1 คําแนะนําสําหรบั การดูแลผปู ว ยโรคไตเร้อื รังกอ นการบาํ บัดทดแทนไต พ.ศ. 2558Clinical Practice Recommendation for the Evaluation and Management of Chronic Kidney Disease in Adults 2015
2 คำนำ โรคไตเร้ือรัง (Chronic Kidney Disease, CKD) เป็นโรคท่ีพบบ่อยและเป็นปัญหาทางสาธารณสุขท่ีสาคัญของประเทศไทย เป็นโรคเร้ือรังท่ีรักษาไม่หายขาด จาเป็นต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมากโดยเฉพาะเมื่อการดาเนินโรคเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย (End Stage Renal Disease, ESRD) ซ่ึงจาเป็นต้องให้การรกั ษาโดยการฟอกเลือดด้วยเครือ่ งไตเทียม (hemodialysis) การล้างไตทางช่องท้อง (peritoneal dialysis) หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไต (kidney transplantation) นอกจากน้ี ในปัจจุบันยังมีแนวโน้มอุบัติการณ์ของโรคเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีความจาเป็นที่จะต้องใหก้ ารดูแลรกั ษาผปู้ ว่ ยโรคไตเรอื้ รัง เพื่อปอ้ งกนั หรือชะลอไม่ให้การดาเนนิ ของโรคเข้าสภู่ าวะไตวายระยะสดุ ทา้ ย โดยการตรวจคดั กรองและดแู ลรักษาต้ังแตร่ ะยะเรม่ิ ตน้ เพ่อื ชะลอการเส่อื มของไตให้มีประสทิ ธิภาพย่งิ ข้ึน ผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังมีโอกาสที่จะพบโรคร่วมได้หลายประการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงโรคหัวใจและหลอดเลือดซ่ึงเป็นสาเหตุการตายทสี่ าคญั ของผปู้ ่วย ภาวะแทรกซอ้ นทีเ่ กดิ จากความผิดปกตขิ องการทางานของไตท่พี บในผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังจะพบมากขึ้นและทวคี วามรุนแรงขน้ึ ตามการเสอื่ มของไต อย่างไรกต็ าม ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เหล่านี้สามารถควบคุมป้องกันไม่ไหม้ ีความรุนแรงจนเป็นอันตรายต่อสขุ ภาพของผ้ปู ่วย คาแนะนาสาหรับการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังก่อนการบาบัดทดแทนไตฉบับน้ี ได้จัดทาขึ้นโดยคณะอนุกรรมการปอ้ งกนั โรคไตเรือ้ รงั สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย วาระ พ.ศ. 2555-2557 และ พ.ศ. 2557-2559 โดยพัฒนาเนื้อหาจากแนวทางเวชปฏิบัติสาหรับโรคไตเร้ือรังก่อนการบาบัดทดแทนไตปี พ.ศ. 2552 ให้มีความทันสมัยด้านวิชาการ และมีการผนวกรวมข้อคิดเห็นจากการสัมมนาเพ่ือรับฟังความคิดเห็นจากแพทย์ผู้เช่ียวชาญด้านโรคไต พยาบาลโรคไต นักกาหนดอาหาร และเภสัชกรในการประชุมการจัดตั้งคลินิกโรคไตเร้ือรังคร้ังที่ 3 วันท่ี 30-31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 จัดโดยสานักงานหลกั ประกนั สขุ ภาพแหง่ ชาติ รวมทงั้ ผ่านกระบวนการประชาพิจารณจ์ ากแพทย์โรคไตที่เป็นสมาชิก เสนอข้อคิดเห็นผ่านทางสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และการกล่ันกรองสุดท้ายจากคณะกรรมการบริหารสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ท้ังนี้เพื่อวัตถุประสงค์ให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ใช้เป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังในระยะก่อนการบาบัดทดแทนไตนำวำอำกำศเอก อนุตตร จิตตินันทน์นายกสมาคมโรคไตแหง่ ประเทศไทย วาระ พ.ศ. 2555-2557ศำสตรำจำรย์ นำยแพทยส์ มชำย เอ่ียมออ่ งนายกสมาคมโรคไตแหง่ ประเทศไทย วาระ พ.ศ. 2557-2559ผชู้ ว่ ยศำสตรำจำรย์ นำยแพทยส์ รุ ศักด์ิ กนั ตชเู วสศิริประธานคณะอนกุ รรมการปอ้ งกันโรคไตเรื้อรังนำวำอำกำศโทหญงิ วรวรรณ ชัยลิมปมนตรีเลขานุการคณะอนกุ รรมการปอ้ งกนั โรคไตเร้อื รังสมำคมโรคไตแหง่ ประเทศไทยมกราคม พ.ศ. 2558
3 กติ ตกิ รรมประกาศคณะอนุกรรมการปองกันโรคไตเรื้อรัง และคณะกรรมการบริหารสมาคมโรคไตแหงประเทศไทย ขอขอบคุณสํานักงานหลักประกันสุขภาพแหงชาติ (สปสช.) และบริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งมีสวนชวยในการสนับสนุนการจัดพิมพคาํ แนะนาํ สาํ หรบั การดแู ลผปู วยโรคไตเร้ือรังกอ นการบําบดั ทดแทนไตฉบบั นี้
สารบญั 4หลักการของคาํ แนะนําสําหรับการดูแลผปู วยโรคไตเร้ือรงั กอ นการบาํ บดั ทดแทนไต พ.ศ. 2558 หน้าน้าํ หนกั คาํ แนะนาํ กคณุ ภาพหลกั ฐาน ขวัตถปุ ระสงคและเปา หมายของการดูแลผูปวยโรคไตเรือ้ รงั คคํายอ งคําจาํ กัดความ จ ฉคาํ แนะนําที่ 1: การเลอื กผปู ว ยทีม่ คี วามเสยี่ งสูงตอ การเกดิ โรคไตเรอ้ื รงั เพือ่ รับการตรวจคัดกรองคําแนะนําท่ี 2: การตรวจคดั กรองโรคไตเรอื้ รัง 1คําแนะนําที่ 3: การติดตามระดับการทํางานของไต 2คําแนะนาํ ที่ 4: การสง ปรกึ ษาหรือสงตอ ผูปว ย 4คาํ แนะนาํ ที่ 5: การควบคมุ ความดันโลหิต 5คาํ แนะนําท่ี 6: การลดปริมาณโปรตนี ในปส สาวะ 6คําแนะนาํ ท่ี 7: การควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือด 8คําแนะนาํ ที่ 8: การควบคุมระดบั ไขมนั ในเลือด 9คําแนะนําท่ี 9: การงดสบู บหุ ร่ีในผูปว ยโรคไตเร้ือรัง 11คาํ แนะนําที่ 10: โภชนบาํ บดั สาํ หรับผูปวยโรคไตเร้ือรัง 14คําแนะนําท่ี 11: การดแู ลรกั ษาความผิดปกติของแคลเซียม และฟอสเฟต 15คําแนะนาํ ท่ี 12: การดแู ลรักษาภาวะโลหิตจาง 17คาํ แนะนาํ ท่ี 13: การดแู ลรักษาภาวะเลือดเปนกรด 18คาํ แนะนาํ ท่ี 14: การหลีกเล่ียงยาหรอื สารพิษทที่ ําลายไต 19คําแนะนาํ ท่ี 15: การฉีดวคั ซีนในผูปวยโรคไตเร้อื รัง 20คําแนะนําท่ี 16: การลดความเสีย่ ง และการตรวจคัดกรองโรคหวั ใจและหลอดเลือด 21คําแนะนําที่ 17: การเตรียมตวั เพื่อการบาํ บดั ทดแทนไต 22 23ภาคผนวกภาคผนวก 1: รายนามคณะกรรมการบริหารสมาคมโรคไตแหง ประเทศไทย วาระ พ.ศ.2555-2557 24 และวาระ พ.ศ.2557-2559 25ภาคผนวก 2: รายนามคณะอนกุ รรมการปอ งกันโรคไตเรือ้ รัง วาระ พ.ศ.2555-2557 และวาระ พ.ศ.2557-2559
สารบญั ตาราง 5ตารางท่ี 1 ระยะของโรคไตเรื้อรงั หน้าตารางท่ี 2 เกณฑการวนิ จิ ฉยั อลั บูมินในปสสาวะ ฉตารางที่ 3 พยากรณโรคไตเรอ้ื รงั ตามความสมั พนั ธของ GFR และระดบั อัลบมู ินในปส สาวะ ชตารางที่ 4 สมการ CKD-EPI จําแนกตามเพศและระดบั ครีแอตนิ ีนในเลือด ชตารางที่ 5 ชวงเวลาทแ่ี นะนาํ ในการติดตามความดนั โลหติ GFR หรือโปแตสเซียมในเลือด 2 7 เพอ่ื เฝา ระวังผลแทรกซอ นจากการใชย ากลมุ ACEIs หรอื ARBs ในผปู ว ยโรคไตเรอ้ื รงัตารางที่ 6 แสดงโรคหรือภาวะอน่ื ๆ ทท่ี าํ ใหม ีภาวะไขมันในเลือดสูง 11ตารางท่ี 7 ขนาดยาสงู สดุ ของยากลมุ statins ที่แนะนําในผปู ว ยโรคไตเรื้อรงั 12ตารางท่ี 8 ปริมาณโปแตสเซียมในอาหารชนิดตา งๆ 15
ก หลกั การของคําแนะนําสาํ หรบั การดูแลผูป ว ยโรคไตเร้ือรงั กอนการบําบดั ทดแทนไต พ.ศ. 2558 คําแนะนําสําหรับการดูแลผูปวยโรคไตเร้ือรังกอนการบําบัดทดแทนไตน้ีเปนเครื่องมือสงเสริมคุณภาพการบริการผปู วยโรคไตเรื้อรังระยะกอนการบําบัดทดแทนไต มีการปรับเปลี่ยนบริบทตางๆ ใหเหมาะสมกับทรัพยากรดานสาธารณสุขของสังคมไทย โดยมงุ หวังเพื่อการสง เสริมและพฒั นาระบบการดแู ลผูปว ยโรคไตเรอ้ื รงั ใหม ีประสทิ ธิภาพ คาํ แนะนาํ ตางๆ ในเอกสารฉบับนี้ไมใชขอบังคับของการปฏิบัติ ผูใชสามารถปฏิบัติแตกตางจากขอแนะนําน้ีไดในกรณีที่สถานการณแตกตางออกไป หรอื มขี อ จํากดั ของสถานบรกิ ารและทรัพยากร หรือมีเหตุผลที่สมควรอื่นๆ โดยใชวิจารณญาณซ่ึงเปนท่ียอมรับอยูในพื้นฐานหลกั วชิ าการและจรรยาบรรณ
ขข น้าํ หนักคําแนะนาํ (Strength of Recommendations)++ หมายถงึ ความมนั่ ใจของคําแนะนาํ ควรทาํ อยูในระดบั สงู เพราะมาตรการดังกลาวมีประโยชนอยางยิ่งตอผูปวยและ คุมคา (cost effective) “ควรทําเปน อยา งยงิ่ / ตองทํา” (strongly recommended)+ หมายถึง ความมั่นใจของคําแนะนําควรทําอยูในระดับปานกลาง เนื่องจากมาตรการดังกลาวอาจมีประโยชนตอ ผปู วยและอาจคมุ คาในภาวะจําเพาะ “นาทาํ / ควรทํา” (recommended)+/- หมายถึง ความมั่นใจยังไมเพียงพอในการแนะนํา เน่ืองจากมาตรการดังกลาวยังมีหลักฐานไมเพียงพอในการ สนับสนุนหรือคัดคานวาอาจมีหรือไมมีประโยชนตอผูปวย และอาจไมคุมคา แตไมกอใหเกิดอันตรายตอผูปวย เพ่ิมข้ึน ดังน้ัน การตัดสินใจกระทําขึ้นอยูกับปจจัยอื่นๆ “อาจทําหรือไมทํา” (neither recommended nor against)- หมายถึง ความม่ันใจของคาํ แนะนาํ หามทําอยูใ นระดบั ปานกลาง เนอื่ งจากมาตรการดังกลา วไมมปี ระโยชนตอผูปวย และไมค ุมคา “ไมนาทาํ ” (against)-- หมายถึง ความม่ันใจของคําแนะนําหามทําอยูในระดับสูง เพราะมาตรการดังกลาวอาจเกิดโทษ หรือกอใหเกิด อนั ตรายตอผูปว ย “ไมควรทาํ ” (strongly against)
ประเภท I คI-1I-2 คณุ ภาพหลกั ฐาน (Quality of Evidences)ประเภท II หมายถงึ หลกั ฐานทไ่ี ดจ ากII-1 การทบทวนแบบมีระบบ (systematic review) จากการศึกษาประเภทการวิจัยเชิงทดลองแบบสุมและมีII-2 กลมุ ควบคุม (randomized, controlled clinical trial)II-3 การวิจัยเชิงทดลองแบบสุมและมีกลุมควบคุมท่ีมีคุณภาพดี (well-designed, randomized, controlled clinical trial) อยางนอย 1 ฉบับII-4 หมายถึง หลักฐานทไ่ี ดจ ากประเภท III การทบทวนแบบมีระบบ (systematic review) จากการศกึ ษาวจิ ยั เชิงทดลองแบบมีกลุมควบคุมแตไมไดIII-1 สมุ ตวั อยา ง (non-randomized, controlled clinical trial)III-2 การวิจัยเชิงทดลองแบบมีกลุมควบคุมแตไมไดสุมตัวอยางท่ีมีคุณภาพดี (well-designed, non- randomized, controlled clinical trial) การศึกษาเชิงวิเคราะหแบบติดตามไปขางหนา (cohort) หรือการศึกษาวิเคราะหควบคุมกรณีแบบ ยอนหลงั (case-control) ที่ไดร บั การออกแบบวจิ ัยเปนอยางดี จากสถาบนั หรอื คณะผูศึกษาวิจัยมากกวา หนงึ่ คณะ การศกึ ษารูปแบบ multiple time series หรือหลักฐานท่ีไดจากการวิจัยทางคลินิกรูปแบบอ่ืน หรือการ ทดลองแบบไมมกี ารควบคุมทีม่ ีผลประจกั ษถ งึ ประโยชนห รือโทษจากการปฏิบตั ิที่เดน ชดั หมายถึง หลักฐานทไ่ี ดจ าก การศกึ ษาเชิงพรรณนา (descriptive study) การศึกษาควบคุมที่มคี ุณภาพพอใช (fair-designed, controlled clinical trial)ประเภท IV หมายถงึ หลักฐานทีไ่ ดจ ากIV-1 รายงานจากคณะกรรมการผูทรงคุณวุฒิ หรือผูเชี่ยวชาญเฉพาะดานในรูปแบบความเห็นพองบนพื้นฐาน ประสบการณท างคลนิ ิก (clinical consensus)IV-2 รายงานอนกุ รมผปู วย (case series) จากการศกึ ษาในประชากรตางกลุม โดยคณะผูศึกษาตางคณะอยาง นอ ย 2 ฉบบั
งง วตั ถปุ ระสงคแ ละเปา หมายของการดแู ลผปู วยโรคไตเรอื้ รงัผปู วยโรคไตเรื้อรังควรไดร ับการดูแลโดยมีวัตถุประสงคและเปาหมาย ดงั นี้ 1. ตรวจคดั กรอง และสงปรึกษา หรือสงตอ (screening and consultation or referral) เพื่อใหสามารถวินิจฉัยโรค ไตเรื้อรงั ไดในระยะแรกของโรค และสง ปรกึ ษาหรือสง ตอ ผูปวยใหอายรุ แพทยโ รคไตไดอ ยางเหมาะสม 2. ชะลอการเสื่อมของไต (slowing the progression of kidney diseases) เพื่อปองกันหรือยืดระยะเวลาการเกิด โรคไตเรอ้ื รงั และการบาํ บัดทดแทนไต 3. ประเมินและรักษาภาวะแทรกซอนของโรคไตเร้ือรัง (evaluation and treating complications) เพื่อใหแพทย ผูดูแลสามารถวนิ จิ ฉยั และใหก ารดแู ลรักษาท่ีเหมาะสม รวมทง้ั เพอ่ื ปอ งกนั การเกิดภาวะแทรกซอนท่รี นุ แรง 4. ลดความเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular risk reduction) เพื่อปองกันการเกิดและลด อัตราการเสียชวี ิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ซง่ึ เปน สาเหตขุ องการเสียชีวิตทสี่ ําคัญของผปู ว ยโรคไตเรอ้ื รัง 5. เตรียมผูปวยเพ่ือการบําบัดทดแทนไต (preparation for renal replacement therapy) เพ่ือใหผูปวยโรคไต เร้ือรงั ไดร บั การเตรียมพรอ มสาํ หรับการบําบดั ทดแทนไตในระยะเวลาที่เหมาะสม
จ คํายอACC/AHA/ESC American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Practice Guidelines and the European Society of CardiologyACEIs Angiotensin-converting enzyme inhibitorsACR Albumin-to-creatinine ratioAER Albumin excretion rateARBs Angiotensin II receptor blockersBMI Body mass indexeGFR Estimated glomerular filtration rateESA Erythropoietin stimulating agentCKD Chronic kidney diseaseCKD-EPI Chronic Kidney Disease Epidemiology CollaborationGFR Glomerular filtration rateHb HemoglobinKDIGO Kidney Disease: Improving Global OutcomesnPNA Normalized protein equivalent of nitrogen appearanceNSAIDs Non-steroidal anti-inflammatory drugsKUB Kidney urinary bladderPCR Protein-to-creatinine ratioSCr Serum creatinineSCysC Serum cystatin CTSAT Transferrin saturation
ฉฉ คาํ จํากัดความคําจํากดั ความของโรคไตเร้ือรงั ผูปว ยโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease, CKD) หมายถึง ผปู ว ยทีม่ ีลักษณะอยางใดอยา งหน่ึงในสองขอตอไปน้ี 1. ผูปวยที่มีภาวะไตผิดปกตินานติดตอกันเกิน 3 เดือน ทั้งนี้ผูปวยอาจจะมีอัตรากรองของไต (estimated glomerular filtration rate, eGFR) ผิดปกติหรอื ไมก ็ได ภาวะไตผดิ ปกติ หมายถึง มลี ักษณะตามขอใดขอหน่งึ ดงั ตอ ไปน้ี 1.1 ตรวจพบความผิดปกติดงั ตอไปน้อี ยางนอย 2 ครงั้ ในระยะเวลา 3 เดือน ไดแ ก 1.1.1 ตรวจพบอลั บมู นิ ในปสสาวะ (albuminuria) โดยใชคา albumin excretion rate (AER) มากกวา 30 mg/24h หรือ albumin-to-creatinine ratio (ACR) มากกวา 30 mg/g 1.1.2 ตรวจพบเม็ดเลือดแดงในปส สาวะ (hematuria) 1.1.3 มคี วามผิดปกตขิ องเกลือแร (electrolyte) ท่ีเกดิ จากทอไตผดิ ปกติ 1.2 ตรวจพบความผิดปกติทางรงั สีวิทยา 1.3 ตรวจพบความผิดปกติทางโครงสรา งหรือพยาธิสภาพ 1.4 มปี ระวตั กิ ารไดรบั ผา ตัดปลกู ถา ยไต 2. ผูปวยทม่ี ี eGFR นอ ยกวา 60 ml/min/1.73m2 ตดิ ตอกันเกนิ 3 เดือน โดยอาจจะตรวจพบหรือไมพบวามีภาวะไต ผิดปกติก็ไดการแบงระยะของโรคไตเรือ้ รงั 1. ควรแบง ระยะของโรคไตตามสาเหตุ ระดับ eGFR และปริมาณอัลบมู นิ ในปส สาวะ (++/ II) 2. ควรแบงสาเหตุ และชนิดของโรคไตตามโรครวม (systemic diseases) โรคทางพันธุกรรม โรคท่ีเกิดจากปจจัย สง่ิ แวดลอ ม และโครงสรางทางกายวภิ าคของไต หรอื พยาธสิ ภาพ (Not Graded) 3. แบง ระยะตามระดับของ eGFR ดังนี้ (ตารางท่ี 1)ตารางที่ 1 ระยะของโรคไตเรอื้ รงัระยะของโรคไตเรือ้ รงั eGFR คาํ นิยาม (CKD stages) (ml/min/1.73m2)ระยะท่ี 1 > 90 ปกติ หรือ สงูระยะท่ี 2 60-89 ลดลงเลก็ นอ ยระยะท่ี 3a 45-59 ลดลงเล็กนอ ย ถึง ปานกลางระยะที่ 3b 30-44 ลดลงปานกลาง ถึง มากระยะท่ี 4 15-29 ลดลงมากระยะที่ 5 < 15 ไตวายระยะสดุ ทายหมายเหตุ (1) ถา ไมมีหลกั ฐานของภาวะไตผิดปกติ ระยะที่ 1 และ 2 จะไมเขา เกณฑการวนิ ิจฉัยโรคไตเรอ้ื รัง(2) การรายงานผลการคํานวนคา eGFR หากมที ศนยิ มใหป ด ตวั เลขเปนจาํ นวนเต็มกอ นแลวจึงบอกระยะของโรคไตเร้ือรัง ตัวอยางเชน บุคคลผูหนึ่งไดรับการตรวจวัด eGFR = 59.64 ml/min/1.73m2 จะเทากับ 60 ml/min/1.73m2ซ่ึงถาบุคคลผูนี้มีความผิดปกติของไตอยางอ่ืนรวมดวย จะเปนโรคไตเรื้อรังระยะท่ี 2 แตถาไมมีความผิดปกติของไตอยางอื่นรว มดวยบคุ คลนจ้ี ะไมไดเปนโรคไตเรือ้ รัง
ช4. เกณฑก ารวินิจฉัยอัลบูมินในปสสาวะ ใชเ กณฑดังตอไปนี้ (ตารางท่ี 2) (Not Graded)ตารางท่ี 2 เกณฑก ารวนิ ิจฉยั อลั บูมินในปส สาวะalbumin excretion albumin creatinine ratio (ACR)ระยะ rate (AER) คํานยิ าม (mg/24h) (mg/mmol) (mg/g)A1 < 30 < 3 < 30 ปกติ หรือ เพ่ิมขึน้ เล็กนอ ยA2 30-300 3-30 30-300 เพมิ่ ขึ้นปานกลางA3 > 300 >30 > 300 เพ่ิมข้ึนมากหมายเหตุ (1) ระยะ A3 หมายรวมถึงผูป วย nephrotic syndrome (AER มากกวา 2,200/24h [หรือ ACR มากกวา 2,200 mg/g; หรือมากกวา 220 mg/mmol]) (2) ถาวัดอลั บมู ินในปส สาวะไมไ ด ใหใชแถบสจี มุ (urine albumin strip) ทดแทนไดการพยากรณโรคไตเรือ้ รงั ในการพยากรณโรคไตเร้ือรัง ควรพิจารณาถึง 1) สาเหตุ 2) ระดับ eGFR 3) ระดับอัลบูมินในปสสาวะ และ4) ปจจยั เสีย่ งอน่ื ๆ หรอื โรครวมอยา งอื่น (Not Graded) ทงั้ นี้ สามารถพยากรณโรคไตเรอื้ รังตามความสัมพันธของ GFRและระดบั อลั บมู ินในปสสาวะ (ตารางที่ 3)ตารางที่ 3 พยากรณโรคไตเรื้อรงั ตามความสมั พันธข อง GFR และระดบั อัลบมู นิ ในปสสาวะ ระดับอลั บมู ินในปส สาวะ A3 A1 A2 >300 mg/g <30 mg/g 30-300 mg/g <3 mg/mmol 3-30 mg/mmol >30 mg/mmolระยะของโรคไตเรอื้ รงั ระยะที่ 1 > 90ตามระดับ GFR ระยะท่ี 2 60-89(ml/min/1.73m2) ระยะท่ี 3a 45-59 ระยะที่ 3b 30-44 ระยะที่ 4 15-29 ระยะท่ี 5 <15(ท่ีมา: KDIGO 2012)เขยี ว : ความเสย่ี งต่ํา เหลอื ง ความเสยี่ งปานกลาง ส้ม ความเสย่ี งสงู แดง : ความเสยี่ งสงู มากการประเมนิ ผปู ว ยโรคไตวายเรื้อรัง 1. ในผปู ว ยทม่ี ี eGFR ≥ 60 ml/min/1.73m2 1.1 ถา ไมมอี าการหรือมีภาวะไตผิดปกติอื่นๆ ไมถือเปนขอบงช้ีในการสงตรวจเพิ่มเติม และไมถือเปนผูปวยโรคไต เรื้อรัง
ซซ 2. ในผปู ว ยที่มี eGFR < 60 ml/min/1.73m2 2.1 สบื หาคาครแี อตนิ นี ในเลือด (serum creatinine; SCr) หรอื eGFR ในอดีตเพอ่ื ประเมนิ อัตราการเสื่อมของไต 2.2 ทบทวนประวัติการใชยา โดยเฉพาะยาใหมๆ ท่ีเริ่มใช เชน ยาตานการอับเสบท่ีไมใชสเตียรอยด (non- steroidal anti-inflammatory drugs; NSAIDs) ยาปฏิชีวนะ ยาขับปสสาวะ ยากลุม angiotensin- converting enzyme inhibitors (ACEIs) และ/ หรอื angiotensin II receptor blockers (ARBs) เปนตน 3. ตรวจปส สาวะเพื่อหาภาวะเมด็ เลือดแดง หรือโปรตนี ร่วั ในปส สาวะ แตถา หากพบโปรตนี และเมด็ เลือดขาวรวมดวย อาจมีสาเหตุจากการติดเชอื้ ในทางเดินปสสาวะ จึงควรสงปส สาวะเพ่อื เพาะเชื้อ และรกั ษาโรคติดเชื้อกอนแลวจึงสง ปสสาวะอีกคร้ังเพอ่ื คํานวณคา โปรตนี ตอครแี อตินนี (protein-to-creatininie ratio, PCR) 4. ประเมินลักษณะทางคลินิกของผูปวยเพื่อหาสาเหตุของโรคไตท่ีรักษาใหหายได เชน ซักถามอาการผิดปกติของ ระบบทางเดินปสสาวะ ภาวะหัวใจลมเหลว ภาวะติดเช้ือในกระแสเลือด ภาวะขาดสารนํ้า วัดความดันโลหิต และ ตรวจรา งกายดว ยวิธีการคลาํ กระเพาะปส สาวะ เปนตน 5. หากเปน ผูป ว ยซง่ึ ไมเ คยมปี ระวัติโรคไตมากอน ควรสงตรวจคาครีแอตินีนในเลือดและ eGFR ซ้ําภายใน 7 วัน เพ่ือ คน หาโรคที่อาจทาํ ใหเกดิ ภาวะไตวายฉับพลนั 6. หากไมม ีขอ บงชใ้ี นการสงตอผูป ว ย แนะนําใหผปู วยเขารวมโครงการดูแลผูปวยโรคไตเรื้อรัง ณ สถานพยาบาลน้ันๆ อยา งตอ เนื่อง
11 คาํ แนะนําท่ี 1 การเลือกผูป วยทีม่ คี วามเสี่ยงสูงตอการเกดิ โรคไตเร้อื รังเพื่อรับการตรวจคดั กรอง ผูปว ยทีม่ ปี ระวัตดิ ังตอ ไปนจ้ี ดั เปนผูทมี่ ีความเสี่ยงสูงตอ การเกดิ โรคไตเรอ้ื รงั ไดแ ก1.1 โรคเบาหวาน (++/ I)1.2 โรคความดันโลหติ สงู (++/ II)1.3 อายุมากกวา 60 ปขน้ึ ไป (+/ II)1.4 โรคแพภ ูมติ นเอง (autoimmune diseases) ท่อี าจกอ ใหเกดิ ไตผดิ ปกติ (+/ III)1.5 โรคตดิ เชื้อในระบบตา งๆ (systemic infection) ทอี่ าจกอใหเกิดโรคไต (+/ III)1.6 โรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease) (+/ III)1.7 โรคติดเชื้อระบบทางเดินปสสาวะสว นบนซ้ําหลายครงั้ (+/ III)1.8 โรคเกา ท (gout) หรือระดบั กรดยรู คิ ในเลือดสูง (+/ III)1.9 ไดร ับยาแกป วดกลุม NSAIDs หรอื สารทม่ี ีผลกระทบตอไต (nephrotoxic agents) เปน ประจาํ (+/ IV)1.10 มีมวลเน้ือไต (renal mass) ลดลง หรือมีไตขางเดยี ว ทง้ั ทเี่ ปน มาแตก าํ เนดิ หรือเปนในภายหลัง (+/ IV)1.11 มปี ระวัตโิ รคไตเรอ้ื รังในครอบครวั (+/ IV)1.12 ตรวจพบน่ิวในไตหรือในระบบทางเดินปสสาวะ (+/ IV)1.13 ตรวจพบถงุ นํ้าในไตมากกวา 3 ตําแหนงขึน้ ไป (+/ IV)
22 คําแนะนําที่ 2 การตรวจคัดกรองโรคไตเร้ือรัง ผูทมี่ ปี จ จัยเสีย่ งขอใดขอหน่ึงจากขอ แนะนําเวชปฏบิ ัติที่ 1 ควรไดร บั การตรวจเพื่อวินิจฉยั โรคไตเรอ้ื รัง ดังนี้2.1 ประเมินคา eGFR อยางนอยปละ 1 คร้ัง ดวยการตรวจระดับครีแอตินีนในเลือด และคํานวณดวยสมการ “CKD-EPI (Chronic Kidney Disease Epidemiology Collaboration) equation” (++/ II) (ตารางท่ี 4)ตารางท่ี 4 สมการ CKD-EPI จําแนกตามเพศและระดับครีแอตนิ ีนในเลือดเพศ ระดบั ครแี อตนิ นี ในเลือด (mg/dL) สมการ ≤ 0.7 eGFR = 144 x (SCr/0.7) -0.329 x (0.993)Ageหญงิ > 0.7 eGFR = 144 x (SCr/0.7) -1.209 x (0.993)Ageชาย ≤ 0.9 eGFR = 141 x (SCr/0.9) -0.411 x (0.993)Age > 0.9 eGFR = 141 x (SCr/0.9) -1.209 x (0.993)Age2.1.1 ขอ แนะนําในการตรวจทางหองปฏบิ ัติการ (+/ II)2.1.1.1 ควรใชคาระดับครีแอตินีนในเลือดท่ีวัดดวยวิธี enzymatic method เพ่ือเพิ่มความแมนยําในการ ประเมนิ คา eGFR2.1.1.2 การรายงานผลคาระดับครีแอตินีนในเลือด ควรรายงานผลเปนคาทศนิยม 2 ตําแหนง เชน คาครีแอ ตินีน เทากับ 1.01 mg/dL และควรรายงานควบคูกับคา eGFR ท่ีระบุสูตรที่ใชคํานวณ เชน eGFR (CKD-EPI) โดยใชห นวยเปน ml/min/1.73m22.1.1.3 สามารถใชสูตรคาํ นวณ eGFR (creatinine-based GFR estimating equation) อน่ื ๆ ไดใ นกรณที ไี่ ด มีการพิสูจนวามีความถูกตองเทากับหรือมากกวา CKD-EPI equation เชน สมการ “Thai estimated GFR equation” ดังนี้ eGFR = 375.5 x SCr(-0.848) x Age(-0.364) x 0.712 (ถาเปน ผหู ญิง)2.1.1.4 ขอแนะนาํ ใหต รวจทางหอ งปฏบิ ตั ิการเพิ่มเพ่อื ยืนยนั การวินจิ ฉัยโรคไตเรอื้ รังในกรณีตอไปน้ี (ก) พจิ ารณาตรวจระดับสารซิสตาตินซี (cystatin C) ในเลือด (SCysC) (ถาทําได) ในผูปวยที่มีคา eGFR ท่ีคํานวณจาก ระดับครีแอตินีนในเลือดมีคาระหวาง 45-59 ml/min/1.73m2 และไมมี ความผดิ ปกติของไตจากการตรวจอ่ืนๆ โดยนําผลการตรวจระดับครีแอตินีนในเลือดและระดับ สารซิสตาตินซี มาคํานวณหาคา eGFR ดวยสมการ “2012 CKD-EPI creatinine-cystatin C based GFR equation” (+/-/ II) ดังน้ี eGFR = −0.499 −1.328 133 ∗ ������������������������������������ �������������������0������������.���8��������������������������� , ∗ ������������������������������������ �������������������0������������.���8��������������������������� , ∗ 0.996������������������������������������ [∗ 0.932 ถา เปน ผหู ญงิ ] 1� 1� โดยกาํ หนดให SCysC คอื ระดับสารซิสตาตินซี (mg/dL) min คอื คาต่าํ สุดระหวาง ������������������������������������������������������������ หรอื 1 และ max คือคาสูงสดุ ระหวาง ������������������������������������������������������������ หรอื 1 0.8 0.8 (ข) พิจารณาตรวจปสสาวะ 24 ชั่วโมง เพื่อคํานวณ creatinine clearance ในกรณีท่ีตองการ ยืนยันการวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังในผูปวยท่ีมีปจจัยรบกวนการวัดคาระดับครีแอตินีนในเลือด (+/ III)
332.2 ตรวจหาอัลบูมนิ จากตวั อยา งปสสาวะโดยใชแ ถบสจี มุ (dipstick) 2.2.1 ถาตรวจพบมโี ปรตีนร่ัวทางปส สาวะตง้ั แตระดับ 1+ ขึน้ ไป และไมมสี าเหตอุ น่ื ท่ีสามารถทําใหเกิดผลบวกลวง ถือ ไดว า มคี วามผดิ ปกติ (++/ III) 2.2.2 ขอแนะนําในกรณีผูปวยเบาหวานและ/ หรือความดันโลหติ สงู ที่ตรวจไมพบโปรตีนรั่วทางปสสาวะดวยแถบสีจุม ควรพิจารณาตรวจเพ่มิ ดวยวธิ ีใดวิธหี นง่ึ ดังนี้ (++/ II) 2.2.2.1 ตรวจ ACR จากการเกบ็ ปส สาวะตอนเชา (spot morning urine) ถามีคา 30-300 mg/g แสดงวามี ภาวะ microalbuminuria (ปจจุบนั ใชคําวา moderately increased albuminuria) 2.2.2.2 ตรวจปส สาวะแบบจมุ ดว ยแถบสีสาํ หรับ microalbumin (cut-off level : 20 mg/L) ถาผลเปนบวก แสดงวามีภาวะ albuminuria ควรสงตรวจซ้ําอีก 1-2 ครั้งใน 3 เดือน หากพบ albuminuria 2 ใน 3 ครงั้ ถอื วา มภี าวะไตผิดปกติ2.3 ตรวจหาเม็ดเลือดแดงในปสสาวะดวยแถบสีจุม ถาไดผลบวกใหทําการตรวจ microscopic examination โดย ละเอียด หากพบเม็ดเลอื ดแดงมากกวา 5 cells/HPF ในปส สาวะที่ไดรับการปน และไมมีสาเหตุที่สามารถทําใหเกิดผล บวกปลอม ถอื ไดวามีความผดิ ปกติ (++/ IV)2.4 ในกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติตามขอ 2.1-2.3 ควรไดรับการตรวจซํ้าอีกครั้งในระยะเวลา 3 เดือน หากยืนยันความ ผิดปกตสิ ามารถใหการวินิจฉัยวาผูปวยเปนโรคไตเรื้อรัง หากผลการตรวจซ้ําไมยืนยันความผิดปกติ ใหทําการตรวจคัด กรองผปู ว ยในปถัดไป (++/ IV)2.5 การตรวจอ่ืนๆ เชน การตรวจทางรังสี (plain KUB) และ/หรือการตรวจอัลตราซาวด (ultrasonography of KUB) ขึ้นอยกู บั ขอ บง ช้ใี นผูป วยแตล ะราย (+/-/ IV)
44 คําแนะนําที่ 3 การติดตามระดบั การทาํ งานของไต ควรมกี ารติดตามระดับการทํางานของไตโดยการตรวจคา eGFR และอลั บูมินจากตัวอยา งปส สาวะในผูปวยโรคไตเร้ือรังอยางนอยปละ 1 ครั้ง (Not Graded) แตควรตรวจถ่ีข้ึนในกรณีท่ีผูปวยมีความเสี่ยงสูงที่จะมี eGFR ลดลงอยางรวดเร็วหรอื เพือ่ ใชในการตัดสินใจหรอื ตดิ ตามการรกั ษา โดยมขี อแนะนาํ สําหรับความถ่ีในการตรวจซึง่ แบงตามระยะของโรคไตเร้ือรงัดังน้ี (Not Graded)3.1 โรคไตเรื้อรังระยะท่ี 1 และ 2 ควรติดตามอยางนอยทุก 12 เดือน หรือทุก 6 เดือน ถาตรวจพบ ACR มากกวา 300 mg/g หรือ PCR มากกวา 500 mg/g3.2 โรคไตเร้ือรังระยะที่ 3a ควรตดิ ตามอยางนอ ยทุก 6 เดือน หรอื 3.2.1 ทุก 4 เดือน ถาตรวจพบ ACR มากกวา 300 mg/g หรือ PCR มากกวา 500 mg/g 3.2.2 ทุก 12 เดือน ถา ระดบั การทํางานของไตคงท่ี และตรวจไมพ บโปรตีนในปสสาวะ3.3 โรคไตเรอ้ื รงั ระยะที่ 3b ควรตดิ ตามอยางนอ ยทุก 6 เดือน หรือทุก 4 เดอื น ถา ตรวจพบ ACR มากกวา 30 mg/g หรือ PCR มากกวา 150 mg/g3.4 โรคไตเร้อื รังระยะท่ี 4 ควรติดตามอยา งนอ ยทุก 4 เดือน หรือทุก 3 เดือน ถาตรวจพบ ACR มากกวา 300 mg/g หรือ PCR มากกวา 500 mg/g3.5 โรคไตเรอื้ รังระยะที่ 5 ควรติดตามอยา งนอ ยทกุ 3 เดอื น
55 คําแนะนําที่ 4 การสง ปรึกษาหรือสงตอผูปวย4.1 ควรสงปรกึ ษาหรือสง ตอ ผูปว ยเพ่ือพบอายุรแพทย เมอื่ (+/ II) 4.1.1 ผูปวยมี eGFR 30-59 ml/min/1.73m2 รวมกับมีการเสื่อมของไตไมมากกวา 5 ml/min/1.73m2 ตอป โดยเฉพาะเมื่อมขี อบงชรี้ วมอนื่ ๆ4.2 ควรสงปรึกษาหรือสง ตอผูป วยเพอื่ พบอายุรแพทยโรคไต เมือ่ (+/ II) 4.2.1 ผูปว ยมภี าวะการลดลงของการทาํ งานของไตอยางตอเน่ือง ไดแ ก 4.2.1.1 มีการเพิ่มข้ึนของ CKD staging หรอื มีคา eGFR ลดลงมากกวารอยละ 25 จากคาตงั้ ตน 4.2.1.2 มีการลดลงของ eGFR มากกวา 5 ml/min/1.73m2 ตอ ป 4.2.2 ผปู วยมี eGFR นอยกวา 30 ml/min/1.73m2 โดยเฉพาะเมือ่ มีขอ บงชีร้ วมอืน่ ๆ4.3 ขอ บง ชรี้ วมอืน่ ๆ ไดแก 4.3.1 ผูป วยทีม่ ีภาวะไตวายเฉียบพลนั 4.3.2 ผูปวยมี ACR มากกวา 300 mg/g หรือ PCR มากกวา 500 mg/g หลังไดรับการควบคุมความดันโลหิตไดตาม เปา หมายแลว 4.3.3 มีภาวะความดนั โลหิตสงู ทคี่ วบคมุ ไมไ ดดว ยยาลดความดนั โลหิตตงั้ แต 4 ชนิดข้นึ ไป 4.3.4 ผปู วยท่มี ีเม็ดเลือดแดงในปสสาวะมากกวา 20 cells/HPF และหาสาเหตุไมได 4.3.5 ผูปว ยทมี่ รี ะดับโปแตสเซียมในเลอื ดสูงเร้ือรัง 4.3.6 ผปู ว ยทีร่ ับการวนิ จิ ฉัยวามีโรคนิ่วในทางเดินปสสาวะมากกวา 1 ครงั้ หรอื รว มกับภาวะอดุ ก้ันทางเดนิ ปสสาวะ 4.3.7 ผปู ว ยท่ีมโี รคไตเรื้อรังท่เี กิดจากการถา ยทอดทางพันธกุ รรม
66 คําแนะนําที่ 5 การควบคมุ ความดนั โลหติ5.1 ปรบั เปา หมายของระดบั ความดนั โลหติ และชนดิ ของยาลดความดันโลหิตในผูปวยแตละรายโดยคํานึงถึงอายุ โรคหัวใจ และหลอดเลอื ด ความเส่ียงตอ การเสื่อมของไต ความทนตอยา และผลขางเคียงของการรักษาโดยเฉพาะภาวะความดัน โลหติ ตาํ่ เกลอื แรผิดปกติ และภาวะไตวายฉบั พลนั (Not Graded)5.2 แนะนําปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมเพอ่ื ลดความดันโลหิตและปองกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยสนับสนุนใหผูปวยโรคไต เร้อื รังออกกาํ ลงั กายทเี่ หมาะสมกบั สภาวะของหัวใจ และโรครวมของผูปวย ควบคุมน้ําหนักใหคาดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) อยูร ะหวา ง 20-25 kg/m2 จํากัดการรับประทานโซเดียมใหนอยกวา 2,000 mg/day และใหหยุด สบู บหุ ร่ี (++/ IV)5.3 เปา หมายของระดบั ความดนั โลหติ ทหี่ วังผลชะลอการเสอ่ื มของไตในผูป วยโรคไตเรื้อรงั ที่มรี ะดับอัลบูมินในปสสาวะนอย กวา 30 mg/day หรอื PCR นอ ยกวา 150 mg/g คอื นอยกวา 140/90 mmHg (++/ I-2)5.4 เปาหมายของระดับความดันโลหิตที่หวังผลชะลอการเส่ือมของไตในผูปวยโรคไตเรื้อรังที่มีระดับอัลบูมินในปสสาวะ มากกวา 30 mg/day หรอื PCR มากกวา 150 mg/g คอื นอ ยกวา 130/80 mmHg (+/ III-2)5.5 ผูปวยโรคไตเรื้อรังทั้งท่ีเปนและไมเปนเบาหวานที่มี ACR 30-300 mg/g หรือ PCR 150-500 mg/g ควรไดรับยากลุม ACEIs หรือ ARBs ถาไมมีขอหามในการใช (+/ III-2)5.6 ผปู ว ยทม่ี ีโรคไตเรอ้ื รงั ท้ังที่เปน และไมเปนเบาหวานท่ีมี ACR 300 mg/day หรือ PCR มากกวา 500 mg/g ควรไดรับ ยากลมุ ACEIs หรือ ARBs ถา ไมมขี อ หามในการใช (++/ I-2)5.7 ไมม ขี อ มลู สนบั สนุนการใชยากลมุ ACEIs รวมกบั ARBs ในการชะลอการเส่อื มของไต (-/ I-2)5.8 ผูปว ยโรคไตเรอ้ื รงั ทไี่ ดร ับยากลมุ ACEIs หรอื ARBs ควรไดร ับยาในขนาดปานกลางหรอื สงู ตามที่มกี ารศึกษาวิจัยถึงผลดี ของยาในผปู วยโรคไตเรอื้ รงั (++/ I-2)5.9 ผปู วยโรคไตเร้ือรังสวนใหญจ ําเปนตอ งใชย าลดความดนั โลหิตอยางนอ ย 2 ชนดิ รวมกนั เพอื่ ควบคุมความดันโลหิตใหอยู ในระดับเปา หมาย (++/ I-3)5.10 ผปู ว ยโรคไตเร้ือรังท่ีไดรับยากลุม ACEIs หรือ ARBs ควรไดรับการติดตามระดับครีแอตินีน และระดับโปแตสเซียมใน เลือดเปนระยะตามความเหมาะสม (ตารางที่ 5) โดยยังสามารถใชยาดังกลาวตอไปไดในกรณีท่ีมีการเพิ่มขึ้นของ ระดับครีแอตินีนในเลือดไมเกินรอยละ 30 จากคาตั้งตน หรือระดับโปแตสเซียมในเลือดนอยกวา 5.5 mmol/L (++/ I-2)
77ตารางที่ 5 ชวงเวลาที่แนะนาํ ในการตดิ ตามความดันโลหิต GFR หรือโปแตสเซยี มในเลือด เพอ่ื เฝา ระวงั ผลแทรกซอนจากการใชยากลุม ACEIs หรอื ARBs ในผปู ว ยโรคไตเรื้อรังคา ความดันโลหติ ซสิ โตลคิ (mmHg) > 120 คา ทวี่ ัดได < 110GFR (ml/min/1.73m2) 110 – 119 > 60 30 - 59 < 30GFR ทลี่ ดลงในชว งแรก (%) < 15 15 - 30 > 30ระดบั โปแตสเซยี มในเลือด (mmol/L) < 4.5 4.6 - 5.0 > 5 ชว งเวลาที่แนะนาํ ในการตดิ ตามหลงั จากเรม่ิ ใชยา หรอื เพ่มิ ขนาดยา 4-12 สปั ดาห 2-4 สปั ดาห < 2 สัปดาหหลังจากคา ความดนั โลหติ ถึงเปาหมาย และ 6-12 เดือน 3-6 เดอื น 1-3 เดอื นขนาดยาคงที่
88 คําแนะนาํ ที่ 6 การลดปริมาณโปรตนี ในปสสาวะ6.1 เปาหมายของระดับโปรตีนในปส สาวะท่หี วังผลชะลอการเสอ่ื มของไตในผูปวยโรคไตเรื้อรังที่ไมไดเกิดจากเบาหวาน คือ AER นอ ยกวา 500-1,000 mg/day หรือ PCR นอ ยกวา 500-1,000 mg/g ภายในระยะเวลา 6 เดือน (+/ I-3)6.2 เปา หมายของระดับโปรตีนในปสสาวะท่ีหวังผลชะลอการเสื่อมของไตในผูปวยโรคไตเร้ือรังที่เกิดจากเบาหวาน คือ ลด ระดับโปรตนี ในปสสาวะใหตํา่ ทสี่ ุดเทา ท่ีจะทาํ ได โดยไมเกิดผลขา งเคียงจากยาทร่ี ักษา (+/ II-3)6.3 ผูปวยโรคไตเรื้อรังท่ีไดรับยากลุม ACEIs หรือ ARBs ควรปรับเพ่ิมขนาดยาจน ปริมาณโปรตีนในปสสาวะถึงเปาหมาย โดยไมเ กดิ ผลขา งเคยี งจากยา (+/ II-3)6.4 ไมแนะนําใหยากลุม ACEIs หรือ ARBs ในผูปวยโรคเบาหวานท่ีไมมีความดันโลหิตสูงและปริมาณอัลบูมินในปสสาวะ นอยกวา 30 mg/day (--/ I-2)6.5 แนะนําใหใชยากลุม ACEIs หรือ ARBs ในผูปวยโรคไตเร้ือรังที่เปนเบาหวานและมี AER 30-300 mg/day หรือ ACR 30-300 mg/g (+/ I-2)6.6 แนะนําใหใ ชยา ACEI หรอื ARB ในผปู วยโรคไตเร้ือรังท้ังท่ีเปนเบาหวานและไมไดเปนเบาหวานที่มี AER มากกวา 300 mg/g หรอื ACR มากกวา 300 mg/g (++/ I-1)6.7 ไมมขี อมูลสนับสนนุ การใชยากลมุ ACEIs รวมกบั ARBs ในผปู วยโรคไตเรือ้ รงั ในการชะลอการเส่อื มของไต โดยเฉพาะใน กลุมผูสูงอายทุ ี่มโี รคหวั ใจและหลอดเลือดรว มดวย หรอื ในผูปวยเบาหวาน (-/ I-2)
99 คาํ แนะนาํ ที่ 7 การควบคมุ ระดับนํา้ ตาลในเลอื ดของผปู วยเบาหวานที่มโี รคไตเร้อื รงั7.1 เปา หมายของระดับน้าํ ตาลในเลอื ดในผปู ว ยเบาหวานทีม่ ีโรคไตเรื้อรงั ควรพิจารณาใหเหมาะสมสําหรับผูปวยแตละราย โดยพิจารณาจากระยะเวลาท่ีเปนเบาหวาน อายุของผูปวย ระยะเวลาที่คาดวาจะมีชีวิตอยู (life expectancy) หรือ อายขุ ัย โรครวมตา งๆรวมถงึ โรคหัวใจและหลอดเลอื ด และความเส่ยี งท่จี ะเกดิ ภาวะน้ําตาลในเลือดตาํ่ โดยมหี ลกั เกณฑ ท่ัวไปดังนี้ 7.1.1 ระดับนํ้าตาลกอนอาหาร (preprandial capillary plasma glucose) ที่ระดับ 80-130 mg/dL (4.4-7.2 mmol/L) โดยผูปว ยเบาหวานทมี่ ีโรคไตเร้อื รงั ระยะ 1-3 ผูปวยที่มี AER นอยกวา 300 mg/day และไมม คี วาม เสี่ยงของการเกดิ ภาวะน้าํ ตาลในเลือดตาํ่ อาจควบคุมระดับน้าํ ตาลใหอ ยูใกลคาต่ําของระดับท่ีแนะนํา ในขณะ ที่ผูปวยเบาหวานที่มโี รคไตเรื้อรังระยะ 4-5 ผูปวยที่มี AER มากกวา 300 mg/day หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิด ภาวะนาํ้ ตาลในเลอื ดตํ่า ควรควบคมุ ระดบั นา้ํ ตาลใหคอ นมาทางคา สูงของระดบั ทแ่ี นะนํา (+/ II) 7.1.2 ระดับนํ้าตาลสูงสุดหลังอาหาร (peak postprandial capillary plasma glucose) นอยกวา 180 mg/dL (นอ ยกวา 10.0 mmol/L) (+/-/ II) 7.1.3 เปา หมายระดับนา้ํ ตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ประมาณรอยละ 7.0 ในผูปวยบางรายอาจพิจารณาลดระดับ นาํ้ ตาลอยางเขม งวดเพ่ือใหใ กลเคียงคาปกติ (HbA1C นอยกวารอยละ 6.5) ไดแ ก ผูปวยที่เปนเบาหวานไมนาน คาดวามอี ายขุ ยั ยนื ยาว ไมม โี รคหัวใจและหลอดเลอื ด และมคี วามเสยี่ งตํา่ ที่จะเกิดภาวะระดบั น้ําตาลในเลอื ดต่าํ เมือ่ ควบคุมระดับน้ําตาลอยางเขมงวด ในขณะท่ีผูปวยบางรายควรลดความเขมงวดของการคุมระดับน้ําตาล (เปาหมาย HbA1C รอยละ 7-8) ไดแก ผูที่เคยมีประวัติระดับน้ําตาลในเลือดต่ํารุนแรงหรือไมมีการเฝาระวัง ภาวะน้ําตาลในเลือดตาํ่ ทีด่ พี อ ผทู ีค่ าดวามอี ายุขยั ไมนาน เปน เบาหวานมานาน มีโรคหัวใจและหลอดเลือดหรือ อาการแทรกซอนของโรคหลอดเลอื ดขนาดเลก็ ทีเ่ ปนมากแลว หรอื มโี รคอ่นื ๆทีร่ ุนแรงรว มดว ย (++/ I-2)7.2 การใชย าลดระดบั นาํ้ ตาลในเลือด 7.2.1 กลุม biguanides (metformin): สามารถใชยา metformin ไดเมื่อ eGFR มากกวาหรือเทากับ 45 ml/min/1.73m2 แตค วรทบทวนหรอื ระวังการใชยาเม่ือ eGFR อยใู นชว ง 30-44 ml/min/1.73m2 และไมควร ใชย าหรอื ควรหยุดการใชยา metformin เมื่อ eGFR นอ ยกวา 30 ml/min/1.73m2 (-/ II-3) 7.2.2 กลมุ sulfonylureas: สามารถใชไดแ ตควรเฝา ระวังภาวะนา้ํ ตาลในเลือดตํา่ เนือ่ งจากการกําจัดยาลดลงในผูปวย โรคไตเรือ้ รงั ระยะ 3-5 จึงควรเรม่ิ ยาท่ีขนาดตํ่า 7.2.2.1 Glibenclamide: ไมแนะนาํ ใหใชถา eGFR นอยกวา 30 ml/min/1.73m2 (-/ II) 7.2.2.2 Glipizide และ gliclazide: สามารถใชไดในผูปวยโรคไตเรื้อรังโดยไมตองปรับขนาดยา แตตองระวัง ในผปู ว ยที่ eGFR นอ ยกวา 10 ml/min/1.73m2 (+/ III-1) 7.2.3 กลุม alpha-glucosidase inhibitors: ไมแนะนําใหใช acarbose ถา eGFR นอยกวา 30 ml/min/1.73m2 และไมแนะนําใหใ ช miglitol ถา eGFR นอ ยกวา 25 ml/min/1.73m2 (-/ III-1) 7.2.4 กลุม meglitinides: repaglinide และ nateglinide สามารถใชไดในผูปวยโรคไตเร้ือรัง อยางไรก็ตาม ใน ผูปวยท่ี eGFR นอยกวา 30 ml/min/1.73m2 ควรเริ่มยาท่ีขนาดต่ํา (repaglinide 0.5 mg/day หรือ nateglinide 60 mg/day) และเพม่ิ ขนาดยาชา ๆ ดว ยความระมดั ระวัง (+/ III-1) 7.2.5 กลมุ thiazolidinediones: สามารถใชไ ดใ นผปู ว ยโรคไตเร้ือรังโดยไมตองปรับขนาดยา แตตองระวังภาวะบวม และหัวใจวายจากการที่มีเกลือและน้ําคั่ง และมีรายงานความสัมพันธกับอัตรากระดูกหักเพิ่มขึ้น จึงอาจตอง ระมดั ระวงั ในผปู วยทีม่ ปี ญ หาเรือ่ งความแข็งแรงของกระดูก (+/-/ IV-2)
10 10 7.2.6 กลุม dipeptidyl peptidase-4 (DPP-4) inhibitors: สามารถใชยากลุมนี้ไดในผูปวยโรคไตเร้ือรังที่การทํางาน ของไตลดลงมาก โดยการปรับลดขนาดยา ไดแก sitagliptin saxagliptin และ vildagliptin มีเพียงยา linagliptin เทา นนั้ สามารถใชไดโดยไมตองปรับลดขนาดยา ขนาดยาปกติของ sitagliptin คือ 100 mg/day แนะนําใหลดขนาดยาเหลือรอยละ 50 ของขนาดยาปกติ (50 mg/day) เมื่อ eGFR อยูในชวง 30-50 ml/min/1.73m2 และลดขนาดยาเหลือรอยละ 25 (25 mg/day) เมื่อ eGFR นอยกวา 30 ml/min/1.73m2 สวนยา vildagliptin แนะนําใหใชขนาดยา 50 mg/day เมื่อ eGFR นอยกวา 50 ml/min/1.73m2 และ saxagliptin ใชข นาดยา 2.5 mg/day เมื่อ eGFR นอยกวา หรือเทากับ 50 ml/min/1.73m2 (+/ III-1) 7.2.7 กลุมอินซูลิน (insulins): เปนยาที่ใชเริ่มตนในผูปวยเบาหวานชนิดท่ี 1 หรืออาจใชในเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะเม่ือมีระดับน้ําตาลในเลอื ดสงู มาก (HbA1C มากกวา 10% หรือระดับนํ้าตาลในพลาสมากอนอาหาร เชามากกวา 250 mg/dL หรือระดับนํ้าตาลในพลาสมาจากการสุมตรวจ (random) มากกวา 300 mg/dL) หรือสามารถใชอินซูลินรวมกับยารับประทาน ในกรณีที่ไมสามารถควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดใหไดตาม เปาหมายดว ยยารบั ประทาน 2 ชนดิ นอกจากนี้ อินซลู นิ เปน ยาทเี่ หมาะสําหรับผูปวยโรคไตเรื้อรังโดยเฉพาะ เมื่อการทํางานของไตลดลงอยางมาก (eGFR นอยกวา 30 ml/min/1.73m2) อยางไรก็ตาม ควรมีการปรับ ลดขนาดของยาจากปริมาณเดิมท่ีใชเมื่อการทํางานของไตลดลง โดยคําแนะนําท่ัวไป ไดแก ควรลดขนาดยา อินซูลินรอยละ 25 เมื่อ GFR อยูในชวง 10-50 ml/min/1.73m2 และลดขนาดลงรอยละ 50 เม่ือ GFR นอย กวา 10 ml/min/1.73m2 รวมทั้งควรเฝาระวังภาวะน้ําตาลในเลือดต่ําโดยการติดตามระดับน้ําตาลในเลือด เปน ระยะ (+/ IV-1)
1111 คาํ แนะนาํ ที่ 8 การควบคุมระดับไขมันในเลือด8.1 การตรวจวดั ระดับไขมันในเลอื ดในผปู ว ยโรคไตเรื้อรัง 8.1.1 ผปู ว ยโรคไตเรื้อรังรายใหมควรไดรับการตรวจระดับไขมันในเลือด (lipid profiles) ไดแก total cholesterol, LDL cholesterol, HDL cholesterol และ triglyceride โดยมีวัตถปุ ระสงคเ พื่อคนหาภาวะอ่ืนที่ทําใหมีภาวะ ไขมันในเลือดสูง (secondary causes) (+/ III-2) (ตารางที่ 6) ในกรณีที่ตรวจพบระดับ fasting triglyceride มากกวา 1,000 mg/dl หรือ LDL cholesterol มากกวา 190 mg/dl) ควรสงปรึกษาผเู ชีย่ วชาญตารางท่ี 6 แสดงโรคหรอื ภาวะอื่นๆ (secondary causes) ที่ทําใหม ีภาวะไขมนั ในเลอื ดสูงสาเหตจุ ากโรคหรือภาวะตา งๆ สาเหตจุ ากยาNephrotic syndrome 13-cis-retinoic acidExcessive alcohol consumption AndrogensHypothyroidism AnticonvulsantsLiver disease Oral contraceptivesDiabetes Highly active anti-retroviral therapy Corticosteroids Diuretics Cyclosporine Beta-blockers Sirolimus 8.1.2 ไมจ าํ เปนตอ งตรวจตดิ ตามระดบั ไขมันในเลือดในผูป ว ยโรคไตเรอ้ื รงั เพื่อตดิ ตามอาการหรือผลการรักษา (“fire- and-forget’’ strategy) (+/-/ IV-1) ยกเวน ในกรณีดังตอไปนใี้ หพจิ ารณา ตดิ ตามระดับไขมนั ในเลอื ด 8.1.2.1 ประเมนิ วา ผูปวยรบั ประทานยาตามแพทยส่งั หรือไม 8.1.2.2 เมอ่ื มกี ารเปลยี่ นวธิ กี ารบําบดั ทดแทนไต 8.1.2.3 สงสัยวาอาจมีโรคหรือภาวะอื่นท่ีทาํ ใหมีภาวะไขมันสงู 8.1.2.4 เพ่ือประเมินความเส่ียงตอภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจในระยะเวลา 10 ป (10-year cardiovascular risk in incidence of coronary death or non-fatal myocardial infarction)1 ในผูปวยโรคไต เรอ้ื รงั ทอ่ี ายนุ อยกวา 50 ป และไมไดรับยาลดไขมนั ชนิด statins8.2 การใชย าลดไขมนั ในเลือดในผปู วยโรคไตเรือ้ รงั 8.2.1 กลุมผูปวยดงั ตอไปน้ี ควรพจิ ารณาเพ่ือรับยาลดไขมนั 8.2.1.1 ผูท่มี อี ายตุ ั้งแต 50 ปขน้ึ ไป และมี eGFR นอ ยกวา 60 ml/min/1.73m2 (ระยะที่ 3a-5) ที่ยงั ไมไ ดร บั การบําบัดทดแทนไต พิจารณาเพ่ือรับยาลดไขมันกลุม statins หรือ statin/ezetimibe combination (+/ I-2)
12 12 8.2.1.2 ผูที่มีอายุต้ังแต 50 ปขึ้นไป และมี eGFR ตั้งแต 60 ml/min/1.73m2 (ระยะที่ 1-2) พิจารณาเพ่ือ รับยาลดไขมันกลุม statins โดยเฉพาะเมื่อมีปจจัยเส่ียงอ่ืนๆ ตอภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ (+/-/ II-3) 8.2.1.3 ผูท่ีมีอายุระหวาง 18–49 ป ที่ยังไมไดรับการบําบัดทดแทนไต พิจารณาเพื่อรับยาลดไขมันกลุม statins ในกรณดี ังตอ ไปนี้ (+/ I-2) (ก) มีภาวะโรคหลอดเลอื ดหัวใจ (myocardial infarction or coronary revascularization) (ข) เปนโรคเบาหวานรวมดวย (ค) มโี รคหลอดเลอื ดสมองชนดิ ที่เปนสมองขาดเลอื ด (ischemic stroke) (ง) ประเมินความเสย่ี งตอ ภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจในระยะเวลา 10 ป1 แลวมีความเส่ียงมากกวา รอยละ 10 8.2.1.4 ผปู ว ยท่ไี ดร บั การปลูกถา ยไต (+/-/ II-2)8.2.2 ควรระมัดระวังการใชยาลดไขมันขนาดสูง โดยเฉพาะเม่ือการทํางานของไตลดลง (ตารางที่ 7) ทั้งนี้ การ เลอื กใชชนิดยากลุมstatin นัน้ ใหแ พทยพ จิ ารณาจากตัวยาท่ีมีใชใ นสถานพยาบาลนน้ั ๆ และพจิ ารณาจากขอ มูล เกย่ี วกบั ความปลอดภยั ของยากลมุ statins ในผูปวยโรคไตเรือ้ รงัตารางท่ี 7 ขนาดยาสูงสดุ ของยากลมุ statins ที่แนะนําในผปู ว ยโรคไตเร้อื รัง (หนว ยเปน mg/day)Statins ขนาดสูงสดุ ของยาทแ่ี นะนําตามระยะของโรคไตเรื้อรงั ระยะที่ 1-2 ระยะที่ 3a-5Lovastatin เทา กับคนปกติ ไมมีขอ มลูFluvastatin เทากบั คนปกติ 80Atorvastatin เทา กับคนปกติ 20Rosuvastatin เทา กบั คนปกติ 10Simvastatin/ezetimibe เทา กับคนปกติ 20/10Pravastatin เทากับคนปกติ 40Simvastatin เทากับคนปกติ 40Pitavastatin เทา กบั คนปกติ เทากบั คนปกติ8.3 การรักษาภาวะ hypertriglyceridemia 8.3.1 ผูปวยโรคไตเร้ือรังท่ีมีภาวะ hypertriglyceridemia ควรไดรับคําแนะนําใหควบคุมอาหาร ลดนํ้าหนัก ออก กําลังกายอยางสมาํ่ เสมอ และลดหรอื เลิกดม่ื เครอ่ื งด่ืมที่มแี อลกอฮอลผ สม (++/ IV)1เอกสารอา งองิ เกณฑที่ใชใ นการประเมินความเสยี่ งตอ ภาวะโรคหลอดเลอื ดหวั ใจในระยะเวลา 10 ป (1) Framingham Risk Scores จากรายงานของ Wilson PW, D’Agostino RB, Levy D et al. Prediction of coronary heart disease using risk factor categories. Circulation 1998;97:1837–47. (2) SCORE จากรายงานของ Perk J, De Backer G, Gohlke H et al. European Guidelines on cardiovascular disease prevention in clinical practice (version 2012). The Fifth Joint Task Force of the European Society of Cardiology and Other Societies on Cardiovascular Disease Prevention in Clinical Practice (constituted by representatives of nine societies and by invited experts). Eur Heart J 2012;33:1635–1701.
1133(3) PROCAM จากรายงานของ Assmann G, Cullen P, Schulte H. Simple scoring scheme for calculating the risk of acute coronary events based on the 10-year follow-up of the prospective cardiovascular Munster (PROCAM) study. Circulation 2002;105:310–5.(4) ASSIGN จากรายงานของ Woodward M, Brindle P, Tunstall-Pedoe H. Adding social deprivation and family history to cardiovascular risk assessment: the ASSIGN score from the Scottish Heart Health Extended Cohort (SHHEC). Heart 2007;93:172-6.(5) QRISK2 (Hippisley-Cox J, Coupland C, Vinogradova Y et al. Predicting cardiovascular risk in England and Wales: prospective derivation and validation of QRISK2. BMJ 2008;336:1475–82.
14 14 คำแนะนำที่ 9 กำรงดสบู บหุ รี่9.1 ผปู้ ว่ ยโรคไตเรอ้ื รังต้องไดร้ บั คาแนะนาให้งดสบู บุหรี่เพอื่ ชะลอการเสอ่ื มของไต และลดปจั จยั เส่ยี งในการเกดิ โรคหวั ใจ และหลอดเลอื ด (++/ I)
1155 คาํ แนะนาํ ที่ 10 โภชนบําบัดสําหรบั ผูปวยโรคไตเร้อื รัง10.1 ผูปวยโรคไตเรื้อรังควรไดรับอาหารที่มีโปรตีนตํ่าเพื่อชะลอการเส่ือมของไต โดยกําหนดระดับอาหารโปรตีนที่ผูปวย ควรไดร บั ตอวัน ดงั น้ี (++/ I) 10.1.1 ผูปวยท่ี eGFR นอยกวา 30 ml/min/1.73m2 (ระยะที่ 4-5) ควรไดรับโปรตีน 0.8 กรัม/กิโลกรัมของ นาํ้ หนักตัวทค่ี วรเปน1 (+/ II) 10.1.2 ผูปวยโรคไตเรื้อรัง ควรไดรับโปรตีนที่มีคุณภาพสูง (high biological value protein) หรือโปรตีนท่ีมี กรดอะมโิ นจําเปน ครบถวน ไดแก โปรตนี จากเนอ้ื สัตวหรือไขขาว เปนตน อยางนอ ยรอ ยละ 60 (++/ III)10.2 ผูปว ยโรคไตเร้ือรงั ควรไดรบั พลงั งานท่ีเพียงพอจากอาหาร ดงั นี้ 10.2.1 ถา อายนุ อ ยกวา 60 ป ควรไดรบั พลงั งาน 35 Kcal/kg ของนํา้ หนกั ตัวทีค่ วรเปน (kg)/วนั (++/ III) 10.2.2 ถาอายุมากกวาหรือเทากับ 60 ป ควรไดรับพลังงาน 30-35 Kcal/kg ของนํ้าหนักตัวที่ควรเปน (kg)/วัน (++/ III) วธิ ีการคาํ นวณนํา้ หนกั ตัวทีค่ วรเปน เพศชาย = ความสงู (cm) – 100 เพศหญิง = ความสงู (cm) – 11010.3 ผูปวยโรคไตเรื้อรังควรไดรับการดูแลรักษาใหมีระดับโปแตสเซียมในเลือดอยูในเกณฑปกติ ในกรณีที่ผูปวยมีระดับ โปแตสเซียมในเลือดสูง ควรคนหาสาเหตุ เชน จากการใชยากลุม ACEIs หรือยาขับปสสาวะท่ีลดการขับสาร โปแตสเซียม เปน ตน และควรแนะนําใหรบั ประทานอาหารท่มี ีโปแตสเซยี มต่าํ (ตารางท่ี 8) (++/ III)ตารางท่ี 8 ปริมาณโปแตสเซยี มในอาหารชนดิ ตางๆประเภท มรี ะดบั โปแตสเซยี มตาํ่ ถงึ ปานกลาง มรี ะดบั โปแตสเซยี มสูง (100-200 mg/ 1 สวน) (250-350 mg/ 1 สวน)ผัก แตงกวา แตงรา น ฟก เขียว ฟก แมว บวบ มะระ เห็ด หนอไมฝ รัง่ บรอคโคลี ดอกกะหลา่ํ แครอท แขนง กะหลํ่า ผักโขม ผกั บงุ ผักกาดขาว ผักคะนา ผักกวางตุง มะเขือยาว มะละกอดิบ ถวั่ แขก หอมใหญ ยอดฟกแมว ใบแค ใบคนื่ ชาย ขาวโพด มนั เทศ มนั ฝร่งั ฟกทอง อโวคาโด น้ําแครอท นา้ํ มะเขอื เทศ กระเจ๊ียบ กะหลา่ํ ปลผี่ กั กาดแกว ผักกาดหอม พริกหวาน นํ้าผัก ผกั แวน ผักหวาน สะเดา หวั ปลี พรกิ หยวก กลวย กลว ยหอม กลว ยตาก ฝรง่ั ขนนุ ทเุ รียน นอยหนา กระทอน ลําไย ลูกพลบั ลกู พรุน ลูกเกด มะมวง มะเฟอ งผลไม สบั ปะรด แตงโม สม โอ สม เขยี วหวาน ชมพู มะปราง มะขามหวาน แคนตาลปู ฮันนี่ดิว น้ําสมคนั้ พทุ รา มงั คดุ ลองกอง องนุ เขียว เงาะ แอปเปล น้ํามะพราว นา้ํ แครอท10.4 ผูปวยโรคไตเรื้อรังท่ีมีความดันโลหิตสูงหรือมีอาการบวม ควรไดรับคําแนะนําใหรับประทานอาหารที่มีองคประกอบ ของโซเดยี มนอยกวา 90 mmol/day (2,000 mg ของโซเดยี ม) (++/ III)10.5 ผูปวยโรคไตเร้ือรังควรไดรับการช่ังนํ้าหนัก คํานวณคาดัชนีมวลกาย วัดความดันโลหิต และตรวจอาการบวมทุกคร้ัง ท่มี าพบแพทย (++/ IV)
16 1610.6 ผูปวยโรคไตเรื้อรังควรไดรับการตรวจระดับอัลบูมินในเลือดทุก 3-6 เดือน โดยระดับอัลบูมินควรมากกวา 3.5 g/dL และไมมีภาวะทุพโภชนาการ (++/ I)10.7 ผูปวยโรคไตเรื้อรงั ควรไดร บั การประเมนิ ปรมิ าณโปรตีนที่ผูปวยรับประทาน (dietary protein intake) ทุก 3-6 เดือน โดยวิธีเก็บปสสาวะ คํานวณหาคา normalized protein equivalent of nitrogen appearance (nPNA) ในกรณีทไี่ มส ามารถตรวจหาคา nPNA อาจใชวิธี dietary recall หรือ food record มาใชประเมินปริมาณ โปรตีนทผ่ี ูปวยไดร ับแทน (+/ IV)วิธีการคํานวณคา normalized protein equivalent of nitrogen appearance (nPNA)UNA = UUN (g N/day) + NUN (g N/day)NUN = 0.031 g N x body weight in KgPNA = UNA x 6.25เม่ือ UNA = urea nitrogen appearance UUN = 24-hour urinary urea nitrogen (g N/day) NUN = non urea nitrogen (g N/day) PNA = protein equivalent of total nitrogen appearance (g protein/daตัวอยางการคํานวณผปู วยชายอายุ 50 ป นํ้าหนัก 60 kg. เก็บปส สาวะ 24-hour ตรวจทางหอ งปฏบิ ตั ิการไดผ ล ดังน้ีUrea nitrogen 457.1 mg/dLCreatinine 46.1 mg/dLVolume 2,430 mLจะไดว า NUN = 0.031 x 60 kg = 1.86 g N/day UUN = (457.1 mg/dL) x (2,430 mL) = 11.11 g N/day UNA = 11.11 + 1.86 = 12.97 g N/day PNA = 12.97 x 6.25 = 81.06 g /dayดังนัน้ nPNA = 81.06/60 = 1.35 g/kg/day10.8 ผปู ว ยโรคไตเรื้อรังควรไดรับคําแนะนําดานโภชนาการจากผูเช่ียวชาญ และไดรับการปรับเปล่ียนคําแนะนําตามความ รุนแรงและระยะของโรคไตเร้ือรงั (+/ II)10.9 ในกรณีทีส่ ามารถเกบ็ ปส สาวะ 24 ช่วั โมงได ผปู วยโรคไตเรือ้ รังควรไดร ับการประเมนิ ปริมาณโซเดยี มในปสสาวะอยาง นอ ยทุก 3-6 เดือน โดยเฉพาะในกรณที ่มี คี วามดนั โลหติ สูงทีค่ วบคมุ ไมได (+/-/ III)
1177 คำแนะนำที่ 11 กำรดแู ลรกั ษำควำมผดิ ปกตขิ องแคลเซียมและฟอสเฟต11.1 ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังท่ีมีค่า eGFR น้อยกว่า 45 ml/min/1.73m2 (ระยะท่ี 3b-5) ควรวัดระดับแคลเซียม ฟอสเฟต ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (intact parathyroid hormone, iPTH) และ alkaline phosphatase ในเลือดเพ่ือเป็นค่า พืน้ ฐานและตดิ ตามการเปลี่ยนแปลงเปน็ ระยะตามความเหมาะสม (++/ III)11.2 ผูป้ ว่ ยโรคไตเรื้อรังควรไดร้ ับการดแู ลให้ระดบั แคลเซียม และฟอสเฟตในเลือดอย่ใู นเกณฑป์ กติ ดังนี้ (+/ II) 11.2.1 ค่าแคลเซียมในเลือด (corrected serum calcium) อยรู่ ะหวา่ ง 9.0-10.2 mg/dL 11.2.2 คา่ ฟอสเฟตในเลือดอยู่ระหว่าง 2.7-4.6 mg/dL11.3 ผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังที่มีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง ควรได้รับการแนะนาให้งดอาหารท่ีมีฟอสเฟตสูง เช่น เมล็ดพืช นม เนย กาแฟผง เป็นต้น และใหย้ าลดการดดู ซมึ ฟอสเฟต (phosphate binder) (++/ II)11.4 ในกรณีที่ผูป้ ่วยโรคไตเรอื้ รังขาดวติ ามินดี พจิ ารณาให้วติ ามนิ ดี 2 คือ ergocalciferol ทดแทน (+/ II)11.5 ในกรณีที่ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3b-5 มีภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงเกินค่าปกติ (hyperparathyroidism) ควรควบคุมระดับแคลเซียม และฟอสเฟตในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ร่วมกับรักษาภาวะขาดวิตามินดี ถ้าระดับ ฮอร์โมนพาราไทรอยด์มีแนวโน้มสูงข้ึนอีก ควรพิจารณาให้ calcitriol (active vitamin D) หรือ alfacalcidol (vitamin D analog) และติดตามระดับแคลเซยี ม และฟอสเฟตในเลือดเปน็ ระยะ (+/ II)
18 18 คําแนะนําที่ 12 การดแู ลรักษาภาวะโลหิตจาง12.1 คําจํากัดความ ภาวะโลหิตจาง หมายถึง ภาวะท่ีมีระดับ Hemoglobin (Hb) นอยกวา 13.0 g/dL ในเพศชาย และนอยกวา 12.0 g/dL ในเพศหญงิ (Not Graded)12.2 ควรตรวจเลือดวัดระดับความเขมขน ของ Hb เมื่อสงสยั ภาวะโลหติ จางหรือตามขอบง ช้ี ไดแก (Not Graded) 12.2.1 ในผูปวยท่ไี มม ภี าวะโลหิตจาง ที่มี (ก) โรคไตเร้ือรงั ระยะท่ี 3 ควรตรวจอยางนอยทกุ 1 ป (ข) โรคไตเรอื้ รงั ระยะที่ 4-5 ควรตรวจอยา งนอยทุก 6 เดอื น 12.2.2 ในผปู ว ยท่มี ีภาวะโลหติ จาง รวมกับ (ก) โรคไตเรื้อรงั ระยะที่ 3-5 ควรตรวจอยา งนอ ยทกุ 3 เดอื น12.3 ควรพิจารณาใหธาตุเหลก็ ทดแทนในกรณีตอ ไปนี้ 12.3.1 ในผูปวยโรคไตเรื้อรังท่ีมีภาวะโลหิตจาง แตยังไมเคยไดรับธาตุเหล็กหรือ erythropoietin stimulating agent (ESA) มากอน พิจารณาใหธาตุเหล็กเม่ือตรวจพบคา transferrin saturation (TSAT) นอยกวาหรือ เทากบั รอยละ 30 และคา ferritin นอยกวาหรือเทากับ 500 μg/L ดวยวิธีรับประทานเปนเวลา 1-3 เดือน ทัง้ นี้ ในกรณที ี่ไมตอบสนองตอ ชนิดรบั ประทาน พจิ ารณาใหธาตุเหล็กแบบฉีดเขาหลอดเลือดดําโดยยังไมตอง ใช ESA (+/ III) 12.3.2 ในผูป วยโรคไตเรอื้ รังทีไ่ ดรับยา ESA แตยังไมเคยไดรบั ยาธาตุเหล็ก พจิ ารณาใหธาตเุ หลก็ ชนิดรับประทานเปน เวลา 1-3เดือนเม่ือตรวจพบคา TSAT นอยกวาหรือเทากับรอยละ 30 และคา ferritin นอยกวาหรือเทากับ 500 μg/L ทง้ั น้ี ในกรณีทไี่ มต อบสนองตอชนดิ รับประทาน พิจารณาใหธ าตเุ หลก็ แบบฉีดเขาหลอดเลอื ดดํา 12.3.3 ควรตรวจวัดระดับ TSAT และ serum ferritin กอนตัดสินใจใหธาตุเหล็ก และทุก 3-6 เดือนระหวางการให ESA แตควรมีการตรวจบอยกวาน้ี ในกรณีท่ีมีการปรับขนาดยา ESA หรือมีประวัติการเสียเลือด (Not Graded)12.4 แนวทางการให ESA 12.4.1 กอนเริ่มให ESA ควรหาสาเหตุอื่นๆ ของภาวะโลหิตจางกอน และระมัดระวังการให ESA ในบางภาวะ เชน Stroke และ malignancy เปนตน (+/ II) 12.4.2 ควรเริ่มให ESA ในผูปว ยโรคไตเร้ือรงั ระยะท่ี 3-5 เม่อื ระดับ Hb นอ ยกวา 10 g/dL (++/ II) 12.4.3 การให ESA มีเปาหมายคือใหระดับ Hb ไมเกิน 11.5 g/dL โดยวิธีฉีดเขาใตผิวหนัง เม่ือระดับ Hb สูงกวา เปาหมายไมควรหยุดยา แตพิจารณาใหลดขนาดยาลงแทน และควรหยุดยาเม่ือระดับ Hb เกิน 13 g/dL (++/ II) 12.4.4 การติดตามผูปวยโรคไตเร้ือรังหลังจากเร่ิมให ESA (initial phase) ควรตรวจวัดระดับ Hb ทุกเดือน (Not Graded) 12.4.5 การตดิ ตามผปู ว ยโรคไตเรอื้ รงั หลงั จากหลงั จากให ESA และระดับ Hb ถึงเปาหมาย (maintenance phase) แลว ควรตรวจวัดระดบั Hb อยา งนอ ยทกุ 3 เดอื น (Not Graded)12.5 ผูป วยควรไดร บั เลอื ดเมือ่ มเี หตจุ ําเปน เทาน้นั และพจิ ารณาแลว วาการไดร บั เลือดนนั้ ทําใหเ กดิ ผลดีมากกวาผลเสยี เชน มีการเสียเลือดมาก มีโรคธาลัสซีเมีย ภาวะไขกระดูกไมทํางาน ภาวะไมตอบสนองตอ ESA หรือมีโรคหลอดเลือด หัวใจ เปน ตน
1199 คำแนะนำท่ี 13 กำรดแู ลรกั ษำภำวะเลอื ดเป็นกรด13.1 ผ้ปู ว่ ยโรคไตเรื้อรังควรไดร้ บั การรกั ษาภาวะเลือดเป็นกรดด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนต ให้ความเป็นกรดด่างในเลือดอยู่ ในเกณฑ์ปกติ (ระดบั ไบคาร์บอเนตในเลือดมากกวา่ 22 mmol/L) (++/ III)
20 20 คาํ แนะนาํ ที่ 14 การหลีกเลี่ยงยาหรอื สารพษิ ทีท่ ําลายไต14.1 ผูปวยโรคไตเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงการไดรับยากลุม NSAIDs และกลุม cyclooxygenase-2 (COX-2) inhibitors รวมท้งั ควรใชยากลุม aminoglycosides และสมุนไพรดวยความระมัดระวัง เพราะอาจมีผลทําใหไตเส่ือมเร็วข้ึนได (Not Graded)14.2 ผูปวยโรคไตเร้ือรังควรหลีกเลี่ยงการไดรับ radiocontrast agents แตถาไมสามารถหลีกเลี่ยงไดควรเลือกใช radiocontrast agents ชนดิ ทเี่ ปน low- หรอื iso-osmolar non-ionic agents และควรไดรบั การรกั ษาเพื่อปองกนั การเส่ือมของไต ไดแก การใหสารน้ําทางหลอดเลือดดํา (++/ I) และควรมีการติดตามคา GFR ที่ 48-96 ช่ัวโมง ภายหลังจากการไดรับ radiocontrast agents (++/ III)14.3 ผูปวยโรคไตเรื้อรังที่มีคา GFR นอยกวา 15 ml/min/1.73m2 ควรหลีกเลี่ยงการไดรับ gadolinium-based contrast agents เวนแตไมมีวิธีการวินิจฉัยอ่ืนๆ ท่ีดีกวา โดยขนาดของ gadolinium-based contrast agents ท่ี ไดรับไมควรเกนิ จากท่ีระบไุ วในฉลากผลติ ภัณฑ และควรเวน ระยะของการใหซ้ําอยา งเหมาะสม (++/ II)14.4 ผูปวยโรคไตเร้ือรังที่มีคา GFR นอยกวา 30 ml/min/1.73m2 ในกรณีท่ีตองไดรับ gadolinium-based contrast agents ควรให macrocyclic chelate preparation (+/ II)14.5 ในการเตรยี มลาํ ไสเพอ่ื รบั การตรวจวนิ จิ ฉัยสอ งกลอ งทางลําไสใ หญ ไมควรใช oral phosphate-containing bowel preparations ในผูปว ยโรคไตเรอื้ รังท่ีมีคา GFR นอ ยกวา 60 ml/min/1.73m2 เนอ่ื งจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ phosphate nephropathy (++/ I)
2211 คำแนะนำท่ี 15 กำรฉีดวัคซีนในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง15.1 ผปู้ ว่ ยโรคไตเร้ือรงั ควรได้รับการซักประวตั ิ และการตรวจคัดกรองไวรัสและภูมิคุ้มกันตับอักเสบบี ถ้าตรวจพบว่ายัง ไม่มีภมู คิ ุ้มกนั ควรไดร้ บั วคั ซนี ปอ้ งกันไวรสั ตบั อกั เสบบี (hepatitis B vaccine) โดยใชข้ นาดยาเป็น 2 เทา่ ของคนปกติ จานวน 4 เข็ม (0, 1, 2, 6 เดือน) โดยแบ่งคร่ึง และฉีดเข้ากล้ามเนื้อ deltoid ทั้งสองข้าง และมีการติดตามระดับ ภูมิคุ้มกันหลังฉีดเข็มสุดท้ายที่ 1 เดือน ถ้าพบว่ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน (anti-HBs <10 IU/L) ให้ฉีดซ้าอีก 4 เข็ม และ ตรวจภมู ิค้มุ กันหลงั ฉีดครบอกี ครั้ง (++/ II)15.2 ผูป้ ว่ ยโรคไตเร้อื รังควรได้รับวคั ซนี ปอ้ งกันไข้หวดั ใหญท่ กุ ปี (influenza vaccine) (++/ II)
22 22 คําแนะนําที่ 16 การลดความเส่ียงและการคัดกรองโรคหัวใจและหลอดเลอื ด16.1 ผปู ว ยโรคไตเร้ือรังควรไดรบั การประเมินเพือ่ ลดความเสยี่ งตอ การเกดิ โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยถือวาผูปวยโรคไต เรื้อรังมคี วามเสีย่ งตอการเกิดโรคหลอดเลอื ดหวั ใจระดับสูงมาก (very high risk) (++/ I-2)16.2 ผูป ว ยโรคไตเรอื้ รังควรไดร ับการตรวจคดั กรองโรคหัวใจและหลอดเลือดในครั้งแรกท่ไี ดร ับการวนิ จิ ฉัยโรคไตเรื้อรังและ ไดร บั การตรวจตดิ ตามในกรณีทีม่ ขี อ บงชี้ (+/ III-1)16.3 ผูปวยโรคไตเรื้อรังควรไดรับการตรวจคัดกรองโรคหัวใจและหลอดเลือดอ่ืนๆ ตามขอบงช้ีเชนเดียวกับผูปวยทั่วไปท่ี ไมไดเปน โรคไตเรื้อรงั (+/ III-1)16.4 ผปู วยโรคไตเร้ือรงั ควรไดร ับการดแู ลรักษาโรคหวั ใจและหลอดเลอื ดตามขอ บง ช้เี ชนเดียวกับผปู วยท่ัวไปท่ไี มไ ดเปน โรค ไตเร้ือรัง (+/ III-1)16.5 ผูป วยโรคไตเรือ้ รงั ควรไดรับการแนะนําใหลดความเสีย่ งและการปองกนั โรคหวั ใจและหลอดเลอื ดอืน่ ๆ รว มดวย ไดแ ก 16.5.1 โรคหลอดเลอื ดหวั ใจ (coronary heart disease) และกลา มเน้อื หัวใจขาดเลอื ด (myocardial infarction) 16.5.1.1 แนะนําใหงดบุหร่ี ปรับเปล่ียนวิถีชีวิต (lifestyle modification) โดยการลดบริโภคโซเดียมและ อาหารท่มี ไี ขมนั สูง รวมทัง้ หมนั่ ออกกําลงั กายสมํา่ เสมอ (++/ III-1) 16.5.1.2 พิจารณาใหย าตา นเกลด็ เลอื ดแอสไพรนิ (aspirin) ในกรณี secondary prevention (+/ IV-1) 16.5.1.3 พจิ ารณาใหย าลดระดับไขมันในเลือดกลมุ statins ตามขอ แนะนาํ เวชปฏบิ ัติท่ี 8 (+/ I-2) 16.5.2 ภาวะหวั ใจลม เหลว (congestive heart failure) 16.5.2.1 รกั ษาระดับฮโี มโกลบินใหมากกวา 10 g/dL แตไ มค วรเกิน 11.5 g/dL (+/ I-2) 16.5.2.2 รักษาระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลอื ดใหอ ยูใ นระดบั ปกติ (+/ I-2) 16.5.2.3 พจิ ารณาใหย ากลมุ ACEIs หรอื ARBs ในกรณี secondary prevention (+/ IV-1) 16.5.2.4 พิจารณาใหย า bisoprolol หรอื carvedilol ในกรณี secondary prevention (+/ I-2) 16.5.3 ภาวะหวั ใจเตน ผดิ จงั หวะชนิด atrial fibrillation 16.5.3.1 พิจารณาใหย าตานการแขง็ ตัวของเลอื ด warfarin เพอ่ื ปอ งกันภาวะ embolic stroke (ตามขอ บง ชี้ ACC/AHA/ESC recommendation) (+/-/ IV-1) 16.5.4 ภาวะโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) 16.5.4.1 ควบคมุ และรักษาภาวะความดนั โลหิตสูงดว ยยากลมุ ACEIs และ thiazide diuretics (+/ I-2) 16.5.4.2 พิจารณาใหย าตา นเกลด็ เลือดแอสไพรนิ ในกรณี secondary prevention (+/ I-2) 16.5.4.3 พิจารณาใหย าลดระดบั ไขมันในเลอื ดกลมุ statins ตามขอ แนะนําเวชปฏบิ ตั ทิ ี่ 8 (+/ I-2) 16.5.5 ภาวะโรคหลอดเลอื ดสวนปลาย (peripheral arterial disease) 16.5.5.1 ควบคมุ และรกั ษาภาวะเบาหวานและแผลทีเ่ ทา จากภาวะเบาหวาน (++/ II-3) 16.5.5.2 พิจารณาใหย าตานเกล็ดเลอื ดแอสไพรนิ ในกรณี secondary prevention (+/ IV-1) 16.5.5.3 พจิ ารณาใหย าตา นเกล็ดเลอื ด cilostazol ในกรณี secondary prevention (+/ IV-1)
2233 คําแนะนาํ ที่ 17 การเตรียมตัวเพ่อื การบําบดั ทดแทนไต17.1 ผปู วยโรคไตเรอ้ื รงั ควรไดร บั คาํ แนะนาํ ใหเตรยี มตวั เพ่อื การบําบดั ทดแทนไต เม่อื เริ่มเขา สูโ รคไตเร้อื รงั ระยะที่ 4 (eGFR นอ ยกวา 30 ml/min/1.73m2) (+/ IV)17.2 ผูปวยโรคไตเร้ือรังระยะที่ 4 ข้ึนไป ควรไดรับคําแนะนําถึงทางเลือก วิธีการรักษา รวมทั้งขอดีและขอดอยของการ บาํ บดั ทดแทนไตแตล ะประเภท และสิทธปิ ระโยชนต า งๆ ที่พึงไดจากรฐั บาล หรอื หนว ยงานอ่ืนๆ (++/ IV)17.3 ผูปว ยโรคไตเรอื้ รงั ท่ีตัดสินใจเลอื กการฟอกเลอื ดดวยเครอ่ื งไตเทียม ควรไดร บั การเตรยี มเสนเลือด (vascular access) สําหรับการฟอกเลือดกอนการฟอกเลือดอยางนอย 4 เดือน โดยที่ควรเลือก arteriovenous fistula เปนลําดับแรก (+/ III)
24 24 ภำคผนวก 1 รำยนำมคณะกรรมกำรบรหิ ำรสมำคมโรคไตแห่งประเทศไทย วำระ พ.ศ. 2555-25571. น.อ. อนุตตร จติ ตินนั ทน์ นายกสมาคมฯ อุปนายกฯ2. ศ.นพ. สมชาย เอ่ยี มอ่อง กรรมการ กรรมการ3. รศ.พ.อ.หญงิ ประไพพมิ พ์ ธรี คปุ ต์ กรรมการ กรรมการ4. รศ.นพ. เกรยี งศักดิ์ วารแี สงทิพย์ กรรมการ กรรมการ5. รศ.นพ. เกอื้ เกียรติ ประดิษฐ์พรศลิ ป์ กรรมการ ปฏคิ ม6. ศ.นพ. ชยั รัตน์ ฉายากุล เหรัญญกิ เลขาธกิ ารฯ7. ผศ.นพ. สรุ ศกั ดิ์ กนั ตชเู วสศริ ิ8. นพ. วฒุ ิเดช โอภาศเจรญิ สขุ9. พ.ต.อ. ธนติ จิรนนั ทธ์ วชั10. พ.อ. อดิสรณ์ ลาเพาพงศ์11. ผศ.พญ. อรณุ วงษ์จริ าษฎร์12. น.อ. ทวีพงษ์ ปาจรยี ์ รำยนำมคณะกรรมกำรบรหิ ำรสมำคมโรคไตแหง่ ประเทศไทย วำระ พ.ศ. 2557-25591. ศ.นพ. สมชาย เอี่ยมออ่ ง นายกสมาคมฯ อุปนายกฯ2. รศ.นพ. เกรียงศักด์ิ วารแี สงทพิ ย์ กรรมการ กรรมการ3. รศ.พ.อ.หญงิ ประไพพิมพ์ ธรี คุปต์ กรรมการ กรรมการ4. ศ.นพ. เกอ้ื เกยี รติ ประดษิ ฐพ์ รศลิ ป์ กรรมการ กรรมการ5. พ.อ. อนิ ทรยี ์ กาญจนกลู กรรมการ กรรมการ6. น.อ. ทวีพงษ์ ปาจรีย์ เหรญั ญิก เลขาธกิ ารฯ7. พญ. ธนนั ดา ตระการวนิช8. ผศ.นพ. สรุ ศกั ดิ์ กันตชูเวสศิริ9. พ.อ. อดสิ รณ์ ลาเพาพงศ์10. ผศ.พญ. วรางคณา พิชยั วงศ์11. ผศ.พญ. อรณุ วงษ์จริ าษฎร์12. นพ. วฒุ ิเดช โอภาศเจรญิ สขุ
2255 ภำคผนวก 2 รำยนำมคณะอนุกรรมกำรป้องกนั โรคไตเรื้อรัง วำระ พ.ศ.2555-25571. ศ.นพ. เกรียง ต้งั สง่า ทป่ี รกึ ษา2. ผศ.นพ. สรุ ศกั ดิ์ กนั ตชูเวสศริ ิ ประธาน3. นพ. สรุ สีห์ พร้อมมูล อนุกรรมการ4. พญ. ธนนั ดา ตระการวนิช อนกุ รรมการ5. รศ.พญ. ศริ ริ ตั น์ เรืองจุย้ อนกุ รรมการ6. นพ. ขจรศกั ดิ์ นพคุณ อนกุ รรมการ7. นพ. จกั รชยั จึงธรี พาณชิ อนกุ รรมการ8. นพ. จิรายุทธ จนั ทรม์ า อนุกรรมการ9. พญ. ไกรวิพร เกียรตสิ ุนทร อนุกรรมการ10. พญ. วรรณยิ า มนี ุ่น อนุกรรมการ11. พญ. อุษณีย์ บุญศรรี ตั น์ อนกุ รรมการ12. ผศ.ดร.พญ. อตพิ ร อิงคส์ าธิต อนกุ รรมการ13. นพ. ธรี ยุทธ เจียมจรยิ าภรณ์ อนุกรรมการ14. พญ. กชรัตน์ วิภาสธวสั อนกุ รรมการ15. นพ. วิวัฒน์ จนั เจรญิ ฐานะ อนกุ รรมการ16. ดร. เขมรัศมี ขนุ ศกึ เมง็ ราย อนุกรรมการ17. พญ. ดวงตา ออ่ นสุวรรณ อนุกรรมการ18. คณุ ไพวลั ย์ พิพัฒธาดา อนุกรรมการ19. คุณ สหรัฐ ศราภยั วนิช อนกุ รรมการ20. รศ. สมลักษณ์ วนะวนานต์ อนกุ รรมการ21. น.ต.หญงิ วรวรรณ ชยั ลิมปมนตรี อนุกรรมการและเลขานกุ าร
26 26 รำยนำมคณะอนกุ รรมกำรปอ้ งกนั โรคไตเรือ้ รัง วำระ พ.ศ.2557-25591. ศ.นพ. เกรียง ตงั้ สงา่ ท่ีปรกึ ษา2. ผศ.นพ. สรุ ศักด์ิ กนั ตชูเวสศิริ ประธาน3. พญ. ธนนั ดา ตระการวนิช อนกุ รรมการ4. รศ.พญ. ศริ ริ ัตน์ อนตุ ระกลู ชยั อนุกรรมการ5. นพ. ดเิ รก บรรณจกั ร์ อนุกรรมการ6. พ.อ. ฐิตศิ กั ดิ์ กจิ ทวศี ลิ ป์ อนุกรรมการ7. นพ. เอนก อยู่สบาย อนุกรรมการ8. นพ. จักรชยั จงึ ธีรพาณชิ อนกุ รรมการ9. นพ. จริ ายุทธ จันทร์มา อนุกรรมการ10. นพ. นิรธุ สวุ รรณ อนุกรรมการ11. นพ. เจรญิ เกียรตวิ ชั รชัย อนกุ รรมการ12. พญ. ไกรวพิ ร เกียรตสิ ุนทร อนกุ รรมการ13. ผศ.พญ. วรางคณา พชิ ยั วงศ์ อนุกรรมการ14. นพ. สกานต์ บุนนาค อนกุ รรมการ15. พญ. อุษณีย์ บญุ ศรรี ัตน์ อนุกรรมการ16. รศ.ดร.พญ. อตพิ ร องิ คส์ าธติ อนุกรรมการ17. รศ. สมลักษณ์ วนะวนานต์ อนุกรรมการ18. พญ. กชรัตน์ วิภาสธวสั อนกุ รรมการ19. นพ. วิวัฒน์ จนั เจรญิ ฐานะ อนุกรรมการ20. นพ. ปานเทพ คณานรุ กั ษ์ อนุกรรมการ21. พญ. ดวงตา ออ่ นสุวรรณ อนกุ รรมการ22. คณุ ปิ่นแกว้ กลา้ ยประยงค์ อนกุ รรมการ23. คณุ ไพวลั ย์ พิพฒั ธาดา อนกุ รรมการ24. คณุ ธนพล ดอกแกว้ อนุกรรมการ25. น.ท.หญิง วรวรรณ ชยั ลิมปมนตรี อนุกรรมการและเลขานุการ
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: