Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสาร

หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสาร

Published by kruarintaya.jaiaye, 2017-05-04 03:00:05

Description: หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นฯ

Search

Read the Text Version

หน่วยที่ 1ความรู้เบือ้ งต้นเกยี่ วกบั การสื่อสาร เอกสารประกอบการสอน วชิ าการสื่อสารธุรกจิ ไทย 3203-2013 ครูอรินทยา ใจเอ แผนกการเลขานุการ วทิ ยาลยั อาชีวศึกษาเชียงใหม่

1.1 ความหมายและความสาคญั ในชีวติ ประจาวนั ของมนุษย์เกยี่ วข้องกบั การสื่อสารตลอดเวลา ต้งั แต่ตนื่ จนเข้านอน ตดิ ต่อกบั บุคคลอนื่ ๆในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อ่านหนังสือพมิ พ์ ดูโทรทัศน์ฟังวทิ ยุ ปรึกษาหารือ/ประชุมกบั ผู้ร่วมงาน พูดคุยกนักบั คนในครอบครัว สวดมนต์ไหว้พระ ฯลฯ จะเห็นได้ว่ามนุษย์มกี ารสื่อสารอยู่ตลอดเวลา

สวนิต ยมาภยั การส่ือสาร หมายถึง การนาเร่ืองราวต่าง ๆ ที่ เป็ นข้อเทจ็ จริง ข้อคดิ เห็น หรือความรู้สึก โดยอาศัย เครื่องนาไปโดยวธิ ีใดวธิ ีหน่ึงให้ไปถงึ จุดหมาย ปลายทางทต่ี ้องการ จนทาให้เกดิ การกาหนดรู้ ความหมายแห่งเรื่องราวน้ันร่วมกนั ได้

อวยพร พานิช การสื่อสาร คอื กระบวนการถ่ายทอดข้อมูล ข่าวสารของมนุษย์ผู้ทาการสื่อสาร ให้เกดิ การรับรู้ ร่วมกนั มกี ารตอบสนองในสภาพแวดล้อมหน่ึง ๆ ทสี่ ามารถเปลยี่ นแปลงได้ตามสภาวการณ์ต่าง ๆระววี รรณ ประกอบผล การส่ือสาร หมายถึง การติดต่อกนั ระหว่างมนุษย์ ทาให้ได้รับรู้เรื่องราวอนั มีความหมายร่วมกนั และเกดิ การตอบสนองต่อกนั

จากคาจากดั ความต่าง ๆ สามารถสรุปความหมายของการสื่อสารได้ว่า กระบวนการถ่ายทอดเร่ืองราวต่าง ๆ ทเ่ี ป็ นข้อเทจ็ จริง ข้อคดิ เห็น ความรู้สึก หรือจินตนาการ จากผู้ส่งสารไปยงั ผู้รับสาร ด้วยวธิ ีการใดวธิ ีการหนึ่ง จนเกดิ การกาหนดความหมายแห่งเร่ืองราวเหล่าน้ันร่วมกนั ได้

การตดิ ต่อกบั บุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยมีจุดประสงค์ทจ่ี ะเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ข่าวสารข้อมูลความรู้สึกนึกคดิ ความต้องการ ตลอดจนความคดิ เห็นในเรื่องต่าง ๆ ให้ผู้อนื่ รับรู้ เราเรียกว่า“การสื่อสาร” การส่ือสารเป็ นวฒั นธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ ระหว่างมนุษย์กบั มนุษย์เท่าน้ัน หากการติดต่อเกดิ ขนึ้ ระหว่างมนุษย์และสัตว์ ไม่จดั ว่าเป็ นการส่ือสาร

การสื่อสารมีประโยชน์อย่างยงิ่ ในแง่บุคคล คอืทาให้คนเราสามารถรับรู้ความรู้สึกนึกคดิ ความต้องการของผู้อนื่ ก่อให้เกดิ ความเข้าใจทต่ี รงกนัทาให้คนเรามีโลกทศั น์กว้างขวางขนึ้ เพราะได้รับข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งสามารถนามาใช้ประโยชน์ต่อการทางานและการใช้ชีวติ ได้

ในแง่สังคมคอื ทาให้สังคมเจริญก้าวหน้า มนุษย์สามารถสืบทอดและพฒั นาวฒั นธรรมของตนเองเรียนรู้และรับรู้วฒั นธรรมของสังคมอน่ื เพอ่ื นามาปรับปรุงวฒั นธรรมของตน ตลอดจนสามารถถ่ายทอดวฒั นธรรมไปสู่รุ่นต่อรุ่นอย่างไม่จบสิ้น ดารงเผ่าพนั ธ์ุและอารยธรรมได้อย่างต่อเน่ือง

1.2 องค์ประกอบของการส่ือสารผู้ส่งสาร (Sender)สาร (Message)ช่องทาง/สื่อ (Channel or Medium)ผู้รับสาร (Receiver)

ผู้ส่งสาร (Sender) บุคคลหรือกลุ่มบุคคลทเี่ ป็ นผู้ริเร่ิมส่งสารหรือข้อมูลเรื่องราวไปสู่อกี บุคคลหน่ึง โดยต้งั ใจหรือไม่กต็ ามโดยการพดู การเขยี น ลกั ษณะท่าทาง หรืออน่ื ๆ ที่สามารถแปลความหมายได้ ต้องเป็ นผู้ทม่ี คี วามรู้ความเข้าใจในเรื่องทต่ี ้องการสื่อสาร เข้าใจความสามารถและความพร้อมในการรับสารของผู้ทต่ี นสื่อสารด้วย รู้จกัเลอื กใช้วธิ ีในการส่ือสารให้เหมาะสมกบั เรื่อง โอกาสและผู้รับสาร

สาร (Message) เรื่องราวอนั มคี วามหมายและแสดงออกมาโดยอาศัยภาษา หรือสัญลกั ษณ์ท่ีสามารถทาให้เกดิ การรับรู้ร่วมกนั สารจะเกดิ ขนึ้ ได้เมอ่ื ผู้ส่งสารเกดิความคดิ และต้องการถ่ายทอดให้ผู้อน่ื รับรู้ สารจะทาหน้าทเ่ี ร้าให้ผู้รับสารเข้าใจความหมายและมีปฏกิ ริ ิยาตอบสนอง

ประกอบด้วยส่วนประกอบสาคญั 3 ประการคอืรหัสของสาร → ภาษา/สัญลกั ษณ์/สัญญาณ (วจั นภาษา/อวจั นภาษา)เนือ้ หาของสาร → ข้อเท็จจริง/ข้อคดิ เห็นการจดั สาร → การเรียบเรียง ลาดบั ความ เลอื กระดบั ความยากง่าย รูปแบบการใช้ภาษา

ช่องทาง/สื่อ (Channel or Medium) สิ่งทที่ าหน้าทนี่ าสารไปยงั ผู้รับสารคาว่า “ช่องทาง” และคาว่า “ส่ือ” มีความหมายใกล้เคยี งกนั และบางคร้ังใช้แทนกนั ได้ แต่แท้จริงแล้วคาท้งั สองมีความหมายแตกต่างกนั

ช่องทาง :- ทางทที่ าให้ผู้ส่งสารกบั ผู้รับสารติดต่อกนั ได้ เช่น หู ตา จมูก ลนิ้สื่อ :- ส่ิงต่าง ๆ * สื่อธรรมชาติหรือส่ือสามญั * ส่ือบุคคล * ส่ือสิ่งพมิ พ์ * ส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ * สื่อระคนหรือสื่อเฉพาะกจิ

ผู้รับสาร (Receiver) บุคคลทเ่ี ป็ นจุดหมายปลายทางของข่าวสารท่ีส่งออกไปในกระบวนการส่ือสารน้ัน มีบทบาทพนื้ ฐาน2 ประการคอื การกาหนดรู้ความหมายตามเร่ืองราวทผ่ี ู้ส่งสารส่งผ่านสื่อมาถงึ ตน และการแสดงปฏิกริ ิยาตอบสนองต่อผู้ส่ งสาร

การส่ือสารจะมีประสิทธิภาพได้ดนี ้ัน ผู้รับสารต้องพฒั นาตนเองให้เป็ นผู้มที กั ษะในการสื่อสาร เช่น - เป็ นผู้ฟังหรือผู้อ่านทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ - เป็ นผู้ทสี่ ามารถคดิ และรับรู้ความหมายได้ - มีทศั นคตทิ ด่ี ตี ่อผู้ส่งสาร ต่อเรื่องทสี่ ื่อสาร - เป็ นผู้พยายามรับสาร - สามารถแสดงปฏิกริ ิยาตอบสนอง

1.3 รูปแบบของการส่ือสาร1.3.1 แบ่งตามจานวนผู้ทาการส่ือสาร1.3.2 แบ่งตามการตอบสนอง1.3.3 แบ่งตามวตั ถุประสงค์1.3.4 แบ่งตามวธิ ีการทใ่ี ช้ในการรับ-ส่งสาร

1.3.1 แบ่งการสื่อสารตามจานวนผู้ทาการส่ือสารการสื่อสารภายในตวั บุคคลการสื่อสารระหว่างบุคคลการสื่อสารในกล่มุการส่ือสารมวลชน

1.3.2 แบ่งตามการตอบสนองการส่ือสารทางเดยี วการส่ือสารแบบสองทาง

1.3.3 แบ่งตามวตั ถุประสงค์เพอ่ื ให้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้เพอ่ื โน้มน้าวใจเพอื่ จรรโลงใจเพอ่ื ความบนั เทงิ

1.3.4 แบ่งตามวธิ ีการทใี่ ช้ในการรับ-ส่งสารการส่ งสาร การรับสาร  การพดู  การอ่าน  การเขียน  การฟัง

1.4 ภาษากบั การสื่อสาร ภาษามสี ่วนสาคญั อย่างยง่ิ ท่ีจะทาให้กระบวนการสื่อสารดาเนินไปได้ ภาษาทาหน้าท่ีเป็ นตัวกลางเพอ่ื ให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารเข้าใจตรงกนั สารทุกชนดิ ไม่ว่าจะส้ันยาวเพยี งใด ก่อนทคี่ นเราจะสามารถรับรู้จนเกดิความเข้าใจได้น้ัน จะต้องส่งมาในรูปของภาษาหรือสัญลกั ษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก่อนเท่าน้ัน สารจะเกดิ ขนึ้ด้วยตัวของมนั เองแท้ ๆ ไม่ได้

ความหมายของภาษาพจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน (2525:616-617)ภาษา หมายถงึ เสียงหรือกริ ิยาอาการทีท่ าความเข้าใจ กนั ได้ คาพดู ถ้อยคาทใี่ ช้พดู จากนั

กาเนิดของภาษา ภาษาเป็ นรหัส สัญลกั ษณ์ทม่ี นุษย์กาหนดขนึ้ มาเพอื่ แทนท่ีมโนภาพ และได้ให้ความหมายกบั ส่ิงน้ันจนเป็ นท่ียอมรับและใช้กนั ต่อมาในสังคมหนึ่ง จนกลายเป็ นภาษาของสังคมน้ัน สืบทอดให้ลูกหลานเรียนรู้และใช้กนั ในชีวติ ประจาวนั ทาให้ภาษาคงอยู่ แต่กม็ ีการเปลยี่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่นคาใหม่ ๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้จากโฆษณา เพลง เม่ือสังคมยอมรับกเ็ ป็ นภาษาใหม่ของสังคม จงึ เห็นได้ว่าภาษามีการเกดิ และตายตลอดเวลา

ภาษาท่ีใช้ในการส่ือสารภาษาทใ่ี ช้ถ้อยคาหรือวจั นภาษา (Verbal language)ภาษาท่ีไม่ใช้ถ้อยคาหรืออวจั นภาษา (Non-verbal language)

ภาษาทใ่ี ช้ถ้อยคาหรือวจั นภาษา(Verbal language) ได้แก่ คาพดู หรือตวั อกั ษรทกี่ าหนดตกลงใช้ร่วมกนั ในสังคม ซ่ึงหมายรวมท้งั เสียง และลายลกั ษณ์อกั ษร ภาษาถ้อยคา เป็ นภาษาทม่ี นุษย์สร้างขนึ้ อย่างมีระบบ มีหลกั เกณฑ์ทางภาษาหรือไวยากรณ์ ซึ่งคนในสังคมต้องเรียนรู้ และใช้ภาษาในการฟัง พูด อ่านเขียน และคดิ

การใช้วจั นภาษาในการสื่อสารควรพจิ ารณาเร่ืองต่อไปนี้1. ความชัดเจนและถูกต้อง ต้องเป็ นภาษาทเี่ ข้าใจตรงกนั ท้งั ผู้รับสารและผู้ส่งสาร และถูกต้องตามหลกั ภาษา สาหรับภาษาไทยผู้ส่ งสารต้องคานึงถงึ

1.1 ความหมายของคา คาในภาษาไทยมีท้งั ความหมายตรง และความหมายแฝง ผู้ส่งสารต้องศึกษาก่อนใช้คาเหล่าน้ัน เพอ่ื ขจัดปัญหาความคลมุ เครือ บางคร้ังผู้ส่งสารจาเป็ นต้องมีบริบททางภาษา ได้แก่ คาขยายเพอื่ ประกอบวจั นภาษาให้เข้าใจชัดเจนยง่ิ ขนึ้

1.2 การเขยี นและการออกเสียงคา ในการเขยี น ผู้ส่งสารต้องระมัดระวงั เร่ืองสะกดการันต์ ในการพูดต้องระมดั ระวงั เรื่องการออกเสียงต้องเขยี นและออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะคาในภาษาไทยถ้าเขียนผดิ หรือออกเสียงผดิ ความหมายกจ็ ะเปลี่ยนแปลงทาให้การรับรู้คลาดเคลอื่ นได้

1.3 การเรียบเรียงประโยค ผู้ส่งสารจาเป็ นต้องศึกษาโครงสร้างประโยคเพอื่ วางตาแหน่งของคาในประโยคให้ถูกต้อง ถูกที่ไม่สับสน

2. ความเหมาะสมเพอ่ื ให้การส่ือสารบรรลุเป้ าหมายผู้ส่งสารต้องคานึงถึง2.1 ใช้ภาษาให้เหมาะกบั ขนาดการส่ือสาร ผู้ส่งสารต้องพจิ ารณาว่าสื่อสารกบั บุคคล กล่มุ บุคคลมวลชน เพราะขนาดของกล่มุ มผี ลต่อการเลอื กใช้ภาษาเช่น การส่ือสารกบั มวลชนต้องใช้ภาษาทเ่ี ข้าใจง่ายไม่มศี ัพท์ทางวชิ าการ เป็ นต้น

2.2 ใช้ภาษาให้เหมาะสมกบั ลักษณะงาน เช่น งานประชาสัมพนั ธ์ งานโฆษณา งานประชุมแต่ละงานมภี าษาเฉพาะ ผู้ส่งสารจาเป็ นต้องเรียนรู้ลกั ษณะงานและลกั ษณะภาษาทเี่ หมาะสมกบั งานน้ัน ๆ2.3 ใช้ภาษาให้เหมาะสมกบั ส่ือ ผู้ส่งสารจะต้องรู้จกั ความแตกต่างของสื่อและความต่างของภาษาทใี่ ช้กบั แต่ละส่ือ เช่น สื่อบุคคลอาจใช้จิตวทิ ยาทางภาษาเข้ามาเกยี่ วข้อง ส่ือโฆษณาต้องใช้ภาษาทกี่ ระชับ กระตุ้นความสนใจของผู้รับสาร

2.4 ใช้ภาษาให้เหมาะสมกบั ผ้รู ับสาร เป้ าหมาย ผู้รับสาร เป้ าหมาย ได้แก่ กล่มุ ผู้รับสารเฉพาะ ทผ่ี ู้ส่งสารคาดหวงั ได้ ผู้ส่งสารต้องวเิ คราะห์กบั ผู้รับสารทเี่ ป็ นเป้ าหมายของการส่ือสาร และเลอื กใช้ ภาษาให้เหมาะกบั ผู้รับสารน้ัน ๆ เช่น วยั รุ่นต้องใช้ ภาษาทส่ี ะดุดตา สะดุดใจ เป็ นต้น

3. มีนา้ หนัก หมายถงึ การเลอื กใช้ถ้อยคาทมี่ ีพลงั สามารถ กระทบใจผู้รับสารให้เข้าใจได้ทนั ที เป็ นการใช้คา น้อยแต่กนิ ความมาก ผู้ส่งสารจาเป็ นต้องมแี หล่งคา ในสมองเพอื่ เกบ็ ไว้เลอื กใช้ให้เหมาะสม เพอื่ เน้น นา้ หนักคาในทีด่ งั กล่าว “เราเปลยี่ นเร่ืองคราบไคลให้เป็ นคราบคลาย”

4. บรรลเุ ป้ าหมาย งานสื่อสารธุรกจิ แต่ละงานมเี ป้ าหมายวางไว้ ชัดเจน ผู้ส่งสารจาเป็ นต้องเลอื กใช้ภาษาให้บรรลุ เป้ าหมายของงานท่วี างไว้ โดยพจิ ารณาจาก องค์ประกอบทก่ี ล่าวมาแล้ว และศึกษาเป้ าหมาย ของงานให้เด่นชัด “กนิ ไม่ได้แต่เท่”

ภาษาไม่ใช้ถ้อยคาหรืออวจั นภาษา (Non-verballanguage) เป็ นภาษาซ่ึงมคี วามหมายหรือมสี ารซ่อนอย่ใู นถ้อยคากริ ิยาอาการต่าง ๆ ตลอดจนเสียงอน่ื ๆ ท่ีสามารถแปลความหมายได้ เช่น นา้ เสียง กริ ิยาอาการ การตรงต่อเวลาการยมิ้ แย้ม การสบสายตา การเลอื กใช้เสื้อผ้า เป็ นต้นส่ิงเหล่านีแ้ ม้จะไม่ใช่ถ้อยคาแต่กส็ ามารถส่ือความหมายให้เข้าใจได้ ในการส่ือสารโดยวจั นภาษามักมีอวจั นภาษาเข้าไปแทรกอย่เู สมอ อาจต้งั ใจกไ็ ด้ อวจั นภาษาทใี่ ช้ในการสื่อสารโดยทวั่ ไปปรากฏอยู่ในหลายลกั ษณะ ดงั นี้

กริ ิยาท่าทาง/ กลน่ิ -รส เคลอื่ นไหวร่างกาย ภาพการสัมผสัการแต่งกาย สีเสียงช่องว่าง/ระยะห่าง ลกั ษณะกระดาษ/เวลา ตวั อกั ษร/เครื่องหมาย วรรคตอน วตั ถุภาษาอนื่ ๆ

วจั นภาษา ไม่สามารถแยกเด็ดขาดจากอวจั นภาษาผู้ส่งสารมกั จะใช้วจั นภาษาและอวจั นภาษาประกอบ เช่นบอกว่า “มา” พร้อมท้งั กวกั มือเรียก เป็ นต้น วจั นภาษาและอวจั นภาษามีความสัมพนั ธ์กนั ดังนี้

1. ใช้อวจั นภาษาแทนคาพูด หมายถึง การใช้อวจั นภาษาเพยี งอย่างเพยี ง แต่ความหมายเหมอื นถ้อยคาในภาษาได้ เช่น การกวกั มอื เรียก การส่ันศีรษะ เป็ นต้น2. ใช้อวจั นภาษาขยายความ เพอื่ ให้ผู้รับสารเข้าใจดยี ง่ิ ขนึ้ เช่น พดู ว่า “อยู่ในห้อง” พร้อมท้งั ชี้มือไปทหี่ ้อง ๆ หน่ึง แสดงว่าไม่ได้อยู่ในห้องอน่ื

3. ใช้อวจั นภาษายา้ ความหนักแน่น หมายถงึ การใช้อวจั นภาษาประกอบ วจั นภาษา ในความหมายเดียวกนั เพอ่ื ยา้ ความให้หนักแน่น ชัดเจนยงิ่ ขนึ้ เช่น พดู ว่า “รองเท้าคู่นีใ้ ช่ไหม” พร้อมท้งั หยบิ รองเท้าขนึ้ ประกอบ4. ใช้อวจั นภาษาเน้นความ หมายถงึ การใช้อวจั นภาษายา้ บางประเดน็ ของวจั นภาษา ทาให้ความหมายเด่นชัดขนึ้ เช่น พาดหัวหนังสือพมิ พ์ใช้ตวั อกั ษรตวั โตพเิ ศษ แสดงว่า เป็ นเร่ืองสาคญั มาก

5. ใช้วจั นภาษาขัดแย้งกนั หมายถงึ การใช้วจั นภาษาทีใ่ ห้ความหมาย ตรงกนั ข้ามกบั วจั นภาษา ผู้รับสารมกั จะเช่ือถือสาร จากวจั นภาษาว่าตรงกบั ความรู้สึกมากกว่า เช่น พูดว่า “โกรธไหมจ๊ะทผี่ มมาช้า” ผู้รับสารตอบว่า “ไม่โกรธหรอกค่ะ” พร้อมกบั มีสีหน้าบงึ้ ตึง ผู้ส่งสารกร็ ู้ได้ทนั ทวี ่ายงั โกรธอยู่

6. ใช้อวจั นภาษาควบคุมปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างการส่ือสาร หมายถงึ การใช้กริ ิยา ท่าทาง สายตา นา้ เสียง สร้างความสัมพนั ธ์ระหว่างการส่ือสาร เช่น การยมิ้ แย้มแจ่มใส การแสดงความดีใจทไี่ ด้พบกัน

อวจั นภาษา มีผลในด้านการสร้างความรู้สึกและอารมณ์ได้มากกว่าวจั นภาษา การใช้อวจั นภาษาจะโดยต้งั ใจหรือไม่ต้งั ใจกต็ าม ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะต้องระมดั ระวงั ถ้ารู้จกั เลอื กใช้อวจั นภาษาเพอ่ื เสริมหรือเน้นแทนวจั นภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้การส่ือสารสัมฤทธิผลมากขนึ้ นับว่าสารที่ไม่ปรากฏถ้อยคามีประโยชน์ในแง่การสื่อสารโดยสรุปหลายประการ คอื

1. ยา้ ความหนักแน่น เช่น อาการพยกั หน้า ค้อมศีรษะ โบกมือ ส่ายหน้า หรือแม้แต่ความเฉยชากย็ งั ยา้ ความ หนักแน่นได้2. ใช้เป็ นการปฏิเสธหรือตอบรับโดยไม่ต้องพูด ไม่ต้อง เขยี น ซึ่งทาให้เกดิ ความน่าเชื่อถอื สื่อความและลด ความขัดแย้งลงได้3. เพมิ่ พนู ความรู้สึกซาบซึ้งใจ ลกึ ซึ้ง หนักแน่น

4. เพมิ่ ชีวติ วญิ ญาณ สร้างสีสัน ให้มชี ีวติ จิตใจ สร้าง ความประทบั ใจ5. สร้างขวญั และกาลงั ใจและให้ความร่ืนรมย์6. บ่งบอกความสามารถในการใช้ภาษาท้งั วาโทบายและ เล่ห์กลทางภาษา7. สร้างไมตรีสัมพนั ธ์

1.5 ระดบั ภาษาในการส่ือสาร การใช้ภาษาส่ือสารต้องใช้ให้เหมาะสมกบั โอกาสสถานการณ์ และสัมพนั ธภาพระหว่างบุคคล ระดับภาษา เป็ นตัวกาหนดความเหมาะสม ช่วยให้เกดิ ผลดีในการส่ือสาร ระดับภาษาแบ่งเป็ น 5 ระดบัดังนี้

1. ระดบั พธิ ีการ2. ระดับทางการ3. ระดบั กง่ึ ทางการ4. ระดบั สนทนา5. ระดบั กนั เอง

1. ระดบั พธิ ีการ ภาษาระดบั นีใ้ ช้ส่ือสารกนั ในทป่ี ระชุมทจ่ี ดั ขนึ้ อย่างเป็ นพธิ ีการ เช่น การกล่าวรายงานในพธิ ีมอบปริญญาบตั ร ผู้ส่งสารมุ่งแสดงออกให้เห็นถงึ ความขลงั ความศักด์สิ ิทธ์ิ ความทรงคุณปัญญา ฯลฯ ไปมุ่งประโยชน์ท่ีจะให้ผู้รับสารได้มสี ่วนร่วมแสดงความคดิ เห็น หากจะมีการกล่าวตอบกต็ ้องทาเป็ นแบบพธิ ีการในฐานะผู้แทนกลุ่มเท่าน้ัน

2. ระดบั ทางการ ภาษาระดบั นีม้ ิได้มุ่งหมายทจี่ ะให้ผู้นามีส่วนในการสื่อสารโดยตรงเช่นกนั ผู้ส่งสารมุ่งเสนอข่าวสารแนวคดิและทรรศนะไปยงั กลุ่มผู้รับสารขนาดใหญ่ เช่น การแถลงข่าวอย่างเป็ นทางการต่อส่ือมวลชน การให้โอวาทต่อคณะบุคคล การเขยี นบทบรรณาธิการในหนังสือพมิ พ์ การเขยี นบทความทางวชิ าการ

3. ระดบั กง่ึ ทางการ ภาษาระดบั นีม้ ักใช้ในการปรึกษาหรือธุรกจิ ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล มกี ารเปิ ดโอกาสให้ผู้รับสารมีส่วนร่วมแสดงความคดิ เห็นร่วมกบั ผู้ส่งสาร ภาษาระดบั นีจ้ ะใช้ในการประชุมกลุ่ม ปรึกษางานการวางแผนร่วมกนั การเขยี นบทความ แสดงทรรศนะในหนังสือพมิ พ์ การเสนอรายการสารคดกี ึ่งราชการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook