คำแนะนำกำรใช้ชุดกำรเรียน วชิ ำกำรเกษตรผสมผสำน 1 สำหรับนักศึกษำกำรศึกษำนอกระบบ ระดบั กำรศึกษำขั้นพ้นื ฐำน พทุ ธศักรำช 2551 ชุดกำรเรยี น วิชำกำรเกษตรผสมผสำน ประกอบด้วย 1) เน้ือหาการเรียนรู้ 2) ใบงาน/แบบฝึกกิจกรรม 3) แบบทดสอบก่อนเรยี น / หลงั เรียน คำอธบิ ำยรำยวิชำ อช0215 กำรเกษตรผสมผสำน สาระการประกอบอาชพี ระดับประถมศกึ ษา/มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ /มัธยมศึกษาตอนปลาย จานวน 2 หนว่ ยกติ (80 ชัว่ โมง) มำตรฐำนท่ี 3.1 มีความรู้ ความเข้าใจ และเจตคติที่ดีในงานอาชีพ มองเห็นชอ่ งทางและตดั สนิ ใจประกอบอาชพี ไดต้ ามความ ตอ้ งการและศักยภาพของตนเอง 3.2 มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะในอาชีพทตี่ ัดสนิ ใจเลือก 3.3 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ในการจัดการอาชีพอยา่ งมีคุณธรรม ศกึ ษำและฝึกทักษะเกย่ี วกบั เรอ่ื งต่อไปน้ี ช่องทางและการตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพเกษตรผสมผสาน ลักษณะและความสาคัญของการเกษตรแบบ ผสมผสาน หลักการและวิธีการของการเกษตรแบบผสมผสาน การจัดระบบปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์ท่ีสอดคล้องและเกื้อกูลซ่ึง กันและกัน การใช้แรงงาน ทุน ท่ีดิน และทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การนาวัสดุเหลือใช้จากการผลิตมาใช้ประโยชน์ ลกั ษณะและคุณสมบัตทิ ่ดี ีของผู้ประกอบอาชีพ กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรยี นรู้ 1. วางแผนการเรียนรู้ 2. ศึกษาจากเอกสาร หนงั สอื และสอ่ื อืน่ ๆ เชน่ วีดีโอ เทปบรรยาย สไลด์ เปน็ ต้น 3. เชญิ ผู้ประสบผลสาเร็จในอาชพี มาบรรยาย สาธติ แลกเปลยี่ น ประสบการณร์ ว่ มกนั 4. ศกึ ษาดงู าน หรอื ฟารม์ ของรัฐ เอกชน ชาวบ้าน ทีด่ าเนนิ กิจการการเกษตรแบบผสมผสาน 5. รวมกลมุ่ อภปิ รายปัญหา และหาแนวทางพัฒนา ตดิ ตามผล และแก้ไขปัญหารว่ มกนั 6. ปฏิบตั กิ ารจดบนั ทกึ เป็นองค์ความรู้ และทาโครงการประกอบอาชพี
2 กำรวัดและประเมนิ ผล 20 คะแนน 1. แบบทดสอบ 20 คะแนน 2. รายงาน 10 คะแนน 3. ใบงาน 10 คะแนน 4. แผนการจดั กระบวนการเรียนรู้ 40 คะแนน หลักฐำนกำรประเมนิ คะแนน 1. แบบทดสอบกลางภาค 2. รายงาน 3. ใบงาน 4. แผนการจดั กระบวนการเรยี นรู้ 5. สอบปลายภาค
รำยละเอยี ดคำอธบิ ำยรำยวิชำ อช0215 กำรเกษตรผสมผสำน 3 สำระกำรประกอบอำชีพ ระดบั ประถมศกึ ษำ/มธั ยมศึกษำตอนตน้ /มธั ยมศึกษำตอนปลำย จำนวน 2 หนว่ ยกิต (80 ช่วั โมง) มำตรฐำนท่ี 3.1 มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และเจตคติที่ดีในงานอาชพี มองเหน็ ช่องทางและตดั สนิ ใจประกอบอาชีพไดต้ ามความ ตอ้ งการและศกั ยภาพของตนเอง 3.2 มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะในอาชีพที่ตดั สนิ ใจเลือก 3. 3 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ในการจดั การอาชีพอยา่ งมีคณุ ธรรม ท่ี หวั เรื่อง ตัวชีว้ ดั เนือ้ หำ จำนวน ช่วั โมง 1 ช่องทาง และการตัดสินใจ อธบิ ายชอ่ งทาง และการตดั สินใจ วเิ คราะห์ความเปน็ ไปได้ จาก 6 เลือกประกอบอาชีพเกษตร เลือกประกอบอาชีพเกษตร ข้อมูลดังนี้ ผสมผสาน ผสมผสาน 1. ขอ้ มูลตนเอง 2. ขอ้ มูลทางวชิ าการ 3. ข้อมลู ทางสังคม สิง่ แวดลอ้ ม 2 การเกษตรผสมผสาน 1. บอกลกั ษณะและความสาคัญของ ลกั ษณะและความสาคัญ ของ 74 การเกษตรแบบผสมผสานได้ การเกษตรแบบผสมผสาน 2. อธิบายวธิ ีการและหลกั การ หลกั การและวิธกี ารของการเกษตร การเกษตรแบบเกษตรผสมผสาน แบบผสมผสาน การจัดระบบการ ได้ ปลูกพืช และเลย้ี งสัตว์ทีส่ อดคล้อง 3. อธบิ ายได้ และเก้ือกลู ซ่ึงกนั และกนั 4. อธิบายลกั ษณะและคณุ สมบตั ทิ ดี่ ี การใช้แรงงาน ทุน ท่ีดิน และ ของผ้ปู ระกอบอาชพี ทาการแบบ ทรพั ยากรอย่างมีประสิทธภิ าพ การ เกษตรผสมผสานได้ นาวสั ดเุ หลอื ใช้จากการผลติ มาใช้ ประโยชน์ การคดิ ราคา การจัด จาหนา่ ยผลผลติ ลักษณะและ คณุ สมบตั ทิ ่ีดี ของผู้ประกอบ อาชพี รำยชือ่ หน่วยกำรเรียนรู้ชุดกำรเรยี น วิชำกำรเกษตรผสมผสำน จานวน 6 ช่วั โมง หนว่ ยกำรเรยี นรู้ที่ 1 ช่องทางและการตัดสนิ ใจ จานวน 34 ชวั่ โมง หน่วยกำรเรยี นรูท้ ่ี 2 ลักษณะและความสาคัญของเกษตรผสมผสาน จานวน 40 ชวั่ โมง หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ี่ 3 การใชท้ รพั ยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
4 วธิ ีกำรศึกษำชดุ กำรเรียน วิชำกำรเกษตรผสมผสำน หลังจากท่ีได้เรียนรู้จากครูผู้สอนแล้ว เพื่อทบทวน 1. การเตรยี มตวั เพื่อการศกึ ษาด้วยตนเอง ผู้เรียนต้องจัดเวลาการเรียนรู้ในแต่ละสัปดาห์สาหรับตนเอง ศึกษาเพิ่มเติม สัมภาษณ์ผรู้ ู้ และทากิจกรรมตามใบงานทกี่ าหนดให้ 2. การประเมินผลก่อนและหลงั เรยี น การประเมินผลกอ่ นและหลังเรียนชุดการเรียนวิชาการเกษตรผสมผสาน มวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่ือวัดความรู้พืน้ ฐานเดมิ ของผเู้ รยี นวา่ มีความรู้ในเน้ือหาทีจ่ ะเรียนร้มู ากน้อยเพียงใด และมงุ่ ให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรใู้ นเรื่องท่ีมคี วามรนู้ ้อยและยงั ไม่เข้าใจ ดังน้นั ผู้เรยี นต้องทาแบบประเมินตนเองก่อนเรยี นกอ่ นศึกษาชุดการเรยี นน้ี และเม่ือทาแบบประเมนิ ตนเองก่อนเรียนเสรจ็ แล้วใหต้ รวจคาตอบจากเฉลย รวมคะแนนการประเมินผลตนเองก่อนเรียนไวบ้ นด้านขวาของแบบประเมนิ เม่อื ผูเ้ รยี นได้ศึกษาเรียนรคู้ รบทกุ หน่วยการเรียนแล้ว ผู้เรียนตอ้ งทาแบบประเมนิ ตนเองหลังเรียนซึง่ อยตู่ อนท้าย ชองชดุ การเรยี นนี้ และเมื่อทาแบบประเมินตนเองหลังเรียนเสรจ็ แล้วใหต้ รวจคาตอบจากเฉลย รวมคะแนนการประเมินผล ตนเองหลังเรยี นไวบ้ นด้านขวาของแบบประเมิน แลว้ เปรียบเทียบความรกู้ ่อนและหลังเรียนว่ามคี วามรเู้ พ่ิมขึ้นหรือไม่ เพ่ือจะได้ กลบั ไปทบทวน ศกึ ษา เร่ืองที่ยังไมเ่ ขา้ ใจ และหากพบว่าผ้เู รียนทาคะแนนการประเมินผลตนเองหลังเรยี นไดต้ ่ากว่ารอ้ ยละ 75 ขอใหศ้ กึ ษาในเรื่องท่ีตอบผิดซา้ อกี จนกวา่ จะสามารถทาคะแนนได้เพิ่มขน้ึ 3. การศึกษาเอกสารชดุ การเรียนและการทากิจกรรม 3.1 ชุดการเรียนวชิ าการเกษตรผสมผสาน เป็นชดุ การเรยี นดว้ ยตนเองและใช้ประกอบการสอนของครูผู้สอน ใน เอกสารเล่มน้ี ประกอบด้วย หนว่ ยการเรียนรู้ 3 หนว่ ย ใชเ้ วลาทั้งเรียนร้จู ากครผู ู้สอน ศึกษาด้วยตนเอง และทาใบงาน/ แบบฝกึ กิจกรรม รวมทง้ั ส้นิ 80 ชวั่ โมง 3.2 ผเู้ รียนตอ้ งศึกษาคาแนะนาการใช้ชุดการเรยี นและแผนการเรียนรู้แตล่ ะหน่วยการเรียน เพ่ือทราบผลการเรียนรู้ ท่ีคาดหวังเม่ือผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ในแต่ละเรื่องจบแล้ว สาระสาคัญของหน่วยการเรียนรู้ ขอบข่ายเนื้อหาของชุดการเรียน การทากิจกรรมระหว่างเรียน สื่อการเรียนการสอนและการประเมินผล สาหรับใช้ประกอบ การวางแผนการเรียนรู้ได้ เหมาะสมกบั ตนเอง 3.3 ทาแบบประเมินตนเองก่อนเรยี นแล้วตรวจคาตอบจากเฉลย และกรอกคะแนนการประเมินผลตนเองก่อนเรียน ไว้บนด้านขวาของแบบประเมิน 3.4 ศึกษาและทาความเขา้ ใจแผนการเรียนรู้ใหค้ รบทุกแผนดว้ ยตนเอง 1 รอบ กอ่ นไปเรยี นรูจ้ าก ครผู ้สู อน 3.5 ในตอนทา้ ยของแผนการเรียนร้แู ต่ละหน่วยการเรยี นรู้ จะมใี บงาน/แบบฝึกกิจกรรมผูเ้ รียนตอ้ งทาตาม ให้ครบทุกใบงาน/กจิ กรรม แล้วนาสง่ ครผู ู้สอน
ตอนท่ี 1 ช่องทำงและกำรตดั สินใจ 5 กระบวนการคิดเปน็ การวิเคราะห์และการตัดสนิ ใจแกป้ ัญหาโดยใชก้ ระบวนการคดิ เป็น ตอนท่ี 1 ชอ่ งทำง และกำรตัดสนิ ใจ กระบวนกำรคดิ เปน็ “คิดเป็น” เป็นกระบวนการคิดที่เกิดข้ึนจากหลักการและแนวคิดของ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ ซึ่งเป็นนักการศึกษาไทย และอดีตอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียน และอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ อุ่นตา นพคุณ (อ้างอิงจากชีวิตพ่อเล่า : ดร.โกวิท วรพิพัฒน์. 2544 : 651 – 652) กล่าวถึงแนวคิดเร่ือง “คิดเป็น” ว่าได้นามาใช้ในวงการศึกษานอกโรงเรียน แล้ว นามากาหนดเป็นจุดมุ่งหมายที่สาคัญของการศึกษาไทยทุกระดับและใช้เร่ือยมาจนถึงปัจจุบัน โดยนักการศึกษาไทยหลาย ท่านพยายามนาเรื่อง “การคิดเป็น” มาพัฒนาการจัดการศึกษาไทย และสร้างเอกลักษณ์ความเป็นไทยจนเป็นที่ยอมรับ และ เกิดเป็นเป้าหมายของการจัดการศึกษาไทยที่ว่า “กำรจัดกำรศึกษำต้องกำรสอนคนให้ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปญั หำเปน็ ” การคิดเป็นของ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ เป็นกระบวนการคิดและตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการใช้ข้อมูล 3 ด้าน ได้แก่ ข้อมูล ตนเอง ข้อมลู สงั คมและสิ่งแวดลอ้ ม และขอ้ มลู วิชาการมาประกอบการคิดและตดั สินใจ นอกจากน้ี ทองอยู่ แก้วไทรฮะ และจันทร์ ชุ่มเมืองปัก (อ้างอิงจากชีวิตพ่อเล่า: ดร.โกวิท วรพิพัฒน์. 2544 : 654 – 655) อธิบายเพ่ิมเติมว่า คน “คิดเป็น” คือคนท่ีมีความสุขเม่ือได้ปรับปรุงตนเองและสังคมส่ิงแวดล้อมให้ ผสมกลมกลืนกันด้วยกระบวนการแก้ปัญหาหรือการตัดสนิ ใจแก้ปัญหาโดยพิจารณาข้อมูลอย่างน้อย 3 ประการคือ 1) การรจู้ กั ตนเองอยา่ งถอ่ งแทเ้ ที่ยงธรรม หรือ ตน (Self) โดยพจิ ารณาความพร้อมในด้านการเงิน สุขภาพอนามยั ความรู้ อายุ และวยั รวมทั้งความมเี พ่ือนฝงู และอ่ืน ๆ 2) สังคมและส่ิงแวดล้อม (Society and Environment) หมายถึง คนอื่นนอกเหนือ จากเราและครอบครวั จะ เรยี กว่าบุคคลท่ี 3 ก็ได้ คือดูว่าสังคมเขาคดิ อย่างไรกับการตัดสนิ ใจของเรา เขาเดือดร้อนไหม เขารังเกียจไหม เขาช่ืนชมด้วย ไหม เขามีใจปันให้เราไหม รวมตลอดถึงเศรษฐกิจและสังคมน้ัน ๆ เหมาะกับเร่ืองท่ีเราตัดสินใจหรือไม่ รวมท้ัง ขนบธรรมเนียมประเพณี คุณธรรมและคา่ นยิ มของสงั คม 3) ความรู้ทางวชิ าการ เป็นความร้ทู างวิทยาศาสตรห์ รอื ความรวู้ ชิ าการในเรอื่ งท่ีตรงกับการท่ีเราจะต้องตัดสินใจ ซ่ึงถือ เป็นหนังสือหลัก แนวความคิดเรื่องคิดเป็นมีองค์ประกอบที่สาคัญในเชิงปรัชญา 3 ส่วน กล่าวคือ เป้าหมายสูงสุดของชีวิตมนุษย์ คือ ความสุข มนุษยจ์ งึ แสวงหาวิธีการตา่ ง ๆ เพ่อื ทีจ่ ะมุง่ ไปสู่ความสุขน้ัน แต่เนื่องจากมนุษยม์ คี วามแตกตา่ งกันโดยพื้นฐานท้ังทาง กายภาพ อารมณ์ สังคม จิตใจและสภาวะแวดล้อม ทาให้ความต้องการของคนแต่ละคนมีความแต่ต่างกัน การให้คุณค่า และความหมายของความสุขของมนุษย์จงึ แตกต่างกัน การแสวงหาความสุขท่ีแตกต่างกันนั้น มนุษย์ต้องปรับตัวให้สอดคล้อง กันสภาพแวดล้อมของตนเองซ่ึงโดยหลักใหญ่ๆแล้ว วิธีการปรับตัวของมนุษย์ ได้แก่ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือไมก่ ็ปรบั สภาพแวดลอ้ มให้เข้ากบั ตนอง หรอื อาจปรับทั้งตนเองและสภาพแวดล้อมเขา้ หากัน จนทีส่ ุดแลว้
ไมส่ ามารถปรับตัวได้มนุษย์ก็จาเป็นจะต้องหลีกออกจากสภาพแวดล้อมนั้น เพ่ือไปหาสภาพแวดล้อมใหม่ เพื่อที่จะปรับตัว6 ใหม้ ีความสุขไดใ้ หม่ แตแ่ ท้จริงแล้ว การท่ีมนุษย์จะเลือกปรับตัวอย่างใดอย่างหน่ึงน้ัน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนแต่ละคน การตดั สนิ ใจนัน้ จาเป็นจะตอ้ งใช้ขอ้ มูลอย่างรอบดา้ น ซงึ่ โดยหลกั การของการคิดเป็นมนุษย์ควรจะใช้ข้อมูลอย่างน้อย 3 ด้าน คือ ข้อมูลตนเอง ซ่ึงเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ท้ังทางด้านกายภาพ สุขภาพอนามัย ด้านจิตใจและความพร้อมต่าง ๆ ข้อมูล สังคม ซง่ึ เป็นขอ้ มลู เกยี่ วกบั สภาพแวดลอ้ มครอบครัว สังคม วัฒนธรรม ความเช่ือ ประเพณี ค่านิยมตลอดจนกรอบคุณธรรม จริยธรรม และข้อมูลวิชำกำร คือ ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองที่ต้องคิด ตัดสินใจนั้น ๆ ว่ามีหรือไม่ เพียงพอ ท่ีจะนาไปใช้ หรือไม่ การใช้ข้อมูลอย่างรอบด้านน้ีจะช่วยให้การคิดตัดสินใจเพื่อแสวงหาความสุขของมนุษย์เป็นไปอย่างรอบคอบ เรียก วิธีการคิดตัดสินใจนี้ว่า “คิดเป็น” และเป็นความคิดที่มีพลวัตคือ ปรับเปลี่ยนได้เสมอ เมื่อข้อมูลเปล่ียนแปลงไป เป้าหมาย ชวี ติ เปล่ยี นไป กระบวนกำรคดิ เป็น กระบวนการคดิ เปน็ อาจจาแนกให้เห็นข้นั ตอนต่าง ๆ ทปี่ ระกอบกนั เขา้ เปน็ กระบวนการคิดไดด้ ังน้ี ขนั้ ท่ี 1 ข้ันสารวจปัญหา เมื่อเกิดปัญหา ย่อมต้องเกิดกระบวนการคิดแก้ปัญหา น่ันคือการรับรู้ปัญหาท่ี กาลังเผชญิ อยู่และคดิ แสวงหาทางแก้ปญั หาน้นั ๆ ขน้ั ท่ี 2 ข้ันหาสาเหตุของปัญหา เป็นการศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาเพื่อทาความเข้าใจปัญหา และสถานการณ์นนั้ ๆ โดยจาแนกขอ้ มูลออกเป็น 3 ประเภทคอื ข้อมูลสังคม : ได้แก่ขอ้ มลู เกยี่ วกบั สภาพแวดลอ้ มทอ่ี ย่รู อบๆ ตวั ปัญหาสภาพสังคมของแต่ละบุคคล ต้ังแต่ ครอบครัว ชุมชนและสงั คมทั้งในแง่เศรษฐกจิ การเมืองการปกครอง สิง่ แวดลอ้ ม วัฒนธรรม ประเพณี ความเช่ือ ค่านิยม เป็น ตน้ ข้อมูลตนเอง : ได้แก่ข้อมูลเก่ียวกับตัวบุคคล ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสินใจ เป็นข้อมูลทั้งทางด้านกายภาพ พ้ืนฐานของชวี ิต ครอบครัว อาชพี ความพร้อมท้งั ทางอารมณ์ จติ ใจ เปน็ ตน้ ข้อมูลวิชำกำร : ได้แก่ข้อมูลด้านความรู้ในเชิงวิชาการที่จะช่วยสนับสนุนในการคิดการดาเนินงาน ยั งขาดวชิ าการความรตู้ า่ งๆ ทีเ่ ก่ียวข้องกบั ปญั หาในเรอื่ งใดบา้ ง ข้นั ที่ 3 ขั้นวิเคราะห์ หาทางแก้ปัญหา เป็นการวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ปัญหา หรือการประเมินค่า ขอ้ มูลทงั้ 3 ด้าน คอื ขอ้ มูลดา้ นตนเอง สังคม วิชาการ มาประกอบในการวิเคราะห์ ช่วยในการคิดหาทางแก้ปัญหาภายใน กรอบแหง่ คุณธรรม ประเดน็ เด่นของขนั้ ตอนนี้คือ ระดับของการตัดสินใจท่ีจะแตกต่างกันไปแต่ละคนอันเป็นผลเนื่องมาจาก ข้อมูลในขน้ั ท่ี 2 ความแตกต่างของตัดสินใจดงั กลา่ วมุง่ ไปเพ่ือความสขุ ของแตล่ ะคน ข้นั ที่ 4 ข้ันตัดสินใจ เม่ือได้ทางเลือกแล้วจึงตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาในทางท่ีมีข้อมูลต่างๆ พร้อมสมบูรณ์ ที่สุด การตัดสินใจถือเป็นขั้นตอนสาคัญของแต่ละคนในการเลือกวิธีการหรือทางเลือกในการแก้ปัญหา ขึ้นอยู่กับว่าผลของ การตัดสินใจน้นั พอใจหรอื ไม่ หากไมพ่ อใจก็ต้องทบทวนใหม่ ขั้นท่ี 5 ขั้นตัดสินใจไปสู่การปฏิบัติ เม่ือตัดสินใจเลือกทางใดแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นทางเลือกท่ีดีที่สุดใน ข้อมูลเท่าท่ีมีขณะนั้น ในกาละน้ันและในเทศะน้ัน เป็นการปฏิบัติตามสิ่งที่ได้คิดและตัดสินใจแล้ว หากพอใจยอมรับผลของ การตดั สินใจ มีความสขุ ก็เรยี กได้วา่ “คิดเป็น” แตห่ ากตัดสินใจแล้วไดผ้ ลออกมายังไม่พอใจ ไม่มีความสุข อาจเป็นเพราะข้อมูล ทม่ี ี ไมร่ อบด้าน ไมม่ ากพอ ต้องหาข้อมูลใหม่คิดใหม่ตัดสินใจใหม่ แตไ่ มถ่ ือวา่ คดิ ไม่เปน็
กำรวิเครำะหแ์ ละตัดสินใจแก้ปญั หำโดยใช้กระบวนกำรคดิ เป็น 7 ไม่วา่ จะเปน็ สังคมใด ยุคใด คนเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอปุ สรรคต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าต้องการให้ชีวิตมีความสขุ จาเปน็ ต้องหาแนวทางแกไ้ ขปัญหาหรือขจัดปัญหาใหห้ มดไป การจะแก้ปญั หาได้ จาเปน็ ต้องมกี ารวเิ คราะหใ์ คร่ครวญในการตัดสินใจเลือกแนวทางท่ีดีที่สุดในการแก้ไขปัญหา การ ตัดสนิ ใจแก้ไขปญั หาหรือในเรื่องต่าง ๆ นัน้ อาจผิด หรอื ถูกก็ได้ ถ้าเรอ่ื งหรือสิ่งตา่ ง ๆ ท่ีจะต้องตัดสินใจเปน็ สง่ิ ที่ดี ทีถ่ กู ต้อง และนาข้อมูลที่ไดร้ บั มา ประกอบการพิจารณาทาใหม้ ีการตดั สนิ ใจ วา่ ส่งิ นน้ั เรือ่ งนั้นเปน็ สง่ิ ท่ถี ูกต้องนบั วา่ การตดั สินใจถูกต้อง แต่ถา้ ตดั สนิ ใจว่า ไม่ดีไม่ถูกต้องนับวา่ เปน็ การตัดสนิ ทผ่ี ิด ในทางตรงกนั ข้าม ถา้ เรอ่ื งหรือส่ิงทีต่ ้องตดั สินใจเป็นสิ่งที่ไมด่ ีไม่ ถกู ต้อง มีข้อมูลประกอบ การตดั สนิ ใจ แล้วตดั สนิ ใจวา่ สิ่งนัน้ ไม่ดี ไมถ่ กู ต้อง นบั วา่ การตัดสนิ ใจถกู แต่ถา้ มีการตัดสินใจว่า สง่ิ น้ัน เรือ่ งน้นั ดี ถกู ต้อง นบั ว่าเปน็ การตดั สนิ ใจที่ผิด การตดั สินใจจึงมผี ดิ มถี ูกได้ แตส่ ่วนใหญก่ ต็ ้องการเหน็ การตัดสินใจท่ถี ูก มากกว่าการตัดสนิ ใจท่ีผดิ การตัดสินใจด้วยกระบวนการคิดเป็น จัดเป็นกระบวนการที่สาคัญที่จะช่วยให้การตัดสินใจ มีความถกู ต้องมาก ทส่ี ดุ เพราะกระบวนการคดิ เปน็ นนั้ เสนอแนะใหใ้ ช้ข้อมูลหลายหลายด้านมาประกอบ การพิจารณาตัดสนิ ใจอยา่ งน้อยควรมี ข้อมลู 3 ดา้ นด้วยกัน 1. ข้อมูลเกีย่ วกับตนเอง 2. ขอ้ มูลเกย่ี วกับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม 3. ข้อมลู เก่ยี วกับความรู้หรือวชิ าการ ข้อมูลทั้ง 3 ด้านน้ี จะช่วยให้เกิดการวิเคราะห์พิจารณาที่ดีท่ีถูกต้องมากกว่าการใช้แต่เพียงข้อมูลแต่เพียงด้านใด ด้านหนึ่งเท่าน้ัน ซึ่งปรกติมักจะตัดสินใจกันด้วยข้อมูลด้านเดียว ซึ่งอาจมีการพิจารณาว่าเหมาะสมกับตนเองแล้ว เหมาะสม กับคนส่วนใหญ่แล้ว หรอื เหมาะสมตามตาราหรอื จากคาแนะนาทางวิชาการแล้ว ซึ่งอาจก่อให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดขึ้น ได้ ไม่ว่าจะเป็นตัดสนิ ใจในการดารงชวี ติ หรือการตดั สนิ ใจในการบริหารงานก็ตาม กระบวนการคิดเป็นจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ ตัดสินใจในแทบทุกวงการ โดยเฉพาะในวงการการศึกษานอกโรงเรียน ซึ่งมีแผนงานโครงการ และกิจกรรม การศึกษา สอดคล้องตามหลักการตอบสนองความต้องการของผู้เรียน และหลักการนาส่ิงที่เรียนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทันที กระบวนการคดิ เปน็ มิใช่แตจ่ ะเกีย่ วข้องกบั ผูใ้ ห้บริการการศึกษานอกโรงเรียนเท่าน้ัน แต่จะเกี่ยวข้องอย่างสาคัญกับผู้เรียนหรือ ผู้รับบริการการศึกษานอกโรงเรียนด้วย เน่ืองจากหลักการสาคัญข้อหน่ึงของการศึกษานอกโรงเรียนคือ จัดการศึกษาเพ่ือการ แก้ไขปัญหาได้ ( Problem-oriented) การจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนให้แก่ผู้เรียนหรือผู้รับบริการการศึกษา จึงมุ่ง ใหผ้ เู้ รียนสามารถพจิ ารณาตัดสนิ ใจในการแกไ้ ขปัญหาต่าง ๆ ท่ีเขาต้องเผชิญใหล้ ลุ ่วง ไปได้ สามารถขจดั ปญั หาได้ ผู้เรียนหรือ ผู้รับบริการการศึกษาจะต้องได้รับการฝึกฝนการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ด้วยการนาข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับตนเอง เกี่ยวข้องกับ เพ่ือน ๆ หรือสังคมรอบตัวเรา และหลักการ ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหานั้น แล้วตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ไข ปัญหาท่ีดีที่สุด เม่ือตัดสินใจแล้ว เกิดความพึงพอใจ ว่าได้ตัดสินใจดีแล้ว รอบคอบแล้ว เม่ือได้ฝึกฝนเช่นนี้อย่างสม่าเสมอ ขณะที่กาลังศึกษาหรอื เรียนอยกู่ ็จะเกดิ ประสบการณ์ท่ีชานาญทช่ี อบ สามารถนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวันต่อไป ได้
ตวั อยำ่ ง 8 ปราชญ์ชาวบ้าน คณุ ลุงประยงค์ รณรงค์ แห่งชมุ ชนบ้านไม่เรยี งจงั หวัดนครศรธี รรมราช เปน็ ตัวอย่างของบุคคลที่เป็น รูปแบบของความหมาย “คิดเป็น” ได้อย่างดี ลุงประยงค์ จะมีความคิดท่ีเช่ือมโยง คิดแยกแยะ ชัดเจน เพ่ือหาทาง เลอื กทีด่ ีทส่ี ดุ ในการนาไปปฏิบตั ิ และต้องทดลองความรู้ที่หามาได้ก่อนการยืนยนั เสมอ แนวคิดเชน่ น้ที าให้ลุงประยงคเ์ ปน็ แกนนาสาคญั ทที่ าใหช้ มุ ชนไม่เรยี ง เปน็ ชมุ ชนตวั อยา่ งหน่งึ ที่เข้มแข็งมานาน พงึ่ พาตนเองไดอ้ ย่างเหมาะสมพอดีกับบริบทของ ตนเอง
9 ตอนที่ 2 ลกั ษณะและควำมสำคญั ของเกษตรผสมผสำน ความหมายของระบบการเกษตรผสมผสานและระบบไร่นาสวนผสม รูปแบบของระบบเกษตรผสมผสาน ปจั จัยและความสาเร็จของระบบการเกษตรผสมผสาน ประโยชน์ทไ่ี ด้รบั ของระบบเกษตรผสมผสาน ตอนท่ี 2 ลกั ษณะและควำมสำคัญของกำรเกษตรผสมผสำน ควำมหมำยของระบบเกษตรผสมผสำน และระบบไรน่ ำสวนผสม ระบบเกษตรกรรมท่ีจะนาไปสู่การเกษตรย่ังยืน โดยมีรูปแบบท่ีดาเนินการมีลักษณะใกล้เคียงกัน และทาให้ ผู้ปฏบิ ัติมคี วามสบั สนในการให้ความหมายและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ได้แก่ระบบเกษตรผสมผสานและระบบ ไร่นาสวนผสม ใน ที่นี้จึงขอให้คาจากดั ความรวมทัง้ ความหมายของคาทงั้ 2 คา ดังต่อไปนี้ ระบบเกษตรผสมผสำน (Integrated Farming System) เป็นระบบการเกษตรท่ีมีการเพาะปลูกพืชหรือ การเลยี้ งสตั วต์ ่าง ๆ ชนิดอยู่ในพน้ื ท่ีเดียวกนั ภายใต้การเก้ือกูล ประโยชน์ต่อกนั และกนั อยา่ งมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยอาศัย หลักการอยู่รวมกันระหว่างพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อมการอยู่รวมกันอาจจะอยู่ในรูปความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับพืช พืชกับ สัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์ก็ได้ ระบบ เกษตรผสมผสานจะประสบผลสาเร็จได้ จะต้องมีการวางรูปแบบ และดาเนินการ โดยให้ ความสาคัญต่อกิจกรรม แต่ละชนิดอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม มีการใช้แรงงาน เงินทุน ทด่ี นิ ปจั จยั การผลติ และทรพั ยากรธรรมชาตอิ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ตลอดจนรู้จกั นาวัสดเุ หลือใช้จากการผลิตชนิดหนึ่งมาหมุน เวียนใช้ประโยชน์กับการผลิตอีกชนิดหน่ึงกับการผลิตอีกชนิดหน่ึงหรือหลายชนิด ภายในไร่นาแบบครบวงจร ตัวอย่าง กจิ กรรมดงั กล่าว เชน่ การเลี้ยงไก่ หรือสกุ รบนบ่อปลา การเล้ียงปลาในนาขา้ ว การเลย้ี งผ้งึ ในสวนผลไม้ เปน็ ต้น ระบบไร่นำสวนผสม (Mixed/Diversefied/Polyculture Farming System) เป็นระบบการเกษตรท่ี มีกิจกรรมการผลิตหลาย ๆ กิจกรรมเพ่ือตอบสนองต่อการบริโภคหรือลดความเสี่ยงจากราคา ผลิตผลท่ีมีความไม่แน่นอน เท่านั้น โดยมิได้มีการจัดการให้กิจกรรมการผลิตเหล่าน้ันมีการผสมผสานเก้ือกูลกันเพื่อ ลดต้นทุนการผลิต และคานึงถึง สภาพแวดล้อมเหมือนเกษตรผสมผสานการทาไร่นาสวนผสมอาจมีการเกื้อกูลกันจาก กิจกรรมการผลิตบ้าง แต่กลไกการ เกิดข้ึนนั้นเป็นแบบ “เป็นไปเอง” มิใช่เกิดจาก “ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ” อย่างไร ก็ตามไร่นาสวนผสม สามารถพัฒนาความรู้ ความสามารถของเกษตรกรผู้ดาเนนิ การให้เป็นการดาเนนิ การในลกั ษณะ ของระบบเกษตรผสมผสานได้
10 รปู แบบของระบบเกษตรผสมผสำน รปู แบบของระบบเกษตรผสมผสำน ระบบเกษตรผสมผสานน้ัน ถึงแมว้ า่ เกษตรกรจะมีการดาเนินการกนั มาชา้ นานแล้วกต็ ามแต่ลักษณะของการ ดาเนินการ ยังมีความแตกต่างกันไป แล้วแต่การจะนาองค์ประกอบต่าง ๆ มาผสมผสานกันมากน้อยแค่ไหน และผสมผสาน ในรปู รปู แบบใดก็ตามยังมีความหมายหลากหลาย การศึกษารายละเอียดเชิงวิชาการในด้านนี้ก็ยังมีไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบ กับการศึกษาในด้านกิจกรรมเด่ียว ๆ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือปลาก็ตาม ฉะนั้นการกาหนดรูปแบบดาเนินการเกษตร ผสมผสานก็จะมีหลายแบบเช่นกัน ท้ังน้ีอาจจะยึดการแบ่งตามวิธีการดาเนินการลักษณะพ้ืนท่ีกิจกรรมท่ีดาเนินทรัพยากร เปน็ ต้น ซ่ึงพอทีจ่ ะกลา่ วไดด้ งั นี้ 1. แบง่ ตำมกิจกรรมทดี่ ำเนินกำรอย่เู ป็นหลกั 1.1 ระบบเกษตรผสมผสานท่ยี ดึ กจิ กรรมพชื เปน็ หลกั ซ่ึงกจิ กรรมท่ีดาเนินการน้ีจะมีพืชเปน็ รายไดห้ ลกั 1.2 ระบบเกษตรผสมผสานท่ียึดกิจกรรมเล้ยี งสตั ว์เป็นหลัก ซง่ึ การดาเนนิ การเล้ียงสตั ว์จะเป็นรายไดห้ ลัก 1.3 ระบบเกษตรผสมผสานท่ียึดกจิ กรรมประมงเป็นหลกั ซงึ่ จะมกี จิ กรรมเลีย้ งสตั วน์ า้ เป็นรายได้หลกั 1.4 ระบบเกษตรผสมผสานแบบไร่นาป่าผสมหรือวนเกษตรเป็นระบบท่ีมีการจัดการป่าไม้เป็นหลักร่วมกับ การเกษตร ทกุ แขนง อาจประกอบด้วยการปลกู พืชเกษตรในสวนป่า การปลูกพืชเกษตรร่วมกับการเลี้ยงสัตว์ในสวนป่าระบบ น้ีมุ่ง หวังท่ีจะให้เป็นตัวกลางเพ่ือผ่อนคลายความต้องการท่ีดินเพ่ือการเกษตรกรรมกับความต้องการป่าไม้ เพ่ือควบคุมส่ิง แวดล้อมให้สามารถดาเนินควบคู่กันไปโดยคานึงถึงสภาพทางสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมประเพณี รวมท้ังช่วย พัฒนา ความเป็นอยู่ของราษฎรที่เก่ียวข้อง ระบบวนเกษตรท่ีดีควรสามารถเพ่ิมการซึมซับน้า รักษาน้าใต้ดิน ลดการสูญ เสียดิน ลักษณะพันธุ์พืชท่ีใช้ควรเป็นทรงพุ่มเพื่อลดความรุนแรงของเม็ดฝนที่ตกกระทบผิวดินสามารถรักษาสภาพดุลย์ ของสภาวะ แวดล้อมให้เหมาะสมกับพืชที่ปลูกร่วม เช่น บังร่มเงา พายุ ฝน อีกทั้งควบคุมสภาพความชุ่มชื้นและอุณหภูมิ ให้ดี พันธ์ุไม้ท่ี ปลูกควรมีรากลึกพอที่สามารถหมุนเวียนธาตุอาหารในระดับท่ีลึกขึ้นมาสู่บริเวณผิวดิน เป็นประโยชน์ต่อ พืชรากต้ืนท่ีปลูก ร่วม โดยรวมท้ังระบบควรใหผ้ ลตอบแทนแก่เกษตรกรหลายด้าน เช่น ผลผลิตในรูปอาหาร ยารักษา โรค ไม้ฟืน ไม้สร้างบ้าน และรายได้ ส่ิงสาคัญที่สุดควรเป็นระบบท่ีอนุรักษ์ดินและน้าได้ดีปลูกได้หลายสภาพแวดล้อม และง่ายต่อการปฏิบัติในสภาพ ของเกษตรกรวนเกษตรทพี่ อประยุกตใ์ ช้ในประเทศไทยมีอยู่ 3 ระบบใหญ่ คือ ระบบป่า ไม้-ไร่นา, ระบบป่าไม้-เลี้ยงสัตว์ และ ระบบเลีย้ งสตั ว์-ป่าไม-้ ไรน่ า ซง่ึ วิธีการนาแตล่ ะระบบไปประยุกตใ์ ช้ยอ่ มขึน้ อยู่กบั สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของพน้ื ทเี่ ปน็ เกณฑ์ 2. แบ่งตำมวิธีกำรดำเนนิ กำร 2.1 ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีการใช้สารเคมี ในระบบการผลิตจะมีการใช้สารเคมีในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อ จุดประสงค์ ให้ไดผ้ ลผลิตและรายไดส้ ูงสดุ 2.2 ระบบการเกษตรอินทรีย์หลีกเล่ียงการใช้สารเคมีทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ฮอร์โมน สารเคมใี นอาหาร สัตว์ คานงึ ถึงการสงวนรักษาอินทรียวัตถใุ นดินด้วยการปลกู พชื หมุนเวียนการปลูกพืชคลมุ ดิน ใช้ปุ๋ยคอกปุ๋ย หมกั ใช้ เศษอนิ ทรียวัตถจุ ากไร่นา ม่งุ สร้างความแขง็ แกร่งใหแ้ ก่พืชดว้ ยการบารุงดินให้อุดมสมบูรณ์ ผลผลิตที่ได้ก็จะอยู่ในรูป ปลอดสารพษิ 2.3 ระบบการเกษตรธรรมชาติ เป็นระบบการเกษตรท่ีใช้หลักการจัดระบบการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ที่ ประสานความ รว่ มมือกบั ธรรมชาตอิ ยา่ งสอดคล้องและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน งดเว้นกิจกรรมที่ไม่จาเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้แก่ ไม่ มีการ พรวนดิน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่กาจัดวัชพืช ไม่ใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช ทั้งนี้จะมีการปลูกพืชตระกูลถ่ัวคลุมดิน ใช้วัสดุเศษ
พืชคลุมดิน อาศัยการควบคุมโรคแมลงศัตรูด้วยกลไกการควบคุมกันเองของส่ิงมีชีวิตตามธรรมชาติ การปลูกพืชใน ใน11 สภาพแวดลอ้ มที่มีความสมดุลทางนเิ วศวทิ ยา 3. แบ่งตำมประเภทของพืชสำคัญเป็นหลกั 3.1 ระบบเกษตรผสมผสานที่มีข้าวเป็นพืชหลัก พ้ืนท่ีส่วนใหญ่จะเป็นท่ีนาทาการปลูกข้าวนาปีเป็นพืช หลักการผสม ผสานกิจกรรมเข้าไปให้เกื้อกูลอาจทาได้ท้ังในรูปแบบของพืช-พืชเช่นการปลูกพืชตระกูลถ่ัว พืชผัก พืช เศรษฐกิจอ่ืน ๆ ก่อนหรือหลังฤดูกาลทานา อีกระบบหนึ่งที่นับได้ว่ามีความสาคัญเช่นกัน แต่ยังไม่ได้มีการกล่าวถึงมากนักใน แงข่ องการ เกษตรผสมผสาน แต่จะมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของเกษตรกรในช่วงเวลาท่ีผ่านมาอยู่ค่อนข้างมากและมีให้เห็น อยู่ทั่ว ๆ ไปในพ้ืนท่ีนาดอนอาศัยน้าฝนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ระบบต้นไม้ในนาข้าว ต้นไม้เหล่าน้ีมีท้ังเป็นป่าด้ัง เดมิ และเป็นป่าไมท้ ี่ชาวบา้ นปลูกขนึ้ ใหมห่ รือเกิดจากการแพร่พันธุต์ ามธรรมชาติ ภายหลังต้นไม้เหล่านี้จะอยู่ท้ังในนา บนคัน นา ท่ีสูง เช่น จอมปลวก หรือบริเวณเถียงนา เป็นต้น ที่พบเห็นโดยท่ัว ๆ ไป ได้แก่ ยางนา ตะเคียนทอง กะบาก สะแบง ไม้ รงั จามจรุ ี มะขาม มะมว่ ง เปน็ ต้น นบั ได้วา่ เปน็ ทรัพยากรเอนกประสงค์ใช้เป็นอาหารและยาแก่มนุษย์ อาหารสัตว์ เชื้อเพลิง ไม้ก่อสร้าง ไม้ใช้สอยขนาดเล็ก ผลิตภัณฑ์จากต้นไม้นาไปใช้ประโยชน์ เช่น น้ายาง ทาคบไต้ คร่ัง เคร่ืองจุดไฟ ให้ร่มเงา นอกจากน้ียังช่วยรักษาคันนาให้คงรูป สามรถเก็บกักน้า ทั้งนี้เน่ืองด้วยดินโดยทั่วไปมีเนื้อดินเป็น ทราย มีโครงสร้างอ่อนแอ ไม่สามารถสร้างคันนาให้ทนทาน เว้นเสียแต่จะมีสิ่งมาเสริมหรือยึดไว้ ต้นไม้ยังใช้เป็นหลัก ท่ีเก็บฟางข้าวมาสุมไว้ สาหรับ เอาไว้เลี้ยงสัตว์ในฤดูแล้ง ระบบพืชในนาข้าวที่นับว่าเป็นคู่สมพงษ์และมีความย่ังยืนมา ช้านาน ได้แก่การปลูกตาลร่วมกับ ระบบการปลกู ข้าว ท่พี บเห็นกนั ในพืน้ ท่บี างส่วนของภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่างและ ภาคใต้ เป็นต้น เป็นลักษณะการปลูก ตน้ ตาลบนคนั นาเปน็ สว่ นใหญ่ และมีบางส่วนทต่ี ้นตาลขน้ึ อยูใ่ นกระทงนา เกษตรกร ได้ท้ังผลผลิตข้าวและผลิตภัณฑ์จากตาล ซึ่งอาจอยู่ในรูปของน้าหวานน้ามาเคี่ยวเป็นน้าตาล ผลตาลอ่อน ผลตาลแก่นามา ทาขนมต่าง ๆ ได้ ต้นตาลท่ีมีอายุมาก ผลผลิตลดลง สามารถแปรสภาพเน้ือไม้มาใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างได้ด้วย เช่น ทาเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ อีกรูปแบบหนึ่งท่ี ปัจจุบันมีการดาเนินการกันมากขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้แก่ การนา ปลาเข้ามาร่วมระบบ ซ่ึงทาได้ทั้งใน ลักษณะการเล้ียงปลาในนาข้าว การผสมผสาน พืช-สัตว์-ปลา เช่น การแปรเปลี่ยน พื้นที่นาบางส่วนเป็นร่องสวนปลูกไม้ผล เล้ียงปลาในรอ่ งสวน เล้ียงสตั ว์ปีก โค โดยใช้เศษอาหารจากพืชตา่ ง ๆ ในฟาร์ม ใหเ้ ป็นอาหารสตั ว์ไดด้ ้วย 3.2 ระบบเกษตรผสมผสานทีม่ พี ืชไร่เป็นพืชหลัก การผสมผสานกิจกรรม พืช-พืช เช่น ลักษณะการปลูกพืช ตระกูลถัว่ แซมในแถวพืชหลัก เช่น ข้าวโพด มันสาปะหลัง ฝ้าย เป็นต้น สาหรับรูปแบบของกิจกรรม พืช-สัตว์ เช่น ปลูกพืช อาหาร สตั วต์ ่าง ๆ ควบค่กู ับการเลี้ยงโค การปลูกหม่อนเลีย้ งไหม เปน็ ต้น 3.3 ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีไม้ผล ไม้ยืนต้น เป็นพืชหลัก การผสมผสานกิจกรรม พืช-พืช เช่น การใช้ไม้ ผลต่างชนดิ ปลกู แซม เชน่ ในกรณโี กโก้แซมในสวนมะพร้าว การปลูกพืชตระกูลถั่วในแถวไม้ผลยืนต้น การปลูกพืชต่างระดับ เป็นต้น รปู แบบกิจกรรม พืช-สตั ว์ โดยการเลย้ี งสตั ว์ เช่น โคในสวนไม้ผล สวนยางพารา การปลูกพืชอาหารสัตว์ในแถวไม้ผล ไมย้ นื ตน้ แล้วเล้ยี งโคควบคจู่ ะมีการเกอื้ กูลซึ่งกันและกนั 4. แบง่ ตำมลักษณะของสภำพพน้ื ทเ่ี ป็นตวั กำหนด 4.1 ระบบเกษตรผสมผสานในพื้นที่สูง ลักษณะของพื้นท่ีจะอยู่ในที่ของภูเขาซ่ึงเดิมเป็นพื้นที่ป่าแต่ได้ถูก หักล้างถางพง มาทาพืชเศรษฐกิจและพืชยังชีพต่าง ๆ ส่วนใหญ่พื้นท่ีมีความลาดชันระหว่าง 10-50% ด้ังเดิมเกษตรกรจะ ปลกู พชื ใน ลกั ษณะเชงิ เด่ียวอายสุ ั้น เชน่ ข้าว ข้าวโพด พชื ตระกูลถั่ว ผักต่าง ๆ ซึ่งมักจะเกิดปัญหาของการทาลายทรัพยากร ธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม มีการชะล้างหน้าดินสูง ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงรวดเร็ว มีผลกระทบต่อผลผลิตพืช ใน ระยะยาว ฉะนั้น รูปแบบของการทาการเกษตรผสมผสานจะช่วยรักษาหรือชะลอความสูญเสียลงได้ระดับหนึ่ง การ
ดาเนินการอาจทาในรูปของวนเกษตร การปลูกไม้ผลไม้เมืองหนาวชนิดต่าง ๆ ผสมผสาน เช่น ได้มีการศึกษาระบบพืช12 แซมของไม้ผลเมืองหนาว ได้แก่ บ๊วยแซมด้วยท้อ บ๊วยแซมด้วยพลับ พลับแซมด้วยท้อ และพลับแซมด้วยพลับ ท้ังน้ี การ จัดการดินโดยทาขั้นบันได เพื่อลดการพังทลายของดินพร้อมท้ังทาการปลูกหญ้าแฝกตามขอบบันได ผลการศึกษา ใน ระยะแรกขณะท่ีไม้ผลยังไม่ให้ผลผลิต ได้นาพืชอายุสั้นปลูกในแถวไม้ผล ได้แก่ ถ่ัวแดง และข้าวไร่ ซ่ึงได้ผลผลิตถ่ัว แดง 82 กก./ไร่ ข้าวไร่เจ้าฮ่อ และข้าวเจ้าอาข่า ให้ผลผลิต 302 และ 319 กก./ไร่ ตามลาดับ นอกจากนี้การเจริญ เติบโตของแฝก ค่อนข้างดี มีใบแฝกปรมิ าณมาก ซึ่งจะทาการเกี่ยวใบแฝกแล้วนามากองเป็นระยะในระหว่างข้ันบันได และให้สลายตัวใช้เป็น ปุ๋ยหมกั และเพมิ่ อินทรยี วตั ถุ เกิดประโยชน์ตอ่ ไมผ้ ลหลกั มีการศกึ ษาในรปู แบบอื่น ๆ ที่เหมาะสม ได้แก่ การผสมผสานระบบ ปลูกพืชร่วมกับแถบไม้พุ่ม (Alley Cropping) หรือแถบหญ้า (Grass Strip Cropping) ตามแนวระดับในพ้ืนที่ความลาดชัน 10-50% ตัวอย่างของไม้แถบ เช่น กระถิน แคฝรั่ง แคบ้าน ถ่ัวมะแฮะ ครามป่า ต้นเสียว เป็นต้น สาหรับพืชแซมในแถวไม้ พุ่ม ไดแ้ ก่ พชื ตระกูลถว่ั พชื อาหารสตั ว์ เชน่ ถ่ัวดา ถั่วเล็บมือนาง ถั่วแปบ ถ่ัวน้ิวนางแดง ถ่ัวเหลือง ถั่วลิสง หญ้ารูซ่ี เนเปียร์ กินี บาเฮยี แฝกหอม เป็นต้น 4.2 ระบบเกษตรผสมผสานในพ้ืนท่ีราบเชิงเขา พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ดอนอาศัยน้าฝน มีการปลูกพืชไร่ ชนิดตา่ ง ๆ เป็นหลกั รองลงมาจะเป็นไม้ผลยืนต้น ข้าวไร่ การจดั การในรูปผสมผสาน ไดแ้ ก่ การปลกู ไม้ผลไม้ยืนต้น ตลอดจน ไม้ ใ้ ชส้ อยร่วมกนั เพื่อให้เกิดประโยชน์ท้ังในด้านผลผลิต รายได้ ตลอดจนสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติดีขึ้นได้ การปลูก พืช เศรษฐกจิ แซมด้วยพืชอาหารสัตว์ ซ่ึงมีรายงานผลการดาเนินการปลูกข้าวไร่แซมด้วยพืชอาหารสัตว์พวกเซ็นโตรซีมา และแก รมสไตโล จะทาให้ท้ังผลผลิตข้าวและถั่วต่าง ๆ ซึ่งใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ต่อไป การปรับเปล่ียนพ้ืนท่ีปลูกพืชไร่ เศรษฐกิจอายุ ส้ัน หรือข้าวไร่บางส่วน มาทากิจกรรมการเล้ียงสัตว์และปลูกพืชอาหารสัตว์ประเภทต่าง ๆ ควบคู่กันไป จะเป็นการสร้าง ความหลากหลายของระบบได้มากข้นึ และชว่ ยลดความเสี่ยง 4.3 ระบบเกษตรผสมผสานในพื้นทด่ี อน โดยทั่วไปในพ้ืนท่ดี อนจะมีการปลูกพืชไร่เศรษฐกิจต่าง ๆ เชิงเดี่ยว เปน็ หลัก ลกั ษณะของการทาการเกษตรผสมผสานอาจทาได้หลายรูปแบบ เช่น ลักษณะการปลูกพืชแซม โดยใช้พืชตระกูลถ่ัว แซม ในแถวพืชหลักต่าง ๆ เช่น ข้าวโพด ฝ้าย มันสาปะหลัง ฯลฯ การเปลี่ยนพ้ืนที่เป็นไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอยผสมผสาน และอาจจะมีพืชตระกูลถ่ัวแซมในแถวพืชหลักในระยะแรก ๆ อีกแนวทางหนึ่ง ได้แก่ การใช้พื้นท่ีมาดาเนินการเล้ียง ปศุสัตว์ เชน่ โค และปลกู พชื อาหารสัตว์ควบค่กู นั ไป เป็นต้น 4.4 ระบบเกษตรผสมผสานในพ้ืนท่ีราบลุ่ม พื้นท่ีส่วนใหญ่จะเป็นนาข้าวแบบแผนการปลูกพืชส่วนใหญ่จะ เปน็ ขา้ ว อย่างเดียว ข้าว-ข้าว, ข้าว-พืชไร่เศรษฐกิจ, ข้าว-พืชผักเศรษฐกิจ, พืชผัก-ข้าว-พืชไร่, พืชไร่-ข้าว-พืชไร่ เป็นต้น การ จะปลกู พชื ได้มากครง้ั ในรอบปีขึ้นอยกู่ ับระบบการชลประทานเป็นหลัก การเกษตรแบบผสมผสานในพื้นที่นี้จะมี ีรูปแบบและ กิจกรรมที่ดาเนินการเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้แล้วในข้อ 3.1 (ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีข้าวเป็นพืชหลัก) สาหรับในพ้ืนท่ีที่มี ระดับนา้ สูง นอกจากจะทาการปลูกขา้ วขน้ึ น้าแล้ว ยังมีลู่ทางพัฒนาและปรับเปลี่ยนพ้ืนท่ีเพ่ือทา กิจกรรมการเลี้ยงปลาในบ่อ ได้ดว้ ยรปู แบบการเกษตรผสมผสานหลัก ๆ ตามที่กลา่ วมาแลว้ น้ียังอาจแบ่งย่อยออกไปได้ อ้ ีกหลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า จะใช้หลักการอะไรมาเป็นตัวกาหนด ซ่ึงจะมีความคิดหลากหลายแตกต่างกันไป เช่น การใช้ลักษณะของทรัพยากรน้าเป็น ตัวกาหนดก็จะมีรูปแบบเกษตรผสมผสานแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ เกษตรผสมผสาน ในพื้นท่ีเขตใช้น้าฝนและเกษตร ผสมผสานในพ้นื ทเี่ ขตชลประทาน นอกจากน้ีในเขตชลประทานก็สามารถแบ่งเป็นกลุ่ม ย่อยได้อีกตามระบบของชลประทาน คือ ชลประทานท่ีมีเขื่อนกักเก็บน้าและมีคลองส่งน้าไปในไร่-นาชลประทานโดย การสูบน้าด้วยไฟฟ้าจากแหล่งน้า ระบบบ่อ บาดาลนา้ ตน้ื น้าลึก ตลอดจนระบบการใช้น้าหยด เป็นต้น นอกจากน้ี การใช้ คุณสมบัติของดินเป็นตัวกาหนด ก็จะสามารถ กาหนดรูปแบบของการเกษตรผสมผสานได้ดังนี้ คือ เกษตรผสมผสานใน พ้ืนท่ีดินเปรี้ยว พ้ืนท่ีดินเค็ม พ้ืนท่ีดินด่าง และพ้ืน
ทด่ี นิ พรุ เป็นตน้ ถงึ แม้จะมกี ารแบ่งรปู แบบการเกษตรผสมผสานได้ ้หลายอย่าง แตก่ ารดาเนินการตามกิจกรรมต่าง ๆ ซ่ึง13 ประกอบด้วย พืช-พืช พืช-สัตว์ พืช-ปลา สัตว์-ปลาและพืช-สัตว์- ปลา จะมีลักษณะเป็นไปในทานองเดียวกัน แล้วแต่ว่าใน รูปแบบตา่ ง ๆ จะมศี ักยภาพในการดาเนินการมากน้อยแตกต่าง กนั ออกไปตามลักษณะพ้ืนท่ี ทรัพยากร และสภาพเศรษฐกิจ สังคม อย่างไรก็ตามการท่ีจะนาองค์ประกอบด้าน พืช สัตว์ ประมง มาดาเนินการผสมผสานเข้าด้วยกันในระบบการเกษตร นั้น ย่อมท่จี ะมีทง้ั ปฏสิ มั พันธเ์ ชิงเกอื้ กลู และเชิงแขง่ ขนั ทาลายกนั ซง่ึ พอทีจ่ ะกลา่ วไดด้ งั น้ี เกษตรผสมผสำนท่ีมีปฏสิ มั พันธ์เชงิ เกือ้ กลู 1. เกอ้ื กูลกันระหวำ่ งพืชกับพืช 1.1 พชื ตระกลู ถว่ั ช่วยตรึงธาตไุ นโตรเจนให้กับพชื ชนิดอ่นื 1.2 พืชยืนตน้ ใหร้ ม่ เงากบั พืชทีต่ อ้ งการแสงแดดนอ้ ย เชน่ กาแฟ โกโก้ ชา สมนุ ไพร ฯลฯ 1.3 พืชเป็นอาหารและที่อยู่อาศัยให้กับแมลงศัตรูธรรมชาติ เพ่ือช่วยกาจัดศัตรูพืชไม่ให้เกิดระบาดกับพืช ชนดิ อ่นื ๆ เชน่ การปลกู ถั่วลสิ งระหว่างแถวในแปลงขา้ วโพด จะช่วยให้แมลงศัตรูธรรมชาติได้มาอาศัยอยู่ในถั่วลิสงมาก และ จะช่วยกาจดั แมลงศตั รขู องขา้ วโพด 1.4 พืชยืนต้นเป็นท่ีอยู่อาศัยและอาหารแก่พืชประเภทเถาและกาฝาก เช่น พริกไทย พลู ดีปลี กล้วยไม้ ฯลฯ 1.5 พชื ทปี่ ลกู แซมระหวา่ งแถวพืชหลัก จะช่วยป้องกันไม่ให้วัชพืชข้ึนแย่งอาหารกับพืชหลักที่ปลูก เช่น การ ปลกู พืช ตระกูลถัว่ เศรษฐกิจในแถวข้าวโพด มนั สาปะหลงั ฝ้าย 1.6 พชื แซมระหวา่ งแถวไม้ยืนต้นในระยะเร่ิมปลูกจะช่วยบังลมบังแดด และเก็บความช้ืนในดินให้กับพืชยืน ตน้ เชน่ การปลูกกล้วยแซมในแถวไม้ผลต่าง ๆ ในแถวยางพารา 1.7 พืชช่วยไล่และทาลายแมลงศัตรูพืชไม่ให้เข้ามาทาลายพืชท่ีต้องการอารักขา เช่น ตะไคร้หอม ถั่วลิสง ดาวเรือง แมงลกั โหระพา หมอ้ ข้าวหมอ้ แกงลงิ ฯลฯ 2. เกื้อกูลกนั ระหวำ่ งพืช สตั ว์ ประมง 2.1 เศษเหลือของพืชจากการบริโภคของมนุษย์ใช้เปน็ อาหารสตั ว์และปลา 2.2 พชื ยนื ตน้ ชว่ ยบังลม บงั แดด บังฝน ใหก้ ับสัตว์ 2.3 พชื สมนุ ไพรเป็นยารกั ษาโรคให้กบั สตั ว์ 2.4 ปลาชว่ ยกินแมลงศัตรพู ชื วชั พืช ใหก้ บั พืชทปี่ ลูกในสภาพนา้ ทว่ มขัง เช่น ข้าว 2.5 ปลาชว่ ยให้อินทรียวัตถุกบั พืช จากการถ่ายมูลตกตะกอนในบ่อเลี้ยงปลา ซ่ึงสามารถนามาใช้เป็นปุ๋ยกับ พืชได้ 2.6 ห่าน เป็ด แพะ ววั ควาย ฯลฯ ชว่ ยกาจดั วชั พชื ในสวนไม้ผล ไม้ยนื ตน้ 2.7 มลู สัตวท์ กุ ชนิดใชเ้ ป็นปุ๋ยกบั พชื 2.8 ผง้ึ ชว่ ยผสมเกสรในการตดิ ผลของพชื 2.9 แมลงทีเ่ ป็นประโยชน์หลายชนดิ ได้อาศยั พชื เป็นอาหารและท่ีอยูอ่ าศยั 2.10 จุลนิ ทรียช์ ว่ ยยอ่ ยสลายซากพชื และสัตวใ์ หก้ ลับกลายเป็นปุ๋ย 2.11 แมลงศตั รูธรรมชาติหลายชนดิ ชว่ ยควบคุมประชากรแมลงศัตรพู ืชไมใ่ หข้ ยายพนั ธุ์มากจนเกิดการแพร่ ระบาด ตอ่ พชื ทป่ี ลูก
เกษตรผสมผสำนท่ีมีปฏิสมั พันธเ์ ชงิ แข่งขนั ทำลำย 14 1. แขง่ ขันทำลำยระหวำ่ งพืชกับพืช 1.1 พชื แย่งอาหาร น้าและแสงแดด กับพืชอ่นื เช่น การปลูกยูคาลิปตัส รว่ มกบั พชื ไร่และขา้ ว ซึ่งมี การศึกษาพบว่า ยูคาลปิ ตัสแย่งนา้ ธาตุอาหารจากตน้ ปอและข้าว เป็นต้น มผี ลทาให้พืชเหล่านน้ั ได้ผลผลิตลดลง 1.2 พชื เปน็ อาหารและท่ีอย่อู าศัยอยา่ งตอ่ เนื่องของศตั รพู ชื และพชื ในนิเวศนเ์ ดียวกนั เช่น ขา้ วโพดเป็นพชื อาศยั ของ หนอนเจาะสมออเมริกันและเพลีย้ ออ่ นของฝ้าย 2. แข่งขันทำลำยระหวำ่ งพืช สตั ว์ ประมง 2.1 การเลยี้ งสตั ว์จานวนมากเกินไป จะใหป้ ริมาณพชื ทง้ั ในสภาพท่ปี ลกู ไว้และในสภาพธรรมชาติไม่เพียงพอ เกดิ ความไม่สมดลุ ซึ่งจะมีผลตอ่ สภาพแวดล้อมเสื่อมลงได้ 2.2 มูลสัตว์จากการเลี้ยงสัตว์มีจานวนมากเกินไป เช่น การเลี้ยงหมูมากเกินไปมีการจัดการไม่ดีพอ จะเกิด มลพิษต่อ ทรัพยากรธรรมชาติรอบด้านท้ังในเร่ืองของน้าเสีย อากาศเป็นพิษหรือการเลี้ยงกุ้งกุลาดาในหลายท้องที่ก็ประสบ ปัญหาเกิดภาวะนา้ เนา่ เสยี เป็นต้น 2.3 การใชส้ ารเคมกี าจดั ศตั รูพชื จะเกิดพิษตกค้างในน้า และผลติ ผลท่เี ปน็ พิษต่อสัตวแ์ ละปลา 2.4 การปลูกพืชเพื่อให้ผลผลิตอย่างใดอย่างหนึ่งสูงสุด กาไรสูงสุด โดยมีการใช้ปัจจัยการผลิตหลายด้าน รวมท้ัง สารเคมีต่าง ๆ จะมีผลทาให้สภาพแวดล้อมของสัตว์ท่ีเป็นประโยชน์ เช่น แมลงศัตรูธรรมชาติลดจานวนลง เปิด โอกาสให้ศัตรพู ชื เพมิ่ ปรมิ าณขน้ึ และจะทาความเสียหายให้แก่พชื ปลูก ------------------------------------- ปัจจยั และควำมสำเร็จของระบบเกษตรผสมผสำน การดาเนินงานวิจัยและพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานมีหลายหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตร และ สหกรณ์ ได้พัฒนางานวิจัยและส่งเสริมให้เกษตรกรดาเนินการ หน่วยงานดังกล่าวได้แก่ กรมวิชาการเกษตร ซ่ึงมีสานักวิจัย และพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 1-8 เป็นผู้ดาเนินการในส่วนภูมิภาค กรมส่งเสริมการเกษตร โดยมีสานัก งานเกษตรจังหวัดทุก จังหวัดเป็นผดู้ าเนินการสาหรับนโยบายของรัฐบาลในขณะนี้ยังได้เล็งเห็นความสาคัญของระบบ การผสมผสานว่า เป็นระบบ ทสี่ ามารถจะแก้ปญั หาการว่างงานของประชากรและลดความเสย่ี งจากการประกอบอาชีพ ทางการเกษตรของเกษตรกรได้ จึง มีนโยบายการพัฒนาการเกษตรตามระบบแผนการผลิตของเกษตรกรโดยเร่ิมโครง การตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา และได้ยึด หลักการทส่ี าคญั 3 ประการคือ ประกำรที่ 1 จะเน้นการพัฒนาที่ตัวเกษตรกรให้เป็นผู้ริเร่ิมคิดเอง ทาเองจนในท่ีสุดสามารถพัฒนาไปใน ทศิ ทางท่ี ่พี ึ่งตนเองได้ และจะเปน็ ผกู้ าหนดแผนการผลติ ของตนเอง ประกำรที่ 2 แผนการผลิตของเกษตรกรจะปรับเปล่ียนจากการผลิตพืชเด่ียว เช่น ข้าว หรือพืชไร่ชนิดใด ชนิดหน่งึ มาทาการเกษตรแบบผสมผสาน ซ่ึงรวมถึงการผลติ ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ประดับ การเล้ียงสัตว์และการประมง โดยคานงึ ถงึ ความตอ้ งการของตลาดภายในประเทศและความสอดคล้องกับทรพั ยากรของพ้นื ทน่ี ้นั เปน็ หลัก ประกำรท่ี 3 สาหรบั บทบาทของเจ้าหน้าที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเน้นให้ความรู้และทางเลือกใน การ และทางเลือกในการประกอบอาชีพ เพ่ือให้เกษตรกรตัดสินใจ ปรึกษาหารือคิดร่วมกับเกษตรกรและให้การสนับสนุน ตามที่จาเป็น
การดาเนนิ งานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกล่าว มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการในปี15 2535-2537 รวมพ้ืนท่ี 42 จังหวัด และเพ่ิมครบทุกจังหวัดในปี 2539 ผลของการดาเนินงานปรากฏว่ามีเกษตรกร จานวน หนง่ึ ประสบผลสาเรจ็ และมีเกษตรกรอีกจานวนหนึ่งไม่ประสบความสาเร็จ ในด้านระบบเกษตรผสมผสาน ทั้งน้ีเพราะระบบ เกษตรผสมผสานเป็นระบบท่ีต้องมีการวางแผน มีการจัดการทรัพยากรการผลิตในระดับไร่นาและ การจัดการในด้าน เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมกับสภาพพ้ืนท่ี ทุน แรงงาน และการตลาด ซ่ึงปัจจัยและความสาเร็จ ของระบบเกษตร ผสมผสาน โดยการสรุปผลจากผลการดาเนินงานของเกษตรกรในพน้ื ทตี่ า่ ง ๆ ทวั่ ประเทศสามารถสรุป ได้ดงั น้ี 1. ด้ำนกำรวำงแผนกำรผลิต เกษตรกรตอ้ งสามารถวางแผนการผลติ ภายในฟารม์ ของตวั เองไดอ้ ย่างถูกตอ้ งในทานองที่เรียกว่าต้องมีภาย ในฟารม์ ของตวั เองได้อย่างถูกต้องในทานองที่เรียกว่าต้องมีความรู้ ู้เขารู้เราจึงจะสามารถทาให้มีการวางแผนได้อย่าง ถูกต้อง โดยองคป์ ระกอบความรู้เขาและรเู้ ราทสี่ าคัญในการวางแผน ไดแ้ ก่ 1.1 ต้องมีพื้นท่ีถือครองของตนเอง การเช่าที่ดินจากผู้อื่นมาดาเนินการ เกษตรกรจะได้กล้าท่ีจะวางแผน ลงทุนอย่าง ถาวร เพราะเกรงวา่ เมอื่ ดาเนินการไประยะหน่งึ แล้วอาจจะถกู บอกเลกิ เชา่ ได้ 1.2 ต้องทราบข้อมูลพ้ืนฐานภายในฟาร์มของตัวเองเป็นอย่างดี ข้อมูลดังกล่าว ได้แก่ ข้อมูลทางด้าน ลักษณะพืน้ ที่ ดิน แหลง่ นา้ ซึง่ นับว่ามคี วามสาคัญ จะสามารถช่วยในการวางแผนภายในฟารม์ ได้อย่างถูกต้อง 1.3 ตอ้ งมีความรู้และประสบการณใ์ นด้านเทคโนโลยีการผลิตพชื หลายชนดิ เช่น ข้าว พืชไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผกั การเพาะเหด็ เศรษฐกิจ การปศุสัตว์ และการประมง ถ้าขาดความรู้ในกจิ กรรมใดกิจกรรมหนึ่ง จาเป็นต้องไปขวนขวาย หาความรู้ โดยการไปศึกษาดูงาน รวมทง้ั เขา้ รบั การฝึกอบรมจากหนว่ ยงานทส่ี ามารถให้ความรนู้ ั้นได้ 1.4 ต้องมีทุนเริ่มต้นและทุนหมุนเวียนภายในฟาร์มพอสมควร ซึ่งการมีทุนสารองไว้จะสามารถให้การ วางแผนดาเนิน กจิ กรรมที่ผสมผสานกนั เป็นไปอย่างเหมาะสม 1.5 ต้องเปน็ ผ้มู ีความมานะอดทน ขยันขันแข็ง และมีแรงงานที่พอเพียง เหมาะสมกับกิจกรรมภายในฟาร์ม ท้ังนี้เพราะ การทาการเกษตรจะเห็นผลสาเร็จได้ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ในการแก้ปัญหา ซ่ึงจะมีอยู่ตลอดเวลา และ สามารถ ปรบั เปล่ียนแผนไดต้ ลอดเวลา เพอื่ ให้แกป้ ัญหาไดท้ นั เหตุการณ์ 2. ด้ำนกำรจัดกำร เกษตรกรผู้ท่ีดาเนินการระบบเกษตรผสมผสานจะประสบความสาเร็จได้ ควรจะต้องมีการจัดการท่ี เหมาะสมในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 เปน็ ผ้มู ีความสามารถจัดการวางแผนการใชแ้ หล่งน้าที่มีอยู่ในการผลิตพืชชนิดต่าง ๆ การเพาะเลี้ยงเห็ด เศรษฐกิจ การปศสุ ตั ว์ และการประมง ได้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพพื้นท่ี ดิน ทุน แรงงาน รวมทั้งการตลาด ซ่ึงจะทาให้ ้ เกษตรกรมรี ายไดอ้ ยา่ งเพยี งพอ อันประกอบด้วยรายได้ประจาวัน ประจาสัปดาห์ ประจาเดือน และรายได้ประจาฤดูกาล ใน การนี้เกษตรกรควรจะมกี ารจัดการทาบัญชีฟาร์ม เพ่ือแสดงรายรบั -รายจ่ายภายในฟารม์ 2.2 เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ จัดการเทคโนโลยีสาหรับการผลิตพืชชนิดต่าง ๆ การเพาะเล้ียงเห็ด เศรษฐกิจ การ ปศสุ ัตว์ และการประมงไดเ้ หมาะสม มกี ารหมนุ เวียนนาส่งิ เหลอื ใช้ภายในฟาร์มมาใช้ประโยชน์ท่ีก่อให้เกิดการ สนับสนุนเก้ือกูลประโยชน์ซ่ึงกันและกัน โดยจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง ลดการใช้สารเคมีในการป้องกันกาจัดศัตรูพืช อนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม ไดผ้ ลิตผลท่ีปลอดภัยจากสารพิษ ซงึ่ จะนาไปสรู่ ะบบการเกษตรทีย่ ั่งยืน --------------------------------------
16 ประโยชนท์ ไี่ ดร้ ับของระบบเกษตรผสมผสำน ระบบเกษตรผสมผสานเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบเกษตรกรรมที่มีกิจกรรมต้ังแต่ 2 กิจกรรมขึ้นไปในพ้ืนท่ี เดียวกันและกิจกรรมเหล่าน้ีจะมีการเก้ือกูลประโยชน์ซึ่งกันและกันไม่ทางใดก็ทางหน่ึง ดังน้ัน จึงเป็นระบบที่นาไปสู่ การเกษตร แบบย่ังยืน (Sustainable Agriculture) จงึ กอ่ ให้เกิดผลดแี ละประโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ลดควำมเสี่ยงจำกควำมแปรปรวนของสภำพลม ฟ้ำ อำกำศ จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีความ แปรปรวนในแต่ละปี ซงึ่ มีแนวโน้มจะรนุ แรงมากข้นึ เช่น เกิดภาวะฝนแลง้ ฝนทิ้งชว่ ง นา้ ทว่ มฉับพลัน เป็นต้น จึงเป็นปัญหาที่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเกษตรกรท่ีมีกิจกรรมการเกษตรเพียง อย่างเดียว เช่น ข้าว หรือพืชไร่ ดังน้ัน หน่วยงานวิจัยและ พัฒนาของกรมวิชาการเกษตร รวมท้ังเกษตรกรบางส่วนจึงได้ พยายามศึกษาและพัฒนาการแปรเปลี่ยนพ้ืนที่นาหรือไร่นา บางส่วนมาดาเนินการระบบเกษตรผสมผสานที่มีหลาย ๆ ปลูกพืชสวน (ไม้ผล พืชผัก) การเล้ียงสัตว์ หรือการเล้ียงปลา ทดแทนรายไดจ้ ากการปลกู ข้าวหรือพืชไร่ทีอ่ าจเสยี หาย จากสภาวะฝนแลง้ หรอื น้าท่วม 2. ลดควำมเสยี่ งจำกควำมผนั แปรของรำคำผลผลติ ในการดาเนินระบบการเกษตรท่ีมีเพียงกิจกรรมเดียว ที่มี การ ผลติ เป็นจานวนมาก ผลผลติ ท่ไี ดเ้ มื่อออกสู่ตลาดพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าว พืชไร่ ไม้ผล หรือพืชผัก เมื่อมีปริมาณ เกินความ ต้องการของตลาดย่อมทาให้ราคาของผลผลิตต่าลง การแปรเปล่ียนพ้ืนที่นาหรือไร่บางส่วนมาดาเนินการ ระบบเกษตร ผสมผสานจะสามารถช่วยลดความเส่ียงจากความผันแปรของราคาผลผลิตในตลาดลงได้ เนื่องจากเกษตร กรสามารถจะเลือก ชนิดพืชปลูกและเลือกกิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างการแก้ ปัญหาดังกล่าว ได้แก่ ผลการวจิ ัยและพัฒนาระบบเกษตรผสมผสานของ ไพรัช ด้วยพิบูลย์ (2531) พบว่าการแปร การแปรเปลี่ยนพื้นท่ีนา 1 ใน 4 ของพ้ืนท่ีนาท้ังหมดเป็นร่องสวนปลูกไม้ผลร่วมกับพืชแซมของเกษตรกรตาบลบ้าน แหลม อาเภอบางปลาม้า จังหวัด สุพรรณบุรี สามารถลดความเสี่ยงจากราคาผลผลิตข้าวที่ไม่แน่นอนและช่วยให้เกษตร กรมีรายได้เพ่ิมข้ึนร้อยละ 58 เช่นเดียวกับรายงานของ โกวิทย์ นวลวัฒน์ และคณะ (2533) ท่ีพบว่าเกษตรกรที่ดาเนิน การระบบเกษตรผสมผสานในพื้นที่ จังหวดั ลพบรุ ี สมุทรปราการ สกลนคร และจงั หวดั ชุมพร จะมีรายได้เพ่มิ ขึ้นร้อยละ 1,281, 217, 75 และ 334 ตามลาดับ 3. ลดควำมเส่ียงจำกกำรระบำดของศัตรูพืช ในการดาเนินกิจกรรมการปลูกข้าว หรือพืชไร่เพียงอย่างเดียว เกษตรกรจะมีความเส่ียงอย่างมากเมื่อเกิดการระบาดของศัตรูพืชข้ึน เช่น กรณีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้าตาล และ โรคใบหงิกอย่างรุนแรงในปี 2532-2533 ทาใหพ้ ้ืนทปี่ ลกู ข้าวทวั่ ประเทศ โดยเฉพาะในเขตภาคกลางได้รบั ความ เสียหายอย่าง มาก เกษตรกรต้องประสบความสูญเสียคร้ังย่ิงใหญ่ โดยไม่มีรายได้จากกิจกรรมอื่นมาเจือจุนครอบครัวได้ ดังนั้น การ แกป้ ญั หาหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจึงได้มีการวิจัยและพัฒนาระบบเกษตรผสมผสานท่ีเหมาะสมกับ สภาพพ้ืนท่ีนา ท่ีมี การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้าตาลและโรคใบหงิกและจากผลการดาเนินงานวิจัยของ ประสงค์ วงศ์ชนะภัย และคณะ (2540 ก.) ในพ้ืนท่ีตาบลสิงโตทอง อาเภอบางน้าเปร้ียว จังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าระบบเกษตร ผสมผสานที่เหมาะสมกับ สภาพทางกายภาพ ชีวภาพ เศรษฐกิจ สังคมของเกษตรกร มอี ยู่ดว้ ยกัน 3 รูปแบบ คอื รปู แบบท่ี 1 ข้าว + ไมผ้ ลบนร่องสวน + บอ่ ปลา รูปแบบท่ี 2 ขา้ ว + ไมผ้ ลบนรอ่ งสวน + ไม้ดอกไม้ประดบั รูปแบบท่ี 3 ขา้ ว + บ่อปลา + ไมผ้ ลรอบบอ่ ปลา + ไกบ่ นบ่อปลา โดยท้ัง 3 รูปแบบช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มข้ึนร้อยละ 115, 156 และ 299 ตามลาดับ เช่นเดียวกับรายงานของ Calora (1974, Hoppe (1976), IRRI (1983) ที่ว่า การจัดระบบการปลูกพืชและระบบเกษตรผสมผสานเพื่อ ลดกิจกรรมการปลูก ข้าว ซ่ึงเป็นพชื อาหารของเพล้ียกระโดดสีน้าตาล จะชว่ ยยับยัง้ ชพี จกั ร (life cycle) ขอเพล้ีย กระโดดสนี า้ ตาลได้
4. ช่วยเพ่ิมรำยได้และกระจำยรำยได้ตลอดปี การดาเนินระบบเกษตรผสมผสานซึ่งมีกิจกรรมหลายกิจกรรม17 ในพืน้ ที่เดยี วกนั จะกอ่ ประโยชน์ในดา้ นทาใหเ้ กษตรกรมีรายไดเ้ พิ่มขึ้นและมีรายได้อยา่ งตอ่ เนือ่ ง ซ่ึงอาจจะเป็นรายได้ รายวัน รายสปั ดาห์ รายเดอื น และรายไดป้ ระจาฤดูกาล จากการดาเนินงานวิจัยและพัฒนาของสานักวิจัยและพัฒนาการ เกษตรเขต ที่ 6 ท่บี ้านโคกกราด (หมู่ 8) ตาบลทัพราช อาเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เกษตรกรที่เคยมีรายได้จาก การปลูกข้าวเพียง อย่างเดียวเมื่อแปรเปลี่ยนพื้นท่ีนาบางส่วนเป็นระบบเกษตรผสมผสาน จะมีรายได้ประจาวันจากการ ขายพืชผัก รายได้ ประจาสัปดาห์จาการเพาะเห็ดฟางในช่วงฤดูแล้ง (ม.ค.-เม.ย.) รายได้ประจาเดือนจากไม้ผลอายุส้ัน ได้แก่ กล้วย ฝร่ัง ละมุด และรายได้ประจาฤดูกาลจากข้าว ข้าวโพดหวาน ถั่วลิสง ถั่วเขียว ท่ีปลูกหลังนา ตัวอย่างการ ดาเนินกิจกรรมระบบเกษตร ผสมผสานของนายจวน หอมมิง่ เกษตรกรบา้ นโคกกราด ทไ่ี ดร้ ่วมดาเนนิ การระบบเกษตร ผสมผสาน ตั้งแต่ปี 2537 พบว่าใน ปี 2540 จะมีรายได้ประจาวันจากการขายพืชผัก (ถ่ัว แตงกวา ผักบุ้ง คะน้า ผักชี ต้นหอม ผักกะเฉด) เฉล่ียวันละ 30.42 บาท รายได้ประจาสัปดาห์จากการขายเห็ดฟาง 47.5 บาท/สัปดาห์ รายได้ ป้ ระจาเดือนจากฝร่ัง กล้วย ละมุด มะละกอ 896.25 บาท รายได้ประจาฤดกู าลจากการขายข้าว 7,399 บาท ขา้ วโพดหวาน 1,545 บาท ถ่ัวลิสง 1,009 บาท 5. ชว่ ยก่อใหเ้ กิดควำมหลำกหลำยทำงชีวพันธ์ุ (Species Diversity) การดาเนินระบบเกษตรผสมผสาน ซ่ึงจะมีกิจกรรมหลากหลายในพื้นท่ีเดียวกัน พบว่าทาให้เกิดความหลากหลายทาง ชีวพันธ์ุ (Species Diversity) เกิดขึ้นใน พน้ื ท่ี จากการศึกษาระบบเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดาริทฤษฎี ใหม่ ท่ีบา้ นโคกกราด ตาบลทัพราช อาเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ของประสงค์ วงศ์ชนะภัย และคณะ (2540 ข.) พบว่ามีความหลากหลายทางชีวพันธุ์เพ่ิมข้ึนจาก 12 ชนิด เปน็ 25 ชนิดซึง่ จะช่วยทาให้ระบบนิเวศนว์ ทิ ยาในพน้ื ทดี่ ขี นึ้ 6. ช่วยกระจำยกำรใช้แรงงำน ทาให้มีงานทาตลอดปี เป็นการลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอก ภาคการ เกษตร และในสภาวะเศรษฐกิจตกต่าของประเทศขณะน้ี ทาให้เกิดปัญหาคนว่างงานจานวนมาก ระบบเกษตรผสม ผสานจะรองรับแรงงานเหล่าน้ีได้ ท้ังนี้เนื่องมาจากระบบเกษตรผสมผสาน มีกิจกรรมหลายกิจกรรมแต่ละกิจกรรมมีการ ใช้ แรงงานแตกต่างกันไป เม่ือรวมกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ด้วยกันในระบบเกษตรผสมผสานจึงมีการใช้แรงงานมากขึ้น มีการ กระจายแรงงานไปตามกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดปี เม่ือเปรยี บเทียบกับระบบเกษตรที่มีกิจกรรมเดียว เช่น ข้าวหรือพืช ไร่ ผาสุก ทองพูล และคณะ (2540) ได้สรปุ ผลการวจิ ยั และพัฒนาระบบเกษตรผสมผสานในพื้นที่สภาพไร่อาศัยน้าฝน ตาบลหนองหว้า อาเภอเขาฉกรรจ์ จงั หวัดสระแกว้ พบว่าระบบเกษตรผสมผสานจะมีการใช้แรงงานตลอดทั้งปี 265 วันงาน เมื่อเทียบกับการ ปลูกข้าวโพดเหลือ่ มด้วยถัว่ เหลือง ซึง่ พบวา่ มกี ารใช้แรงงานเพียง 19 วันงานเท่าน้ันในทานอง เดียวกัน ประสงค์ วงศ์ชนะภัย และคณะ (2540 ข.) พบว่าเกษตรกรบ้านโคกกราด ตาบลทัพราช อาเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ท่ีดาเนินระบบเกษตร ผสมผสาน จะมกี ารใชแ้ รงงานตลอดท้งั ปี (ม.ค.-ธ.ค.) 267 วันงานเม่ือเทียบกับ การปลูกข้าวในพ้ืนที่ 5 ไร่ เท่ากัน จะมีการใช้ แรงงานเพียง 61 วันงาน และสามารถลดปัญหาการเคลอื่ นยา้ ยแรงงาน ออกจากพ้นื ที่ไดถ้ ึงร้อยละ 87 7. ช่วยก่อให้เกิดกำรหมุนเวียน (Recycling) ของกิจกรรมต่ำง ๆ ในระดับไร่นำ เป็นการช่วยอนุรักษ์ ทรัพยากรในระดับไร่นา ไม่ให้เส่ือมสลายหรือถูกใช้ให้หมดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เน่ืองจากระบบ เกษตรผสมผสานจะมีการ เกื้อกูลประโยชน์ต่อกันสอดคล้องกับรายงานของ Manwan (1995), Yuan และคณะ (1995) พัฒน์ วิบูลย์เจริญผล (2539) และชนวน รตั นวราหะ (2540) จากตัวอย่างกรณีศึกษาระบบเกษตรผสมผสาน ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นท่ีนาเขตชลประทาน ตาบลสิงโตทอง อาเภอบางน้าเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ของประสงค์ วงศ์ชนะภัย และคณะ (2540 ก.) โดยการแปรเปลี่ยน พื้นที่นาบางส่วนประมาณ 2 ไร่ เป็นบ่อปลา ปลูกไม้ผลรอบบ่อปลา และเล้ียงไก่เนื้อบนบ่อปลา (หมำยเหตุ ไก่เน้ือหรือไก่ กระทงจะเลี้ยงประมาณ 3,000 ตัวต่อรุ่น และใน 1 ปี จะเล้ียงประ มาณ 4 รุ่น) จากการศึกษาพบว่านอกจากจะช่วยให้ เกษตรกรมีรายได้เพ่ิมขึ้นร้อยละ 299 แล้วพบว่ามูลและอาหารของไก่ ท่ ่ีตกลงไปในบ่อปลา จะช่วยเพ่ิมธาตุอาหารให้แก่พืช
อาหารของปลา ทาให้ปลามอี าหารอุดมสมบูรณ์ แต่เม่ือมีมากเกินไป จะแย่งอากาศในน้ากับปลา (น้าจะมีสีเขียวเข้ม) ทา18 ให้ปลาขาดอากาศ จึงจาเป็นต้องมีการระบายน้าออกจากบ่อปลาโดย ปล่อยลงนาข้าว จากผลการดาเนินงานต้ังแต่ปี 2537- 2539 พบว่าเกษตรกรสามารถลดปริมาณการใช้ปุ๋ยในนาข้าวจาก เดิมเคยใช้อัตรา 50 กก./ไร่ เหลือเพียง 21.4 กก./ไร่ หรือ พนื้ ที่ 7 ไร่ ใช้ปุ๋ย 3 กระสอบ จากผลการสุ่มตัวอย่างผลผลิต พบว่า แปลงของเกษตรกรที่มีการใส่ปุ๋ยอัตรา 50 กก./ไร่ จะได้ ผลผลติ 764 กก./ไร่ แต่แปลงทใี่ ส่นา้ จากบ่อเลี้ยงปลา ร่วมกับการใช้ปุ๋ย 21.4 กก./ไร่ จะได้ผลผลิต 759 กก./ไร่ ซึ่งแตกต่าง กันไม่มากนัก ช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุน การผลิตข้าวลงได้ ในทานองเดียวกัน ประสงค์ วงศ์ชนะภัย และคณะ (2540 ข.) รายงานไว้ว่าระบบเกษตรผสมผสาน ตามแนวพระราชดาริทฤษฎีใหม่ ท่ีบ้านโคกกราด ตาบลทัพราช อาเภอตา พระยา จงั หวัดสระแก้วช่วยทาใหเ้ กิดการ หมุนเวยี นของกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในแปลงของเกษตรกร จาก 0 เป็น 4 ประเภท ได้แก่ กิจกรรมพชื กบั พืช โดยเศษซาก ถั่วลิสง ถั่วเขียว ที่ปลูกหลังข้าว และถ่ัวพร้าที่ปลูกแซมระหว่างแถวของไม้ผล จะเป็นปุ๋ยให้ กับข้าวและไม้ผล กิจกรรม พืชกับไก่ เศษซากพืชและข้าวเปลือกจะเป็นอาหารของไก่ มูลไก่จะเป็นปุ๋ยของพืช กิจกรรมพืช กบั ปลำ เศษซากพืช จะเปน็ อาหารของปลา นา้ จากบ่อปลาใช้ในการปลูกพืชผัก พืชไร่และไม้ผล กิจกรรมสัตว์กับปลำ มูลไก่ จะช่วยเพ่ิม ธาตุอาหารให้กับพืช อาหารของปลาในบ่อ เป็นต้น นอกจากนี้ในการดาเนินกิจกรรมระบบเกษตรผสมผสานยัง ช่วย อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไม่ให้ถูกทาลาย ดังตัวอย่างที่เดิมเกษตรกรจะปลูกข้าวในช่วงฤดูฝน ส่วนฤดูแล้งจะหาของ ป่าและเผาถ่านขาย เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่ภายหลังจากการดาเนินการระบบเกษตรผสมผสาน เกษตรกร สามารถมีรายได้จากการขายผลผลิต ข้าว พืชไร่ ไม้ผล พืชผัก ไข่ไก่ ปลา จึงสามารถเลิกหาของป่าและเผาถ่านขายอัน เป็น การลดปัญหาการทาลายป่าในระดับหน่ึง พูลสวัสดิ์ อาจละกะ และคณะ (2536) และประทีป วีระพัฒนนิรันดร์ (2536) รายงานว่า ระบบเกษตรผสมผสานที่มีการปลูกพืชที่มีความหลากหลายผสมผสานกันและมีการเก้ือกูลซึ่งกันและ กันใน ลักษณะของการปลูกต่างระดับ (Multistorey) โดยเลียนแบบลักษณะป่าธรรมชาติ จะทาให้ความสมดุลย์ของ ระบบ นิเวศน์วิทยาเป็นไปอย่างเหมาะสม เช่น การหมุนเวียนของธาตุอาหารในระบบการควบคุมโรคและแมลงเป็นไป ตาม ธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี เพมิ่ ความยง่ั ยืนในการให้ผลผลิต เปน็ ต้น 8. ชว่ ยใหเ้ กษตรกรมีอำหำรเพียงพอตอ่ กำรบรโิ ภคภำยในครวั เรอื น ในการดาเนินระบบเกษตรผสมผสาน ที่มีหลายกจิ กรรมช่วยทาใหเ้ กษตรกรสามารถมอี าหารไว้บริโภคในครอบครัวครบ ทุกหมู่ โดยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจะ ได้จากข้าว ข้าวโพด อาหารประเภทโปรตีน จะได้จากไก่ ปลา พืชตระกูลถั่ว อาหารประเภทวิตามิน เส้นใยจากพืชผักผลไม้ และเห็ดฟาง ช่วยทาให้เกษตรกรสามารถลดค่าใช้จ่ายค่าอาหารและมีการ ปรับปรุงคุณภาพโภชนาการและสุขภาพของ เกษตรกรในท้องถิ่นให้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ ชนวน รัตนวราหะ (2540)นอกจากนี้ กนก ผลารักษ์ และสุจินต์ สิ มารักษ์ (2533) ได้รายงานไว้ว่าระบบเกษตรผสมผสานที่มี กี ารเลี้ยงปลาหรือทาประมงหลังบ้าน ช่วยทาให้เกษตรกรตาบล บา้ นค้อ อาเภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแก่น มอี าหารโปรตีน จากปลาไว้บรโิ ภคในครวั เรือน ประมาณ 39-46 กก./ครัวเรือน/ปี โดย ทยอยจบั กินได้ตลอดปี 9. ช่วยทำให้คุณภำพชีวิตของเกษตรกรดีข้ึน การดาเนินกิจกรรมในระบบเกษตรผสมผสานช่วยทาให้มี การ กระจายการใช้แรงงานทาให้มีงานทาตลอดท้ังปี และมีการกระจายรายได้จากกิจกรรมต่าง ๆ เป็นการลดปัญหาการ เคล่อื นยา้ ยแรงงานออกจากภาคการเกษตรไปสภู่ าคอื่น ๆ เชน่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขายบริการต่าง ๆ ซ่ึงมักก่อให้ เกิด ปัญหาตามมา เช่น ปัญหาอาชญากร ในเมืองและต่างประเทศ ปัญหาโรคไหลตายท่ีประเทศสิงคโปร์ ปัญหายาเสพย์ ติด ปัญหาโรคเอดส์ เป็นต้น เมื่อไม่มีการอพยพแรงงานออกจากท้องถ่ิน ทาให้ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าท้ังพ่อ แม่ ลูก ช่วย ทาให้สภาพจิตใจดีข้ึน สภาพทางสังคมในท้องถิ่นดีขึ้น ช่วยทาให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น อาภาภรณ์ แสงพรรค (2537) ได้ทาการศึกษาผลการดาเนินงานทางด้านระบบเกษตรผสมผสานโดยทาการสารวจครัวเรือนเกษตร กร จานวน 35
ครัวเรือน ในพื้นที่อาเภอปทุมรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด พบว่าคุณภาพชีวิตของครัวเรือนเกษตรกรท่ีทะระบบ เกษตร19 ผสมผสานดีกว่าครัวเรือนที่ไม่ได้ทา กล่าวคือ มีการเจ็บป่วยรุนแรง และเสียค่ารักษาพยาบาลน้อยกว่า นอกจากน้ี ผลการ ดาเนนิ งานระบบเกษตรผสมผสานท่ีบา้ นโคกกราด ตาบลทัพราช อาเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ของประสงค์ วงศ์ชนะภัย และคณะ (2539) สามารถช่วยทาให้เกษตรกรท่ีชื่อ นายแกะ เจียวรัมย์ สมาชิกคนหน่ึงของโครงการฯ ได้เปลี่ยนแปลงจาก ชายขี้เหล้าเมายาประจาหมู่บ้าน มาเป็นครอบครัวที่มีรายได้ประจาวันมากท่ีสุดในหมู่บ้านจากการ ขายผักที่ปลูกแซมในร่อง สวน โดยมีรายได้เฉล่ียประมาณ 50 บาท/วันและสามารถยกบ้านหลังใหม่แทนกระต๊อบ หลังเก่า คุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่นเดยี วกบั เกษตรกรรายอน่ื ๆ ทีร่ ว่ มดาเนนิ งาน ตอนท่ี 3 กำรใชท้ รัพยำกรอย่ำงมปี ระสทิ ธภิ ำพ แนวคดิ การใช้ทดี่ ินทางการเกษตรและรูปแบบการเกษตร ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติ ความหมายของการจัดการธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการตลาด การผลติ และการจัดจาหน่าย ตอนท่ี 3 กำรใชท้ รพั ยำกรอย่ำงมปี ระสทิ ธิภำพ แนวคิดการใชท้ ดี่ นิ ทางการเกษตรและรูปแบบการเกษตร 1 การใช้ท่ดี ินทางการเกษตร สาหรับการใช้ที่ดินทางการเกษตรน้ันจะใช้แบบจาลองการใช้ท่ีดินของ von Thünen เพื่ออธิบายการใช้ที่ดินทาง การเกษตรในพ้ืนท่ี โดยแบบจาลองของ von Thünen ได้อธิบายถึงทาเลท่ีต้ังท่ีมีความสัมพันธ์กับความเข้มในการใช้ ประโยชนท์ ี่ดนิ ระยะห่างจากตลาดและค่าขนสง่ สินคา้ จะเปน็ ตวั กาหนดรปู แบบการใช้ท่ีดิน ซึ่ง von Thünen ได้แบ่งเขตการ ใช้ท่ดี นิ ออกเป็น 6 เขตตามความเขม้ ของการใชท้ ดี่ นิ จากมากท่สี ดุ ไปหาน้อยท่ีสุด โดยใช้เมืองเป็นศูนย์กลาง เขตที่ 1 เป็นเขต การผลติ ทีผ่ ัก ผลไม้ ทต่ี อ้ งอาศยั การดแู ลเอาใจใสม่ าก ผลผลิตเน่าเสียคอ่ นขา้ งง่าย จึงเปน็ เขตท่ีอยูใ่ กล้กับชุมชนเพื่อสะดวกใน การดูแลและขนส่ง เขตที่ 2 เป็นเขตท่ีมีการผลิตสินค้าที่จาเป็นต่อการดารงชีพที่มีน้าหนักมากแต่มูลค่าต่า เช่น ไม้ท่อน ฟืน เพื่อสะดวกในการขนส่ง เขตที่ 3 เป็นเขตที่มีการปลูกพืชหมุนเวียน 6 ปี มีการใช้ที่ดินแบบเข้มปานกลาง ไม่มีการปล่อยให้ เป็นพน้ื ท่ีวา่ งเลย เขตท่ี 4 เป็นเขตการเพาะปลูกและเล้ียงสัตว์ มีการใช้ที่ดินที่หมุนเวียนกันไประหว่างการเพาะปลูกและการ เล้ียงสัตว์ โดยท่ีเม่ือหยุดใช้พื้นท่ีเพาะปลูกแล้วจะใช้ เป็นพื้นท่ีในการเล้ียงสัตว์แทน มีการใช้ท่ีดินไม่เข้มข้นมากนัก เขตท่ี 5 เขตการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์หมุนเวียน มีการใช้ท่ีดินท่ีค่อนข้างจะเบาบาง โดยมีการหมุนเวียนใช้พ้ืนท่ีที่เคยเป็นพ้ืนท่ี เพาะปลูกจะถูกพักดินไว้เพื่อนามาเป็นพื้นท่ีในการเลี้ยงสัตว์ และพ้ืนท่ีท่ีเคยเล้ียงสัตว์จะถูกนามาใช้ในการเพาะปลูกอีกคร้ัง และเขตท่ี 6 เปน็ เขตของการเล้ียงสัตว์แบบขยาย เน่ืองจากมีพ้ืนที่กว้างขวาง (เสน่ห์ ญาณสาร, 2539; Ilbery, 1985; Singh and Dhillon, 2004; Symons, 1978)
2 รปู แบบการเกษตร 20 ในอดตี นน้ั ในการทากจิ กรรมทางการเกษตรนน้ั อาศยั ปจั จยั ทางดา้ นกายภาพเป็นหลัก เน่ืองจากเป้าหมายในการผลิต เพือ่ ใชใ้ นการบริโภคภายในครวั เรือนและมีการแบ่งส่วนทเี่ หลอื จากการบรโิ ภคใช้ในการแลกเปลยี่ นกับเพ่ือนบ้าน ให้เกษตรกร จึงไม่ตอ้ งแบกรับภาระทางด้านการตลาด การผลิตของเกษตรกรเปน็ การผลติ ท่มี ีความหลากหลาย โดยการปลูกพืชหลายชนิด ในพ้ืนท่ีเดียวกัน รวมถึงการเลี้ยงสัตว์ไปพร้อมกับการเพาะปลูกด้วย สัตว์ท่ีนิยมเลี้ยง เช่น แพะ แกะ สุกร เป็นต้น ทาให้ เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากการบรโิ ภคผลผลติ ทางการเกษตรจากการเพาะปลูกไดอ้ ยา่ งเต็มที่ (เสน่ห์ ญาณสาร, 2539; Ilbery, 1985; Singh and Dhillon, 2004) หลังจากการปฏิวัติเขียวแล้วกระบวนการผลิตทางการเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงทั้งวัตถุประสงค์ของการผลิต และ ชนิดของพืชและสัตว์ โดยที่มีการมงุ่ เน้นเพ่ือเปน็ วัตถุดิบทางอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น การเพาะปลูกหรือเล้ียงสัตว์จึงเป็นแบบ เชิงเดี่ยวมากกว่าท่ีจะทาแบบหลากหลายเหมือนอย่างในช่วงแรก ทาให้เกษตรกรนอกจากจะพึ่งปัจจัยทางกายภ าพในการ ผลิตแล้ว ปัจจัยอื่นๆท้ังปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และปัจจัยทางเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในกระบวนการผลิตอย่างมาก ทาให้เกษตรกรเพ่ิมผลผลิตแบบเข้มทั้งด้านการลงทุน การใช้สารเคมีและยากาจัดศัตรูพืช การลงทุนเพื่อสร้างแหล่งน้าทาง การเกษตร บางส่วนน้ันต้องประสบกับปัญหาการขาดทุน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ทาให้เกษตรกรต้องหันกลับไป ประกอบกิจกรรมทางการเกษตรแบบหลากหลายเพ่ิมมากข้ึนท้ังการเล้ียงสัตว์ การเพาะปลูก และการทาประมงน้าจืด (Ilbery, 1985; Neef and Heidhues 2005; Singh and Dhillon, 2004) เพือ่ ลดความเสี่ยงจากปัจจัยที่เข้ามามีอิทธิพลต่อ การผลิตทางการเกษตรทั้ง 4 ปัจจัย และเพ่ือความมั่นคงในอาชีพทางการเกษตรกรรม การเลือกแนวประกอบอาชีพท่ี หลากหลายเป็นแนวทางหนงึ่ ทีส่ ่งผลใหอ้ าชพี เกษตรกรมคี วามมนั่ คงข้นึ ในปัจจุบันนี้ระบบการเกษตรส่วนใหญ่มีอยู่ท้ัง 2 รูปแบบ คือ ระบบการเกษตรแบบยังชีพแบบเข้ม หรือระบบ การเกษตรกึ่งยังชีพก่ึงการค้า และระบบการเกษตรแบบการค้า โดยระบบการเกษตรกึ่งยังชีพกึ่งการค้า ผลผลิตท่ีได้น้ันจะ นามาใช้ในการบริโภคภายในครวั เรือน บางสว่ นจะถูกนาเอาไปขายเพื่อเป็นรายได้ของครัวเรือน การเพาะปลูกจะมีการทาทุก ปไี ม่มเี ว้นช่วง จะปล่อยพืน้ ที่ทิง้ ร้างในชว่ งทข่ี าดแคลนน้าฝนในการทาการเกษตร มีการใช้แรงงานและปุ๋ยในอัตราที่สูงต่อพ้ืนท่ี ส่วนผลผลิตที่ได้นั้นไม่มีความแน่นอน แปรผันตามลักษณะภูมิอากาศ ซ่ึงเกษตรกรได้แก้ปัญหาความไม่แน่นอนของสภาพ ภูมิอากาศด้วยการทาการผลิตผลผลิตทางการเกษตรหลากหลายในพื้นท่ีเดียวกัน นอกจากนี้เกษตรกรยังมีการนาเอา เทคโนโลยีขนาดเล็กเข้ามาช่วยทุ่นแรงในการทาการเกษตร (Grigg, 1995; Singh and Dhillon, 2004; เสน่ห์ ญาณสาร, 2539) ส่วนระบบการเกษตรเพื่อการค้า เป็นการทาการเกษตรที่เน้นการผลิตเฉพาะอย่าง โดยเจาะจงตามท่ีตลาดมีความ ตอ้ งการผลผลิตเหลา่ นั้น จุดประสงคห์ ลักของการเกษตรแบบนคี้ อื ผลิตเพ่ือขาย โดยกลไกของตลาดจะเป็นตัวกาหนดให้มีการ ผลิตผลผลิตออกมา เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือผลตอบแทนที่ได้รับสูงสุด (Pacione, 1986; Singh and Dhillon, 2004; Symons, 1978; วันเพ็ญ สุรฤกษ์, 2547) ในการทาการเกษตรเพ่ือการค้านั้นมีการใช้พื้นที่กว้าง แต่แรงงานท่ีใช้ต่า เนอ่ื งจากมีการนาเอาเทคโนโลยีสมยั ใหมแ่ ละเครอ่ื งจกั รเขา้ มาชว่ ยทางานแทนแรงงานคน เงินทุนท่ีใช้น้ันใช้เงินทุนค่อนข้างสูง ซึง่ ทุนสว่ นใหญจ่ ะหมดไปกบั การนาเทคโนโลยเี ข้ามาใช้ในการผลิตและค่าเคร่ืองจักร เกษตรกรต้องมีความชานาญเฉพาะด้าน เพอื่ เนน้ คุณภาพของผลผลิต ทาให้สามารถแขง่ ขนั ในตลาดได้ นอกจากนีแ้ ลว้ การผลิตทางการเกษตรยังแบ่งการผลิตออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ รูปแบบท่ี 1 การเพาะปลูก เป็นกิจกรรมทางการเกษตรที่เก่ียวข้องกับพืชท้ังหมด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืช การเพาะขยายพันธุ์พืช โดยใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ ของพ้ืนที่ทางการเกษตร (Grigg, 1995; Ilbery, 1985; Singh and Dhillon, 2004) ผลผลิตท่ีได้จากการเพาะปลูกน้ันจะ
ได้รับจากผลผลิตทั้งทางตรงคือส่วนของพืชท่ีเพาะปลูกได้แก่ ลาต้น ราก หัว ใบ ผล เมล็ด เป็นต้น และส่วนท่ีได้ทาการ21 แปรรปู แล้ว เชน่ น้ายาง แปง้ เรซ่ิน เปน็ ต้น รูปแบบท่ี 2 การเลย้ี งสัตว์ เกษตรกรเล้ยี งสัตวซ์ ง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ สัตวบ์ กประเภท โค กระบือ สุกร ไก่ เป็ด ผลผลิตที่ได้นั้นจะได้ทั้งจากตัวสัตว์โดยตรงคือ เน้ือ ไข่ นม และผลผลิตที่ได้จากการแปรรูปสัตว์ เช่น เนย ไขมนั ขนสัตว์ เป็นต้น (Pacione, 1986; Singh and Dhillon, 2004; Symons, 1978) และรูปแบบสุดท้ายคือ การทา ประมงน้าจืด ซ่ึงเป็นกิจกรรมท่ีเกี่ยวกับการเพาะเล้ียงสัตว์น้าจืดทั้งหมด รวมท้ังสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้าจาพวก กบ จระเข้ และ ตะพาบน้า ซ่ึงส่วนใหญ่จะมีพ้ืนที่ในการเล้ียงในเขตน้าจืด เช่น บริเวณแม่น้าท่ีห่างจากปากแม่น้า พ้ืนท่ีเกษตรกรรม เป็นต้น สัตว์ทีเ่ ล้ยี งสว่ นใหญม่ กั จะเป็น ปลา กุง้ นา้ จืด กบ เป็นต้น ผลผลิตที่ได้น้ันส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเน้ือ บางชนิดซากของสัตว์ เหล่าน้ันสามารถขายได้ เช่น หนังจระเข้ กระดูกกบ กระดองตะพาบ เป็นต้น (ประโยชน์ เตชะเพียวเลิศ, 2545; Neef and Heidhues, 2005) นอกจากเกษตรกรจะทาการเกษตรทั้ง 3 รปู แบบแล้ว การประกอบกิจกรรมทางการเกษตรมากกว่าหน่ึงรูปแบบเป็น การทาการเกษตรที่มีความหลากหลายข้ึน โดยเกษตรกรจะเลือกกิจกรรมทางการเกษตรที่มีความเหมาะสมกับปัจจัยท่ีมี อิทธิพลต่อการประกอบอาชีพการเกษตร ซ่ึงเกษตรกรนิยมนาเอากิจกรรมที่ส่งเสริมกันมาทาด้วยกัน เช่นการเพาะปลูกกับ การเลี้ยงสัตว์ การเล้ียงสัตว์กับการประมง หรือการที่เกษตรกรทาการเกษตรทั้งสามรูปแบบทั้งการเพาะปลูก การเล้ียงสัตว์ และทาการประมงพร้อมๆกันไปด้วย (Iiyama et al., 2007; Neef and Heidhues, 2005; Singh and Dhillon, 2004) เช่น การทาไร่นาสวนผสม การทาการเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นต้น (วันเพ็ญ สุรฤกษ์, 2547) กิจกรรมเหล่าน้ีสร้างความ หลากหลายใหเ้ กษตรกรในการประกอบกจิ กรรมทางการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการลดความเส่ียงจากปัจจัยที่เข้ามา มีอทิ ธิพลต่อการทาการเกษตรของเกษตรกร สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจากหลายทางและหลายกิจกรรม ส่งผลให้เกิดความ ม่นั คงในอาชีพและสรา้ งความย่ังยืนใหก้ บั เกษตรกรอกี ทางหนงึ่ ดว้ ยเช่นกัน 3 ปัจจัยทม่ี ีอทิ ธิพลต่อการทากจิ กรรมทางการเกษตร ปจั จยั ท่มี ีอทิ ธิพลต่อการทากจิ กรรมทางการเกษตรประกอบไปด้วยปัจจัยทางด้านลักษณะทางกายภาพ ปัจจัย ทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางด้านสังคม และปัจจัยทางด้านเทคโนโลยีทางการเกษตร ซ่ึงในแต่ละปัจจัยนั้นล้วนมีบทบาทใน การกาหนดรปู แบบทางการเกษตรและการใชท้ ่ีดนิ ทางการเกษตร ปัจจัยทางด้านกายภาพ มีอิทธิพลโดยตรงกับรูปแบบการเกษตรและการใช้ที่ดินเพ่ือการเกษตรกรรม ประกอบด้วย 1) ลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่ ความสูงต่าของพื้นที่ ความลาดชัน ความสูง และทิศทางการไหลของน้า 2) ลักษณะภูมิอากาศ ได้แก่ ความช้ืน แสงแดด ลม ปริมาณฝน และการระเหยของน้า 3) สมรรถนะของดิน ได้แก่ ปริมาณ สารอาหารที่จาเป็นต่อการเติบโตของพืช ความเป็นกรด-ด่าง ความลึก แร่ธาตุในดิน ความพรุนของดิน และอุณหภูมิของดิน 4)ลกั ษณะทางชวี ภาพ ได้แก่ ความสมั พันธ์ภายในหว่ งโซ่อาหารซึง่ ได้รบั อทิ ธิพลมาจากดวงอาทิตย์ ซ่ึงมีความเก่ียวข้องกับการ เพาะปลูก ท้ังพืช จุลชีพ และแมลง และ 5) แหล่งน้า (วันเพ็ญ สุรฤกษ์,2538; Grigg, 1995; Ilbery, 1985; Morgan and Munton, 1971) ซ่งึ ในกลุ่มเกษตรในประเทศท่ีกาลังพัฒนาน้ันเป็นปัจจัยที่สาคัญอย่างมากในการทากิจกรรมทางการเกษตร เนื่องจากขาดเทคโนโลยีท่ีทันสมัยเข้าไปช่วยในการจัดการ ในส่วนของประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว ปัจจัยเหล่านี้ เกษตรกร สามารถใชเ้ ทคโนโลยสี มยั ใหมเ่ พือ่ ควบคุมปัจจัยทางด้านกายภาพ เพื่อดัดแปลงหรือปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับชนิดของ พืชหรือสตั วท์ ี่เกษตรกรทาการผลิต ปัจจัยทางด้านสังคม ประกอบด้วย 1) ขนาดของครัวเรือน ได้แก่การมีครัวเรือนขนาดท่ีเล็กลงซึ่งเกิดจากการ แยกครัวเรือนออกไป ทาให้แรงงานในภาคการเกษตรมีจานวนน้อยลง (ปริญญา ใจเถิง, 2544) 2) ความสัมพันธ์ในชุมชน
เกษตรกรจะได้รับข่าวสารเก่ียวกับรูปแบบของกิจกรรมทางการเกษตรใหม่ จากการพบปะกันในชุมชน ทาให้เกษตรกร22 ตัดสินใจได้เร็วข้ึนในการเปล่ียนแปลงการเกษตร (วิชัยชาณ นวนไหม, 2547) 3 ) การแพร่กระจายของนวัตกรรม เป็น กระบวนการที่สามารถบ่งบอกถึงความเชื่อ จิตวิทยา และพฤติกรรมของคนในแต่ละศาสนาหรือความเช่ือได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการรับร้ขู ่าวสาร การร่วมกลุ่มกัน เป็นต้น และ 5) การเปลี่ยนแปลงประชากร ท้ังท่ีเกิดจากการภาวะการเกิด การ ย้ายถิ่น และภาวะการตาย ย่อมส่งผลต่อขนาดของท่ีดินท่ีถือครอง ปัญหาด้านแรงงานในด้านการเกษตร ซ่ึงจะส่งผลต่อ รูปแบบและการทากจิ กรรมทางการเกษตรของเกษตรกร ปัจจัยทางดา้ นเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1) ทีด่ ินและการถือครองที่ดิน เป็นปัจจัยที่มีลักษณะเฉพาะมีปริมาณท่ี คงท่ี ลักษณะการใช้จะแตกต่างกันไปตามพ้ืนท่ีและตามปัจจัยท่ีเอ้ืออานวยต่อกิจกรรมทางการเกษตร เช่น คุณภาพของดิน ที่ต้ัง ราคา เป็นต้น 2) แรงงาน เป็นปัจจัยท่ีมีความสาคัญในการผลิตเป็นอย่างมาก ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับแรงงานได้แก่ ขนาดของพ้นื ที่ทางการเกษตร ค่าจ้างแรงงาน ความต้องการในปริมาณผลผลิต ความรู้ ความสามารถ และความชานาญของ แรงงาน แรงงานในภาคการเกษตรส่วนใหญ่น้ันมักเป็นเกษตรรายย่อย ท่ีมีที่ดินน้อยหรืออาจจะไม่มีท่ีดินทากินเลย ส่วน เกษตรรายย่อยน้ันมีการใช้พ้ืนท่ีท่ีไม่เข้มข้นเมื่อหมดกิจกรรมในพื้นที่ของตนเองแล้วก็มักจะไปรับจ้างเป็นแรงงานให้กับ นายทุนท่ีมีพ้ืนที่ทางการเกษตรขนาดใหญ่ (วันเพ็ญ สุรฤกษ์, 2547;Ilbery, 1985) 3) ทุน เป็นปัจจัยท่ีสาคัญย่ิงต่อการ พัฒนาการเกษตร ปัจจัยท่ีสาคัญคือเงินทุน นามาซ่ึงปัจจัยการผลิตได้แก่ ท่ีดิน แรงงาน ทาให้มีการเกิดกิ จกรรมทาง การเกษตรขึ้นแหล่งทุนของเกษตรกรมาจาก 4 แหล่งด้วยกันคือ แหล่งทุนของเกษตรกรเอง เงินกู้จากเพ่ือนบ้าน ญาติพี่น้อง นายทุน เจ้าของท่ีดินหรือเจ้าของกิจการท่ีเกี่ยวข้องกับการเกษตร สถาบันการเงินของเอกชน และสถาบันการเงินของรัฐ 4) การประกอบกิจกรรม เป็นการนาเอาปัจจัยการผลิตทั้ง 3 มารวมกัน ได้แก่ ที่ดิน ทุน และแรงงาน ทาให้เกิดการตัดสินใจใน การผลิตโดยมุ่งหวังผลกาไรสูงสุด และ 5) ตลาดและการขนส่ง มีผลต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการแลกเปล่ียน สินคา้ และเทคโนโลยี ซึ่งแบง่ ตลาดออกเปน็ 2 ระดบั คอื ตลาดท้องถนิ่ ทาหน้าที่รวบรวมผลผลิตในขั้นต้น การแข่งขันต่า และ ตลาดต่างถ่ิน เป็นตลาดในระดับที่ใหญ่กว่าท้องถ่ิน มีการแข่งขันในระดับที่สูง มีสิ่งอานวยความสะดวกท่ีสมบูรณ์ สามารถ กาหนดราคาผลผลิตทางการเกษตรโดยพ่อค้าคนกลาง ส่วนการขนส่งเป็นการเช่ือมโยงระหว่างสินค้ากับตลาด ซึ่งค่าขนส่งนั้น นาเอาไปคดิ รวมกับราคาต้นทนุ การผลติ ด้วยเช่นกนั ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี มีส่วนสาคัญเป็นอย่างมากในการผลิตเพ่ือการค้า ซึ่งมีการแข่งขันกันสูงทาง การตลาด ดังน้ันเกษตรกรจึงจาเป็นที่จะต้องเลือกใช้เทคโนโลยีท่ีมีความเหมาะสม เพ่ือช่วยในการลดต้นทุนทางการผลิต ได้แก่ 1) การคัดเลือกพันธ์ุพืช ให้มีความเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม ทาให้พืชสามารถเจริญเติบโตและมีผลผลิตท่ีมี คณุ ภาพสูงและตรงกับความต้องการของตลาด 2) การดูแลรกั ษา ปจั จบุ ันการเกษตรสมัยใหม่ต้องอาศัยการดูแลรักษาผลผลิต ที่กาลังเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก การให้น้า การให้ปุ๋ย การตัดแต่งกิ่ง และในปัจจุบันมีการนาเอาสารเคมีมาช่วยในการดูแล รักษาด้วยเช่นกัน เช่น ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี เป็นต้น (Grigg, 1995) 2) วิทยาการหลังการเก็บเก่ียว เป็นการเก็บเก่ียว ผลผลติ การขนส่งไปยงั ท่ีพัก โรงเรือน การบรรจุหีบห่อ การคัดขนาด การขนส่งไปยังตลาด และ 4) การใช้เคร่ืองจักรกลทาง การเกษตร เพื่อเป็นการทุ่นแรงงานจากคน เป็นการลดต้นทุนทางการผลิตอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน เพื่อให้ได้ปริมาณและ คุณภาพของผลผลิตทีด่ ี เป็นทตี่ ้องการของตลาด ในการศกึ ษาพัฒนาการของการใช้ทด่ี นิ เพอ่ื การเกษตรและรูปแบบทางการเกษตรจะใช้แนวคิดดังกล่าวนี้อธิบายถึง รูปแบบการใช้ท่ีดิน ลักษณะการเปล่ียนแปลงการใช้ที่ดิน พัฒนาการของระบบในพื้นท่ี ปัจจัยท่ีเข้ามามีอิทธิพลต่อการ เปล่ยี นแปลงการใช้ที่ดนิ และรูปแบบทางการเกษตร
4. แนวคิดการเปลย่ี นแปลงทางการเกษตร และปจั จัยท่ีมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การเปลยี่ นแปลงทางการเกษตร 23 4.1 การเปลยี่ นแปลงทางการเกษตร เกษตรกรมกี ารตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลงปจั จยั ทีม่ ีอิทธิพลต่อการเกษตรท้ัง 4 ปัจจัย ย่อมส่งผลทาให้เกิด การเปล่ียนแปลงทางการเกษตร ซ่ึงในการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรน้ัน เกษตรกรจะเลือกให้มีความเหมาะสมกับปัจจัยทั้ง ทางด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม และปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ด้วยกนั ประกอบดว้ ย การเปลี่ยนแปลงชนิดของพืชที่ปลูก ซึ่งเกษตรกรจะเลือกพืชให้มีความเหมาะสมกับลักษณะทางกายภาพของ พน้ื ท่ี ความตอ้ งการของตลาด หรือแมแ้ ตก่ ารขาดแคลนแรงงาน ส่งผลใหเ้ กษตรกรตอ้ งหาแนวทางในการทาการเกษตรเพ่ือให้ เกิดกาไรสูงสุดในการดาเนินการ เกษตรกรอาจเลือกเอาพืชท่ีมีอายุเก็บเก่ียวในระยะสั้นมาปลูกแทนการปลูกพืชระยะยาว หรือการนาเอาพืชที่มีอายุการเก็บเก่ียวและสามารถเก็บเก่ียวได้ระยะยาวมาปลูกแทนพืชที่ปลูกระยะสั้น เช่นการ ปลูก ยางพาราแทนการปลูกข้าว การปลูกพืชสวนแทนการปลูกถ่ัวเขียวหรือถั่วเหลือง เป็นต้น (ภาณุพงศ์ บรรเทาทุกข์, 2546; มณั ฑนา ทพิ ย์วารีรมย์, 2545) การเพิ่มความเข้มในการผลิต โดยการทาให้เกิดความหลากหลายทางการเกษตรข้ึนในพ้ืนที่เดียวกัน เพื่อเป็น ลดความเสี่ยง และประหยัดตน้ ทนุ ทางการผลิต อันเนื่องมาจากการขาดแรงงานทางด้านการเกษตร เกษตรกรจึงมีการนาเอา เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทาการเกษตร เพ่ือลดข้ันตอนการทางานลง และสามารถที่จะมีรอบการผลิตเพ่ิมขึ้นในแต่ละปี รวมทงั้ ผลผลติ ท่ไี ดน้ ัน้ มีคุณภาพตามท่ีตลาดต้องการอีกด้วย ส่งผลทาให้เกษตรกรนอกจากลดความเส่ียงจากปัจจัยท้ัง 4 แล้ว ยังสามารถสร้างผลกาไรจากทาการเกษตรเพ่ิมข้ึนไดอ้ กี ทางหน่งึ เช่นกนั (รชั ฎา โสธนะ, 2546) การปลูกพืชเฉพาะอย่าง (Special Crops) เป็นการทากิจกรรมทางการเกษตรเชิงเด่ียว ซึ่งเกิดจากความไม่ แน่นอนของผลผลิตท่ีจะได้ เพียงพอกับความต้องการของตลาด ดังน้ัน เกษตรกรจึงปลูกพืชหรือทากิจกรรมเชิงเด่ียว โดยที่ เกษตรกรจะต้องแบกรบั ความเสย่ี งของปจั จยั ท่มี ีอิทธพิ ลตอ่ การเกษตรทั้ง 4 ปัจจัย เนื่องจากเป็นการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่ เกษตรกรจะลดความเสี่ยงด้วยการเข้าไปทาการเกษตรแบบพันธะสัญญา ทาให้เกษตรกรมีการเปลี่ยนแปลงการปลูกพืชหรือ การเล้ียงสัตว์เป็นเชิงเด่ียวมากขึ้น เช่น การเล้ียงไก่พันธ์ุเนื้อ การเล้ียงสุกร การทาสวนยางพารา การทาไร่ชา การปลูก ข้าวโพด และการทาไรย่ าสบู เปน็ ต้น (Fellmann et al., 2005) นอกจากน้ีแล้วการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรยังสามารถใช้แนวทางในการเปลี่ยนแปลงพร้อมกันด้วย เช่น การเปลี่ยนชนิดของพืชหรือสัตว์ พร้อมกับการเพิ่มข้ึนของความเข้มในการผลิต การเพิ่มข้ึนของความเข้มในการผลิตพร้อมๆ กับการปลูกพืชเชิงเด่ียว เป็นต้น ซึ่งตัวเกษตรกรจะเป็นผู้ตัดสินใจในการเปล่ียนแปลงทางการเกษตร โดยคานึง ถึงความ เหมาะสมของปัจจยั ท่ีมอี ทิ ธพิ ลต่อการเกษตร และผลกาไรที่เกษตรกรจะไดร้ ับ 4.2 ปจั จยั ทีม่ ีอทิ ธพิ ลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตร ในการเปลีย่ นแปลงรูปแบบการเกษตรจากการเกษตรแบบดั้งเดิมหรือแบบยังชีพไปเป็นการเกษตรเพื่อการค้า น้ัน นอกจากปัจจัยทางกายภาพที่ประกอบไปด้วยสภาพภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะของดิน ทรัพยากรและ แหลง่ นา้ (วันเพ็ญ สรุ ฤกษ์, 2547) ทมี่ ีความเหมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตของพืชและสัตว์แล้ว ปัจจัยที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการ เปล่ียนแปลงรูปแบบการเกษตร ซึ่งทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้ัน ประกอบไปด้วย 4 ปัจจัยคือ นโยบายของภาครัฐ ปัจจัย ทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และปัจจัยท่ีตัวของเกษตรกรเอง (Timmer, 1990) ปัจจัย 5 ประการของ Mosher (1966) อ้างใน Arnon (1987) ที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเกษตรประกอบด้วย 1) ตลาดรองรับสินค้าการเกษตร อย่างเพียงพอ 2) มีการพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างสม่าเสมอ ต่อเนื่องเพื่อให้มีการปรับปรุงเทคโนโลยีใหม่ให้มีความ
เหมาะสมกบั สภาพพืน้ ท่ี สภาวะแวดล้อม และชว่ ยเพิ่มผลผลติ ให้เพิ่มมากขึ้น 3) การมีพื้นที่และโครงสร้างพ้ืนฐานรองรับ24 การพัฒนาการเกษตรอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะโครงสร้างพ้ืนฐานที่มีส่วนส่งเสริมและอานวยความสะดวกในการประกอบ กิจกรรมทางการเกษตร เช่น เส้นทางคมนาคม ระบบชลประทาน เป็นต้น 4) การส่งเสริมด้านการเกษตร เป็นวิธีการท่ีทาให้ เกษตรกรได้รับรู้ข่าวสาร มีความเข้าใจในเทคโนโลยีใหม่มากขึ้น เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้ว่าหากนาเทคโนโลยีใหม่มาใช้ ในระบบการเกษตรแล้วสามารถท่ีจะมีตลาดรองรับสินค้าการเกษตรอย่างแน่นอน 5) ระบบการขนส่งท่ีเพียงพอ ทาให้การ ลาเลียงผลผลิตทางการเกษตรสู่ตลาดมีอย่างสม่าเสมอ ทาให้ไม่มีผลผลิตที่ตกค้างก่อให้เกิดความเสียหายทาให้รายได้ของ เกษตรกรลดลงด้วย นอกจากนี้ Kulp (1970) อ้างใน Arnon (1987) ได้แบ่งปัจจัยที่มีส่วนส่งเสริมให้มีการเปล่ียนแปลง รปู แบบการเกษตร 3 กลุม่ ประกอบด้วย 1) ความสมบรู ณ์ของนวตั กรรมใหม่ 2) ราคาของผลผลิตทางการเกษตรท่ีอยู่ในระดับ ที่สูงและ 3) ผลกาไรที่ได้รบั จากการขายผลติ ผลทางการเกษตรอย่ใู นระดับที่น่าพอใจ การเปล่ียนแปลงรูปแบบการเกษตรนนั้ นอกจากปัจจยั พนื้ ฐานและปัจจัยทีเ่ ปน็ ตวั เรง่ แล้ว นอกจากน้ียังมีปัจจัย อนื่ ๆทสี่ ง่ ผลทาให้มีการพฒั นารูปแบบการเกษตรจากระบบเพอื่ การยงั ชีพไปเป็นระบบการเกษตรเพอ่ื การค้า ซ่งึ ประกอบด้วย 1) การสร้างเทคโนโลยีทางการเกษตรข้ึนมาใหม่ให้มีความเหมาะ สมกับพ้ืนท่ีและลักษณะของ ทรัพยากรธรรมชาติทีม่ อี ยใู่ นสภาพปัจจุบนั 2) การนาเอาความรู้ทางเทคโนโลยีใหม่เข้าไปเผยแพร่กับตัวเกษตรกร ซ่ึงนอกจากการเผยแพร่แล้วจะต้องทา การฝึกฝนใหก้ ับเกษตรกร ฝึกให้ตัวเกษตรกรสรา้ งแนวความคดิ ท่จี ะใชเ้ ทคโนโลยแี ละการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยเี หล่านัน้ 3) การเตรยี มพร้อมรบั กับส่ิงใหม่ ซ่ึงตัวเกษตรกรต้องพร้อมสาหรับการเปล่ียนกระบวนการในการผลิต พร้อม รับความเส่ียงด้านราคาและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานในการผลิตน้ันต้องมีรองรับอย่าง เพียงพอทั้งระบบชลประทาน ระบบขนส่ง สาธารณูปโภคและสาธารณูปการเพ่ือให้ตัวเกษตรกรมีความม่ันใจต่อการเปลี่ยน รปู แบบการเกษตรและการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมไปพร้อมๆกัน 4) การเปล่ียนแปลงอย่างยั่งยืนโดยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยการเปล่ียนแปลงอย่างมีแบบแผน มี การวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า การตัดสินใจจะอยู่บนพ้ืนฐานของความยั่งยืนท้ังด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นสิ่งท่ีต้องคานึงถึง เปน็ อนั ดับแรก ควำมหมำยของทรัพยำกรธรรมชำติ ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural resources) หมายถึงส่ิงท่ีปรากฏอยู่ตามธรรมชาติหรือส่ิงท่ีข้ึนเอง อานวยประโยชน์ แก่มนษุ ยแ์ ละธรรมชาติด้วยกนั เอง (ทวี ทองสว่าง และทัศนยี ์ ทองสวา่ ง,2523:4) ถา้ สง่ิ นน้ั ยังไมใ่ ห้ประโยชน์ต่อมนุษย์ ก็ไม่ถือ ว่าเปน็ ทรัพยากรธรรมชาติ (เกษม จนั ทร์แก้ว,2525:4) ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติมักจะมองในแง่ท่ีว่า เป็นส่ิงอานวยประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม หากไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลยก็คงไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ ดังน้ันจึงมีการจัดประเภททรัพยากรธรรมชาติไว้หลายประเภท ดว้ ยกนั เช่น ดนิ นา้ ป่าไม้ สัตว์ป่า แร่ธาตุ ฯลฯ ซึ่งเป็นทรพั ยากรทเี่ ป็นแหลง่ พลังงานสาคญั การใช้คาว่า \"ทรัพยากรธรรมชาติ\" และคาว่า \"ส่ิงแวดล้อม\" บางครั้งผู้ใช้อาจจะเกิดความสับสนไม่ทราบว่าจะใช้คา ไหนดี จงึ น่าพิจารณาว่าคาทั้งสองน้มี คี วามคลา้ ยคลึงและแตกตา่ งกนั อยา่ งไร ในเร่ืองน้ี เกษม จันทร์แก้ว (2525:7-8) ได้เสนอ ไว้ดังน้ี
1. ความคล้ายคลึงกัน ในแง่น้ีพิจารณาจากที่เกิด คือ เกิดขึ้นตามธรรมชาติเหมือนกัน ทรัพยากรธรรมชาติและ25 ส่ิงแวดล้อมต่างเป็นสิ่งท่ีให้ประโยชน์ต่อมนุษย์เช่นกัน มนุษย์รู้จักใช้ รู้จักคิดในการนาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ และมนุษย์ อาศัยอยู่ในทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ก็ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติ แล้วมนุษย์ก็เรียกส่ิงต่าง ๆ ท้ังหมดว่า \"สง่ิ แวดล้อม\" ความคล้ายคลึงกันของคาว่า ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอยู่ที่ว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของ สงิ่ แวดล้อม 2. ความแตกต่าง ทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่สิ่งแวดล้อมน้ันประกอบด้วย ทรพั ยากรธรรมชาติ และสง่ิ ที่มนษุ ย์สร้างข้ึนโดยอาศยั ทรัพยากรธรรมชาติ หากขาดทรัพยากรธรรมชาติ มนุษย์จะไม่สามารถ สรา้ งสง่ิ แวดลอ้ มอน่ื ๆ ไดเ้ ลย ถา้ แยกมนษุ ยอ์ อกมาในฐานะผู้ใช้ประโยชน์จากส่ิงต่าง ๆ ในโลกนี้ เม่ือกล่าวถึงส่ิงที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ จึงควร ใช้คาว่า \"ทรัพยากรธรรมชาติ\" แต่ถ้าต้องการกล่าวรวม ๆ ถึงส่ิงท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างข้ึนก็ควรใช้คาว่า \"สิ่งแวดล้อม\" แต่ถ้าต้องการเน้นเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ก็ควรใช้คาว่า ทรัพยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดล้อม\" เม่ือกลา่ วถึงสิ่งแวดล้อมหลาย ๆ คน จะเขา้ ใจถงึ เรอ่ื งของน้าเสีย ควันพิษในอากาศ ไอเสียจากรถยนต์ ขยะ มูลฝอย ฯลฯ ซึ่งในความเป็นจริง ส่ิงแวดล้อม มีความหมายกว้างมาก มีความสัมพันธ์กับทุก ๆ ส่ิงที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต ใน Module น้ี จะสนทนากัน ในเร่อื งของคน มคี วามสัมพันธก์ บั สิ่งแวดล้อมอย่างไร โดยที่ตระหนักอยู่เสมอว่า ในอดีตที่ผ่านมา ปัญหาเร่ือง ความสมดุลย์ของ ธรรมชาติกับคนยังไม่มี คนส่วนใหญ่ในยุคต้น ๆ จึงมีชีวิตอยู่ใต้ อิทธิพลของธรรมชาติ ความ เปล่ยี นแปลง ทางด้านธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม มีลักษณะที่ ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ ทางส่ิงแวดล้อม มากนกั แตเ่ น่ืองจาก มีความเจรญิ ก้าวหน้า ดา้ นเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และอตุ สาหกรรม ขยายตัวมากขึน้ ประกอบด้วย ความ ต้องการของมนษุ ย์ มีอยไู่ มจ่ ากดั จึงทาให้เกิดปัญหา ทางดา้ นสงิ่ แวดล้อม ขนึ้ ในโลกสเี ขียวของเรา เช่น ปัญหาทางด้าน ภาวะ มลพิษทางเสียและน้า ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ เสื่อมสลาย ปัญหาการต้ังถ่ินฐาน และชุมชน ดังนั้น จึงมีความจาเป็น ท่ี จะตอ้ งกล่าวถงึ มนุษย์กบั ความสมั พนั ธ์ กบั สิง่ แวดลอ้ มอยา่ งไร ควำมหมำยของทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละส่ิงแวดล้อม สิ่งแวดล้อม หมายถึง ส่ิงต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งสิ่งท่ีมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต เห็นได้ด้วย ตาเปล่า และไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า รวมทั้งส่ิงที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติและส่ิงที่มนุษย์เป็นผู้ สร้างขึ้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ส่ิงแวดล้อมจะประกอบด้วยทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรท่ีมนุษย์สร้าง ขึ้นในชว่ งเวลาหนึ่งเพ่อื สนองความ ตอ้ งการของมนุษย์น่ันเอง - สงิ่ แวดล้อมทเี่ กิดข้ึนโดยธรรมชาติ ได้แก่บรรยากาศ นา้ ดิน แรธ่ าตุ และสิ่งมีชีวติ ท่ี อาศัยอยู่บนโลก (พืช และ สัตว์) ฯลฯ - สง่ิ แวดลอ้ มที่มนุษย์สรา้ งข้ึน ได้แก่ สาธารณูปการตา่ ง ๆ เช่น ถนน เข่อื นก้ันนา้ ฯลฯ หรือระบบของสถาบนั สังคม มนษุ ยท์ ่ีดาเนินชีวติ อยู่ ฯลฯ
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งต่าง ๆ(ส่ิงแวดล้อม) ที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติและมนุษย์ สามารถนามาใช้26 ประโยชนไ์ ด้ เชน่ บรรยากาศ ดนิ น้า ปา่ ไม้ ทุ่งหญา้ สตั วป์ ่า แรธ่ าตุ พลังงาน และกาลงั แรงงานมนุษย์ เป็นต้น โดยคานิยามแลว้ จะเหน็ ได้วา่ ทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภทน้ันจะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม แต่ส่ิงแวดล้อมทุก ชนดิ ไม่เป็นทรัพยากรธรรมชาติท้ังหมด ซึ่งอาจกล่าวสรุป ได้ว่าการท่ีจะจาแนกสิ่งแวดล้อมใด ๆ เป็นทรัพยากรธรรมชาตินั้น มปี ัจจัยที่เกยี่ วขอ้ งหลายประการ ประการแรก เกิดจากความต้องการของ มนุษยท์ จ่ี ะนาส่ิงแวดล้อมมาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ กับตนเอง ประการทส่ี อง การเปลี่ยนแปลงตาม กาลเวลา ถ้ายังไม่นามาใช้ก็เป็นสิ่งแวดล้อม แต่ ถ้านามาใช้ประโยชน์ ได้ก็จะกลายเปน็ ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นชว่ งเวลาน้ัน ๆ ประการทสี่ าม สภาพภมู ิศาสตร์และ ความห่างไกลของส่ิงแวดล้อม ถ้าอยู่ไกลเกินไปคนอาจไม่นามาใช้ ก็จะ ไม่สามารถแปรสภาพเปน็ ทรพั ยากรธรรมชาติได้ นอกจากนี้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มคละกันไปโดยอยู่ร่วมกันอย่างมีกฎ ระบบ ข้อบังคับทั้งที่เกิดข้ึน เองโดยธรรมชาติและทั้งที่มนุษย์กาหนดข้ึนมาการอยู่เป็นกลุ่มของสรรพส่ิงเหล่านี้ จะแสดงพฤติกรรม รว่ มกันภายในขอบเขตและแสดงสรรพสิง่ เหล่าน้ีจะเรียกวา่ ระบบนเิ วศ หรือระบบสิ่งแวดล้อม น่นั เอง ควำมหมำยของกำรจดั กำรธรรมชำตแิ ละส่ิงแวดล้อม การจัดการ (Management) หมายถึง การดาเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพในรูปแบบต่าง ๆทั้งด้านการจัดหา การ เก็บรักษา การซ่อมแซมการใชอ้ ย่างประหยัด และการสงวนรักษา เพอ่ื ให้กจิ กรรมทด่ี าเนินการนัน้ สามารถให้ผลย่ังยืน ต่อมวล มนุษย์และธรรมชาติ โดยหลักการแล้ว \"การจัดการ\" จะต้องมีแนวทางการดาเนินงานขบวนการ และขั้นตอน รวมท้ัง จดุ ประสงคใ์ นการดาเนินงานท่ีชัดเจนแน่นอนจากคาจากัดความข้างต้น การจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม หมายถงึ การดาเนนิ งานต่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมอย่าง มีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการจัดหาการเก็บรักษา การซ่อมแซม การใช้อย่างประหยัดและการสงวนรักษา เพื่อให้ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมน้ันสามารถเอื้ออานวยประโยชน์แก่มวลมนุษย์ได้ใช้ตลอดไปอย่างไม่ขาดแคลนหรือมี ปญั หาใด ๆ หรืออาจจะหมายถึง กระบวนการจดั การ แผนงานหรือกจิ กรรมในการจัดสรรและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมเพื่อสนองความต้องการในระดับต่าง ๆ ของมนุษย์และเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาคือเสถียรภาพ ทางเศรษฐกจิ - สังคมและคุณภาพ สิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักการอนุรักษ์ด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่าง ฉลาดประหยดั และกอ่ ให้เกดิ ผลเสียตอ่ ส่งิ แวดลอ้ มนอ้ ย ทส่ี ุดเทา่ ท่ีจะทาได้ แต่ถ้าเราจะกาหนดว่าส่ิงแวดล้อมท่ีเรากล่าวกันทั่ว ๆ ไปน้ัน เป็นเรื่องของปัญหาภาวะมลพิษอันเนื่องมาจากการใช้ ทรัพยากรธรรมชาตหิ รือจากผลของความก้าวหน้าของการพัฒนาแล้วเราก็สามารถให้คาจากัดความแยกระหว่างการ จัดการ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการจดั การสงิ่ แวดลอ้ มไดด้ งั น้ี การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง การดาเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อสิ่งท่ีเกิดขึ้น ตามธรรมชาติและให้ ประโยชน์ต่อมนุษย์ ทั้งในด้านการจัดหา การเก็บรักษา การซ่อมแซมการใช้อย่างประหยัด รวมท้ัง การสงวนเพ่ือให้ ทรัพยากรธรรมชาติน้ันสามารถให้ผลได้อย่างยาวนานการจัดการสิ่งแวดล้อม หมายถึง การ ดาเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพอ่ื ทาใหส้ ิ่งทีอ่ ยรู่ อบ ๆ ตวั เรามีผลดตี อ่ คุณภาพชวี ิต นน่ั ก็คือจะตอ้ งดาเนินการปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ กดิ ปญั หาภาวะปลอดภัย น่นั เอง
ปัจจุบันปัญหาขยะมูลฝอยเป็นปัญหาท่ีสาคัญ การนาสิ่งเหลือใช้มาประดิษฐ์ให้เกิดประโยชน์ข้ึนใหม่ จะเป็น27 วิธีการหน่ึงที่ทาให้ขยะลดน้อยลงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องยึดหลักการทางอนุรักษ์วิทยาเพื่อ ประกอบ การดาเนนิ งานในการจดั การ ดังน้ี คอื 1.) การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิง แวดล้อมจะต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล ใช้อย่างฉลาดหรือใช้ตาม ความจาเปน็ ไม่ใช้อยา่ งฟมุ่ เฟือยและไมเ่ กิดการสูญเปล่า หรือเกดิ การสญู เปลา่ นอ้ ยที่สุด 2.) การประหยดั ของทห่ี ายากและของทกี่ าลังสูญพันธุ์ 3.) การปรับปรุง ซ่อมแซมสิง่ ทเ่ี สอื่ มโทรมให้คืนสภาพก่อนนาไปใช้ เพื่อใหร้ ะบบส่ิง แวดลอ้ มดขี น้ึ ประเภทของทรัพยำกรธรรมชำติ การแบ่งประเภทของทรัพยากรธรรมชาติมีการแบ่งกันหลายลักษณะ แต่ในทีน้ี แบ่งโดยใช้เกณฑ์ของการนามาใช้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดงั น้ี 1. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่หมดส้ิน (Inexhaustible natural resources) เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดข้ึน ก่อนทจี่ ะมมี นษุ ย์ เมอ่ื มมี นุษย์เกิดข้ึนมาส่งิ เหล่านี้กม็ ีความจาเป็นตอ่ การดารงชีวิตของมนษุ ย์ จาแนกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1.1 ประเภทท่ีคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง (Immutuable) ได้แก่ พลังงานจากดวงอาทิตย์ ลม อากาศ ฝุ่น แม้ กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดกต็ ามสงิ่ เหล่านีก้ ย็ ังคงมไี ม่เปลีย่ นแปลง 1.2 ประเภทท่ีมีการเปล่ียนแปลง (Mutuable) การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นเน่ืองมาจากการใช้ประโยชน์อย่างผิดวิธี เชน่ การใช้ทดี่ นิ การใชน้ าโดยวิธกี ารทไ่ี ม่ถกู ตอ้ ง ทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลงท้ังทางด้านกายภาพ และด้านคณุ ภาพ 2. ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วทดแทนได้ (renewable natural resources) เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไปแล้ว สามารถเกิดข้ึนทดแทนได้ ซึ่งอาจจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กันชนิดของทรัพยากรธรรมชาติประเภทน้ัน ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้ แลว้ ทดแทนได้ เช่น พชื ปา่ ไม้ สัตว์ปา่ มนษุ ย์ ความสมบูรณ์ของดิน คุณภาพของนา้ และทศั นยี ภาพท่สี วยงาม เป็นตน้ 3. ทรัพยากรธรรมชาติท่ีสามารถนามาใช้ใหม่ได้ (Recycleable natural resources) เป็นทรัพยากรธรรมชาติ จาพวกแร่ธาตุที่นามาใช้แล้วสามารถนาไปแปรรูปให้กลับไปสู่สภาพเดิมได้ แล้วนากลับมาใช้ใหม่อีก (อู่แก้ว ประกอบไวยกิจ เวอร์,2525:208) เช่น แรโ่ ลหะ แรอ่ โลหะ ได้แก่ เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม แก้ว ฯลฯ 4. ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วหมดส้ินไป (Exhausting natural resources) เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่นามาใช้ แล้วจะหมดไปจากโลกน้ี หรือสามารถเกิดข้ึนทดแทนได้ แต่ต้องใช้เวลายาวนานมาก ทรัพยากรธรรมชาติประเภทน้ี ได้แก่ นา้ มันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน เปน็ ต้น
ทรพั ยำกรน้ำ 28 น้าเป็นทรัพยากรที่มีความสาคัญต่อชีวิตคน พืช และสัตว์มากที่สุดแต่ก็มีค่าน้อยท่ีสุดเม่ือเปรียบเทียบกับ ทรัพยากรธรรมชาติอน่ื ๆ น้าเป็นปจั จัยสาคัญในการดารงชวี ติ ของมนุษยแ์ ละเป็นองค์ประกอบทสี่ าคญั ของสง่ิ มีชีวิตทง้ั หลาย ควำมสำคญั ของทรัพยำกรน้ำ 1. ใช้สาหรบั การบริโภคและอุปโภค เพอ่ื ด่มื กิน ประกอบอาหาร ชาระรา่ งกาย ทาความสะอาด ฯลฯ 2. ใช้สาหรบั การเกษตร ได้ แก่ การเพาะปลูก เลย้ี งสตั ว์ แหลง่ นา้ เป็นทอ่ี ยู่อาศยั ของปลาและสตั ว์นา้ อื่น ๆ ซึ่งคนเรา ใชเ้ ป็นอาหาร 3. ดา้ นอตุ สาหกรรม ต้องใช้น้าในกระบวนการผลติ ล้างของเสยี หลอ่ เคร่ืองจักร และระบายความรอ้ น ฯลฯ 4. การทานาเกลือ โดยการระเหยนา้ เคม็ จากทะเล หรือระเหยน้าท่ีใชล้ ะลายเกลือสินเธาว์ 5. นา้ เปน็ แหลง่ พลังงานในการผลติ กระแสไฟฟา้ 6. เป็นเสน้ ทางคมนาคมทีส่ าคญั แมน่ ้า ลาคลอง ทะเล มหาสมทุ ร เป็นเสน้ ทางคมนาคมทีส่ าคัญมาต้ังแต่อดีตจนถึง ปัจจบุ ัน 7. เป็นสถานที่ทอ่ งเที่ยว ทศั นียภาพของรมิ ฝ่งั ทะเล และแหล่งน้าที่ใสสะอาดเป็นสถานท่ีทอ่ งเที่ยวของมนษุ ย์ ประโยชนข์ องน้ำ น้าเป็นแหล่งกาเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามชี ีวติ อยโู่ ดยขาดนา้ ไดไ้ ม่เกิน 3 วัน และนา้ ยงั มีความจาเป็นทั้งในภาค เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมคี วามสาคญั อย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้า ได้แก่ - น้าเปน็ สิง่ จาเป็นทเี่ ราใช้สาหรบั การดม่ื กนิ การประกอบอาหาร ชาระร่างกาย ฯลฯ - น้ามคี วามจาเป็นสาหรบั การเพาะปลกู เล้ยี งสตั ว์ แหล่งน้าเปน็ ท่อี ยูอ่ าศัยของปลาและสัตว์น้าอื่น ๆ ซ่ึงคนเราใช้เป็น อาหาร - ในการอตุ สาหกรรม ตอ้ งใช้น้าในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสยี ใชห้ ล่อเครื่องจักรและระบายความร้อน ฯลฯ - การทานาเกลอื โดยการระเหยนา้ เคม็ จากทะเล - น้าเปน็ แหลง่ พลังงาน พลังงานจากน้าใชท้ าระหัด ทาเขื่อนผลติ กระแสไฟฟ้าได้ - แม่น้า ลาคลอง ทะเล มหาสมทุ ร เป็นเสน้ ทางคมนาคมขนส่งที่สาคัญ - ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและนา้ ทีใ่ สสะอาดเป็นแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วของมนษุ ย์
ปัญหำทรพั ยำกรนำ้ ที่สำคญั มีดังนี้ 29 1. เพิ่มปริมาณความต้องการใช้น้า ในปัจจุบันนอกจากการใช้น้าเพื่อการบริโภคซ่ึงเพิ่มข้ึนแล้วประมาณ 30% ถึง 40% ในการผลิตอาหารของโลกจาเปน็ ตอ้ งใชน้ ้าจากการชลประทานภายในระยะเวลาประมาณ 15-20 ปีข้างหน้าน้ี บริเวณพ้ืนท่ีชลประทานจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ของปริมาณ พ้ืนที่ในปัจจุบัน เพื่อที่จะผลิตอาหารให้ได้เพียงพอแก่จานวน ประชากรทเ่ี พมิ่ ข้นึ 2. การกระจานน้าไปสสู่ ่วนต่าง ๆ ของพ้ืนท่ไี มเ่ ท่าเทยี มกัน ในบางพื้นที่ของโลกเกิดฝน ตกหนักบ้านเรือนไร่ นาเสียหาย แตใ่ นบางพน้ื ทีก่ ็แห้งแลง้ ขาดแคลนนา้ เพอ่ื การบรโิ ภค และเพื่อการเพาะปลูก 3. การเพ่ิมมลพิษในน้า เนื่องจากน้าเป็นปัจจัยสาคัญในการดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิตท้ังหลายรวมทั้งมนุษย์ เม่อื จานวนประชากรมนษุ ย์เพม่ิ มากขึ้น มนษุ ย์เปน็ ตัวการสาคญั ทเ่ี พิม่ มลพษิ ใหก้ บั แหล่งน้าต่าง ๆ โดยการปล่อยน้าเสีย คราบ น้ามัน จากบา้ นเรือน โรงงานอุตสาหกรรม การท้งิ ขยะมูลฝอยลงไปในแหลง่ เป็นตน้ ผลกระทบของนา้ เสยี ต่อสิ่งแวดล้อม - เปน็ แหล่งแพรร่ ะบาดของเชือ้ โรค เชน่ อหวิ าตกโรค บิด ทอ้ งเสยี - เป็นแหลง่ เพาะพนั ธ์ุของแมลงนาโรคต่าง ๆ - ทาให้เกดิ ปญั หามลพิษต่อดนิ นา้ และอากาศ - ทาให้เกดิ เหตรุ าคาญ เช่น กลิน่ เหมน็ ของน้าโสโครก - ทาใหเ้ กิดการสูญเสยี ทศั นยี ภาพ เกิดสภาพที่ไมน่ ่าดู เช่น สภาพนา้ ท่มี สี ดี าคล้าไปด้วยขยะ และส่ิงปฏิกูล - ทาให้เกิดการสูญเสยี ทางเศรษฐกจิ เชน่ การสูญเสยี พันธุ์ปลาบางชนดิ จานวนสัตว์น้าลดลง - ทาให้เกิดการเปลยี่ นแปลงระบบนิเวศในระยะยาว ทรัพยำกรดิน ดินหมายถึง เทหวัตถุธรรมชาติท่ีปกคลุมผิวโลก เกิดจากการแปรสภาพหรือสลายตัวของหินแร่ธาตุ และ อินทรีย์วัตถุผสมคลุกเคล้ากันตามธรรมชาติรวมกันเป็นช้ันบาง ๆ เม่ือมีน้าและอากาศท่ีเหมาะสมก็จะทาให้พืชเจริญเติบโต และยังชีพอยู่ได้ เน่ืองจากภาคตะวันตกส่วนใหญ่เป็นเขตเทือกเขาสูง เพราะฉะน้ันวัตถุแม่ดิน หรือแหล่งกาเนิดดินต้องเกิด จากการสลายตัวของหินที่เป็นกรด ดังนั้นดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ ค่อนข้างต่า ดินชนิดนี้ เรียกว่า ดินเรดเยลโล-พอดโซลิก (Red-yellow Podzolic Soils) ดินชนิดนี้ มีในเขตภูเขาท่ีเป็นกรด ส่วนในเขตที่มีหินปูน เช่น บริเวณเทือกเขาในเขตอาเภอ อุ้มผาง จังหวัดตาก และบริเวณปลายเทือกเขาถนนธงชัยระหว่างแม่น้าแควใหญ่กับแควน้อยจะเป็นพวกเรด-บราวด์ เอิท (Red-Brown earth) นอกจากนนั้ ยงั มดี ินทเี่ กิดจากการสลายตัวของสารหรือ หินภูเขาไฟ เราเรียกว่า ดินภูเขาไฟ ได้แก่พ้ืนท่ี บริเวณจังหวัดตาก เขตอาเภออุ้มผาง ท่ีราบลุ่มน้าแควน้อย เขตอาเภอสังขละบุรี อาเภอทองผาภูมิ อาเภอไทรโยค และ บรเิ วณแกง่ กระจาน เป็นต้น ในด้านสมรรถนะของท่ีดินในภาคตะวันตกปรากฏว่าพื้นท่ีเหมาะสาหรับการปลูกพืชไร่ มีประมาณ 25 % ของเนื้อท่ีภาค ทานา 5% ที่เหลือ 70 % ไมเ่ หมาะแก่การเพาะปลกู เพราะเป็น ที่ลาดชนั มาก หรอื มีดินเป็นทรายจดั
30 ควำมสำคัญของทรัพยำกรดิน ดินมีประโยชนม์ ากมายมหาศาลต่อมนุษย์และส่งิ มีชวี ิตอ่ืน ๆ คือ 1. ใช้ในการเกษตรกรรม ดินเปน็ ต้นกาเนิดของการเกษตรกรรม เปน็ แหล่งผลิตอาหารของมนุษย์ อาหารท่ีมนษุ ย์ เราบรโิ ภคทกุ วนั นมี้ าจากการเกษตรกรรมถึง 90 % 2. ใช้ในการเลยี้ งสตั ว์ พืชและหญา้ ที่ข้ึนอย่บู นดินเปน็ แหลง่ อาหารสัตว์ ตลอดจนเปน็ แหลง่ ที่อยู่อาศยั ของสัตว์ บางชนดิ เช่น งู หนู แมลง นาก ฯลฯ 3. เปน็ แหล่งทอ่ี ยู่อาศยั พน้ื ดินเปน็ แหล่งท่ีตงั้ ของเมือง บ้านเรือน ทาให้เกิดวัฒนธรรม และอารยธรรมของชุมชน ต่าง ๆ มากมาย 4. เป็นแหล่งกกั เก็บน้า ถ้านา้ ซ่ึงอยูใ่ นรูปของความช้นื ในดนิ มีอยู่มาก ๆ ก็จะกลายเปน็ น้าซมึ อยใู่ นดิน คือนา้ ใต้ ดิน นา้ เหลา่ นีจ้ ะค่อย ๆ ซมึ ลงทต่ี ่า เชน่ แมน่ า้ ลาคลอง ทาใหเ้ รามีนา้ ใช้ตลอดปี
31 ประโยชนข์ องดนิ ดินมปี ระโยชน์มากมายมหาศาลต่อมนุษยแ์ ละส่งิ มชี ีวติ อนื่ ๆ คือ 1. ประโยชนต์ ่อการเกษตรกรรม เพราะดนิ เปน็ ต้นกาเนดิ ของการเกษตรกรรมเป็นแหล่งผลิตอาหารของมนุษย์ ในดินจะ มีอินทรียวัตถุและธาตุอาหารรวมท้ังน้าท่ีจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช อาหารท่ีคนเราบริโภคในทุกวันนี้มาจากการ เกษตรกรรมถงึ 90% 2. การเลย้ี งสัตว์ ดนิ เปน็ แหลง่ อาหารสัตว์ท้ังพวกพืชและหญ้าที่ขึ้นอยู่ ตลอดจนเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์บางชนิด เช่น งู แมลง นาก ฯลฯ 3. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แผ่นดินเป็นท่ีต้ังของเมือง บ้านเรือน ทาให้เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรมของชุมชนต่าง ๆ มากมาย 4. เป็นแหล่งเกบ็ กกั น้า เนอื้ ดนิ จะมสี ่วนประกอบสาคญั ๆ คือ ส่วนที่เป็นของแข็ง ได้แก่ กรวด ทราย ตะกอน และส่วน ท่ีเป็นของเหลว คือ น้าซ่ึงอยู่ในรูปของความชื้นในดินซ่ึงถ้ามีอยู่มาก ๆ ก็จะกลายเป็นน้าซึมอยู่คือน้าใต้ดิน น้าเหล่าน้ีจะ ค่อย ๆ ซมึ ลงที่ตา่ เชน่ แม่น้าลาคลองทาให้เรามีนา้ ใชไ้ ด้ตลอดปี ชนดิ ของดิน อนุภาคของดินจะรวมตัวกันเข้าเกิดเป็นเม็ดดิน อนุภาคเหล่าน้ีจะมีขนาดไม่เท่ากัน ขนาดเล็กท่ีสุดคือ อนุภาคดินเหนียว อนุภาคขนาดกลางเรียกอนุภาคทรายแป้ง อนุภาคขนาดใหญ่เรียกว่า อนุภาคทรายเน้ือดิน จะมีอนุภาคทั้ง 3 กลุ่มนีผ้ สมกนั อยใู่ นสัดสว่ นทไี่ ม่เทา่ กันทาให้เกดิ ลักษณะของดนิ 3 ชนดิ ใหญ่ ๆ คือ ดินเหนียว ดินทราย และดินร่วน 1. ดินเหนียว เป็นดินท่ีเมื่อเปียกแล้วมีความยืดหยุ่น อาจป้ันเป็นก้อนหรือคลึงเป็นเส้นยาวได้เหนียว เหนอะหนะติดมือ เป็นดินที่มีการระบายน้าและอากาศไม่ดี มีความสามารถในการอุ้มน้าได้ดี มีความสามารถในการจับยึด และแลกเปล่ียนธาตุอาหารพืชได้สูง หรือค่อนข้างสูง เป็นดินท่ีมีก้อนเน้ือละเอียด เพราะมีปริมาณอนุภาคดินเหนียวอยู่มาก เหมาะทจ่ี ะใช้ทานาปลกู ข้าวเพราะเก็บน้าไดน้ าน 2. ดนิ ทราย เปน็ ดินท่มี กี ารระบายน้าและอากาศดมี าก มีความสามารถในการอุ้มน้าต่า มีความอุดมสมบูรณ์ ตา่ เพราะความสามารถในการจับยึดธาตุอาหารพืชมีน้อย พืชท่ีช้ันบนดินทรายจึงมักขาดท้ังอาหารและน้าเป็นดินที่มีเน้ือดิน ทรายเพราะมปี ริมาณอนภุ าคทรายมาก 3. ดินร่วน เป็นดินท่ีมีเน้ือดินค่อนข้างละเอียดนุ่มมือ ยืดหยุ่นได้บ้าง มีการระบายน้าได้ดีปานกลาง จัดเป็น เนื้อดินที่เหมาะสมสาหรับการเพาะปลูกในธรรมชาติมักไม่ค่อยพบ แต่จะพบดินที่มีเนื้อดินใกล้เคียงกันมากกว่า สีของดิน สี ของดินจะทาให้เราทราบถึงความอุดมสมบูรณ์ปริมาณอินทรียวัตถุที่ปะปนอยู่และแปรสภาพเป็นฮิวมัสในดิน ทาให้สีของดิน ต่างกนั ถา้ มีฮวิ มัสน้อยสีจะจางลงมคี วามอดุ มสมบูรณ์นอ้ ย
32 สำเหตุและผลกระทบของทรพั ยำกรดิน ดินส่วนใหญ่ถูกทาลายให้สูญเสียความอุดมสมบูรณ์หรือตัวเนื้อดินไป เนื่องจากการกระทาของมนุษย์และ การสูญเสียตามธรรมชาติ ทาให้เราไม่สามารถใช้ประโยชน์จากดินได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ ของดนิ เกิดจาก 1. การกัดเซาะดนิ อาจแบง่ ได้เปน็ 2 ประเภทด้วยกนั คอื 1.1 การกัดเซาะโดยธรรมชาติ หมายถึง การกัดเซาะซ่ึงเกิดข้ึนตามธรรมชาติ โดยการกระทาของน้า ลม แรงดงึ ดูดของโลก และนา้ แข็ง เช่นการชะลา้ ง แผน่ ดินเล่ือน การไหลของธาร นา้ คลน่ื เปน็ ต้น 1.2 การกัดเซาะท่ีมีตัวเร่ง หมายถึง การกัดเซาะท่ีมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงเข้ามาช่วยเร่งให้มีการพังทลาย เพ่ิมขึน้ จากธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนเป็นประจาอยู่แล้ว เช่น การตัดต้นไม้ทาลายป่า การทาการเพาะปลูกอย่างขาดหลักวิชา ทาให้ ดินไมม่ สี ิ่งปกคลุม จึงทาให้นา้ ลม ซง่ึ เปน็ ตัวการ กัดเซาะทส่ี าคัญพดั พาอนภุ าคดนิ สูญหายไป 2. การเพาะปลูกและเตรียมดินอย่างไม่ถูกวิธี จะก่อให้เกิดความเสียหายกับดินได้มาก เช่น การปลูกพืชบางชนิดจะ ทาให้ดินเสือ่ มเรว็ การเผาปา่ ไม้หรอื ตอขา้ วในนา จะทาให้ฮวิ มัสในดนิ เสื่อม สลายเกิดผลเสยี กบั ดนิ มาก ทรัพยำกรปำ่ ไม้ ความสาคญั ของทรัพยากรป่าไม้ ปา่ ไมม้ ีประโยชนม์ ากมายตอ่ การดารงชวี ติ ของมนุษย์ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ 1. ประโยชนท์ างตรง (Direct benefits) ไดแ้ กก่ ารนามาใช้สนองปัจจยั พ้นื ฐานในการดารงชีวิตของมนษุ ย์ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1. นามาสร้างอาคารบา้ นเรอื นและผลติ ภัณฑต์ ่าง ๆ เช่น เฟอรน์ ิเจอร์ กระดาษ ไม้ขดี ไฟ ฟืน เปน็ ต้น 2. ใช้เป็นอาหาร 3. ใชเ้ ส้นใยที่ได้จากเปลอื กไม้และเถาวัลย์ มาถักทอเปน็ เคร่ืองนงุ่ หม่ เชือก และอนื่ ๆ 4. ใชท้ ายารักษาโรคตา่ ง ๆ 2. ประโยชนท์ างอ้อม (Indirect benefits) 1. ป่าไม้เป็นแหล่งกาเนิดต้นน้าลาธาร เพราะต้นไม้จานวนมากในป่า จะทาให้น้าฝนที่ตกลงมาค่อย ๆ ซึมซับลง ในดิน กลายเปน็ น้าใตด้ นิ ซ่งึ จะไหลซึมมาหลอ่ เลยี้ งใหแ้ มน่ า้ ลาธารมีน้าไหลอยูต่ ลอดปี 2. ป่าไม้ทาใหเ้ กดิ ความชมุ ช้นื และควบคุมสภาวะอากาศ ไอน้าซ่งึ เกิดจากการหายใจของพืชจานวนมากในป่า ทา ให้อากาศเหนือป่ามีความช้ืนสูง เมื่ออุณหภูมิลดต่าลงไอน้า เหล่านั้นก็จะกล่ันตัวกลายเป็นเมฆแล้วกลายเป็นฝนตกลงมา ทา ให้บริเวณทมี่ ีพ้ืนที่ปา่ ไม้มคี วามชุมชื้นอย่เู สมอ ฝนตกต้องตามฤดูกาลและไม่เกิดความแหง้ แลง้ 3. ปา่ ไม้เปน็ แหลง่ พกั ผ่อนและศกึ ษาหาความรู้ บริเวณป่าไมจ้ ะมภี มู ปิ ระเทศท่ี สวยงามจากธรรมชาติรวมทั้งสัตว์ ป่าจึงเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจได้ดี นอกจากนั้นป่าไม้ยังเป็นที่รวมของพันธุ์พืชและพันธ์ุสัตว์จานวนมาก จึงเป็นแหล่งให้ มนุษย์ได้ศึกษาหาความรู้
4. ปา่ ไม้ชว่ ยบรรเทาความรุนแรงของลมพายุและป้องกันอุทกภัย โดยช่วยลดความเร็วของลมพายุท่ีพัดผ่าน33 ได้ต้ังแต่ 11-44% ตามลกั ษณะของป่าไมแ้ ต่ละชนดิ จึงช่วยใหบ้ า้ นเมือง รอดพ้นจากวาตภัยได้ ซ่ึงเป็นการป้องกันและควบคุม น้าตามแม่นา้ ไม่ให้สงู ขน้ึ อยา่ งมารวดเร็วลน้ ฝ่ังกลายเปน็ อุทกภยั 5. ป่าไม้ชว่ ยป้องกันการกดั เซาะและพัดพาหนา้ ดิน จากน้าฝนและลมพายโุ ดยลดแรงปะทะลง การหลุดเลื่อนของ ดินจึงเกิดข้ึนน้อย และยังเป็นการช่วยให้แม่น้าลาธารต่าง ๆ ไม่ ตื้นเขินขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ป่าไม้จะเป็นเสมือนเครื่องกีด ขวางตามธรรมชาติ จึงนับวา่ มีประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ดว้ ยเชน่ กัน 6. ช่วยให้เกิดวัฎจักรของน้า (Water Cycling) วัฎจักรของออกซิเจน วัฎจักรของคาร์บอน และวัฎจักรของ ไนโตรเจน ในเขตนิเวศ(Ecosphere) 7. ช่วยดูดซับมลพิษของอากาศ ประเภทของปำ่ ไมใ้ นประเทศไทย ประเภทของป่าไม้จะแตกตา่ งกันไปขึ้นอยกู่ ับการกระจายของฝน ระยะเวลาที่ฝนตกรวมท้ังปริมาณน้าฝนทา ใหป้ ่าแตล่ ะแห่งมีความชุ่มชนื้ ตา่ งกัน สามารถจาแนกได้เปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื ก. ป่าประเภททไี่ ม่ผลัดใบ (Evergreen) ข. ป่าประเภทที่ผลดั ใบ (Deciduous) ป่ำประเภททีไ่ ม่ผลัดใบ (Evergreen) ป่าประเภทนม้ี องดเู ขียวชอุ่มตลอดปี เนอื่ งจากต้นไมแ้ ทบท้ังหมดท่ีข้นึ อยเู่ ปน็ ประเภทที่ไม่ผลดั ใบ ปา่ ชนิด สาคัญซงึ่ จดั อยใู่ นประเภทนี้ ได้แก่ 1. ปา่ ดงดบิ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest) ป่าดงดิบท่ีมีอยู่ท่ัวในทุกภาคของประเทศ แต่ที่มีมากท่ีสุด ได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวันออก ในบริเวณน้ีมีฝนตก มากและมีความชืน้ มากในทอ้ งที่ภาคอน่ื ป่าดงดบิ มักกระจายอยบู่ รเิ วณที่มีความชุ่มช้นื มาก ๆ เช่น ตามหุบเขาริมแม่น้าลาธาร หว้ ย แหล่งนา้ และบนภูเขา ซง่ึ สามารถแยกออกเป็นป่าดงดบิ ชนดิ ต่าง ๆ ดงั น้ี 1.1 ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest) เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้น เบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตร จากระดับน้าทะเล ไม้ท่ีสาคัญก็คือ ไม้ตระกูลยางต่าง ๆ เช่น ยางนา ยางเสียน สว่ นไม้ชั้นรอง คอื พวกไมก้ อ เชน่ กอนา้ กอเดอื ย
1.2 ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) เป็นป่าท่ีอยู่ในพ้ืนท่ีค่อนข้างราบมีความชุ่มช้ืนน้อย เช่น ในแถบ34 ภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื มกั อยสู่ ูงจากระดับน้าทะเลประมาณ 300-600 เมตร ไม้ท่ีสาคัญได้แก่ มะคาโมง ยาง นา พยอม ตะเคยี นแดง กระเบากลัก และตาเสอื 1.3 ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest) ป่าชนิดนี้เกิดข้ึนในพื้นที่สูง ๆ หรือบนภูเขาตั้งแต่ 1,000-1,200 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้าทะเล ไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymonosperm ได้แก่ พวกไม้ขุนและสนสามพันปี นอกจากน้ียังมีไม้ตระกูล กอข้ึนอยู่ พวกไมช้ ้ันทสี่ องรองลงมาไดแ้ ก่ เปง้ สะเดาช้าง และขมน้ิ ตน้ 2. ป่าสนเขา (Pine Forest) ป่าสนเขามักปรากฏอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นท่ีซ่ึงมีความสูงประมาณ 200- 1800 เมตร ข้ึนไปจากระดับน้าทะเลในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางทีอาจปรากฏในพ้ืนที่สูง 200-300 เมตร จากระดบั นา้ ทะเลในภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ ปา่ สนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ชนิดพันธ์ุไม้ท่ีสาคัญของป่าชนิด นี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ สว่ นไมช้ นิดอื่นท่ีขึ้นอยดู่ ้วยได้แก่พันธไ์ุ ม้ป่าดิบเขา เช่น กอชนิดต่าง ๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบาง ชนดิ คือ เต็ง รงั เหียง พลวง เปน็ ต้น 3. ปา่ ชายเลน (Mangrove Forest) บางทีเรยี กว่า \"ปา่ เลนนา้ เค็ม\" หรอื ป่าเลน มตี ้นไม้ข้ึนหนาแน่นแต่ละชนิดมีราก ค้ายันและรากหายใจ ป่าชนิดนี้ปรากฏอยู่ตามที่ดินเลนริมทะเลหรือบริเวณปากน้าแม่น้าใหญ่ ๆ ซึ่งมีน้าเค็มท่วมถึงในพ้ืนที่ ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝ่ังทะเลทั้งสองด้าน ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากท่ีสุดคือ บริเวณปากน้าเวฬุ อาเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี พันธุ์ไม้ที่ข้ึนอยู่ตามป่าชายเลน ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สาหรับการเผาถ่าน และทาฟืนไมช้ นดิ ทสี่ าคัญ คือ โกงกาง ประสัก ถั่วขาว ถั่วขา โปรง ตะบูน แสมทะเล ลาพูนและลาแพน ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่าง มักเปน็ พวก ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ ปอทะเล และเปง้ เป็นตน้ 4. ป่าพรุหรือปา่ บงึ น้าจืด (Swamp Forest) ป่าชนิดนมี้ ักปรากฏในบริเวณทม่ี นี า้ จดื ทว่ มมาก ๆ ดนิ ระบายน้าไม่ดีป่า พรุในภาคกลาง มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ เช่น ครอเทียน สนุ่น จิก โมกบ้าน หวายน้า หวายโปร่ง ระกา อ้อ และแขม ในภาคใต้ป่าพรมุ ขี ึ้นอยูต่ ามบรเิ วณทมี่ ีนา้ ขงั ตลอดปีดนิ ป่าพรุทมี่ ีเนือ้ ท่มี ากทีส่ ุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาสดินเป็น พีท ซึ่งเป็นซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็นเวลานานป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ากร่อยใกล้ ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยหู่ นาแนน่ พน้ื ทีม่ ตี ้นกกชนดิ ต่าง ๆ เรยี ก \"ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่าเสม็ด\" อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ ต่าง ๆ มากชนดิ ขน้ึ ปะปนกัน ชนิดพันธุ์ไม้ที่สาคัญของป่าพรุ ได้แก่ อินทนิล น้าหว้า จิก โสกน้า กระทุ่มน้าภันเกรา โงงงันกะ ทง่ั หนั ไม้พนื้ ลา่ งประกอบดว้ ย หวาย ตะค้าทอง หมากแดง และหมากชนิดอ่นื ๆ 5. ป่าชายหาด (Beach Forest) เป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบขึ้นอยู่ตามบริเวณหาดชายทะเล น้าไม่ท่วมตามฝ่ังดินและ ชายเขาริมทะเล ต้นไม้สาคัญท่ีขึ้นอยู่ตามหาดชายทะเล ต้องเป็นพืชทนเค็ม และมักมีลักษณะไม้เป็นพุ่มลักษณะต้นคดงอ ใบ หนาแข็ง ไดแ้ ก่ สนทะเล หกู วาง โพธิท์ ะเล กระทงิ ตนี เปด็ ทะเล หยนี า้ มักมตี ้นเตยและหญ้าต่าง ๆ ข้ึนอยู่เป็นไม้พื้นล่าง ตาม ฝ่ังดินและชายเขา มักพบไม้เกตลาบิด มะคาแต้ กระบองเพชร เสมา และไม้หนามชนิดต่าง ๆ เช่น ซิงซ่ี หนามหัน กาจาย มะดันขอ เป็นต้น
ปำ่ ประเภททีผ่ ลดั ใบ (Declduous) 35 ป่ำประเภทที่ผลัดใบ (Declduous) ต้นไม้ท่ีขึ้นอยู่ในป่าประเภทน้ีเป็นจาพวกผลัดใบแทบทั้งสิ้น ในฤดูฝนป่าประเภทนี้จะมองดูเขียวชอุ่มพอถึง ฤดูแล้งต้นไม้ ส่วนใหญ่จะพากันผลัดใบทาให้ป่ามองดูโปร่งข้ึน และมักจะเกิดไฟป่าเผาไหม้ใบไม้และต้นไม้เล็ก ๆ ป่าชนิด สาคญั ซึง่ อยู่ในประเภทนี้ ไดแ้ ก่ 1. ป่าเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest) ป่าผลัดใบผสม หรือป่าเบญจพรรณมีลักษณะเป็นป่า โปร่งและยังมีไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ข้ึนอยู่กระจัดกระจายทั่วไปพื้นท่ีดินมักเป็นดินร่วนปนทราย ป่าเบญจพรรณ ในภาคเหนือ มักจะมีไม้สักข้ึนปะปนอยู่ทั่วไปครอบคลุมลงมาถึงจังหวัดกาญจนบุรี ในภาคกลางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาค ตะวันออก มีป่าเบญจพรรณน้อยมากและกระจัดกระจาย พันธ์ุไม้ชนิดสาคัญได้แก่ สัก ประดู่แดง มะค่าโมง ตะแบก เสลา อ้อยช้าง ส้าน ยม หอม ยมหิน มะเกลือ สมพง เก็ดดา เก็ดแดง ฯลฯ นอกจากน้ีมีไม้ไผ่ท่ีสาคัญ เช่น ไผ่ป่า ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่ รวก ไผไ่ ร เปน็ ตน้ 2. ป่าเต็งรัง (Declduous Dipterocarp Forest) หรือท่ีเรียกกันว่าป่าแดง ป่าแพะ ป่าโคก ลักษณะท่ัวไป เปน็ ป่าโปร่ง ตามพืน้ ป่ามกั จะมโี จด ต้นแปรง และหญา้ เพ็ก พ้ืนท่ีแห้งแล้งดินร่วนปนทราย หรือกรวด ลูกรัง พบอยู่ทั่วไปในท่ี ราบและท่ีภูเขา ในภาคเหนือส่วนมากขึ้นอยู่บนเขาท่ีมีดินตื้นและแห้งแล้งมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีป่าแดงหรือป่า เต็งรังนี้มากที่สุด ตามเนินเขาหรือที่ราบดินทรายชนิดพันธ์ุไม้ท่ีสาคัญในป่าแดง หรือป่าเต็งรัง ได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราด พะยอม ติ้ว แต้ว มะค่าแต ประดู่ แดง สมอไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟ้า ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างที่พบมาก ได้แก่ มะพร้าวเต่า ปมุ่ แป้ง หญ้าเพก็ โจด ปรงและหญ้าชนดิ อน่ื ๆ 3. ป่าหญ้า (Savannas Forest) ป่าหญ้าท่ีอยู่ทุกภาคบริเวณป่าที่ถูกแผ้วถางทาลายบริเวณพื้นดินที่ขาด ความสมบูรณ์และถูกทอดท้ิง หญ้าชนิดต่าง ๆ จึงเกิดข้ึนทดแทนและพอถึงหน้าแล้งก็เกิดไฟไหม้ทาให้ต้นไม้บริเวณข้างเคียง ล้มตาย พน้ื ท่ีปา่ หญ้าจึงขยายมากขึ้นทุกปี พชื ทพี่ บมากทสี่ ดุ ในปา่ หญ้าก็คือ หญ้าคา หญ้าขนตาช้าง หญ้าโขมง หญ้าเพ็กและ ป่มุ แป้ง บรเิ วณท่ีพอจะมีความชื้นอยู่บ้าง และการระบายน้าได้ดีก็มักจะพบพงและแขมข้ึนอยู่ และอาจพบต้นไม้ทนไฟข้ึนอยู่ เช่น ตบั เตา่ รกฟา้ ตานเหลอื ง ตว้ิ และแตว้
36 ประโยชน์ของทรัพยำกรป่ำไม้ ปา่ ไมม้ ปี ระโยชน์มากมายต่อการดารงชวี ิตของมนษุ ย์ท้ังทางตรงและทางอ้อม ได้แก่. ประโยชน์ทำงตรง (Direct Benefits) ได้แก่ ปัจจัย 4 ประการ 1. จากการนาไมม้ าสร้างอาคารบ้านเรือนและผลติ ภัณฑต์ ่าง ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ไม้ขีดไฟ ฟืน เป็นต้น 2. ใช้เปน็ อาหารจากสว่ นตา่ ง ๆ ของพืชและผล 3. ใชเ้ สน้ ใย ทีไ่ ดจ้ ากเปลอื กไมแ้ ละเถาวลั ย์มาถกั ทอ เปน็ เครื่องนงุ่ หม่ เชอื กและอืน่ ๆ 4. ใชท้ ายารักษาโรคต่าง ๆ ประโยชน์ทำงออ้ ม (Indirect Benefits) 1. ปา่ ไม้เปน็ เป็นแหล่งกาเนดิ ต้นนา้ ลาธารเพราะต้นไมจ้ านวนมากในปา่ จะทาให้น้าฝนท่ีตกลงมาค่อย ๆ ซึมซับลงใน ดนิ กลายเป็นนา้ ใตด้ ินซ่ึงจะไหลซมึ มาหลอ่ เลย้ี งให้แมน่ ้า ลาธารมีน้าไหลอยู่ตลอดปี 2. ปา่ ไม้ทาให้เกดิ ความชุม่ ช้นื และควบคมุ สภาวะอากาศ ไอน้าซึ่งเกิดจากการหายใจของพืช ซ่ึงเกิดขึ้นอยู่มากมายใน ป่าทาให้อากาศเหนอื ป่ามีความชื้นสูงเมื่ออุณหภูมิลดต่าลงไอน้าเหล่านั้นก็จะกล่ันตัวกลายเป็นเมฆแล้วกลายเป็นฝนตกลงมา ทาใหบ้ รเิ วณที่มีพน้ื ป่าไม้มคี วามชมุ่ ชนื้ อยูเ่ สมอ ฝนตกตอ้ งตามฤดูกาลและไม่เกดิ ความแหง้ แลง้ 3. ป่าไม้เป็นแหล่งพักผ่อนและศึกษาความรู้ บริเวณป่าไม้จะมีภูมิประเทศที่สวยงามจากธรรมชาติรวมท้ังสัตว์ป่าจึง เป็นแหล่งพกั ผ่อนหยอ่ นใจไดด้ ี นอกจากนั้นป่าไม้ยังเป็นที่รวมของพันธุ์พืชและพันธ์ุสัตว์จานวนมาก จึงเป็นแหล่งให้มนุษย์ได้ ศกึ ษาหาความรู้ 4. ปา่ ไมช้ ว่ ยบรรเทาความรุนแรงของลมพายุและป้องกันอุทกภัย โดยช่วยลดความเร็วของลมพายุท่ีพัดผ่านได้ต้ังแต่ ๑๑-๔๔ % ตามลกั ษณะของป่าไมแ้ ตล่ ะชนิด จึงช่วยให้บ้านเมืองรอดพ้นจากวาตภัยได้ซ่ึงเป็นการป้องกันและควบคุมน้าตาม แม่นา้ ไมใ่ หส้ ูงขึ้นมารวดเรว็ ล้นฝ่งั กลายเปน็ อุทกภัย 5. ป่าไม้ช่วยป้องกันการกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน จากน้าฝนและลมพายุโดยลดแรงปะทะลงการหลุดเลือนของดิน จงึ เกดิ ข้ึนน้อย และยงั เปน็ การช่วยให้แม่น้าลาธารต่าง ๆ ไม่ต้ืนเขินอีกด้วย นอกจากน้ีป่าไม้จะเป็นเสมือนเครื่องกีดขวางตาม ธรรมชาติ จงึ นบั วา่ มปี ระโยชน์ในทางยทุ ธศาสตร์ด้วยเชน่ กนั สำเหตผุ ลกระทบปัญหำทรพั ยำกรป่ำไม้ 1. การลักลอบตัดไม้ทาลายป่า ตัวการของปัญหาน้ี คือ นายทุนพ่อค้าไม้ เจ้าของโรงเล่ือย เจ้าของโรงงาน แปรรูปไม้ ผู้รับสัมปทานทาไม้และชาวบ้านท่ัวไป ซ่ึงทาการตัดไม้เพ่ือเอาประโยชน์จากเน้ือไม้ทั้งที่ถูกและไม่ถูกกฎหมาย ปริมาณป่าไม้ท่ีถูกทาลายนี้นับวันจะเพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ ตามอัตราการเพิ่มจานวนประชากร ย่ิงมีประชากรเพิ่มขึ้นเท่าใด ความ ต้องการใช้ไม้ก็เพ่ิมมากขึ้น เช่น ใช้ไม้ ในการปลูกสร้างบ้านเรือน เคร่ืองมือเครื่องใช้ในการเกษตรกรรม เครื่องเรือนและถ่าน ในการหุงตม้ เปน็ ต้น 2. การบุกรุกพื้นท่ีป่าไม้เพื่อเข้าครอบครองท่ีดิน เมื่อประชากรเพ่ิมสูงข้ึน ความต้องการใช้พื้นดินเพื่อปลูก สร้างท่ีอยู่อาศัยและที่ดินทากินก็สูงขึ้น เป็นผลให้ราษฎรเข้าไปบุกรุกพ้ืนที่ป่าไม้ แผ้วถางป่า หรือเผาป่าทาไร่เลื่อนลอย นอกจากนย้ี ังมีนายทุนทีด่ ินท่จี า้ งวานใหร้ าษฎรเข้าไปทาลายป่าเพอื่ จบั จองที่ดินไวข้ ายต่อไป
3. การส่งเสริมการปลูกพืชหรือเล้ียงสัตว์เศรษฐกิจเพื่อการส่งออกในพ้ืนที่ป่าที่ไม่เหมาะสม เช่น มัน37 สาปะหลงั ปอ เป็นต้น โดยไมส่ ง่ เสริมการใช้ทดี่ นิ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ท้ัง ๆ ท่ีพื้นท่ีป่าบางแห่งไม่เหมาะสมที่จะนามาใช้ใน การเกษตร 4. การกาหนดแนวเขตพื้นท่ีป่ากระทาไม่ชัดเจน หรือไม่กระทาเลยในหลาย ๆ พื้นท่ี ทาให้ราษฎรเกิดความ สับสนท้ังโดยเจตนาและไม่เจตนา ทาให้เกิดการพิพาทในเร่ืองที่ดินทากินและท่ีดินป่าไม้อยู่ตลอดเวลาและมักเกิดการ รอ้ งเรียนต่อตา้ นในเรื่องกรรมสทิ ธท์ิ ดี่ ิน 5. การจัดสรา้ งสาธารณูปโภคของรฐั เชน่ เขื่อน อา่ งเก็บน้า เส้นทางคมนาคม การสร้างเขื่อนขวางลาน้า จะ ทาให้พน้ื ที่เก็บน้าหน้าเขื่อนทีอ่ ุดมสมบรู ณถ์ กู ตดั โค่นมาใช้ประโยชน์ ส่วนต้นไม้ขนาดเล็กหรือที่ทาการย้ายออกมาไม่ทันจะถูก น้าท่วมยืนต้นตาย เช่น การสร้างเข่ือนรัชประภา เพื่อก้ันคลองพระแสงอันเป็นสาขาของแม่น้าพุมดวง-ตาปี ทาให้น้าท่วม บรเิ วณปา่ ดงดบิ ซ่งึ มพี ันธ์ไุ มห้ นาแนน่ สัตวน์ านาชนดิ นบั พนื้ ทเ่ี ป็นแสนไร่ ตอ่ มาจึงเกดิ ปัญหาน้าเนา่ ไหลลงลานา้ พมุ ดวง 6. ไฟไหม้ป่า มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง อากาศแห้งและร้อนจัด ทั้งโดยธรรมชาติและจากการกระทาของ มนุษย์ท่ีอาจลักลอบเผาป่าหรือเผลอจุดไฟท้ิงไว้ โดยเฉพาะในป่าผลัดใบ ไฟป่าเมื่อเกิดขึ้นจะทาให้เกิดการสูญเสียพ้ืนท่ีป่า จานวนมาก 7. การทาเหมืองแร่ แหลง่ แรท่ พ่ี บบรเิ วณที่มปี า่ ไมป้ กคลมุ อยู่ มคี วามจาเป็นที่จะต้องเปิดหน้าดินก่อน จึงทา ให้ป่าไม้ที่ข้ึนปกคลุมถูกทาลายลง เส้นทางการขนย้ายแร่ในบางคร้ังต้องทาลายป่าไม้ลงจานวนมาก เพื่อสร้างถนนหนทาง การระเบดิ หน้าดินเพอ่ื ให้ไดม้ าซึ่งแร่ธาตุสง่ ผลถงึ การทาลายป่า การจัดการการตลาด การจัดการการตลาด หมายถึง การดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ด้านธุรกิจ ซึ่งจะต้องมีการวางแผนการผลิต การกาหนด ราคา การจัดจาหน่าย ตลอดจนการดาเนินกิจการทุกอย่างเพ่ือสนองความต้องการ และบริการให้แก่ผู้ซ้ือหรือผู้บริโภคพอใจ ทั้งในเรอ่ื งราคาและบริการ ซึ่งแยกกล่าวได้ดังน้ี กำรวำงแผนกำรผลติ กอ่ นทจี่ ะตัดสนิ ใจดาเนนิ ธุรกจิ การทาผลติ ภัณฑ์ กระดาษสา จะต้องคานึงถึงสง่ิ ตอ่ ไปนี้ คือ 1. ทุน ถา้ ไม่มีทุนเป็นของตนเองต้องอาศัยแหล่งเงินกู้ จะต้องพิจารณาว่าแหล่งเงินกู้น้ันมาจากไหน ถ้ากู้จากเอกชนก็ ต้องเสยี ดอกเบยี้ แพงกวา่ สถาบันการเงิน ถ้าเสียดอกเบย้ี แพงจะค้มุ กับการลงทุนหรอื ไม่ 2. แรงงาน ถ้าสามารถใชแ้ รงงานในครอบครวั ไดก้ ็จะสามารถลดรายจา่ ยลงได้ 3. วัตถุดบิ สามารถหาได้งา่ ยในทอ้ งถน่ิ หรอื ไม่ หากไม่มใี นท้องถนิ่ จะมปี ญั หาเรื่องราคาและการขนส่งหรอื ไม่ 4. การจัดการ หมายถงึ การจดั การด้านตลาด การจัดจาหนา่ ย กอ่ นอน่ื ต้องคานึงถึงกลุ่มเป้าหมาย ที่จะนาผลิตภัณฑ์ ไปจาหนา่ ยการกาหนดราคาขาย ราคาตน้ ทนุ กาไร และการลงบญั ชีเบือ้ งต้น ส่ิงเหลา่ นี้จาเป็นอยา่ งยิ่งในการประกอบธุรกิจ กำรกำหนดรำคำขำย เมอ่ื ทาการผลติ ผลติ ภัณฑก์ ระดาษสาขึน้ มาเพื่อการจาหน่าย ส่ิงแรกท่ีต้องทาคือการ กาหนดราคาขายที่ผู้ซ้ือสามารถซ้ือได้ในราคาไม่แพงจนเกินไป และผู้ขายก็พอใจท่ีจะขายเพราะได้กาไรตามที่ต้องการ การ กาหนดราคาขายทาได้ดงั น้ี 1. ตดิ ตามความต้องการของลกู ค้า ลกู คา้ เปน็ ผู้กาหนดราคาขาย ถ้าลูกค้ามีความต้องการและสนใจมากก็จะ สามารถตงั้ ราคาได้สงู
2. ตั้งราคาขายโดยบวกราคาต้นทุนกับกาไรที่ต้องการก็จะเป็นราคาขาย ในกรณีเช่นนี้จะต้องรู้ราคา38 ต้นทุนมาก่อนจึงจะสามารถบวกกาไรลงไปได้ การตั้งราคาขายน้ี จะมีผลต่อปริมาณการขาย ถ้าตั้งราคาขายไม่แพง หรือต่า กว่าราคาตลาดกส็ ามารถขายได้จานวนมาก ผลท่ีไดร้ บั คอื ไดก้ าไรเพม่ิ มากขึ้นด้วยการกาหนดราคาขายมีหลายรูปแบบ แต่สิ่ง ที่สาคัญคือ ต้องคานึงถึงราคาท่ีสูงท่ีสุดที่ผู้ซื้อสามารถซ้ือได้และราคาต่าสุดท่ีจะได้เงินทุนคืนสรุป หลักเกณฑ์ในการกาหนด ราคาขาย มดี ังน้ี 1.1 ไดผ้ ลตอบแทนจากการลงทนุ ตามเปา้ หมาย 1.2 เพอื่ รักษาเสถยี รภาพด้านราคาไม่ถูกหรือแพงจนเกนิ ไป 1.3 เพื่อรักษาหรือปรับปรุงส่วนแบง่ ของการตลาด กล่าวคอื ตัง้ ราคาขายส่งถกู กว่าราคาขายปลีก เพื่อให้ ผู้รบั ซอ้ื ไปจาหน่ายปลีกจะได้บวกกาไรได้ด้วย 1.4 เพื่อแข่งขนั หรือป้องกนั คู่แขง่ ขันหรือผูผ้ ลติ รายอืน่ 1.5 เพื่อผลกาไรสงู สุด การกาหนดราคาขาย มหี ลักสาคญั คือ ราคาต้นทนุ + กาไรท่ีต้องการ ดังนั้น จึงจาเป็นต้องศกึ ษาเร่อื งราวการคดิ ราคาต้นทนุ ใหเ้ ขา้ ใจก่อน กำรคิดรำคำตน้ ทนุ การคดิ ราคาต้นทุน หมายถึง การคิดคานวณราคาวตั ถุดิบท่ใี ชใ้ นการผลติ มคี ่าแรง ค่าใช้จ่ายในการผลติ ประกอบดว้ ย คา่ เช่าสถานที่ ค่าไฟฟา้ ค่าขนสง่ ฯลฯ การคิดราคาต้นทุนมีประโยชน์ คือ 1) สามารถตง้ั ราคาขายไดโ้ ดยร้วู ่าจะไดก้ าไรเท่าไร 2) สามารถรวู้ ่ารายการใดท่ีก่อใหเ้ กดิ ตน้ ทุนสงู หากต้องการกาไรมากกส็ ามารถลดตน้ ทุนนน้ั ๆ ลงได้ 3) รถู้ งึ การลดต้นทนุ ในการผลติ แลว้ นาไปปรับปรงุ และวางแผนการผลิตเพม่ิ ข้นึ ตน้ ทุนกำรผลติ มี 2 อย่ำง คอื 1. ต้นทุนทางตรง หมายถึง ต้นทนุ ในการซ้ือวัตถุดิบรวมทั้งค่าขนสง่ 2. ต้นทุนทางอ้อม หมายถึง ตน้ ทุนท่ีจา่ ยเปน็ คา่ บริการต่าง ๆ เช่น คา่ แรงงาน คา่ ไฟฟา้ ค่าเชื้อเพลงิ ทงั้ น้ี ให้คิดเฉพาะส่วนท่ีเกีย่ วกบั การผลติ โดยตรง แล้วนาต้นทนุ ทั้งสองอย่างมาคดิ รวมกนั ก็จะได้เปน็ ราคาต้นทนุ รวม สรปุ การกาหนดราคาขาย จะตอ้ งคานึงถงึ 1. ต้นทุนทางตรง + ต้นทนุ ทางอ้อม คือ ต้นทุนรวม 2. การหากาไรทเ่ี หมาะสม ทาได้โดยเพ่ิมตน้ ทุนรวมขน้ึ อกี 20-30% ตวั อยำ่ ง ต้นทุนรวมในการทาดอกไม้จากกระดาษสา 500 บาท บวกกาไร 30% ของ 500 จะได้ = 150 บาท ฉะนัน้ ราคาขาย คือ ต้นทนุ + กาไร คือ 500 + 150 เท่ากบั 650 บาท โดยทั่วไปร้านค้าปลีกจะกาหนดราคาขาย โดยการบวกกาไรท่ีต้องการเข้ากับราคาต้นทุนการผลิตสินค้าน้ัน ๆ แต่บางรายก็กาหนดราคาสูง สาหรับการผลิตระยะเริ่มแรก เพราะความต้องการของตลาดค่อนข้างสูงในระยะเวลาอันส้ัน การเปล่ียนแปลงราคาขายอาจมีผลให้ยอดลดหรือเพ่ิมขึ้นแล้วแต่ภาวะแวดล้อม จึงต้องคานึงถึงเช่นเดียวกัน ดังน้ัน จึง สามารถคิดราคาขายได้ง่าย ๆ ดังน้ี ราคาขาย = ราคาทนุ (ตน้ ทุน + ค่าแรง) + กาไรท่ีตอ้ งการ
39 การผลติ และการจัดจาหนา่ ย 1. ประเภทของการจดั จาหน่าย มี 2 แบบ คือ 1) การจาหน่ายแบบสน้ั คอื การนาสินค้าจากผู้ผลิตส่รู ้านค้าปลกี หรือรา้ นคา้ ย่อยถงึ ผูซ้ ื้อหรอื ผบู้ ริโภคโดยตรง 2) การจัดจาหนา่ ยแบบยาว คือ การนาสนิ คา้ จากผผู้ ลิต (บา้ น) ถึงร้านคา้ ขายส่ง แล้วร้านค้าขายสง่ จาหนา่ ยตอ่ ไปยังร้านค้าขายปลกี ร้านคา้ ขายปลีกจาหนา่ ยต่อไปยังผูบ้ ริโภค สรุป การทาให้สินคา้ ท่ีผลติ ข้ึนสามารถขายไดจ้ านวนมาก มีวิธีดาเนนิ การได้หลายรูปแบบ คือ 1. จากผผู้ ลติ ถึง รา้ นขายสง่ ถึง ร้านขายปลีก ถงึ ผู้ซือ้ หรือผ้บู ริโภค 2. จากผู้ผลิต ผา่ น นายหน้า ถงึ ร้านค้าปลีก ถงึ ลูกค้า 3. จากผู้ผลิต ผา่ น นายหน้า ลกู ค้า (ผ้บู รโิ ภค) โดยตรง โดยระบบการขายฝากและสรา้ งภาพพจนข์ องสินค้า จูงใจผู้ซ้ือด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ เปน็ ต้น นอกจากน้ี ยังมีวิธีการส่งเสริมการจาหนา่ ยท่ีได้ผลอีก 2 ประการ คือ 1. การใหข้ ้อมลู จูงใจผซู้ ้ือและภาพพจนข์ องสนิ ค้าทผี่ ซู้ ือ้ ตอ้ งการ 2. ภาพพจน์ของสนิ คา้ ท่ีผซู้ ือ้ ตอ้ งการ และพอใจทาให้สนิ ค้านัน้ มีคา่ และมีราคาในตวั เองมากกว่าวสั ดุบรรจุ ภณั ฑท์ ีเ่ หมาะสม 2. คณุ ภาพและมาตรฐานของสนิ ค้า จะต้องผลติ ให้ตรงกบั ความต้องการและรสนิยมของกล่มุ เป้าหมายท้ังในด้านรูปแบบสสี ัน และประโยชน์ใช้ สอย 3. การโฆษณา ประชาสัมพนั ธ์ การทาการค้าจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพ่ือให้ผู้ซื้อรู้จักสินค้า สื่อที่ใช้ในการนี้ อาจจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร ใบปลิว หรือแผ่นพับแนะนาสินค้า หรืออาจจะทาเป็นแคตตาล็อกตัวอย่างสินค้า ป้ายโฆษณา นทิ รรศการออกรา้ นแสดงสนิ ค้า ตลอดจนโฆษณาผ่านส่ือวิทยแุ ละโทรทัศน์ อำ้ งอิง dnfe5.nfe.go.th/ilp/occupation/.../chap4.html - www.rmuti.ac.th/user/thanyaphak/...3/page15_tem.htm - guru.sanook.com/.../การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ_และส่งิ แวดลอ้ ม/ - k.domaindlx.com/rbrrice/data/pi4.htm www.oknation.net/blog/print.php?id=323548
Search
Read the Text Version
- 1 - 39
Pages: