Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์ ทดลอง

ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์ ทดลอง

Published by chonthioha_bum, 2020-04-16 02:54:02

Description: ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์

Search

Read the Text Version

ส่อื การเรียนการสอน ทกั ษะการดาเนินชวี ติ (มัธยมปลาย) รหสั วิชา ทช31002 รายวิชา สขุ ศกึ ษา รวบรวมข้อมูลจัดทาขนึ้ โดย กศน.อาเภอคาเขื่อน จังหวัดยโสธร



ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์ โครงสร้างการทางานของร่างกายมนษุ ย์ ในการศึกษาทางจติ วิทยา จาเปน็ อย่าง ยง่ิ ทจ่ี ะทาความเข้าใจเก่ยี วกับพฤตกิ รรมต่าง ๆ ของ มนษุ ย์ ซง่ึ การทีม่ นุษยจ์ ะแสดง พฤตกิ รรมใด ๆ ออกมานัน้ เปน็ เพราะระบบการทางานของรา่ งกาย ไม่ ว่านักปรัชญาและ นักวิทยาศาสตร์ ซ่งึ ไดท้ าการศกึ ษาคน้ คว้ามาเป็นระยะเวลายาวนานต่างมคี วาม คดิ เห็น ตรงกนั ว่าร่างกายมนุษย์ สตั ว์ หรือพชื ทงั้ หลายจะมโี ครงสร้างท่ีประกอบขน้ึ จากหน่วยที่ เลก็ ท่ีสุดท่ไี มส่ ามารถมองเหน็ ได้ด้วยตาเปลา่ จนกระท่ังถงึ ส่วนประกอบทใี่ หญท่ ่สี ดุ แตล่ ะ สว่ นจะมีการ ทางานท่สี มั พันธ์กัน

รา่ งกายต่างๆในรา่ งกายมีการทางานท่ีสมั พนั ธ์กันเพื่อให้มนุษย์สามารถดารงชวี ติ ได้อยา่ ง ปกติ การทางานของระบบภายในร่างกาย มีดังต่อไปนี้ 1.ระบบย่อยอาหาร 2.ระบบหมุนเวยี นเลือดและภูมิคุม้ กนั 3.ระบบหายใจ 4.ระบบกาจดั ของเสีย 5. ระบบประสาท 6. ระบบสืบพนั ธุ์

1.ระบบย่อยอาหาร อาหารประเภทตา่ งๆทีเ่ ราบริโภคโดยเฉพาะสารอาหารทใ่ี ห้พลังงานแกร่ ่างกาย คอื คาร์โบไฮเดรตโปรตีนและไขมนั ล้วนแตม่ ีโมเลกลุ ขนาดใหญ่เกนิ กว่าทจี่ ะลาเลียงเขา้ สเู่ ซลล์สว่ นต่างๆ ของรา่ งกายได้ ยกเวน้ วติ ามนิ และเกลอื แรซ่ ึง่ มีอนภุ าคขนาดเล็กจงึ จาเป็นตอ้ งมีอวยั วะและกลไกการ ท างานตา่ งๆที่จะทาใหโ้ มเลกลุ ของสารอาหาร เหลา่ นั้นมีขนาดเล็กลงจนสามารถลาเลยี งเข้าสูเ่ ซลลไ์ ด้ เรยี กว่า “การย่อย ” การยอ่ ยอาหาร หมายถงึ การทาใหส้ ารอาหารทม่ี ีโมเลกุลขนาดใหญ่กลายเป็น สารอาหารทีม่ ี โมเลกลุ เลก็ ลงจนกระทัง่ แพร่ผ่านเยื่อหุม้ เซลลไ์ ด้ การยอ่ ยอาหารในรา่ งกายมี 2 วิธี คือ 1. การยอ่ ยเชงิ กล คอื การบดเคี้ยวอาหารโดยฟนั เปน็ การเปล่ียนแปลงขนาดโมเลกุลทาให้ สารอาหาร มขี นาดเลก็ ลง 2. การยอ่ ยเชิงเคมีคือการเปล่ียนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหารโดยใชเ้ อนไซม์ท่ี เกี่ยวขอ้ งทา ใหโ้ มเลกุลของสารอาหารเกิดการเปลีย่ นแปลงทางเคมีได้โมเลกลุ ทมี่ ขี นาดเลก็ ลง



1. อวัยวะทมี่ ีส่วนเกีย่ วข้องกบั การยอ่ ยอาหาร:: 1.1 ตบั มหี นา้ มี่สร้างนา้ ดีสง่ ไปเก็บทถ่ี งุ นา้ ดี 1.2 ตับออ่ น มหี น้าท่ีสรา้ งเอนไซม์สง่ ไปย่อยอาหารที่ลาไส้เลก็ 1.3 ลาไส้เล็กสรา้ งเอนไซม์มอลเทส ซูเครส และแลก็ เทสยอ่ ยอาหารท่ลี าไส้เล็ก เอนไซม์ (Enzyme) เป็นสารประกอบประเภทโปรตีนทรี่ ่างกายสร้างข้ึนเพอ่ื ทาหนา้ ท่ีเร่งอัตราการ เกิดปฏกิ ิริยาเคมีในร่างกาย เอนไซมท์ ใี่ ชใ้ นการยอ่ ยสารอาหารเรยี กว่า \"นา้ ยอ่ ย\" เอนไซมม์ ี สมบตั ทิ ีส่ าคัญ ดังนี้ -เป็นสารประเภทโปรตนี ทส่ี รา้ งขนึ้ จากเซลลข์ องสิ่งมีชวี ิต -ชว่ ยเรง่ ปฏิกริ ยิ าในการยอ่ ยอาหารให้เรว็ ขึ้นและเมื่อเร่งปฏกิ ิริยาแล้วยังคงมสี ภาพ เดมิ สามารถใชเ้ ร่งปฏิกริ ิยาโมเลกุลอน่ื ได้อกี -มีความจาเพาะต่อสารท่เี กิดปฏิกิริยาชนดิ หนง่ึ ๆ -เอนไซม์จะทางานไดด้ ีเม่ืออยู่ในสภาวะแวดลอ้ มที่เหมาะสม



ปจั จัยทีม่ ีผลต่อการทางานของเอนไซม์ ได้แก่ 1. อณุ หภูมิ เอนไซมแ์ ตล่ ะชนิดทางานไดด้ ที ีอ่ ณุ หภมู ติ ่างกัน แตเ่ อนไซมใ์ นรา่ งกายทางานได้ดี ที่ อณุ หภมู ิ 37 องศาเซลเซียส 2. ความเป็นกรด - เบส เอนไซมบ์ างชนิดทางานได้ดเี มอ่ื มีสภาพทเ่ี ปน็ กรด เชน่ เอนไซมเ์ พปซินใน กระเพาะอาหารเอนไซมบ์ างอย่างทางานไดด้ ีในสภาพทเ่ี ป็นเบส เชน่ เอนไซม์ในลาไสเ้ ลก็ เปน็ ต้น 3. ความเข้ม เอนไซม์ทม่ี คี วามเข้มข้นมากจะทางานได้ดีกว่าเอนไซมท์ มี่ ีความเข้มขน้ นอ้ ย การทางานของเอนไซม์จาแนกไดด้ ังนี้ 1. เอนไซม์ในน้าลาย ทางานไดด้ ใี นสภาวะเป็นเบสเล็กน้อยเป็นกลางหรอื กรด เลก็ น้อยจะขึน้ อย่กู ับ ชนดิ ของน้าตาลและที่อุณหภมู ปิ กตขิ องร่างกายประมาณ 37 องศาเซลเซียส 2. เอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ทางานได้ดใี นสภาวะเป็นกรดและท่อี ุณหภูมิปกติ ของร่างกาย 3. เอนไซม์ในลาไสเ้ ลก็ ท างานได้ดีในสภาวะเปน็ เบสและอณุ หภูมปิ กติรา่ งกาย

สารอาหารที่มโี มเลกลุ ขนาดใหญ่จะถกู ยอ่ ยใหม้ ีขนาดโมเลกลุ เลก็ ท่สี ดุ คารโ์ บไฮเดรต (กลายเปน็ ) กลโู คส โปรตีน (กลายเป็น) กรดอะมิโน ไขมนั (กลายเปน็ ) กรดไขมันและกลีเซอรอล

อวยั วะทเ่ี ป็นทางเดินอาหาร ทาหน้าท่ใี นการรบั และส่งอาหารโดยเร่มิ จาก ปาก>> คอหอย >> หลอดอาหาร >> กระเพาะ >> ลาไสเ้ ล็ก>> ลาไสใ้ หญ่ >> ทวารหนกั ปาก คอหอย ทวารหนกั หลอดอาหาร กระเพาะ ลาไสเ้ ลก็ ลาไสใ้ หญ่

เมือ่ รับประทานอาหารอาหารจะเคลอ่ื นท่ผี า่ นอวัยวะที่เกีย่ วขอ้ ง กบั ทางเดินอาหารเพอ่ื เกิดการยอ่ ย ตามลาดับดงั ต่อไปน้ี 1.ปาก ( mouth) มีการย่อยเชงิ กล โดยการบดเคย้ี ว ของฟัน และมีการยอ่ ยทางเคมี โดยเอนไซม์อะไมเลสหรอื ไทยาลีน ซึ่งทางานได้ดใี นสภาพที่เป็นเบส เลก็ น้อย 2.คอหอย ( pharynx) เป็นทางผา่ นของอาหาร ซึ่งไม่มกี าร ยอ่ ยใดๆ ทัง้ สิ้น

3. หลอดอาหาร(esophagus) หลอดอาหาร มลี ักษณะเปน็ กล้ามเนอ้ื เรียบมี การย่อยเชิงกล โดยการบบี ตัวของกลา้ มเน้ือทางเดินอาหาร กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหาร(stomach) เป็นชว่ งๆ เรียกว่า “เพอริสตสั ซิส (peristalsis)” เพอื่ ใหอ้ าหารเคลื่อนทลี่ งสู่ หลอดอาหาร กระเพาะ อาหาร ลาไสเ้ ลก็ ส่วนตน้ รอยพบั 4.กระเพาะอาหาร(stomach) มีการย่อยเชงิ กลโดยการบีบตวั ของกล้ามเนื้อ ทางเดนิ อาหารและมกี ารย่อยทางเคมโี ดยเอนไซมเ์ พปซนิ (pepsin) ซ่งึ จะทางานได้ดี ในสภาพทีเ่ ปน็ กรด โดยช้นั ในสุดของกระเพาะจะ มตี ่อมสรา้ งนา้ ย่อยซ่ึงมเี อนไซม์เพป ซนิ และกรดไฮโดรคลอริก เป็น ส่วนประกอบเอนไซมเ์ พปซินจะย่อยโปรตีนให้เปน็ เพป ไทด์ ( peptide)ใน กระเพาะอาหารนย้ี งั มเี อนไซมอ์ ยู่อีกชนิดหนึง่ ชอื่ ว่า “ เรนนิน '' ทาหนา้ ที่ ย่อยโปรตนี ในนา้ นม ในขณะทีไ่ ม่มีอาหาร กระเพาะอาหารจะมีขนาด 50 ลกู บาศก์เซนติเมตร แตเ่ มอ่ื มีอาหารจะมีการขยายไดอ้ ีก 10 – 40 เท่า *สรปุ การย่อยท่ีกระเพาะอาหารจะมกี ารย่อยโปรตนี เพยี งอย่างเดียวเทา่ นน้ั



5.ลาไส้เลก็ (small intestine) เป็นบริเวณที่มกี ารยอ่ ยและการดดู ซมึ มากที่สดุ โดย เอนไซมใ์ นลาไส้เลก็ จะทางานไดด้ ใี นสภาพที่เป็นเบส ซง่ึ เอนไซม์ทีล่ าไส้เล็กสร้างข้นึ ไดแ้ ก่  มอลเทส (maltase) เป็นเอนไซม์ทย่ี อ่ ยนา้ ตาลมอลโทสใหเ้ ปน็ กลูโคส  ซูเครส (sucrase) เปน็ เอนไซม์ทีย่ อ่ ยน้าตาลทรายหรอื น้าตาลซโู ครส (sucrose) ให้เปน็ กลโู คสกับฟรกั โทส (fructose)  แลก็ เทส (lactase) เป็นเอนไซมท์ ่ียอ่ ยนา้ ตาลแล็กโทส (lactose) ให้เปน็ กลโู คสกับกา แลก็ โทส (galactose) ลาไสเ้ ล็ก

การย่อยอาหารท่ีลาไส้เล็กใชเ้ อนไซมจ์ ากตับอ่อน (pancreas) มาช่วยยอ่ ย เชน่ ทริปซิน (trypsin) เป็นเอนไซมท์ ่ยี อ่ ยโปรตีนโปรตนี หรอื เพปไทดใ์ หเ้ ปน็ กรดอะมโิ น อะไมเลส (amylase) เปน็ เอนไซม์ทยี่ อ่ ยแปง้ ใหเ้ ปน็ น้าตาลมอลโทส  ไลเปส (lipase) เป็นเอนไซม์ทยี่ อ่ ยไขมนั ให้เปน็ กรดไขมันและกลเี ซอรอล

6.น้าดี (bile) เป็นสารทผ่ี ลติ มา นา้ ดี (bile) จากตับ (liver) แลว้ ไปเก็บไวท้ ถ่ี งุ น้าดี(gall bladder) นา้ ดีไม่ใช่ เอนไซม์ เพราะไม่ใชส่ ารประกอบ ประเภทโปรตีน นา้ ดีจะทาหน้าท่ี ย่อยโมเลกลุ ของโปรตีนใหเ้ ล็กลง แลว้ นา้ ยอ่ ย จากตับอ่อนจะย่อย ตอ่ ทาให้ได้อนุภาคที่เลก็ ท่ีสดุ ที่ สามารถแพรเ่ ขา้ สเู่ ซลล์

สาไสใ้ หญก่ ลาง สาไสใ้ หญ่ขวา ลาไสใ้ หญ่ซา้ ย ก้อนกากอาหาร สาไสใ้ หญเ่ ล็กส่วนปลาย กะเปาะสาไสใ้ หญ่ ไสต้ ิ่ง หูรดู ทวารหนกั ไสต้ รง ทวารหนัก 7.ลาไส้ใหญ่ (large intestine ) ท่ีลาไส้ใหญไ่ มม่ ีการย่อย แต่ทาหน้าทเ่ี กบ็ กากอาหาร และดดู ซมึ น้าออกจากกากอาหาร ดงั น้นั ถา้ ไม่ถา่ ยอจุ จาระเปน็ เวลาหลายวนั ตดิ ต่อกนั จะทาให้เกิด อาการท้องผูก ถ้าเปน็ บอ่ ยๆจะทาใหเ้ กิด โรคริดสดี วงทวาร

ระบบหมุนเวียนเลือดและภมู ิคมุ้ กนั เลอื ด (Blood) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เปน็ ของเหลว 55 เปอรเ์ ซ็นต์ ซึง่ เรยี กว่า “นา้ เลอื ดหรอื พลาสมา (plasma)”และสว่ นทเี่ ป็นของแข็งมี 45 เปอร์เซน็ ต์ ซ่ึง ได้แก่ เซลล์เมด็ เลอื ด และเกลด็ เลือด 1. น้าเลอื ดหรอื พลาสมา ประกอบดว้ ยนา้ ประมาณ 91 เปอร์เซน็ ต์ ทาหน้าท่ีลาเลียง เอนไซม์ ฮอรโ์ มน แก๊ส แร่ธาตุ วิตามินและสารอาหารประเภทต่างๆทผ่ี า่ นการย่อย อาหารมาแล้วไปใหเ้ ซลลแ์ ละรับของเสียจากเซลล์ เชน่ ยูเรีย แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ น้า ส่งไปกาจัดออกนอกร่างกาย

2. เซลลเ์ มด็ เลือด ประกอบดว้ ย 2.1 เซลลเ์ ม็ดเลือดแดง (red blood cell) มลี กั ษณะค่อนข้างกลมตรงกลางจะ เว้าเข้าหากนั ( คล้ายขนมโดนัท ) เนอื่ งจาก ไมม่ นี วิ เคลยี ส องค์ประกอบสว่ นใหญ่ เปน็ สารประเภทโปรตีนท่เี รยี กว่า “ ฮโี มโกลบิน ” ซึ่งมีสมบตั ิในการรวมตัวกับ แกส๊ ต่างๆ ได้ ดี เช่น แกส๊ ออกซิเจน แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ หน้าทแ่ี ลกเปลี่ยนแก๊ส โดยจะลาเลยี งแก สออกซเิ จน ไปยังส่วนตา่ งๆ ของรา่ งกาย และ ลาเลียงแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์จากส่วน ต่างๆ ของร่างกายกลับไปที่ปอด แหล่งสรา้ งเม็ดเลอื ดแดง คือ ไขกระดูก ผชู้ ายจะมีเซลล์ เมด็ เลอื ดแดงมากกวา่ ผหู้ ญงิ เซลล์ เมด็ เลอื ดแดงมอี ายปุ ระมาณ 110-120 วนั หลงั จาก นั้นจะถูกนาไปทาลายท่ีตบั และมา้ ม

2.2 เซลล์เมด็ เลือดขาว (white blood cell) มลี กั ษณะคอ่ นขา้ งกลม ไมม่ สี แี ละมี นิวเคลยี ส เมด็ เลือดขาวในรา่ งกาย มอี ยู่ดว้ ยกนั หลายชนดิ หนา้ ท่ี ท าลายเช้ือโรคหรอื สารแปลกปลอมที่เข้ามาสูร่ ่างกาย แหลง่ ทสี่ ร้างเม็ดเลอื ดขาว คอื มา้ ม ไขกระดกู และ ตอ่ มน้าเหลือง มี อายปุ ระมาณ 7-14 วนั เซลล์เม็ดเลอื ดขาว

3. เกล็ดเลือดหรอื แผน่ เลอื ด (blood pletelet) ไมใ่ ชเ่ ซลล์แตเ่ ปน็ ช้ินสว่ นของเซลล์ซ่งึ มรี ุปรา่ งกลมรแี ละแบนเกลด็ เลือดมีอายุประมาณ 4 วัน หน้าทชี่ ่วยให้เลือดแข็งตัวเม่อื มี การไหลของเลือดจากหลอดเลือดออกส่ภู ายนอก รูปอีเลก็ ตรอนไมโครก ราฟของเกลด็ เลือด รปู ของเกลด็ เลอื ดจากสแกนนงิ อเี ล็กตรอน ไมโครกราพเห็นไซโตพลาสมกิ โปรเซสชัดเจน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook