ส มั ย เ ค รื่ อ ง ด น ต รีช่างแต่งหน้า เ ขี ย น โ ด ย ณฐกร ทองฤทธิ์ ภาพประกอบโดย ณฐกร ทองฤทธิ์ ม.1/7 โรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง วิ ช า ห นั ง สื อ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์
สารบัญ ประวัติความเป็นมา หน้า2 สมัยสุโขทัย หน้า 3 สมัยอยุธยา หน้า 4 สมัยธนบุรี หน้า 5 สมัยรัตนโกสินทร์ หน้า6 •รัชกาลที่1 หน้า 7 •รัชกาลที่2 หน้า 8 •รัชกาลที่3 หน้า 9 •รัชกาลที่4 หน้า 10 •รัชกาลที่5 หน้า 11 •รัชกาลที่6 หน้า 12
•รัชกาลที่7 หน้า 13 •รัชกาลที่8 หน้า 14 •รัชกาลที่9 หน้า 15 •รัชกาลที่10 หน้า16 สรุปใจความสำคัญ หน้า17 เครื่องดนตรีและภาพประกอบ •จะเข้ หน้ า18 •ฉาบ หน้ า28 •กระจัก ปี่ หน้ า19 •ฉิ่ง หน้ า29 ••พซิอณดณ้วนง ้ำหเตน้้าา2ห1น้ า20 •ขลุ่ย หน้ า30 •ซอสามสาย หน้ า22 •ซออู้ หน้ า23 •ระนาดเอก หน้ า24 •ระนาดทุ้ม หน้ า25 •ฆ้องวงใหญ่ หน้ า26 •ฆ้องวงเล็ก หน้ า27
ประวัติเครื่องดนตรี นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโด จีน และได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงเป็นการเริ่มต้น ยุคแห่งประวัติศาสตร์ ไทย ที่ปรากฎหลักฐานเป็นลายลักษณ์ อักษร กล่าวคือ เมื่อไทยได้สถาปนาอาณาจักร สุโขทัยขึ้น และหลังจากที่ พ่อขุนรามคำแหง มหาราช ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แล้ว นับตั้งแต่นั้นมาจึงปรากฎหลักฐานด้าน ดนตรีไทย ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งใน หลักศิลาจารึก หนังสือวรรณคดี และ เอกสารทางประวัติศาสตร์ ในแต่ละยุค ซึ่ง สามารถนำมาเป็นหลักฐานในการพิจารณา ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของ ดนตรี ไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นต้นมา หน้ า2
สมัยสุโขทัย ชาวไทยมีความสนุกสนานกับการเล่นดนตรีและร้องเพลง กันมากดังที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกพ่อขุน รามคําแหงหลัก ที่ 1 ว่า “ดบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียง เลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจัก มักหัว หัว ใคร จักมักเลื้อน เลื้อน” ซึ่งแสดงถึงการบรรเลงเครื่องดนตรี ประเภทตี เป่า ดีด และสี คือ กลอง ปี่ พิณ และเครื่องดนตรี ทีมีสายไว้สีได้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานของล้านนาไทยที่มี ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยกันในหลักศิลา จารึกในวัดพระยืน จังหวัดลําพูน ที่จารึกไว้ว่า “ให้ถือกระทงข้างตอกดอกไม้ไต้ เทียน ตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลอง ปี่ สรไนพิสเนญชัยทะเทีย ดกาหลแตรสังมาลย์กังสดาล มรทงค์ดงเดือด เสียงเลิศเสียง ก้อง อีกทั้งคนร้องโห่อื้อดาสร ท้านทั่งทั้งนครหริภุญชัย แล” ซึ่งแสดงถึงเครื่องดนตรีบรรเลงในวงดนตรี และประชา ชนนํามาเล่นเพื่อความ สนุกสนานครึกครื้นกัน ดังนั้นจึง สามารถกล่าวถึงเครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยได้จากวง ดนตรีไทยในสมัยนั้น ได้แก่ วงแตรสังข์ ที่ใช้บรรเลงในพระ ราชพิธีต่าง ๆ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีแตรฝรั่ง แตรงอน ปี่ไฉนแก้ว กลอง ชนะ บัณเฑาะว์ และมโหระทึก วงปี่พาทย์ เครื่องห้าประกอบด้วย ปี่ใน ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด และ ฉิ่ง นอกจากนี้ ยังมีเครื่องดนตรีเช่น พิณ และซอสามสาย อยู่ในสมัยนั้นอีกด้วย หน้ า3
สมัยอยุธยา การดนตรีในสมัยกรุงสุโขทัยเป็ นราชธานีนับเป็ นสมัยเริ่มต้น ประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เพราะว่า เรื่องราวชนชาติ ไทยปรากฏหลักฐานเด่นชัดขึ้นในสมัยสุโขทัย เมื่อพ่อขุน รามคำแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยและจารึกเรื่องราวต่างๆ ลง ในศิลา และจากศิลาจารึกสมัยสุโขทัยนี้ ทำให้ทราบ ประวัติศาสตร์สุโขทัยอย่างดี ( เฉลิม พงศ์อาจารย์. 2529 : 90)เพราะในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงที่จารึกเป็ น คำสั้นๆ ว่า “ เสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ( สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540: 9 อ้างใน ณรงค์ชัย ปิฎกรัชน์. 2528 : 17) ทำให้เราทราบถึงดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยได้ เป็นอย่างดีมีความกว้างขวาหงมน้าากมาย เสียงพาทย์ หมายถึง การบรรเลงวงปี่พาทย์ เสียงพิณ หมายถึง วง เครื่องสาย เป็นต้น ทวีสิทธิ์ ไทยวิจิตร ได้กล่าวถึงเครื่อง ดนตรีไทยในสมัยสุโขทัย โดยสันนิษฐานว่า เครื่องดนตรี ไทย มีกลองสองหน้ า แตรงอน (คล้ายเขาสัตว์ทำด้วยโลหะ ) แตรสังข์ (ทำจากหอยสังข์) ตะโพน ฆ้อง กลองทัด ฉิ่ง บัณเฑาะ กรับ กังสดาล มโหระทึก ซอสามสาย ระนาด ปี่ไฉน (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 9) หน้ า4
สมัยธนบุรี นื่องด้วยในรัชสมัยนี้ปกครองโดย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระบรม ราชาที่ 4 พระราชกรณียกิจที่สำคัญในรัชสมัยของพระองค์ คือ การกอบกู้เอกราชจากพม่าภายหลังการเสียกรุง ศรีอยุธยาครั้งที่สอง โดยขับไล่ทหารพม่าออกจากราช อาณาจักรจนหมดสิ้น และยังทรงทำสงครามตลอดรัชสมัย เพื่อรวบรวมแผ่นดินซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของ ขุนศึก ก๊กต่าง ๆ ให้เป็นปึกแผ่น เช่นเดียวกับขยายพระราช อาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ พระองค์ยัง ทรงมุ่งมั่นที่จะฟื้ นฟูประเทศในด้านต่าง ๆ ให้กลับคืนสู่ สภาวะปกติหลังสงคราม ทรงส่งเสริมทางด้านเศรษฐกิจ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม และการศึกษา เนื่ องจากพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อแผ่นดินไทยอย่างอเนก อนันต์รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุก ปีเป็น “วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน“ และยังทรงได้รับ สมัญญานาม มหาราช แม้ตลอดรัชกาลเป็นช่วงระยะเวลา อันสั้นเพียงแค่ 15 ปี ประกอบกับเป็นสมัยแห่งการก่อร่าง สร้างเมือง และการป้ องกันประเทศเสียโดยมาก วงดนตรี ไทยในสมัยนี้จึงไม่ปรากฏหลักฐานไว้ว่า ได้มีการพัฒนา หน้ า5
สมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยนี้ เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงคราม และ ได้มีการก่อสร้าง เมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น เกิดความสงบร่มเย็น โดยทั่วไป แล้วศิลปวัฒนธรรม ของชาติก็ได้รับการฟื้ นฟูทะนุบำรุง และส่งเสริมให้เจริญ รุ่งเรืองขึ้น โดยเฉพาะ ทางด้านดนตรีไทย ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง เจริญขึ้นเป็ นลำดับ ดังต่อไปนี้ หน้ า6
หน้ า7 รัชกาลที่1 ในสมัยนี้ดนตรีไทยส่วนใหญ่ยังคงมีลักษณะรูปแบบตามที่มี มาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่พัฒนาขึ้นบ้างในสมัยนี้ก็คือ การเพิ่ม กลองทัด ขึ้นอีก 1 ลูก ใน วงปี่พาทย์ ซึ่ง แต่เดิม มา มีแค่ 1 ลูก รวม มี กลองทัด 2 ลูก มีเสียงสูง (ตัวผู้) ลูก หนึ่ง และ เสียงต่ำ (ตัวเมีย) ลูกหนึ่ง และการใช้ กลองทัด 2 ลูก ในวงปี่พาทย์นี้ ก็เป็นที่นิยมกันมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้
หน้ า8 รัชกาลที่2 ในสมัยนี้เป็นยุคทองของ ดนตรีไทย ยุคหนึ่ง ทั้งนี้เพราะ องค์พระมหากษัตริย์ ทรงสนพระทัย ดนตรีไทย เป็นอย่าง ยิ่ง พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ในทาง ดนตรีไทย ถึง ขนาดที่ ทรงดนตรีไทย คือ ซอสามสาย ได้ มีซอคู่พระหัตถ์ ชื่อว่า “ซอสายฟ้ าฟาด” การพัฒนาเปลี่ยนแปลงของดนตรีไทยในสมัยนี้ก็คือ ได้มี การนำเอา วงปี่พาทย์มาบรรเลง ประกอบการขับเสภา เป็น ครั้งแรก นอกจากนี้ ยังมีกลองชนิดหนึ่งเกิดขึ้น โดย ดัดแปลงจาก “เปิงมาง” ของมอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดนี้ ว่า “สองหน้ า” ใช้ตีกำกับจังหวะแทนเสียงตะโพนในวงปี่ พาทย์ ประกอบการขับเสภา เนื่องจากเห็นว่าตะโพนดังเกิน ไป จนกระทั่งกลบเสียงขับ กลองสองหน้ านี้ ปัจจุบันนิยมใช้ ตีกำกับจังหวะหน้ าทับ ในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง
หน้ า9 รัชกาลที่3 วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ เพราะได้มี การประดิษฐ์ระนาดทุ้ม มาคู่กับระนาดเอก และประดิษฐ์ ฆ้องวงเล็กมาคู่กับ ฆ้องวงใหญ่
หน้ า10 รัชกาลที่4 วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ เพราะได้มี การประดิษฐ์ เครื่องดนตรี เพิ่มขึ้นอีก 2ชนิด เลียนแบบ ระนาดเอก และระนาดทุ้ม โดยใช้โลหะทำลูกระนาด และทำ รางระนาดให้แตกต่างไปจากรางระนาดเอก และระนาดทุ้ม (ไม้) เรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็ก นำมา บรรเลงเพิ่มในวงปี่พาทย์เครื่องคู่ ทำให้ ขนาดของ วงปี่ พาทย์ขยายใหญ่ขึ้นจึงเรียกว่า วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ อนึ่งใน สมัยนี้ วงการดนตรีไทย นิยมการร้องเพลงส่งให้ดนตรีรับ หรือที่เรียกว่า “การร้องส่ง” กันมากจนกระทั่ง การขับเสภา ซึ่งเคยนิยมกันมาก่อนค่อย ๆ หายไป และการร้องส่งก็เป็น แนวทางให้มีผู้คิดแต่งขยายเพลง 2 ชั้นของเดิมให้เป็นเพลง 3ชั้น และตัดลง เป็นชั้นเดียว จนกระทั่งกลายเป็นเพลงเถา ในที่สุด (นับว่าเพลงเถาเกิดขึ้นมากมายในสมัยนี้) นอกจาก นี้ วงเครื่องสาย ก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน
หน้ า11 รัชกาลที่5 ได้มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นใหม่ชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียก ว่า “วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์” โดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุ วัดติวงศ์สำหรับใช้บรรเลงประกอบการแสดง “ละคร ดึกดำบรรพ์” ซึ่งเป็น ละครที่เพิ่งปรับปรุงขึ้นในสมัยรัชกาล นี้เช่นกัน หลักการปรับปรุงของท่านก็โดยการตัดเครื่อง ดนตรีชนิดเสียงเล็กแหลม หรือดังเกินไปออก คงไว้แต่ เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้ม นุ่มนวล กับเพิ่มเครื่องดนตรีบาง อย่างเข้ามาใหม่ เครื่องดนตรี ในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ จึง ประกอบด้วยระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้ม เหล็ก ขลุ่ย ซออู้ ฆ้องหุ่ย (ฆ้อง 7 ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และเครื่องกำกับจังหวะ
หน้ า12 รัชกาลที่6
ด้มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง โดยนำวง ดนตรีของมอญมาผสมกับ วงปี่พาทย์ของไทย ต่อมาเรียก วงดนตรีผสมนี้ว่า “วงปี่พาทย์มอญ” โดยหลวงประดิษฐ ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)เป็นผู้ปรับปรุงขึ้น วงปี่ พาทย์มอญดังกล่าวนี้ ก็มีทั้งวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า เครื่อง คู่ และเครื่องใหญ่ เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ของไทย และ กลายเป็นที่นิยมใช้บรรเลงประโคมในงานศพ มาจนกระทั่ง บัดนี้ นอกจากนี้ยังได้มี การนำเครื่องดนตรีของต่างชาติ เข้า มาบรรเลงผสมกับ วงดนตรีไทย บางชนิดก็นำมาดัดแปลง เป็นเครื่องดนตรีของไทย ทำให้รูปแบบของ วงดนตรีไทย เปลี่ยนแปลงพัฒนา ดังนี้ คือ การนำเครื่องดนตรีของชวา หรืออินโดนีเซีย คือ “อังกะลุง” มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็น ครั้งแรก โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทั้งนี้ โดยนำมาดัดแปลง ปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีเสียงครบ 7 เสียง (เดิมมี 5 เสียง) ปรับปรุงวิธีการเล่น โดยถือเขย่าคนละ 2 เสียง ทำให้เครื่องดนตรีชนิดนี้ กลายเป็นเครื่องดนตรีไทย อีกอย่างหนึ่ง เพราะคนไทยสามารถทำอังกะลุงได้เอง อีกทั้ง วิธีการบรรเลงก็เป็นแบบเฉพาะของเรา แตกต่างไปจากของ ชวาโดยสิ้นเชิง การนำเครื่องดนตรีของต่างชาติเข้ามา บรรเลงผสมในวงเครื่องสาย ได้แก่ ขิมของจีน และออร์แกน ของฝรั่ง ทำให้วงเครื่องสายพัฒนารูปแบบของวงไปอีก ลักษณะหนึ่ง คือ “วงเครื่องสายผสม”
หน้ า13 รัชกาลที่7
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสนพระทัยทาง ด้าน ดนตรีไทย มากเช่นกัน พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ เพลงไทยที่ไพเราะไว้ถึง 3เพลง คือ เพลงโหมโรงคลื่น กระทบฝั่ง 3 ชั้น เพลงเขมรลอยองค์ (เถา) และเพลงราตรี ประดับดาว (เถา) พระองค์และพระราชินีได้โปรดให้ครู ดนตรีเข้าไปถวายการสอนดนตรีในวัง แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของพระองค์ไม่นาน เนื่องมา จากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และพระองค์ทรงสละ ราชบัลลังก์ หลังจากนั้นได้ 2 ปี มิฉะนั้นแล้ว ดนตรีไทย ก็ คงจะเจริญรุ่งเรืองมาก ในสมัยแห่งพระองค์ อย่างไรก็ตาม ดนตรีไทยในสมัยรัชกาลนี้ นับว่าได้พัฒนารูปแบบ และ ลักษณะ มาจนกระทั่ง สมบูรณ์ เป็นแบบแผนดังเช่น ใน ปัจจุบันนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า ในสมัยที่ปกครองโดยระบบสม บูรณาญาสิทธิราชมีผู้นิยม ดนตรีไทยกันมากและมีผู้มีฝีมือ ทางดนตรี ตลอดจนมีความคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้ พัฒนาก้าวหน้ ามาตามลำดับ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่ ได้ให้ความอุปถัมภ์ และทำนุบำรุง ดนตรีไทยในวังต่างๆ มักจะมีวงดนตรีประจำวัง เช่น วงวัง บูรพา วงวังบางขุนพรหม วงวังบางคอแหลม และวงวัง ปลายเนิน แต่ละวงต่างก็ขวนขวายหาครูดนตรีนักดนตรีที่มี ฝีมือเข้ามาประจำวง มีการฝึกซ้อมกันอยู่เนืองนิจ บางครั้งก็ มีการประกวดประชันกัน จึงทำให้ดนตรีไทยเจริญเฟื่ องฟู มาก ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ดนตรีไทยเริ่มซบเซาลง อาจกล่าวได้ ว่า เป็นสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่ ดนตรีไทย เกือบจะถึงจุดจบ
หน้ า14 รัชกาลที่8 พระองค์เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปืนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทมพระที่นั่งบรม พิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง
หน้ า15 รัชกาลที่9 ด้วยพระองค์ได้ทรงเชี่ยวชาญทางด้านดนตรีสากลในแนว ดนตรีแจ๊สเป็นพิเศษ แต่ก็มิได้ละทิ้งแขนงดนตรีไทย ทรงให้ การอุปถัมป์วงการดนตรีไทยเรื่อยมา พระองค์ได้ทรงพระ ราชนิพนธ์บทเพลง ทรงเชี่ยวชาญรอบรู้เรื่องดนตรีเป็นอย่าง ดีและทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น แซ็กโซโฟน คราริ เน็ต ทรัมเป็ต กีตาร์ และเปียโน โปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่าง มาก และพระองค์ได้พระราชนิพนธ์เพลงที่มีความหมายและ ไพเราะหลายเพลงด้วยกัน เช่น เพลงพระราชนิพนธ์แสง เทียน เป็นเพลงแรก สายฝนยามเย็น ใกล้รุ่ง ลมหนาว ยิ้มสู้ ค่ำแล้ว ไกลกังวล ความฝันอันสูงสุด และเราสู้ หรือจะเป็น พรปี ใหม่
หน้ า16 รัชกาลที่10 พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่ตามปกติเรามักจะเห็นพระองค์ ทรงเครื่องแบบทหารอยู่เป็นนิจ จนทำให้ปวงชนชาวไทย ไม่ทันได้คิดว่า พระองค์ก็ทรงโปรดการดนตรีมาตั้งแต่ทรง พระเยาว์ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเคยทรงดนตรีร่วมกับสมเด็จ พระราชบิดา มาก่อน อีกทั้งปัจจุบัน พระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯให้มีการ แสดงดนตรีตามโอกาสอันสมควรเสมอมา
สรุปใจความสำคัญ จากสมัยสุโขทัยสืบต่อมาสมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน ดนตรี ไทยจัดเป็นดนตรีที่มีแบบแผนหรือดนตรีคลาสสิก (Classic Music) เครื่องดนตรีไทยนั้นกรมศิลปากร จำแนกไว้รวมทั้ง สิ้น 56 ชนิด ประกอบด้วยเครื่องตี เครื่องเป่า เครื่องดีด และเครื่องสี เครื่องดนตรีไทยที่นิยมใช้กันมาก ดังนี้ – เครื่องดีด ได้แก่ พิณน้ำเต้า พิณ เพ้ย กระจับปี่ ซึง จะเข้ – เครื่องสี ได้แก่ ซอด้วง ซออู้ ซอสามสาย ซอล้อ – เครื่องตีประเภทไม้ ได้แก่ เกราะ โกร่ง กรับ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม เครื่องตีที่ทำด้วยโลหะ ได้แก่ ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง ฆ้อง หุ่ย และเครื่องตีที่ทำ ด้วยหนัง ได้แก่ กลองทุกประเภท – เครื่องเป่า ได้แก่ ขลุ่ย ปี่ แคน แตร สังข์ เป็นต้น หน้ า17
จะเข้ จะเข้เป็นเครื่องดนตรีที่วางดีดตามแนวนอน ทำด้วยไม้ท่อน ขุดเป็นโพรงอยู่ภายใน นิยมใช้ไม้แก่นขนุน เพราะให้เสียง กังวาลดี ด้านล่างเป็นพื้นไม้ ซึ่งมักใช้ไม้ฉำฉา เจาะรูไว้ให้ เสียงออกดีขึ้น มีขาอยู่ตอนหัว ๔ ขา ตอนท้าย ๑ ขา มีสาย ๓ สาย คือ สายเอก(เสียงสูง) สายกลาง(เสียงทุ้ม) ทั้งสอง สายนี้ทำด้วยเอ็นหรือไหมฟั่นเป็นเกลียว สายที่สามเรียก สายลวด(เสียงต่ำ) ทำด้วยลวดทองเหลือง ทั้งสามสายนี้ขึง จากหลักตอนหัวผ่าน โต๊ะ (กล่องทองเหลืองกลวง) ไปพาด กับ \"หย่อง\" แล้วสอดลงไปพันกันด้านลูกบิด(ปักทำด้วยไม้ หรืองา) สายละลูก โต๊ะนี้ทำหน้ าที่ขยายเสียงของจะเข้ให้คม ชัดขึ้น ระหว่างราง ด้านบนกับสายจะเข้ จะมีชิ้นไม้เล็ก ๆ ทำเป็นสันหนาเรียกว่า \"นม\" ๑๑ นม วางเรียงไปตามแนว ยาว เพื่อรองรับการกด จากนิ้วมือขณะบรรเลง นมเหล่านี้มี ขนาดสูงต่ำลดหลั่นกันไป ทำให้เกิดเสียงสูง-ต่ำ เวลาดีดจะ ใช้ไม้ดีดที่ทำด้วยงาหรือเขาสัตว์ กลึงเป็นท่อนกลม ปลาย เรียวแหลมมน หน้ า18
กระจับปี่ กระจับปี่ เป็นพิณชนิดหนึ่ง มี ๔ สาย กระพุ้งพิณมีลักษณะ เป็นกล่องแบน รูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูมุมมนด้านหน้ าทำ เป็นช่อง ให้เสียงกังวาน ทวนทำเป็นก้านเรียวยาวและกลม กลึงปลายแบน และงอนโค้งไปด้านหลัง ตรงปลายทวนมีลิ่ม สลักเป็นลูกบิดไม้ สำหรับขึ้นสาย ๔ ลูก สายส่วนมากทำ ด้วยสายเอ็น หรือลวดทองเหลือง ตลอดแนวทวนด้านหน้ า ทำเป็น \"สะพาน\" หรือ นม ปักทำด้วยไม้ เขาสัตว์หรือ กระดูกสัตว์ สำหรับหมุนสายมี ๑๑ นมกระจับปี่พัฒนามา จากเครื่องดนตรีประเภทหนึ่งของอินเดีย มีต้นกำเนิดจาก การดีดสายธนูตามหลักฐานพบว่า กระจับปี่มีมาตั้งแต่ สมัย สุโขทัย หน้ า19
พิณน้ำเต้า พิณน้ำเต้าสันนิษฐานว่า พิณมีกำเนิดในประเทศ ทางตะวันออก พิณโบราณเรียนพิณน้ำเต้า ซึ่งมีลักษณะเป็น พิณสายเดี่ยว สันนิษฐานว่าชาวอินเดียนำมาแพร่หลาย ใน ดินแดนสุวรรณภูมิ การที่เรียกว่าพิณน้ำเต้า เพราะใช้ เปลือกผลน้ำเต้ามาทำ คันพิณที่เรียกว่า ทวน ทำด้วยไม้ เหลา ให้ปลายข้างหนึ่ง เรียวงอนโค้งขึ้นสำหรับผูกสาย ที่ โคนทวน เจาะรูแล้วเอาไม้มาเหลาทำลูกบิด สำหรับบิดให้ สายตึงหรือหย่อน เพื่อให้เสียงสูงต่ำ สายพิณมีสายเดียวเดิม ทำด้วยเส้นหวาย ต่อมาใช้เส้นไหม และใช้ลวดทองเหลืองใน ปั จจุบัน หน้ า20
ซอด้วง เป็นซอชนิดหนึ่งของไทย ให้เสียงสูงแหลม การที่ได้ชื่อนี้ เพราะส่วนที่เป็นเครื่องอุ้มเสียง มีรูปร่างคล้ายเครื่องดักสัตว์ ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ด้วง มีส่วนประกอบ ดังนี้ กระบอก เป็นส่วนที่อุ้มเสียงให้เกิดกังวาน รูปร่างเหมือน กระบอกไม้ไผ่ ทำด้วยไม้เนื้อแข็งบางทีทำด้วยงาช้าง ไม้ที่ ใช้ทำต่างชนิดกันจะให้คุณภาพเสียงต่างกัน เช่น เสียงนุ่ม เสียงกลม เสียงแหลม เป็นต้น ด้านหน้ าของกระบอกมีวัสดุ บาง ๆ ขึงปิด นิยมใช้หนังงูเหลือม นอกนั้นอาจเป็นหนัง ลูกวัว หนังแพะ หรือใช้กระดาษว่าวปิดซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น ก็ได้ - คันซอ ทำด้วยไม้หรืองาช้าง ลักษณะกลมยาว สอด ปั กที่กระบอกตั้งตรงขึ้นไป หน้ า21
ซอสามสาย เป็นซอชนิดหนึ่งของไทย มีมาแต่โบราณ มีเสียงไพเราะ นุ่ม นวล รูปร่างวิจิตรสวยงามกว่าซอชนิดอื่น ถือเป็นเครื่อง ดนตรีชั้นสูง ใช้ในราชสำนัก มีส่วนประกอบ ดังนี้ กะโหลก ทำด้วยกะลามะพร้าว ตัดตามด้านขวาง ด้านหน้ าต่อติดกับ กรอบไม้เนื้อแข็ง เดิมนิยมใช้ไม้สักเรียกว่า \"ขนงไม้สัก\" มี รูปร่างคล้ายกรอบหน้ านาง ใช้หนังลูกวัวหรือหนังแพะขึงปิด ทับขอบขนงไม้สักและขอบกะลาให้ตึงพอดี คันซอ แบ่งออก เป็นสามส่วน คือ ทวนบน ทวนกลาง และทวนล่าง ทวนบน คือ ส่วนที่นับจากรอบต่อเหนือรัดอกขึ้นไป ทวนกลาง คือ ส่วนต่อจากทวนบนลงมาถึงกะโหลก ทวนล่างหรือแข้งไก่ คือ ส่วนที่ต่อจากกะโหลก ลงไปรวมทั้งเข็มที่ทำด้วยโลหะ หน้ า22
ซออู้ เป็นซอที่มีเสียงทุ้มกังวาน ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายซอด้วง มีส่วนประกอบ ดังนี้ กะโหลก ทำด้วยกะลามะพร้าว ตัดส่วน ที่กว้างใกล้กับขั้ว ให้พูทั้งสามอยู่ด้านบน ใช้หนังลูกวัวหรือ หนังแพะ ขึงเป็นหน้ าตรงที่ตัดคันซอ ทำด้วยไม้หรืองาช้าง กลึง แบ่งเป็นสองส่วน คือ ทวนบน นับตั้งแต่ลูกบิด ไปถึง ปลายคัน ทวนล่างนับตั้งแต่ลูกบิดลงมาที่ตัวคันมีลวดหรือ ลูกแก้วคั่นเป็ นระยะ หน้ า23
ระนาดเอก ระนาดเอก ที่ให้เสียงนุ่มนวล นิยมทำด้วยไม้ไผ่บง ถ้า ต้องการ ให้ได้เสียงเกรียวกราว นิยมทำด้วยไม้แก่น ลูก ระนาดมี ๒๑ ลูก ลูกที่ ๒๑ หรือลูกยอด จะมีขนาดสั้นที่สุด ลูกระนาด จะร้อยไว้ด้วยเชือกติดกันเป็นผืนแขวนไว้บนราง ซึ่งทำด้วย ไม้เนื้อแข็งรูปร่างคล้ายเรือ ด้ามหัวและท้ายโค้ง ขึ้นเพื่อให้อุ้มเสียง มีแผ่นไม้ปิดหัวและท้ายรางเรียกว่า \"โขน\" ฐานรูปสี่เหลี่ยมเรียกว่า \"ปี่พาทย์ไม้แข็ง\" ไม้ตีอีก ชนิดหนึ่งทำด้วยวัสดุที่นุ่มกว่า ใช้ผ้าพัน แล้วถักด้ายสลับ เวลาตีจะให้เสียงนุ่มนวล เมื่อผสมเข้าวงเรียกว่า \"ปีพาทย์ ไม้นวม\" วิธีตี เมื่อตีตามจังหวะของลูกระนาดแล้วจะเกิด เสียงกังวาล ลดหลั่นกันไปตามลูกระนาด ระนาดที่ให้เสียง แกร่งกร้าว อันเป็นระนาดดั้งเดิมเรียกว่า ระนาดเอก หน้ า24
ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้ม เลียนแบบระนาดเอก สร้างขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลูกระนาดมีจำนวน ๑๗-๑๘ ลูก ตัวลูกมีขนาดกว้างและยาวกว่าของระนาดเอก ตัวรางก็แตกต่าง จากระนาดเอก คือเป็นรูปคล้ายหีบไม้แต่ เว้ากลาง มีโขนปิดหัวท้าย มีเท้าอยู่สี่มุมราง ไม้ตีตอนปลาย ใช้ผ้าพันพอกให้โต และนุ่ม เวลาตีจะได้เสียงทุ้ม วิธีตี ตีตามจังหวะของลูกระนาดใช้บรรเลงในวงปีพาทย์ ทั่วไป มีวิธีการบรรเลง แตกต่างไปจากระนาดเอก คือไม่ได้ ยึดการบรรเลงคู่ ๘ เป็นหลัก หน้ า25
ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงใหญ่ มีลูกฆ้อง ๑๖ ลูก ลูกเสียงต่ำสุด เรียกว่า ลูกทวน ลูกเสียงสูงสุดเรียกว่า ลูกยอด ไม้ที่ใช้ตีมี สองอัน ผู้ตีถึงไม้ตีมือละอัน หน้ า26
ฆ้องวงเล็ก ฆ้องวงเล็ก มีลูกฆ้อง ๑๘ ลูก สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ใช้บรรเลงร่วมในวงปีพาทย์ มีหน้ าที่ เก็บ สอด แทรก ฯลฯ หน้ า27
ฉาบ เป็นเครื่องตีกำกับจังหวะ ทำด้วยโลหะ รูปร่างคล้ายฉิ่ง แต่ มีขนาดใหญ่กว่าและหล่อบางกว่า มีสองขนาด ขนาดใหญ่ กว่าเรียกว่า ฉาบใหญ่ ขนาดเล็กกว่า เรียกว่า ฉาบเล็ก การตี จะตีแบบประกบ และตีแบบเปิดให้เสียงต่างกัน หน้ า28
ฉิ่ง ฉิ่ง เป็นเครื่องตีกำกับจังหวะ ทำด้วยโลหะ หล่อหนา รูปร่าง กลม เว้ากลาง ปากผาย คล้ายฝาขนมครกไม่มีจุก สำรับ หนึ่งมีสองฝาเจาะรูตรงกลางที่เว้า สำหรับร้อยเชือกโยงฝา ทั้งสอง เพื่อสะดวกในการถือตี ฉิ่งมีสองขนาด ขนาดใหญ่ใช้ ประกอบวงปีพาทย์ ขนาดเล็กใช้กับวงเครื่องสายและมโหรี หน้ า29
ขลุ่ย ขลุ่ย เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่า มักทำจากไม้รวก ไม้ ชิงชัน ไม้พะยูง และงาช้าง แต่ที่ทำจากไม้รวกจะให้เสียงนุ่ม นวล ไพเราะกว่า ขลุ่ยกรวด ขลุ่ยกรวด มีขนาดเล็กกว่า ขลุ่ยเพียงออ ระดับเสียงต่ำ สุดสูงกว่า ระดับเสียงของขลุ่ยเพียงอออยู่ ๑ เสียง หน้ า30
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: