Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รหัสวิชา ทช31002 รายวิชา สุขศึกษา ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์

รหัสวิชา ทช31002 รายวิชา สุขศึกษา ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์

Published by chonthioha_bum, 2020-04-20 02:31:52

Description: รหัสวิชา ทช31002 รายวิชา สุขศึกษา ระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์

Search

Read the Text Version

ปอด (lung) หลอดลมย่อซ้าย กลีบบน หลอดลมใหญ่ หลอดลมย่อขวา ปอดซา้ ย รอยเว้าสาหรบั หวั ใจ กลบี บน กลบี ลา่ ง ปอดขวา ส่วนยน่ื ของปอดซา้ ย กลีบกลาง กลบี ลา่ ง

5. ระบบประสาท ระบบประสาท ( Nervous System) คือ ระบบการตอบสนองตอ่ สิ่งเรา้ ของสัตว์ ทาให้สัตว์ สามารถตอบสนองตอ่ สิ่งตา่ งๆ รอบตัวอย่างรวดเรว็ ชว่ ยรวบรวมข้อมลู เพ่อื ใหส้ ามารถตอบสนองได้ สัตว์ชัน้ ต่าบางชนดิ เชน่ ฟองน้าไม่ มีระบบประสาท สัตว์ไม่มีกระดกู สันหลังบางชนิดเร่ิมมีระบบ ประสาทสัตวช์ ้ันสูง ข้ึนมาจีโครงสรา้ งของระบบ ประสาทซับซ้อนยิ่งข้นึ ระบบประสาทของมนษุ ย์ แบ่งออกเปน็ 2 สว่ น คอื ระบบประสาทสว่ นกลาง และระบบประสาทรอบนอก

สมอง เส้นประสาทสมอง ไขสันหลงั เส้นประสาท เสน้ ประสาทสมอง

ระบบประสาทสว่ นกลาง ระบบประสาทส่วนกลาง ( The Central Nervous System หรอื Somatic Nervous System) เป็นศูนย์กลางควบคมุ การทางานของร่างกาย ซงึ่ ทางานพร้อมกันทง้ั ในดา้ นกลไกและทาง เคมภี ายใต้อานาจจิตใจ ซง่ึ ประกอบด้วยสมองและไขสันหลังโดย เส้นประสาทหลายลา้ นเส้นจากทว่ั ร่างกายจะสง่ ขอ้ มลู ในรูปกระแสประสาทออกจาก บริเวณศูนย์กลางมีอวัยวะท่เี ก่ียวขอ้ งดงั น้ี 1.สมอง(Brain) เป็นส่วนทีใ่ หญ่กวา่ ส่วนอ่ืนๆของระบบประสาทสว่ นกลางทาหน้าท่ี ควบคุม การทากิจกรรมทง้ั หมดของรา่ งกายเป็นอวยั วะชนดิ เดียวท่ีแสดงความสามารถ ด้านสตปิ ัญญา การทากิจกรรมหรือการแสดงออกต่างๆสมองของสัตว์มีกระดกู สนั หลงั ท่ี สาคัญแบง่ ออกเป็น3 สว่ น ดงั นี้ 1.1 เซรบี รมั เฮมสิ เฟียร์ ( Cerebrum Hemisphrer) คือ สมองสว่ นหน้า ทาหน้าทีค่ วบคมุ พฤตกิ รร รมท่ีซับซ้อนเกีย่ วกบั ความรสู้ กึ และอารมณ์ควบคุมความคิด ความจา และความเฉลยี วฉลาด เชื่อมโยงความรู้สึกต่างๆเช่น การได้ยนิ การมองเหน็ การรับกลิน่ การรบั รส การรับสมั ผสั เป็นตน้

1.2 เมดัลลาออบลองกาตา (Medulla Oblongata) คือ ส่วนทีอ่ ยู่ติดกับไขสันหลงั ควบคุม การ ทางานของระบบประสาทอตั โนมตั ิ เช่น การหายใจการเตน้ ของหวั ใจ การไอ การจาม การกะพรบิ ตา ความดันเลือด เป็นตน้ 1.3 เซรเี บลลมั ( Cerebellum) คือ สมองส่วนทา้ ย เป็นสว่ นทีค่ วบคมุ การเคล่อื นไหวของ กลา้ มเน้อื และการทรงตัวชว่ ยใหเ้ คลื่อนไหวไดอ้ ยา่ งแม่นยาเชน่ การเดิน การว่ิง การขีร่ ถจกั รยาน เปน็ ตน้

2. ไขสนั หลัง (Spinal Cord) เปน็ เนือ้ เยอ่ื ประสาททที่ อดยาวจากสมองไปภายใน โพรง กระดูกสนั หลงั กระแสประสาทจากส่วนตา่ งๆของรา่ งกายจะผ่านไขสนั หลงั มที งั้ กระแสประสาทเขา้ และกระแสประสาทออกจากสมองและกระแสประสาทท่ี ตดิ ต่อกับไขสันหลังโดยตรง กระดกู สนั หลังส่วนคอ กระดกู สนั หลังส่วนอก กระดกู สันหลังส่วนบั้นเอว กระดูกเชงิ กราน

3. เซลลป์ ระสาท (Neuron) เปน็ หนว่ ยทเ่ี ล็กท่สี ุดของระบบประสาท เซลลป์ ระสาทมเี ยื่อ หุ้มเซลล์ ไซโทพลาสซึมและนิวเคลยี สเหมอื นเซลลอ์ นื่ ๆ แตม่ ีรปู รา่ งลกั ษณะแตกตา่ ง ออกไป เซลล์ 23 ประสาทประกอบด้วยตวั เซลล์ และเสน้ ใยประสาทท่ีมี 2 แบบ คอื 1. เดนไดรต์ (Dendrite) ทาหนา้ ทนี่ ากระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์ 2. แอกซอน ( Axon) ทาหน้าทีน่ ากระแสประสาทออกจากตวั เซลล์ ไปยงั เซลล์ประสาทอืน่ ๆ เซลล์ ประสาทจาแนกตามหน้าที่ การทางานได้ 3 ชนดิ

เซลล์ประสาทจาแนกตามหนา้ ท่กี ารทางานได้ 3 ชนดิ คอื 3.1 เซลล์ประสาทรบั ความรู้สกึ รับความรสู้ กึ จากอวัยวะสัมผสั เชน่ หู ตา จมูก ผวิ หนัง ส่งกระแส ประสาทผา่ นเซลล์ประสาทประสานงาน 3.2 เซลล์ประสาทประสานงาน เป็นตัวเชื่อมโยงกระแสประสาทระหว่างเซลลร์ บั ความรสู้ ึกกับสมอง ไขสนั หลัง และเซลลป์ ระสาทสง่ั การ พบในสมองและไขสันหลังเท่าน้ัน 3.3 เซลลป์ ระสาทสง่ั การ รบั คาส่งั จากสมองหรือไขสันหลัง เพ่ือควบคมุ การทางานของ อวัยวะตา่ งๆ

การทางานของระบบประสาทส่วนกลาง สง่ิ เร้าหรือการกระตุ้นจดั เป็นขอ้ มลู หรอื เส้นประสาทส่วนกลางเรียกว่า “กระแสประสาท” เป็นสัญญาณไฟฟ้าทน่ี าไปสูเ่ ซลล์ประสาททางด้านเดนไดรตแ์ ละ เดนิ ทางออกอย่างรวดเรว็ ทางดา้ น แอกซอน แอกซอนส่วนใหญ่มีแผ่นไขมนั หุ้มไว้เปน็ ช่วงๆ แผน่ ไขมนั น้ีทาหน้าทเ่ี ป็นฉนวนและทาให้ กระแสประสาทเดนิ ทางได้เร็วขึน้ ถา้ แผ่นไขมันน้ฉี ีกขาดอาจทาให้กระแสประสาทชา้ ลงทาใหส้ ญู เสยี ความสามารถในการใช้ กล้ามเน้ือ เนอื่ งจากการรับคาสงั่ จากระบบประสาทส่วนกลางได้ไมด่ ี

ระบบประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System) ทาหน้าทร่ี ับและนาความรสู้ กึ เข้าสรู่ ะบบประสาทส่วนกลางไดแ้ กส่ มองและไข สันหลังจากนน้ั นากระแสประสาทสัง่ การจากระบบประสาทสว่ นกลางไปยงั หนว่ ย ปฏิบตั งิ าน ซึง่ ประกอบดว้ ยหนว่ ย รับความรสู้ ึกและอวัยวะรับสัมผสั รวมทง้ั เซลล์ ประสาทและเสน้ ประสาทที่อยนู่ อกระบบประสาท ส่วนกลาง ระบบประสาทรอบนอก จาแนกตามลกั ษณะการทางานได้ 2 แบบ ดงั น้ี

1. ระบบประสาทภายใตอ้ านาจจิตใจ เปน็ ระบบควบคุมการทางานของกล้ามเน้อื ทบ่ี ังคบั ได้ รวมทั้งการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก 2. ระบบประสาทนอกอานาจจติ ใจ เปน็ ระบบประสาททท่ี างานโดยอัตโนมตั ิ มีศูนยก์ ลาง ควบคุมอยู่ใน สมองและไขสันหลงั ได้แก่การเกดิ รีเฟลกซแ์ อกชนั (Reflex Action) และเมื่อมสี ิ่งเรา้ มา กระตนุ้ ทีอ่ วยั วะ รับสัมผัสเช่น ผวิ หนงั กระแสประสาทจะสง่ ไปยังไขสันหลงั และไขสนั หลังจะส่ังการ ตอบสนองไปยัง กล้ามเนอ้ื โดยไมผ่ ่านไปทส่ี มอง เม่ือมเี ปลวไฟมาสมั ผัสท่ปี ลายน้วิ กระแสประสาท B C D A 26 จะสง่ ไป ยงั ไขสนั หลงั ไมผ่ า่ นไปทีส่ มอง ไขสันหลงั ทาหนา้ ทสี่ งั่ การให้กลา้ มเน้ือทแ่ี ขนเกิดการหดตัว เพอื่ ดึงมือออก จากเปลวไฟทันที

พฤตกิ รรมของมนษุ ยท์ ี่ตอบสนองตอ่ สงิ่ เรา้ พฤติกรรมการตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ของมนุษย์เป็นปฏิกิรยิ าอาการท่ีแสดงออก เพ่อื การโตต้ อบ ตอ่ สง่ิ เร้าทั้งภายในและภายนอกรา่ งกาย เช่น สิ่งเรา้ ภายในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ความหิว ความต้องการทางเพศ เปน็ ต้น สง่ิ เร้าภายนอกร่างกาย เชน่ แสง เสยี ง อุณหภูมิ อาหาร น้า การสัมผัส สารเคมี เป็นต้น กริ ิยาอาการทแ่ี สดงออกเพอ่ื ตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ภายนอกอาศยั การทางานท่ี ประสานกัน ระหวา่ งระบบประสาท ระบบกลา้ มเนือ้ ระบบต่อมไร้ทอ่ และระบบต่อมมที ่อ ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี

1. การตอบสนองเม่อื มีแสงเปน็ สิ่งเร้า เมอื่ ไดร้ ับแสงสว่างจ้า มนษุ ย์จะมีพฤติกรรม การหรีต่ า เพ่อื ลดปริมาณแสงท่ีตาได้รับ 2. การตอบสนองเมื่ออณุ หภูมเิ ปน็ สง่ิ เรา้ ในวนั ทีม่ ีอากาศรอ้ นจะมเี หง่ือมาก เหงอ่ื จะชว่ ย ระบายความร้อนออกจากรา่ งกาย เพ่อื ปรับอณุ หภูมภิ ายในร่างกายไมใ่ ห้สูงเกนิ ไป เม่อื มี อากาศเยน็ คนเราจะเกดิ อาการหดเกรง็ กลา้ มเนอื้ หรอื เรยี กว่า “ขนลุก” 3. เมอ่ื อาหารหรอื นา้ เข้าไปในหลอดลมเกิดพฤตกิ รรมการไอหรือจาม เพื่อขับออกจาก หลอดลม 4. การเกิดพฤตกิ รรมแบบรเี ฟล็กซ์ เป็นพฤติกรรมการตอบสนองหรือตอบโต้ทันทเี พื่อ ความ ปลอดภยั จากอันตราย เชน่ เมื่อฝนุ่ เข้าตามพี ฤติกรรมการกระพริบตา เมอื่ สมั ผัสวัตถุ รอ้ นจะชกั มือจาก วตั ถรุ ้อนทันทเี มอื่ เหยียบหนามจะรีบยกเท้าใหพ้ น้ หนามทันที

6. ระบบสืบพันธ์ุ ระบบสบื พันธุ์ เปน็ กระบวนการผลิตสิง่ มชี ีวิตทจี่ ะแพรล่ ูกหลานและดารง เผ่าพนั ธข์ุ องตนไว้ โดยต่อมใต้สมองซึง่ อยู่ภายใต้การควบคุมของสมองสว่ น ไฮโพทา ลามัส โดยจะหล่งั ฮอรโ์ มนกระตุ้นต่อม เพศชายและหญิงให้ผลิตฮอร์โมนเพศ ทาให้ ร่างกายเปลย่ี นแปลงไปสูค่ วามเป็นหนุ่มสาวพร้อมทจ่ี ะ สืบพนั ธุไ์ ด้ ต่อมเพศในชาย คอื อัณฑะ ตอ่ มเพศในหญิง คอื รงั ไข่ ระบบสบื พนั ธ์เุ พศชาย ระบบสบื พันธุ์เพศหญงิ

ระบบสืบพันธ์เุ พศชาย อวยั วะทส่ี าคญั ในระบบสืบพนั ธ์ุเพศชาย 1. อัณฑะ (Testis) เปน็ ตอ่ มรปู ไข่ มี 2 อัน ทาหนา้ ทส่ี รา้ งตวั อสจุ ิ (Sperm) ซ่งึ เปน็ เซลล์สบื พันธุ์ เพศชาย และสร้างฮอร์โมนเพศชายเพอ่ื ควบคมุ ลกั ษณะต่างๆของเพศชาย เชน่ การมหี นวด เครา เสยี งห้าว เปน็ ต้น ภายในอณั ฑะจะประกอบดว้ ย หลอดสรา้ งตวั อสจุ ิ (Seminiferous Tubule) มลี กั ษณะเป็นหลอดเลก็ ๆ ขดไปขดมาอยู่ภายใน ท าหน้าที่สร้างตัวอสจุ ิ หลอด สร้างตวั อสุจิ มขี า้ งละ ประมาณ 800 หลอด แต่ละ หลอดมขี นาดเทา่ เส้นดา้ ยขนาดหยาบ และยาวทง้ั หมด ประมาณ 800 เมตร

2. ถงุ หุม้ อัณฑะ (Scrotum) ทาหนา้ ทีห่ อ่ หมุ้ ลูกอณั ฑะ ควบคุมอุณหภมู ใิ หพ้ อเหมาะในการ สร้างตัว อสุจิ ซงึ่ ตวั อสุจจิ ะเจริญได้ดใี นอณุ หภูมติ ่ากวา่ อณุ หภมู ิปกตขิ องร่างกายประมาณ 3-5 องศา เซลเซียส 3. หลอดเกบ็ ตวั อสุจิ ( Epididymis) อยู่ดา้ นบนของอณั ฑะ มลี ักษณะเป็นท่อเล็กๆ ยาว ประมาณ 6 เมตร ขดทบไปมา ทาหนา้ ทเ่ี ก็บตวั อสุจจิ นตวั อสจุ ิเติบโตและแขง็ แรงพร้อมท่ีจะปฏิสนธิ 4. หลอดนาตวั อสจุ ิ (Vas Deferens) อยตู่ อ่ จากหลอดเกบ็ ตัวอสุจิ ทาหน้าทีล่ าเลยี งตวั อสุจิ ไปเกบ็ ไวท้ ตี่ อ่ มสรา้ งน้าเลี้ยงอสุจิ 5. ต่อมสร้างน้าเลย้ี งอสจุ ิ (Seminal Vesicle) ทาหนา้ ท่ีสร้างอาหารเพ่อื ใชเ้ ลย้ี งตวั อสุจิ เชน่ นา้ ตาล ฟรกั โทส วิตามนิ ซโี ปรตีนโกลบูลิน เป็นต้น และสร้างของเหลวมาผสมกบั ตวั อสุจิเพ่อื ให้ เกิดสภาพที่ เหมาะสมสาหรบั ตวั อสุจิ

6. ตอ่ มลูกหมาก (Prostate Gland) อยตู่ อนต้นของท่อปัสสาวะ ทาหนา้ ท่หี ลัง่ สารที่มฤี ทธิ์ เปน็ เบส ออ่ นๆ เขา้ ไปในทอ่ ปสั สาวะเพ่ือทาลายฤทธก์ิ รดในทอ่ ปสั สาวะ ทาใหเ้ กิดสภาพทีเ่ หมาะสมกับ ตัวอสจุ ิ 7. ตอ่ มคาวเปอร์ (Cowper Gland) อยูใ่ ต้ตอ่ มลูกหมากลงไปเปน็ กระเปาะเล็กๆ ทา หนา้ ที่ หลั่งสาร ไปหล่อล่ืนท่อปสั สาวะในขณะที่เกดิ การกระตุ้นทางเพศ โดยทั่วไปเพศชายจะเรม่ิ สรา้ งตัวอสุจเิ มือ่ เริ่มเข้าสู่ วัยรนุ่ คอื อายุประมาร 12-13 ปี และจะ สร้างไปจนตลอดชีวิต การหลง่ั น้าอสุจิ แต่ละคร้งั จะมีของเหลว ประมาณ 3-4 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร มี ตัวอสุจเิ ฉล่ยี ประมาณ 350-500 ล้านตัว ปริมาณนา้ อสจุ แิ ละตวั อสจุ ิ แตกตา่ งกันไดต้ ามความแข็งแรง สมบรู ณ์ของร่างกาย เชอื้ ชาติ และสภาพแวดลอ้ ม ผทู้ มี่ ีอสุจิตา่ กว่า 30 ล้านตัวต่อลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร หรอื มตี วั อสุจทิ มี่ รี ปู รา่ งผิดปกตมิ ากกวา่ ร้อยละ 25 จะมลี กู ไดย้ ากหรือเปน็ หมนั น้ าอสจุ จิ ะถกู ขบั ออก ทางท่อปสั สาวะ และออกจากร่างกายตรงปลายสดุ ของอวัยวะเพศชาย ตัว อสุจจิ ะเคลอ่ื นทไ่ี ด้ ประมาณ 1-3 มิลลเิ มตรตอ่ นาที ตัวอสุจิเม่ือออกสูภ่ ายนอกจะมีชีวิตอย่ไู ดเ้ พยี ง 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้าอยู่ ในมดลูกของหญิงจะอยู่ได้นาน ประมาณ 24- 48 ช่วั โมง ตวั อสุจิประกอบด้วยสว่ น สาคญั 3 สว่ น คอื สว่ นหัว เปน็ สว่ นทม่ี นี วิ เคลยี สอยู่ สว่ นตัวมี ลกั ษณะเป็นทรงกระบอกยาว และสว่ นหาง เป็นส่วนทีใ่ ชใ้ นการเคล่ือนท่ี น้ าอสจุ จิ ะมีค่า pH ประมาณ 7.35-7.50 มีสภาวะค่อนข้างเปน็ เบส ในนา้ อสจุ นิ อกจากจะมีตวั อสจุ แิ ลว้ ยังมีส่วนผสมของสารอ่นื ๆ ดว้ ย 29



ระบบสืบพนั ธุเ์ พศหญิง อวัยวะท่สี าคญั ของระบบสืบพนั ธุเ์ พศหญงิ 1. รังไข่ (Ovary) มรี ูปร่างคล้ายเมด็ มะมว่ งหมิ พานต์ ยาวประมาณ 2-36 เซนติเมตร หนา 1 เซนติเมตร มีน้าหนักประมาณ 2-3 กรมั และมี 2 อนั อยู่บริเวณปกี มดลกู แต่ละข้างทาหน้าท่ี ดงั นี้ 1.1 ผลติ ไข่ (Ovum) ซึง่ เป็นเซลลส์ ืบพนั ธุเ์ พศหญิง โดยปกติไขจ่ ะสุกเดอื นละ 1 ใบ จากรังไขแ่ ต่ละ ขา้ งสลับกนั ทุกเดือน และออกจากรังไขท่ กุ รอบเดือนเรยี กว่า การตกไข่ ตลอด ชว่ งชีวติ ของเพศหญงิ ปกติจะ มกี ารผลติ ไข่ประมาณ 400 ใบ คอื เมตง้ั แตอ่ ายุ 12 ปี ถงึ 50 ปี จึงหยุดผลติ เซลล์ไข่จะมีอายุอยไู่ ดน้ าน ประมาร 24 ช่ัวโมง 1.2 สรา้ งฮอร์โมนเพศหญิง ซง่ึ มีอย่หู ลายชนิด ท่สี าคัญ ไดแ้ ก่ • อสี โทรเจน (Estrogen) เปน็ ฮอร์โมนทีท่ าหน้าที่ควบคุมเก่ียวกบั มดลูก ชอ่ งคลอด ต่อมนา้ นม และควบคมุ การเกดิ ลักษณะตา่ งๆ ของเพศหญิง เช่น เสียงแหลมเล็ก ตะโพกผาย หน้าอกและอวัยวะเพศ ขยายใหญ่ขนึ้ เป็นตน้ • โพรเจสเทอโรน (Progesterone) เปน็ ฮอรโ์ มนทท่ี างานรว่ มกบั อสี โทรเจนในการ ควบคมุ เก่ยี วกับเก่ยี วกับการเจรญิ ของมดลกู การเปลีย่ นแปลงเย่ือบมุ ดลูกเพอื่ เตรยี ม รับไขท่ ผี่ สมแลว้

การส่องกล้อง Hysteroscopy ตรวจภายใน ท่อนาไข่ ผนังมดลูก เยือ่ บโุ พรงมดลูก รังไข่ ปากมดลูก กล้อง Hysteroscopy พรอ้ มระบบกลอ้ งและไฟส่องภายใน ชอ่ งคลอด

2. ทอ่ นาไข่ (Oviduct) หรือปีกมดลูก (Fallopian Tube) เป็นทางเชอื่ มตอ่ ระหว่างรังไข่ท้ัง สอง ข้างกบั มดลูก ภายในกลวง มสี ้นผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 2 มลิ ลเิ มตร มขี นาดปกตเิ ท่ากบั เข็มถัก ไหม พรมยาวประมาณ 6-7 เซนตเิ มตร หนา 1 เซนตเิ มตร ทาหนา้ ทเ่ี ป็นทางผา่ นของไขท่ อี่ อกจากรังไข่ เขา้ สู่ มดลกู โดยมปี ลายข้างหนง่ึ เปดิ อยูใ่ กล้กบั รังไข่ เรียกวา่ ปากแตร ( Funnel) บุด้วยเซลล์ท่ีมีขน 30 สนั้ ๆ ทาหนา้ ท่พี ดั โบกไขท่ ่ตี กมาจากรงั ไข่ใหเ้ ขา้ ไปในท่อนาไข่ ทอ่ นาไขเ่ ปน็ บรเิ วณทีอ่ สจุ ิจะเข้า ปฏสิ นธกิ ับไข่ 3. มดลูก (Uterus) มีรูปรา่ งคลา้ ยผลชมพู หรอื รปู ร่างคล้ายสามเหลี่ยมหัวกลบั ลง กวา้ ง ประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร หนาประมาณ 2 เซนติเมตร อยู่ในบริเวณอุ้ง กระดกู เชิงกราน ระหวา่ งกระเพาะปัสสาวะกับทวารหนัก ภายในเปน็ โพรง ทาหนา้ ท่ีเป็นทฝี่ ังตัวของไข่ ทีไ่ ด้รบั การผสม แลว้ และเปน็ ทเี่ จริญเติบโตของทารกในครรภ์

4. ชอ่ งคลอด (Vagina) อยู่ตอ่ จากมดลกู ลงมา ทาหนา้ ท่ีเปน็ ทางผ่านของตัวอสจุ ิเข้าสู่มดลูก เป็นทางออก ของทารกเม่ือครบกาหนดคลอด และยงั เป็นช่องให้ประจาเดือนออกมาดว้ ย ประจาเดือน (Menstruation) คอื เนอื้ เยือ่ ผนังมดลกู ดา้ นในและหลอดเลือดท่ีสลายตวั ไหลออกมาทางชอ่ งคลอด ประจาเดอื นจะเกิดขน้ึ เม่ือเซลล์ไมไ่ ดร้ บั การผสมกบั อสุจิเพศหญงิ จะมปี ระจาเดอื นตัง้ แต่อายุประมาณ 12 ปีขนึ้ ไป ซง่ึ จะมรี อบของ การมีประจาเดือนทุก 21-35 วนั เฉลี่ยประมาณ 28 วัน จนอายุประมาณ 50 ปี จงึ จะหมดประจาเดอื น ผ้หู ญงิ จะมชี ว่ งระยะเวลาการมีประจาเดอื นประมาณ 3-6 วัน ซง่ึ จะเสยี เลอื ดทางประจาเดือน แต่ละเดือน ประมาณ 60-90 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร ดงั น้นั ผู้หญิงจึงควรรบั ประทานอาหารทมี่ ธี าตเุ หลก็ และโปรตีน เพ่อื สรา้ งเลอื ดชดเชยส่วนทีเ่ สยี ไป การท่ีผู้หญิงบางคนมีประจาเดือนมาไมป่ กติ อาจเนือ่ งมาจากอารมณ์และ ความวิตกกงั วลทาใหก้ ารหลัง่ ฮอร์โมนของสมองผิดปกติ ซึ่งจะมผี ลตอ่ การหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมองที่ ทาหน้าที่ กระตุ้นใหไ้ ข่สุก คอื ฮอรโ์ มน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone) เซลลไ์ ข่มขี นาดใหญ่กวา่ เซลลอ์ สจุ ปิ ระมาณ 50,000-90,000 เท่า ขนาด ของเซลล์ไข่ประมาณ 0.2 มลิ ลเิ มตร เราสามารถมองเห็นเซลลไ์ ข่ไดด้ ว้ ยตาเปล่า



ความผดิ ปกติของการตง้ั ครรภ์ ความผิดปกตขิ องการตั้งครรภต์ ามปกติร่างกายของคนเรามกี ารต้งั ครรภ์และคลอดทารก คราวละ 1 คน แต่บางกรณรี า่ งกายของคนเราอาจมีโอกาสต้งั ครรภแ์ ละคลอดทารกคร้งั ละมากกว่า 1 คน เรยี กวา่ “ ฝาแฝด ” ซึ่งถือเปน็ ความผิดปกติของการตั้งครรภแ์ บบหนึ่ง ฝาแฝดมี 2 ประเภท คอื 1. แฝดร่วมไข่คือฝาแฝดท่ีเกดิ จากไข่ 1 ฟองผสมกบั ตวั อสุจิ 1 เซลล์ 2. แฝดต่างไขค่ ือแฝดทีเ่ กดิ จากไขค่ นละฟองผสมกับตัว อสจุ คิ นละเซลล์

1. แฝดรว่ มไขค่ อื ฝาแฝดท่เี กิดจากไข่ 1 ฟองผสมกับ ตวั อสุจิ 1 เซลล์ หรอื เรยี กวา่ “แฝดแท้” แต่ไขท่ ่ีได้รับการ ผสม แลว้ ขณะทีก่ าลงั เจรญิ เป็นเอม็ บริโอ ในระยะแรกๆ เกิด แบง่ ออกเป็น 2 สว่ น และแยกขาดออกจากกัน แล้ว เจรญิ เติบโตเปน็ ทารกและคลอดในเวลาใกล้เคียงกัน ฝาแฝด ประเภทน้จี ะมรี ปู รา่ งลักษณะ เหมือนกัน มีเพศเดยี วกนั มี อปุ นสิ ัยใจคอและความสามารถคลา้ ยกนั เม่ือได้รบั การเล้ยี งดู ใน สภาพแวดล้อมเดียวกัน ในบางคร้งั ฝาแฝดรว่ มไขซ่ ึง่ เกิด จากเอม็ บรโิ อทีแ่ บง่ ออกเปน็ 2 ส่วน แต่ไม่แยกออกจากกนั โดยเดด็ ขาด ทาใหท้ ารกท่คี ลอดออกมามีอวัยวะบางส่วน ตดิ กนั เช่น แฝดสยาม (Siamese twin) คู่ แรกท่ีช่อื อิน - จนั มีสว่ นอกตดิ กนั และมตี ับเปน็ เนอ้ื เดยี วกนั หรือ แฝดลารด์ าน - ลารเ์ ลหม์ สี ่วนหัว ติดกนั เป็นตน้

2. แฝดต่างไขค่ ือแฝดทีเ่ กดิ จากไข่คนละฟองผสมกับตัว อสุจคิ นละเซลล์หรือเรยี กวา่ “แฝดเทยี ม” ได้เอม็ บริโอ มากกวา่ 1 เอม็ บรโิ อ สาเหตุท่ีเกดิ เน่ืองจากมีไขส่ กุ พร้อมกนั มากกว่า 1 ฟองจากรงั ไขข่ า้ งหนึง่ หรือทั้งสอง ขา้ ง ขณะทีเ่ อ็มบรโิ อเจรญิ อยูใ่ นมดลกู รกจะแยกจากกัน และทารกจะคลอดออกมาในเวลาใกล้เคยี งกนั แฝด ประเภทนีอ้ าจมีเพศเดยี วกันหรอื ตา่ งเพศก็ได้ และมี ลักษณะทางพันธุกรรมต่างกัน ความผดิ ปกติในการ ต้งั ครรภน์ อกจากทาใหเ้ กิดฝาแฝดแล้วยงั อาจทาให้ เกดิ ผลอ่นื ๆ เชน่ การแทง้ การคลอดกอ่ นกาหนด การ ท้องนอกมดลกู เปน็ ต้น

การแท้ง หมายถึง การทที่ ารกคลอดกอ่ นอายุครรภ์จะครบ 28 สัปดาห์ หรอื มี นา้ หนักนอ้ ย กวา่ 1,000 กรมั การคลอดก่อนกาหนด หมายถงึ การทีท่ ารกคลอดในช่วงอายุ 28-37 สปั ดาห์ การทอ้ งนอกมดลกู หมายถงึ การที่ไข่ไดร้ บั การปฏสิ นธิแลว้ ไปฝงั ตัว ทบี่ ริเวณอื่นที่ไม่ใช่ มดลูก เช่นบริเวณชอ่ งท้องหรือปกี มดลูกซึ่งอาจเป็น อันตรายถึงแก่ชวี ติ ได้

ความพกิ ารแตก่ าเนดิ สาเหตุของความผิดปกตแิ ต่กาเนดิ มหี ลายประการ 1. การติดเชอ้ื ขณะตั้งครรภเ์ ช่น เชือ้ แบคทเี รียท่ที าใหเ้ กิดโรคซฟิ ิลสิ โคโนเรีย เชอื้ ไวรัสทาให้ เกดิ โรคหัด เยอรมัน โรคเอดส์ ซง่ึ เช้ือโรคเหล่านจ้ี ะแพร่เขา้ สู่เอ็มบรโิ อทาให้ทารกทคี่ ลอดออกมาพิการได้ 2. ยาหรือสารเคมบี างชนิด ซึง่ เปน็ อันตรายตอ่ ทารกในครรภ์ ดงั นน้ั หญงิ ที่กาลังตงั้ ครรภ์จึงไม่ควรซอ้ื ยา รับประทานเอง ไมค่ วรสดู ดมหรือรบั ประทานยาหรือสารท่เี ป็นอนั ตรายตอ่ สขุ ภาพของตนและทารก

3. ความผดิ ปกติของหน่วยพนั ธกุ รรมหรอื ยนี หน่วยพันธกุ รรมหรอื ยนี หมายถึงหน่วยท่ี ควบคมุ การ แสดงออกของลักษณะตา่ งๆ ของสิ่งมีชวี ติ เชน่ สีผวิ สีผม สีตา ความสูง สตปิ ญั ญา เปน็ ต้น หนว่ ย พนั ธุกรรมหรอื ยนี สามารถถา่ ยทอดจากพอ่ แม่ไปยงั ลกู หลานได้ยีนทีผ่ ดิ ปกติ เชน่ โรคปัญญา อ่อนบาง ชนิด โรคเลอื ดผดิ ปกติ ( ทาลสั ซีเมีย ) ซึง่ ในคนปกตอิ าจมียนี เหลา่ นี้แฝงอย่แู ละสามารถ 32 ถา่ ยทอด ไปสู่ลูกหลานได้ ยีนท่ผี ดิ ปกตเิ หล่านี้ สว่ นมากเป็นยนี ดอ้ ยและอาจแสดงลักษณะดอ้ ยเหลา่ นี้ ออกมา ให้เหน็ ในรนุ่ ลกู หรือร่นุ หลาน หนว่ ยพันธกุ รรมหรอื ยีนของแตล่ ะลักษณะจะมอี ยู่เป็นคๆู่ บน โครโมโซมซึง่ อยู่ใน นวิ เคลียสของเซลล์แต่ละเซลล์ ยีนของแต่ลักษณะท่อี ยู่เป็นคู่ๆ นนั้ หนว่ ยหน่งึ จะ ได้มาจากพ่อและอกี หน่วยหน่งึ ไดม้ าจากแม่ โครโมโซมของมนษุ ย์มี 23 คหู่ รือ 46 อนั เปน็ โครโมโซม ร่างกาย 22 คหู่ รอื 44 อนั และเปน็ โครโมโซมเพศ 1คูห่ รอื 2 อนั แตล่ ะคบู่ นโครโมโซมจะมยี ีนอยู่ เปน็ คๆู่ ดงั นน้ั แต่ละหน่วยของยีนในแต่ และคู่จะแยกกนั อยบู่ นโครโมโซมแตล่ ะอันซ่ึงเปน็ คู่กัน หนว่ ยพนั ธุกรรมหรือยีนมี 2 ประเภท คอื 3.1 ยนี เด่น คอื ยนี ท่ีสามารถแสดงลกั ษณะนั้นๆ ออกมาได้ แม้จะมียีนนั้นเพยี งยีนเดยี ว เช่น ยีนโรคเลอื ดผิดปกติ ( ทาลัสซเี มีย ) อยคู่ ู่กับยีนปกติ ยีนปกตเิ ป็นยีนเด่น ดงั นน้ั ลกั ษณะเลือดจึงเป็น ปกติไมเ่ ป็นโรคทาลสั ซเี มีย 3.2 ยีนด้อย คือ ยีนทส่ี ามารถแสดงลกั ษณะน้นั ๆ ออกมาได้ก็ต่อเมอื่ ยีนด้อยนั้นต้องมียีนอยู่ ดว้ ยกนั เช่น ยีนโรคเลอื ดผดิ ปกติ( ทาลสั ซเี มยี ) ซง่ึ เปน็ ยนี ดอ้ ย ถ้ายนี นีม้ ี 2 ยีนจะแสดงอาการของ โรคทาลัสซีเมียออกมาทนั ที หน่วยพันธุกรรมแสดงลักษณะจะอยู่เปน็ คู่ๆ

หนว่ ยพนั ธุกรรมหรือยนี

การใชเ้ ทคโนโลยีการผสมเทียม ภาพแสดงขน้ั ตอนการทาเด็กหลอดแกว้ การผสมเทียม คอื การปฏิสนธิแบบไมต่ อ้ งมีการร่วมเพศตามธรรมชาติ ซ่งึ เปน็ การ พัฒนา เทคโนโลยีเพ่ือแก้ปญั หาให้แกค่ สู่ มรสที่มีบุตรยาก ปญั หาโรคทางพนั ธกุ รรมและการเลือก เพศบุตร การผสมเทยี มเป็นวิธีการแกป้ ัญหาทเ่ี กดิ ขนึ้ ในเพศชายและเพศหญงิ ในกรณีต่างๆ ดงั น้ี 1. มีปรมิ าณตวั อสุจนิ อ้ ยกวา่ ปกติหรอื มตี วั อสุจทิ ่ีไม่แขง็ แรง 2. มคี วามบกพร่องของหนว่ ยพนั ธกุ รรม กรณนี ี้อาจใชว้ ธิ ีฉดี เซลลอ์ สุจขิ องเพศชายอนื่ เข้าไป ในโพรงมดลูกของภรรยาแทน

3. มีความบกพรอ่ งทางโครงสรา้ งและการทางานของระบบสืบพันธ์ุ จนทาให้ไม่สามารถมลี ูกเองได้ เชน่ กรณขี องเพศหญงิ ท่ีมปี ัญหาเกดิ ข้ึนกับโครงสร้างและระบบการทางานของระบบสืบพันธ์ุ เช่น ทอ่ นาไข่ตบี ไข่ไม่สามารถเดนิ ทางมาผสมกับตัวอสจุ ิได้ สามารถผสมเทยี มได้โดยนาเซลล์ไข่จาก รังไขม่ าผสมกบั เซลล์ อสจุ ภิ ายนอกร่างกาย เมอื่ เกิดการปฏิสนธแิ ลว้ จึงนาเอ็มบริโอทไี่ ดฉ้ ดี เขา้ ไปทาง ช่องคลอดของฝ่ายหญงิ เพอ่ื ให้เอ็มบริโอไปฝังตวั และเจรญิ เตบิ โตตอ่ ไปในมดลูก เรียกทารกท่ีกาเนดิ แบบนว้ี ่า“ เด็กหลอดแกว้ (test-tube baby)” การผสมเทยี มโดยวิธีทากิฟต์ (GIFT) ยอ่ มาจาก gamete intra-fallopian transfer เป็น วิธกี ารผสมเทียมทีท่ าโดยฉีดเซลลไ์ ข่และเซลล์อสุจเิ ข้าไปในทอ่ นาไข่ ใหผ้ สมกันเองที่บริเวณท่อนาไข่ และเมอ่ื เกิดการปฏสิ นธิแล้วเอ็มบรโิ อจะเคลอ่ื นมาฝงั ตัวในมดลูก ขั้นตอนการทากิฟตม์ ีดงั น้ี 1. กระต้นุ ให้เกิดการตกไข่ของฝา่ ยหญิงพรอ้ มกนั หลายๆ เซลล์ โดยให้กินยาร่วมกบั การฉีดยา ประเภทฮอรโ์ มน 2. เมอื่ ไขส่ ุกเต็มทีก่ จ็ ะดดู ไขอ่ อกจากรงั ไขท่ างด้านหนา้ ทอ้ งและคดั ไขท่ ีส่ มบรู ณ์ 3-4 เซลล์ 3. นาเซลลอ์ สจุ ิจากฝา่ ยชายและเซลลไ์ ข่ทีค่ ดั ไว้ในอัตราสว่ นเซลล์ไข่ต่อเซลลอ์ สจุ ิเทา่ กับ 1:100,000 ฉีดเขา้ ไปในท่อนาไขข่ องฝ่ายหญงิ ทหี่ นา้ ทอ้ ง

4. หลงั จากนั้นประมาณ 2 สปั ดาห์ กท็ ราบผลวา่ ตั้งครรภห์ รอื ไม่ การผสมเทียมแบบซิฟท์ (ZIFT) ยอ่ มาจาก zygote intra-fallopian transfer เปน็ วิธีการ ผสมเทยี มท่นี า เซลล์ไขแ่ ละเซลลอ์ สจุ ิ มาผสมในจานเพาะเช้อื จนได้เป็นไซโกต แลว้ นา ไซโกต ฉดี เขา้ ไป ในท่อนาไข่ ไซโกตจะแบง่ ตัวเป็น เอ็มบริโอและเคลอื่ นไปฝงั ตวั ทม่ี ดลูก การผสมเทียมแบบกิฟตแ์ ละแบบซิฟทจ์ ะมีอตั ราการตั้งครรภ์ สูงกว่าเดก็ หลอดแกว้ ถึง 2 เทา่ ในกรณีทแ่ี มม่ คี วามผดิ ปกตทิ างกายหรือจิตใจจนไมส่ ามารถต้งั ท้อง เองไดอ้ าจผสมเทยี มได้โดยวธิ ี ฝากเอม็ บริโอให้เจรญิ เติบโตในมดลูกของหญิงอน่ื การให้กาเนดิ ทารก ทเี่ ปน็ เพศชายหรอื เพศหญงิ นั้นข้ึนอยู่กบั โครโมโซมเพศเพียงคู่เดยี ว ถ้า ทารกเปน็ เพศชายโครโมโซม จะเปน็ XY ถา้ ทารกเปน็ เพศหญิงโครโมโซมจะเปน็ XX เชน่ เดก็ หญงิ พลอยมโี ครโมโซมร่างกาย ดงั นี้ โครโมโซมร่างกาย 22 คู่ + โครโมโซมเพศหญิง 1 คู่ สามารถเขียนสัญลกั ษณไ์ ดด้ งั น้ี 22 คู่ + XX หรอื 44 อนั + XX 34 อนั เมทาเซนทรกิ ซบั เมทาเซนทรกิ อะโครเซนทริก หรือ ซบั เทโลเซนทรกิ เทโลเซนทรกิ (Metacentric) (Submetacentric) (Acrocentric/ Subtelocentric) (Telocentric)

รปู ร่างของโครโมโซม

โครโมโซมถูกแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ จากรปู ร่างหรือตาแหนง่ ของเซนโทรเมียร์ 1.เมทาเซนทริก (Metacentric) เมอ่ื ตาแหนง่ ของเซนโทรเมยี ร์อยบู่ ริเวณกง่ึ กลาง ส่งผลให้แขนทงั้ 2 ขา้ งของโครโมโซมมีความยาวใกลเ้ คียงกัน 2.ซบั เมทาเซนทริก (Submetacentric) เม่ือตาแหนง่ ของเซนโทรเมยี ร์อยู่เลยไปดา้ นใดดา้ นหนง่ึ ทาใหโ้ ครโมโซมมแี ขนข้างส้นั และแขนข้างยาว 3.อะโครเซนทริก หรอื ซบั เทโลเซนทรกิ (Acrocentric/Subtelocentric) เมอ่ื เซนโทรเมยี ร์อยู่ เกือบปลายสดุ ของโครโมโซม สง่ ผลให้แขนขา้ งส้ันมีขนาดสน้ั มาก ขณะทแี่ ขนขา้ งยาวมีความยาว มากกว่าปกติ 4.เทโลเซนทรกิ (Telocentric) เมอ่ื ตาแหนง่ เซนโทรเมยี รอ์ ยูป่ ลายสุดของโครโมโซม สง่ ผลให้โครโมโซมมแี ขนขา้ งยาวเพียงอย่างเดียว

ภาพ แสดงลกั ษณะของโครโมโซม

ข้อมลู อา้ งองิ - www.sites.google.com/บทเรียนออนไลน์วิชาชวี วิทยา - www.patreon.com/statedclearly - www.trueplookpanya.com/knowledge/content/65256/-scibio-sci- - การพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) โดยสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษา ขั้นพืน้ ฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธกิ าร - www.ducksters.com/science/biology/chromosomes.php - www.scimath.org/lesson-biology/item/6894-2017-05-14-03-59-30 - www.britannica.com/science/chromosome เอกสารนใ้ี ช้สาหรับประกอบการเรยี นการสอนเทา่ น้ัน