Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore “ไขกุญแจห้องเรียนรวมศิลปะ Key to success of special needs children in Art classroom”

“ไขกุญแจห้องเรียนรวมศิลปะ Key to success of special needs children in Art classroom”

Published by Umaporn Wongsrikaew, 2021-05-02 18:00:10

Description: เล่มรวบรวมบทความสัมมนา
โครงการสัมมนาเชิงวิชาการทางศิลปศึกษา ภายใต้หัวข้อ “ไขกุญแจห้องเรียนรวมศิลปะ (Webinar) Key to success of special needs children in Art classroom”
โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 4 หลักสูตรศิลปศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

Search

Read the Text Version

คำนำ การแสดงออกในสิ่งใดสิง่ หน่ึงที่กอ่ ใหเ้ กิดการสื่อสาร จากผู้หนง่ึ ถึงอีกผหู้ นึง่ เป็นกระบวนการที่สำคัญใน การดำรงชีวติ ของมนุษย์ท่อี ยู่ร่วมกนั ในสงั คม หนึ่งในนนั้ เปน็ วิธีท่ใี ช้มาตัง้ แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จุบนั คอื การจดบันทกึ หรือการเขียนขอ้ ความ เปน็ การใช้ภาษาท่ีข้ึนอยู่กบั บคุ คลท่ีจะสอื่ สารและบุคคลทีร่ บั สาร ท่ตี อ้ งรู้จักเข้าใจใน ภาษาท่ีใชใ้ นการเขียนสอ่ื สารคร้ังน้ันๆ การเขยี นเหล่าน้ีมปี ระโยชน์อยา่ งมากต่อศาสตร์วิชาต่าง ๆ ซึ่งหน่ึงในนน้ั คือวชิ าดา้ นศิลปะ ท่ีจะรว่ มเอาการถา่ ยทอดการสอนและการวจิ ารณ์ศลิ ปะในแง่มมุ ตา่ งๆ ท่จี ะตอ้ งอาศยั ผทู้ ีม่ ี ประสบการณ์ แนวคิด การแก้ไขปัญหา การมองหาทางออกร่วมกนั ที่จะตอ้ งเปน็ ผูท้ ี่มีประสบการณ์ ผู้ถ่ายทอด แนวคิดผา่ นงานเขียนที่ตอ้ งใชภ้ าษาทช่ี ดั เจน เหมาะสม ส่ือสารเขา้ ใจง่าย ซ่งึ เรียกอีกชื่อหนง่ึ วา่ บทความทาง วชิ าการ บทความคือการกลั่นกรองภาษาการเขียนท่เี กิดจากทัศนคติ ประสบการณ์ แนวความคดิ เหน็ ที่มีตอ่ เร่อื งนั้น ๆ สงิ่ ตา่ ง ๆ เหล่าน้ีสำคญั อยา่ งมากทจี่ ะมาประกอบกนั เขา้ ไปเป็นบทความ สว่ นบทความน้ันมหี ลาย ประเภททีส่ ามารถเขยี นข้ึนได้ ซง่ึ แต่ละประเภทของบทความนนั้ ต่างกท็ ำหนา้ ท่ใี ห้ประโยชนต์ ่อผู้อา่ นไมม่ ากก็ นอ้ ยในเรื่องนนั้ ๆ บทความมีหน้าท่ใี นการสรา้ งความคิดสร้างแรงบนั ดาลใจให้กบั ผู้อา่ น แลว้ ยงั เป็นข้อมูลที่ดีใน การเป็นแนวทางแกป้ ญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ และยังเปน็ แนวทางการรบั มอื กับปญั หาต่างๆ ท่ีอาจจะเกดิ ข้ึนมาในภายภาค หนา้ จากความคิดที่ของผเู้ ขยี นบทความแตล่ ะคน ผู้อา่ นจะได้ทราบถงึ มมุ มองในการมองปญั หาท่หี ลากหลาย ท้ัง การอ่านบทความยงั ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ นิสยั รักการอา่ นอีกด้วย ในสว่ นของเลม่ รวบรวมบทความสัมมนาน้ี นนั้ จะรวมบทความเก่ยี วกบั ศลิ ปศกึ ษาหรอื การจัดการเรยี น รใู้ นกลุ่มสาระศลิ ปะรวมไปถงึ การจัดการชั้นเรยี นรวม การเสนอแนวคิดในการจัดการเรยี นรรู้ ปู แบบใหม่ ๆ การ นาํ ปญั หาเดิมท่ีเกดิ ขนึ้ ระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้ศิลปะมาให้แนวทางการแก้ไขหรอื การแสดงจดุ ยืนและแสดง ความเห็นที่เปน็ อยกู่ บั ความเป็นศิลปศึกษา ทง้ั ในอดตี ทเ่ี คยลองผดิ ลองถูก ปัจจบุ ันท่ี กําลังพฒั นา และอนาคตท่ี กําลังใกล้จะถงึ โดยนกั ศึกษาสาขาศิลปศึกษาช้ันปที ี่ 4 ได้รวบรวม บทความท่เี ก่ียวข้องกับศลิ ปะในดา้ นต่างๆ 5 ด้าน ได้แก่ ปัญหาดา้ นปรัชญา(Philosophical Area) ดา้ นสังคมวทิ ยา(Sociological Area) ดา้ นเนื้อหา(The Content Area) ดา้ นการศึกษาและจติ วิทยา หรือ การเรียนการสอน(The Educational- Psychological or teaching and learning Area) ด้านหลักสตู ร(The Curriculum or Program Area) เพื่อศึกษาและนําไปปรบั ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรยี นร้ทู ้งั ในสาระการเรยี นรูศ้ ิลปะหรือบูรณาการกับสาระการเรียนรู้อนื่ ๆ ใหผ้ ูเ้ รยี น เกิดการเรยี นรู้มากยิง่ ข้นึ ฝา่ ยเอกสาร

สารบญั หนา้ 1 เนื้อหา 3 - ครูเดก็ พิเศษ คือครธู รรมดาทม่ี ดี วงตาพิเศษสอนอยา่ งปกติด้วยความเข้าใจ 5 ธรรมชาตขิ องเดก็ นั้น 6 (พ.ญ.วนาพร วัฒนกูล) 7 - จากใจผปู้ กครองเดก็ พิเศษ 9 (ชลีรัตน์ เหลา่ จูม) 11 1.ดา้ นปรชั ญา (Philosophical Area) 13 14 - ความแปรผนั 16 (กรวชิ ญ์ อนั ทรินทร์) - ความรักในศิลปะที่จางหายไป 18 (สุกลั ยา เกตุธานี) 19 - ศิลปะพดู ได้? 21 (อุมาภรณ์ วงษศ์ รีแก้ว) 23 - ศิลปะของเขา ศลิ ปะของเรา (มณนี ชุ อุดมลาภ) - ศิลปะ ขับเคล่อื นชีวิตมนุษย์ (ณัฐนันฑ์ สตุ ะโคตร) - ศิลปะเกยี่ วข้องกับเราไดอ้ ยา่ งไร (วลั ลภา เทยี นทอง) - หากคณุ ตอ้ งการชัยชนะ คุณจะแพใ้ หก้ ับตัวเอง (อษั ฎาวธุ โคตรมา) 2.ดา้ นสงั คมวิทยา (Sociological Area) - ศิลปะกบั การสรา้ งสรรคส์ งั คม (กนกพร ไชยสทิ ธางกูร) - รางวลั ของศิลปะ (ชญามินทร์ เกตเุ มฆ) - ศลิ ปะ...กระจกสะท้อนความจริง (ฐิตมิ า ดวงสวุ รรณ์)

สารบญั (ตอ่ ) หนา้ 25 เน้ือหา 27 - ศิลปะเชือ่ งโยงกบั สังคมอย่างไร ไกล หรือ ใกล้ตัว 29 (อรญั ญา ผิวทอง) 30 - สารท่ีส่งไปไม่ถึงเปรยี บได้เหมือนกบั อัตลักษณ์ท่ียงั ไมไ่ ด้แสดงออก 32 (เสาวภาคย์ เพช็ รหงษ์) 34 36 3.ด้านเนอื้ หา(The Content Area) 37 - ความเปน็ ตวั ตนกับศิลปะในโรงเรยี น (พนดิ า ภู่ทอง) 38 - วิชาศิลปะกบั การถูกละเลย (ธีร์จฑุ า คดิ ฉลาด) 41 - ศิลปะใช้ไดจ้ รงิ (หรอื ?) 43 (จรุ รี ตั น์ โนราช) 45 - ศลิ ปะกับกิจกรรมการเรียนการสอนทสี่ ง่ เสริมพฒั นาการของผเู้ รียน ตามแตล่ ะช่วงวัย (ปาลิตา วรรณศริ ิ) 4.ด้านการศกึ ษาและจิตวทิ ยา หรอื การเรยี นการสอน (The Educational- Psychological or teaching and learning Area) - การเรยี นการสอนศลิ ปะ เพ่ือการเรียนรู้ทมี่ งุ่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถดำรงชีวติ อยรู่ ่วมกับผอู้ ืน่ ในสงั คมพหุวัฒนธรรมไดอ้ ยา่ งมีความสขุ (ภัทรพรรณ ทองแย้ม) - ทำไมเด็กต้องเรียนรศู้ ิลปะ (ภาสกร กลางเหลอื ง) - ศลิ ปะกับConstructivism มคี วามสำคญั อยา่ งไรใน ศตวรรษท่ี 21 (ภูรินท์ กลั ยารตั น์) - อนาคตทางการศกึ ษาและการจดั การเรียนการสอนศิลปะในวิกฤติการแพรร่ ะบาด ของไวรสั โควดิ -19จะเป็นอย่างไรตอ่ ไป? (พลพจน์ ฉัว่ ตระกลู )

สารบญั (ตอ่ ) หนา้ 47 เน้ือหา 48 50 5.ดา้ นหลกั สูตร(The Curriculum or Program Area) 54 - การศึกษาไทยหรือใครกนั ทีท่ ำใหค้ ณุ ภาพเด็กไทยแยล่ ง 56 (พิมลพรรณ แสนนาม) - ปญั หาของหลักสูตรและการจัดห้องเรียนศลิ ปะในปัจจบุ ัน 58 (รตั นมณี คงคูณ) 59 - ศิลปะกบั วชิ าที่ถกู มองข้าม 65 (ศิริยากรณ์ ทาทอง) 66 - หลักสูตรและการจดั การเรียนการสอนศลิ ปะกับความต้องการของผูเ้ รยี น (นริศรา บุญหวา) 67 ภาคผนวก - โครงการสัมมนาวิชาการทางศลิ ปศกึ ษา “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกญุ แจสู่หอ้ งเรยี นรวมศิลปะ” - กำหนดการ โครงการสัมมนาวิชาการ “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกุญแจสูห่ อ้ งเรียนรวมศลิ ปะ” - คำกล่าวของประธานโครงการ โครงการสมั มนาวิชาการ “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกุญแจสู่ห้องเรียนรวมศลิ ปะ” - คำกลา่ วของประธานในพธิ ี โครงการสมั มนาวชิ าการ “KEY to success of special needs in Art classroom : ไขกญุ แจสหู่ ้องเรยี นรวมศลิ ปะ”



“ครูเดก็ พิเศษ คอื ครูธรรมดาทม่ี ีดวงตาพิเศษ สอนอย่างปกตดิ ้วยความเขา้ ใจธรรมชาติของเดก็ นัน้ ” พ.ญ.วนาพร วฒั นกลู (ข้อความท่ีผเู้ ขียน รวบรวมจากความปรารถนาท่จี ะให้สง่ิ น้ีปรากฏ) ในมุมมองผู้เขยี นเด็กพเิ ศษ คือ เดก็ ตามธรรมชาติ เกิดมาตามกลไกอนั เปน็ ปกติ หากว่ามีความตอ้ งการ การดูแลที่แตกตา่ ง อาจเพราะเดก็ พิเศษเปน็ ประชากรกลุ่มน้อย ต่างจากความคาดหวงั จากคำนยิ าม ‘เป็น ปกต’ิ ของสงั คมโดยทั่วไป และดูเหมือนว่า ความเปน็ ธรรมชาตินัน้ สรา้ งความไมส่ ะดวกสบายให้ผู้คนรอบข้าง อาจไมถ่ ูกยอมรับ ไม่ไดร้ บั ความเข้าใจและไมไ่ ด้รับโอกาสจากคนบางกลุ่มหรือบางพืน้ ที่ แตน่ น้ั ย่อมไม่ใช้กับ ครู โดยเฉพาะกบั ครูของเด็กพเิ ศษ ครขู องเด็กพเิ ศษ คือ ครูธรรมดา ทมี่ คี วามรู้ความสามารถในการสอน มดี วงใจแหง่ ความเมตตาตอ่ ศษิ ย์ และมีความปรารถนาให้ศิษยเ์ รียนรู้ พฒั นาและเติบโต ทว่า ความพเิ ศษในตวั ครู คอื มี ‘ดวงตาพเิ ศษ’ ที่สามารถ มองเหน็ ส่ิงที่คนทวั่ ไปอาจมองไมเ่ หน็ คือ เหน็ ถงึ ความปรารถนาทเ่ี ด็กทุกคนต้องการ อนั ไดแ้ ก่ ความรัก ความ อบอนุ่ ความปลอดภัย การยอมรับ และความตอ้ งการการหลอ่ เลี้ยงเพื่อการเติบโต นอกจากน้ี ครยู ังสามารถ ออกแบบการเรียนรู้ท่สี อดคล้องกลมกลืนกับความเปน็ ธรรมชาติของเดก็ แตล่ ะคนอย่างพอดี พองาม ดว้ ยเดก็ พเิ ศษ มีความหลากหลายในตัวเอง จากประกาศของกระทรวงศึกษาธกิ าร เรือ่ งกำหนด ประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศกึ ษา พ.ศ.2552 แบ่งเด็กพิเศษออกเป็น 9 ประเภท ครจู ึงต้อง ศึกษาและทำความเข้าใจเด็กพเิ ศษแต่ละกลุม่ รู้จกั ลกั ษณะของความเปน็ พิเศษและความต้องการของเด็กแต่ละ กลุ่มน้นั เป็นพื้นฐาน อยา่ งไรก็ตาม ต้นไม้ในป่าแม้พนั ธ์ุเดียวกัน ก็มิได้เตบิ โตได้พร้อมกันหรอื มีลกั ษณะ เหมือนกนั ทุกประการ แต่ละต้นมีการแตกกิ่ง แตกตา แตกตา่ งกนั ฉันใดก็ฉนั นน้ั เด็กพเิ ศษแมน้ จะจัดอยูใ่ น 1

กลมุ่ เดียวกนั แต่กม็ ีความแตกตา่ งกนั ในแต่ละคน ครจู งึ มิอาจจดั การสอนแบบเหมาโหล สอนดว้ ยรูปแบบ เดียวกนั ได้หมด ครูเด็กพิเศษ ควรฝกึ ทกั ษะ ‘การสงั เกต’ ความเปน็ ธรรมชาตขิ องเด็กแตล่ ะคน สงั เกตพฤติกรรมการ แสดงออก สหี นา้ ท่าทาง แววตา การพดู การสือ่ สารท้ังวาจาและภาษาท่าทาง ในอริ ิยาบถตา่ ง ๆ อย่างละเอยี ด และมคี วามประณีตในการพจิ ารณาวเิ คราะห์ ความหมายของการปรากฏการณเ์ หล่านัน้ นอกจากนี้ ครูตอ้ งมี ทกั ษะใน ‘การสื่อสาร’ กบั ผ้คู นรอบข้างของเดก็ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ผปู้ กครองของเด็กพิเศษท่ีอาจมีความคิด ความกังวล ความต้องการ ความคาดหวัง ทแี่ ตกต่างจากความคาดหวังของครู การส่อื สารที่เปดิ เผยอารมณ์ ความรสู้ ึก ความต้องการ การไดบ้ อกเลา่ ถึงขอ้ ติดขดั หรืออุปสรรคในการพัฒนาเด็ก นา่ จะชว่ ยให้เกิดความ เข้าใจระหวา่ งผ้ปู กครองและครมู ากข้นึ และจะสง่ ผลดตี ่อการพัฒนาเดก็ ในทีส่ ดุ จากประสบการณข์ องผเู้ ขียน เมือ่ มโี อกาสจดั การอบรมศลิ ปะให้กับเดก็ พเิ ศษกลุ่มออทสิ ติกและ ผ้ปู กครอง พบว่า ความแตกต่างของเด็กแต่ละคนคือความสวยงาม เดก็ พเิ ศษทุกคนสามารถพัฒนาไดไ้ มท่ างใดก็ ทางหนงึ่ การเปิดใจ เปดิ โอกาสใหเ้ ราไดไ้ ปสัมผัสความเปน็ มนุษยแ์ บบเขาอยา่ งแทจ้ รงิ อาจเปน็ วาระอันวิเศษ สดุ เพราะช่วยใหเ้ ราได้เหน็ โอกาสแห่งการพัฒนาตัวตน และนน้ั คือ ของขวัญสดุ วิเศษ ที่เด็กพเิ ศษได้มอบใหเ้ รา ทกุ คนค่ะ 2

จากใจผ้ปู กครองเด็กพเิ ศษ ชลีรตั น์ เหล่าจูม วทิ ยากรรับเชิญ ลกู ชายคณุ แม่เปน็ ออทสิ ติกค่ะ นอ้ งธนัชชนม์ เหลา่ จูม ชือ่ เล่น ธนะ ปัจจบุ นั อายุ 17 ยา่ ง 18 ปี ได้รบั การวินจิ ฉยั ว่าเป็นออทิสตกิ เม่ืออายุ 3 ขวบครึง่ ตอนเดก็ ๆ นอ้ งพูดไม่ได้ ไมส่ บตา ตน่ื ตวั ตลอดเวลา รักใครไม่ เปน็ ไม่สนใจส่งิ แวดล้อม ทานน้อย นอนน้อย หงดุ หงดิ ง่าย อาละวาดตลอดเพราะสื่อสารไมไ่ ด้ พดู ไม่ออก บอก ไมถ่ ูกวา่ ตัวเองรู้สึกอยา่ งไร ระบบประสาทสมั ผสั ท้งั หา้ รับรูผ้ ิดปกติไม่เหมือนคนทัว่ ไป (เป็นแผลเดินเลอื ดหยดใน บ้านไม่รสู้ ึกเจ็บ) ทำให้ ธนะ มีพฤติกรรมทแี่ ปลกแตกตา่ งจากคนท่วั ไป ทำใหก้ ารเลีย้ งดคู ่อนขา้ งยาก เมอ่ื น้องได้รบั การช่วยเหลือด้วยการฝกึ จากโรงเรียนศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษเขต 9 และ ฝึกกับนักแก้ไข การพดู นักกิจกรรมบำบัด และพบคณุ หมอพัฒนาการเด็ก และการฝึกอย่างต่อเน่ืองจากทางครอบครัวเปน็ ประจำ นอ้ งมพี ฒั นาการทดี่ ีข้ึนอยา่ งชา้ ๆ ในทุก ๆ ดา้ น คุณแม่เฝ้าสงั เกตุธนะตลอดเวลาว่าควรชว่ ยเหลือดา้ น ไหน นอ้ งยงั บกพร่องด้านไหนอยู่ ก็จะเพ่มิ การฝกึ ในสว่ นนนั้ โดยปรึกษา นักกิจกรรมบำบัดเป็นหลกั ในด้าน สมองและรา่ งกาย และกลบั มาฝกึ ต่อที่บ้านอยา่ งตอ่ เน่ือง ท่ีโรงเรยี น ไดร้ ับความชว่ ยเหลอื จากคณุ ครผู ูด้ ูแล จาก ศนู ยว์ จิ ยั ออทสิ ตกิ มข. ใหส้ ามารถเรียนร่วมในชน้ั เรยี น ซึ่งมีปัญหาเกิดขึ้นท่โี รงเรยี นเรอื่ ย ๆ ในชว่ งอนบุ าล ประถม ก็ได้รบั การชว่ ยเหลอื จากคุณครูที่ตามเขา้ ไปชว่ ยเหลอื ในชัน้ เรยี นรวม ใหส้ ามารถเรียนรวมกับเพื่อน ๆ ได้ ส่วนทางบา้ นกพ็ ยายามฝกึ ให้นอ้ งใช้ชวี ิตประจำวนั ทำกิจวัตรส่วนตัวไดเ้ อง และเสริมด้านต่าง ๆ ท่ี บกพร่อง เชน่ ไม่มีสมาธิ หนุ หันพลนั แลน่ คุณแมก่ ็พาไปวัด ทำบญุ ไปหาหลวงปูฝ่ กึ นัง่ สมาธิ ซึ่งนอ้ งฝกึ นั่งสมาธิ ต้งั แตป่ ี 2558 เร่มิ จากหา้ นาที น่งั กอ่ นนอนทุกคืนและเพ่ิมเวลานั่งสมาธเิ รื่อย ๆ จนปัจจุบันนอ้ งนัง่ สมาธิ วนั ละ 1 ชม. ก่อนนอนทกุ คนื โดยใช้โทรศพั ท์จบั เวลา 3

นอ้ งธนะชอบพต่ี นู บอด้ีสแลม เมอ่ื ปี 2560 นอ้ งฝนั อยากวง่ิ มาราธอนเหมือนพ่ีตูน ทางครอบครวั ก็ สนับสนนุ ทนั ที โดยมคี ุณพ่อพาวิ่ง ซงึ่ นอ้ งก็ซ้อมว่ิงทกุ เยน็ หลังเลิกเรยี นและวนั หยุด และลงงานวง่ิ ต่าง ๆ ได้ถว้ ย หลายรายการ และในทสี่ ุดนอ้ งธนะกว็ งิ่ มาราธอน 42 กม.ได้สำเรจ็ เมอ่ื วนั ที่ 27 มีนาคม 2564 โดยมโี ค้ชหมกี บั โค้ชโตโตเ้ ป็นบัด๊ ดพี้ าไปจนจบมาราธอน น้องธนะตีกลองได้ แตเ่ รียนแบบไมร่ ู้โน๊ต โดยมีครมู าสอนท่ีบ้านสปั ดาห์ละคร้ัง นอ้ งธนะ ทำขนมได้ ทำอาหารได้ มีคุณแมฝ่ กึ ทำตงั้ แต่นอ้ งอยชู่ ้ัน ป.4 น้องธนะช่วยทำงานบา้ นได้ ซักผา้ ซกั ถุงเท้า ตากผ้า ลา้ งจาน ลา้ งรถ รดน้ำตน้ ไม้ ให้อาหารแมว ดแู ล แมว (ความร้สู ึกรักและสงสารสัตว์ เกดิ ขน้ึ ได้ จากที่ได้เลี้ยงแมว) งานศิลปะ น้องไม่ได้สนใจและชอบตัง้ แตแ่ รก คุณแมค่ ิดว่า สมาธิ ดนตรี ศิลปะ จะช่วยให้นอ้ งนง่ิ ข้ึน สงบขึน้ จงึ ตงั้ ใจส่งเสริม โดยฝกึ นอ้ งวาดภาพตามแบบ (ใหว้ าดเองน้องคดิ ไม่ออก วาดไม่เป็น ตอ้ งวาดตามแบบ เทา่ นน้ั ) วาดตามแบบแลว้ ระบายสี วาดสวยไม่สวยไม่เป็นไร แตค่ ุณแมพ่ าทำซำ้ เรื่อย ๆ หาแบบอ่ืน ๆ จากยูทูป มาลองทำเรอื่ ย ๆ น้องก็ทำออกมาดีขน้ึ นิ่งข้นึ ตง้ั ใจขน้ึ และ สงบในช่วงเวลาทีท่ ำงาน ในการท่ีอย่กู บั ธนะตลอดเวลา คณุ แม่เร่ิมเข้าใจและรู้จกั ลูกชายตวั เองมากข้ึน นอ้ งธนะเหมือนฟองนำ้ ทพ่ี ร้อมจะดูดซับสงิ่ ท่ีป้อนเข้ามา ท้ังดแี ละไม่ดี พร้อมรบั ตลอด ซ่ึงต้องเลือกให้ทำแต่ส่ิงที่ดี และพยายามตดั สื่อ ทไี่ มด่ ีไมเ่ หมาะสมออก เพราะนอ้ งธนะจะจำและเอาไปใชไ้ ม่ถกู กาละเทศะ สิง่ ท่ีคณุ แมเ่ ห็นพฒั นาการของน้องธนะ เม่ือให้โอกาสพาทำซ้ำบอ่ ย ๆ จะเกิดความชำนาญและทำได้ดี ขน้ึ เรอื่ ย ๆ พฒั นาขึ้นไดต้ ลอดเวลา คุณแมร่ วู้ า่ ลูกชายตวั เองไมม่ ีพรสวรรค์ใด ๆ เลย แต่สงิ่ ที่ธนะทำได้เกิดจากการพาทำบ่อย ๆ ใสใ่ จ ให้ เวลา ใจเยน็ ให้โอกาส และคอยเป็นโค้ชทดี่ ใี ห้ ให้กำลงั ใจ ชมเชย จะทำใหธ้ นะสามารถกา้ วขา้ มขีดจำกัดของ ตวั เองในหลายๆ เรอื่ งได้ สำหรับความคาดหวังในชนั้ เรียน คณุ แม่อยากให้สอบถามพัฒนาการเดก็ พเิ ศษจากครู iep หรอื ครทู ใ่ี ห้ ความช่วยเหลือในชัน้ เรียน ว่านอ้ งทำงานได้แค่ไหน ใหง้ านทีเ่ หมาะกบั พัฒนาการตอนน้ัน งานไมย่ ากเกนิ ความสามารถเกนิ ไปเพราะจะเกิดความเครียดและมปี ัญหาพฤติกรรมตามมา คุณครชู ่วยเป็นโค้ช แนะนำ และ ใหก้ ำลังใจดว้ ยการชมงานคร้งั ตอ่ ไปอาจจะใหง้ านยากกว่างานเดมิ ทลี ะน้อย กจ็ ะเป็นโอกาสในการค่อย ๆ พฒั นาตอ่ ไปค่ะ 4

5

ความแปรผัน กรวชิ ญ์ อนั ทรินทร์ เวลาน้ศี ลิ ปะทีเ่ ราชอบมากท่ีสุดคือเสยี งเพลง เสียงดนตรีที่ฟังไดต้ ลอดเวลา ได้ฟังทไี รกร็ สู้ ึกเหมือนเปน็ การได้ผ่อนคลาย มีอารมณ์ความสดใส ความสุข สบายใจ บางทกี ็เศร้าได้ตามที่ใจตอ้ งการ แทนทเ่ี ม่ือก่อนที่มี ความชื่นชอบในเรื่องของทัศนศลิ ป์ การวาดภาพระบายสี ท่ีไม่ร้ทู ำไมความช่นื ชอบหรือความอยากทำมนั ค่อย ๆ เลอื นลางจางหายไป จากทกี่ ่อนเคยอยากจับดนิ สอและสีมาวาดภาพสิ่งทีอ่ ยากวาด แต่ตอนนค้ี วามรู้สกึ น้นั แทบไม่มีอยู่เลย ถึงเราจะคิดวา่ ไมร่ ู้ทำไมถงึ เป็นแบบนี้ แตเ่ อาเขา้ จริง ๆ แล้วเราก็พอจะรสู้ าเหตซุ ่งึ อาจจะเปน็ เพราะวา่ เราได้มา ทำสงิ่ ท่ีเราอยากจะทำ แต่สงิ่ ท่ีทำเหมือน “ไม่ใชส่ ิ่งท่ตี ้องการ” ซ่งึ ความต้องการของเราจริง ๆ แล้วคือการวาด และทำสงิ่ ท่ีเราชอบเพียงเทา่ นัน้ แต่ตอนนกี้ ลายเปน็ วา่ เรานำสงิ่ ที่เราชอบเข้ามามบี ทบาทในชวี ิตมากเกินไป มี ตวั กำหนด กฎเกณฑ์ มีคะแนน มีการแข่งขันทเ่ี พิม่ เขา้ มา และมีความรู้สกึ โดนเปรียบเทียบเรอื่ งของทักษะ โดย บางทีมนั อาจจะเกิดจากความคิดไปเองของเรา ซึ่งท่ีกลา่ วมาทง้ั หมดน้ีกถ็ กู แล้วเพ่ือที่เราจะได้มีการพัฒนาและมี ศักยภาพเพิ่มขน้ึ บนเส้นทางท่ีเราเลือก แต่ไม่เคยคิดมาก่อนวา่ สง่ิ ท่เี ราเคยชอบหรือสนใจมนั ได้หยุดไว้แลว้ ในตอนนี้ เราสามารถวาดมนั ได้แตค่ วามรสู้ ึกในขณะท่ีทำนั้นไมไ่ ดร้ สู้ ึกอยากทำมันเลย และเราคิดวา่ หรือมัน อาจจะกลับมาก็ไดใ้ นตอนที่เราท้งิ มันไปนาน ๆ และอยากจะทำมนั อีกครัง้ เมื่อที่ใจตอ้ งการโดยทีไ่ ม่ต้องคำนึงถึง ความถกู ต้องหรือถูกมองวา่ จะเป็นยงั ไงในสายตาของคนอน่ื และตอนนี้อย่างทบ่ี อกว่ามีความช่ืนชอบใน เสยี งเพลงซงึ่ มันกเ็ ปน็ เร่ืองท่ีค่อย ๆ ซึมซับมาตง้ั แต่เดก็ เชน่ กัน เราติดตามศลิ ปินนกั ร้อง ผู้แต่งสไตล์เพลงท่เี รา ชนื่ ชอบ เรยี นรู้การทำงานของเขาจนเป็นแรงบันดาลใจ เมื่อไดเ้ ป็นผ้รู บั แลว้ ก็อยากมีสักครง้ั ท่มี ีผลงานเปน็ ของ ตัวเอง ชว่ งท่ีผ่านมาเราจำเป็นที่ต้องทำงานด้านทัศนศิลปอ์ ีกครั้ง แตเ่ รามองไม่เห็นแนวทางท่เี ราช่นื ชอบเลย ณ เวลานน้ั ไม่มอี ะไรทงั้ น้ันที่อยากจะทำ จนพอถงึ เวลาที่ต้องตดั สินใจแน่ ๆ จริง ๆ แล้ว ก็พอมเี ศษเสย้ี วของความ สนใจอยู่บา้ ง บวกกับวิธีหาแรงบัลดาลใจ ศึกษาแนวทางตามหาผลงานทเ่ี ราประทบั ใจ เหมอื นกบั ทีเ่ ราสนใจ เสียงเพลงทเ่ี ราชอบ ทำใหเ้ ราไดม้ องเห็นส่งิ ที่คดิ ว่าน่าจะเหมาะกบั เรามากทส่ี ดุ ในตอนนี้แล้ว ซึง่ นั่นกค็ อื ศิลปะ ลัทธิอิมเพรสช่ันนิสม์ (Impressionism) เป็นงานที่เราเห็นว่ามชี วี ติ ชวี า ดสู นกุ มคี วามสดใส สรา้ งความ ประทับใจให้กับตวั เอง กเ็ ลยอยากจะทำงานศิลปะแบบนี้ออกมาเปน็ ผลงานของตัวเองบา้ ง จะเหน็ ว่าไมว่ ่าจะทำอะไรกต็ ามเราตอ้ งมแี รงบนั ดาลใจเสมอเพอื่ ท่จี ะเปน็ แรงจงู ใจในการทำสิ่ง ๆ นน้ั ออกมาได้ เพียงแค่เราค่อย ๆ หา สงิ่ ทท่ี ำนนั้ ไมจ่ ำเปน็ ต้องเปน็ ทน่ี ยิ ม หรือเปน็ ที่ทคี่ นสว่ นใหญ่ยอมรับแต่เปน็ สง่ิ ทเ่ี ราพอใจสบายใจท่ีอยากจะทำมันออกมา และมคี วามสุขกบั มนั โดยไม่ไดส้ ร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อ่ืน แตช่ ว่ งนี้ขอพักงานวาดภาพไว้กอ่ น มีอารมณส์ นุ ทรียเ์ ม่ือไหร่คอ่ ยกลับมาเจอกนั อีกครั้ง เราสามารถหนไี ปหา ส่งิ ใหม่ ๆ ที่เราชอบได้ตลอดเวลา แต่ก็ต้องไมท่ ้ิงหน้าทข่ี องเราในปัจจบุ ัน 6

ความรกั ในศิลปะท่ีจางหายไป สุกลั ยา เกตุธานี ในวนั ท่ีเราเรมิ่ รู้สกึ หมดใจในการทำงานศิลปะ มันไดก้ ลายเปน็ ปญั หาทก่ี ่อตัวขน้ึ มาเพื่อทำลายแรง บนั ดาลใจในการทำงานของเรา และคิดว่านีค่ งไม่ใชท่ างทีเ่ ราถนดั อีกตอ่ ไปแลว้ แตค่ วามเป็นจรงิ มันขน้ึ อยทู่ ี่เรา เลอื กเองต่างหาก วา่ จะหันหน้ากลบั มาสูต้ ่อหรือจะยอมแพ้ให้กบั จิตใจที่ออ่ นแอของตวั เอง ไม่มที างเลือกไหนที่ ผิดหรอก เพราะมนั เปน็ ชีวติ ของเรา คนเราเกิดมาก็มักจะมีทัง้ เรอื่ งท่ดี ีและไม่ดีปะปนอยู่ในชีวติ ของเราอย่เู สมอ ในบางครัง้ จิตใจของเราก็เต็มเปยี่ มไปด้วยความสุข ความม่งุ มั่นในการทำงานเปน็ อยา่ งมาก แต่บา่ งชว่ งจังหวะ ของชีวติ เราทกุ คนย่อมมโี อกาสท่ตี ้องเจอกับอุปสรรคปญั หาท่ีจะเข้าบัน่ ทอนกำลังใจและพลังกายของเราไดเ้ ปน็ เรื่องธรรมดาอยแู่ ลว้ และเมื่อปัญหาทางความรู้สึกมันได้เกิดข้ึนมาแลว้ กจ็ ะรู้สึกวา่ ทุกอย่างมนั กำลงั มาถงึ ทาง ตัน คดิ หาทางออกไม่ได้ ไม่ร้วู ่าจะทำยงั ไงต่อไปดี จะทำอะไรก็เหมือนกบั วา่ มนั ซ้ำ ๆ เดิม ๆ จมอยกู่ ับท่ี เอาแต่ คดิ วนเวียนอยู่อย่างนน้ั จนลืมคดิ ไปเลยว่า เรากำลงั ปล่อยให้เวลาทมี่ ีคุณค่ากับชวี ิตให้ลว่ งเลยไปอย่างนา่ เสยี ดาย ในบทความน้ีผู้เขียนจงึ อยากชวนใหค้ ุณลองย้อนมองจิตใจของตนและพิจารณาใหช้ ัดเจน เมอ่ื ต้อง ประสบกบั ปัญหาทางความร้สู ึกเชน่ น้ี หากตอนนีง้ านศลิ ปะท่คี ุณกำลงั ทำอยู่นน้ั มนั ย่ิงทำให้คณุ รู้สกึ หา่ งไกลกบั ความรักทีเ่ คยมีในศลิ ปะคุณก็ ลองหยดุ แลว้ มองให้ชัดก่อนเถอะว่า จติ ใจของคุณตอนนเี้ ป็นเช่นไร คณุ ยังอยากทจี่ ะทำมันอย่ไู หม ถ้าตอนนยี้ งั ไม่อยากทำกห็ ันไปทำอย่างอื่นก่อน เพราะถา้ ฝืนท่ีจะทำต่อไป มันอาจทำให้คุณหมดใจจากมันไปอยา่ งถาวรก็ได้ และถ้าหากมนั ยงั เป็นความรักของคณุ จรงิ ๆ คุณจะโหยหาเมื่อขาดมนั ไปเอง แล้ววันนนั้ คณุ จะรับรไู้ ด้อย่างเต็ม หวั ใจวา่ สง่ิ ทีค่ ณุ กำลังร้สู ึกเบื่อหน่ายอย่นู ้ัน มันจะช่วยเยียวยาจติ ใจหรอื เปน็ ตวั ทำลายความสขุ ของคุณอยู่กันแน่ คณุ ยงั นกึ ถึงความรสู้ ึกแรกท่ีคุณเริ่มทำงานศิลปะไดห้ รือไม่ จุดม่งุ หมายในการทำงานศิลปะของคุณคืออะไร คณุ ยงั จำมนั ได้อยไู่ หม เราเชื่อวา่ ตอนนนั้ ทคี่ ุณไดเ้ รม่ิ เข้ามาทำงานศิลปะ มนั เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ความสนุก ความมุ่งมน่ั และมีพลังทจ่ี ะถ่ายทอดความคิด ความรูส้ ึก ออกมาผา่ นผลงานได้เป็นอยา่ งดี มีคนมากมายทเี่ ลือก ทางเดินของตวั เอง และมคี วามสขุ อยู่กับสิ่งทีต่ นเลือก แตเ่ มื่อเระยะเวลาผ่านไปซักพัก ความสนกุ ความมุ่งมนั่ มนั กลบั แปรผันไปเป็นความเบ่ือหนา่ ยลงในทส่ี ุด และมันมักจะทำใหเ้ ราต้องหันกลบั มาต้ังคนถามกบั ตวั เองอีก คร้ังว่าทางทเี่ ราเลอื กเดนิ มาน้ัน เราเลือกผดิ เองหรือไม่ ถ้าหากคุณกำลงั ตกอยกู่ ับภาวะความรู้สึกแบบนี้ เราอยากจะชวนให้คุณคดิ ทบทวนอีกนิด และลอง ยอ้ นกลับไปนกึ ถึงความรสู้ ึกที่เมื่อคุณไดล้ งมอื ทำมนั คุณมีความสขุ มากแคไ่ หน ลองคิดดวู า่ กวา่ จะเดนิ ทางมาอยู่ ตรงน้ไี ด้นนั้ คุณผา่ นความรู้สึกอะไรมาบ้าง ลองคิดดูสิว่าคุณเกง่ ข้ึน หรอื พัฒนาตัวเองมาไดม้ ากแค่ไหนแลว้ จาก จุดเรม่ิ ตน้ ลองหยดุ แลว้ พิจารณาความรู้สกึ ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง อยา่ งคนท่ีมีสติ วา่ ทางเดินท่ีเราเลอื กนี้ เป็น ทางทเ่ี ราเลือกผดิ จรงิ หรอื เพียงแคม่ ีปจั จยั บางอย่างทีเ่ ข้ามาทำใหเ้ ราเหน่ือยลา้ ลงเท่านั้น 7

อา้ งอิง Ataman Thongyou. (2561). ถา้ คณุ หมดไฟมาทางน้ี นี่คือวธิ จี ุดไฟในตัวคณุ อีกครั้ง. สบื คน้ วนั ท่ี 10 เมษายน พ.ศ.2564, จาก https://www.salika.co/2018/03/13/take-the-new-inspirations/ 8

ศลิ ปะพดู ได้? อมุ าภรณ์ วงษ์ศรแี กว้ ในอดตี จนถึงปจั จุบนั คำว่า “ศลิ ปะ” ไดม้ ผี ใู้ หค้ วามหมายไวห้ ลากหลายรปู แบบ ในบทความนีผ้ เู้ ขยี น ขอยกเอาความหมายท่วี า่ “ศิลปะ คอื ส่งิ ที่มนุษย์สร้างข้ึนเพ่อื แสดงออกซ่ึงอารมณ์ ความรสู้ ึก ปญั ญา ความคดิ หรือความงาม” ซึ่งตรงกบั สิง่ ที่ศิลปนิ ดงั ระดับโลกอยา่ ง ปาโบล ปกิ าโซ ไดก้ ล่าวไว้ว่า “ฉันไมไ่ ด้พดู ทุก ๆ สิ่ง แต่ ทุกๆ ส่ิงของฉนั ไดถ้ ูกพูดผา่ นศลิ ปะ” (“I don’t say everything, but I paint everything”) ดงั นัน้ ผูเ้ ขยี นจงึ ได้หยบิ ยกเอาประเด็นน้มี านำเสนอวา่ “ศิลปะพูดได้อยา่ งไร?” “ศลิ ปะพูดได”้ คำวา่ “พูด” ในทนี่ ้ไี ม่ไดห้ มายถึงกริ ิยาที่เปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ แตเ่ ราได้ เปรียบเทยี บความหมายของการพดู คือการสื่อสารและการแสดงออก ท้ังในดา้ นอารมณ์ ความรสู้ ึก ปญั ญา ความคดิ หรือความงาม โดยใชง้ านศลิ ปะเป็นตัวเลา่ เรื่องนน้ั ๆ งานศิลปะทเ่ี กดิ มาในรปู แบบที่หลากหลายไม่ว่า จะเป็น งานจติ รกรรม งานประตมิ ากรรม งานภาพพมิ พ์ ภาพถา่ ย ฯลฯ งานศิลปะเหล่าน้ีล้วนสามารถนำมาใช้ เพอ่ื เปน็ สื่อกลางในการส่ือ-สาร แสดงออกและสะท้อนอารมณ์ ความคดิ ความรสู้ ึกของผู้สรา้ งผลงานได้ ผสู้ ร้าง งานแตล่ ะคนลว้ นมจี ุดประสงค์และจุดมุ่งหมายของการสรา้ งผลงานศิลปะ ทห่ี ลากหลายแตกต่างกันออกไปตาม บทบาทและความต้องการ เชน่ การวาดภาพชวี ประวตั ิเพ่ือเปน็ ส่อื ให้ความรู้ การวาดภาพรณรงค์ LGBT เพ่ือ เป็นสือ่ กลางในการเรยี กร้องความเปน็ ธรรมใหก้ บั บุคคลกลุ่มน้ี และศลิ ปินดังระดบั โลกหลายคน ทีไ่ ดใ้ ช้วาดภาพ เพอื่ เปน็ การสอ่ื สารความรสู้ กึ นึกคิดของเขา ยกตวั อย่าง เช่น ผลงาน “The Starry Night” ของวินเซนต์ แวน โก๊ะห์ ซ่ึงเป็นภาพทีม่ ีชอ่ื เสียงมากภาพหนงึ่ ของโลก วนิ เซนต์ แวนโกะ๊ ห์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความร้สู ึกของเขา ผา่ นภาพ The Starry Night ทเี่ ขาส่อื ถงึ ความเหงา ความโดดเดยี่ ว ความทกุ ข์ทรมาน และพลังความ เคลอ่ื นไหวที่อยใู่ นความหยุดนิง่ ของบรรยากาศ ตลอดจนเปา้ หมายท่ีต้องการจะเดนิ ทางไปสู่สรวงสวรรค์ดว้ ย ความตาย เป็นตน้ การส่ือสารเปน็ ส่ิงทีจ่ ำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นมนุษยห์ รือสัตว์เอง กจ็ ำเป็นจะต้องใชก้ ารสอ่ื สาร ดว้ ยกันทง้ั น้นั การส่ือสารเองจึงมจี ุดประสงค์และจดุ มุ่งหมายทห่ี ลากหลาย แตกตา่ งกันออกไปตามความบรบิ ท และความต้องการ เช่น การสื่อสารเพื่อการอย่รู อดของสตั ว์ การสอื่ สารเพื่อให้ความร้แู ละเพอื่ โนม้ นา้ วใจของ มนษุ ย์ ฉะนนั้ จึงเห็นได้ว่าเร่ืองราว อารมณ์ ความรู้สึก ปญั ญา ความคิด ความงามหรือไมว่ ่าจะเปน็ ประเด็นใด ๆ นั้น จงึ ไมม่ ีความจำเป็นทีจ่ ะต้องแสดงออกและสือ่ สารดว้ ยการพูดท่ีเป็นการเปล่งเสยี งออกมาเปน็ ถ้อยคำเท่านัน้ เพราะนอกจากการส่อื สารรูปแบบอนื่ แลว้ ศิลปะก็ยังเปน็ อีกหนึง่ หนทาง ในการ“พูด”จากผู้สร้างสรรค์ศลิ ป์ ไปส่ผู เู้ สพศิลป์ 9

อา้ งอิง สมาพร คล้ายวเิ ชียร. ภาษาภาพ : คืนทมี่ ีดาวพราวฟ้า VISUAL LANGUAGE : THE STARRY NIGHT [ออนไลน์]. ปี 2552. แหล่งท่ีมา : http://www.samaporn.com/?p=1334 [10 เมษายน 2564] โรงเรยี นศลิ ปะเดก็ ไทยสร้างสรรค.์ ความหมายและคำนิยามของศลิ ปะ [ออนไลน]์ . ปี 2556. แหลง่ ทีม่ า :http://www.dekthaischool.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=3&Id= 538977593 [10 เมษายน 2564] Quotefancy. Pablo Picasso Quotes [ออนไลน์]. ปี 2548. แหล่งทมี่ า : https://quotefancy.com/quote/ 884251/Pablo-Picasso-I-don-t-say-everything-but-I-paint-everything [10 เมษายน 2564] 10

ศิลปะของเขา ศลิ ปะของเรา มณีนุช อดุ มลาภ “ศลิ ปะ เปน็ คำท่ีมีความหมายทัง้ กวา้ งและจำเพาะเจาะจง” ดูเปน็ คำอธิบายทย่ี ้อนแยง้ แต่เปน็ ความ จรงิ ท่ีทัศนะของนกั ปราชญ์แต่ละคน หรอื ศิลปินแต่ละคน รวมทง้ั ความเชื่อแนวคิดในแตล่ ะยคุ สมัยนัน้ มีความ แตกตา่ งกันจนกลายเปน็ ขอ้ โต้แยง้ หรอื ข้อถกเถียงกันไดต้ ลอดเวลา อะไรคือศิลปะกันแน่? จะนำศิลปะไปใชใ้ นแวดวงที่กว้างขวางหรือจำกัดได้อยา่ งไร? ท่ผี ่านมาเรามองว่าศิลปะ คือการถ่ายทอดความคดิ ประสบการณ์ หรือคำพูดของเราออกมาเป็น ผลงาน และเรยี กสงิ่ นน้ั วา่ ศลิ ปะ แตก่ ็มีหลายครั้งทผ่ี ู้คนไมไ่ ดม้ องวา่ ผลงานของเราเป็นศิลปะ อาจเนื่องด้วย เหตุผลท่ีวา่ ผลงานนนั้ เข้าใจยากเกินไป ผลงานนน้ั ซบั ซ้อนเกนิ ไป หรอื แมแ้ ต่ดไู ม่มีคุณคา่ อะไรเลยดไู มใ่ ชศ่ ิลปะ เลย แล้วอะไรล่ะ? คือศิลปะท่ีแทจ้ ริง ในวัยเดก็ ศลิ ปะสำหรับเราคอื การแสดงออกอย่างอิสระเสรี เต็มไปด้วยจนิ ตนาการและความคิด สรา้ งสรรค์ ความบรสิ ทุ ธิ์ จริงใจ เปดิ เผย และตรงไปตรงมา แมจ้ ะเป็นการขีดเขยี นบนกระดาษท่ีไม่เป็นรปู ทรง ชดั เจน เพียงเพราะยงั มปี ระสบการณ์ไม่เพยี งพอ ยังไมส่ ามารถถ่ายทอดจนิ ตนาการในหัวออกมาใหผ้ ใู้ หญ่เหน็ ได้อย่างชัดเจน คุณจะตัดสินเลยหรอื ไม่ ว่านัน่ ไมใ่ ช่ศิลปะ เพราะเมื่อมาถงึ วยั ผ้ใู หญ่ ความเป็นศิลปะของหลายๆ คนถกู เปลี่ยนแปลงไปให้ศิลปะเป็น ความงดงาม ความเป็นเลิศ ศลิ ปะต้องดูอลังการ มีกระบวนการสร้างงาน หรอื มีแนวคดิ ทีล่ กึ ซ้งึ และซบั ซ้อน ศิลปะแบบน้สี ิ จงึ จะมีคุณค่า ศลิ ปะแบบน้สี ถิ ึงจะมีมูลค่ามหาศาล นส่ี ิ คอื ศิลปะทแี่ ท้จริง ดังนั้นแลว้ ศิลปะท่ีไม่มีความงดงาม ไม่มีความซบั ซ้อน ลกึ ซ้งึ จงึ ไม่ได้ถกู มองเป็นศิลปะอย่างงั้น เหรอ ผใู้ หญ่มักบอกเด็ก ๆ ว่าหา้ มระบายสอี อกนอกเส้น หา้ มระบายสที ้ิงสขี าวไว้ ต้องระบายไปทางเดียวกนั ต้องระบายให้เนยี นกว่าน้ี โดยท่คี ุณอาจไมร่ ูเ้ ลยว่า เด็กอาจอยากให้งานของเขามสี ีขาวก็ได้ เด็กอาจอยากให้งาน ของเขาไมอ่ ยู่ในเส้นกไ็ ด้ คุณบอกแบบนัน้ เพราะคุณกำหนดไวแ้ ล้วว่าศิลปะของคณุ ต้องเป็นแบบน้ัน ซง่ึ น่าแปลก ท่ีเมอ่ื เด็กๆโตข้ึน พวกเขาจะได้พบกับภาพสาดสี ภาพจุดสแี ดงจดุ เดยี วบนเฟรมใหญ่ โถฉ่ี การยนื แกผ้ า้ อยู่เฉย ๆ การเอาแก้วมาปาให้แตกลงพ้ืน เอากล้วยมาตดิ บนผนัง ภาพกระป๋องซุป ถังขยะ และอีกมากมายทก่ี ็เป็นศลิ ปะ เหมือนกันน.ี่ ..แลว้ ท่ผี ู้ใหญเ่ คยบอกล่ะ ไหนล่ะ...งานท่ีอยู่ในเส้น ไหนล่ะ...งานที่ไมม่ สี ีขาว ทำไมต้องให้เด็กมา เรยี นรู้เอาตอนโตดว้ ยละ่ วา่ ศิลปะมคี วามหลากหลายขนาดไหน แทนทจ่ี ะได้รู้ไดเ้ หน็ ต้ังแตแ่ รก พวกเขาจะได้ไม่ ตกใจมาก เราเองกจ็ ะได้ไม่ตกใจมากว่าไมต่ ้องอยู่ในเส้นก็เป็นศิลปะได้ ไม่ต้องปิดขาวทัง้ หมดกเ็ ป็นศลิ ปะได้ ให้ เขาได้รู้ว่าทุกอย่างมนั เป็นศิลปะได้เหมือนกันนะ เป็นความง่ายที่เราหยิบมาบอกเลา่ เป็นหลกั ฐานถึงความ 11

สวยงามของโลกทีเ่ ราอยู่ ไดส้ นุกไปกบั ความสร้างสรรค์บนโลก และอะไรอกี มากมายที่กส็ ามารถมีคุณค่าในตัว ของมันได้เหมือนกัน ตัวเราในฐานะคนที่ทำงานด้านศลิ ปะ เราสนใจในการเปลี่ยนแปลงทางแนวคิดน้ีอยตู่ ลอดเวลา เพราะ ศิลปะแตกแขนงไปหลากหลาย เราจำเป็นต้องคดิ เปดิ กวา้ ง มีหตู ากวา้ งไกล และสำนึกไว้เสมอวา่ ศลิ ปะก็เกิด จากความคิดของผูค้ น ศิลปะของเราก็มีเพยี งเราทีเ่ ขา้ ใจความงามไดอ้ ย่างแทจ้ ริง ศลิ ปะของเขาก็มเี พียงเขาท่ี เข้าใจความงามได้อย่างแทจ้ ริงเช่นกัน ดงั นัน้ ให้ชนื่ ชมและเพลดิ เพลินไปกบั สิ่งทผ่ี ูค้ นถ่ายทอดออกมานัน่ แหละ ส่วนการตัดสนิ ก็ใหค้ นสร้างงานเขาเปน็ คนตดั สนิ ไปแลว้ กัน เพราะ \"ศลิ ปะ\" ไม่ได้ต้องการคำยอมรบั จากคนท่ไี ม่เขา้ ใจศิลปะ แตเ่ ป็นบคุ คลท่ใี ช้เวลากับศลิ ปะเพอื่ ศลิ ปะเท่านั้นจึงจะเข้าใจความงามอยา่ งแท้จริง อา้ งอิง Virunphat Bangroy. ความหมายของศลิ ปะ. จาก https://sites.google.com/site/virunphatart/khwam- hmay-khxng-silpa ประกิต กอบกจิ วฒั นา. Art IS Art Art IS Not Art อะไร(แมง่ )กเ็ ป็นศลิ ปะ. จากhttps://minimore .com/ b/art-is-art/1 12

ศลิ ปะ ขับเคล่ือนชวี ิตมนษุ ย์ ณฐั นันฑ์ สุตะโคตร ศลิ ปะ คือ ผลงาน รวมถงึ กระบวนการที่มนุษยเ์ ฉกเชน่ พวกเราไดส้ ร้างขึ้น เพอื่ ถา่ ยทอด ส่ือสาร แสดง ถงึ อารมณแ์ ละแนวคิดออกมาให้ผชู้ มงานไดต้ ีความ จากความหมายขา้ งตน้ ของคำว่าศลิ ปะอาจจะดเู ป็นเคร่อื งมือทแ่ี สดงแนวคิด เพ่ือสื่อสารต่าง ๆ แต่ แทจ้ ริงแลว้ ศิลปะ เป็นตัวแปรสำคญั ในการขับเคล่ือนชีวิตมนษุ ย์ ลองนึกภาพตามว่าในขณะท่เี ราอยยู่ ุคดิจิทลั มกี ารวาดภาพบนจอแสดงผล มีเทคโนโลยีไวส้ รา้ งผลงานออนไลน์ ไว้อำนวยความสะดวกติดตอ่ ส่ือสาร แต่เรา เรม่ิ จากยคุ สมยั สองพันปกี ่อนยงั ใช้แค่เลือดของสัตวใ์ นการส่ือสารและประดิษฐต์ วั อักษรขึ้นมา ศลิ ปะเป็นเครื่องมอื ในการขบั เคลื่อนสังคม หรอื เรยี กได้ว่า ศลิ ปะเปน็ ปัจจยั หนึ่งในการดำรงชีวติ โดย อาศยั มนุษยเ์ พื่อให้ศลิ ปะนั้นถูกเรียกว่าเปน็ ศิลปะอย่างสมบูรณ์ ศลิ ปะเปน็ ผลงานที่มีการบนั ทึกผา่ นภาพท่ีเขียน จากฝาผนัง ผืนผ้าใบ ตลอดจนบนหน้าจอเคร่ืองมือส่ือสาร ถ่ายทอดถงึ ความคดิ จติ ใจ เหตุการณส์ ำคัญ สะท้อน มายังสงั คมให้ตระหนักถงึ คณุ ธรรม ค่านิยม การดำรงชีวิตในแต่ละวนั ตลอดจนมีการพัฒนา การปรบั ปรงุ แก้ไข เพอ่ื ใหส้ ่ิงแวดล้อมและมนุษยชนมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น โดยยังสานต่อสงิ่ ที่ควรมไี วใ้ นยคุ สงั คมปัจจบุ ัน เปรยี บเทยี บคือ ศลิ ปะอย่ใู นทุกแห่งทุกสาขา เศรษฐกจิ การงาน อาชพี การศึกษา สังคม รวมถงึ คุณธรรม จริยธรรม ล้วนแล้วถกู ศลิ ปะเข้ามาแทรกแซง เข้ามายกชูให้เจริญขึ้น หากจะคิดภาพให้ง่าย ๆ เช่น การพูดโนม้ นา้ วจติ ใจคนกเ็ ป็นศิลปะการพูด วาทกรรม หรอื จะเปน็ การ ทำธรุ กิจผลติ สินค้าก็ต้องใชค้ วามงาม คุณภาพของผลติ ภณั ฑ์ หรือ การออกแบบตามความต้องการของผูบ้ ริโภค รวมไปถึง การชุมนุมเพื่อสทิ ธเิ สรภี าพ ก็เป็นศิลปะการแสดงออกเชิงสญั ลักษณ์ ก็เรยี กไดว้ ่าเปน็ ศิลปะ ซ่งึ จะ สง่ ผลทางสงั คมทั้งทางตรงและทางออ้ ม จุดเลก็ ๆทีร่ วมกนั เป็นหลายจดุ ต่อกันเป็นเส้น เช่ือมโยงรวมกันเป็น รปู ร่างข้ึนมา เปน็ โครงสรา้ งเป็นรากฐานเพื่อต่อยอดพัฒนาต่อไป แต่อย่างไรกต็ ามศิลปะเปน็ เพียงเครอื่ งมอื หนึง่ ทีม่ นุษย์นำมาใชเ้ พ่ือให้สงั คมเกิดการขบั เคลื่อน โดย ขึ้นอยกู่ ับผสู้ ร้างศิลปะผู้นนั้ อยู่ต้องการให้สงั คมขบั เคล่ือนไปในทศิ ทางใด โดยเปน็ ไปไดท้ ้ังเชิงบวกและเชิงลบ จุดประสงคข์ องผลงานกเ็ ป็นไปตามการดำเนนิ การของผู้สร้าง ศลิ ปะจะไม่ถกู เรยี กว่าศลิ ปะ หากขาดความคดิ สรา้ งสรรค์ ขาดความหมายในการทำงาน และขาดกระบวนการทำงานของมนษุ ยเ์ ฉกเชน่ พวกเรา 13

ศลิ ปะเกีย่ วข้องกับเราไดอ้ ยา่ งไร วัลลภา เทยี นทอง หากจะกล่าวถึงจุดเร่ิมต้นในโลกของศลิ ปะแล้ว คงต้องย้อนไปเมื่อหลายพันปีก่อนท่มี นษุ ย์เร่ิมประดษิ ฐ์ สง่ิ ของเคร่ืองใช้ อุปกรณ์ล่าสตั ว์ สร้างส่ิงอำนวยความสะดวกและเพ่อื ความปลอดภยั สำหรับการดำรงชพี และ การอยู่ รอดของมนุษย์ เหน็ ได้จากภาพวาดฝาผนัง หรอื ภาพเขยี นโบราณท่ีถกู คน้ พบภายในถำ้ นอกจากไม่ เพียงแต่เป็นชา่ งเขยี นแล้วยงั เป็นช่างในทางจิตรกรรมและการแกะสลกั อีกด้วย ทั้งน้ียังในเรื่องของความเชอ่ื ความกลวั ธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ้ มก่อใหเ้ กิดพิธกี รรม การรวมกลุม่ กันจนเกิดเป็นสงั คม การคดิ ริเรมิ่ การรบั รู้ ในส่งิ ท่ีมีอทิ ธิพลต่อจิตใจ การอยากตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทำให้เกดิ การสรา้ งสรรค์และการ แกป้ ญั หาในการสรา้ งศิลปวตั ถทุ ี่ แตกต่างไปจากลักษณะของธรรมชาติ เป็นรากฐานทำใหม้ นุษยแ์ ต่ละสมยั เกดิ แรงกระตนุ้ และแรงบันดาลใจในการ ทำงานศลิ ปะต่อไป นับวา่ เปน็ การเร่ิมตน้ ของการสร้างสรรค์งานศลิ ปะใน ยคุ ต่าง ๆ (วริ ตั น์ พิชญไพบลู ย.์ 2524) ศลิ ปะ คืออะไร? ทำไมคนเราถึงตอ้ งเกย่ี วข้องกับศิลปะ ซ่ึงจริงๆแลว้ ศลิ ปะเกิดขึน้ มาได้ก็เพราะเปน็ สิ่งท่ี มนุษย์คดิ คน้ ขึ้นมาโดยแสดงออกมาจากความรู้สึก อารมณ์ จากจินตนาการ การเลียนแบบตน้ แบบ หรอื การ สร้าง จากความคิดท่คี ดิ ขึ้นมาเอง มกี ารใช้ความรู้ความสามารถ ความเข้าใจ การคิดวเิ คราะหแ์ ก้ปัญหา ความคดิ สร้างสรรค์และเป็นเครอ่ื งมือระบายถา่ ยทอดมนั ออกมา ในเรื่องของสุนทรยี ภาพ ความประทับใจ เร่ืองราว และมี ความสำคัญเปน็ อย่างมาก ศิลปะจะมีสว่ นช่วยเสริมสรา้ งจิตใจของมนุษยใ์ ห้สงู ข้นึ กลอ่ มเกลาจิตใจให้ อ่อนโยนทำให้เกดิ ความกลมกลนื ความรักสามคั คีต่อกนั ในขณะเดียวกันก็มสี ่วนชว่ ยเสรมิ สร้างและพัฒนา สตปิ ัญญาของมนุษย์ ด้วย เม่อื หนั มาทบทวนดจู ะพบวา่ ลึกๆแล้วชีวติ ของตวั เราก็มีความเกยี่ วข้องกบั ศลิ ปะ ซึง่ เรามีโอกาสสัมผัสกับศิลปะ ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทง้ั ได้รับอิทธิพลจากสิ่งรอบตัว ครอบครวั สังคม เศรษฐกจิ การเมอื ง วัฒนธรรม ศาสนา ธรรมชาติ ทัศนคติ ความเชือ่ คา่ นิยม ความชอบ ความไม่ชอบ ทำให้ มนษุ ย์มีการรับรู้ในเรอ่ื งศิลปะ สนุ ทรียภาพในจติ ใจ เพยี งแต่ไมเ่ ท่ากนั ทำให้มนษุ ย์มีความหลากหลาย แหลาย คนก็ไมเ่ ห็นความสำคัญของศิลปะ อาจเพราะดว้ ยประสบการณ์ ความพร้อมอะไรหลายๆ อยา่ งท่ีไมเ่ อื้อต่อการ รบั รู้เกยี่ วกบั ศลิ ปะ ทำให้ไมเ่ ข้าใจ แบ่งแยกเอาศลิ ปะออกจากชวี ิต ทง้ั ๆ ที่มันศลิ ปะกบั ชีวิตกค็ ือ สิ่งที่เก่ยี วข้อง กัน ศิลปะที่เห็นได้งา่ ยๆในชีวิตประจำวันเกย่ี วของในเรื่องของความงามท่ีสามารถมองเหน็ ได้ด้วยตา เช่น การส่ือสาร ไม่ว่าจะเปน็ การพูด การใช้ท่าทาง การใช้สญั ลกั ษณ์ เปน็ การใช้ศลิ ปะในการส่ือสารเพ่ือใหเ้ กิดการ สอ่ื สารท่ีดี เขา้ ใจ ส่ือความหมายไดอ้ ย่างเจนและยังสรา้ งทศั นคตใิ นเชิงบวกให้เกดิ ขึ้นไดด้ ้วย ซง่ึ หากส่ือสารไม่ดี ก็อาจจะทำใหเ้ กดิ ปัญหาตามมา, การแตง่ กาย เป็นสิ่งท่ีอยู่ภายนอก บ่งบอกถึงลกั ษณะของผ้ใู ส่ ช่วยส่งเสรมิ 14

เรื่องของรูปลกั ษณ์ บคุ ลิกภาพ ช่วยใหม้ น่ั ใจ ใหด้ ดู ีขนึ้ ได้ ซ่ึงแตล่ ะคนกม็ สี ไตล์การแต่งตัวของตวั เองที่เกดิ จาก ความชอบ ความเหมาะสม ความจำเปน็ ของผู้ใส่ ศลิ ปะกจ็ ะมาช่วยในเรอื่ งของการออกแบบเคร่ืองแต่งกาย เพอื่ ให้เหมาะกับแต่ละบคุ คล รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ท่มี ีหลากหลายใหเ้ ลือก, ดนตรี เพลง หนงั ภาพถ่าย ภาพวาด วรรณกรรม นยิ าย ประตมิ ากรรม สงิ่ เหลา่ น้กี เ็ กิดจากการใชค้ วามรสู้ กึ อารมณ์ การสร้างสนุ ทรยี ภาพ ข้ึนมาใหเ้ กิดเปน็ งานศิลปะชนิดหนง่ึ เพื่อจรรโลงใจ ให้ขอ้ คิด ใหจ้ นิ ตนาการ ถ่ายทอดอะไรบางอยา่ งออกมาสู่คน ทฟี่ ัง ดู และอ่าน, วัฒนธรรม ประเพณี ที่เกิดขึน้ ประจำท้องถ่ิน ประจำชาติ ก็เป็นศลิ ปะท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั ชีวติ ของ คนในชุมชน เกิดเปน็ ภมู ิปญั ญา งานช่างหลาย ๆ แขนง การสรา้ งสงิ่ กอ่ สรา้ ง/สถาปตั ยกรรมต่าง ๆ นอกจากจะ สร้างเพือ่ เป็นท่อี ยู่อาศยั แล้วก็ยังต้องนึกถึงความงามดว้ ย เพื่อเป็นการสรา้ งบรรยากาศให้น่าอยู่ เหมาะสมกับ สภาพพ้ืนท่ี เปน็ ตน้ จะเหน็ ได้วา่ จรงิ ๆ แลว้ ถงึ เราจะไมร่ ู้ตัววา่ ศิลปะเข้ามาอยู่กับเราต้งั แตเ่ มือ่ ไหร่ แต่มันก็เป็นส่งิ ทีอ่ ยู่กับ เรามาตลอด มีความเก่ยี วข้องกบั มนษุ ยเ์ ราและมีความสำคัญทจ่ี ะทำให้ชีวิตเรามกี ารพฒั นาไปในหลาย ๆ ดา้ น ในทางทด่ี ีข้นึ อ้างอิง วริ ตั น์ พชิ ญ์ไพบลู ย์. (2524). ความเข้าใจศิลปะ (พิมพ์ครงั้ ท่ี 1). กรงุ เทพมหานคร : บริษัทสำนักพิมพ์ ไทย วัฒนาพานชิ . ศิลปะมาจากไหน. (มปป). สบื คน้ เมือ่ วน้ ท่ี 8 เมษายน 2564 จากhttps://sites.google.com/site/phorjan 05/silpa-ma-2 ต้นกำเนดิ ของศิลปะ. (มปป). สืบค้นเมือ่ วันที่ 8 เมษายา 2564 จาก https://sites.google.com/site/artistryl ifesnakubz/bth-thi1-tn-kaneid-khxng-silpa ศิลปะคืออะไร. (มปป). สบื คน้ เมอ่ื วันที่ 8 เมษายน 2564 จาก https://sites.google.com/site/reuxngphes suk/silpa-khux-xari 15

หากคุณต้องการชัยชนะ คณุ จะแพ้ให้กับตัวเอง อัษฎาวุธ โคตรมา สังคมในปัจจุบัน เต็มไปดว้ ยการแขง่ ขัน นบั ต้ังแตต่ ื่นเช้าจนถงึ การพกั ผอ่ นในเวลากลางคืน เราต้องคอย คดิ แผนการหรอื วิธีการต่าง ๆ มากมายเพื่อทจี่ ะแข่งขนั กบั ผู้อ่นื อยู่ทุกวนั และเวลา แม้กระท่งั ในวงการการศึกษา ก็ยงั มกี ารแข่งขนั บางคร้งั เราก็ชนะและบางคร้งั เรากแ็ พ้เช่นเดียวกนั และทกุ อย่างล้วนมีผลทตี่ ามมา เราทกุ คนบนโลก สว่ นใหญ่โหยหาชยั ชนะ และเกลียดความพ่ายแพ้ เพราะความรู้สึกชนะมันช่างรู้สึกดี เสียเหลอื เกิน มนั ทำใหเ้ ราได้ทุกสิ่งที่เราต้องการ ไมเ่ หมือนกับการพ่ายแพ้ มนั ชา่ งรูส้ ึกหดหู่ เดียวดาย ไม่เป็นที่ ต้องการของสังคม ความรสู้ กึ เหลา่ น้ลี ว้ นมตี ้นกำเนิดมาจากการถูกปลกู ฝังตัง้ แต่เดก็ ๆ เชน่ การวิ่งแข่ง การแข่ง ทักษะวิชาการ การประกวดกิจกรรมต่าง ๆ ความคาดหวงั ของครอบครัว เป็นต้น ทำให้เกิด “ภาวะแพ้ไม่เปน็ ” ซ่งึ อาจจะทำให้เราใชช้ ีวิตลำบากมาก ๆ เมือ่ เราเรม่ิ เป็นผูใ้ หญ่ และยงั หาทางกำจดั ความรูส้ กึ น้ีไม่ได้ ความรู้สกึ แพ้ไม่เปน็ จะสร้างตัวตนหน่ึงของเราขึ้นมา เม่ือเราไดท้ ำงานร่วมกบั ผู้อ่ืน เราจะคอยสังเกตคน รอบข้างอย่ตู ลอด เพราะเมือ่ ไหร่ท่ีคนคนนน้ั มีผลงานดีเด่นมากกว่าของเราในชัน้ เรียนหรือในกลุม่ เราจะเร่ิมนับ คนคนนั้นเป็นคู่แข่งที่ต้องเอาชนะทันที ส่งที่ตามมานั้นคือความเครียด เครียดที่จะต้องหาทางว่า ทำอย่างไร ผลงานเราจึงจะเหนือกว่าคนคนนั้น จนทำให้เราลืมความเป็นเพื่อนกับคนคนนั้นไป และหากทุก ๆ วันมีคนที่ ผลงานดี ๆ เพม่ิ ขนึ้ ศตั รูของเราก็จะเพิ่มมากขนึ้ จนในทสี่ ดุ เราก็กลายเป็นคนท่ไี ม่มีเพื่อน จมอยู่กับความพ่าย แพ้ที่ติดในจิตใจ ส่งผลกระทบต่อร่างกายและการทำงานที่มีประสิทธิภาพลดลง แต่ทุกสิ่งล้วนมีทางออกเสมอ เพียงแตเ่ ราต้องต้งั ใจทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงตวั เองเพ่ือบางสง่ิ เราไม่มีทางลืมสิ่งใด ๆ ได้ แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ การแก้ไขความรู้สึกแพ้ไม่เ ป็นมีอยู่ หลากหลายวธิ ี แต่วิธที ผี่ ้เู ขยี นจะนำเสนอคือ 1. การมเี หตุและผลให้มากขนึ้ กลา่ วคอื การนำความรู้สึกของเรามาวเิ คราะหว์ า่ อะไรทำให้เราคิดท่ีจะ เอาชนะ และเราจะไดอ้ ะไรนอกจากความรู้สกึ เหนือกว่า แล้วสงิ่ ท่ีได้พัฒนาอะไรในตัวเราได้ 2. การเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ คือการศึกษาชีวประวัติ หรือแนวความคิด แนวทางการใช้ ชีวิต แล้วนำเอาสว่ นนั้นมาปรับใช้กับตนเอง 3. การสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเองในการใช้ชีวิต จากการดูหรือฟังวิทยากรหรือผู้มีความรู้ หมอ และ สื่อออนไลน์ เพื่อการสรา้ งความเข้าใจ และดึงเอาคุณคา่ ที่มีอยูใ่ นตนเองออกมา การคิดที่จะเอาชนะ หากเราชนะ ความรู้สึกมันช่างหอมหวาน แต่ถ้าแพ้เราก็จะเศร้าและผิดหวังใน ตัวเอง ตัดพ้อและอยากจะชนะให้ได้ ความทะเยอทะยานนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเราใชไ้ ม่ถกู วิธี มันอาจจะสร้าง ผลร้ายมากกว่าผลดีแก่เราได้ เราไม่จำเป็นที่จะต้องชนะทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา แต่จงชนะจิตใจที่แข็งกระด้าง ของเราใหไ้ ด้ และเปลยี่ นใหเ้ ปน็ จติ ใจที่อ่อนโยน สามารถอย่รู ่วมกบั ผู้อ่ืนได้ เราจะไม่โหยหาชัยชนะเพ่ือชิงความ 16

เป็นใหญ่ แต่เราจะทำให้ตัวเองมีความสุขระหว่างการใช้ชีวิตนี้ให้มากที่สุด สิ่งที่ผู้เขียนได้แนะแนวทางในการ ปรบั เปลี่ยนตัวเอง อาจไมใ่ ช่สำหรับบางคน แตผ่ ้เู ขียนกห็ วงั ว่าบทความนจ้ี ะสามารถช่วยได้ไม่มากกน็ อ้ ย 17

18

“ศิลปะกบั การสรา้ งสรรคส์ ังคม” กนกพร ไชยสทิ ธางกูร ความสุข ที่ได้เรียนรู้ ได้ทำงานในสิ่งท่ีตนเองรักนัน้ กเ็ ปรยี บเสมอื นกับการได้รดนำ้ พรวนดินให้กบั ดอกไม้ที่ตนเองรัก ตอ้ งคอยดูแลเอาใจใส่ ฟมู ฟัก ประคบประหงม และในซักวันดอกไมน้ ้ันกจ็ ะออกดอกผลบิ าน งดงาม เช่นเดียวกบั การท่เี ราน้นั ไดพ้ ยายามทำในส่งิ ทีม่ ีความสขุ ไม่ว่าจะเปน็ งานอะไรในภายภาคหน้าถา้ เรานัน้ ไดพ้ ยายามมากพอ ผลจากความพยายามท่ีมาจากความรกั นั้นจะทำให้เราประสบความสำเร็จไดอ้ ย่างแน่นอน ส่วนพลงั หรอื ความสามารถของผูท้ จ่ี ะไขวค่ ว้าความสุขมาเปน็ ของตัวเองได้นั้น ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของตัวเอง และสมรรถภาพของสงั คม ซ่ึงหมายถึงวา่ พลงั นั้นจะเกดิ ข้ึนไดม้ ากน้อยแค่ไหน ต้องอยทู่ ่คี วามร่วมมือของคนใน สังคมและตัวตนของแต่ละบุคคลเปน็ สำคัญอยา่ งเร่ืองของศิลปะ ท่คี นส่วนมากน้นั ตระหนักดวี า่ มนั เปี่ยมลน้ ไป ดว้ ยความงาม ดังนนั้ ศิลปะ จึงสามารถนบั เปน็ ปจั จยั หนึ่งท่ีสร้างสรรคป์ ระเทศ ลดความเหล่อื มลำ้ และสร้าง ความเปน็ ธรรมในสังคมได้เป็นอยา่ งดี ท่ีมนษุ ยชาติน้นั ไม่ควรปลอ่ ยให้มนั ไร้คณุ คา่ ภายในสังคมมีการพฒั นา กา้ วหน้าของเทคโนโลยี หรือโลกาภิวัฒน์ ศลิ ปะและสังคมของมนษุ ย์นัน้ ไดม้ ีการเกดิ ขน้ึ มาพรอ้ มกันในทกุ ยุคทุกสมยั อย่างเชน่ การดำรงชวี ิตของ มนุษย์ในยคุ โบราณหรือยคุ หนิ น้นั ได้มีการทำเครื่องมือจากเศษวัสดทุ ่ีทำขึน้ มาจากธรรมชาติและส่ิงรอบตัว เอา มาเหลาใหแ้ หลมคมคล้ายบั มีดพรา้ ทำให้จบั ถนดั มือเพื่อเอาไว้ใช้ในการทำมาหากนิ เชน่ ล่าสัตวห์ ุงหาอาหาร ป้องกนั ศตั รู ป้องกันตวั จากสัตวร์ า้ ย เป็นตน้ เม่ือไดส้ ัตวม์ ากจ็ ะนำเลือด มาขีดเขยี นไวภ้ ายในท่อี ยู่อาศยั ของตน เช่น ภายในถำ้ จะเหน็ ไดว้ ่าภาพเขยี นฝาผนังในถำ้ ทหี่ ลากหลายในแตล่ ะประเทศนั้น มีการใช้ สีจากเลอื ดของ สตั ว์ ยางไม้ ดิน และสีจากธรรมชาติอ่ืน ๆ อีกมากมาย สงั คมไทยในปัจจุบนั นัน้ ได้มีพัฒนาการเกดิ ขน้ึ เป็นอย่างมาก ซึง่ ผลท่ตี ามมาน้นั กค็ ือเกิดการเหลือ่ มล้ำ ขน้ึ ภายในสังคม ไม่เว้นแม้กระทั่งในดา้ นของศลิ ปะ ซ่ึงการพฒั นาศิลปะและตวั บุคคลคือศลิ ปินเองนนั้ จะตอ้ งมี การพัฒนาควบคกู่ ันไปตามยุคตามสมัยใหท้ ันโลก เน่ืองจากมนุษย์เราแตกตา่ งจากสตั ว์อน่ื อกี ทง้ั ยังมสี มองท่เี ลอ เลศิ มคี ุณภาพสูงสุดกว่าสัตวท์ ุกชนิด ทำให้สามารถประดิษฐ์คิดค้นอะไรออกมาได้อย่างมากมายมหาศาล ไมว่ า่ จะเป็นไปได้หรอื ไม่ได้ การเกิดขน้ึ ไดย้ ่อมมีความเป็นไปได้สูงกวา่ ล้มเหลว ตอ้ งดำรงตนไปตามแนวคิดทย่ี ึดถือได้ ว่าดว้ ยความเปน็ จรงิ ความดี ความงามหรือสนุ ทรียศาสตร์ และน่จี ึงเปน็ สง่ิ ท่ีพิสจู นไ์ ดว้ า่ มนษุ ย์นั้นสามารถใช้ งานศลิ ปะมาเปล่ยี นแปลงสงั คมได้ ดังนนั้ จึงมีการรวมตวั ของกลุม่ ศลิ ปนิ ผู้สร้างงานศิลปะขึน้ พวกเขาได้ต้ังปณิธานท่จี ะเดินสายสญั จรไป ทัว่ ประเทศเพ่ือใชค้ ณุ ค่าทางศิลปะสร้างสรรคแ์ ละพัฒนาสงั คมและตัวบุคคลใหเ้ กิดความสขุ ในชีวติ ข้นึ มา (ปานมณ,ี 2554) 19

สุดท้ายแล้วกส็ รุปได้วา่ ศลิ ปะกบั การสร้างสรรคส์ งั คมนั้นเป็นของคู่กนั มาตงั้ แต่อดีต เชือ่ มโยงไปกบั ทุกยุคทกุ สมัย และศิลปะจะเปน็ ตัวขบั เคลอ่ื นสังคมให้ไปในทศิ ทางใด ขน้ึ อยกู่ ับความก้าวหน้าและการพฒั นา ของคนในยุคน้นั ๆ ซ่ึงยคุ สมยั นี้นั่นก็คือการทน่ี ำเอาเทคโนโลยเี ข้ามามีส่วนชว่ ยเหลือให้ศิลปะนัน้ มีการเติบโต และยกระดับขน้ึ จากแต่ก่อนทใี่ นอดตี ศลิ ปะน้ันยังไม่ถกู พิสูจนแ์ ละถกู เพิกเฉยวา่ มนั เปน็ สิ่งท่ไี มจ่ ำเปน็ ต่อ สังคมไทย แตใ่ นยุคสมยั น้ศี ลิ ปะกลบั ถูกพูดถงึ และนำมาเป็นตัวช่วยในการขับเคล่ือนและสรา้ งสรรค์สงั คมเพมิ่ มากยิง่ ขึ้น การสรา้ งศลิ ปะเพ่ือสะท้อนปัญหาในสงั คม เช่น การทำงานศลิ ปะที่เกีย่ วข้องกับโรคระบาด covid- 19 ในปัจจบุ นั ขึน้ มา เพื่อใหผ้ ู้ท่เี สพงานหรือพบเห็นงานศิลปะชน้ิ นี้ ไดย้ ำ้ เตือนสติ ตระหนักถึงการป้องกนั ตัวเอง การเฝ้าระวงั และการร่วมมอื กันข้ามผา่ นวกิ ฤตในครั้งน้ไี ปให้ได้ นี่เปน็ เพียงสว่ นหนึ่งทก่ี ลา่ วถงึ การนำศิลปะมาประยุกตใ์ ช้ใหเ้ ข้ากบั สงั คมไทยในปจั จบุ ัน ยังมีประเดน็ อีกหลาย ๆ ประเดน็ ที่ยังไมถ่ ูกพูดถึงและยกมาตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัยและข้อสังเกต การอ้างถงึ หรือการหา คำตอบอกี มากมาย อา้ งอิง “ความงดงามทางศิลปะ จรรโลงใหโ้ ลกเต็มไปด้วยความสุข” , หนังสอื พมิ พ์แนวหนา้ โดย ปานมณี, (2554) วนั ท่ีสืบค้น 9 เมษายน 2564 [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.thaihealth.or.th/ “ศลิ ปะกบั สังคมมนษุ ย์” , วรี ะยุทธ โพธิศ์ รี, (2554) วันทีส่ ืบคน้ 9 เมษายน 2564 [ออนไลน]์ เข้าถงึ ไดจ้ าก https://arnantana.wordpress.com/ 20

รางวัลของศิลปะ ชญามินทร์ เกตุเมฆ ศลิ ปะเปน็ ส่งิ ทช่ี ว่ ยพัฒนาความคดิ รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ของมนษุ ย์ เป็นการแสดงออกอย่างเสรี แต่น่า เสยี ดายที่ในสังคมปจั จบุ ันผู้คนส่วนหนึ่งมองวา่ ศิลปะมไี วเ้ พื่อแข่งขันเพ่ือรางวลั เพราะศิลปะมกั จะมรี างวัลเปน็ ส่ิงลอ่ ใจ โดยเฉพาะครูศลิ ปะบางคนทีย่ งั ขาดความเขา้ ใจเกี่ยวกับปรัชญาศลิ ปะและมักจะเขา้ ใจผดิ คดิ ว่าการจะ พัฒนาเด็กต้องให้เดก็ แขง่ ขนั กันเองโดยใช้รางวัลมาลอ่ เพือ่ กระตุ้นใหเ้ ดก็ เข้ารว่ มการแขง่ ขัน ครบู างคนวาด ภาพขนึ้ มาเป็นตัวอยา่ งเพือ่ ให้เดก็ ๆ ลอกตาม โดยไม่คำนึงถงึ ความคดิ จริง ๆ ของเด็กเลยดว้ ยซำ้ เพียงเพ่ือท่ี ชนะการแข่งขนั ด้วยค่านยิ มแบบนนี้ เี่ องที่ทำใหเ้ ด็ก ๆมองชีวิตเปน็ การแข่งขนั แข่งขนั กบั คนอื่นยังไม่พอ ยงั ตอ้ งแขง่ ขนั กบั ตวั เองดว้ ย โดยทัว่ ไปรางวลั เปรียบเหมือนเปน็ ดาบสองคม มที ั้งคณุ และโทษ ขึ้นอยู่กบั ผูใ้ ชว้ ่าจะมีสติปัญญารูจ้ ัก เลือกใช้ใหเ้ กิดคุณประโยชนห์ รอื ไม่ ในส่วนของ ข้อดี คือ รางวัลอาจเปน็ ตัวกระต้นุ ใหเ้ กดิ แรงผลกั ดัน เกิดการสร้างแรงจูงใจ (Motivation) เพื่อชกั จงู ให้เกิดการรว่ มงาน เป็นตัวเรง่ เรา้ ให้เกิดความกระตือรือรน้ นอกจากนี้ รางวลั ยังเปน็ สัญลกั ษณข์ องการยอมรับและยกย่องในด้านฝีมอื และความสามารถ โดยเฉพาะคนบางคนทม่ี ีปมดอ้ ยต้องการ ลบล้างปมดอ้ ยเหลา่ นน้ั เพือ่ สร้างปมเดน่ ให้กับตนเอง ซึ่งเป็นเร่อื งท่ีดีท่เี พราะถือวา่ เป็นการพฒั นาตนเองไปใน ตวั เป็นการเพื่อทดแทนในส่ิงทต่ี วั เองยังไม่มีหรือสว่ นทข่ี าดไป ทำใหเ้ กิดความภาคภมู ใิ จและมั้นใจในตนเอง มากขึน้ และในส่วนที่เปน็ ข้อเสยี คอื ทำให้คนเหน็ แกต่ ัว คดิ ว่าตวั เองเหนอื กว่าผู้อื่น ทำอะไรก็จะคำนงึ ถงึ แต่ ผลประโยชน์ จนอาจลืมไปว่าจดุ ประสงคท์ ี่แทจ้ ริงของการทำงานศิลปะคอื อะไร สง่ ผลเสียใหแ้ กศ่ ิลปะโดย สว่ นรวม นอกจากน้ยี งั เปน็ การแบ่งแยกคนท่ีรักศลิ ปะออกเป็น 2 ฝ่าย มีท้ังฝ่ายชนะ และฝ่ายแพ้ คนที่ชนะก็ ร้สู ึกอยากจะชนะไปเรอ่ื ย ๆ คนท่ีแพ้ก็รูส้ กึ เกลยี ดศลิ ปะไปเลยกไ็ ด้ การให้รางวลั มีอทิ ธิพลหรือกอ่ ใหเ้ กิดเป็น แรงจูงใจท่ีจะกระตุ้นให้เด็ก ๆ ทุ่มเทกำลงั กายและเวลาปฏิบัติงานอย่างเตม็ กำลัง มขี วญั กำลงั ใจที่ดี รักและ หวงแหนผลงาน ถึงอยา่ งไรก็ตาม การทเ่ี ด็กมุ่งเน้นถึงรางวัลมากจนเกินไปอาจเป็นการสร้างคา่ นิยมผิดๆทำให้ สังคมมองศิลปะเป็นเรื่องยากและไกลตัวมากขึน้ ไปอีก การใหร้ างวลั จึงตอ้ งให้อยา่ งเหมาะสมและระมัดระวัง เพือ่ ให้มีคุณค่า มีความความหมายตอ่ ผู้ท่ีไดร้ ับ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความแตกแยก เพราะมุ่งรางวลั มากกว่าการ ทำงานดว้ ยใจรกั ดังนนั้ การใหร้ างวลั จะต้องเช่ือมโยงใหเ้ กิดความตระหนักเหน็ คุณคา่ ของตนเองต่องานศิลปะ และทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มที่ เดก็ บางคนท่ีได้รางวลั จะรู้สึกภาคภมู ิใจตัวเอง เมอ่ื ไดร้ างวลั มาคร้ังหนึง่ แลว้ ก็ อยากจะได้อกี เปน็ ครงั้ ทสี่ องและสามทำให้เกดิ ความคาดหวังและกดดนั กับตัวเอง จงึ กลายเปน็ ว่าการแข่งขนั 21

ไมไ่ ดท้ ำให้เด็กวาดภาพอยา่ งมีความสขุ อกี ต่อไป รางวัลจากฝมี ือของครศู ลิ ปะทีท่ ำลายความคดิ จนิ ตนการ ความบรสิ ทุ ธ์ไร้เรยี งสาของเด็กเพื่อแลกกบั ชอื่ เสยี ง รางวลั โล่ ใบประกาศนยี บัตรเอามาติดประดบั ไวใ้ นตู้โชว์ ของโรงเรียน บรรยากาศของการแขง่ ขันในปจั จบุ นั ประกอบกับมีการใช้ทฤษฎกี ารสร้างแรงจูงใจกนั มากขนึ้ กเ็ รม่ิ มี การใหร้ างวลั เป็นการกระตนุ้ เพ่ือให้ผู้คนเกดิ ความสนใจ เขา้ ร่วมการแขง่ ขัน ซง่ึ ก็เปน็ การดีไมไ่ ดผ้ ดิ อะไร แต่ก็ ตอ้ งระวัง เพราะถา้ มากไปไม่มีความพอดี ก็อาจทำให้หลกั การเพย้ี นไปได้ เพราะหลายต่อหลายครั้งกลายเปน็ ว่าถา้ ไม่มีรางวลั เปน็ ตวั จูงใจก็จะไม่คอ่ ยให้ความสำคญั กบั การศิลปะหรอื การใชค้ วามคดิ สร้างสรรค์ จนลืมไปว่า บางจุดประสงค์ทแ่ี ท้จริงของการแขง่ ขนั นั้นเพ่ืออะไร นเ่ี ปน็ บทความที่บอกใหร้ วู้ ่ารางวัลยอ่ มเปน็ ดาบสองคมมที ้ังขอ้ ดแี ละข้อเสยี ข้ึนอยกู่ ับผู้รับและผู้ใหพ้ ึง ใช้สติปญั ญาคิดใคร่ครวญใหถ้ ่ีถว้ น อยา่ หลงระเริง งมงายยึดติดกับสงิ่ ของท่ีอยู่นอกกาย การแขง่ ขันน้ันจดั ข้ึนไม่ ผิดอะไรแต่จดุ ประสงคท์ ี่แทจ้ รงิ ของการแข่งขนั คอื อะไร ไม่ใช่การพัฒนาตนเองหรอกหรือ แข่งขันกับคนอนื่ ก็ ยังมตี วั เองเป็นเพ่ือน แตแ่ ข่งขันกบั ตนเองแล้วจะมีใครเปน็ เพื่อนอกี อนั รางวัลใด ๆ ในโลกนัน้ ล้วนสร้างข้นึ เพื่อ จงู ใจเป็นแรงกระตุน้ ในการสร้างสรรค์ เปน็ ผลพลอยไดเ้ ท่าน้ัน แต่จุดหมายที่แทจ้ ริง คือการพัฒนาความคิด จินตนาการอนั ไร้ขอบเขตจำกัด (Infinity) น่ันเอง อา้ งอิง “ศิลปะเด็ก : ดอกไม้ในกำมือของผใู้ หญ่”โดยรองศาตราจารย์เลิศ อานนั ทนะ ,วันทส่ี ืบคน้ 9 เมษายน 2564 [ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.thaiartstudio.com 22

ศิลปะ...กระจกสะทอ้ นความจรงิ ฐิตมิ า ดวงสวุ รรณ์ ศลิ ปะเกิดข้ึนมาเมื่อใด อาจจะไม่มีใครหาคำตอบและท่ีมาของจดุ กำเนดิ ของศิลปะได้แน่ชัด แตส่ ่งิ ทีผ่ กู ตดิ มาด้วยกันกับศลิ ปะอย่างหนึ่งทเี่ ราเห็นได้อย่างชดั เจนน้ันกค็ อื สังคม ถือไดว้ า่ ศลิ ปะและสังคมเปน็ ส่วนหนึง่ ของกันและมาโดยตลอดยากทจี่ ะแยกออกจากกนั ได้ หากจะยอ้ นกลับไปหาคำตอบถึงท่มี าของศลิ ปะ ก็คงต้อง หาคำตอบของจดุ เรมิ่ ต้นของคำวา่ สงั คมก่อน แตก่ ระนน้ั เกิดขึน้ เม่ือใด อาจไมส่ ำคัญมากนกั แต่ประเดน็ ทีเ่ ป็น จดุ นา่ สนใจคือ ศิลปะกบั สงั คมเกิดขน้ึ เพราะอะไร? ภายใตว้ ิถชี ีวิตผู้คนในสงั คมปัจจบุ ันเราตา่ งพบเจอกับปัญหามากมาย ไมว่ า่ จะนอ้ ยหรือใหญ่ ไมว่ า่ จะ เปน็ คณุ ภาพชวี ติ ความเหลื่อมลำ้ ทางสงั คม,สภาพแวดลอ้ มท่เี ส่ือมโทรม, ปัญหาขยะพลาสติก, โรครา้ ยแปลก ใหม่ ปญั หาอาชญากรรม, ปญั หาทจุ รติ คอรร์ ปั ชั่น ปญั หาดา้ นการเมือง,หรอื แม้แตม่ ติ รภาพของผู้คนทีจ่ ืดชดื แห้ง แลง้ เป็นตน้ ปญั หาเหลา่ นี้ตา่ งถกู นำมาเป็นประเด็นในการสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะโดยใช้ศลิ ปะเปน็ เคร่ืองมือ เพือ่ สะท้อนสงั คม ดังนน้ั เราจึงมักจะสงั เกตเหน็ ไดว้ ่า “ศิลปะทไ่ี ด้รับอิทธพิ ลจากสภาพความเป็นจริงของสงั คม ที่ศลิ ปินไดส้ ัมผัสดว้ ยตวั เอง ซ่ึงศิลปินได้นำเอาความรสู้ ึกเหล่านน้ั มานำเสนอ และถา่ ยทอดอารมณ์ความรสู้ ึก โดยผ่านผลงานศิลปะในรปู แบบตา่ ง ๆ และสอดแทรกเนือ้ หาแนวความคดิ ท่สี ะท้อนให้เห็นถึงสภาพ หรือเหตุ ความเป็นจรงิ ทีเ่ กิดขึ้นในสงั คม และปลกู จิตสำนึกเพ่ือกระตนุ้ เตือนให้ผ้คู นไดต้ ระหนกั ถึงคุณค่าของคุณธรรม ความดงี าม ความถูกตอ้ ง ซง่ึ เปน็ สิ่งทีข่ าดไมไ่ ด้ และมีความจำเป็นตอ่ สงั คม” (วิละสัก จนั ทลิ าด, 2562) ซึ่งแต่ ละศลิ ปินก็มีแนวทางในการส่ือสารปญั หาออกมาในรูปแบบที่หลากหลายและแตกตา่ งกัน แต่เม่ือมีความจรงิ ท่ี ปรากฏข้ึนจากการสะทอ้ นนั้นก็ยอ้ มมที งั้ ผู้ที่รบั ความจริงไดแ้ ละรบั ความจรงิ ไม่ได้ งานศิลปะบางอย่างท่ีมีเนอ้ื หา กระทบกับใครคนหน่ึงหรือเป็นการเรยี กร้อง การตีแผ่ สะท้อนออกมาเปน็ ผลงานศิลปะ อาจไม่ไดเ้ ปน็ อสิ ระเสรี ในการแสดงออกต่อไป งานศิลปะบางอย่างท่ีมผี ู้คนกลุม่ หน่ึงไม่ยอมรับ ศลิ ปะจงึ ถูกกดทับภายใต้กฎเกณฑ์ที่มี คนสร้างขน้ึ มา “เราทำงานศิลปะเหมือนลมหายใจ เราทำประจำ ทำทุกวัน ทำตลอดเวลา แต่แลว้ วนั หน่งึ มีคน สั่งห้ามเราทำงานศลิ ปะ มันเหมอื นมีคนอดุ จมกู ไม่ให้เราหายใจ” (มือบอน, 2563) ศิลปะเปน็ อาวธุ ทางปญั ญาอย่างหน่งึ ท่ีทำใหเ้ ราเห็นภาพรวมของความเปน็ จรงิ และหากนำมาใช้ใหเ้ กิด ประโยชน์ เราจะเหน็ ไดว้ า่ ประโยชนข์ องศิลปะนอกจากจะเปน็ เหมอื นกระจกสะท้อนภาพออกมาให้เราได้ ตระหนกั เหน็ ถึงปญั หาแลว้ ส่งิ ทสี่ ำคัญคือมนุษยจ์ ะยอดรบั มองเห็นปัญหาและนำไปแกไ้ ขปญั หาทเี่ กิดข้นึ ได้ ศิลปะคืออาวุธทางปญั ญาเปน็ สง่ิ ทท่ี ำให้เราสามารถตระหนักคดิ และมองเหน็ ถงึ ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ ได้ “ศลิ ปะมปี ระโยชนแ์ ละมีหลายฟังก์ชนั คือไม่ได้ทำได้แคเ่ สนอความงามเทา่ นัน้ แต่สามารถใหป้ ัญญา คน หรือทำให้คนรนุ่ ใหม่ได้มองเหน็ ปญั หาและเข้าใจสิง่ ทเี่ กิดขึน้ ในสังคม ดังน้นั ศิลปนิ หรือศลิ ปะจึงคล้ายกับ กระจกที่ส่องสะท้อนภาพของสงั คม” (สาธติ า เจษฎาภัทรกุล, 2563) ปัญหาที่สะท้อนออกมามีท้ังคนทีม่ องเห็น สามารถยอมรับ เปดิ ใจกับสิง่ ทส่ี งั คมกำลังเผชิญอยู่ และตระหนักเพอ่ื แก้ไขปัญหาเหลา่ นั้นให้ดีขึ้น และผู้ท่ีไม่ 23

มองเห็น หรอื อาจจะมองเหน็ อยู่ แตไ่ ม่ได้ใส่ใจและให้ความสำคัญ และสดุ ท้ายอาจมผี ู้ที่ไม่ได้เห็นดว้ ยและ ยอมรบั กับปญั หาที่สะท้อนออกมา ศลิ ปะทส่ี ะทอ้ นออกมาอาจถกู วพิ ากษ์วจิ ารณ์ ถกู ทำลายใหส้ น้ิ แมก้ ระทง้ั ผลงานศลิ ปะท่เี ปน็ ทรัพยส์ ินส่วนบคุ คลก็อาจถกู ขโมย หรือถูกนำมดั ใสถ่ ุงดำไปท้ิงจากกลมุ่ คนที่ไมย่ อมรบั ในการ แสดงออกของศลิ ปะและไมไ่ ด้มองเหน็ คุณคา่ เคารพในผลงานของศลิ ปิน กระจกบานนน้ั ที่ศิลปนิ สรา้ งขึน้ มา อาจไม่ได้มคี วามหมายและใช้ไมไ่ ดผ้ ลกับผู้คนบางกลุ่ม แล้วคุณมองเหน็ ภาพสงั คมปจั จบุ ันในกระจกเปน็ อย่างไร อา้ งอิง “ศลิ ปะล้อเลยี นสงั คม” , วิละสัก จนั ทลิ าด, (2562) วันที่สืบค้น 9 เมษายน 2564 [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jfa/article/view/163578 “ศิลปนิ กับศลิ ปะคือกระจกสะท้อนภาพของสังคม” – มือบอน , สาธติ า เจษฎาภัทรกลุ , (2563) วันทีส่ ืบค้น 9 เมษายน 2564 [ออนไลน์] เขา้ ถึงไดจ้ าก https://www.the101.world/mue-bon-interview/ 24

ศิลปะเชอ่ื งโยงกับสังคมอย่างไร ไกล หรอื ใกล้ตัว อรัญญา ผิวทอง ศิลปะกับสังคมนั้น อยู่คู่กันมาช้านานทุกยุคทุกสมัยทุกหนทุกแห่ง รอบตัวเรา ตั้งแต่ผนังโบสถที่ สวยงาม ไปจนถึงกำแพงงวัด หรือศิลปะแขนงอื่นๆ ที่คอยขัดเกลาจิตใจมนุษย์ และสร้างความจรรโลงใจให้แก่ โลกที่โหดร้ายใบน้ี ไม่ว่าจะเป็นการใช้รูปวาดบันทึกเรื่องราว จารึกบุคคล ในประเทศฝั่งตะวันออกนั้น ให้ ความสำคญั กับศลิ ปะมากแตม่ ีหลายคนบอกว่างานศลิ ปะเข้าใจยาก เป็นเรือ่ งไกลตวั หลายคนกลวั ศลิ ปะ หลาย คนไม่เคยเข้าหอศิลป์ และอีกหลายคนอาจลืมไปว่าชีวิตของมนษุ ย์ล้วนมคี วามสนุ ทรยี ภาพทีเ่ กิดจากศิลปะเข้า มาเกีย่ วขอ้ งเสมอ จึงทำให้สังคมไทยในปัจจบุ ันมแี ต่ศลิ ปินท่สี ร้างงาน แต่กลบั มีคนดหู รือเสพงานศิลปะน้อยลง ทกุ ที คุณชลิดา เอื้อบำรุงจิต ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้กล่าวว่าศิลปะในประเทศเรา นั้นถูกผลักออกไปอยู่ข้างๆเสมอ เหมือนถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ฟุม่ เฟือยของชวี ติ แต่จริงๆแล้ว ศิลปะเป็นสิ่งที่เปน็ พน้ื ฐานของทุกอย่าง ไมจ่ ำเปน็ ท่ีจะต้องมาแยกมองว่าจำเป็นหรือไม่ เพราะจำเป็นอยู่แล้ว และก็สามารถอยู่กับ ทุกคนได้ ไมจ่ ำเป็นตอ้ งมองว่าตวั เองเปน็ คนตสิ ท์ (artist) หรือวา่ เด็กศิลปห์ รือเปลา่ แต่จะทำยังไงให้พ้ืนที่ของ ศิลปะเป็นพื้นที่ที่มคี วามสำคัญ “ ถ้ามองในมุมของ หน่วยงานภาครัฐก็จะต้องรับใช้ยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่ ในยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี ศลิ ปวฒั นธรรมแทบจะไมม่ ที ่ีอย่เู ลย การเชอื่ มโยงจึงเปน็ เรื่องท่ียาก เพราะ บางทีส่ิงที่ ไม่ไดอ้ ยใู่ นนโยบายก็จะยากที่จะขบั เคลือ่ น จากเหตุการณ์ความไม่ชัดเจนบีบรัดด้วยข้อจำกัดเวลา และเส้นตายขีดไว้ที่เดือนสิงหาคม 2564 ท่ีกรุงเทพมหานคร ต้องตัดสินใจว่า จะให้มูลนิธิหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร บริหารจัดการ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หรือ หอศิลป์กรุงเทพฯ ต่อหรือไม่ ทำให้หลายคนที่ติดตามข่าวเริ่ม วิตกกังวล ถึงอนาคตชีพจรของหอศิลป์ใจกลางเมืองแห่งนี้ว่าจะเดินต่อ หรือถอยหลัง หรือจะเปลี่ยนถ่ายไปสู่ พ้ืนที่ศิลปะในรูปแบบใดต่อจากน้ีไป ทั้งนี้อนาคตของ หอศิลป์กรุงเทพฯ ไม่ได้มีความสำคัญแค่ว่าใครจะเข้ามา นั่งแท่นบริหาร แต่อนาคตของ หอศิลป์กรุงเทพฯ ยังเป็นคำตอบสำคัญของการจัดการพื้นที่ศิลปะในเมืองไทย รวมทั้งยังเปน็ บทพสิ ูจนว์ ่า ศิลปะน้นั ยืนยาวกว่าชวี ิตดังวลีคลาสสิกจรงิ หรือไม่ (ลกั ขณา คณุ าวิชยานนท์.2564) และเหตุการณ์ในครั้งนี้อาจกำลังตอกย้ำว่าการทำให้คนสามารถเข้าถึง เชื่อมโยง และบูรณาการศิลปะเข้ากับ ศาสตร์อื่น ๆ หรือการทำให้คนเข้าใจและเห็นคณุ ค่าของศิลปะ อาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสรา้ งอนาคต และ ต่อลมหายใจให้กับวงการศิลปะไทยให้คงอยู่ต่อไป การสร้างคนดูงานศิลปะ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำให้เกิดข้ึน ซึ่งหอศิลป์เป็นพื้นที่ปลอดภัยในทางสุนทรียภาพ ของคนในสังคม หมายความว่าการมีชีวิตอยู่ในประเทศ หรือ เมืองเมืองหนึ่ง มีหลายมิติ เช่นมิติในการดำรงอยู่ได้ในเชิงเหตุผลและเหตุผล อีกอย่างหนึ่งคือเหตุผลทาง ศีลธรรมและอนั ทสี่ าม เปน็ เหตุผลทีส่ ำคัญกบั การมชี วี ติ ของมนษุ ย์ คือเหตุผลในเชิงสนุ ทรียศาสตร์ สุนทรียภาพ ซึ่งไม่ใช่เหตุผลในเรื่องของผิดหรือถูกแต่มันเป็นเรื่องของรถสนิยม เป็นเหตุผลว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร 25

พนื้ ที่แบบนี้เปน็ พนื้ ท่ที ี่ไม่ไดถ้ ูกใช้บ่อยในเมืองของเรา ประเทศของเรานัก หอศิลป์เป็นพนื้ ที่ที่ปลอดภัยในไม่กี่ท่ี ทท่ี ุกคนมีสทิ ธิท์ จี่ ะเขา้ มาดงู าน สอ่ื สาร แลกเปลย่ี นความคิด ปญั หาหลกั ทที่ ำให้คนในสังคมมองวา่ ศลิ ปะเป็นเรือ่ งไกลตัว อาจเป็นเพราะเขา้ ใจแค่วา่ ศลิ ปะคือการ แสดงออกซึง่ ความคิด ความรู้สึกของคนทำ และเป็นความสวยงาม แตส่ ิง่ ท่เี พ่มิ ข้ึนมาท่ีหลายคนอาจจะมองข้าม คือส่วนที่สามส่วนตัวมองว่าศิลปะเป็นสิ่งที่เชื่อม การเป็นสื่อเชื่อมความเข้าใจ ระหว่างกัน ทั้งในระดับสังคม ระดับเพื่อนบ้านหรือไม่ก็ทั้งในระดับประเทศ ศิลปะนั้นมีความสำคัญในตัวของมันอยู่แล้วแต่ แต่ความรู้ความ เข้าใจเหล่านี้มันยังไม่สง่ ถึง ยังไปไม่ถึงคนทั่วๆไป คนทั่วไปยังเข้าใจอยู่ว่า คนที่ทำงานศิลปะหรือชมงานศิลปะ เป็นคนที่มีความติสท์ซึ่งมองว่ามันไม่ควรจะมองแบบนี้จะต้องเข้าใจว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถคิดได้ สร้างสรรคไ์ ด้ ทำได้เหมือนกันไมใ่ ช่แค่ตัวศลิ ปนิ สงิ่ ที่จะตอ้ งทำก็คือ จะต้องทำใหท้ ุกคนรับรูแ้ ละเข้าใจว่าศิลปะ เป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทุกคนสามารถเป็นได้ทั้งสามบทบาทคือ การเป็นศิลปินผู้ สร้างสรรค์งาน บทบาทท่ีเปน็ ผ้ชู มผลงานรบั รู้ผลงาน และผูอ้ ำนวยกระบวนการระหว่างตรงกลาง ศลิ ปะควรถูก มองวา่ เปน็ สิง่ ท่เี ข้าถงึ ไดจ้ ับตอ้ งได้ สิ่งที่เป็นปัญหาอีกคือ อาจเป็นเพราะการเรียนการศึกษาของเราด้วย ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม เรา สอนศิลปะใหเ้ ด็กวาดรปู เตน้ นาฏศลิ ปไ์ ทย หรอื ต่าง ๆ นานา แตเ่ ราไม่เคยสอนให้เดก็ เน้น art appreciation เราเลย ไม่สามารถเช่ือมโยงศิลปะเข้ากับวิชาอื่น ๆ ได้ พอพื้นฐานเราเป็นแบบนี้ หอศิลป์จึงเปน็ ตัวกลางสำคัญ ที่ทำให้คนทั่วไปเห็นว่ามีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอย่างอื่นด้วย เพื่อให้คนที่มองเห็นสามารถได้ใช้สมองทั้งสอง ดา้ น หอศลิ ป์ก็เปรียบได้กบั ห้องสมุดแหง่ ประสบการณ์ ทไ่ี มไ่ ดเ้ กิดจากการอา่ นเพยี งอยา่ งเดยี ว แต่อย่างไรก็ตามคนที่ใกล้ชิดกับเยาวชน ที่จะเป็นอนาคตของชาติ ที่จะเติบโตไปพัฒนาประเทศชาติ ตอ่ ไป กค็ ือตัวของครูศลิ ปะเอง ฉะน้นั ครจู ะตอ้ งทำใหก้ ารสอนศิลปะ หรอื ตัวศิลปะเปน็ ส่งิ ทีถ่ ูกบอกเลา่ ส่อื สาร ใหก้ ับ สังคมให้เหน็ วา่ ศิลปะเป็นเร่ืองใกล้ตวั มันไมใ่ ชเ่ ร่อื งของศลิ ปินหรอื ไมใ่ ชแ่ ค่เรื่องของคนรักศลิ ปะ เท่านัน้ มันเป็นเรื่องของทุกคน และบทบาทหน้าที่ระหว่างผู้เสพผู้ทำหรือผู้อำนวยการระหว่างตรงกลาง สิ่งเหล่าน้ี สามารถสลับหน้าที่กันได้หมด เมื่อไหร่ก็ได้ ภาพจากต่างประเทศที่มองเข้ามาจริง ๆ แล้วศิลปะเป็นเหมือนกบั ภูมิทัศน์ทางสังคม เปน็ ภาพท่ีทำให้ขา้ งนอกไดม้ องเห็นว่า ปจั จบุ ันนี้หรือ ณ วนั น้ี สงั คมของเราพดู ถึงเรื่องอะไร และสิ่งท่ีสำคญั คอื เป็นสงิ่ ท่เี ชื่อมโยงต่อระหว่างคน ในสังคม คนในประเทศและระหว่างประเทศ อา้ งอิง bacc channel. (8 ธันวาคม 2563). TALK: เสวนา “หวัง/ส้นิ หวงั ของพน้ื ทีศ่ ลิ ปะในประเทศไทย\" (2020). [Video file]. สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=AEwSIEJKHXA. ลกั ขณา คุณาวิชยานนท์. 2564 .ศลิ ปะ (อาจไม่) ยืนยาว เช็คชีพจร หอศิลป์กรุงเทพฯ กับปญั หาพนื้ ท่ีศิลปะใน เมอื งไทย. สบื คน้ จาก : https://www.sarakadeelite.com/arts_and_culture/save-bacc/. 26

สารทีส่ ง่ ไปไมถ่ ึงเปรียบได้เหมอื นกับอตั ลกั ษณท์ ย่ี ังไม่ได้แสดงออก เสาวภาคย์ เพช็ รหงษ์ บนโลกนที้ มี่ ีผ้คู นมากมาย คนเราลว้ นมีความความแตกตา่ งและหลากหลาย ท้งั ด้านรูปลักษณ์ ลักษณะ อปุ นิสยั รวมถงึ แหล่งทเ่ี ราอยู่อาศยั และเตบิ โตมา ซ่ึงเราเรยี กมันวา่ สงั คม มนั คอื การอยรู่ วมกนั ของมนุษย์โดยมี ลักษณะความสมั พนั ธ์ซง่ึ กนั และกันหลายรปู แบบ ซง่ึ ปฏิเสธไมไ่ ด้ว่าสงั คมคือสว่ นหน่งึ ทีห่ ลอ่ หลอมให้มนุษณ์ เป็นไปในรูปแบบใด โดยเฉพาะในดา้ นพฤติกรรมและค่านิยม แลว้ เหตุใดมนษุ ยจ์ ึงต้องตอบสนองตอ่ คา่ นิยมใน สังคมนัน้ ด้วย อาจจะเพราะมนษุ ย์ตอ้ งการ การเป็นท่ยี อมรับเพราะมันคือเงื่อนไขหน่งึ ของสังคม การทม่ี ีผู้คน มากมายหลากหลายท้งั เหมอื นหรอื แตกต่างกนั สงั คมคมจงึ เป็นแนวทางปฏิบตั ิให้มนุษยต์ ้องอาศัยอยู่รว่ มกัน โดยไม่แปลกแยก น่ีจงึ เป็นเหตผุ ลวา่ ทำไมเราถึงตอ้ งการการยอมรบั และกลวั ท่ีจะแตกต่างจากผคู้ นสว่ นมากใน สังคม แตก่ ป็ ฏิเสธไม่ไดว้ ่ายังมผี ู้คนอีกจำนวนหน่งึ ท่ีเลือกอาศัยอยู่ในสงั คมโดยเดนิ บนเสน้ ทางของความ แตกตา่ ง ซึ่งความแตกต่างท่ีว่านนั้ คอื การแสดงอตั ลกั ษณ์ความเปน็ ตวั ตนของตนเองออกมาถงึ ความหลากหลาย ของมนุษย์ แต่ความหลากหลายนน้ั กับโดนสังคมหล่อหลอมใหจ้ ำเปน็ ต้องทำหนา้ ทีห่ รือรับบทบาทต่าง ๆ ในสง่ิ ที่คนในสงั คมสมมติขึ้นมา หากกลา่ วในทางที่ดแี นน่ อนว่ามันช่วยจดั ระเบยี บใหค้ นในสังคมมีความสงบเรยี บร้อย เดินไปในทิศทางเดยี วกันในการอยรู่ ว่ มกนั แต่ถ้าเป็นในด้านของจิตใจ สำหรับคนท่ยี อมรับมันได้แนน่ อนว่านน่ั ไมใ่ ช่ปญั หา แต่คนท่ปี ฏบิ ตั ติ นตามกรอบของสังคมแล้วแตย่ ังรสู้ ึกวา่ เหตุใดจติ ใจความรสู้ ึกในการเป็นตวั ของ ตวั เองในการทจ่ี ะแสดงอัตลักษณ์ของตนเองออกมากลบั ต้องโดนกดทบั ตามไปดว้ ย การแสดงออกจงึ เป็นสิ่ง สำคัญในการเรยี กรอ้ งส่ิงเหลา่ นี้ เม่อื เรานกึ ถงึ การแสดงออกหรือการเรียกร้องในเชงิ สัญลักษณ์ คำวา่ “ศลิ ปะ” คอื คำทต่ี อบโจทยไ์ ดด้ ีทีส่ ุด เพราะการส่งเสยี งไมใ่ ชท่ างท่ีดีท่ีสดุ เสมอไปในการส่งสาร เสยี งของคนเราเพยี งลำพงั มนั ไม่สามารถดังพอท่ที ำใหผ้ ้คู นได้ยินและจดจำมนั ไดน้ าน การรับรขู้ องผคู้ นในสงั คม จึงจำเปน็ ตอ้ งมีเครือ่ งมือ มอื ในการส่งเสยี งหรือสารน้นั ออกไปใหผ้ ู้คนในสงั คมไดร้ บั รู้ แตใ่ ช่ว่าศลิ ปะจะเป็นเคร่ืองมือทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพและ ไดผ้ ลมากเพียงพอ หากผคู้ นในสงั คมยงั ไมร่ จู้ กั และไม่คดิ ทีจ่ ะเรยี นรู้เคร่ืองมือนใ้ี ห้ดีพอวา่ ศลิ ปะมีหน้าทอ่ี ยา่ งไร ไมร่ วู้ ่าศลิ ปะคอื อะไร และมีประโยชน์อย่างไร สารที่อย่บู นงานศลิ ปะกย็ ่อมไร้ค่าและไรค้ วามหมาย ในทาง กลับกนั คุณค่าของมนั กลับไปอยูท่ เ่ี ปลือกนอกหรือรูปลกั ษณข์ องงานศิลปะแทน ซ่ึงไมผ่ ดิ ท่ีจะคิดหรือให้คา่ มัน แบบนั้น แตต่ ิดทวี่ ่าแล้ววิชาศิลปะให้อะไรกบั คนในสังคมไปบา้ ง ส่งิ ทไี่ ด้เรยี นร้ใู นการเรยี นวชิ าศลิ ปะคือต้องวาด ภาพให้สวยเพียงอยา่ งเดยี วหรอื ไม่ หากจะวาดภาพเพื่อสอ่ื ความหมายเพ่ือเรยี กรอ้ งการแสดงออกในความ หลากหลายของมนษุ ย์ให้เกิดการยอมรบั และเท่าเทยี มแต่มันดันไปขดั กบั คา่ นยิ มของสงั คม เราจะยงั เรียกมันว่า เป็นศลิ ปะได้หรือไม่ ซง่ึ ขา้ พเจ้าเช่ือว่าหลายคนอาจมคี ำตอบอยใู่ นใจเป็นของตัวเองแลว้ 27

ดงั น้ันคนทเี่ ปน็ ครูศลิ ปะควรส่งสารหรือแสดงอตั ลกั ษณ์ของความเปน็ ครูศิลปะที่ควรจะเป็นนนั้ ใหถ้ งึ ผู้เรยี นหรือผ้คู นในสงั คม คือการทำให้คนในสังคมได้รู้จกั ได้เรยี นรแู้ ละตระหนักถงึ คุณค่าจรงิ ๆ ของคำวา่ ศิลปะ เพ่อื ให้มันเป็นเคร่ืองมือท่ีมีคุณคา่ และมปี ระสิทธิภาพในการเรียกร้องหรือสง่ เสรมิ ใหส้ ังคมดีขน้ึ สงั คมท่ีวา่ นค้ี ือ ผู้คน ทย่ี งั ต้องการการยอมรับในความแตกต่างและต้องการมชี ีวติ ทดี่ ขี ้ึน ถึงแมว้ า่ สารท่วี ่าจะเปน็ งานศิลปะ ประเภทจติ กรรม หรือภาพวาดทม่ี ันอาจจะไม่มเี สียง แตผ่ ู้คนสามารถไดย้ ินและรบั รู้ได้ หากครศู ลิ ปะได้ทำ หนา้ ท่ีในการสอนใหผ้ ูค้ นได้เรียนรู้และเขา้ ใจในความหมายของคำวา่ ศิลปะที่แท้จรงิ แล้วผ้คู นจะไมร่ สู้ ึกถึงคำว่า ศลิ ปะเปน็ เรื่องท่ีไรส้ าระหรือไมจ่ ำเป็น กลบั กนั มนั จะเปน็ คำท่รี สู้ ึกว่าวิเศษมากสำหรบั คนทรี่ กั และศรทั ธาใน ศิลปะ 28

29

ความเปน็ ตวั ตนกับศลิ ปะในโรงเรียน พนดิ า ภูท่ อง ศิลปะนบั วา่ เป็นศาสตร์ที่มีประวัติศาสตรย์ าวนาน ต้งั แต่มีมนุษย์เกิดข้ึนในอดตี จนถงึ ปัจจุบนั มี เร่ืองราวศลิ ปะหรือสิง่ ตา่ ง ๆ เกิดขนึ้ มากมาย ดังน้ันจงึ มศี ลิ ปะแตกแขนงมากมายหลายสาขา เมอ่ื ศิลปะได้ถูก นำมาบรรจุใหอ้ ยู่ในหลกั สูตรการศึกษาแล้วนั่น จึงเกดิ ปญั หาในเร่อื งขอบเขตของเนื้อหา การศึกษาไทยจงึ นำเอา ทฤษฎีพหุศิลปศกึ ษาเชงิ แบบแผนมาปรบั ใช้ในหลกั สูตรรายวชิ าศิลปะ ไดแ้ ก่ ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลป์ (Art History) สุนทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) ศิลปวจิ ารณ์ (Art critisism) และศิลปะสร้างสรรค์ (Art Production) โดย จดุ มุ่งหมายคือมุ่งเนน้ การสร้างความสมดลุ ในการรบั รู้ ความคิดสรา้ งสรรค์ และสนุ ทรยี ศาสตร์ เนื้อหาทงั้ 4 แกนนีม้ ีปจั จัยทเ่ี ก่ียวข้องเชน่ คา่ นิยม สังคม ระบบการศกึ ษา เปน็ ต้น และเมื่อใดกต็ ามที่ปจั จัยเหล่านเี้ ข้ามามี อิทธพิ ลเหนือการรบั รู้ ความสรา้ งสรรค์ และสุนทรยี ศาสตร์ หรืออย่างใดอย่างหนึง่ ก็จะขาดความสมดุลทาง ศิลปะ โดยเริม่ ตัง้ แตร่ ะบบการศึกษาท่เี ข้ามามบี ทบาทสำคัญในด้านเนอื้ หารายวิชาศลิ ปะ ถึงแม้จะนำเอา ทฤษฎพี หุศลิ ปศกึ ษาเชงิ แบบแผนมาปรบั ใช้กบั หลกั สูตรแกนกลาง หลักสตู รนั้นมเี น้ือหาท่ีมากเกินพอดี เม่ือ สถานศกึ ษานำมาปรบั ใช้ บวกกบั จำนวนชว่ั โมงเรยี นศิลปะที่นอ้ ยเกนิ ไปเมื่อเทยี บกับเนื้อหาที่มี สง่ ผลให้เป็น ภาระทง้ั ต่อตัวผู้สอนและผ้เู รียน ผสู้ อนรบั บทหนกั ในการสอนแต่ละครัง้ และผเู้ รียนเกิดการเรยี นรไู้ ด้ไม่ตรงตาม จุดมุ่งหมายทตี่ ้ังไว้ เน่ืองจากเนื้อหาเยอะเกินกว่าทผ่ี ู้เรยี นจะสามารถเรยี นรู้ได้ภายในชั่วโมงเรียน แม้การปรับกิจกรรมการเรยี นเรียนรใู้ หเ้ หมาะสมกบั เวลา และเหมาะสมกบั ผู้เรียนนนั้ จะเปน็ หนา้ ท่ขี อง ผู้สอนแลว้ แตห่ ากหลกั สตู รมีการตัดเนอื้ หาศิลปะบางส่วนออกไป หรือลดความซำ้ ซ้อนของเนอื้ หาในแต่ละ ระดับชั้นลง หรือแม้แต่สถานศึกษาเองก็ควรจะเพิม่ จำนวนชวั่ โมงเรยี นศิลปะต่อสปั ดาห์ เพอ่ื ช่วยให้ผูส้ อนมีเวลา ทมุ่ เทกับการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละครั้งมากยง่ิ ขึ้น เน่ืองจากศลิ ปะจำเป็นต้องจัดกิจกรรมท่ีให้ ผ้เู รยี นสร้างสรรค์ผลงานและเกิดความสนุ ทรีไปกับการเรียนศิลปะ นอกจากระบบการศึกษาที่เป็นปัจจัยท่สี ง่ ผลต่อเนื้อหาทก่ี ล่าวไว้ขา้ งตน้ แลว้ ยงั มีในด้านสงั คมท่ีมี มมุ มองความคดิ หรือค่านยิ มทวี่ ่าศลิ ปะนั้นประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ จริงไดย้ าก อย่างไรกต็ ามส่วนใหญ่จะนึกถึงการ ประกอบอาชีพท่ีมีความเกี่ยวขอ้ งกบั ศลิ ปะโดยตรงเช่น นักออกแบบ สถาปนิก จิตรกร เป็นต้น แตใ่ นความเป็น จริงเราทกุ คนกส็ ามารถเป็นผู้สร้างและเปน็ ผูช้ มงานศลิ ปะได้ เชน่ การเลือกสสี งิ่ ของ การปลกู ตน้ ไม้ หรือแม้แต่ การทำอาหารที่มีการจัดตกแต่งจาน เป็นตน้ ดังนน้ั สงิ่ ท่คี วรเพ่มิ เติม หรือสอดแทรกเข้าไปดา้ นเนอ้ื หา โดย ผูส้ อนต้องปลูกฝังใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ เช่อื มโยง และเห็นคุณค่าของการนำศลิ ปะไปประยกุ ตใ์ ช้ใน ชวี ติ ประจำวัน กจิ กรรมหรือสิ่งใดทท่ี ำใหผ้ ู้คนเกิดสนุ ทรียะภาพ ถือว่าเปน็ ศิลปะท้งั สนิ้ เพราะศลิ ปะน้นั อยู่ รอบตัวเรา 30

อา้ งอิง ณัฐนันท์ อนิ สง. (2562). พหุศลิ ปศกึ ษากับการศึกษาปฐมวัย. สบื คน้ เม่ือ 9 เม.ย. 2564 จาก https://www.gotoknow.org/posts/658592 วิกพี เี ดีย สารานุกรมเสร.ี (2561). ศลิ ปะ. สืบค้นเม่ือ 9 เม.ย. 2564 จาก https://th.wikipedia.org 31

วชิ าศิลปะกับการถกู ละเลย ธีรจ์ ฑุ า คิดฉลาด ศลิ ปะ ความธรรมดาท่แี สนจะพิเศษรอบตัวเรา ศลิ ปะแฝงตัวและรายลอ้ มอยู่รอบๆตัวเรา ทกุ ท่ที เี่ ราไป ทุกทท่ี ี่เราจร ล้วนมศี ลิ ปะท้ังสิน้ เราเรียนร้อู ะไรเกย่ี วกบั ศิลปะในโรงเรียนบา้ ง เราวาดรปู อย่างเดียวอย่างนน้ั หรอื ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระบุ ความสำคญั ของหลักสตู รไว้อยาง ชัดเจนว่ากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเปน็ กลุ่มสาระที่ชว่ ยพัฒนาใหผ้ ูเ้ รียนมี ความคดิ สรางสรรคมจี นิ ตนาการทาง ศลิ ปะ ชืน่ ชมความงาม มีสนุ ทรียภาพ ความมีคุณคา่ ซึ่งมีผลตอ่ คุณภาพ ชีวติ มนุษย์ อันเป็นพ้ืนฐานใน การศึกษาต่อหรือ ประกอบอาชีพได้ โดยกำหนดเปน็ มาตรฐานท่ี ศ.1.1 และ ศ.1.2 อนั เปน็ ทศิ ทางท่จี ะนําไปสู่ เป้าหมายของ หลักสูตรทจี่ ะทำใหผ้เู รยี นสรา้ งสรรคง์ านทัศนศลิ ปต์ ามจินตนาการ และความคดิ สร้างสรรค์ วเิ คราะห์ วพิ ากษ์ วจิ ารณคุณคา่ งานทัศนศลิ ป์ ถ่ายทอดความรสู้ กึ ความคิดตองานศิลปะอย่างอิสระ ช่ืนชม และประยุกต์ใช้ใน ชีวติ ประจำวัน เข้าใจความสมั พันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวตั ศิ าสตร์ และวฒั นธรรม เหน็ คุณ คางานทัศนศิลป์ที่ เป็นมรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาทองถิน่ ภมู ปิ ญั ญาไทยและสากล (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) จากข้อความข้างตน้ การเรียนศิลปะนนั้ ดูจะมีเนื้อหาใจความและสิง่ ต่างๆให้เราไดเ้ รียนรู้อย่มู ากมาย หากแตใ่ นความเปน็ จรงิ นนั้ เราได้เรยี นร้สู ่งิ เหลา่ น้ันจรงิ ๆ หรอื โดยสว่ นตัวแลว้ สำหรบั ปญั หาในการเรยี นวิชา ศิลปะในปัจจบุ นั นั้น มปี ัญหาอยู่ค่อนข้างมาก สาเหตุหลักๆนนั้ มาจากค่านยิ มของผู้คนในสังคมทีว่ า่ ศลิ ปะนัน้ ไม่ สำคญั และย่ังยืนเทา่ กับการลงทนุ กับวทิ ยาศาสตรห์ รือคณิตศาสตร์ คา่ นิยมดงั กล่าวน้ันสง่ ผลต่อการเรยี นศลิ ปะ ในหลาย ๆ ด้าน ท้ังในสว่ นของเวลาสำหรับช่วั โมงการเรียนในรายวิชาศลิ ปะท่มี ีอยู่นอ้ ยนดิ เสียจนทำใหบ้ ริหาร จัดการไดย้ าก ตลอดไปจนถงึ ปัญหาครูศลิ ปะจำเป็นผซู้ ึ่งไม่ได้จบศิลปะโดยตรง การเรยี นศลิ ปะน้ันเป็นส่งิ ที่ถูกละเลยมาเป็นเวลานาน และถูกลดบทบาทลงเร่ือย ๆ เนื่องจากผคู้ นไม่ได้ ให้คณุ ค่ากบั มนั อย่างทคี่ วรจะเป็น ซำ้ ร้ายในบางโรงเรยี นได้มีการลดเวลาคาบเรียนศิลปะหรอื ไดม้ ีการขอคาบ เรยี นศลิ ปะเพ่ือให้เวลากบั การทำกจิ กรรมในรายวชิ าอื่นอกี ด้วย ศิลปะสำคัญน้อยกวา่ วชิ าอื่นอย่างไรกนั ดังที่ กล่าวข้างต้นในเรื่องของชว่ั โมงในการเรยี นการสอน ศลิ ปะไมใ่ ช่สูตรทอ่ งจำหรือเปน็ เพียงแคบ่ ะหม่ีกึง่ สำเร็จรปู ที่ สามารถทำเสรจ็ หรอื เรียนรไู้ ด้ภายในเวลาอันส้นั การเรียนรทู้ กุ อย่างเกิดจากการทดลองและลงมอื ปฏบิ ตั ิ เช่น เดยี วกบั วทิ ยาศาสตร์ การจำกดั เวลาหรอื เวลาทีน่ อ้ ยนิดน้ันไม่ไดท้ ำใหเ้ กดิ การเรียนรู้ที่แท้จรงิ ซ่ึงสิ่งเหลา่ นเ้ี อง ส่งผลกระทบต่อเน้ือหาและการจดั การเรียนการสอนอีกด้วย เมอื่ การเรียนในหนึ่งคาบเรียนไมเ่ พยี งพอ พวกเขา แบง่ เปน็ สองและจากสองเปน็ สาม และถา้ หากว่าไม่มีการจัดสรรเวลาที่ดจี ากครผู ู้สอนนักเรยี นก็จะพลาดเนื้อหา อกี คร่ึงท่เี หลือไป ปญั หาเหลา่ นีพ้ บไดบ้ ่อยครั้งจากหลาย ๆ โรงเรียน จากการสอบถามเพ่ือนและคนรูจ้ กั ทุกคน จะเรียนตามบทเรยี นในชว่ งแรก ก่อนท่คี รผู ู้สอนจะพบวา่ พวกเขาไมม่ ีเวลาสำหรบั สว่ นที่เหลือทงั้ หมด บางทอี าจ 32

เป็นเพราะการจัดการท่ีไมด่ ีของครผู สู้ อน หรือจริงๆแลว้ มนั อาจเป็นปญั หาทหี่ ลักสูตรหรือเปลา่ ทำไมเรายังได้ เรยี นเนอ้ื หาเดมิ ๆ เร่ืองเดิม ๆ ในขณะทเี่ ราเลื่อนช้ันข้ึนมาแล้ว ทำไมบทเรยี นยังคงสอนเราแต่เรอ่ื งวงจรสีซำ้ ๆ ทงั้ ท่ีเน้ือหาไม่ได้แตกตา่ งไปจากตอนทีเ่ ราได้เรียนเม่ือปีท่ีแล้ว เพ่ือใหเ้ ราเข้าใจมันอย่างลึกซง้ึ ขึ้นอยา่ งน้นั หรือ หรอื เป็นเพราะไมม่ ีอะไรทน่ี ่าสนใจมากพอให้ใส่เข้าไปในบทเรียนได้อีกแล้ว อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวทวี่ า่ ศิลปะคือส่งิ ท่แี สดงถึงความเจริญงอกงามของบ้านเมือง สอดคล้องกับท่ี เฟรเดรคิ เจมส์ เกร๊ก ได้เขียนไวใ้ นคำนำสจู บิ ตั รการแสดง Armory show ในอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1913 ตอนหน่ึง กล่าวว่า “ศิลปะ คือ เคร่ืองหมายแห่งชวี ติ ” ( Art is sign of life) และไมว่ ่าเราจะคน้ หาในเวบ็ ไซต์หรือหนังสือ เล่มไหนในประเทศเรากจ็ ะค้นพบวา่ ศิลปะนัน้ ถูกยกย่อง สรรเสริญเยินยอตา่ ง ๆ นานา ซึ่งขดั กบั คา่ นยิ มและ ความเป็นจริงทางสงั คมที่มองว่าศิลปะเปน็ งานของคนขเี้ กียจหรอื คนเขลาท่ีไมส่ ามารถเรียนสายวทิ ยไ์ ด้เท่านน้ั ถงึ เวลาหรือยัง ทเ่ี ราจะใหค้ วามสำคญั กับศิลปะ และใหศ้ ลิ ปะอยูใ่ นทท่ี ีม่ นั ควรจะอยู่ อ้างอิง วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร ปีท่ี 17 ฉบับท่ี 1 (มกราคม 2562 – มถิ ุนายน 2562) สบื ค้นเม่ือ 9 เม.ย. 2564 จาก https://so02.tci-thaijo.org/index.php/suedujournal/issue/view/13169 ศิลปะคืออะไร. สบื ค้นเม่อื 9 เม.ย. 2564 จาก sites.google.com/site/reuxngphessuk/silpa-khux-xari 33

ศิลปะใช้ไดจ้ ริง (หรือ?) จรุ ีรตั น์ โนราช “เรียนศลิ ปะไปเพ่อื อะไร” หลายท่านอาจจะเคยได้ยินคำกล่าวดงั ขา้ งต้น ซ่งึ เป็นถอ้ ยคำท่เี ราหลายคน ตา่ งกค็ นุ้ เคย ไมว่ า่ จะมาจากเสยี งบน่ ของเหล่านักเรยี นระดับมัธยมศึกษา ผู้ใหญท่ ี่ไม่ไดใ้ ห้ความสำคญั กับศลิ ปะ หรอื อาจจะไดย้ ินแว่ว ๆ จากคนแปลกหน้าในบางสถานท่ี แม้กระท่ังการถกเถียงในอินเทอร์เนต็ ประเดน็ เรื่อง รายวชิ าท่คี วรตัดออกจากหลักสูตรการศึกษาไทยกม็ กั จะพบว่ามีรายวชิ าศลิ ปะเปน็ หนงึ่ ในนัน้ อะไรท่ที ำให้ผู้คน ละเลยวชิ าศลิ ปะ อยนู่ อกสายตาและถูกมองข้ามอยู่เสมอ ถึงแมจ้ ะมีประโยค “ศิลปะใชไ้ ด้จรงิ ” แตจ่ ะมีสกั กี่คน ที่เหน็ ดว้ ย หากจะมองหาถงึ สาเหตุของปัญหาดงั กลา่ วก็อาจจะตอ้ งมีความความเก่ียวของกบั อีกหลายประเดน็ ไม่ ว่าจะเป็นเรอื่ งของหลักสูตร สังคม ปรชั ญา หรอื จติ วิทยา และถา้ หากลองมองในมมุ ของบุคคลท่ัวไปท่ีไม่ได้ สนใจเฉพาะทางในด้านศิลปะแล้วกจ็ ะเจอกบั คำตอบง่าย ๆ วา่ “เรียนศิลปะแลว้ ไม่ไดใ้ ช้” หลายต่อหลายครง้ั ที่ ผคู้ นพบว่าเนื้อหาของรายวิชาศลิ ปะท่ีถกู บรรจไุ วใ้ นหนังสือเรียนหรอื สื่อการสอนตา่ ง ๆ นั้นไมไ่ ด้มีเนื้อหาที่ เชอ่ื มโยงเข้าสู่ชวี ติ จริง จนเกดิ ขอ้ สงสัยว่าถา้ ไม่ไดน้ ำไปใช้แลว้ เราจะเรียนไปทำไมกันนะ? และอีกหนงึ่ ข้อสงสยั ที่ มีผลตอ่ การดำเนินชวี ติ มากท่ีสุดกค็ อื “เราจะเอาความรเู้ หล่านี้ไปใชต้ อนไหน?” เหลา่ ผู้ปกครอง นักเรยี น และพลเมอื ง เราทกุ คนต่างก็คาดหวังว่าเม่อื ไดเ้ ขา้ มาในอยู่ในการศึกษาขั้น พืน้ ฐานทีใ่ ช้ระยะเวลาในการเรยี นอนั แสนยาวนานมากถงึ 12 ปแี ล้วจะสามารถนำความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการปลกู ฝงั ส่ังสม และร่ำเรียนมาจากสถานศกึ ษาออกมาใชป้ ระโยชน์ในการดำเนินชีวิต ไมใ่ ช่เพียงแค่ในรายวชิ าศิลปะ เทา่ นั้นแต่ทุกรายวชิ าล้วนก็ถูกคาดหวงั ไม่ตา่ งกัน แต่แลว้ การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานกลบั ไมส่ ามารถตอบสนองความ คาดหวังนี้ใหก้ บั ผู้คนในสังคมไดเ้ ทา่ ที่ควร เปน็ เรื่องทนี่ ่าแปลกใจท่ีเนื้อหาทใ่ี ชใ้ นการเรยี นการสอนส่วนใหญ่ไมว่ า่ จะเปน็ หนังสือเรียนหรือสอื่ การเรียนรตู้ า่ ง ๆ ลว้ นแลว้ แตก่ ล่าวถึงส่ิงท่ีเปน็ วชิ าการ เชน่ ทฤษฎีทางศลิ ปะ หลักการจัดองคป์ ระกอบ และเนือ้ หาทางประวัติศาสตร์ศิลป์ ซ่งึ มักจะเป็นทฤษฎที ีม่ ีเพ่ือนำมาใช้ในการ สร้างสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ ประวัตศิ าสตร์ หรอื การศึกษาที่ค่อนข้างเฉพาะทางเทา่ นนั้ แต่กลับไมม่ ีการนำเสนอ เนื้อหาที่เป็นการประยุกตใ์ ชห้ รอื เก่ยี วเน่อื งกบั ชวี ติ ประจำวันของผู้คน หากจะมกี เ็ ป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นท่ี สอดแทรกการนำศิลปะไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำวัน และเมื่อสิ่งท่ีควรบรรจุเนื้อหาทคี่ วรนำไปใช้อย่างหนังสือ และสื่อการเรยี นรขู้ าดส่ิงท่จี ำเป็นท่ีสุดอยา่ งการประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวนั ไป หน้าท่ีนีจ้ งึ ตกเป็นของครูผสู้ อน ที่จะต้องจดั การเรียนการสอนท่ีเน้นการนำไปประยุกตใ์ ช้เพ่ือเปน็ การแกป้ ญั หาน้ีในขณะทห่ี นงั สอื เรยี นหรอื ส่ือ การเรยี นรู้ท่คี วรจะเปน็ แหลง่ ความรู้ของผ้เู รยี นและช่วยอำนวยความสะดวกแกค่ รูผู้สอนทำได้เพียงแคบ่ รรจุ เน้ือหาทสี่ ามารถสืบคน้ เองได้ในอนิ เทอรเ์ น็ต การเรยี นการสอนเป็นไปในลักษณะนม้ี านานในความทรงจำของ ผเู้ ขยี น เม่ือหนงั สือขาดสง่ิ ทสี่ ำคญั ท่สี ดุ อย่างการประยุกตใ์ ชไ้ ป จึงเป็นเหตใุ หผ้ เู้ รยี นขาดการนำความรู้เช่ือมโยง สู่การนำไปใชใ้ นชีวิตประวนั และดำเนินรูปแบบเช่นนี้มาจากร่นุ สรู่ นุ่ จนทำให้ผ้คู นท่ีท้ังผ่านการศึกษาข้ึนพ้ืนฐาน 34

และกำลังอยูใ่ นการศึกษาข้ันพนื้ ฐานเกดิ ความรสู้ ึกวา่ ไมม่ คี วามจำเป็นท่ีตอ้ งเรยี นวชิ าศิลปะ เพราะไม่สามารถ นำไปใชไ้ ด้จริง ถกู ต้องแลว้ หรอื ที่การศึกษาวิชาศลิ ปะจะยงั คงเปน็ เช่นนต้ี ่อไป ถงึ เวลาแล้วหรอื ยังท่ีควรจะต้อง ปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงเนอื้ หาและสาระการเรยี นรใู้ นรายวชิ าศิลปะที่บรรจใุ นหนงั สอื ให้มีความเช่อื มโยงกับชีวติ จรงิ มากย่งิ ขึ้น เนน้ การประยุกต์ใช้มากย่ิงขึ้น ลดทฤษฎีต่าง ๆ ท่ีคอ่ นข้างเฉพาะทางใหน้ ้อยลงเพือ่ ใหเ้ น้ือหาใน รายวิชาศลิ ปะถูกมองว่าสำคัญและสามารถนำไปใชไ้ ดจ้ ริง เชน่ การเพ่ิมเนื้อหาศิลปะทสี่ อดแทรกอยู่ใน ชวี ิตประจำวัน ศิลปะการแต่งกาย ศลิ ปะการตกแตง่ อาหาร เป็นตน้ หากในอนาคตเราสามารถปรับปรุงแก้ไขเน้ือหาการเรยี นในรายวชิ าศิลปะได้ดั่งท่ีกล่าวไปข้างต้นได้ สำเร็จ รายวชิ าศิลปะกจ็ ะถกู มองว่าเป็นรายวชิ าท่เี รียนแล้วสามารถทำใหเ้ กดิ ประโยชนไ์ ด้ นำมาใชใ้ น ชีวิตประจำวันได้จริง จะเปน็ การนำรายวิชาศิลปะเขา้ ไปอยู่ในสายตาของผู้คน ถูกใหค้ วามสำคัญ ทำใหศ้ ลิ ปะ แทรกซึมอยูใ่ นชวี ติ ประจำวันของผูค้ น ให้ศลิ ปะไดท้ ำหน้าที่ท่ีมากกวา่ การเป็นเพียงแคช่ ิ้นงาน ลบคำถามที่วา่ “เรยี นศิลปะไปเพอื่ อะไร” และตอกย้ำวาทกรรม “ศลิ ปะใช้ได้จริง” ให้เป็นประโยคที่ทกุ คนต่างเหน็ ด้วยและ ยอมรบั 35

ศิลปะกบั กิจกรรมการเรยี นการสอนท่ีส่งเสริมพฒั นาการของผู้เรยี น ตามแต่ละช่วงวยั ปาลติ า วรรณศิริ เนื้อหารายวชิ ามกี ารเรยี นการสอนท่ีไม่เปน็ ขนั้ เปน็ ตอน จากการสอนถามผูเ้ รยี นการเรยี นการ สอนจะวนอยู่กบั ท่ีเด็กไมค่ ่อยมีกจิ กรรมเสริมความรู้ใหม่ ๆ ตามพัฒนาการของผเู้ รียนในแตล่ ะช่วงวัย เพือ่ ส่งเสริมพฒั นาการดา้ นด้านร่างการและสมองอย่างเต็มท่ี การเรียนกรสอนในปจั จบุ นั ครูผู้สอนตอ้ งปรับเปลย่ี น การสอนไปตามยุคเทคโนโลยสี มยั ใหมเ่ พิ่ม เทคนิคต่าง ๆ มาใช้ในการจัดการเรยี นการสอนเพ่อื สร้างผเู้ รียนแต่ ละคนให้ถึงจุดหมายสงู สดุ ของการเรียนรู้ รว่ มกบั การนำเปา้ หมายของหลดั สตู รการศึกษาของแตล่ ะสถานศกึ ษา มาเป็นเปา้ หมายของการเรยี นรู้ จากท่ีกล่าวมารายวิชาศลิ ปะเป็นรายวิชาทส่ี ามารถส่งเสริมในดา้ นร่างกายและ สติปญั ญาด้านความคดิ ไดด้ ที ่ีสดุ ครูผสู้ อนจำเป็นต้องนำหลกั จิตวทิ ยาการศึกษามาปรบั ใชก้ ับการเรยี นการสอนดว้ ยเช่นกัน เพอ่ื ช่วยให้ การสอนเป็นไปตามทฤษฎีการเรยี นรตู้ ามช่วงวยั ของ (ซิกมันด์ ฟรอยด์) พฒั นาการตามวัย แบง่ ออกเปน็ 5 ขน้ั คือ 1 .ข้นั ปาก (Oral Stage) อายุ 0-8 เดอื น 2. ขนั้ ทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 18 เดือน – 3 ปี 3. ข้ัน อวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3-5 ปี 4. ขั้นแฝง (Latence Stage) อายุ 6-12 ปี 5. ขัน้ สนใจเพศตรงขา้ ม (Genital Stage) อายุ 12 ปีขน้ึ ไป พัฒนาการเป็นการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึน้ ภายในตวั ของมนุษย์ ไม่ไดม้ แี คก่ ารเจริญเตบิ โตด้านรา่ งกาย เพียงเทา่ น้ัน ยงั รวมไปถึงวฒุ ิภาวะท่ีเพ่มิ มากขน้ึ ตามช่วงอายุและการเรยี นรูร้ ะหว่างการอย่ใู นสงั คมน้ัน ๆ ที่ เกิดขึ้นตลอดเวลา การสรา้ งห้องเรยี นทีเ่ อื้อต่อการพัฒนาร่างกายและความรูท้ เ่ี หมาะสม สามารถพฒั นาให้ ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ทีต่ ่อเนื่องและเป็นขน้ั ตอน ไม่สรา้ งความซับซอ้ นด้านเนื้อหาทย่ี ากหรือง่ายเกนิ ไป เพ่อื สรา้ งแรงจงู ใจให้ผูเ้ รยี นพร้อมทีจ่ ะเรียนรู้ การนำหลักจิตวทิ ยาไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนนน้ั สามารถช่วยได้ทั้งครผู ู้สอนและตวั ผเู้ รยี น เอง การศกึ ษาและทำความเข้าใจในธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนจึงมีความสำคัญที่จะชว่ ยให้ครูสามารถจดั การ เรยี นการสอนได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ดว้ ยเหตุนเี้ ป็นรายวิชาศิลปะท่ีไม่ได้สร้างเกณฑ์ทางความคิดให้แก่ผ้เู รียน ผู้สอนสามารถออกแบบการสอนท่ีมีความยืดหยุ่นในหลายด้าน เพอ่ื ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถถา่ ยทอดความคิด ไดเ้ ตม็ ทตี่ ่างจากวชิ าอนื่ ๆ ที่ต้องอยู่ในเกณฑข์ องความถูกต้องตามหนังสอื เรยี น อา้ งอิง เกรียงไกร เรือนน้อย(2553).ธรรมชาติและพัฒนาการของผเู้ รียนในแตล่ ะชว่ ง.สบื ค้นเมอื่ 10 เม.ย. 2564 จาก https://www.gotoknow.org/posts/327646 จติ วิทยาสำหรับครู.ทฤษฎีพฒั นาการ.สืบค้นเมื่อ 10 เม.ย. 2564 จาก http://teacheryru.blogspot.com/p/blog-page_5.html 36

37

การเรยี นการสอนศิลปะ เพอื่ การเรียนรู้ที่มงุ่ ให้ผ้เู รียนสามารถดำรงชีวติ อยรู่ ว่ มกับผู้อื่น ในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อย่างมีความสุข ภทั รพรรณ ทองแย้ม การศกึ ษาถูกยอมรับวา่ เปน็ เครอ่ื งมือทีส่ ำคัญในการพฒั นามนุษยแ์ ละสงั คม เน่ืองจากการศกึ ษาจะชว่ ย พัฒนามนษุ ย์ใหเ้ กดิ คณุ ลกั ษณะทีด่ ี เปน็ ทย่ี อมรบั ในสังคมน้นั ๆ ทำให้มนษุ ยเ์ ป็นกำลงั สำคญั ในการพัฒนาสังคม ต่อไป เรียกได้วา่ การศึกษามบี ทบาทสำคญั ในการพัฒนามนุษยใ์ ห้เกดิ การเรยี นรู้ สามารถนำความร้ทู ีไ่ ดไ้ ปปรับ ใชใ้ นการใช้ชีวติ ให้สอดคล้องกบั สภาพสังคมทม่ี ีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปัจจุบันเรากำลงั อยใู่ นยุคศตวรรษ ที่ 21 เป็นยคุ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเรว็ ทำให้การศึกษาต้องปรบั เปล่ยี นอกี คร้ัง เพือ่ ให้การศึกษา สามารถพฒั นาคนใหม้ ลี ักษณะตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในบทความน้จี ะกลา่ วถงึ การเรียนการสอน ศิลปะเพอื่ ตอบสนองการเปล่ียนแปลงดา้ นสภาพของสังคมในปัจจบุ นั ในปัจจุบันมีกระแส มแี นวคิดที่เกย่ี วข้องกบั ความเป็นปจั เจกบคุ คลมากข้ึนอย่างเห็นไดช้ ัดเจน ผคู้ นกลา้ ออกมาแสดงความคดิ เหน็ กล้าแสดงจดุ ยนื ของตนเอง จนบางคร้ังเกิดอาจเกิดความขัดแย้งอันเนอ่ื งมาจากความ แตกตา่ ง ที่แตล่ ะฝ่ายยงั ไม่ยอมรับและเข้าใจซ่งึ กนั และกัน การศึกษาควรให้ความสำคัญกับการเปล่ยี นแปลงใน ดา้ นน้ี กค็ ือการเปลยี่ นแปลงสภาพสังคม การใชช้ วี ิตในสังคมอยู่น้ีต้องมีทักษะการการอยู่รว่ มกนั ในสังพหุ วฒั นธรรม ซ่ึงจดั ว่าเป็นหนึ่งในทักษะในศตวรรษที่ 21 นัน่ คอื Cross-cultural understanding (ทักษะด้าน ความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์) ผ้เู ขียนจึงขอยกแนวทางการจดั การศึกษาในศตวรรษท่ี 21 โดย อา้ งอิงจากรายงานของคณะกรรมาธิการนานาชาติวา่ ด้วยการศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 แห่งยเู นสโก ช่อื รายงานว่า “Learning : The Treasure Within” ถา้ แปลเปน็ ภาษาไทยก็คอื “การเรยี นรู้ : ขมุ ทรัพยใ์ นตน” ในรายงานม สาระสำคญั ไดก้ ล่าวถงึ “สเี่ สาหลกั ทางการศกึ ษา” เปน็ หลกั การในการจดั การศึกษา ประกอบไปดว้ ย 4 ขอ้ ดังนี้ 1. การเรียนเพอ่ื รู้ (Learning to know) หมายถึง การศึกษามงุ่ พัฒนากระบวนการคิด การแสวงหา ความรู้และวิธีการในการเรยี นรู้ เพื่อให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรู้ พฒั นาตนเอง เพือ่ จะได้นำความรู้ที่ได้ไปใชเ้ พื่อ ดำรงชีวติ 2. การเรยี นร้เู พือ่ ปฏิบัติได้จริง (Learning to do) หมายถึง การศึกษามุ่งพัฒนาทกั ษะ ความสามารถ ความชำนาญ สามารถปฏบิ ัติได้ จนสามารถตอ่ ยอดในการประกอบอาชีพได้อยา่ งเหมาะสม 3. การเรยี นร้เู พื่อท่ีจะอยู่ร่วมกัน (Learning to Live Together) หมายถึง การศึกษามุ่งให้ผ้เู รียนรู้จัก ใช้ชวี ติ รว่ มกันกบั ผู้อ่นื ในสังคมท่ีมคี วามหลากหลาย รจู้ กั พึ่งพาอาศัยซ่ึงกนั และกนั เคารพกนั และกนั เข้าในใน ความแตกตา่ ง 38

4. การเรียนรู้เพ่อื ชีวิต (Learning to Be) หมายถึง การศึกษามุง่ พัฒนา ผเู้ รยี นทกุ ด้านท้ังจิตใจและ รา่ งกาย สตปิ ัญญา ให้ความสำคัญกับจนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์ ภาษา และวฒั นธรรม เพอ่ื พฒั นา ความเป็นมนุษย์ทส่ี มบรู ณ์ เข้าใจตนเองและผูอ้ ่ืน เป็นผู้ทมี่ ีเหตผุ ล มที ักษะรู้จกั สอื่ สารกับผอู้ ืน่ จากหลักในการจัดการศึกษาทงั้ 4 ด้านน้ี วชิ าศิลปะสามารถมีบทบาท ทำหน้าในการพัฒนาผู้เรยี นให้ บรรลตุ ามสีเ่ สาหลักทางการศึกษาได้ โดยการเนน้ ถงึ ความแตกตา่ งของผ้เู รียน ความสามารถ ความสนใจของ ผเู้ รยี นแต่ละคนมีความแตกต่างกนั พอจะมีแนวทางในการจดั การศึกษา ดังนี้ - ไม่ควรตัดสินผลงานศิลปะของผ้เู รียน อาจจะดว้ ยความแตกต่างจากผลงานท่มี ีเป็นส่วนใหญ่ หรือการ ตดั สนิ จากความสวยงามของผลงาน แต่ควรใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงแนวคดิ แสดงทัศนะของตนผ่านผลงาน สามารถ เชอื่ มโยงเขา้ สเู่ น้ือหาทางด้านประวตั ศิ าสตร์ทางศลิ ปะกไ็ ด้ เพราะต้ังแต่อดตี จนถึงปจั จบุ นั ศิลปะกม็ ีความเปน็ พลวัต ศิลปะที่มีการเปลย่ี นแปลงทางด้านความคิดการยอมรบั เฉพาะกลุ่มแตกต่างกันไป ความเข้าใจในส่วนน้ี จะช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นมคี วามม่ันใจกับตนเอง และไดเ้ รียนรู้ในการยอมรับในความคดิ เห็นท่ีแตกต่างจากความคิดของ ตน - เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้มีสว่ นรว่ มในการกำหนดสงิ่ ทอ่ี ยากเรียนรู้ และช่วยกันออกแบบการเรียนกบั ครูผู้สอน เพ่ือใหส้ ิง่ ทจ่ี ะได้เรยี นเกดิ จากความต้องการของผเู้ รียนเอง ทำใหผ้ ู้เรียนมีความสนใจท่ีจะเรยี นมาก ยิ่งขนึ้ การเปิดโอกาสในการชว่ ยกนั จดั การเรยี นรเู้ ชน่ น้ี จะชว่ ยให้ผ้เู รยี นได้กล้าแสดงความตอ้ งการ ความ ประสงค์ตามทีต่ นเองสนใจ และกต็ ้องยอมรบั เปดิ ใจกบั ความตอ้ งการของผูอ้ ่นื หรือเพ่ือนรว่ มชั้นด้วย เพื่อให้ เกดิ การเรียนรู้ตามความสนใจและเกดิ การเรยี นรู้แบบแลกเปลีย่ นจากเพื่อนรว่ มชนั้ - เมอื่ ผเู้ รียนมีการแสดงออกทางศิลปะทแี่ ตกต่างกันไม่ควรนำบรรทัดฐานเดยี วกนั มาใช้เพื่อแบ่งแยก ควรใชโ้ อกาสนีแ้ สดงใหเ้ หน็ เลยวา่ ทกุ คนสามารถแสดงออกตามความสนใจ ความสามารถของตนเอง และควร หาเหตุผลมาสนับสนุนให้เกดิ ความหนกั แน่นทางความคิด - ควรนำแนวคิด ปรัชญาตา่ ง ๆ มาสอดแทรกในการจดั การเรียนรใู้ ห้มีมากขนึ้ กว่าเดิมในเพยี งแค่ช้ัน ระดับชนั้ ทีส่ งู แต่ระดบั อ่นื กค็ วรให้ความสำคญั ด้วย ข้อดขี องปรชั ญากค็ ือสามารถช่วยให้เกดิ การแสวงหา คำตอบ การถกเถยี งอย่างมีเหตุผล แตข่ ้อจำกัดก็คือปรชั ญาเป็นเรอ่ื งเก่ยี วขอ้ งกบั ความคดิ เปน็ สงิ่ ที่อยูภ่ ายใน เปน็ การยากในการเขา้ ถงึ ความเขา้ ใจ ดังน้นั ผู้สอนกค็ วรหาแนวทางในการนำปรัชญา แนวคดิ ต่าง ๆ มาใช้ให้ เหมาะสมเพ่อื ใหเ้ ข้าถงึ ไดง้ ่าย ปรัชญาทางดา้ นศลิ ปะ อย่างเชน่ สุนทรยี ศาสตร์ แนวคดิ เกี่ยวกบั ความงาม เพื่อใหผ้ ู้เรยี นได้เรียนรเู้ กยี่ วกับมมุ มองทีด่ ีข้ึนทางดา้ นความงาม สามารถนำมุมมองไปปรับใช้กบั ตวั เองในชีวติ เกดิ ความรู้สึกพอใจ และสามารถใชเ้ ปน็ เครื่องมือในการแสดงทัศนะตอ่ ความคิดในสังคมท่มี ีความแตกต่าง หลากหลาย เพอื่ ลดอคติ การตตี รากับสงิ่ ที่ไม่ไดต้ ้งั อยบู่ นพ้ืนฐานกระแสสงั คมท่ีหลายคนยอมรับ จะเหน็ ไดว้ ่าการจัดการเรียนรู้ข้างต้นจะเนน้ เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นได้เรียนรู้จักการแสดงความคดิ เห็นของตนเอง และตอ้ งรู้จกั ยอมรับในความคิดของผู้อ่ืนด้วย เพ่ือให้ผู้เรยี นมีคณุ ลักษณะสอดคล้องกับการเปลยี่ นแปลงของ 39

สงั คม สามารถดำรงชวี ติ อยู่รว่ มกับผู้อ่ืนทา่ มกลางพหุวฒั นธรรมได้อย่างมีความสุข ผูส้ อนจึงมีส่วนสำคัญอย่าง มากในการเลอื กแนวทางการจัดการเรยี นรเู้ พื่อให้เกิดความประสบผลสำเรจ็ อ้างอิง สุทธิพงษ.์ (2557). การเรยี นรู้ขมุ ทรัพยใ์ นตน (Learning: The Treasure Within). ค้นเม่ือ 19 เมษายน 2564, จาก http://edu06550098.blogspot.com/2014/12/14-learning-treasure-within.html 40

“ทำไมเดก็ ตอ้ งเรียนรูศ้ ิลปะ” ภาสกร กลางเหลอื ง บางคนคิดว่า ศิลปะเปน็ เรื่องของคนท่มี ีพรสวรรค์ บางคนคิดวา่ เราสอนศิลปะเพื่อชว่ ยให้เด็กเบาสมอง แต่ทจ่ี ริงศิลปะเปน็ ผลงานอันเก่าแก่ท่ีสดุ ทีม่ นุษยไ์ ด้ทำมา เช่น ภาพเขียนตามผนังถำ้ และการประดิษฐ์ขวาน หม้อ เกวียน เหล่านีเ้ ป็นศิลปะทั้งส้นิ เด็กทุกคนสรา้ งงานศิลปะได้ และชอบงานศลิ ปะ การจะพฒั นาศิลปะและ การสร้างสรรคใ์ ห้เด็ก ต้องเขา้ ใจว่า ศลิ ปะก็คอื กระบวนการทีส่ มองถอดความคดิ ออกมาเปน็ ภาพ และชน้ิ งาน ตา่ ง ๆ น่ันเอง ถ้าสมองมีอะไรอยกู่ าร “ถอด” ความคิดออกมากเ็ ป็นไปได้ กระบวนการพัฒนาศลิ ปะและการ สร้างสรรคข์ องเด็ก จึงเน้นให้เด็กคิด และลงมือทำออกมา ศิลปะ เปรยี บเสมือนกระดาษทดแห่งจินตนาการ การแสดงออกทางศลิ ปะ เปรียบเสมือนการสรา้ งจนิ ตนาการเปน็ รปู รา่ งภายนอก แล้วป้อนกลับเขา้ สสู่ มอง ศลิ ปะจงึ เปรยี บเสมือนกระดาษทดแห่งจินตนาการ ทำให้สมองได้จัดการกับจนิ ตนาการต่าง ๆ ชัดเจนย่ิงข้ึน การทำศลิ ปะกเ็ หมอื นการใช้กรดาษทดคิดเลข การทำเลขบนกระดาษทดทำให้การคดิ เลขแจ่มชดั มากกวา่ การ คดิ ในใจ ศิลปะ หรือวา่ งานศิลป์น้ัน ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการวาดรูปอย่างเดียว การร้องงเพลง การเต้น การ เรียนดนตรี สงิ่ เหล่านม้ี นั กถ็ ือวา่ เป็นงานศลิ ปะเหมือนกัน บางคนก็อาจจะคดิ วา่ ส่งิ ท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ นัน้ มนั ก็ เปน็ กจิ กรรมที่ทำเพอ่ื ความสนุกช่ัวครูช่ วั่ ยามเท่าน้นั มันไม่สามารถเอามาใช้ได้จรงิ หรอื ว่าสามารถเอามาสร้าง รายได้ให้กบั ตัวเองได้ แต่ความเป็นจรงิ ศลิ ปะมนั สามารถท่ีจะทำเงิน สรา้ งกำไรให้กับคนทส่ี รา้ งสรรค์ผลงาน ศิลปะไดเ้ หมือนกนั อย่างทีเ่ ราเห็นศลิ ปนิ หลาย ๆ ทา่ นทท่ี ำงานศิลปะเหลา่ น้ีออกมา จนมีชอื่ เสียงโด่งดงั ก้อง โลกก็มี และศิลปะเอง ก็เปน็ อีกหน่ึงวิชาที่เรียนกนั ต้งั แต่เล็กแต่นอ้ ยเลยทเี ดียว บางคนเรยี นตง้ั แต่ยงั ไม่เขา้ โรงเรียนดว้ ยซำ้ โดยการสอนจากคนเป็นพ่อแมน่ น่ั เอง ซึง่ มันกถ็ ือว่าเปน็ วชิ าที่มีประโยชน์อย่างมาก ในด้านการ พัฒนาจติ ใจ และสงิ่ ต่าง ๆ ของเดก็ ศิลปะเด็ก เปน็ คำศัพท์ใหมท่ ่ียอมรบั กนั อย่างกว้างขวางในหลายทศวรรษทผี่ ่านมา และได้รับความ สนใจกันมากขึ้นว่า จติ ใจของเดก็ ยอ่ มสะท้อนออกมาในงานศิลปะที่เขาทำ จุดหมายสำคัญของ กระบวนการพฒั นาศลิ ปะและการสร้างสรรคข์ องเด็กคือ เพ่ือใหเ้ ดก็ ไดใ้ ช้การเชือ่ มโยงในสมอง คดิ จนิ ตนาการ อย่างเต็มที่ และผลโดยตรงทเ่ี ด็กไดร้ ับการพฒั นาดา้ นน้กี ็คอื ความรู้สึกพอใจมีความสุข ได้สัมผสั สุนทรียข์ องโลก ตงั้ แตย่ งั เยาว์ ศลิ ปศกึ ษา มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงจรสมองทีท่ ำงานดา้ นอารมณข์ องเด็ก การจัดกิจกรรมการ เรยี นการสอนให้เด็กอย่างถูกตอ้ ง จะช่วยสรา้ งวงจรเซลลส์ มองให้มกี ารพัฒนาความรสู้ ึกตา่ ง ๆ ของเด็กได้เป็น อย่างดี การเร่ิมเรียนศิลปศึกษาในช่วงแรก ควรเร่มิ จากการฝึกใหเ้ ด็กสงั เกตธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม สมองจะ จัดการประมวลสิ่งทเ่ี หน็ และรู้สึก แล้วจัดการถ่ายทอดความคิดออกมาในรูปแบบตา่ งๆสิ่งนจ้ี ะยอ้ นกลับไปขัด 41

เกลาตกแต่งจติ ใจของเด็ก การสง่ เสริมใหเ้ ด็กทำงานศลิ ปะเป็นส่ิงสำคัญ เดก็ ทุกคนมีกำลังใจเม่ือเขารวู้ า่ ตวั เขา ได้รบั การยอมรับ และรวู้ า่ เขามีความหมาย งานศิลปะเดก็ สะท้อนตัวเดก็ เอง เส้นหนักหรือเบา สเี ขม้ หรืออ่อน ยังไม่ใชป่ ระเดน็ ที่ต้องวจิ ารณ์ ควรม่งุ ไปที่จิตใจ จิตวิญญาณของเด็กเป็นสำคัญ เราจะมาดูเหตุผลกนั วา่ ทำไม เรา จงึ ตอ้ งให้เด็กเรียนศลิ ปะ คนท่เี ปน็ พ่อแม่ หรือว่ามลี ูกหลาน จะได้พาลูกไปเรยี นศิลปะบ้าง - ฝกึ ใหเ้ ด็กมคี วามคดิ กว้างไกล การใหเ้ ด็กเรยี นศิลปะ อย่างเชน่ การวาดภาพ ถือว่าเป็นการทำใหเ้ ด็ก ได้แสดงออก ถึงสิ่งทอี่ ย่ใู นความคดิ ไม่ว่าจะเป็นความคดิ เร่ืองอะไรก็ตาม ถา้ ปลอ่ ยใหเ้ ด็กวาดภาพอะไรก็ได้ ตามใจชอบ โดยที่ไม่บงั คบั วา่ จะต้องอยา่ งนนั้ จะต้องเป็นแบบนี้ มนั กส็ ามารถทำใหเ้ ด็กแสดงออกมาได้อย่าง เตม็ ท่ี โดยทเ่ี ราไม่ต้องไปปิดกั้น เป็นการฝกึ ใหเ้ ด็กมคี วามคิดสร้างสรรค์ คิดการณ์ไกล มันจะมีประโยชนอ์ ย่างยิ่ง เมื่อเขาโตขึ้น นิสยั เหลา่ นี้ก็จะติดตวั เด็กมาด้วยนน่ั เอง - ฝกึ ใหม้ คี วามคดิ สรา้ งสรรค์ บางส่ิงบางอย่างที่อย่ใู นหวั ของเดก็ อาจจะเป็นสิง่ ทีผ่ ู้ใหญ่บางคนไม่ อาจจะเขา้ ใจได้ อยา่ งเชน่ รถทำไมมันถึงเป็นลักษณะแบบน้ี ผลสม้ ทำไมมนั เป็นลูกแบบน้ี ส่งิ ต่าง ๆ ทเี่ ดก็ ได้ แสดงออกมา มันล้วนมาจากจินตนาการ และความคิดสร้างสรรคข์ องเด็กนั่นเอง และเมอื่ เขาโตขน้ึ มา แด็กทเ่ี รา คดิ ว่าเขาวาดภาพแปลก ๆ เหลา่ น้ัน เขาอาจจะสร้างสงิ่ ท่ีย่งิ ใหญ่ให้กับโลกนี้ได้ โดยทไ่ี อเดียเหลา่ น้นั มนั ไมซ่ ้ำ ใครดว้ ย - ฝกึ ให้เป็นคนชา่ งสังเกต เมื่อเราแนะนำใหเ้ ด็กวาดภาพส่ิงของบางสง่ิ บางอยา่ ง โดยไปหาต้นแบบมา ถา้ ฝกึ บ่อยๆ จนเดเกสามารถวาดภาพไดเ้ หมือน และสวยงามด้วย แสดงวา่ เดก็ คนน้ันเป็นคนทชี า่ งสังเกตแล้ว และเม่ือเขาเปน็ คนที่ชา่ งสงั เกต เวลาไปเรียนวิชาอะไร หรือวา่ ทำงานอะไรกต็ าม นิสยั ชา่ งสังเกตกจ็ ะตดิ ตวั ไป ดว้ ย โดยทีเ่ ราไม่ตอ้ งบอกเลย มันจะมาเองโดยอัตโนมัติ - มคี วามสุข อนั นี้ถือว่าสำคัญมาก คนท่ีสามารถหาความสุขจากสิ่งใกล้ตัว หรือวา่ เรื่องเลก็ นอ้ ยได้ เขา ก็สามารถทจี่ ะอยบู่ นโลกนี้ ในสงั คมน้ไี ด้ทุกแบบ ไม่กดดัน หรือไมเ่ ครยี ดแนน่ อน เพราะเหตุนี้ เราจึงใหเ้ ด็กฝึกการเรยี นศิลปะหรอื ว่าฝึกใหท้ ำงานศลิ ปะต้ังแตเ่ ด็ก เพราะมันส่งผลใน หลายดา้ นมาก และเมื่อเขาโตขน้ึ มา กใ็ หต้ ัดสนิ ใจเองว่า จะเรยี นศกึ ษาต่อเพ่ิม หรอื อย่างไรก็แล้วแตเ่ ดก็ แต่ อยา่ งน้อยมนั ก็เป็นวิธีในการสรา้ งความสุขให้กับเด็กดว้ ย อา้ งอิง สำนักงานบริหารและพฒั นาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน).(2560). การจัดการเรยี นร้ตู ามหลกั สตู ร Brain-Based Learning ด้านศลิ ปะและการสร้างสรรค.์ สบื ค้นเมอื่ วันที่ 20 เมษายน 2564, จาก http://www.okmd.or.th/bbl/documents/338/bbl-arts-creativity ทำไมถงึ ต้องใหเ้ ด็กเรยี นศลิ ปะ ศิลปะดีกบั เดก็ อยา่ งไร.(2562).สบื ค้นเม่อื วันที่ 20 เมษยน 2564, จาก https://wilmington-film.com 42


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook