ผ้ใู ห้การรกั ษาในยคุ ดั้งเดมิ ท่ัวโลก เชน่ ‘หมอยา’ ของชาวพนื้ เมอื งอเมริกัน หรือบางสงั คมเรยี กกนั วา่ ‘ผมู้ เี วทมนตร์’ ตา่ งก็เชอื่ กนั ว่า ไม่ว่าฤทธิ์ของสมุนไพร จะแรงแคไ่ หน แตถ่ ้อยคำทใี่ ช้ “ท่อง” ออกไปน้ันมฤี ทธิ์แกรง่ กวา่ เสมอ เบนจามิน แฟรงคลิน สร้างโรงพยาบาลแห่งแรกในอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๗๕๑ ทีช่ ่ือว่า โรงพยาบาลเพนซิลเวเนยี รักษาผ้ปู ่วยทางจิตเวชดว้ ยการใช้บทกวี มกี ารจดั ทำหนงั สอื พมิ พข์ องโรงพยาบาลทช่ี อื่ Illuminator - ทปี กร (ผใู้ หแ้ สงสวา่ ง) โดยให้คนไข้เขียนบทกวีแล้วนำไปตีพิมพ์ หมอพยายามทำทุกรูปแบบในการรักษา และบำบัดฟ้ืนฟูผู้ป่วย เพ่ือจะให้คนไข้เปิดเผยส่ิงท่ีเคยประสบในชีวิตของพวกเขา เพอ่ื ใหห้ มอเขา้ ใจความเจ็บป่วยของคนไข้ได้ดีขึ้น บรรดาหมอเกิดความคิดว่า ถ้ากวีเขียนบทกวีข้ึนมาเพ่ือแสดงความคิดและ ความรู้สึกของตน คนไข้ที่มีสภาวะจิตใจไม่ปกติ หรือท่ีเรียกกันท่ัวไปว่า ผู้ป่วย ทางจิตเวช กจ็ ะเขียนถึงสิ่งทีเ่ กิดขึ้นในชวี ิต ความรสู้ ึก และความคิดของตวั เองใน บทกวเี ชน่ กนั ซง่ึ จะทำใหห้ มอเขา้ ใจไดช้ ดั ขนึ้ วา่ สภาพจติ ใจของคนไขน้ น้ั ๆ กำลงั ต่อสกู้ ับโรคอย่างไร และหมอก็จะได้หาทางเปลย่ี นความคดิ ของเขาเสียใหม่ ตวั อยา่ งเชน่ ผู้ปว่ ยโรคจติ เภท (schizophrenia/ประสาทหลอน) อาจจะให้ เขยี นบทกวที เ่ี ปน็ การสนทนาทแี่ สดงถงึ บคุ ลกิ ภาพของแตล่ ะบคุ คล หรอื คนไขท้ ต่ี อ้ ง ทรมานจากปัญหาเร่ืองการรับประทานอาหาร เช่น เป็นโรคท่ีเรียกว่า บูลิเมีย (bulimia/อาการหิวไมห่ ายหรอื ชอบกนิ ไม่หยดุ ) หรือ อนอเรก็ เซีย (anorexia/เบอื่ | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
อาหารหรือพยายามอดอาหาร โรคกลัวอ้วน) ก็อาจจะให้เขียนเก่ียวกับความรู้สึก และความคดิ เมอ่ื เขาตอ้ งมองตวั เองในกระจก อย่างนีเ้ ป็นต้น อัลเบิร์ต โรเทนบูร์ก จิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเยล อธิบายว่า คนไข้ที่ อ่านบทกวีคัดสรร จะพบว่าประสบการณ์ของเขาช่างคล้ายกับท่ีเกิดขึ้นในบทกวี ซงึ่ สงิ่ นเี้ กดิ ขนึ้ ไดก้ บั คนทวั่ ไป สว่ นการใหค้ นไขเ้ ขยี นบทกวขี องตวั เอง เปน็ การบอก ถงึ ความลบั ทซ่ี อ่ นอยู่ คณุ หมอบอกวา่ “บทกวเี ปน็ สงิ่ ทเี่ ผยใหเ้ หน็ ไดม้ ากกวา่ ความฝนั ” การเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสภาวะจิตใจของคนไข้ โดยผ่าน “บทกวีบำบัด” ไดพ้ ิสจู นแ์ ล้ววา่ เปน็ ประโยชนอ์ ย่างมากต่อแพทยใ์ นการรกั ษาผ้ปู ว่ ย บทกวบี ำบดั ไดร้ บั ความนยิ มมากขน้ึ ในชว่ งทศวรรษ ๑๙๖๐ ซงึ่ มที ง้ั แบบกลมุ่ บำบัดและบำบัดแบบบุคคล มีการนำไปใช้กันแพร่หลายในสังคมหลายๆ กลุ่ม เช่น สถานฟืน้ ฟู สถานศึกษา ห้องสมุด และกลุ่มเพ่อื การนนั ทนาการตา่ งๆ ในระยะแรก ผทู้ ม่ี ารบั การบำบดั ดว้ ยวธิ นี จ้ี ะอา่ นบทกวี และเขยี นโตต้ อบกบั บทกวีของผู้อื่น หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเขียนบทกวีท่ีเกี่ยวกับประสบการณ์ สิ่งท่ี เกดิ ขน้ึ ในชวี ติ และความรู้สกึ ของตวั เอง โรเบิร์ต เฮเวน ชาฟเฟอร์ เขยี นหนังสอื เรื่อง “รักษาด้วยบทกวี : ตยู้ าฉบับ กระเปา๋ ” (The Poetry Cure : A Pocket Medicine Chest of Verse) ซงึ่ ได้ รวบรวมบทกวีจำนวนมากมาอธิบายความเป็น ‘ยา’ ในการรักษา เขาเห็นวา่ ถา้ การเขยี นบทกวชี ว่ ยกวไี ด้ (นกั เขยี นบทกวไี ดร้ ะบายความรสู้ กึ ออกมา) ฉนั ใด บทกวี
ก็ย่อมสามารถบำบัดอาการป่วยทางจิตได้ฉันนั้น เขาเช่ืออย่างหนักแน่นว่า การ อา่ นและการเขียนบทกวีมีคุณคา่ อย่างใหญห่ ลวงในการช่วยคนไขท้ งั้ ปวง เฟรเดอรกิ คลาร์ก เพรสกอตต์ มคี วามเช่ือเช่นเดยี วกนั วา่ บทกวี คอื ‘ยา’ ในการรกั ษาโรค เขาเขยี นหนงั สอื เรอื่ ง “จติ ใจแหง่ กวนี พิ นธ”์ (The Poetic Mind) ซึ่งกล่าวถงึ ความสำคัญของการรักษาอาการเจบ็ ไข้ไดป้ ่วยทางจิตใจ และการสร้าง เสริมสุขภาพด้วยบทกวี ส ถาบันพัฒนาองคความรู้ดา้ นกวบี ำบดั สมาคมบทกวบี ำบัด ท่ตี ั้งข้ึนในปี ค.ศ. ๑๙๖๙ และอกี ๑๑ ปี ตอ่ มา ได้เปลีย่ น ชือ่ เปน็ สมาคมบทกวบี ำบดั แหง่ ชาติ (The National Association for Poetry Therapy (NAPT) - สหรฐั อเมริกา) จดั หลกั สูตรสำหรับผู้ที่ต้องการจะเปน็ ‘นกั บำบัดด้วยบทกวี’ โดยแบ่งเป็น ๒ สว่ น คือ การบำบดั ในทางการแพทย์ (clinical interactive therapy) และการบำบัดเพ่ือการพัฒนา (developmental interactive therapy) | บทกวพี ลังรกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ในดา้ นการแพทย์ นกั บำบดั จะใชบ้ ทกวใี นการรกั ษาและฟนื้ ฟคู นไข้ ในแผนก สขุ ภาพจติ (ของโรงพยาบาล) และในคลนิ กิ หรอื ศนู ยส์ ขุ ภาพชมุ ชน ถา้ นกั บำบดั ดว้ ย บทกวีทำงานในแผนกสุขภาพจติ พวกเขาก็จะทำงานรว่ มกนั กบั แพทยผ์ ูเ้ ชีย่ วชาญ เฉพาะทางด้านตา่ งๆ ในการสังเกตและวนิ จิ ฉัยคนไข้ ส่วน ในด้านเพ่ือการพัฒนา เป็นการใช้บทกวีกับกลุ่มต่างๆ ในสังคม นกั บำบดั จะสง่ เสรมิ ใหม้ กี ารใชบ้ ทกวใี นชมุ ชน เชน่ โรงเรยี น บา้ นพกั คนชรา หรอื ในหนว่ ยงานตา่ งๆ เพอ่ื เปน็ เครอ่ื งมอื ในการปอ้ งกนั ปญั หาสขุ ภาพจติ และสง่ เสรมิ ให้เกดิ สุขภาวะทางจติ ใจเพ่อื พฒั นาการทั้งปวง แต่ไม่ว่าจะเป็นนักบำบัดด้านการแพทย์ หรือด้านการพัฒนา ผู้ที่จะเข้ามา เป็นนกั บำบดั ดว้ ยบทกวี ต้องมคี ณุ สมบัติเคยผา่ นหลกั สตู รข้นั ต่ำในสาขาทกี่ ำหนด (เช่น ปริญญาทางการแพทย์ จิตวิทยา หรือพยาบาล เป็นต้น) มีความรู้ด้าน จิตวิทยาและด้านวรรณกรรม และมีทักษะที่ดีในการสื่อสารท้ังในแบบรายบุคคล และแบบเปน็ กลมุ่ นักบำบัดด้วยบทกวีท่ีจะเป็นผูป้ ระกอบอาชพี นไ้ี ด้ ตอ้ งผา่ นมาตรฐานขัน้ ต่ำ คือต้องจัดให้มีกลุ่มบำบัด ๓ กลุ่ม ในแต่ละวัน และมีผู้รับการบำบัดอย่างน้อย ๗,๐๐๐ คน ใน ๑ ปี ระบบของการบำบดั ดว้ ยบทกวี มี ๓ สว่ น คอื บทกวี นักบำบดั และผ้รู บั การบำบัด เพ่ือให้การบำบัดได้ผล นักบำบัดหรือผู้อำนวยความสะดวก จะต้อง
สร้างบรรยากาศให้เหมาะสมกับผู้รับการบำบัด และเป็นไปตามปัญหาของผู้รับ การบำบัด บทความเรอื่ ง “พฤตกิ รรม : บทกวีบำบัด” (Behavior : Poetry Therapy) จากนติ ยสาร Time ในปี ค.ศ. ๑๙๗๒ ไดร้ วบรวมสถิตติ ่างๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั บทกวี บำบดั ระบวุ า่ “จำนวนผปู้ ว่ ยทเี่ ขา้ รบั การบำบดั รกั ษาดว้ ยบทกวี (ในสหรฐั ขณะนนั้ ) มปี ระมาณ ๓,๕๐๐ คน ในจำนวนนี้มีท้ังผูป้ ว่ ยทางจติ เวช นกั โทษในคกุ นกั เรยี น ทม่ี ปี ัญหา และผู้ท่ีอาศัยในบา้ นพักคนชรา พวกเขาเหลา่ นไี้ ด้รบั การช่วยเหลือจาก ผบู้ ำบัด ๔๐๐ กว่าคน ซ่งึ มีทัง้ แพทย์ นกั จติ วทิ ยา นักสงั คมสงเคราะห์ และครู สอนภาษาอังกฤษ” ในช่วงเวลานัน้ รัฐบาลยงั ไม่ได้รบั รองวชิ าชีพนักบำบัดด้วยบทกวี ยังไมเ่ ห็น ความเป็นอาชีพในสาขาวิชานี้ แตม่ หาวิทยาลยั อนิ เดยี น่าแห่งเพนซลิ เวเนยี (ในรัฐ เพนซิลเวเนีย) และมหาวิทยาลัยอินเดียน่านอร์ธเทิร์น (ในรัฐอินเดียน่า) ก็ได้จัด ให้มีการศึกษาในหลักสูตร “กวีบำบัด” และพัฒนาเป็นหลักสูตรระดับปริญญาโท สำหรับผู้สนใจวิชาชีพใหม่น้ี นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกท่ีมีหลักสูตรวิชาชีพนัก กวีบำบัด ในปี ค.ศ. ๑๙๘๖ รัฐบาลของสหรัฐ ประกาศรับรองให้ “นักกวบี ำบัด” เปน็ อาชีพทีเ่ ป็นทางการ และไดว้ ่าจา้ งนกั บำบัดดว้ ยบทกวีคนแรก ที่โรงพยาบาลเซนต์ เอลซิ าเบท ในกรงุ วอชงิ ตัน ดี.ซ.ี | บทกวพี ลังรกั ษ์สขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
หมอในยุคโบราณรู้ว่าพลังของบทกวีมีผลต่ออาการป่วยทางจิต แต่ในยุค สมัยใหม่ นี่เป็นการยอมรับคร้ังแรกในวงการแพทย์ ว่าการอ่านวรรณกรรมและ การเขยี นบทกวี สามารถช่วยในการรักษาผ้ปู ว่ ยได้ การรักษาด้วยบทกวี ไม่ใช่การรักษาโดย ‘หมอยา’ หรือ ‘ผู้มีเวทมนตร์’ อย่างในอดีตอีกต่อไป หากแต่การรักษาด้วยบทกวี ได้กลายมาเป็นรูปแบบหน่ึง ของการรักษาทางการแพทยแ์ ผนปจั จุบัน ท่ีเรียกกันว่า “บทกวบี ำบดั ” ต้ังแต่ “นักกวีบำบัด-นักบำบัดด้วยบทกวี” ได้กลายมาเป็นวิชาชีพที่เป็น ทางการ หลายๆ กรณที ีเ่ กดิ ขึน้ กับคนท่ีเคยคดิ จะฆา่ ตวั ตาย หรอื วยั รุ่นที่มีปัญหา สภาวะทางอารมณแ์ ละจติ ใจ เมอื่ ไดเ้ ขา้ มารว่ มในการบำบดั ดว้ ยบทกวี พวกเขาได้ เปลี่ยนทัศนคติหรือมุมมองในชีวิตของตัวเอง จากการปลดปล่อยแสดงความรู้สึก ออกมาในบทกวี แต่ในทางตรงข้าม บางคนต้องการรับการบำบัด แต่ไม่มีใครเข้ามาช่วย แกไ้ ขใหเ้ ขา อยา่ งเดก็ ชายอายุ ๑๕ ทคี่ ดิ อยากฆา่ ตวั ตาย เขาไดเ้ ขยี นบทกวเี กยี่ วกบั การคดิ ฆา่ ตัวตายของเขาในชน้ั เรยี น แตค่ รกู ไ็ มไ่ ด้ช่วยเขา สองปหี ลังจากน้นั เขา กฆ็ ่าตัวตาย ตามท่ศี าสตราจารย์อับราฮัม ไบลน์ เดอรแ์ มน จากมหาวทิ ยาลัยแห่ง รัฐนิวยอร์ก ยกมาอ้างอิง และเช่ือว่าถ้าเด็กชายได้รับการบำบัดจากบทกวีท่ีเขา เขยี น เขากค็ งจะยงั มีชวี ิตอยู่
บทกว ี - ขอ้ ดีและขอ้ จำกัดในการบำบดั การใชบ้ ทกวีเพอ่ื การบำบดั รักษามีข้อดอี ยมู่ าก แตก่ ม็ ีข้อจำกัดอยู่บ้าง บทกวงี า่ ยตอ่ การจบั ความคิด ความรสู้ กึ และมโนภาพ บทกวสี ามารถเปน็ ตัวกระตุ้นให้นำความรู้สึกท่ีไม่ชัดเจนนั้นมารวมกันและแสดงความรู้สึกเหล่าน้ัน ออกมา บทกวีสนับสนุนให้เกิดประสบการณ์ทางอารมณ์ด้านบวก โดยการให้ แต่ละคนมีโอกาสแบ่งปันความรู้สึกให้กันและกันรับรู้ และกระตุ้นให้พวกเขาใช้ จินตภาพท่ีสร้างสรรค์ ซ่ึงรวมถึงความสนุกสนาน จังหวะของเสียง และการพ้อง คำพ้องเสียง เหล่านี้คอื ขอ้ ดีอนั มากมขี องบทกว ี ส่วนข้อจำกัดที่มีอยู่บ้างก็คือ นักบำบัดอาจจะพบอุปสรรคเมื่อต้องใช้บทกวี เพื่อการบำบัด ซึ่งมีท้ังความเหมาะสมของเน้ือหาบทกวีท่ีจะใช้ และการจะรู้ว่า เวลาใดที่เหมาะสมที่จะใช้เทคนิคนี้ ผู้ป่วยบางคนอาจพบว่า เป็นเรื่องยากท่ีจะ แสดงความคดิ และความรสู้ กึ ออกมาเปน็ ถอ้ ยคำบนหนา้ กระดาษในขณะทม่ี คี นอน่ื ๆ อยู่ด้วย บางคนอาจรู้สึกว่ายากที่จะหาถ้อยคำท่ีเหมาะสมท่ีจะแสดงความรู้สึกใน สง่ิ ทเ่ี ขากำลังเป็นอยู่ ด้วยความแตกต่างของบุคคล และประสบการณ์จากปัญหาที่แต่ละคน เผชญิ อยู่ บทกวีบำบดั อาจจะไมไ่ ดผ้ ลกบั ทุกคน ดังนั้น นกั บำบดั จะตอ้ งรูว้ ่าบทกวี อะไรท่ีจะนำมาใช้ เพื่อพยายามจะดึงความคิดและความรู้สึกของผู้รับการบำบัด | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ให้ออกมา เช่นเดียวกัน นักบำบัดต้องมีความสามารถที่จะตัดสินใจว่า บทกวีจะ เปน็ สว่ นทจ่ี ำเป็นเพื่อการบำบดั หรือไม่ การใชบ้ ทกวเี พอ่ื บำบัด บทกวเี พอื่ การบำบดั สามารถใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ดก้ บั คนจำนวนมาก ทง้ั ผใู้ ช้ ชีวติ คู่ ผทู้ ใ่ี ชช้ ีวติ โสดหรือหยา่ ร้าง ในงานบำบัดมักนำบทกวบี ำบัดไปใชก้ บั ปญั หา ชีวิตของคู่สมรส เพราะมันทำให้คู่สมรสส่ือสารความคิดความรู้สึกได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เน่ืองจากปัญหาเรื่องการส่ือสารยังคงเป็นปัจจัยหลักท่ีทำให้ชีวิตคู่ ลม้ เหลว บทกวีบำบัดก็ยังสามารถนำไปใช้อย่างได้ผลกับชีวิตครอบครัว ผู้สูงอายุ และเด็ก ซ่ึงรวมถึงเด็กพิการด้วย มอร์ริส มอร์ริสัน ผู้เขียน “กวีนิพนธ์ในฐานะ การบำบดั ” (Poetry as Therapy, 1987) มีความเหน็ ว่า บทกวีบำบัดเหมาะกบั เด็กพิการ เพราะมันช่วยให้เด็กเผยความเจ็บปวดจากภายในของเขาออกมา เนื่องจากบทกวีเป็นการแสดงถ้อยคำจากอารมณ์ เด็กท่ีพิการไม่ว่าจะลักษณะใด สามารถทจี่ ะเลือกไดอ้ ยา่ งอิสรเสรี กล่าวคือ เลือกอ่านเพราะตรงใจและเลือกท่จี ะ เขยี นขนึ้ มาเอง ซง่ึ จะชว่ ยใหค้ นอนื่ ๆ รบั รถู้ งึ ความคดิ และความรสู้ กึ ของเขาโดยไม่ ตอ้ งแสดงออกดว้ ยการพูด และดว้ ยความสามารถท่จี ะควบคุมสิ่งท่พี วกเขาเลือกท่ี จะเขยี น เด็กก็มีโอกาสตระหนกั ถึงลักษณะบคุ ลกิ ภาพของตัวเขาเองดว้ ย
บทกวีบำบัดนำไปใช้ประโยชน์ในการเยียวยารักษาทางการแพทย์ได้ใน หลายๆ กรณี นอกจากนี้ยงั นำไปใชใ้ นองค์กรเพอ่ื เด็ก คูส่ มรส ครอบครัว กลุ่ม เยาวชน สถานพักฟื้น รวมท้ังในเรือนจำหรือคุก ในเร่ืองจิตบำบัดด้วยบทกวี เลกิน ฟลิ ลปิ ส์ ผเู้ ขยี น “ความรัก, บทกวี และจติ บำบัด” (Love, Poetry, and Psychotherapy, 1985) ช้ีให้เห็นว่า การใช้บทกวีในกลุ่มบำบัดเป็นเทคนิคที่มี ประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้คนในกลุ่มได้แบ่งปันความคิดของตนกับผู้อ่ืน เห็น ปัญหาท่ีผู้อ่ืนมีเหมือนกับตน เกิดความเข้าใจได้ลึกซ้ึงข้ึน และเป็นแรงบันดาลใจ ให้พวกเขาเปล่ียนทัศนคติและพฤติกรรมของตัวเอง “กลุ่มบทกวี” ยังช่วยกระตุ้น | บทกวพี ลังรกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ให้สมาชิกแต่ละคนเขียนบทกวีท่ีแสดงลักษณะทางอารมณ์ของตัวเองออกมา และ นำไปเปรียบเทียบกบั ของผอู้ ื่น ขณะเดียวกันกท็ ำให้พวกเขาไดเ้ ข้าใจวา่ ความคิด และอารมณ์ของพวกเขานน้ั ก็เปน็ สิ่งทเ่ี หมือนๆ กันท่ัวไป มอร์ริส มอร์ริสัน แนะนำให้ใช้บทกวีพร้อมๆ ไปกับการออกเสียงแบบขับ ลำนำเหมือนเพลง เพื่อให้กลุ่มบำบัดซึ่งมาจากพ้ืนฐานที่ต่างกัน จับอารมณ์จาก ทว่ งทำนอง และรบั รถู้ งึ ความรสู้ กึ จากความหนกั เบาของเสยี ง นอกจากนย้ี งั แนะนำ ว่า การใชบ้ ทกวบี ำบดั ในเรือนจำจะมปี ระสทิ ธิภาพมาก เพราะมันชว่ ยใหผ้ ตู้ ้องขงั ได้จัดการอารมณ์และความคิดในการที่ต้องพรากจากครอบครัวมา บทกวีบำบัด ช่วยให้ผู้ต้องขังพร้อมที่จะเผชิญอยู่กับความโดดเดี่ยวและการถูกจองจำ ขณะ เดยี วกันก็สรา้ งความหวังจากการไดร้ บั การปลดปลอ่ ยและกลบั ตัวกลับใจเสียใหม่ ในปี ค.ศ. ๑๙๗๒ นักจิตเวช แจค็ ลีดดี ประธานสมาคมบทกวฯี ในขณะนั้น นำประเด็นเรอ่ื งบทกวีบำบัดท่กี ำลังโต้แยง้ กันอยใู่ นขณะน้นั ข้ึนมาอภิปราย มีประเด็นท่ีถกเถียงกันว่า ‘บทกวี’ แทนที่จะช่วยผู้ป่วย อาจจะเป็นการ ปลุกให้พวกเขามีแนวโน้มที่อยากจะฆ่าตัวตายหรือคิดทำร้ายตัวเอง โดยเฉพาะ เม่ือใชใ้ นทางผดิ ๆ แต่ถ้าอ่านบทกวีที่เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพของปัญหาท่ีเกิดข้ึน กับผู้ป่วยแล้ว จะสามารถช่วยผู้ป่วยได้ บทกวีต้องจบอย่างมีความสุขหรือสร้าง
ความหวัง ผูป้ ่วยกจ็ ะมีความหวังฟื้นข้ึนมาหลงั จากอ่านบทกวีน้นั เพราะผูอ้ ื่น (ท่ี เขียนบทกวี) กอ็ ยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กับเขา และสามารถฟน้ื ฟูขึ้นมาได้ ถ้าคนไข้อ่านบทกวีท่ีเหมาะสมกับสถานการณ์ แต่มิได้จบลงอย่างถูกต้อง หรือควรเปน็ ไป (เช่น สร้างความหวงั ) ผปู้ ่วยอาจจะเข้าสภู่ วังค์ลึกเข้าไปอีก นัน่ เป็นหนา้ ท่ขี องผบู้ ำบดั ท่ีจะต้องหาทางแก้ไข โรเทนบูรก์ เห็นด้วยกับลดี ดี แตเ่ ขาแยง้ ว่า ถ้านกั บำบดั เป็นผปู้ ัดความรู้สึกที่ ไม่ดีนั้นออกไปจากตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยก็จะไม่ได้เรียนรู้ถึงวิธีการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง นิตยสาร Time ยกคำพดู ของอัลเบิร์ต โรเทนบูร์ก จิตแพทย์แหง่ มหาวทิ ยาลยั เยล มาอา้ งองิ “บทกวโี ดยตวั มนั เองแลว้ ไมใ่ ชย่ า แตเ่ ปน็ นกั บำบดั ทไี่ ดร้ บั การฝกึ อยา่ งดี มาแล้วตา่ งหาก แตบ่ ทกวีกม็ ีขอ้ ได้เปรยี บศิลปะอย่างอ่ืน เพราะมนั กระตุ้นได้ด้วย การใช้ถ้อยคำ ซึง่ ถอื เปน็ ส่งิ สำคัญในการบำบัดทางจติ ใจ” ในหนังสือของโรเบิรต์ เฮเวน ชาฟเฟอร์ (เร่อื ง “รักษาด้วยบทกวี : ตู้ยา ฉบับกระเป๋า”) ให้ความเห็นเก่ียวกับบทกวีบำบัด และได้ปัดข้อโต้แย้งนี้ออกไป ในฐานะท่ีเขาเองก็เป็นแพทย์ ชาฟเฟอรเ์ หน็ วา่ “บทกวไี มใ่ ชจ่ ะสง่ ผลกบั ทกุ คนใน แบบเดยี วกนั และการใช้ก็ตอ้ งระมดั ระวงั ดว้ ย เชน่ เดยี วกบั ทแี่ พทยต์ า่ งกร็ วู้ า่ ‘ยา’ กใ็ ชว่ า่ จะสง่ ผลกบั ทกุ คนในแบบเดยี วกัน” | บทกวพี ลังรกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ปญหาหลักคือการเลือกสรรบทกว ี การใช้บทกวีเพื่อบำบัดเป็นเทคนิคที่ได้ผลมากกับผู้รับการบำบัด แต่ก็มี ปญั หาอย่บู ้างเชน่ กนั ปญั หาดังกล่าวก็คอื บทกวที ี่เหมาะสมสำหรบั แต่ละกรณียัง มีไม่เพียงพอ และการขาดองค์ความรู้ว่าจะเจาะจงใช้บทกวีบำบัดเมื่อไหร่และ อย่างไร ที่สำคัญคือ นักบำบัดมีบทกวีเพ่ือใช้ในการบำบัดสำหรับแต่ละกลุ่ม นอ้ ยมาก และการกระตนุ้ ใหผ้ ้รู ับการบำบัดสร้างบทกวีของเขาข้ึนมาเองก็ยงั คงเปน็ ปญั หาสำหรบั นักบำบดั … ตัวอย่างของคนไขร้ ายหน่ึงซ่ึงปว่ ยด้วยโรคสภาวะทางจติ :- แอนน์ ฮารว์ ีย์ เซกตัน ได้เขยี นบทกวีจำนวนมากเกย่ี วกบั เรื่องราวทเ่ี กิดข้ึน ในชวี ติ ของตวั เอง ซง่ึ เนน้ ท่ีความร้สู ึกลกึ ๆ ของเธอและบนั ทกึ การตอ่ สขู้ องเธอกับ ภาวะวกิ ฤตทิ างอารมณแ์ ละจติ ใจ เซกตนั เรมิ่ เขยี นบทกวเี ปน็ ครง้ั แรก ซง่ึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของการรกั ษา ตลอดช่วงที่เธอพกั รกั ษาตวั อย่ใู นโรงพยาบาลและในศนู ย์ผปู้ ว่ ยทาง จิต การเขียนบทกวีไม่ใช่เพียงแค่การระบายความรู้สึกของเธอออกมาเท่านั้น แต่ มนั ยงั กลายเปน็ อาชพี ของเธอในภายหลังดว้ ย สำหรับเซกตัน เธอยืนยันหนักแน่นว่า “บทกวีบำบัดน้ันใช้ได้ผล และมี พลงั ”
Anne Harvey Sexton (ค.ศ. ๑๙๒๘-๑๙๗๔) ชาว อเมริกันท่ีได้รับการเรียกขานว่าเป็น กวีแห่งการสารภาพ (Confessional Poet) ผลงานของเธอจะให้ประสบการณ์ ทางสนุ ทรียภาพที่แปลกไปจากบทกวีทั่วไป นับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว ที่มีการใช้บทกวีเพ่ือการบำบัดรักษาและเยียวยา สภาวะทางจิตใจ ให้เอาชนะและขจัดความทุกข์ทรมานออกไป แต่บทกวีบำบัดก็ ไมใ่ ช่การรกั ษาท่ีเป็นทางการ จนกระทง่ั เม่ือราว ๒๐ ปีมานีเ้ อง ตงั้ แตบ่ ทกวีบำบดั เป็นวิชาชีพท่ีมีใบรับรองให้นักบำบัดด้วยบทกวีเข้ามาเป็นส่วนหน่ึงของสังคม ไม่ ว่าจะทำงานกบั โรงพยาบาล ศนู ย์ผู้ลภี้ ัย ห้องสมดุ โรงเรยี น สถานพักฟ้นื คนชรา หรอื ในกลุม่ ชุมชนต่างๆ ผู้สนใจเป็นนักวิชาชีพด้านบทกวีบำบัด จะต้องผ่านกระบวนการฝึกเพ่ือรับ ใบรบั รองการเป็น “นักบำบดั ดว้ ยบทกว”ี หรือ “นักกวีบำบดั ” แตน่ อกเหนือจากน้ี เขาตอ้ งสามารถทีจ่ ะเขา้ ถึงความรูส้ กึ ในจติ ใจของผู้ปว่ ย และนำข้อมลู ออกมา ซ่งึ แพทย์ต้องการอยา่ งมากเพื่อช่วยในการเยียวยารกั ษา | บทกวพี ลังรกั ษ์สขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
สภาวะที่อยู่ลึกๆ ในจิตใจของผู้ป่วย ซ่ึงคร้ังหน่ึงเคยเช่ือกันว่าไม่สามารถ จะเข้าถึง หากแต่โดยผ่านการบำบัดด้วยบทกวี ผู้ป่วยจะเห็นชัดเจนข้ึนถึงปัญหา ของตนเอง และหาทางออกจากปัญหาน้ันๆ ซึ่งอาจเกิดจากการกระตุ้นโดย นกั บำบดั หรอื เกิดจากบทกวีโดยตัวมนั เองกเ็ ป็นได้ ! เรียบเรียงจาก “History of Poetry Therapy : Helping Those in Need” โดย Patrick Salkeld (September 30, 2010) ใน http://www.associatedcontent.com/article/5848416/ history_of_poetry_therapy_helping_those.html?cat=68 “A Brief Overview of Poetry Therapy” โดย The National Association for Poetry Therapy (January 19, 2004) ใน http://www.poetrytherapy.org/articles/pt.htm และ “Poetry Therapy” โดย Robert Flickes ในวารสาร Paradigm (Summer 2007, p.8-9)
·π«§‘¥·≈–æ—≤π“°“√ ”§≠— „π À√∞— Õ‡¡√‘°“ ปี ค.ศ. ๑๙๑๖ เกิดคำวา่ “การบำบัดดว้ ยหนงั สือ” (Bibliotherapy) ขน้ึ เป็นครัง้ แรก โดยแซมมวล แมคคอรด์ โครเธอรส์ บญั ญตั ิศพั ทน์ ใ้ี นบทความท่ี เขาเขยี นลงวารสารรายเดอื น Atlantic ฉบับเดือนสงิ หาคม ค.ศ. ๑๙๑๖ (คำว่า biblion มาจากรากศัพท์ภาษากรีก แปลว่า หนังสือ) พจนานุกรมทางการ แพทยเ์ ริม่ บรรจุคำนี้เขา้ ไว้ในพจนานกุ รมเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๔๑ และให้ ความหมายวา่ การใช้หนงั สือและการอา่ นเพือ่ บำบัดผู้ปว่ ยทางประสาท | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ปี ค.ศ. ๑๙๒๘ อีลิ กรีเฟอร์ ซึ่งเป็นทั้งเภสัชกร ทนายความ และกวี เร่ิมโครงการเพอ่ื แสดงใหเ้ ห็นว่า เนื้อหาสาระเชงิ วิภาษ (dialectic) ในบทกวมี ี พลงั ในการรักษาโรค กรเี ฟอรต์ ง้ั กลมุ่ ขนึ้ มาในชมุ ชนหลายแหง่ ของนวิ ยอรค์ ซติ ี ใชช้ อ่ื วา่ Village Art Center, The Messagist Club และ Remedy Rhyme Gallery เพ่อื พสิ ูจนท์ ฤษÆขี องเขา ในทศวรรษ ๑๙๕๐ กรีเฟอร์เร่ิมจัดให้มีกลุ่ม “โคลงกลอนบำบัด” (Poemtherapy) ขน้ึ ทโี่ รงพยาบาลครดี มอร์ ในนวิ ยอร์คซติ ี ปี ๑๙๕๙ กรเี ฟอร์จัดใหม้ ีกล่มุ “บทกวีบำบดั ” (Poetry Therapy) ท่ี โรงพยาบาลคัมเบอรแ์ ลนด์ ในบรคุ ลนิ ใหด้ ำเนนิ งานโดยนักจติ เวช ๒ คน คือ นายแพทยแ์ จ็ค เจ. ลดี ดี และนายแพทย์แซม สเป็คเตอร์ กรีเฟอร์จัดว่าเป็นบุคคลสำคัญท่ีพยายามรณรงค์ให้ “บทกวีบำบัด” แพร่หลายขึ้น เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. ๑๙๖๖ ผู้ที่รับเอาความรักใน “บทกวี บำบัด” ของเขามาสานต่อ คือ นายแพทย์ลีดดี ซึ่งได้รวบรวมแพทย์ร่วมกัน ก่อต้ังสมาคมบทกวีบำบดั ในปี ค.ศ. ๑๙๖๙ ในทศวรรษ ๑๙๖๐-๑๙๗๐ คำว่า “บทกวบี ำบดั ” เริ่มเปน็ คำที่นิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย ทศวรรษ ๑๙๗๐-๑๙๘๐ อาเธอร์ ลีเมอร์ ก่อตั้งสถาบันการบำบัดด้วย บทกวี ในฝòังแคลิฟอร์เนีย และเขียนหนังสือเร่ือง “บทกวีจากประสบการณ์ใน การรกั ษา”
ปี ๑๙๘๐ มีการประชุมระดับประเทศเพื่อจัดทำหลักเกณฑ์ในการอบรมและ รับรองวิชาชีพนักกวีบำบัด และจัดต้ัง สมาคมบทกวีบำบัดแห่งชาติ (The National Association for Poetry Therapy -NAPT) ขนึ้ คำว่า “การบำบัดด้วยหนังสือ” หรือ “บรรณบำบัด” หมายถึง การใช้หนังสือ หรือวรรณกรรมเพื่อช่วยในการรักษาทางการแพทย์ โดยมากจะมีบรรณารักษ์เข้ามา เก่ยี วขอ้ งดว้ ย เช่น เป็นผคู้ ดั เลือกหนงั สือ หรอื เป็นนกั บำบดั ร่วมกบั แพทย์ สว่ นคำว่า “บทกวบี ำบัด” หรือ “การบำบดั ดว้ ยบทกวี” เปน็ รปู แบบเฉพาะและมี พลังรูปแบบหนึ่งของการบำบัดด้วยหนังสือ บทกวีบำบัดมีลักษณะเฉพาะของตัวมันเอง ในดา้ นการใช้อุปมา จนิ ตภาพ จงั หวะ และข้อบงั คับทางฉันทลกั ษณ์ ส่วนท่ีเหมือนกันของทั้งสองรูปแบบน้ี คือ เพื่อปรับเปล่ียนทัศนคติของผู้รับการ บำบัด ซงึ่ ก็คือ เปา้ หมายเดียวกัน แตส่ ิง่ ทตี่ า่ งกนั คอื “วิธกี าร” การบำบัดด้วยหนังสือ เนน้ ท่กี ารอ่านหรอื รบั สาร เพยี งดา้ นเดยี ว สว่ น การบำบัดด้วยบทกวี ใหค้ วามสนใจท้งั การอ่านและการเขียน (แตใ่ ห้ความสำคญั กับสิ่งท่ีเขยี นออกมามากกว่า) เรยี บเรยี งจาก “About NAPT : History” โดย The National Association for Poetry Therapy ใน http://www.poetrytherapy.org/ history.html | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
บทกวี„นวงการการ»ึกษา·æท¬ ์ เæ‘Ëมค≥ÿ ¿าæÀมอ¬คÿ „Àมด่ ว้ ¬บทกวี
นักการศึกษาทางด้านการแพทย์ มักจะทดลองหาวธิ กี ารต่างๆ เพอ่ื พัฒนา คุณภาพของบุคลากรแพทย์ให้เป็นผู้ที่สามารถเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น และมี ความเห็นอกเห็นใจผู้อ่นื หน่ึงในวธิ ีการเหล่านกี้ ค็ ือ การเรยี นรู้ผ่าน “บทกว”ี ซงึ่ มคี ณุ สมบตั พิ เิ ศษเฉพาะตวั ทสี่ ามารถชว่ ยใหน้ กั ศกึ ษาแพทยไ์ ดส้ ำรวจตวั เอง สำรวจ ผอู้ ื่น และสำรวจส่งิ รอบๆ ตัว ความสำคญั ของบทกวใี นทางการแพทยก์ ำลังไดร้ ับ ความสนใจอย่างกวา้ งขวาง และเปน็ ทย่ี อมรับมากข้ึนเร่ือยๆ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการ จัดเวทีสมั มนาตา่ งๆ ตัวอย่างเชน่ “การสัมมนาทางวิชาการระดับนานาชาติ เร่อื ง บทกวกี บั การแพทย”์ ทม่ี หาวทิ ยาลยั วอรร์ คิ มหาวทิ ยาลยั ชน้ั นำในสหราชอาณาจกั ร ซงึ่ จะมีขึน้ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๑๒* ทำไมต้องเปนบทกวี ทำไมนักศกึ ษาแพทยต์ อ้ ง เขยี นบทกวี เก่ยี วกบั ประสบการณ์ ในทางการแพทย์ แทนท่ีจะเอาเวลาไปเตรียมเสนองานอื่นๆ ที่จะ * รายละเอยี ดของการสัมมนาระดบั นานาชาตใิ นเรือ่ งบทกวีและการแพทย”์ (International Symposium on Poetry and Medicine) ดูไดจ้ ากเวบ็ ไซตข์ องมหาวิทยาลยั วอรร์ ิค http:/ /www2.warwick.ac.uk/fac/med/research/csri/research/cpt/poetry/symp/ | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ต้องเรียนในรอบเช้า? ทำไมนักศึกษาแพทย์ท่ีมีงานมากมายอยู่แล้ว ยังจะต้อง อา่ นบทกวี อีก แทนท่จี ะเอาเวลานน้ั ไปเขียนรายงานเกย่ี วกับกรณีของคนไข้ท่ีพวก เขาไปตรวจมาตามวอร์ดตา่ งๆ ? ถึงแม้ว่าหลักสูตรของวิทยาลัยแพทย์หลายแห่งได้รวมเอา “บทกวี” เข้ามา เปน็ สว่ นหนง่ึ ในการศกึ ษาแพทย์ และบางแห่งกไ็ ดจ้ ดั พมิ พง์ านบทกวขี องนักศึกษา แพทย์รวมเป็นเล่มออกมาด้วย แต่ทว่านักศึกษาแพทย์ท่ีจะหันไปใช้บทกวีเพื่อให้ เขา้ ใจในวชิ าชพี ของตัวเองดีขึ้นกย็ งั มีไม่มากนกั อย่างไรกต็ าม บทกวีซ่ึงกำลังก้าวเข้ามาในวงการการศึกษาทางการแพทย์นี้ สามารถช่วยนักศึกษาท่ีรู้สึกโดดเดี่ยวและเบ่ือหน่ายกับชีวิตให้รู้สึกบรรเทาลงได้ นอกจากน้ี บทกวีช่วยให้เข้าใจ‰ด้แจ่มชัดข÷้นถ÷งกระบวนการเข้าร่วมทาง สงั คมและสงิ่ ท่แี พทย์ควรจะปØิบัติ น่นั กÁค◊อ เขา้ ใจในความเปìนมน…ุ ย์และ มีความเหÁนอกเหÁนใจผ้ปู ่วย ค ณุ หมอนกั เขยี นบทกวี ในปี ค.ศ. ๑๙๙๔ มงี านวิจัยสำรวจจำนวนแพทย์ท่เี ปน็ นักเขียนบทกวี โดย สำรวจแพทยข์ องสหรัฐฯ ต้งั แตป่ ี ค.ศ. ๑๙๓๐ เป็นต้นมา พบวา่ ในจำนวนแพทย์ ๑๐,๐๐๐ คน มี ๑-๒ คน ท่ีเป็นนักเขียนบทกวี ท่ีได้นำสถิติมาพูดถึงนี้มิใช่ว่า
ควรคาดหวังวา่ อาชพี แพทย์จะตอ้ งเป็นนกั เขียนบทกวีด้วย หากแต่มีประเดน็ ท่ชี วี้ า่ นักศึกษาแพทย์ควรจะอ่านและเขียนบทกวี เพื่อจะให้เห็นว่า การเขียนและอ่าน บทกวจี ะชว่ ยให้พวกเขาเป็นหมอทดี่ ขี นึ้ ได้หรอื ไม่ บทกวีกบั การเขยี นแสดงความรูส้ ึกนึกคิด การเขียนบทกวีมีส่วนคล้ายกันมากกับการเขียนสะท้อนความรู้สึก (reflective writing) ซึ่งใช้กันอยู่ท่ัวไปในวิทยาลัยแพทย์ บทกวีอาจจัดว่าเป็นรูป แบบหนึ่งของการเขียนแสดงความคิดเห็นของนักศึกษา เพราะบทกวีจะกระตุ้นให้ พวกเขาได้พิจารณาไตร่ตรองกับประสบการณ์ของตัวเอง บทกวีมีลักษณะพิเศษท่ี จะส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมของการใช้ภาษา เกิดความชอบในการใช้อุปมา และ ให้ความสนใจกับเสียงและจังหวะ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่าน้ีจะช่วยให้เราคิดถึงสิ่งใดๆ ด้วยวธิ ีท่แี ตกตา่ งกนั การเขียนแสดงความคดิ เหน็ หรือสะท้อนความรู้สกึ (reflective writing) มี ประโยชน์มากในการศึกษาทางการแพทย์ โดยเฉพาะเม่ือได้รับการวิจารณ์หรือ สะท้อนกลับ (feedback) จากผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม การเขียนแบบน้ีเป็น ลักษณะของการบรรยายความไปตาม “สูตร” ในแบบที่อาจารย์ผู้สอนคาดหวัง และถือวา่ “ดี” ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลอยา่ งมากตอ่ การผลติ งานเขยี นของนักศึกษา เพือ่ ให้ | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ุขภาวะกาย ใจ และจิตวญิ ญาณ
ความเรยี งนั้นเปน็ ไปตาม “สตู รทีด่ ”ี ตามทอ่ี าจารย์คาดหมาย มากกวา่ การเขยี น แสดงความคิดและความรู้สึกจริงๆ ออกมา ทว่าบทกวีให้คุณค่าของจินตภาพและอารมณ์อยู่เหนือการให้เหตุผลเชิง ตรรกะ บทกวจี งึ ฝา่ ฝืน “กÆ” ได้มากกว่าร้อยแก้ว กลา่ วอกี นัยหนึ่งก็คอื ตรรกะ หรือเหตุและผลซึ่งจำเป็นอย่างมากในการเขียนแบบร้อยแก้วน้ัน จะไปกัดกร่อน ความคดิ ที่จะเขียนออกมา เชน่ เม่ือตอ้ งการจะแทรกการอุปมาหรือแสดงถงึ ความ รู้สึกท่ีไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นในขณะน้ันเข้าไป ก็จะกลายเป็นสิ่งท่ีทำให้งานเขียนนั้น ขาดเหตุผลและดูประหลาดไป ในขณะที่การเขียนบทกวี ผู้เขียนมีอิสระในการ เขยี นสิง่ ท่คี ดิ ไดอ้ ย่างเต็มท่ี โดยไม่ต้องกงั วลถงึ ลำดบั ก่อนหลงั ของเหตุและผล นกั ศกึ ษาแพทยก ับบทกวี เมอื่ เร็วๆ น้ี บทความวจิ ยั เรอ่ื ง “โลกภายในของนกั ศึกษาแพทย์ : ฟงั เสียง ของพวกเขาในบทกว”ี (The inner world of medical students : Listening to their voices in poetry, 2009) พญ.โจฮันนา แชพรโิ อ ได้เขียนถึงการวเิ คราะห์ งานเขียนบทกวีที่เขียนโดยนักศึกษาแพทย์ประมาณ ๖๐๐ ชิ้น พบว่า แก่นของ เน้ือหา (theme) ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงการมาเป็นหมอ ส่ิงท่ีได้และความกดดัน จากการเป็นแพทย์ฝึกหัด สถาบันผลิตแพทย์จะเปลี่ยนแปลงนักศึกษาได้อย่างไร
ความสัมพันธ์กับคนไข้ บทบาทของหมอ (ท้ังด้านบวกและด้านลบ) ความตาย และ ความหมายของชีวติ ในด้านการเรียนการสอนในชั้นเรียน นพ.แจ็ค คูเลฮัน แห่งมหาวิทยาลัย แห่งรัฐนิวยอร์ค ได้สอนนักศึกษาแพทย์ให้ชื่นชมในพลังของบทกวี ซึ่งเป็นส่ิงที่ วิทยาลัยแพทย์หลายแห่งกำลังทำกันอยู่ เมื่อเร็วๆ นี้ เขามอบหมายงานให ้ นักศึกษาแพทย์ปี ๑ ที่เรียนวิชากายวิภาคศาสตร์ เขียนความเรียง บทกวี หรือ เรื่องสั้น ท่ีเกี่ยวกับความรู้สึกสะท้อนใจจากการผ่าศพมนุษย์ พร้อมๆ ไปกับการ มอบหมายให้นักศกึ ษาไปอ่านบทกวีชุดทีเ่ กี่ยวข้องกบั ศพท่ีใช้ในการศึกษา ซ่งึ ส่วน หนง่ึ เขยี นโดยแพทย ์ ในกลมุ่ ๑๐ คน นักศึกษาจะถกกนั ถึงประเดน็ ทบ่ี ทกวียกมาพดู เชน่ อายุ และการเสียชีวิต “มันทำให้นักศึกษาเข้าใจได้ง่ายข้ึนและเร็วข้ึน” อาจารย์ผู้สอน ใหค้ ำอธบิ าย อย่างไรก็ดี ในการเขียนบทกวีของนักศึกษาแพทย์ ความเป็นเลิศในทาง วรรณกรรมคงไม่ใช่ปัจจัยท่ีสำคัญท่ีสุดอย่างแน่นอน กินนี บอลตัน ผู้สอนการ เขียนเชิงสร้างสรรค์และการเขียนแสดงความเห็นในวิทยาลัยแพทย์ ให้ความเห็น เชิงสรุปเก่ียวกับบทกวี ในหนังสือ “ปฏิบัติการเขียนเพื่อพัฒนาวิชาชีพแพทย์” (Reflective practice : Writing for professional development, 2001) “บทกวี จะไมม่ ีคณุ ค่าใดเลย ตราบใดทไ่ี มไ่ ด้ให้ประโยชนต์ อ่ ผเู้ ขยี น และไม่เป็นประโยชน์ ที่เหมาะสมกบั ผอู้ า่ น” | บทกวีพลงั รกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
อนาคตของบทกวี ในการศึกษาทางการแพทย สมาคมวิทยาลยั แพทยอ์ เมริกัน รายงานไวใ้ นปี ค.ศ. ๑๙๙๘ วา่ วิทยาลัย แพทย์ในสหรัฐและแคนาดา มีอย่างน้อย ๓ ใน ๔ แห่ง ท่ีมีหลักสูตรในด้าน เวชปฏิบัติทางด้านมนุษยศาสตร์ (medical humanities) แต่ก็ไม่มีข้อมูลท่ีช้ี เฉพาะว่าได้รวมเอา “บทกวี” เข้าไปในหลักสตู รมากนอ้ ยเทา่ ใด อย่างไรกต็ าม มี อาจารย์แพทย์จำนวนมากที่ชอบนำเอาบทกวีเข้าไปในการสอน เพราะมันส้ันและ อา่ นไดร้ วดเรว็ แม้วา่ อาจจะตอ้ งใช้เวลานานขน้ึ ในการทำความเข้าใจ Medical Humanities หรือ มนษุ ยศาสตร์ในเชงิ เวชศาสตร์ คืออะไร คือสหสาขาวิชาในการศึกษาทางการแพทย์ ซึ่งรวมเอาวิชาต่างๆ ใน ทางมนุษยศาสตร์ (ได้แก่ วรรณกรรม ปรัชญา จริยศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และศาสนา) สังคมศาสตร์ (ได้แก่ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา วัฒนธรรม ศึกษา จิตวิทยา) และ ศาสตร์ทางด้านศิลปะ (ได้แก่ วรรณกรรม ละคร ภาพยนตร์ และศิลปะประเภททัศนศิลปá) มาประยุกต์กับปฏิบัติการทางการ แพทย์
มีงานวิจัยอยู่ไม่มากนักที่พยายามศึกษาและประเมินผลจากการใช้บทกวี กบั นักศึกษาแพทย์ หนงึ่ ในจำนวนน้ีคอื งานวิจยั เชงิ ปรมิ าณของวิลเลยี ม ฟอสเตอร์ และอีเลียน ฟรีแมน เรอ่ื ง “กวนี ิพนธใ์ นการศึกษาท่ัวไปเชิงปฏิบตั กิ าร : การรับรู้ ของผู้เรียน” (Poetry in general practice education : Perceptions of learners, 2008) ซึ่งดำเนินการวิจัยในอังกฤษ โดยให้นักศึกษาอ่านบทกวี และ รายงานผลวา่ การอ่านบทกวีน้นั ๆ ช่วยใหพ้ วกเขาไดส้ ำรวจอารมณ์ เข้าใจมมุ มอง ทแ่ี ตกตา่ ง และเขา้ ใจตวั เองดขี นึ้ หรอื ไม่ อยา่ งไร นกั ศกึ ษาทเ่ี ขา้ รว่ มในการทดสอบ เป็นผู้อ่านบทกวี มีความเห็นว่าทักษะเช่นน้ี ช่วยให้พวกเขาเข้าใจส่ิงที่เกิดขึ้นกับ คนไข้ได้ดขี ึ้น และจะนำมาซึ่งการดแู ลรกั ษาท่ีดขี น้ึ ดว้ ย งานวิจัยอีกชนิ้ หน่ึง โดยโจฮันนา แชพรโิ อ และคณะ ช่อื งานวิจยั น่าสนใจ “เพยี งแคช่ อ้ นเดยี วของมนษุ ยศาสตร์ ทำใหก้ ารใชย้ ารกั ษาโรคลดลง : วรรณกรรม เบ้ืองต้นสู่นักศึกษาแพทย์” (Just a spoonful of humanities makes the medicine go down : Introducing literature into a family medicine clerkship, 2005) ผวู้ จิ ยั ใหน้ กั ศกึ ษาแพทยอ์ า่ นบทกวจี ำนวน ๔ ชน้ิ ซงึ่ เปน็ บทกวที ี่ เก่ียวข้องกับการวินิจฉัยในทางการแพทย์ โดยให้นักศึกษาแพทย์ช้ันปีท่ี ๓ ภาค ปลาย ในแผนกเวชศาสตรค์ รอบครวั ไดอ้ า่ นบทกวดี งั กลา่ ว พบวา่ ประมาณ ๒ ใน ๓ ถงึ ๓ ใน ๔ ของนกั ศกึ ษาเหน็ วา่ การอา่ นบทกวี สง่ ผลดตี อ่ การดแู ลรกั ษาคนไข้ ให้เพ่ิมขึ้นได้ การอ่านบทกวีช่วยเพ่ิมความเห็นอกเห็นใจคนไข้มากข้ึน และการ อา่ นบทกวยี งั ช่วยลดระดบั ความเครยี ดของพวกเขาได้ดว้ ย | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ุขภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ในการประเมินผลมนุษยศาสตร์เชิงเวชปฏิบัติ (medical humanities) นี้ ยังเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและมีข้อโต้แย้งกันอยู่ มีความเห็นท่ีแตกต่างกัน ออกไปว่า “ความสามารถในการเล่า” (narrative competence) หรือความ สามารถในการรับรู้ ตีความ และจับประเด็นในเรื่องความเจ็บป่วยของคนไข้ จะ ได้มาโดยผ่านการอ่านและการเขียนบทกวีหรือโดยผ่านทางวรรณกรรมอื่นๆ ได้ จริงหรือ และยังถกเถียงกันในแง่ท่ีว่า ความสามารถที่กล่าวนี้จะเชื่อมโยงไปถึง การดแู ลรกั ษาทีด่ ีขึน้ ตอ่ คนไข้ได้แนห่ รอื ? งานวิจัยในด้านน้ียังอยู่ในระยะเริ่มต้น และยังต้องหาวิธีการอันเหมาะสมที่ จะนำเอาลักษณะที่เป็นความพิเศษเฉพาะตัวของบทกวีมาพิสูจน์ และยังต้องการ การแสดงผลท่ีพิสูจน์ได้เพื่อนำมาพัฒนาการศึกษาทางการแพทย์ เพื่อพัฒนา แพทย์ท่ีจะก้าวออกไปสู่โลกแห่งการเยียวยารักษาสุขภาวะของคนในสังคม ให้มี คณุ ภาพยง่ิ ข้นึ ... เกบ็ ความจาก “Doctor doggerel : Can poems make you a better doctor?” โดย Johanna Shapiro, Sarah Mourra จาก British Medical Journal (November 10, 2010) และบางส่วนจาก “Poetry as Healer” โดย Deborah L. Shelton ในวารสาร American Medical News (May 17, 1999)
“ใจผมล่องลอยออกไปนอกหน้าตา่ ง เท้าของผมแตะพ้นื ไปเป็นจังหวะ และยิ่งเขา้ สูจ่ งั หวะก็ยง่ิ ซบั ซอ้ นมากข้นึ จากน้นั ถอ้ ยคำและภาพมากมายก็แหวกวา่ ยขนึ้ มาในใจผม... หลงั จากนน้ั เพยี งไมก่ ีป่ ี ผมถงึ เข้าใจว่า การตกเข้าไปในภวังคแ์ หง่ จงั หวะ เป็นทท่ี ่มี บี ทกวอี ย.ู่ ..”
บนั ทึกรักษ ์ ของนกั กวบี ำบดั
ลำบากยากยงุ่ หากจะมุ่งหาข่าวจากบทกวี เวทนาผู้ส้ินลมทุกวันน้ี ทีไ่ ม่ได้พบอะไรในกาพย์กลอน วลิ เลียม คาร์ลอส วิลเลียมส์ นักกวบี ำบัด เพอร์รี เจ.ลองโก (ดุษฏีบัณฑิตสาขากวีนิพนธบ์ ำบดั ) ไดร้ เิ ริม่ จัดประชุมกลุ่มการอ่านและเขียนบทกวีท่ีศูนย์จิตเวชซังชวลลีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๑ และได้รับความสนใจเร่ือยมา หากทว่านั่นไม่ใช่การเร่ิมต้น ย้อนกลับไป เท่าท่ีจำความได้ ความสนใจด้านนี้ของเขาเร่ิมมาต้ังแต่ก่อนท่ีเขาจะรู้ว่ามีศิลปะ แหง่ การรกั ษาสุขภาวะท่ีเรียกวา่ “บทกวบี ำบัด” เสียอกี บ ทกวกี ับการเข้าถึงความเปน “ฉัน” นกั กวีบำบดั ผ้นู เ้ี ล่ายอ้ นทวนความทรงจำรำลกึ ในเยาว์วัยวา่ ผมจำได้ว่าตอนเด็กผมนั่งฝันกลางวันในห้องเรียน ใจผมลอยออกไปนอก หน้าต่าง เท้าของผมเดินแตะพ้ืนไปเป็นจังหวะ และยิ่งเข้าสู่จังหวะก็ย่ิงซับซ้อน มากข้นึ จากนน้ั ถ้อยคำและภาพมากมายก็แหวกวา่ ยขึ้นมาในใจผม แต่แล้วกอ่ นท่ี | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจิตวญิ ญาณ
ผมจะเขยี นมนั ออกมา ครูก็เรยี กผมกลบั เข้าสู่ช้ันเรียน ทีท่ ่ีมีความผดิ หวังอยา่ งแรง มาแทนที่ ความสขุ นนั้ หายวบั ไปทันที หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีผมถึงเข้าใจว่า การตกเข้าไปในภวังค์แห่งจังหวะ เปน็ ที่ที่มีบทกวีอยู่ และทน่ี ่ันจะสกัดกน้ั ความคดิ เห็นของทุกคนนอกจากของตวั เอง สร้างสรรคด์ ว้ ยตัวเองทีเ่ รยี กว่า “ฉัน” ในหลายๆ ปีที่ผมร่วมเขียนบทกวีกับกลุ่มที่แตกต่างกันหลายๆ กลุ่ม ผม ถึงยอมรับได้มากขึ้นและมากขึ้นว่า ไม่สามารถนิยามได้ว่าบทกวีมาจากแหล่งใด (ซ่ึงผมอยากจะเรียกว่า “ที่ลึกลับ”) ความสามารถของแต่ละคนท่ีจะท่องไปหา แหล่งของความคดิ สร้างสรรค์นัน้ งา่ ยและเปน็ ธรรมชาติ และบทกวีจะต้องสอนเรา เก่ียวกับตัวเราเองและโลกมากเพียงใด เพราะรูปแบบและเสียงทำให้เกิดความ เงยี บ ประโยชน์อย่างหนึ่งของการอ่านและเขียนบทกวีไม่ใช่เพียงช่วยให้รู้ความ หมายของ “ฉัน” เทา่ น้ัน แต่ยงั ทำใหเ้ ราหนกั แนน่ ข้นึ น่เี ปน็ ส่ิงจำเป็นสำหรับการ ยนื อยบู่ นโลกใบน้ี กระบวนการทีจ่ ะเช่ือมเรากับสิง่ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา กับทง้ั หลาย ท้ังปวงท่ีดีงาม และเมื่อเรารู้สึกว่าตัวเรามิได้อยู่เพียงลำพังบนโลก แต่เป็นส่วน หน่ึง และรวมกันเป็นหนึ่งกับสรรพสิ่งรายรอบ การรักและเคารพตัวเองก็จะมาก ข้ึน ข่าวดีก็คือเราค้นพบว่า เราก็เหมือนกับวีรบุรุษวีรสตรีของเทพนิยายโบราณ และในการเขียนของเราเอง เราได้ขยายมันเขา้ มาสู่ปจั จุบนั และต่อไปภายหนา้
สมาชิกบางคนของกลุ่มบทกวีท่ีศูนย์จิตเวชซังชวลลีเข้าร่วมกลุ่มต่อเน่ืองมา ๒-๓ ปีแลว้ ในแต่ละสปั ดาห์งานบทกวขี องพวกเขาจะพมิ พ์ออกมา หรอื เกบ็ ไวใ้ น โน้ตบุ๊ค บางคนก็มีหลายตอน นับเป็นงานสำคัญสำหรับผมท่ีจะต้องใช้เชือกมัด รวบรวมบทกวีของพวกเขาไว้ เพ่ือว่าเวลาที่พวกเขาย้ายจากท่ีหน่ึงไปอีกท่ีหน่ึง เขาจะได้นำบทกวีไปด้วยเพ่ือความต่อเนื่อง เมื่อกิจกรรมนี้เริ่มในตอนแรก ผมถามสมาชกิ กลมุ่ หนงึ่ วา่ รสู้ กึ อยา่ งไรทเี่ กบ็ งานของพวกเขาในรปู แบบน้ี ชายหนมุ่ คนท่ีชอบบอกให้เขียนตามคำพูดเขามาโดยตลอด คว้าแฟ้มมัดงานเขียนของเขา ขึน้ มาแนบอกแลว้ พดู วา่ “ในท่สี ดุ ผมกร็ สู้ ึกวา่ ผมคอื คนๆ หนึ่ง” มันสำคัญท่ีต้องกล่าวถึงในที่นี้ว่า การเน้นของบทกวีเพื่อการรักษาคือการ แสดงออกของตัวเองและการเพ่ิมความเป็นตวั ของตัวเอง ในขณะทก่ี ารเนน้ บทกวใี นฐานะศิลปะกเ็ ป็นไป โดยตัวของมนั เองอยแู่ ลว้ แต่ทงั้ คใู่ ช้ เคร่อื งมือและเทคนิคเหมอื นกนั คือ ภาษา จงั หวะ อุปมา เสียง และภาพ เป็นตน้ แตส่ ดุ ทา้ ยผลท่อี อกมากม็ กั จะ เหมอื นกัน | บทกวีพลังรกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ความหมายอันสำคญั ยงิ่ ของการบำบัดดว้ ยบทกวี คำว่า “บำบัด - therapy” มาจากภาษากรีกที่ว่า therapeia หมายถึง พยาบาลหรือรักษาโดยการเต้นรำ รอ้ งเพลง บทกวี และการละคร ซึ่งเปน็ ศลิ ปะ แห่งการแสดงออก ชาวกรีกบอกเราว่า อัสคลีปิอัส เทพเจ้าแห่งการรักษา เป็น บุตรของอะพอลโล เทพเจ้าแห่งบทกวี การแพทย์และศิลปะมีความเกี่ยวพันกัน ทางประวัติศาสตร์มายาวนาน ถึงแม้ว่าการใช้บทกวีมาบำบัดโรคจะเป็นพัฒนาการที่ค่อนข้างใหม่ในทาง ศลิ ปะทเี่ กีย่ วกบั การแสดงออก แต่มนั ก็เกา่ พอๆ กับครัง้ แรกที่มกี ารรอ้ งเพลงรอบ กองไฟของชนเผ่าโบราณ บทสวด เพลง บทกวี คือส่ิงที่รักษาจิตวิญญาณ แม้แต่ คำวา่ “จติ วทิ ยา - psychology” กบ็ อกเราใหเ้ ข้าใจถงึ รากคำทีม่ นี ยั ยะบ่งช้ีถงึ พลงั ของถอ้ ยคำ กลา่ วคอื คำวา่ psyche หมายถงึ วญิ ญาณ และ logos หมายถงึ คำพูดหรือถ้อยคำ ในเทพปกรณัมกรีก เทพโอเชียนัส (เทพแห่งน้ำ) บอกกับ โพรมธี อี สั (เทพแหง่ ไฟ) วา่ “คำพูดคือหมอของโรคทางใจ” จิตแพทยส์ มยั ใหมอ่ ยา่ ง ซิกมนั ด์ ฟรอยด์ ก็เคยกลา่ วไวใ้ นหนังสอื ของเขา ว่า “ไม่ใช่ข้าพเจ้าหรอก แต่เป็นกวีท่ีค้นพบจิตใต้สำนึก” และอีกคร้ังที่เขาพูดว่า “จิตคอื อวยั วะที่สรา้ งบทกว”ี หลงั จากน้นั นกั ทฤษÆที างจติ วทิ ยาอืน่ ๆ อีกหลายคน เชน่ แอดเลอร์, จุง, อาไรตี้ และรกี ก็เขียนเก่ยี วกับการที่วทิ ยาศาสตร์จำเป็นต้อง ได้รับจากการศึกษาบทกวีมากเพยี งใด
ต่อไปนี้คือข้อความท่ีพรรณนาว่าด้วยบทกวี ท่ีทำให้เข้าใจได้ว่านี่แหละคือ “สื่อ” ท่ีมีคุณลักษณ์พิเศษ เช่ือมประสานองค์ประกอบในตัวคน คนกับโลก ให้ เป็นหน งึ่ เดยี ว ท้งั ยงั สมานความแปลกแยกแห่งตวั ตนของผคู้ นด้วย บทกวีคือการตอบสนองของสิ่งที่ซ่อนเร้นภายในท่ีมีต่อความปิติ ความทุกข์ และสงิ่ ลลี้ ับทงั้ หมดท่ีโอบล้อมชีวิตไว้ มนั เปน็ เพลง หรือการถอน หายใจ หรือการร้องไห้ และมักจะรวมทัง้ หมดเข้าดว้ ยกนั ชารล์ ส์ องั กอฟฟ์ (๑๙๙๔) บทกวที ำใหบ้ รรเทา เพราะมนั เชอื่ มความเปน็ ตวั ของตวั เองกบั สงิ่ อนื่ ๆ โดยประสบการณ์ที่ถูกกล่ันออกมา โดยจังหวะ และโดยถอ้ ยคำ ในรูปแบบ ที่ไม่มีการสื่อสารอื่นใดจะทำได้ และบทกวีกช็ ว่ ยบรรเทาความโดดเดย่ี ว ซึง่ เราทกุ คนเปน็ เหมอื นๆ กัน มริ า คอหน์ ลวิ ิงสตนั (๑๙๙๔) ขา้ พเจา้ เชอ่ื วา่ บทกวคี อื การแสดงออกทางรา่ งกาย ปญั ญา และอารมณ์ ทค่ี าดหวงั ใหส้ มั ผสั ใจของผอู้ า่ น และคาดหวงั วา่ ผอู้ า่ นกเ็ คยมปี ระสบการณท์ ่ี เหมือนกันเช่นนั้นด้วย ข้าพเจ้าเช่ือว่าบทกวีคือหน้าต่างที่แขวนอยู่ระหว่าง ความเป็นมนุษย์สองคนหรือมากกว่า ที่มิได้อาศัยอยู่ในห้องอันมืดมิด และ ขา้ พเจา้ กเ็ ชอ่ื วา่ บทกวคี อื เสยี ง และเสยี งนน้ั มรี ปู รา่ ง สตีเฟน ดอบินส์ (๑๙๙๗) | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ุขภาวะกาย ใจ และจติ วิญญาณ
องคประกอบในการบำบดั ดว้ ยบทกวี ดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ วา่ กลมุ่ ผทู้ ่ีมาบำบัดมักจะไมเ่ คยเขียนบทกวีมากอ่ น หรอื ถา้ เคยพวกเขากม็ กั รสู้ กึ วา่ เปน็ งานเขยี นที่ “ไมด่ ”ี จนไมอ่ ยากใหค้ นในกลมุ่ รว่ มรบั รู้ ดว้ ย ดงั นน้ั ในกระบวนการบำบดั จงึ นบั วา่ เปน็ เรอื่ งสำคญั ทจี่ ะตอ้ งอธบิ ายวา่ ผเู้ ขา้ มา ร่วมกิจกรรมไม่จำเป็นต้องเขียนบทกวีก็ได้ ขอเพียงให้เข้ามาร่วมในการพูดคุยใน กลุ่ม และก็ต้องเป็นเร่ืองสำคัญเช่นกันที่ต้องบอกทุกคน ว่า ท่ีนี่ไม่ใช่ห้องเรียน และไม่มีการให้คะแนน ไมม่ กี ารตรวจแก้ นอกจากเขาอยากจะแกด้ ้วยตวั เอง ท่ีน่ี ไม่ใช่สถานท่ีเพอ่ื การวจิ ารณ์ แต่เพ่อื การแสดงออกและสำรวจตวั เอง เมื่อทำความตกลงร่วมกันแล้ว หลังจากน้ันเราจงึ เริ่มต้น การประชุมในแต่ละคร้ังจะมีการนำเสนอบทกวี การคัดเลือกเน้ือหาขึ้นอยู่ กบั “หลักความเหมือนกัน” ซ่งึ ใช้ได้ผลเชน่ เดียวกันกบั ดนตรบี ำบัด น่ีหมายความ ว่าอารมณ์ของบทกวคี อื สง่ิ ทคี่ าดหวังวา่ จะจบั อารมณ์ของท้งั กลมุ่ ถา้ ความซึมเศร้า เป็นอารมณ์ท่ีครอบงำอยู่ บทกวีท่ีเก่ียวกับความซึมเศร้าก็จะเป็นประโยชน์ ถ้ามี วรรคทส่ี ะทอ้ นถงึ ความหวงั และการมองโลกในแงด่ ี บทกวนี นั่ กจ็ ะปลอบประโลมใจ ได้ เพราะมันทำให้ผู้เข้าร่วมตระหนักว่า เขามิใช่เพียงผู้เดียวที่ทุกข์ทรมาน แต่มี ใครบางคนเขา้ ใจเขา เพราะมปี ระสบการณน์ นั้ และเขยี นความรสู้ กึ นนั้ ออกมา ผเู้ ขยี น เหล่านัน้ มสี ว่ นรว่ มในความผิดหวังของพวกเขาดว้ ย
ผู้ดำเนินการกลุ่มอาจแสดงเหตุผลในการเลือกบทกวีในวันนั้น หรือรอจน กระท่งั มผี ้อู ่านแลว้ ใหก้ ล่มุ ตดั สินใจว่าจะทำอยา่ งไรกับสิง่ ทป่ี รากฏในบทกวี บทกวี แต่ละบทมกั จะมกี ารอ่าน ๒ ครั้ง โดยคนๆ เดียว หรอื โดยสมาชกิ ๒ คน เพอื่ ให้ จงั หวะ ท่วงทำนองของบทกวเี ข้าไปช่วยดงึ ความสนใจ แทนทค่ี วามคิดท่สี บั สน ความเงียบมักจะเกิดขึ้นหลังการอ่าน เพราะสมาชิกกำลังสำรวจสิ่งท่ีอยู่ใน ถ้อยคำเหล่าน้ัน ราวกับว่ามันเป็นทะเลสาบหรือทุ่งหญ้าหรือทิวทัศน์ท่ีต้องค้นหา ความเงียบเกิดขึ้นช่ัวครู่แล้วก็ผ่านไป สมาชิกเร่ิมพูดกันถึงภาพหรือสิ่งที่ปรากฏแก่ พวกเขา บางทีแคค่ ำเพียงคำเดียวกท็ ำใหพ้ วกเขาสนใจ หรอื บางครง้ั พวกเขากไ็ ม่ ชอบอะไรเลย มักจะมีการพูดคุยกันถึงความลึกเร้นของบทกวี พวกเขาชอบถามว่า “มัน หมายความว่าอย่างไร” และเราพยายามที่จะตอบ ไม่ใช่เพื่อคำตอบที่ถูกต้อง เพราะบทกวีไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง แต่เพื่อหาความเป็นได้ต่างๆ ประดามี และ ความเป็นไปได้ที่ได้ร่วมกันมองนี้ ก็กลายเป็นหนทางในการมองสิ่งต่างๆ ในแง ่ มุมใหม่ แมแ้ ต่สภาพการณอ์ ันลำบากยากเขญ็ ท่พี วกเขาต้องประสบ อะไรก็ตามที่ พวกเขาพูดหรือไม่พูด จะได้รับการรับฟังและยอมรับ แต่ไม่ใช่เพื่อการตัดสิน วินจิ ฉยั ผรู้ ู้บอกไวว้ า่ กวีนพิ นธม์ อี งค์ประกอบสำคัญไดแ้ ก่ รูป-รส-พจน์-เสยี ง ไม่วา่ จะเปน็ บทกวีของไทย หรือชาติใดภาษาใด ก็อิงอาศัยองคป์ ระกอบส่อี ยา่ งน้ี เกีย่ ว | บทกวพี ลังรกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ร้อยกันเกิดเป็นบทกวีขึ้นมา หลายคนสามารถ “ร้อยรสบทมาลย์เขียนความหอม แม้ไม่ดอมก็รวยรื่นชื่นนาสา คร้ันปิดตาก็ยิ่งหอมสุคนธา ด้วยว่าได้ดมดอมหอม ดว้ ยใจ” นี่เปน็ การปลอ่ ยใหค้ ำไหลพรูออกมา หากกย็ ดึ การสัมผสั แบบกลอนแปด เอาไว้ สัมผัสของบทกว ี แตบ่ ทกวีไมจ่ ำเป็นต้องมีสมั ผัสกไ็ ด้ หากตอ้ งทำให้มจี งั หวะ ผ้เู ช่ียวชาญพบ ว่าเมื่อคนพูดออกมาจากใจแล้วละก็ มันมักจะมีจังหวะจะโคน แม้จะตีความได้ ต่างกันก็ตาม จังหวะเกิดได้หลายแบบในบทกวี และมักจะมาพร้อมกับความรู้สึก ที่เก็บกักเอาไว้ เป็นความรู้สึกที่ผสานความสับสนทั้งจากเหตุการณ์ภายในและ ภายนอกท่คี นๆ หนงึ่ ไดป้ ระสบพบพาน การเปลี่ยนจังหวะสามารถช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมย้ายอารมณ์จากที่หน่ึง ไปอีกท่ีหนึ่งได้เสมอ หรือช่วยให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกอันเป็นเหตุแห่งความ เจ็บปว่ ย ความอ่อนลา้ และความท้อแทส้ ้ินหวัง จังหวะจะช่วยลดความตงึ เครียด ในตอนเร่ิมตน้ ของกลุ่มได้เป็นอยา่ งดี จังหวะถกู นำมาใช้ในการยำ้ คำ หรอื การซ้ำ ของเสียงเดียวกัน และการซ้ำของเสียงนั้นมีคุณสมบัติในการสะกดจิตท่ีจะช่วยให้ “ทลี่ กึ ลับ” หรือสะพานท่นี ำไปสจู่ ิตใต้สำนกึ สร้างสรรค์บทกวใี ห้พรั่งพรอู อกมาได้
เมื่อสมาชิกในกลุ่มรับฟังคำแนะนำง่ายๆ ว่าเขาเห็นอะไรในบทกวี การ ยอมรบั กเ็ กดิ ขน้ึ พวกเขาจะเรม่ิ พูดกับคนอืน่ ๆ มากข้นึ การแยกตัวอยคู่ นเดียวก็ จะถูกทลายลง บทกวีไม่เพียงแต่จะนำพวกเขาให้ไปสัมผัสกับดนตรีของตัวเอง เท่านั้น แต่จะเป็นการสมั ผสั ซึ่งกนั และกนั กับของคนอนื่ ๆ ดว้ ย นักเขยี นบทกวี โดนลั ด์ ฮอลล์ อธิบายว่า “จงั หวะ” เกิดจาก “จติ ” คนเรา เพลดิ เพลนิ และรูจ้ กั “จงั หวะ” มาต้ังแต่เล็ก เดก็ ทารกถีบเทา้ เปน็ จงั หวะโดยไม่ได้ คิด เปล่งเสียงอ้อแอ้ คว้าไม้คว้ามือ ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพ่ือร้องขออาหาร จากแม่ รู้สึกสนุกกับการเล่นจ๊ะเอ๋ท่ีใช้มือปิดหน้า แล้วเปิดมือออกพร้อมกับพูดว่า จ๊ะเอ๋ กริ ิยากับคำพูดจะปรากฏและหายไปเป็นจังหวะ ฮอลล์เห็นว่า “จิตกวี” มีอยู่ในตัวทุกคน การสร้างบทกวีก็เหมือนนำฟืนที่ พร้อมจะไหม้ไปวางไว้กลางกองไฟ และลุกข้ึนมาร่ายรำรอบกองไฟนั้น ลักษณะ ของบทกวปี ระกอบดว้ ย ๓ สว่ น คือ จังหวะ เสยี ง และสัมผัส จงั หวะ กเ็ หมือน การเดินไปรอบกองไฟ ลงด้วยเท้าหนักเบาไม่เท่ากัน กลายเป็นท่วงทำนองและมี พลังในการปลดปล่อย เสียง คือถ้อยคำที่บอกความเป็น ‘ตัวฉัน’ เป็นแรงผลัก จากสญั ชาตญาณ จากจติ ใตส้ ำนกึ ไปสคู่ วามมสี ติ จากปรศิ นาทถี่ กู หมุ้ ไวค้ ลอ่ี อกไป ปรากฏเป็นภาพ และ สัมผัสในบทกวี คือการประสานของเสียงและจังหวะจาก หลายๆ ขอ้ ความนำมาเชอื่ มตอ่ กนั กจ็ ะกลายเปน็ ทว่ งทำนองทไี่ พเราะและงดงาม ยง่ิ ขน้ึ | บทกวีพลงั รกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
ความสามารถที่จะเป็นกวีน้ันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ และนี่คืองานของ ผู้ดำเนินการกลุ่มท่ีจะทำให้ผู้เข้าร่วมเข้ากิจกรรมไปสู่คลังสมบัติที่มีมาแต่เกิดน้ีได้ ง่ายข้ึน เพื่อจะดึงเอาความคิดของพวกเขาออกมา และเขียนความคิดเหล่านั้น ดว้ ยตัวเขาเอง หรือให้ใครสักคนเขยี นใหก้ ็ได้ ในรูปแบบที่ไม่ปดิ ก้ันความคิด รูปแบบของบทกว ี รูปแบบของบทกวีหมายถึงแบบแผนหรือฉันทลักษณ์นั่นเอง นับเป็นองค์ ประกอบสำคัญอย่างหน่ึง บางครงั้ ถ้ายังคิดอะไรไมอ่ อก อาจแก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ได้โดยการวาดรูปกล่องสี่เหลี่ยมเป็นช่องๆ ลงบนหน้ากระดาษ และจำกัดใหเ้ ทา่ จำนวนคำทตี่ อ้ งการ จากนนั้ คอ่ ยหาคำมาเตมิ ลงในชอ่ งนน้ั ๆ ทำแบบนอ้ี ารมณ์จะ ได้ไม่เตลิดออก แต่จะถูกป้องกันให้อยู่ในกรอบตามลักษณะบังคับของบทกวี ใน กลอนเปลา่ ไมม่ กี ารบังคับวา่ บทหนงึ่ จะต้องมีกบี่ รรทดั และไม่บงั คับการสมั ผัสสระ หรือเสียงแต่อย่างใด แต่หากเรามีความเข้าใจในฉันทลักษณ์อย่างง่ายๆ ของบท กวี เชน่ ของไทยกจ็ ะมกี ลอนส่ี กลอนหก กลอนสภุ าพ (กลอน แปด) กาพยย์ านี ๑๑ เราก็จะสามารถขบั ขานงานเขียน ท่ีออกมาจากเนื้อนาใจ ให้มีจังหวะและภาพพจน์ท่ี เป็นธรรมชาติ ภายใต้รูปแบบของกาพย์กลอน กล่าวอีกแง่หนึ่งก็คือ การเขียนที่เป็นธรรมชาติ สามารถดำเนนิ ตอ่ ไปไดอ้ ย่างไม่มปี ญั หา
โอเวน เฮนิงเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ท่ีให้ความสำคัญ กบั การบำบดั ดว้ ยบทกวอี กี ผหู้ นงึ่ ไดก้ ลา่ วถงึ ความสำคญั ในเรอ่ื งรปู แบบของบทกวี ไว้ว่า “รูปแบบทำให้มีการจัดระเบียบออกจากความยุ่งเหยิง ความกลมกลืนออก จากความไม่สอดคล้อง และมีการจัดลำดับออกจากความสับสน” เมื่ออารมณ์ท่ี รุนแรงถูกแสดงออกมาในลักษณะท่ียอมรับได้และรู้สึกปลอดภัย ความรู้สึกรุนแรง น้ันๆ จะสงบลงได้ มันช่วยให้ผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี และรู้สึกสนุกกับการได้ รว่ มกบั คนอ่นื ๆ ท่แี สดงออกด้วย เมื่อเป็นเชน่ นีแ้ ลว้ ความสมดลุ ของสขุ ภาวะก็จะ กลบั ฟนื้ คนื มา รปู ทรง กส็ ามารถนำมาสรา้ งเปน็ สว่ นหนง่ึ ของบทกวไี ด้ เดก็ ๆ ชอบลากเสน้ เลน่ บนหน้ากระดาษ เป็นรูปวงกลมหรอื กน้ หอย ลากลกู ศรโยงจากคำหนง่ึ ไปอกี คำหนึ่ง การเล่นแบบน้ีมีลักษณะของการปลดปล่อยความรู้สึก บทกวีก็เช่น เดียวกัน ไม่จำเป็นเลยสักนิดว่าจะต้องเป็นงานท่ีเคร่งครัดอย่างที่เราเคยคิด กนั กÆเกณฑ์ทง้ั หลายท้ิงออกไปนอกหนา้ ต่างเสีย แล้วก็สร้างของเราขน้ึ มา เองได้ เราอาจจะเขียนบทกวีเป็นรูปทรงอะไรต่างๆ เป็นอะไรก็ได้ท่ีใจนึก ฝันไปถึง แล้วดึงมันออกมาเป็นรูปทรงบนหน้ากระดาษ ด้วยมือของ เราเอง | บทกวพี ลังรกั ษส์ ขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
จากเพยี งหนงึ่ วล ี ณ ศูนย์จติ เวชฯ ท่ลี องโกนักกวีบำบดั ประจำอยู่ บอ่ ยคร้งั ท่เี ขานำเอาวรรค หรือวลีหน่ึงของบทกวีมาอ่านให้สมาชิกในกลุ่มฟัง พร้อมกับให้แต่ละคนต่อวลีนั้น ดว้ ยปากเปลา่ ตามความคดิ ของแตล่ ะคน กอ่ นทีจ่ ะลงมือเขียนบทกวขี องตัวเอง วันหน่ึงขณะนั่งล้อมกันเป็นวงกลมในห้องน่ังเล่น เขาเร่ิมต้นด้วยวลีที่ว่า “ฉนั มีสทิ ธÏ.ิ ..” แลว้ ใหเ้ วยี นแต่ละคนเตมิ ความตอ่ ใครคิดออกก่อนกพ็ ดู กอ่ น “ฉันมีสทิ ธ์ิที่จะดืม่ นมสกั แกว้ ในยามดึก” “ฉันมีสิทธท์ิ ี่จะสูดอากาศหายใจ” “ฉันมีสทิ ธ์ทิ จ่ี ะทจี่ ะบรรเลงเพลงด้วยกตี าร”์ “ฉันมสี ิทธิ์ทจ่ี ะหวีผมของฉันเอง” ......ทันใดน้นั เด็กหนมุ่ คนหนงึ่ ทเ่ี คยคดิ ¶่าตวั ตายกโ็ พล่งออกมาว่า “ฉนั มีสทิ ธท์ิ จ่ี ะเอาปนื มาจ่อหัวตัวเอง” หญิงคนที่มักน่ังเงียบขรึมอยู่กับตัวเองแทบทุกคร้ังท่ีมาเข้ากลุ่ม หันไปทาง เด็กหนมุ่ คนน้นั แลว้ พดู ขน้ึ อย่างสุภาพและหนกั แน่น “ฉนั มสี ทิ ธิทจ่ี ะยดึ ปนื นัน้ มาจากเธอ” ณ เวลาน้ันทุกคนตะลงึ ดว้ ยความเงียบ ทุกคนรูส้ ึกถึงผลกระทบจากถ้อยคำ งา่ ยๆ ซงึ่ แนน่ อน นคี่ อื บทกวี เสยี งและภาพนน้ั ยงั คงกอ้ งกงั วานอยใู่ นตวั ของทกุ คน
เสียงจากภายใน คำในบทกวี โดยตัวมันเองจะมีความหมายเต็มที่เม่ือผสาน เชื่อมโยงกับ คำอื่นๆ เป็นภาษาท่ีสื่อสารได้กับตนเองและกับผู้อื่น ให้ความรู้สึก ความเข้าใจ ดว้ ยการเชอื่ มโยงกบั ประสบการณท์ อี่ ดตี ปจั จบุ นั และอนาคตมาประจวบเหมาะกนั คอนสแตนติน สตานิสลาฟสกี ผู้ก่อตง้ั โรงเรยี นการแสดงทไ่ี ดร้ บั ยกย่องไปท่ัวโลก เคยเขียนไว้ว่า “สระท่ีเปล่งออกมาคือสายน้ำของวิญญาณ และพยัญชนะก็คือ ชายฝงัò ” บทกวคี อื ภาษา และภาษาคือสงิ่ ทม่ี นษุ ย์กระทำกับอากาศ ลองโกเล่าว่า ครั้งหน่งึ เขาได้ยนิ ชาวอเมรกิ ันพ้ืนเมืองคนหน่ึงพดู ภาษาเชโรกี เขารสู้ ึกว่าสำเนียงน้นั เหมอื นเสียงนกหวั ขวานทม่ี ีสยี งตัว ค ซ้ำๆ กนั พวกเขาให้ ความหมายของคำน้ันอย่างไร น่ันหมายถึงว่าเขาใช้คำพวกน้ันอย่างไรช่างเป็นส่ิง ท่ีชวนให้พิศวง และเมื่อพบว่าพวกเขาเขียนโน้ตเหมือนหยดฝน ก็ทำให้ลองโก จนิ ตนาการไปได้วา่ เรากส็ ามารถเขียนเปน็ พายุเล็กๆ หรือพายุใหญๆ่ ได้ สร้าง ความเรยี งจากโลกภายในของเราได้ เมือ่ เราพูดถงึ อารมณ์และความเศรา้ ของเรา อาจจะ ออกเสียง โอ ลากยาวๆ เชน่ ในเรื่อง ชาวนิโกรพูดถึงแมน่ ำ้ ของ แลงสตัน ฮวิ ส์ “ฉันรู้วา่ แมน่ ้ำนัน้ มีมาช้านานพอๆ กบั โลก หรอื นานกวา่ ...การไหลของสายเลือดในเส้นเลือด ของมนษุ ย.์ ..วิญญาณของฉนั เตบิ โตอยา่ งลึกๆ เฉกเชน่ แมน่ ำ้ ” | บทกวพี ลงั รักษ์สขุ ภาวะกาย ใจ และจติ วิญญาณ
ในบทกวีเดยี วกนั นี้มตี อนทวี่ ่า “ฉันสร้างกระท่อมของฉนั ใกลก้ ับแม่น้ำคองโก และ มันขับกล่อมฉันให้นอนหลับ” ใช้เสียงที่สูงข้ึน เหล่านี้ทำให้อารมณ์ความรู้สึกไหล ตาม และปล่อยให้ความเครียดในน้ำเสียง ถ่ายทอดความกดดัน ความโกรธกริ้ว และการตอ่ สดู้ ้นิ รน และดังนีเ้ อง ผหู้ ญงิ คนหน่งึ ทเี่ ข้ารับการบำบดั จงึ สามารถเขียนการสูญเสีย ลูกน้อยของเธอในบทกวี ที่แสดงออกถงึ ความเจบ็ ปวดและความเศรา้ โศกโดยผ่าน เสียงของสระ และความโกรธโดยผ่านการเน้นของพยัญชนะ บทกวีมีความ สามารถที่จะนำอารมณ์ทุกๆ อย่างออกมาได้ในเวลาเดียวกัน และยึดอารมณ์ เหล่าน้ันไว้โดยไม่เปล่ียนแปลง ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีตรงกับความต้องการจริงๆ ในสภาพ แวดลอ้ มของการบำบดั รกั ษา หน่ึงในบทกวีท่ีมักถูกอ้างถึงบ่อยๆ ในวรรณกรรมอเมริกัน ในแง่ของการ เช่ือมโยงกับอัฉริยลักษณ์ทางจินตภาพและเสียงของคำ คือบทกวีของโรเบิร์ต ฟรอสท์ ท่ีชื่อ หยุดกลางป่าในเย็นวันท่ีหิมะตก ซึ่งมักถูกใช้บ่อยๆ ในการบำบัด ด้วยบทกวี โดยเน้นท่ีความตั้งใจที่จะเดินทางต่อไป ไม่ว่าจะได้รับความลำบาก อย่างไร อากาศจะหนาวเย็นแค่ไหน หรือความต้องการท่ีจะเข้าไปเดินเล่นในป่า จะเยา้ ยวน “งดงาม ลกึ ลับ และกวา้ งใหญ”่ เพยี งใด
ไม่มอี ะไรสำคญั มากไปกวา่ ใจ ในความเรียง “ร้องเพลงไม่ไพเราะ” ของกวี เทสส์ กัลลาเกอร์ กล่าวว่า ในการเขียนบทกวีไม่มีอะไรจะสำคัญมากไปกว่าใจ เพราะมีตัณหาและการด้ินรน ต่อสู้ บ่อยคร้ังทเ่ี กดิ การตี “ผดิ ตัวโนต้ ” ซึ่งมใิ ชก่ ารเลน่ ดนตรที ไ่ี พเราะ แตม่ ันก็ไม่ ไดห้ มายความวา่ ลม้ เหลว คณุ สามารถรอ้ งเพลงไดไ้ พเราะ และนำเพลงมาร้อง แตเ่ มื่อเขา้ สู่โลกแห่งความเป็นจรงิ คณุ ร้องได้ไมไ่ พเราะ เสยี งเพีย้ นเลก็ น้อย ใสพ่ ลงั เข้าไปให้พอ โนต้ ตัวน้นั พลาดไปหน่อย จากนั้น อะไรบางอยา่ งกเ็ กิดข้นึ เพลงนนั้ ก็ยิ่งใหญ ่ กลั ลาเกอร,์ 1986 | บทกวพี ลงั รกั ษส์ ุขภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
กวบี ทนั้นจะอยกู่ ับเราตลอดไป แต่ละครั้งท่ีเสร็จงานจากกลุ่มท่ีมาเพื่อรักษาด้วยบทกวี ลองโกจะกลับไป พร้อมกบั บทกวจี ำนวนมากทพ่ี ดู และเขียนโดยสมาชกิ ในกลุ่ม พวกเขามีความกล้า ดังท่ีกัลลาเกอร์อธิบายไว้ ทั้งน้ีน่าจะเป็นเพราะการเน้นที่อารมณ์มากกว่าฝีมือ และผลงานกม็ ิใช่สงิ่ ทถี่ กู กดดนั ใหท้ ำ แตล่ ะคนมีแรงขบั ตามธรรมชาตทิ จ่ี ะยืนหยดั ตอ่ ไป และภาษากับเสียงของคำก็ชว่ ยให้ถึงจุดหมายนน้ั ได้ นักกวบี ำบดั ผูน้ ไี้ ดบ้ ันทึกเรื่องราวกระทบใจอีกเรือ่ งหนงึ่ ดงั นี้ มีผู้มารับบริการกวีบำบัดคนหน่ึง เมื่อไม่ก่ีปีก่อนตอนผมเร่ิมงานน้ีใหม่ๆ เธอมาหาผมเพราะเธอมสี ่ิงทอี่ ยากจะพูดและตอ้ งการให้ผมช่วยเอามันออกมา เธอ รักบทกวีและต้องการที่จะอยู่ร่วมกับมันอย่างอิสระมากข้ึน เราพบกันเกือบทุก สัปดาห์ เป็นเวลาร่วม ๕ เดือน ตอนที่เธออายุ ๗ ขวบ เธอได้รับเช้ือท่ีทำให้ สมองอักเสบจากการถูกยุงกัดเมื่อครั้งอยู่ในเม็กซิโก และป่วยถึงข้ันโคม่าเป็นเวลา ถงึ ๖ เดอื น หลงั เกดิ อาการชกั แลว้ เธอกฟ็ นื้ ไขอ้ ยา่ งปาฏหิ ารยิ ์ แตต่ อ้ งใชเ้ วลาเปน็ ปๆี กวา่ เธอจะกลบั มาพูดและเดนิ ไดอ้ กี ครง้ั ตอนผมพบเธอครงั้ แรก เธออายุเกือบ ๓๐ ปีแล้ว ถึงแมว้ ่าสมองของเธอจะ ถูกทำลายไปมากซึ่งทำให้กระบวนการคิดของเธอยังคงเหมือนเด็ก แต่เธอยัง สามารถเขียนได้อยบู่ ้าง แขนและมอื ขา้ งขวาของเธอเคลื่อนไหวได้อยา่ งจำกัด ผม จงึ เปน็ คนเขียนตามทเ่ี ธอพดู
แล้ววันหนึ่ง เธอมีอาการชักอย่างหนักและจากโลกไปอย่างกะทันหัน แต่ เธอท้ิงมรดกซึ่งเป็นบทกวีไว้ เป็นบทกวีที่แสดงให้เห็นว่า ถ้อยคำสามารถยกคน จากความเศร้ามาสู่ความหวังได้อย่างไร บทกวีของเธอบทหน่ึงถูกแกะสลักไว้ที่ สุสานข องเธอ เขยี นว่า ‘ฉนั ไมร่ ้องไห้ เพราะถ้าฉนั ตาย ฉันกไ็ ปในฐานะที่มนั เป็น ร่างกาย ความคดิ จิตใจ และวญิ ญาณ เชอื่ มต่อกนั ในตอนน ้ี ส คู่ วามเปน็ อิสระ’ “นี่กระมังท่ีเป็นข้อดีของบทกวีท่ีนำมาใช้ในการบำบัด ถ้อยคำจะคงอยู่ ตลอดกาล เพราะมนั คอื คลน่ื เสยี ง ไมว่ า่ จะไปทใี่ ดมนั กจ็ ะตามเราไป จากหอ้ งหนง่ึ ไปสู่ห้องหน่ึง จากจิตใต้สำนึกไปสู่ความมีสติ จากการปฏิเสธไปสู่การยอมรับ จากความเศรา้ โศกไปสคู่ วามรนื่ รมย์ และจากการมคี วามหวงั ไปสกู่ ารมสี ขุ ภาวะทดี่ ”ี เรียบเรียงจาก “Poetry as Therapy” โดย Perie J. Longo จาก Sanctuary Psychiatric Centers of Santa Barbara Article : http://www.spcsb.org/article.html | บทกวพี ลังรกั ษส์ ุขภาวะกาย ใจ และจติ วญิ ญาณ
รายการอา้ งอิง Flickes, Robert. Poetry Therapy. Paradigm. Summer 2007, p.8-9. Glazner, Gary. The Rhyme and Reason of Poetry Therapy. Care ADvantage. Spring 2006, p.24-27. Jupenga, Ann. Balancing Act -- The Poetry Cure. Alternative Medicine Magazine. January, 2004. Longo, Perie J. Poetry as Therapy. Sanctuary Psychiatric Centers of Santa Barbara : Article. retrieved from http://www.spcsb.org/article.html National Association for Poetry Therapy, The. A Brief Overview of Poetry Therapy. January 19, 2004. retrieved from http://www.poetrytherapy.org/ articles/pt.htm -and- About NAPT : History. from http://www.poetry therapy.org/history.html Salkeld, Patrick. History of Poetry Therapy : Helping Those in Need. September 30, 2010. retrieved from http://www.associatedcontent. com/article/5848416/history_of_poetry_therapy_helping_those. html?cat=68 Shapiro, Johanna and Sarah Mourra. Doctor doggerel : Can poems make you a better doctor. British Medical Journal. November 10, 2010. Shelton, Deborah L. Poetry as Healer. American Medical News. May 17, 1999. และ สยามรฐั รายวนั ฉบบั วนั ที่ ๒๐ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีบทบาทหน้าที่ในการประสานกลไก นโยบาย และปัจจัยขยายผล จากท้ังภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนการสร้างเสริมพฤติกรรม และวัฒนธรรมการอ่าน ให้เข้าถึงเด็ก เยาวชน และครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มท่ีขาดโอกาสในการ เข้าถึงหนังสอื และกล่มุ ท่ีมคี วามต้องการพิเศษ คณะกรรมการกำกับทศิ ทาง กลุ่มแผนงานสือ่ สรา้ งสรรคเ์ พ่อื สุขภาวะ ในแผนสอ่ื สารสุขภาวะ และสอื่ สารการตลาดเพอ่ื สังคม ∑˪’ √°÷ …“ อาจารย์มานติ สขุ สมจิตร นพ.ยงยุทธ วงศภ์ ริ มย์ศานติ์ ª√–∏“π รศ.จมุ พล รอดคำดี °√√¡°“√ รศ.ประภาภทั ร นิยม อาจาย์สรุ นิ ทร์ กิจนิตยช์ วี ์ อาจารยช์ ชู ยั ฤดีสขุ สกุล ดร.ชÆามาศ ธุวะเศรษฐกุล รศ.ดร.อุบลรตั น์ ศริ ิยวุ ศกั ด์ิ รศ.ดร.วิลาสินี อดลุ ยานนท์ ‡≈¢“πÿ°“√ นางสาวเขม็ พร วิรÃุ ราพนั ธ์ุ นางสุดใจพรหมเกดิ นายดนัย หวังบุญชัย º™âŸ ૬‡≈¢“πÿ°“√ นางญานี รัชตบ์ ริรักษ์ ร่วมสนับสนุนการขับเคลอื่ นนโยบาย โครงการ และกิจกรรมเพือ่ สร้างเสริมใหเ้ กดิ พฤตกิ รรม และวฒั นธรรมการอา่ นเพอื่ สงั คมสุขภาวะกบั เราได้ที่ แผนงานสรา้ งเสริมวัฒนธรรมการอา่ น ๔๒๔ หม่บู ้านเงาไม้ ซอยจรญั สนิทวงศ์ ๖๗ แยก ๓ ถนนจรญั สนทิ วงศ์ แขวงบางพลดั เขตบางพลดั กรงุ เทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศพั ท์ : ๐-๒๔๒๔-๔๖๑๖-๗ โทรสาร : ๐-๒๔๒๔-๔๖๑๖-๗ กด ๓ Website : www.happyreading.in.th, E-mail : [email protected] Facebook : http://www.facebook.com/happy2reading Twitter : http://www.twitter.com/happy2reading
Search