยังยาวถึง สัตว์ที่อยู่ในวรรณคดีเท่านั้น พระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเคย 75 โยชน์ ตัวที่ใหญ่ก็ยาวถึง 5,000 โยชน์ ไปเกิดเป็นช้างนี้อยู่หนึ่งชาติ ปลาที่รู้จักกันดีคือ พญาปลาอานนท์ ซึ่ง หนุนชมพูทวีปอยู่ ครุฑ นาค ครุฑ อาศัยอยู่ที่ตามฝั่ งสระใหญ่ชื่อสิมพลีสระที่ตีนเขา หรืองูมีหงอนและมีตีน นาคมีสองชนิด คือ ถลชะ หรือนาคที่เกิดบน พระสุเมรุหรือสระต้นงิ้ว กว้างได้ 500 โยชน์ พระยา บก และ ชลชะ หรือนาคที่เกิดในน้ำ นาคถลชะจะเนรมิตตนเป็นคน ครุฑที่เป็นหัวหน้าตัวโต 50 โยชน์ ปีกยาวอีก 50 โยชน์ หรือเทวดานางฟ้าได้แต่บนบก นาคชลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือ ปากยาว 9 โยชน์ ตีนทั้งสองยาว 12 โยชน์ ครุฑกินนาค เทวดานางฟ้าได้แต่ในน้ำเท่านั้น เรื่องนาคเป็นที่รู้จักกันดีใน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือเป็นบรรพบุรุษของ เป็นอาหาร และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ ชนชาติต่างๆ เช่น เขมร ลาว มอญหงส์ อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองบนเขา คิชฌกูฏหรือเขายอดนกแร้ง หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม
เปรตภูมิ เปรตเป็นผีเลวชนิดหนึ่ง ในไตรภูมิบรรยายรูปร่าง ของเปรตไว้ว่า เปรตบางชนิดมีตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม เปรตบางชนิดก็ตัวผอมไม่มีเนื้อหนังมังสา ตาลึก กลวง และร้องไห้ตลอดเวลา แต่ก็มีเปรตบางชนิดที่ ตัวงามเป็นทอง แต่ปากเป็นหมูและเหม็นมาก สรุป รวมๆแล้วก็คือเมื่อตอนเป็นคนแล้วทำบาปอย่างใด เมื่อตายไปก็จะเป็นเปรตตามที่ทำบาปไว้ เปรตนั้นมีโอกาสดีกว่าสัตว์นรก เนื่องจากสามารถ ออกมาขอบุญกุศลจากการทำบุญของมนุษย์ได้
อสูรกายภูมิ อสูร แปลตรงตัวว่า ผู้ไม่ใช่สุระหรือไม่ใช่พวกเทวดาที่มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า เดิม พวกอสูรมีเมืองอยู่บนเขาพระสุเมรุหรือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง ภายหลังพวก เทวดาคิดอุบายมอมเหล้าพวกอสูรเมาจนไม่ได้สติ แล้วพวกเทวดาก็ช่วยกันถีบ อสูรให้ตกเขาพระสุเมรุดิ่งจมลงใต้ดิน เมื่ออสูรสร่างเมาได้สติแล้วก็สำนึกตัวได้ว่า เป็นเพราะกินเหล้ามากจนเมามายจึงต้องเสียบ้านเมืองให้กับพวกเทวดาจึงเลิกกิน เหล้าแล้วไปสร้างเมืองใหม่ใต้บาดาลเรียกว่า อสูรภพ
มนุสสภูมิ กล่าวถึงฝูงสัตว์อันเกิดในมนุษยภูมิ มีกำเนิดดังนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิในครรภ์มารดาก็เริ่มก่อตัว เป็นกัลละ กัลละมีรูปร่างโปร่งเหลวเหมือนน้ำหรือเหมือนเมือกตม เป็นคำที่ใช้เฉพาะสิ่งที่ห่อหุ้มก่อ กำเนิดเป็นคนเท่านั้น กัลละที่ก่อเป็นตัวเด็กขึ้นมานี้ตามวิทยาศาสตร์กล่าวเรียกว่า 'cell' เมื่อเวลาผ่าน ไปก็เกิดกลายเป็นตัวเด็กขึ้นนั่งกลางท้องแม่และเอาหลังมาชนท้องแม่ มีสายสะดือเป็นตัวส่งอาหารที่ แม่กินเข้าไปให้แก่เด็ก เด็กที่นั่งอยู่กลางท้องแม่นั้นจะนั่งอยู่เวลาประมาณ 8-10 เดือน แล้วจึงคลอด จากท้องแม่ บุตรที่เกิดมาในไตรภูมิแบ่งได้เป็ น 3 สิ่ง อภิชาตบุตร เป็นคนเฉลียวฉลาดมีรูปงามหรือมั่งมียศยิ่งกว่าพ่อแม่ อนุชาตบุตร มีเพียงพ่อแม่ อวชาติบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่
มนุสสภูมิ คนทั้งหลายก็แบ่งเป็น 4 ชนิด ผู้ที่ทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบาปนั้นตามทันต้องถูกตัดตีนสินมือและทุกข์โศกเวทนา นักหนา พวกนี้เรียกว่า \"คนนรก\" ผู้หาบุญจะกระทำบ่มิได้ และเมื่อแต่ก่อนและเกิดมาเป็นคนเข็ญใจยากจนนักหนา อดอยาก ไม่มีกิน รูปโฉมก็ขี้เหร่ พวกนี้เรียกว่า \"คนเปรต\" คนที่ไม่รู้จักบาปและบุญ ไม่มีความเมตตากรุณา ไม่มีความยำเกรงผู้ใหญ่ ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อ แม่ครูอาจารย์ ไม่รักพี่รักน้อง กระทำบาปอยู่ร่ำไป พวกนี้ท่านเรียกว่า \"คนเดรัจฉาน\" คนที่รู้จักบาปและบุญ รู้กลัวรู้ละอายแก่บาป รู้รักพี่รักน้อง รู้กรุณาคนยากจนเข็ญใจ และรู้จัก ยำเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ครูอาจารย์ และรู้จักคุณแก้ว 3 ประการ คือ พระรัตนตรัย พวกนี้ท่าน เรียกว่า \"มนุษย์\"
พระยาจักรพรรดิราช พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพระราชา ทั้งปวง คือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้ รอบโลกโดยปราศจากการขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นคนแต่ทำบุญไว้มาก เมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์ ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยา ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า พระยาจักรพรรดิราช เป็น พระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการเป็นเจ้านายคนทั้งหลาย พระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม พระยาจักรพรรดิราชมี แก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วย ได้แก่
ช้างแก้ว พระยาจักรพรรดิราช ม้าแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว จักรแก้ว ขุนคลังแก้ว แก้วดวง
ฉกามาพจรภูมิ ปรนิมมิตวสวัตตี นิมมานรดี คือดินแดนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ดุสิต ยามา ดาวดึงส์ จาตุมหาราชิกภูมิ
ในตอนท้ายของหนังสือผู้นิพนธ์ทรงชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ สัตว์และเทวดาทั้งหลายตลอดจนสรรพสิ่งในภูมิทั้ง 3 แม้กระทั่งภูเขา แม่น้ำ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ตลอดจนป่าหิมพานต์ ในที่สุดก็ต้องเสื่อมสลายไปทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้เลย กล่าวถึงการเกิดไฟประลัยกัลป์ และกำเนิดโลกและสรรพสิ่งขึ้นใหม่หลังจากเกิดไฟ ประลัยกัลป์ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความเป็นมาและ ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์
คุณค่าที่ปรากฏ -คุณค่าด้านวรรณคดี เป็นความเรียงที่มีสัมผัสคล้องจอง มีความเปรียบเทียบที่ให้อารมณ์ และ เกิดจินตภาพชัดเจน เป็นภาพพจน์ เชิงอุปมาและภาษาจินภาพ เห็นความงดงามของภาษา -คุณค่าด้านศาสนา เป็นปรัชญาทางพระพุทธศาสนา ชี้ให้เห็นแก่นแท้ของชีวิตอาจนำ มนุษยชาติให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร -คุณค่าด้านจริยธรรม ไตรภูมิพระร่วงกำหนดกรอบแห่งความประพฤติเพื่อให้สังคมมีความสงบ สุขผู้ปกครองแผ่นดินต้องมีคุณธรรม -คุณค่าด้านประเพณีและวัฒนธรรม ความเชื่อที่ปรากฏในเรือ่ งไตรภูมิพระร่วงยังสืบทอดมา จนถึงปัจจุบัน เช่น ประเพณีงานศพ ภาพนรกและสวรรค์ ก่อให้เกิดผลงานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมจนถึงปัจจุบัน
รายชื่อสมาชิก นางสาวจิราภรณ์ ใจดี 04 นางสาวศิขรินทร์ หาระภูมิ 20 นางสาวบุญสิตา แก้วสีไตร 14 นางสาวอทิตยา ธรรมวงค์ 22 นางสาวพิชญธิดา มุ่งทุ่งกลาง 15 นางสาวกิตติญา บำเพ็ญพงษ์ 26 นางสาววรกานต์ ประมวลสุข 19 อาจารย์อภิสรา โคตรโยธา
จบแล้ว
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: