Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จดหมายข่าว พนักงาน เรียบง่าย สีส้ม

จดหมายข่าว พนักงาน เรียบง่าย สีส้ม

Description: จุลสาร พุทธศาสตร์ฉ.3

Search

Read the Text Version

ฉบับที 3 เดือน มีนาคม-เมษายน 2564 ทีปรกึ ษา -พระมหาวิเชียร ธมมวชิโร,ดร. -พระครูปรยิ ัติสาทร,ดร. -พระมหาจิณกมล อภริ ตโน -นายทวศี กั ด์ิ ใครบุตร ติ ต ต่ อ ล ง เ นื อ ห า ผูจ้ ัดทํา จุ ล ส า ร พุ ท ธ ศ า ส ต ร์ ไ ด้ ที - นายเตชทตั ปกสงั ขาเนย 083-341-5697 บรรณาธิการ www.mbuslc.ac.th - นายทวศี กั ด์ิ ใครบุตร LinkedIn: ตรวจสอบ [email protected] - พระครปู ริยตั ิสาทร,ดร. - นายทวศี กั ดิ์ ใครบตุ ร พิมพ์ที สาํ รวยก๊อปป จ.เลย

@ Buddhist Newe @ ขา่ วประจาํ เดือนมกราคม-กมุ ภาพนั ธ์ ¢‹ÒÇàÅҋ ..! รว่ มตรวจธรรมสนามหลวง ธรรมศกึ ษาชันตรี 2563

๑ การฝกภาคสนาม m b พุ ทธศาสตร์ : สังคม u

บทความพทุ ธศาสตร์เพือ การพัฒนา ๖๔

๑ พระมหาวสษิ ฐ์ ปยธมฺโม Vasist Riabmalai หลักธรรมทีนาํ มาใชใ้ นสถานการณป์ จจุบนั ในระบบประชาธิปไตย บคุ คลแตละคนตอ งมี ประเทศชาตทิ ่เี ปนประชาธิปไตยประชาชนน้นั ตองถอื ธรรมเปนใหญใน ธรรมาธิปไตยโดยการถือเอาธรรมเปนใหญถ า บคุ คลใน ประเทศชาตบิ า นเมือง สงั คมทปี่ ระชาชนตองการความเจรญิ รงุ เรือง มง่ั คง่ั สงั คมใดเปน ธรรมาธปิ ไตยกนั มากทส่ี ุด ประชาธิปไตย ม่ันคงนน้ั จะตองมกี ารพัฒนาความรูทางดานปญญานั้นควบคูกนั กับคณุ ธรรม ของสังคมน้นั ก็เปน ประชาธปิ ไตยท่ดี ที สี่ ดุ ในบรรดากลุม การถือเอาธรรมเปนใหญเ ปนประธานตองมกี ารเชิดชธู รรมใหความเคารพธรรม ประชาธิปไตยทง้ั หลายแสดงวา ในเวลานี้บา นเมอื งเรามี ใหส มดง่ั ทพี่ ระพุทธเจา ทรงตรสั วา “เราจะถือเอาธรรมเปนใหญ เราจะเคารพ การปกครองระบบประชาธิปไตยซึ่งในการปกครอง ธรรม”และพระพทุ ธองคไดทรงตรสั ถงึ คณุ สมบัติของบตุ ตลผูทีจ่ ะเปน เจา จอม ระบบประชาธิปไตยนนั้ บุคคลผูปกครองหรือเปน เจา จักรพรรดวิ าตอ งเปนธรรมาธปิ ไตย คอื มีการถอื เอาธรรมเปน ใหญ ถอื ความ ของอาํ นาจในการบริหารปกครองน้ัน เปน จริง ถกู ตอ ง เหมาะสม ดีงาม และถอื เอาหลกั การเปนใหญใ นคําวา คือ“ประชาชน”ดังนนั้ ประชาชนแตละคนจึงตองเปน “อธปิ ไตย” น้นั จะมกี ารบัญญตั ใิ ชเปนนยั ยะอย๒ู ความหมาย คือ ธรรมาธปิ ไตยคือถือเอาธรรมเปน ใหญ หมายความวา จะถือเอาหลกั การ ความเปนจรงิ ความถูกตอ ง ความดี ๑. ในสมยั ปจ จบุ นั อธิปไตยหมายถึงระบบการปกครองทีม่ ีบคุ คลเปน งาม ความเปน ไปตามเหตผุ ล กฎระเบียบกติกาและขอ ใหญห รือมบี คุ คลเปนเจาของอาํ นาจในการบริหาร ปกครอง ดูแลบา นเมือง กฎหมายท่ีไดว างไวเปนหลักใหญเ ปนเกณฑใ นการ ประชาชนในขอบเขตชุมชนและสังคมของตนเชน ตัดสนิ เมอ่ื บคุ คลเปน ธรรมาธิปไตย สงั คมจงึ จะเปน ประชาธิปไตยไดและระบบประชาธปิ ไตยจึงจะเสรจ็ สม -ราชาธิปไตย คอื ระบบการปกครองท่มี อี งคพระราชาหรอื พระมหา บรู ณทําอยางไรจงึ จะใหค นไทยเปนธรรมาธิปไตย กษตั ริยเ ปน ใหญ เปน ประมขุ เปนเจาของอาํ นาจในบริหารปกครอง การ เพราะปจจุบันน้ีสงั คมไทยยงั หาบุคคลที่เปน ตัดสนิ ใจทุกส่ิงอยาง ธรรมาธิปไตยไดน อ ยมากคือยังมกี ารหวงั พึง่ เทพเจา -อภชิ นาธิปไตย คือระบบการปกครองทีม่ ีกลมุ บุคคลช้นั สูงเปนใหญ เปน หรือสิ่งศกั ด์ิทงั้ หลายดลบันดาลใหส มดัง่ ใจปรารถนาอยู ประมุขเปนเจา ของอาํ นาจในการบรหิ ารปกครองตัดสินใจทุกส่งิ อยา ง ยังไมมคี วามมัน่ ใจในแกนแหง ธรรม -ประชาธิปไตย คือระบอบการปกครองท่ีประชาชนเปนใหญ เปนเจาขอ งอํานาจตัดสินใจ คอื เปนเรอ่ื งของรปู แบบหรือระบบแหงกิจการของ ดงั น้นั คนไทยจึงตองเปนไททีแ่ ทจ รงิ คอื ความ สังคม เปนอิสระเปนใหญในตวั เองไทยจะเปนไทไดอยา ง ๒) โลกาธปิ ไตย การถือเอาโลกเปนใหญ ถอื เอาคา ความนิยมกระแส สมบูรณคนไทยจะตองเชดิ ชูธรรมถอื เอาธรรมเปน ใหญ ของสังคม เสียงชนื่ ชมยกยองของประชาชนในสงั คมการหลีกเลย่ี งขอกลา วหา ถา คนไทยถือเอาธรรมเปน ใหญไ ดค นไทยก็จะเปน ไทได คํานนิ ทาตา งๆมแี ตคําสรรเสริญ มีเกยี รตคิ ุณไดร บั คะแนนความนยิ มเปน ใหญ อยา งแทจ รงิ หากคนไทยไมเชิดชธู รรมถือเอาธรรมเปน เปนเกณฑ ใหญ คนไทยก็อาจจะกลายเปน ผูอยูใตอ าํ นาจหรือเปน ๓) ธรรมาธปิ ไตย การถือเอาธรรมเปนใหญ คือถอื เอาหลกั การ ความ ทาส เปน จริง ความถกู ตอง ความดีงาม ความเปน ไปตามเหตุผล กฎระเบยี บ กติกา และขอ กฎหมายทไ่ี ดว างไวเปนหลกั ใหญเ ปนเกณฑใ นการตดั สนิ ท้งั ๓ ขอ ดงั กลา วน้ี จะมคี ุณสมบตั ิ ลกั ษณะความเปน ใหญห รือเกณฑใน การตดั สนิ ใจทดี่ ีทส่ี ดุ คือธรรมาธิปไตยการถือเอาธรรมเปน ใหญค วํ า ”อธิปไตย” ใน ๒ ความหมายนน้ั จะมาบรรจบรวมกันตรงท่ีวา ในระบบการปกครองใดๆ กต็ าม บคุ คลท่ีเปน ผปู กครองหรือเปน เจาของอาํ นาจตัดสินใจนน้ั เปนหัวใจท่ี จะทาํ ใหการบริหารปกครองนนั้ เกิดผลดี หรอื เกิดผลรา ย การบรหิ ารปกครอง น้ันจะบรรลวุ ัตถปุ ระสงคแหง การปกครองหรือไม ดังน้นั บุคคลผูปกครอง หรือ ผูเปนเจา ของอาํ นาจในการปกครอง ไมว า จะในระบบใดกต็ าม ควรทีจ่ ะตองเปน ”ธรรมาธิปไตย” ในระบบราชาธปิ ไตย องคพระราชาหรอื พระมหากษัตรยิ ก จ็ ะตอ งเปน ธรรมาธิปไตยถาองคพ ระราชาหรือพระมหากษตั รยิ เปน ธรรมาธิปไตยแลวราชา ธิปไตยนั้นก็จะเปน ราชาธิปไตยท่ีดที ส่ี ุดในบบรดากลมุ ทีม่ กี ารปกครองระบบรา ชาธปิ ไตยดวยกัน

อยางนอยกเ็ ปน ผอู ยูใ ตอํานาจทางวัฒนธรรม เปนทาสทค่ี อยรอรับ ๒ ความชวยเหลอื เปน ทาสในระบบของผูมีอํานาจ ระบบของการแขงขนั เปน ทาสทางเศรษฐกจิ ทาสของผูผลิต โดยเปนผูอยใู ตอาํ นาจเปนนัก ประเทศชาติจะมกี ารพฒั นาทีด่ ถี าประชาชนมีคุณภาพ บริโภคสิง่ ของที่ถูกเขาออกกฎถกู เขากําหนดเกณฑเอาไวค นไทยก็จะไม เปนอสิ ระแทจริง จากการท่ีประชาชน หวังพ่ึงเทพเจาหรือส่ิงศักดิ์ท้ัง หลายดลบันดาลใหสมดั่งใจปรารถนาอยูนั้น หรือ เมอ่ื สถานการณเปนเชน นี้ ควรถงึ เวลาทคี่ นไทยจะตองมคี วามเชื่อ กลายเปนผูอยูใตอํานาจเปนทาสทางวัฒนธรรมทาส ม่ันมคี วามชัดเจนในหลักการทางพระพุทธศาสนาบุคคลผนู ับถือ ท่ีคอยรอรับความชวยเหลือ ในระบบของผูมีอํานาจ พระพุทธศาสนาจะตองมีการยดึ ถือธรรมเปน ใหญซึ่งพระพทุ ธเจา เอง ถูกเขาออกกฎกําหนดเกณฑเอาไวอยูเชนน้ี พระองคก ท็ รงถือธรรมเปน ใหญ ไมม อี ะไรเปน ใหญยงิ่ ไปกวา ธรรมบุคคล ประชาชนคนไทยจะไมมีคุณภาพไมมีการขวนขวาย ทยี่ ดึ ถือธรรมเปน ใหญ คอื เปนธรรมาธิปไตยนน้ั มลี ักษณะสําคัญดงั นี้ ไมมีความเพียรพยายามที่ทําการใหประสบความ สําเร็จ ไมมีพัฒนาตนใหมีศักยภาพในดานตางๆแลว ๑. เปนผมู หี ลักการ ไมม ีความหลงไหลเลอ่ื นลอยไปตามกระแส ประเทศชาติบานเมืองก็จะเปนอยูอยางน้ีไมไปไหนก็ ตา งๆมีความเปนจริง ความถูกตอง ความดีงาม ความเปน ไปตาม จะเกิดปญหาขอสงสัย พันธนาการที่ถูกผูกมัดความ เหตุผล กฎระเบยี บ กติกา และขอ กฎหมายท่ีไดวางไวเ ปนหลัก แตกตางทางความคิดหรือสถานการณท่ีกอใหเกิด ใหญ เปนเกณฑใ นการตัดสนิ ความวุนวายไดแตถาหากเจอปญหาแลวแกไขแกขอ ๒. เปนผมู ปี ญ ญามีการใชป ญญาพิจารณาไตรตรองเหตุและผลอยู สงสัย แกพันธนาการท่ีถูกผูกมัด ประสานความแตก เสมอ เพื่อใหร เู ทา ทันขอมูลความเปนไปตามเปนจรงิ และเพ่ือใหรู ตางทางความคิดหรือหยุดสถาน การณท่ีกอใหเกิด เขา ใจ เขา ถึงหลกั การ ความเปน จรงิ ความถกู ตองเหมาะสมและ ความวุนวายโดยไมหวังพ่ึงเทพเจาหรือส่ิงศักด์ิท้ัง เหตุผลทด่ี ีงามในเร่อื งน้นั ๆ เพ่อื จะไดร ักษาหลักการ ความเปน หลายดลบันดาลการคิดแกไขปญหานั้นจะทําใหเกิด จรงิ ความถูกตองเหมาะสมไวไ ด ปญญากวาจะแกปญหาขอสงสัยพันธนา การท่ีถูก ๓. เปน ผูมีความจรงิ ใจ มีความบรสิ ทุ ธ์ิใจในการใชปญ ญาพจิ ารณา ผูกมัดความแตกตางทางความคิดไดสําเร็จประชาชน ไตรตรองตัดสินใจ ไมเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่งดว ยใจอคติลํา ก็มีการพัฒนาตนเองไปไดมาก ประสบการณทาง เอียง ปญญาท่ีใชแกไขปญหาก็เกิดมีมากข้ึนตามลําดับ ๔. เปนผเู คารพธรรม มีธรรมอยใู นจิตใจรกั ความเปนจรงิ ความถกู ประเทศชาติบานเมืองสังคมก็จะมีการพัฒนา ตอ งดงี าม ทาํ ส่งิ ใดๆก็มุงจะใหถ งึ ธรรมเปนเคร่ืองนาํ ทางและเปน ประเทศชาติที่จะพัฒนามาไดก็เพราะเจอปญหาแลว ไปตามธรรม มุง ใหไ ดความจรงิ ใหเ กดิ ความถกู ตองเหมาะสมดี พยายามหาทางแกไขปญหากันมาตลอด งาม จนสามารถุ ขามพน ความยึดม่นั ถือในตวั ตนไปไดใหม ีแตธรรม เปนใหญใหอ ยูเหนือแมแ ตเกยี รติยศ ชือ่ เสยี ง ศกั ด์ศิ รีของตนเอง ดังนั้นในการพัฒนาประเทศชาติบานเมือง ตาม เพราะเปนผูเคารพธรรมมธี รรมอยูในจติ ใจรักความเปนจริง ความ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา จึงตองเริ่มการพัฒนา ถกู ตองเหมาะสมดีงาม มุงใหเ กิดความเปน ธรรมนน้ั จงึ เปนคนท่ี ประชาชนใหมีคุณภาพเปนคุณสมบัติพ้ืนฐานดังตอไป เจรจาไพเราะ เขากับใครไดง า ย ชอบรบั ฟง ขอ มลู และเหตผุ ล ไม น้ี ยกตนขมทา น ไมดือ้ ร้นั ถอื ตัวไมเ ปน บุคคลเจา ทฏิ ฐิ ๑.หลักกรรมถือการกระทําใหประสบความ ลกั ษณะสาํ คัญของบุคคลท่ียดึ ถือธรรมเปน ใหญคอื เปนธรรมาธปิ สําเร็จ ดวยความเพียรพยายาม ไตย ทง้ั ๔ ขอ นี้ ควรที่จะมีไวใหค รบท้งั หมดทกุ ขอถึงแมข อ สุดทายจะ เปน ตวั ตัดสนิ ความเปน ธรรมาธิปไตยก็ตามแตในทางปฏบิ ตั ิแลว จะขาด ๒.หลักไตรสิกขาถือหลักการเรียนรูทักษะ ขอ ใดขอ หน่ึงก็ไมไ ด ตองมไี วใ หค รบทัง้ หมด ฝกฝนพัฒนาตนพัฒนาวิถีชีวิตใหดียิ่งข้ึนทั้งทางดาน พฤติกรรม รางกาย จิตใจ และปญญา

๓ ๓. หลักความไมป ระมาท ถอื หลักการทาํ งาน กจิ ตางๆท้ังหลายไมมีการรงั้ รอเวลาจะรบี เรง ขวนขวายทําสิ่งตา งๆ ดวยความไมป ระมาท ๔. หลักการพง่ึ ตนเองถือหลกั การทาํ ตนพัฒนาตนใหเปน ทพ่ี ่ึงเพือ่ พึ่งตนเองไดและมีความเปน อสิ ระแหงตนได หลกั การทั้ง ๔ ประการเหลาน้ี จึงเปน หลกั ธรรมท่ีนํามาใชใ น สถานการณปจ จบุ ันไดอยางเหมาะสมประชาชนผนู ับถอื พระพุทธศาสนา จะตอ งยึดถอื ปฏบิ ตั อิ ยางถกู ตอง จริงจงั มนั่ คง และเมอ่ื มีปญ หาเกิดขนึ้ ในประเทศชาตบิ านเมอื ง ก็ตอ งพยายามชวยกันแกไ ขปญหา การชวยกันแกปญหาจะทาํ ให ประเทศชาตบิ านเมือง สงั คมมคี วามแข็งมากขน้ึ สรุปประเทศชาตทิ เ่ี ปน ประชาธิปไตยประชาชนนนั้ ตอ งถอื ธรรมเปนใหญและประเทศชาตจิ ะมีการพฒั นาท่ีดี ถาประชาชนมีคณุ ภาพตามหลกั ธรรมท้งั ๔ ประการคอื หลักกรรม หลกั ไตรสกิ ขา หลกั ความไมป ระมาทและหลกั การ พงึ่ ตนเองเชน นี้ จงึ เปนหลักธรรมท่นี าํ มาใชในสถานการณป จจุบนั ไดอ ยา งเหมาะสมอยางแทจรงิ

๑ \"ทาน ศลี ภาวนา สรา้ งคณุ ค่าแก่มนุษย\"์ บทความนใี้ นหมวดความรกั คคู รอง มใิ ชบทความธรรมะ พระสุวจั น สจุ ติ โฺ ต (สายสวุ รรณ) หรอื จะพูดในแงศ าสนาใดศาสนาหนึ่ง เพียงแตมีมุมท่ี “ศีล” และ นักศึกษาชัน้ ปท ่ี ๔ สาขาวชิ าพทุ ธศาสตร “ทาน” น้ี อาจจะทําใหชีวิตค-ู ชีวติ รักไปไดดี และกลา วถึงแบบที่ ไมเกี่ยวอะไรกบั บญุ บาป หรือความดี แตเ ปนลักษณะความ คณะศาสนาและปรชั ญา สัมพันธข องคทู ี่มี ศลี เสมอ ทานเสมอ ใหข องคูร ัก คคู รองนน้ั มีใหกันอยา งไร หรอื สรปุ ยอ เราอาจเคยไดยนิ คําวา “ศลี เสมอกนั ” แตดวย อกี ทีกค็ ือ“แสดงพฤติกรรมระหวางกนั เปนอยางไร” เหตุใดไมท ราบผมกลับคนุ ชินกบั คาํ วา “ศีลเสมอ ทานเสมอ” ยกตัวอยางเชน ในคทู ี่ฝา ยชายชอบเปน นักดมื่ ถา มากกวา ซง่ึ ความหมายกเ็ ปนไปในทางเดียวกนั แลวคาํ วา ศีล ไปยดึ ติดเพยี งคําวา ศลี แบบในธรรมะกผ็ ิดแลว แต กบั ทาน น้ีเกย่ี วอะไรกับความรกั ? สาํ หรับชวี ติ คดู ีหรอื ไมด นี น้ั มนั กต็ อ งดูวาเขาเสมอ กนั ไหม ชายนกั ดม่ื หากฝา ยหญิงก็ชอบดว ย เชน น้ี เรมิ่ ดว ย “ศีล” ในทนี่ ้หี มายความงา ย ๆ วา การ กไ็ ปดว ยกนั ได หรอื ไมด ่มื แตใ นความคดิ มองวา เรอื่ ง ปฏบิ ตั ติ น จําเพาะนดิ หนึ่งก็คือ การปฏิบัติอันเปน ปกตปิ ระจําดว ย นีเ้ ปนธรรมดา ไมเ ปนสง่ิ เดือดรอ นอะไร กไ็ ปดวย เพราะนาน ๆ ทาํ ทีกค็ งไมใ ช เชน ปกติเปน คนพดู จาหยาบคาย กนั ได เชนนี้ ศีลเสมอ แตถา หากฝา ยชายเปนนัก แตบ างวันพูดจาไพเราะขน้ึ มา เชน น้ไี มใช ศีลเขาเปน แน ด่มื แตฝ ายหญงิ ไมช อบ ย่ิงมากเทาไหรก็ย่งิ มี ปญ หากันเทา นน้ั เพราะศลี ไมเสมอกัน น่ีคือพื้น สว นคําวา “ทาน” ในท่ีนคี้ อื การให ซ่งึ ก็ใชแค “ให” เฉย ๆ ฐานงาย ๆ ทนี ีห้ ากบอกวา บางเรื่องหากทาํ หากคือ เต็มใจหรอื เสยี สละทจ่ี ะให จงึ เรียกไดว า ใหทาน ซ่งึ มุม เหมอื นกันมนั จะไมแ ยห รอื ? เหมือนแบบน้ี ตางคน หนึง่ ตอ งไมอคติกบั คําวาทานในรูปแบบเพียงแค คนสูงสงกวาให ตางชอบด่มื เมาแลวจะไมต กี นั มีปญหากัน คนตาํ่ ตอยกวา เชนนนั้ มันดูมิใชสงิ่ ดี หากทาํ ความเขา ใจสกั นดิ คิด มากกวา หรอื ? ตรงน้ีก็ตอ งพิจารณาตอไป เพราะ ตามสักหนอยก็คงพอเขา ใจ จงึ ตคี วามในบทความนีว้ า “ศีล ถือวาเปนอกี ศีลหนึ่ง (อกี การปฏิบตั ิหนงึ่ ) เชนอกี เสมอ” กค็ ือคนท่มี กี ารปฏิบัติตน หรอื พฤตกิ รรมดาํ เนินชวี ิตที่ ฝา ยเมาแลวนอน แตอ กี ฝายเมาแลวอาละวาด ก็ คลา ยคลงึ กนั จะเปนศลี หรือวถิ ชี วี ิตดา นใดกว็ ากันไป และ “ทาน ถอื วา มิใชศ ีลทีเ่ ห็นพอ ง เพราะฝา ยท่ีเมาแลว นอน เสมอ” ก็คอื คทู ีม่ กี ารใหก นั อยา งทัดเทียม ซง่ึ การใหร วมถงึ “การ คงไมเ ขาใจวาทาํ ไมตองอาละวาด ทําไมไมนอน! ยอมให” กนั ดว ย เมื่อนาํ ๒ สิง่ มารวมกันมันก็จะเห็นไดว า การ ยอ มยากที่จะไปดวยกนั ได นับวา ศีลไมเสมอกนั ปฏิบตั ิตน และการ

“เสมอกนั มใิ ชวาตอ งเหมอื นกนั ” ๒ แตศลี เสมอ ใชเ พยี งแคก ารทําตัวเหมอื นกัน เพราะ กเ็ พราะเขาอาจไมด ีกับใครเลยยกเวนกับคนของเขา หรอื ตัวอยา งเดิมแมวาฝายหญงิ จะไมช อบ ไมพ อใจการเปนนกั อกี ฝายเห็นคณุ คา บางอยา งในตัวเขา ทีค่ นอื่นไมจ าํ เปนตอ ง ดื่มของฝายชาย แตจ ุดหนึง่ คดิ วา “ยอมใหไ ด” ถอยใหได เขาใจ หรือไดรับ กเ็ พราะเปนคนนอกก็ได เชนนก้ี เ็ หมอื นมี “ทาน” เกดิ ขนึ้ กรณีน้ชี ีวติ คกู ็ไปตอได เพียงแตวาหากฝา ยชายเกนิ ขอบเขตของ “การเตม็ ใจให” แตก ็มใี นอีกรปู แบบคอื คนท่ีไมคอยเหน็ คาตัวเอง เชน เดิมแมจะเปนนกั ดม่ื แตไ มเสียงาน ภายหลังเริม่ เสยี มองตวั เองวา ไมส มควรไดร บั สง่ิ ทดี่ กี วา น้นั ในชวี ติ คนนอก การเสยี งาน อกี ฝายยอ มไมพอใจ ถือวา เกนิ ความเต็มใจ จึงมองวา “เขานาจะไดด กี วานัน้ ” แตเจาตวั จะมองวา “เสมอกนั ” กบั ตนแลว เหมาะสมแลว ก็เลยอยูไดกบั คนท่ี “ทานเสมอ” กใ็ ชว าตองยอมเร่ืองเดยี วกัน ในการที่ ไมเ อาไหน ฝายหญงิ ยอมท่ฝี า ยชายเปน นกั ดมื่ โดยที่ตนไมดม่ื นั้น ฝา ย หญิงกย็ อมตองรูสึกวา ไดรบั การให การเสียสละจากฝา ย ทวาหากวนั หน่ึงเห็นบางสิ่งเปลย่ี นไป เกดิ การพัฒนา ชายในดานอนื่ มาเชน กัน เพราะหากฝายใดตอ งเปนฝาย ตนเองขึ้น มมี มุ มองท่ีดีข้ึน มั่นใจตัวเองมากข้ึน ศีล การ ยอมเสมอน้ันคงพอนกึ ออกวาวันหนึ่งจะเปนอยา งไร เพราะ ปฏบิ ตั ิตนยอมเปลยี่ น ทาน การให และการยอมรบั ยอ ม คนเราอาจยอมเปน ฝา ยใหไดมากกวา ในชว งหนึง่ “เม่อื วัน เปลีย่ นไป อาจไมเสมอกันแลวหรอื ในประเภททเ่ี พียงอดทน เวลาผานไป หากไมไ ดรบั ส่ิงใดคนื มาบา ง สิง่ ทีใ่ หไ ปยอ ม คาดหวงั รอสง่ิ ดี ๆ ท่อี กี ฝา ยจะมอบให หรือหวงั วา เขาจะดี รสู ึกตวั ไดวา ไรค าลงทุกวัน” เมอื่ ถึงวนั นั้น ทานไมเสมอ ขนึ้ รวมถึงกลบั มาดเี หมอื นเดิมก็ตาม เชนนีม้ ใิ ช เสมอกนั แตแรก แตคาดหวังวาจะเสมอกันเทานนั้ หากอีกฝา ยไม “เสมอกนั มใิ ชว า ตองเทากนั เชิงปริมาณ” เปล่ยี นแปลง เชน น้ี มนั ก็คงแยกทาง เลกิ รา งในวันหนงึ่ ไม ชา ก็เรว็ และเสมอกนั ไมจาํ เปนวาตองตัง้ แตว ันแรก อนั ที่จรงิ แลวสงิ่ สําคัญประการหน่งึ ก็อยทู ี่คําวา “เสมอกัน” ดวย และเสมอกนั มไิ ดหมายความวาตอ งเทา สดุ ทา ยหากพอเห็นพอ งหรือเขาใจ ศลี เสมอ ทาน กันในเชงิ ปรมิ าณหรอื นบั ได แมใน “ความรสู กึ เราก็ตาม” เสมอในท่ีน้ี ก็ไมจําเปน วาตอ งมใี หก นั แตแ รก และมคี วาม เพราะวา การใหส่งิ ใดสง่ิ หนึง่ คุณคาตอผูร บั ยากจะวดั เทียบ เปนไปไดด ว ยวา เราอาจจะพบเจอคนทไี่ มรูจักตัวเอง ไมร ู กันได เชน เราใหเงิน ๑๐๐ บาทกบั คน ๒ คน แตละคนก็ จกั พอ คือ ศีลกไ็ มมน่ั คง ทานก็บกพรอง พดู ประสาทว่ั ไป จะซาบซ้งึ หรือเห็นคุณคา ตา งกนั ได ดังน้ีแมแ ตผ ูใหกย็ ากจะ กค็ อื คนโลเล ทาํ ตัวไมน่งิ ชวี ติ ไมน่ิง และยงั หาความ รดู วยซา้ํ วา ผรู บั เห็นคุณคาแคไหน ตอ งการของตวั เองไมเ จอ คนที่ยงั ไมร จู กั พอ เชนนีม้ นั ก็ ยากทศี่ ลี ทาน น้นั จะเสมอกบั เรา หรอื กบั ใครกต็ าม จะ มันจงึ เปนเหตทุ ่ีหลายคนสงสัยในคบู างคูเสมอื นกบั เสมอไดอ ยา งไรในเมื่อเขายังแกวง ไปมาอยู ณ วนั นี้ แต วา คนหนงึ่ แสนดี อกี คนดูทําตัวไมเ อาไหน ทําไมจงึ อยูดวย อยา งไรก็ตาม ทส่ี ดุ แลวคนเรากย็ อมมีการเปล่ยี นแปลง ไม กันไดน าน มาก ก็นอ ย ถงึ ตรงนอ้ี าจกลาวสรปุ ไปเลยกไ็ ดว าหากคน สองคน “ยอมรบั และใหอ ภัยกนั ปรบั เขาหากัน” ท่สี ดุ มนั ก็ เสมอกนั ได อยูด ว ยกนั ไดยาวนาน

๑ อตีตาธรรมพระมหากัสสปะ กับธุดงคจารยิ วัตร ในครัง้ พระพุทธเจามีพระนามวาพระปทุมุตตระมหาเศรษฐี พระรณยทุ ธ สลี สวํ โร (ราชเสนา) ช่ือวา เวเทหะมที รัพยสมบัติ 80 โกฏิ :โกฏลิ ะ 60 ลาน: ในวนั ท่ี Phraranayut silasangvaro พระพุทธเจาพระองคนัน้ สถาปนาสาวกองคท่ี 3 นามวา \"มหา นสิ ภเถระ\" นกั ศกึ ษาชนั ปที ๔ สาขาวิชาพทุ ธศาสตร์ คณะศาสนาและปรชั ญา ในตาํ แหนง เอตทัคคะผเู ปน ยอดของภกิ ษผุ ูสอนธุดงคน ัน้ ทา นเวเทหะเศรษฐีไดไ ปเฝาพระพุทธเจา พระปทมุ ตุ ตระอยูดวย เมอ่ื เวเทหะเศรษฐไี ดฟ งเชนน้นั ยง่ิ เกิดศรทั ธา เมอ่ื ไดยนิ เร่อื งราวดงั กลาวกเ็ กิดความเล่อื มใสเกิดขึน้ เปน กําลัง จงึ ปสาทะและปก ใจแนวแนว า อยากจะเปนเอตทัคคะ ไดข ออาราธนา ภิกษุสงฆทม่ี อี ยทู ง้ั หมดใหม าฉันภตั ตาหารที่ ในดา นธดุ งคข องพระพทุ ธเจา พระองคใดพระองค จะถวายในวันรุงขนึ้ พระพุทธองคต รสั วา ภิกษมุ ีมากถงึ หนึง่ ในกาลขางหนาทานจึงทูลถามพระพุทธเจา 6,800,000 องค หกลา นแปดแสนองค แตเวเทหะเศรษฐกี ็ยืนยนั พระองคน้นั วา หากถวายมหาทานตลอด 7 วัน พระศาสดาจึงรบั นมิ นต จะสมปรารถนาหรือไม พระพุทธองคท รงพจิ ารณา แลวทรงมพี ทุ ธพยากรณวา \"ทานจะสมปรารถนา วันรงุ ขึ้น เวเทหะเศรษฐไี ดถวายทานสมใจอยาก เพราะไมมี อีกแสนกัปนบั จากนี้ ทา นจะเปน พระสาวกท่ี 3 ภิกษใุ ดเหลืออยูในอารามเลยเวนแตมหานสิ ภเถระที่ยังออก ของพระโคดมพุทธเจา นั้น ชื่อวามหากัสสปะเถระ” บิณฑบาตอยู เมื่อเวเทหะเศรษฐนี ิมนตใ หเ ขา มาฉันท่บี าน ทา น ธุตงั คะ “ปฏบิ ตั ิทเี่ ขมงวดเปน พเิ ศษ เพอ่ื ความ ก็ปฏเิ สธวา ไมควรเวเทหะเศรษฐจี งึ ของใจนักวา พระภิกษุรปู นี้มี ขัดเกลากเิ ลสอยา งยง่ิ ”อยางเครงครัด ธุดงควัตรมี คณุ วิเศษอยา งไรหนอ จงึ ไดทูลถามพระพุทธองค พระพุทธองค 13 ขอ คือ ทรงตรัสอธิบายวา 1. ถือผาบงั สุกุลใชแตผาเกาทีค่ นเขาทิ้งเปน วัตร 2. ใชผา 3 ผนื คือ ไตรจวี รเปนวตั ร “ดกู อนอุบาสก เราน่งั คอยภตั ตาหารอยใู นเรือน แตพ ระ มหานิสภเถระน้นั ไมนง่ั คอยภิกษาในเรอื นอยางน้ี เราอยใู นเมือง พระมหานิสภเถระนน้ั อยูในปา เทาน้นั เราอยูในทม่ี มุ บงั พระ มหานสิ ภเถระนนั้ อยูกลางแจงเทา น้ัน ดงั นนั้ พระมหานิสภเถระ นัน้ มีคณุ อยา งน”ี้

๒ 3. บณิ ฑบาต บริโภคอาหารเฉพาะทีไ่ ด มาจากการรับบณิ ฑบาตเทาน้ันเปน วตั ร 4. บิณฑบาตตามลาํ ดบั เปนวตั ร 5. ฉนั ในอาสนะเดียวเปนวตั ร นง่ั ฉนั เพยี งครัง้ เดยี ว บรโิ ภคอาหารเพียงวนั ละคร้ังเดียว 6. ฉนั ในบาตร นําอาหารทกุ ชนิดมารวมกนั ในบาตรเปน วัตร 7. หา มภตั ท่ถี วายภายหลงั เปน วัตร คอื รบั บาตรมาแลว ไมร ับอะไรอีกแลว แมห ลังจากน้ันจะมผี ูถวายอะไรอกี ก็จะไมร ับแลวแมจ ะถกู ใจก็ตาม 8. อยูป าเปนวัตร 9. อยโู คนไมเปน วัตร 10. อยกู ลางแจง ไมเ ขา สูทมี่ ุงบงั ใดๆ เลย เปนวัตร 11. อยใู นปา ชา เปนวัตร 12. ถือการอยใู นเสนาสนะทเ่ี ขาจดั ไวใ หเปนวัตร ใครขอใหส ละทพ่ี กั นน้ั ก็พรอ มสละไดทนั ที 13. ถือการน่ังเปน วัตร จะอยูใน 3 อิริยาบถ คอื ยนื เดิน นั่ง ไมเอนตวั ลงใหหลงั สัมผัสพืน้ เลย ธดุ งคในปจ จุบนั มีความเขา ใจเหตผุ ลนอ ยลง ไมเ ปน ไปเพอื่ การกําจดั กิเลส แตเ ปน เพยี งการสนองความตองการกเิ ลศ มีผูทีไ่ ดใ หความหมายธุดงคเ พ่อื ใหเกดิ ความเหมาะ สม กับการปฏิบัติ คอื การเดินธรรมยาตรา ถาผเู ขา ใจหลักการการปฏบิ ตั ิ จะกลาวแยง ถงึ การกระทํานน้ั เปน เหมอื นการเดินทางไกลของพระสงฆ และเปน การหามวลชน ในทางกลบั กนั การเดนิ ธรรมยาตราเปนการสราง ความแขง แกรงทางดา นรา งกายและเรยี นรคู วามทกุ ขย ากของรา งกาย ในการเดนิ ทางไกลๆ และเกดิ การ พจิ ารณาสังขาร สามารถทําใหเ กิดธรรมอยางใดอยางหน่งึ แกพ ระสงฆท่ที านเขา รว มได สรุปคือความเขา ใจใน จดุ มงุ หมาย ความหมายของส่ิงท่ีเราจะทํา ยอมเกิดผลมากกวากวา สักแตว าทาํ ตามไปเฉยๆ

๑ ความสามคั คี ความพรอ้ มเพรยี งของหมคู่ ณะ นาํ มาซงึ ความสขุ พระวรี ะพงษ์ วชิรญาโณ (แสงสวา่ ง) ขยั่นหมั่นเพียร อดทนและกลาหาญแลว อุทิศความเสยี พทุ ธศาสตร์ ชนั ปที ๔ สละสว นตน ความเหน็ดเหน่ือยลาํ บากยากแคน เปน พลี บชู าบรรพบุรุษผซู ง่ึ ไดก อ สรา งชาตเิ ปนมรดกตกทอดมาถงึ คณะศาสนาและปรชั ญา พวกเราชาวไทยจนบดั นี้” ความสามัคคี หมายถึง ความพรอ มเพรยี ง ความสามัคคี มดี ้วยกนั ๒ ประการ คอื กันความกลมเกลยี วเปน นาํ้ หนึ่งใจเดยี วกนั ไม ทะเลาะเบาะแวง กัน ววิ าทบาดหมางกนั ๑. ความสามัคคที างกาย ไดแ ก การรว มแรงรว มใจ กันในการทํางาน พระราชดาํ รัส ท่ีพระราชทานแกประชาชน ๒. ความสามัคคที างใจ ไดแกก ารรว มประชมุ ปรึกษา ชาวไทย ในโอกาสขน้ึ ปใ หม ๒๔๙๓ ดงั ความตอน หารอื กนั ในเมื่อเกดิ ปญหาขึ้น หนึ่งวา ความสามคั คีดงั ทว่ี าน้ี จะเกิดมีขนึ้ ได ตอ งอาศัยเหตุ ทเี่ รียกกันวา สาราณียธรรม ธรรมเปนเหตุใหร ะลกึ ถึงกัน “ประวตั ิศาสตรใดแสดงใหป รากฏตลอดมาวา กระทําซึ่งความเคารพระหวา งกัน อยรู วมกันในสงั คมดวย ชาตใิ ดเส่ือมสูญยอยยบั อบั ปางใดกเ็ พราะ ดี มีความสุข ความสงบ ไมทะเลาะเบาะแวง ทาํ ราย ประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเปน หมคู ณะ ทาํ ลายกนั มี ๖ ประการ คอื เปนพรรคเปน พวกคอยเอารัดเอาเปรียบประหสั ๑.ทํา ตอ กนั ดว ยเมตตา คือ แสดงไมตรแี ละความ ประหารซ่ึงกันและกนั บางพรรคบางพวก ถงึ กับเปน หวงั ดตี อเพอ่ื นรว มงาน รวมกิจการ รวมชุมชน ดวยการ ไสศ ึกใหศ ตั รมู าจโู จมทาํ ลายชาติของตนดงั นี้ ชว ยเหลือธรุ ะตางๆ โดยเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสภุ าพ ขา พเจาจังขอชกั ชวนพน่ี อ งชาวไทยท้ังหลายให เคารพนบั ถือกัน ท้งั ตอหนา และลบั หลงั ระลกึ ถึงพระคุณบรรพบุรุษซง่ึ ไดกอบกูรักษาบาน เกดิ เมอื งนอนของเรามานั้นใหจ งหนกั แลว ถือเอา ๒.พูด ตอ กนั ดว ยเมตตา คอื ชวยบอกส่ิงท่เี ปน ความสามคั คคี วามยนิ ยอมเสียสละสวนตวั เพ่ือ ประโยชน สั่งสอนหรอื แนะนําตักเตือนกนั ดว ยความหวงั ดี ประโยชนยง่ิ ใหญข องประเทศชาตเิ ปน คณุ ธรรม กลาววาจาสุภาพ แสดงความเคารพนบั ถือกัน ทง้ั ตอ หนา ประจําใจอยเู นืองนิจ จงึ ขอใหพ ่นี อ งชาวไทยท้งั และลับหลัง หลายจงบาํ เพญ็ กรณียกิจของตนแตละคนดว ย ซอื่ สัตยส ุจรติ ๓.คิดตอกนั ดว ยเมตตา คือ ต้งั จิตปรารถนาดี คิด ทาํ แตสง่ิ ท่ีเปนประโยชนแ กกัน มองกันในแงด ี มีหนาตายิ้ม แยม แจมใสตอ กัน

๒ ๔.ไดม าแบงกันกินใช คอื แบง ปนลาภผลทไี่ ด โทษของการแตกสามัคคกี นั นน้ั ทานกลา วไววา มาโดยชอบธรรม แมเปนของเลก็ นอ ย กแ็ จกจา ยให หาความสุข ความเจรญิ ไมไ ด ไมม คี วามสาํ เร็จดวยประการ ไดมสี ว นรวมใชสอยบรโิ ภคท่วั กัน ทง้ั ปวง เหตใุ หแ ตกความสามคั คกี ันน้ี อาจเกิดจากเหตุเลก็ ๆ นอ ยๆ ก็เปน ได เหมอื นเรอื่ งนํ้าผึ้งหยดเดียว แตเ ปน เหตุให ๕.ประพฤติ ใหด เี หมือนเขา คอื มีความ เกิดสงครามไดเ หมอื นกัน ดตู ัวอยางเรอ่ื งพวกเจา ลิจฉวีใน ประพฤตสิ จุ ริต ดีงาม รักษาระเบยี บวินยั ของสวน เมอื งไพศาลี แควน วชั ชี มีความสามัคคกี นั พระเจาอชาต รวม ไมท าํ ตนใหเปน ที่นา รงั เกียจ หรอื ทาํ ความเสอ่ื ม ศตั รูก็ทําอะไรไมไ ด แตพอถกู วสั สการพราหมณยุยงใหแ ตก เสยี แกหมูค ณะ สามคั คกี ันเทา นน้ั ก็เปนเหตใุ หพระเจาอชาตศตั รู เขาโจมตี และยึดเมืองเอาไวไดใ นท่สี ุด ๖.ปรับ ความเหน็ เขา กันได คือ เคารพรบั ฟง ความคดิ เห็นกนั มคี วามเห็นชอบรว มกัน ตกลงกัน ดังนนั้ ความสามัคคี ถา เกิดมีข้นึ ในทใี่ ด ยอมทําใหท่ี ไดในหลกั การสาํ คัญ ยึดถืออุดมคติหลกั แหง ความดี นน้ั มีแตความสงบสขุ ความเจรญิ สว นความแตกสามคั คี งาม หรอื จุดหมายอันเดียวกัน ถา เกิดมีข้ึนในทใ่ี ด ยอมทาํ ใหท ีน่ ั้นประสบแตความทุกข มี แตความเส่อื มเสยี โดยประการเดยี ว ธรรม ทง้ั ๖ ประการนี้ เปน คณุ คา กอใหเกิด ความระลกึ ถึง ความเคารพนบั ถือกันและกนั เปนไป สาเหตทุ ีทําให้คนในชาติแตกความสามัคคี เพ่ือความสงเคราะหย ดึ เหนีย่ วนา้ํ ใจกนั เพอื่ ปองกัน โดยยอ่ มีอยู่ ๓ เรองด้วยกัน ความทะเลาะ ความววิ าทแกงแยง กนั เพ่ือความ พรอ มเพรียงรวมมือ ผนึกกาํ ลงั กัน เพ่ือความเปน น้ํา ๑. เรอื่ งผลประโยชน มนุษยใ นโลกน้ีสว นมาก มแี ต หนึง่ ใจเดยี วกนั คิดจะเอา ไมค อ ยคิดจะให เม่อื เปน อยา งน้มี นษุ ยจึงไมต าง กบั นกกาเทา ไร เพราะนกกาตืน่ เชา ขึ้นมามันกร็ อ งจอ กแจก ๆ อานิสงส ของความสามัคคีน้ี ทานกลาวไววา เพอ่ื ชวนกันไปหากนิ พูดงายๆ มันชวนกนั จะไปเอา ไมใ ช เปนบอ เกิดแหง ความสขุ ความเจรญิ เปนเหตแุ หง ชวนกันจะไปใหเ พราะฉะนัน้ ถาไมระมัดระวังตัวใหด ี ความสาํ เรจ็ ในกจิ การงานตา งๆ การงานอันเกนิ กําลงั พฤติกรรมของมนุษยก เ็ ปนเหมอื นอยางกบั สัตวน ่ันเอง ทีค่ นๆ เดยี วจะทําได เชน การกอสรา งบานเรอื น ตอ งอาศยั ความสามัคคเี ปน ทต่ี ั้งแมลงปลวกสามารถ ๒. เรือ่ งวนิ ัย มนษุ ยสวนมากมักไมค อยมีวนิ ยั คอื มี สรา งจอมปลวกที่ใหญโ ตกวาตวั หลายเทาใหสําเรจ็ ได นิสัยเอาแตใจตวั เองเปนใหญ ไมใ ชม ีนิสัยรักวนิ ยั หรอื นสิ ยั ก็อาศยั ความสามัคคีกนั เพราะฉะน้ันการรวมใจ เครง ครดั ตอวนิ ัยจึงทําใหเ ปนทีม่ าแหง การกระทบกระท่ังกนั สามัคคกี นั จึงเกดิ มพี ลงั สว นการแตกสามคั คกี นั ทาํ ให มกี ําลงั นอย ๓. เรื่องความเคารพ สาเหตุที่ทาํ ใหม นษุ ยเ กดิ ความ แตกแยกอกี ประการหนงึ่ ก็คอื การขาดความเคารพ ขาด ความเกรงอกเกรงใจ การจับถกู หายาก มีแตค อยจองจะ จบั ผิดกนั ทงั้ น้นั

ñ ธรรมะพรรณนา พระครปู ระจกั ษ์ธรรมสาร พระพทุ ธเจ้าทเี ปนธรรมะอันจะเปน เหตใุ ห้เกิดความสงบทางใจ ไมม่ คี วาม พทุ ธศาสตร์ ชนั ปที ๔ ทกุ ขค์ วามเดือดรอ้ นประจําวนั ต่อไป เราทงั หลายจึงควรจะได้เดินตามเสน้ คณะศาสนาและปรชั ญา ทางทพี ระผมู้ พี ระภาคเจ้าชไี วใ้ ห้เราเดิน เดินตามรอยพระพทุ ธเจ้า คิดดี ใครค่ รวญก่อนแลว้ จงึ เดินตามรอยพระพทุ ธบาท : ตาม ทํา ดีกวา่ ญาตโิ ยมพทุ ธบริษทั ทัง ธรรมะรอยพระพทุ ธบาททแี ทก้ ็คือรอย ธรรมะนันเอง ไมใ่ ชร่ อยหินทเี ราไปไหว้ หลาย กันทกุ ป เวลามงี านทสี ระบุรี รอยนัน เปนรอยภายนอกไมใ่ ชร่ อยภายใน เปน ณ บดั นี ถึงเวลาของการฟงปาฐ รอยทเี ราสมั ผสั ด้วยตาเนือ ไมใ่ ชร่ อง กถาธรรมะ อันเปนหลักคําสอนในทาง รอยทสี มั ผสั ด้วยตาใจ รอยแทจ้ รงิ ของ พระพทุ ธศาสนาแล้ว ขอให้ทกุ ทา่ นอยู่ พระพทุ ธองค์นันอยูท่ ขี อ้ ปฏิบตั ิ ซงึ เรา ในอาการสงบ ตังอกตังใจฟงด้วยดี เพอื เรยี กกันวา่ พระธรรม นันเอง พระธรรม ให้ได้ประโยชน์อันเกิดขนึ จากการฟง เปนรอยทพี ระองค์ชไี วใ้ ห้เราเดิน ถ้าเรา ตามสมควรแก่เวลา เดินไปตามรอ้ ยนันเราก็จะพบพระพทุ ธ เจ้าถ้าเดินผดิ ทาง…..เราก็ไมพ่ บกับ เสน้ ทางสพู่ ระพทุ ธองค์วนั นี…….จะ พระพทุ ธเจ้า ถ้าเดินถกู ทาง ก็จะพบ พดู ในเรอื งทวี า่ เราจะเขา้ ถึงธรรมด้วย องค์พทุ ธะ การปฏิบตั ิศลี สมาธิ ปญญา ถ้าสอน ชาวบา้ นทวั ไป ก็มกั จะสอนขนึ ต้นด้วย ทาน ศลี ภาวนา ถ้าสอนพระก็พดู เรอื ง ศลี ปญญา สมาธิ อันเปนขอ้ ปฏิบตั ิตาม ลําดับทเี ราปฏิบตั ิ แล้วจะได้ถึงซงึ

อันเปนผรู้ ู้ ผตู้ ืน ผเู้ บกิ บาน เพราะ ò ฉะนันเมอื เราจะลงมอื เดินก็ต้องศกึ ษา พทุ ธบรษิ ัททอี ยูส่ ดุ เสยี กู่ พระพทุ ธเจ้านันก็คือคนทเี ปนพทุ ธ ทางทเี ราจะเดินเสยี ก่อน เพอื จะได้เดิน บรษิ ัทแต่เพยี งชอื จิตใจไมไ่ ด้เขา้ ถึง ธรรมะ การปฏิบตั ิของเขานัน ก็ไมเ่ ขา้ ถกู ทาง ไมใ่ ชเ่ ดินแบบสมุ่ สสี มุ่ ห้า เสยี ตรงตามเสน้ ทางทพี ระผมู้ พี ระภาคชไี ว้ ให้เราเดินเราก็เทยี ววงิ วนอยูต่ ลอด เวลาไปตังเยอะแล้วจึงจะได้เขา้ ทาง เวลาคล้ายกับมดทมี นั วงิ วนอยูต่ าม ขอบอ่างใสน่ าผงึ ไมม่ โี อกาสจะได้ลิม บางทเี ดินไปจนแก่จึงได้เขา้ ทางถกู รส เพราะเทยี ววนอยูต่ ามขอบอ่าง ไม่ ได้เขา้ ถึงอ่างซงึ เต็มไปด้วยรสหวาน อยา่ งนีก็นับวา่ เสยี ดายชวี ติ สงบ คนเราบางคนก็มสี ภาพเชน่ นัน คือ“เทยี ววงิ วนอยูต่ ามขอบ”ไมไ่ ด้เขา้ สะอาด สวา่ งในใจ คือ องค์พทุ ธทแี ท้ ถึงแก่นแทข้ องพระพทุ ธศาสนา เลยไม่ ได้รบั สรของการปฏิบตั ิอยา่ งแทจ้ รงิ ถ้าเราได้ศกึ ษาตังแต่เบอื งต้น ให้เขา้ ใจ ซงึ ในบางครงั บางคราวอาจไปพดู ทว้ ง ขนึ วา่ ทางเดินอยา่ งชดั เจน ถกู ต้อง เราลงมอื ฉันยงั ไมไ่ ด้ประโยชน์จากพระ เดินก้นเขา้ เสน้ ทางได้เลย แล้วเดินไป ศาสนาเลยไมเ่ ห็นวา่ พระทา่ นชว่ ยอะไร ก็พระทา่ นจะมาชว่ ยได้อยา่ งไร เราจะ ตามเสน้ ทางนันไมห่ ยุดยงั เราก็จะถึง เห็นผลของศาสนาได้อยา่ งไร ในเมอื เราปฏิบตั ิยงั ไมเ่ ขา้ เสน้ ทางทที า่ นชไี ว้ จดุ คือพบองค์พระพทุ ธเจ้า ทเี รยี กวา่ ให้เราเดิน ผลทจี ะเกิดขนึ แก่ตัวเราได้ นัน ไมใ่ ชเ่ ปนสงิ ทคี นอืนจะประสทิ ธิ องค์พระพทุ ธเจ้า นันก็คือ พบกับความ ประสาทได้ ไมใ่ ชจ้ ะมใี ครบอกวา่ จง เปนสขุ แล้วเราจะเปนสขุ จงมงั คังเถิด สงบ ความสะอาด ความสวา่ งในใจ แล้วเราจะมงั มี นันไมใ่ ชเ่ รอื งเชน่ นัน ไมใ่ ชเ่ รอื งศกั ดิสทิ ธิ ไมใ่ ชเ่ รอื งทมี นั เมอื ของเราสงบ ไมว่ นุ่ วาย ใจของเรา เกียวกับไสยศาสตร์ ทจี ะทาํ ให้ใครเปน อยา่ งนันอยา่ งนี แต่เปนเรอื งทเี ราจะ สะอาดและปราศจากสงิ เศรา้ หมอง ใจ ต้องลงมอื ด้วยตัวเราเอง คือจะต้อง ปฏิบตั ิตามแนวทางทพี ระองค์ชไี วใ้ ห้ ของเราก็สวา่ ง ไมม่ คี วามมอื บอด ก็ เราเดิน เรยี กวา่ เราเขา้ ถึงจดุ ทเี ราต้องการ ผมู้ ี จิตสะอาด สวา่ ง สงบ รูช้ ดั สภาพทเี ปน จรงิ ผทู้ มี จี ิตสะอาด สวา่ ง สงบนัน ยอ่ มรูช้ ดั อะไรๆตามสภาพทเี ปนจรงิ ไม่ หลงไมง่ มงายในเรอื งอะไรต่างๆ ถ้าจิต เรายงั ไมถ่ ึงจดุ นันก็อาจจะยงั หลงอยู่ บา้ ง อาจะประพฤติปฏิบตั ิอะไรในทาง ทอี ยูบ่ า้ ง มอี ยูไ่ มใ่ ชน่ ้อยทมี คี วามเรยี ก ตัวเองวา่ พทุ ธบรษิ ัท แต่วา่ นังอยูห่ ่าง ไกลจากพระพทุ ธเจ้า เปนบรษิ ัททนี ัง สดุ ก่กู ็วา่ ได้ ไมข่ ยบั ตัวเขาไปใกล้ พระพทุ ธเจ้าเสยี เลย ชอบนังอยูห่ ่างๆ อยา่ งสดุ กู่ ตะโกนก็ไมไ่ ด้ยนิ

ó นันไมใ่ ชเ่ รอื งเชน่ นันไมใ่ ชเ่ รอื งศกั ดิ สทิ ธไิ มใ่ ชเ่ รอื งทมี นั เกียวกับไสยศาสตร์ ที จะทาํ ให้ใครเปนอยา่ งนันอยา่ งนี แต่เปนเรอื งทเี ราจะต้องลงมอื ด้วยตัวเราเอง คือจะต้องปฏิบตั ิตามแนวทางทพี ระองค์ชไี วใ้ ห้เราเดิน ผชู้ ที างกับผมู้ หี น้าทเี ดินทางพระผมู้ พี ระภาคเจ้าทา่ นได้ตรสั ไวช้ ดั เจนใน เรอื งนี บอกวา่ ” ตถาคต เปนแต่เพยี งผบู้ อกทางให้ สว่ นการเดินทางนันเปน หน้าของเธอทงั หลาย ”พระองค์บง่ ชดั ไวใ้ นรูปอยา่ งนี บอกวา่ การเดินทางเปน หน้าของเราเองพระองค์เปนผชู้ ที างให้เดินเหมอื นกับตํารวจจราจรทยี นื อยู่ ตามทางสแี ยก คอยโบกไมโ้ บกมอื ให้รถไปทางนัน ทางนี ยนื ชอี ยูต่ รงนันรถมนั ก็ผา่ นไป ตํารวจเปนแต่เพยี งผชู้ ที างให้รถไป แต่วา่ ตํารวจไมไ่ ด้ไป คนขบั รถ นันแหลละมหี น้าทตี ้องพารถไป ฉันใด ในเรอื งชวี ติ จิตใจของคนนีก็เหมอื นกัน พระพทุ ธเจ้าทา่ นชที างไวใ้ ห้เราเดิน ก็เปนหน้าทขี องเราทจี ะขบั รถ คือรา่ งกาย นีไป ใจนันแหละเปนผขู้ บั รถ รา่ งกายนีเปรยี บเหมอื นกับรถได้เหมอื นกัน มลี ้อ สลี ้อ คือ เทา่ สอง มอื สอง แต่เราใชเ้ พยี งสองล้า ไมไ่ ด้ใชส้ ี เวน้ ไวแ้ ต่คนขเี มา บางครงั ก็ใชส้ ลี ้อเหมอื นกัน เราก็ต้องขบั ล้อนีไปตามเสน้ ทางทพี ระผมู้ พี ระ ภาคชไี วใ้ ห้เราเดิน เราก็จะไปถึงจดุ หมายได้สมความตังใจ ธรรมเครืองประดบั สติปญญา ขาด ปญยาคอื การความงามในธรรม

สมดุลชวี ติ : คติความเกือกุลกัน พระอภนิ ันท์ อคคฺ ธมโฺ ม ต้นไมน้ ันไมเ่ คยเปนผรู้ บั ฝายเดียว แมพ้ งึ นาจากฟาดดู ปุยจากดินแต่ในเวลา พุทธศาสตร์ ชนั ปที ๔ เดียวกันก็คายนาให้ฟาทงิ ใบและกิงให้ คณะศาสนาและปรชั ญา กลับกลายเปนปุยคืนสดู่ ินใชแ่ ต่เทา่ นัน ยงั ให้ดอกและผลเปนอาหารแก่สรรพสตั ว์ เคล็ดลับอยา่ งหนึงในการสรา้ งสขุ รวมทงั ให้รม่ เงาแก่นานาชวี ติ เชน่ เดียว ให้แก่ชวี ติ ก็คือการมคี วามสมดลุ ความ กับลําห้วย เมอื ได้รบั นาจากภเู ขาก็สง่ ต่อ สมดลุ นันมหี ลายด้านเชน่ สมดลุ ระหวา่ ง ให้ผนื ดินเบอื งล่างเปนทอด ๆ จนกลาย สมองกับหัวใจ (หรอื เหตผุ ลกับความ เปนแมน่ าสายใหญผ่ คู้ นได้ใชป้ ระโยชน์ รูส้ กึ ) สมดลุ ระหวา่ งชวี ติ สว่ นตัวกับชวี ติ มากมายวถิ ีแห่งการรบั และให้เชน่ นีทาํ ให้ สว่ นรวม สมดลุ ระหวา่ งงานกับการพกั เกิดความบรรสานสอดคล้องในธรรมชาติ ผอ่ นแต่ไมม่ อี ะไรทเี ปนเรอื งพนื ฐาน และทาํ ให้โลกนีน่าอยู่ มากเทา่ กับสมดลุ ระหวา่ งการรบั กับ การให้ หรอื การได้กับการสละ การให้ มนุษยเ์ ราก็เชน่ กัน จะมคี วามสขุ และ ทาน หายใจเขา้ แต่ไมย่ อมหายใจออก มชี วี ติ ทบี รรสานสอดคล้องได้ การให้เปน ก็ตายสถานเดียวกินมากแต่ไมย่ อมออก สงิ สาํ คัญ ด้วยเหตนุ ี“ทาน”จึงเปนธรรม กําลังกายโรครา้ ยก็ถามหาในทาํ นอง ขอ้ ต้นๆ ในพทุ ธศาสนา ไมว่ า่ คําสอนเรอื ง เดียวกันหากเอาแต่เก็บสะสมทรพั ย์ บุญกิรยิ าวตั ถุ สงั คหวตั ถุ หรอื แมแ้ ต่ทศพิ สมบตั ิ แต่ไมย่ อมแบง่ ปนให้ผอู้ ืนก็ทาํ ให้ ธราชธรรมก็เรมิ ต้นด้วยทาน ทานทาํ ให้ ชวี ติ เปนทกุ ข์ การเอาแต่รบั แต่ไมย่ อม ชวี ติ มคี วามสมดลุ เพราะตังแต่เกิดเรา ให้เปนการกระทาํ ทสี วนทางกับวถิ ี เปนผรู้ บั ฝายเดียว รารอ้ งและเรยี กหาทงั ธรรมชาติ อาหาร ของเล่น เงนิ ทอง เวลา ความรกั จากพอ่ แมญ่ าติพนี ้อง ตลอดจนความรู้ จากครูบาอาจารย์ ดังนันเมอื เราเติบใหญ่ ขนึ จึงควรเปนผใู้ ห้บา้ ง มใิ ชเ่ พอื ทดแทน บุญคณุ หรอื ตอบแทนโลกเทา่ นัน แต่ยงั ชว่ ยให้เรามคี วามสขุ ด้วย การรูจ้ ักให้ ชว่ ยปรบั ใจเราให้ไมค่ ิดแต่จะเอาฝาย เดียว จิตทคี ิดแต่จะเอาเปนจิตทที กุ ขง์ า่ ย เพราะถกู เผาลนด้วยความโลภเปนอาจิณ ต้องดินรนไล่ล่าหาสงิ ต่างๆ

๒ มาครอบครองไมห่ ยุดหยอ่ น แมไ้ ด้มา จะชว่ ยบรรเทาความยดึ ติดถือมนั ดัง มากมายเพยี งใดก็ยงั ไมพ่ อใจ อยากได้ กล่าวได้ซงึ ชว่ ยให้ใจโปรง่ โล่งเบาสบาย เพมิ อีก จึงหาความสงบสขุ ได้ยาก แชม่ ชนื เบกิ บานนีแหละคือความหมาย ทแี ทจ้ รงิ ของคําวา่ “บุญ”เดียวนีเวลา การให้ ชว่ ยลดทอนความโลภ ทาํ บุญให้ทาน ผคู้ นมกั นึกถึงโชคลาภ บรรเทาความเห็นแก่ตัว หากสงิ ทใี ห้นัน และความมงั มี หรอื “สวย รวย ฉลาด เปนทรพั ยห์ รอื วตั ถกุ ็ชว่ ยให้เราละความ สมปรารถนา” แมน้ ันเปนอานิสงสอ์ ยา่ ง ยดึ ติดถือมนั ใน “ตัวกขู องก”ู ธรรมดา หนึงของทาน แต่หาใชอ่ านิสงสส์ งู สดุ คนเรายอ่ มหวงแหนในทรพั ยส์ มบตั ิ ของทานไม่ ประโยชน์สงู สดุ ทสี ามารถ เพราะสาํ คัญมนั หมายวา่ ของเหล่านัน เกิดได้จากทานก็คือการคลายความยดึ เปน “ของก”ู ความสาํ คัญมนั หมายดัง มนั ในตัวกขู องกหู รอื การลดละความโลภ กล่าวเปนทมี าแห่งความทกุ ขท์ งั ปวง หากให้ทานโดยยงั หวงั ได้โชคลาภ ก็ไม่ เพราะสวนทางกับความจรงิ ไมม่ อี ะไร ชว่ ยให้บรรลถุ ึงประโยชน์ดังกล่าวเลย ทเี ปนของเราอยา่ งแทจ้ รงิ และไมม่ ี เพราะยงั เปนการให้ทเี จือด้วยความโลภ อะไรทจี ะอยูก่ ับเราได้ตลอด หากมนั ไม่ อยูน่ อกจากการให้ทรพั ยส์ มบตั ิแล้ว เรา จากเราไปเราเองแหละทจี ะเปนฝาย ควรให้อยา่ งอืนทมี คี ณุ ค่าด้วย เชน่ เวลา จากมนั ไป ทสี าํ คัญก็คือ ทนั ทที เี รายดึ กําลังกาย และสติปญญา การชว่ ยเหลือ มนั วา่ มนั เปนของเราเราต่างหากที ผทู้ กุ ขย์ าก แมบ้ างครงั ต้องประสบกับ กลายเปนของมนั ทนั ที คือตกเปนทาส ความเหน็ดเหนือย ไมส่ ะดวกสบาย แต่ ของมนั จนอาจปวยหรอื ตายเพราะมนั กลับสมั ผสั ได้ถึงความสขุ ใจความปติและ ได้(เชน่ เสน้ เลือดในสมองแตกหรอื หัวใจ ความแชม่ ชนื ภายใน เปนสขุ ทปี ระณีต วายเมอื บา้ นถกู ยดึ เงนิ ถกู โกง) หากไม่ กวา่ ความสขุ หรอื ความสนุกจากการเสพ ตายเพราะมนั ในยามใกล้ตายก็อาจ ใชห่ รอื ไมว่ า่ เมอื เรานึกถึงตัวเองน้อยลง กระสบั กระสา่ ยเพราะยงั หวงแหนอาลัย คิดถึงผอู้ ืนมากขนึ เราจะมคี วามสขุ ได้ ในทรพั ยเ์ หล่านัน สดุ ทา้ ยก็อาจไปสู่ งา่ ยขนึ อาสาสมคั รนวดเด็กคนหนึงเล่า ทคุ ติได้ วา่ เธอเปนไมเกรน ต้องกินยาทกุ วนั แต่ หลังจากทเี ปนจิตอาสาได้ไมน่ าน ถ้าอยากคลายความยดึ มนั ถือมนั ในตัวกู ของกู สงิ แรกทที าํ ได้งา่ ยทสี ดุ คือการให้ทาน หากเปนการให้ทแี ทจ้ รงิ คือให้โดยไมห่ วงั อะไรเขา้ ตัวเลย ไมว่ า่ จะเปนการให้แก่ใครก็ตาม

๓ อาการปวดก็หายไปจนเธอลืมกินยาไปเลย สว่ นผเู้ ฒา่ คนหนึงเปดใจวา่ หลัง จากทไี ด้เปนอาสาสมคั รแยกขยะ เขารูส้ กึ วา่ ตนเองเปน “ขยะคืนชพี ” ไมร่ ูส้ กึ วา่ ไรค้ ่าเหมอื นตอนทนี ังๆ นอนๆ อยูใ่ นบา้ น นาทไี มถ่ ่ายเทยอ่ มกลายเปนนา เน่า ชวี ติ ทไี มร่ ูจ้ ักให้คือชวี ติ ทหี มน่ หมองไรส้ ขุ ความสขุ ทแี ทม้ ไิ ด้เกิดจากการ เสพหรอื การมมี ากๆ แต่อยูท่ กี ารสละออกไป เรมิ จากสละวตั ถสุ งิ ของ ไป จนถึงสละความยดึ ติดถือมนั ในตัวตน สละได้มากเทา่ ใด ก็ชว่ ยให้เราอยูใ่ น โลกนีอยา่ งผาสกุ มากเทา่ นัน อีกทงั ยงั ทาํ ให้เราจากโลกนีไปได้อยา่ งสงบสขุ ด้วย ธรรมชาติทส่ี มบรุ ณแบบ คอื รปู แบบของธรรม ที สมบุรณทส่ี ุด

๑ ถกู ธรรมถกู ต้อง ภายในหองพพิ ากษาเปดศาล พระวรวฒุ ิ ญาณวโร (หล้าสดี า) เพอื่ ตัดสนิ คดี ผถู ูกกลา วหาเปนคนงาน นกั ศกึ ษาชนั ปที ๔ ชาย อายุ 30 ปเ ศษ ไดจบั เด็กชายอายุ 6 ขวบไปเรยี กคาไถ ส่ิงท่ผี คู นโลงใจก็คอื สาขาวิชาพทุ ธศาสตร์ เดก็ นอยไมไดรบั ภยั อนั ตรายใดๆ ถงึ แม ไมไดเกดิ เหตุรา ยแรง แตเ ขายังคงตอง เดก็ นอ ยท่ีถูกคนงานจบั ไปนน้ั ถกู พจิ ารณาจากศาล เพอ่ื รับโทษตาม เปน ลกู ชายของเถาแก ซงึ่ กอนหนา น้ี กฎหมาย เขาไดทาํ งานดว ยเปน เวลา 3 เดอื น แต ไมเ คยไดรับเงนิ ตอบแทนแมแตบาท ภายในหองพิพากษาเปดศาล เดยี ว กอนหนานีเ้ ขาไดข อรองเถา แกให เพ่ือตัดสินคดี ผถู ูกกลาวหาเปน คนงาน ใหจา ยเงนิ มาหลายครั้ง เขาเปน เพียง ชาย อายุ 30 ปเศษ ไดจ บั เด็กชายอายุ 6 เสาหลักเดียวของครอบครวั คณุ แมปวย ขวบไปเรยี กคาไถ สง่ิ ที่ผคู นโลง ใจกค็ อื เปนโรคหัวใจหนกั ขาดยาไมไ ดแ มแ ต เดก็ นอ ยไมไดร ับภัยอนั ตรายใดๆ ถึงแม วนั เดียว ขณะท่ีลูกๆ ก็ตอ งไปโรงเรียน ไมไ ดเกิดเหตรุ ายแรง แตเ ขายังคงตอ ง มีคา ใชจาย ทุกครง้ั ทขี่ อเบิกเงนิ คาแรง ถูกพจิ ารณาจากศาล เพอื่ รบั โทษตาม เถาแกม ักจะแสดงทา ทรี ําคาญและเรียก กฎหมาย ยามมาไลอ อกจากหอ งสาํ นักงาน เมือ่ เขา สุดจะทน

๒ จงึ จบั ลูกชายของเถาแกไ วเ รยี กคา ทกุ คนรูสกึ ตึงเครยี ด หรือวา หญงิ ชรา ไถแ ตเ ขาเกิดสาํ นึกผิดไดกลัววา เดก็ นอยจะ ตองการเรยี กรอ งอ่นื ๆอกี คนงานคนนี้ เกดิ ความหวาดกลัว จึงอมุ เดก็ ไวแนบอก ไมม ีอะไรเหลืออยูแลว จะแบกรบั อกี ตลอด เม่ือตํารวจมาถึงเด็กนอยกห็ ลบั สนิท ไหวหรือ หญงิ ชราเดิน ชา ๆไปทคี่ อก ในออมอกของเขา เขาถูกศาลตัดสินจาํ คุก 5 จําเลย เธอยืนเผชิญหนากบั จําเลย ทุก ปผ ูเขาฟงทั้งหมดเสียใจแทนเขาเปน เพราะ คนตา งมองเหน็ ปากของเธอขยับขนึ้ ลง ความไมร ูกฎหมาย มิเชน นน้ั กไ็ มตองชดใช ภายในหอ งโถงเงียบกรบิ ไมมีใคร ดวยโทษหนักขนาดนี้ แลว ครอบครัวท่เี ขา สามารถคาดเดาวา จะเกิดอะไรขนึ้ ตอไป ตอ งดแู ล แมท ่ปี วย ลกู ๆตอ งไปโรงเรยี นจะ ทนั ใดนั้น หญงิ ชราไดโ คง คํานบั ตอคน เปน อยา งไรตอไป ขณะทศี่ าลกําลังจะกลาว งานผูเปน จาํ เลย 3 คร้ัง ทกุ คนตางพากนั เลกิ ศาล ไดม ีเสยี งๆหน่งึ ดงั ข้ึนในกลุมคนที่ ตะลงึ รวมท้งั เถาแกที่อยูในคอกสําหรับ เขารบั ฟงคาํ ตดั สิน.. \"ชากอน ฉันมีอะไรจะ โจทก เขาไมเขา ใจวา แมข องเขากําลงั พูด\" คิดจะทาํ อะไร หญิงชราทเี่ สน ผมขาว โพลนขนึ้ เงยหนา นํ้าตานองเตม็ หนา สัก ทกุ คนตางหันไปมองทตี่ น เสยี งเปน ครเู ธอพูดอยางชาๆวา.. หญิงชราคนหน่งึ มคี นจาํ เธอได เธอคอื คณุ ยา ของเด็กนอย เปน คณุ แมข องเถา แก \"คณุ คะ คํานบั ท่ีหนึง่ ฉันขอโทษ หลงั จากทเ่ี ดก็ นอยถกู จับตัวไป หญงิ ชราก็ แทนลกู ชายฉันเปน เพราะฉนั อบรมส่งั ลมปว ยลง ดวยเด็กนอยเปน หลานชายสุด สอนไมดีปลอ ยใหเขาทําเรือ่ งท่ีผิดตอคณุ ทร่ี กั ของเธอ อกี ทง้ั ในบรรดาหลานๆเด็ก ผูท ีส่ มควรถกู ตัดสนิ ลงโทษ ไมควรจะ นอยนัน่ เปน หนึง่ เดยี วทเี่ ปน เด็กชาย จติ ใจ เปน คณุ เพยี งผเู ดียวตอ งรวมถึงลกู ชาย ของผเู ขา ฟง คาํ ตัดสนิ ในคดี ของฉันดว ยเขาน่นั แหละทเ่ี ปน ตนเหตุกอ ใหเ กดิ เรื่องราวทง้ั หมดขน้ึ มา\"

๓ \"คาํ นับท่ีสอง ฉันขออภยั คนใน ไมเพยี งแตโคงใหค นงานเทานั้นยัง ครอบครวั ของเธอ ลกู ชายฉันไมเพยี งแต เปนการแสดงใหเ ห็นการรูจกั หลัก กระทาํ ผดิ ตอ เธอ ยงั ทาํ ผดิ ตอ คนใน คณุ ธรรมกบั ความถกู ตอ งย้ําเตอื นใจของ ครอบครัวของเธอดวย ฉันผเู ปน แมล ะอาย ลูกชายของตนวา ไมควรกระทําเรอ่ื งราว ใจจริงๆ\" ใดๆ ท่ีนา ละอายใจ ขดั ตอ จิตสาํ นกึ ดขี อง \"คาํ นับทสี่ าม ฉันขอบใจเธอทีไ่ มไ ด ตน ซง่ึ ควรมหี ลักธรรมประจําใจ เพื่อให ทํารา ยหลานชายฉนั ไมไ ดทําใหจ ติ ใจของ ตนดาํ รงชวี ติ ไดอ ยา งประเสรฐิ และ เขาเกิดรอยมลทิน เธอมจี ติ ใจทีด่ ีงาม คณุ บรสิ ุทธ์นิ ัน่ กค็ อื หลักพรหมวหิ าร ๔ หรอื คะ คณุ เทยี บกบั ลูกชายฉันแลว เหนอื กวา พรหมวหิ ารธรรม เปน แนวธรรมปฏบิ ัติ เปน รอยเทา\" คําพูดของหญงิ ชรา ทําใหผ ู ของผทู ่ีปกครอง และการอยรู วมกับผอู ืน่ ฟง ทง้ั หมดตนื้ ตัน น่ีเปน คณุ แมท ี่ประเสริฐ ประกอบดว ยหลกั ปฏบิ ัติ ๔ ประการ เขา ใจหลกั คณุ ธรรมย่งิ นกั สวนคนงานคน ไดแก หลักพรหมวหิ าร ๔ หรอื พรหมวหิ ารธรรม น้ัน ร่าํ ไหอ อกมาเสยี งดัง ดว ยความซาบซง้ึ และสํานึกผิด บทสรปุ ของเรอื่ งราวกค็ ือ ๑.เมตตา คอื ความรกั ใคร ลกู ชายของหญิงชรา ไมเพียงแตจายคาแรง ปรารถนาดีอยากใหเขามีความสขุ มีจติ อัน คนงานครบถวน ยังไปรับคุณแมแ ละลูกๆ แผไ มตรแี ละคดิ ทาํ ประโยชนแก ของคนงานเขา มาในเมือง เพ่ือทําการรักษา มนุษยส ตั วท ่ัวหนา อาการปว ยไขตอไป ๒.กรุณา คือ ความสงสาร คิดชว ย คณุ ธรรมของหญงิ ชราไดช วยปลุก ใหพน ทุกขใฝใจในอันจะปลดเปลือ้ ง จติ วิญญาณของลกู ชายตนเอง ใหต ื่นจาก บาํ บัดความทุกขยากเดือดรอน ความชวั่ ราย เธอใชว ิธกี ารโคง คาํ นับ 3 ครั้ง ของปวงสัตว

๔ ๓. มทุ ติ าคือ ความยินดี ในเมื่อผูอนื่ อยางนอยกไ็ มค วรกระทาํ เร่ือง อยูดมี สี ขุ มจี ติ ผองใสบนั เทงิ ประกอบดวย ใหผูเปนแมต องโศกเศราเสยี ใจ อาการแชมชื่นเบิกบานอยูเสมอตอสตั วท ง้ั ละอายใจ ถึงกับตอ งกมขออภยั แทน หลายผูดํารงในปกตสิ ขุ พลอยยินดีดวยเมอ่ื ตวั เราเอง ซง่ึ ในสังคมคนรนุ ใหมท ม่ี ี เขาไดดมี สี ขุ เจริญงอกงามยง่ิ ข้ึนไป พอแมเ ปน คนรุน ความคดิ กาวไกล ไมใ สใจสืบทอดเรยี นรคู วามดีจากคน ๔. อเุ บกขา คอื ความวางใจเปน ก รนุ กอนเพราะไปรบั วฒั นธรรมความรู ลางอันจะใหดาํ รงอยูในธรรมตามท่ีพิจารณา จากตา งแดนมามากเกนิ ไป จนลืม เห็นดวยปญ ญา คือมีจิต รากเหงา ความดขี องบรรพชน อีกทัง้ อยูดกี ินดีสขุ สบายมากเกินไปจากเงิน เรียบตรงเทย่ี งธรรมดุจตาช่ัง ไมเ อน ทองทบ่ี รรพบุรุษ เก็บสะสมไวให ใน เอยี งดว ยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมทสี่ ตั ว วันเวลาน้ี จึงจักไมมีใครเห็น พอ แม ทงั้ หลายกระทําแลว อนั ควรไดร บั ผลดีหรือช่วั คนรนุ ใหมที่มีคณุ ธรรมความดีเตม็ สมควรแกเหตุอนั ตนประกอบพรอมทจ่ี ะ เปย มในหัวใจออกมากมหัวเพอื่ วินิจฉัยและปฏิบตั ิไปตามธรรมรวมทั้งรูจักวาง ขอโทษที่ลกู ๆ ทาํ ผดิ ประกอบกรรม เฉยสงบใจมองดใู นเมือ่ ไมม กี จิ ทคี่ วรทําเพราะ ชว่ั กนั ทั่วบานทัว่ เมอื ง ณ ปจ จุบันน้ี เขารบั ผดิ ชอบตนไดดแี ลว เขาสมควรรับผดิ ชอบตนเองหรือเขาควรไดร ับผลอนั สมกบั ความรับผดิ ชอบของตน คนเราไมว า จะเลือกทางเดนิ ในชีวิตเชน ไร อันดบั แรกทต่ี องคาํ นึงถึงคือ หลกั คุณธรรม ละอายแกใจตนเอง ไมข ัดตอศีลธรรม



แผนทีตัง : มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรลี า้ นชา้ ง จงั หวดั เลย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook