Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาวิทยาศาสตร์ (พว21001) เล่ม 2

วิชาวิทยาศาสตร์ (พว21001) เล่ม 2

Description: รายวิชา วิทยาศาสตร์
(พว21001)
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เล่ม 2

Search

Read the Text Version

183 บทที สารและผลติ ภณั ฑ์ในชีวติ สาระสําคญั ความหมายของ สาร ผลิตภณั ฑ์ คุณสมบตั ิของสารประเภทต่าง ๆ ไดแ้ ก่ สารอาหาร สารปรุงแต่ง สารปนเปื อน สารเจือปน สารพิษ สารสังเคราะห์ ประโยชน์ของสารและผลิตภณั ฑ์ในชีวิตประจาํ วนั การเลือกใชส้ ารและผลิตภณั ฑอ์ ย่างปลอดภยั ผลกระทบและโทษทีเกิดจากการใชส้ ารและผลิตภณั ฑ์ ต่อชีวิตและสิงแวดลอ้ ม ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. อธิบายสารและสารสงั เคราะหไ์ ด้ 2. อธิบายการใชส้ ารและผลติ ภณั ฑข์ องสารบางชนิดในชีวติ ประจาํ วนั และเลอื กใชไ้ ด้ 3. อธิบายผลกระทบทีเกิดจากการใชส้ าร และผลติ ภณั ฑท์ ีมีต่อชีวิตและสิงแวดลอ้ ม ขอบข่ายเนือหา 1. สารและคุณสมบตั ิของสาร 2. สารสงั เคราะห์ 3. สารและผลิตภณั ฑใ์ นชีวิต 4. การเลอื กใชส้ ารและผลติ ภณั ฑใ์ นชีวิต 5. ผลกระทบทีเกิดจากการใชส้ ารและผลติ ภณั ฑต์ ่อชีวิตและสิงแวดลอ้ ม

184 เรืองที สารและคุณสมบตั ขิ องสาร สาระสําคญั ความหมายของสาร คุณสมบตั ิของสารประเภทต่าง ๆ ไดแ้ ก่ สารอาหาร สารปรุงแต่ง สารปนเปื อน สารเจือปน สารพิษ สารสังเคราะห์ คุณสมบตั ิและประโยชน์ของสาร ผลิตภณั ฑ์ในชีวิตประจาํ วนั การเลือกใชส้ ารอยา่ งปลอดภยั ในชีวิต และผลกระทบทีเกิดจากการใชส้ ารต่อชีวติ และสิงแวดลอ้ ม ความหมายของสารและผลติ ภัณฑ์ สาร หมายถงึ สิงทีมตี วั ตน มีมวลหรือนาํ หนัก ตอ้ งการทีอย่แู ละสามารถสมั ผสั ได้ เช่น ดิน หิน อากาศ พืช และสตั ว์ ทุกสิงทุกอยา่ งทีอยรู่ อบ ๆ ตวั เรา จดั เป็ นสารทงั สิน สารแต่ละชนิดมีสมบตั ิ แตกต่างกนั แต่สามารถเปลยี นแปลงสถานะได้ การทีสารมีสมบตั ิแตกต่างกนั และมีความสามารถในการเปลียนแปลงสถานะไดแ้ ตกต่างกนั นี ถือวา่ เป็นลกั ษณะเฉพาะของสารแต่ละชนิด ดงั นนั จึงมกี ารใชเ้ กณฑก์ ารพจิ ารณาและอธิบายสมบตั ิของ สารมาจดั จาํ แนกสาร และมีการทดสอบสมบตั ิของสารเพือพิสูจน์ว่าสารนนั เป็นสารชนิดใด เพราะหาก อาศยั แต่การสงั เกตหรือมองเห็นเพียงอยา่ งเดียวในบางครังก็ไมส่ ามารถจะตดั สินไดแ้ น่นอน ผลติ ภณั ฑ์ (Product) หมายถงึ สิงทีเสนอขายใหก้ บั ตลาด สามารถตอบสนองความตอ้ งการ ของลกู คา้ กลมุ่ เป้ าหมายได้ ผลิตภณั ฑท์ ีเสนอขายอาจจะสมั ผสั ไดห้ รือสมั ผสั ไม่ได้ ทงั นีรวมถึง สินคา้ บริการ สถานที องคก์ ร บุคคล หรือความคิด รูปภาพ ผลติ ภัณฑ์ทใี ช้ในชีวติ ประจาํ วนั . สารอาหาร (nutrients) หรือโภชนาสาร มีผใู้ ห้ความหมายไวด้ งั นี วีนัส และ ถนอมขวญั (2541) อธิบายว่า สารอาหาร หมายถึง สารประกอบเคมี หรือแร่ธาตุทีมีอยใู่ นอาหารชนิดต่างๆ ทีร่างกายตอ้ งการ สิริพนั ธุ์ (2542) อธิบายว่า สารอาหาร หมายถึง ส่วนประกอบทีเป็นสารเคมีทีมอี ยใู่ นอาหาร เมอื บริโภคเขา้ ไปแลว้ ร่างกายสามารถ นาํ ไปใชป้ ระโยชน์ได้ โดยคาร์โบไฮเดรต ไขมนั โปรตีน เป็นสารอาหารทีร่างกายตอ้ งการปริมาณมาก และเป็ นสารอาหารทีให้พลงั งานแก่ร่างกาย เรียก “macronutrients ” ส่วนวิตามิน และเกลือแร่เป็ น สารอาหารทีร่างกายตอ้ งการนอ้ ย และไม่ให้พลงั งาน เรียก “micronutrients” เสาวนีย์ (2544) อธิบายว่า สารอาหาร หมายถึง สารเคมีทีมีอยใู่ นอาหาร มี 6 ชนิด คือ

185 . คาร์โบไฮเดรต . โปรตีน . ไขมนั . วติ ามนิ . เกลือแร่ . นาํ สารอาหารแต่ละพวกทาํ หน้าทีอย่างใดอย่างหนึง หรือหลายอย่าง วินัย และคณะ (2545) อธิบายวา่ สารอาหาร หมายถงึ สารเคมที ีพบในอาหาร เป็นสารทีมคี วามสาํ คญั ต่อกระบวนการของชีวติ สรุป สารอาหาร หรือโภชนาสาร หมายถึง สารเคมีทีมีอย่ใู นอาหาร มี 6 ชนิด เป็ นสารทีมีความสาํ คญั ต่อกระบวนการทาํ งานของร่างกาย โดยแบ่งสารอาหารทีร่างกายตอ้ งการเป็ น สารอาหารทีตอ้ งการใน ปริ มาณมาก หรื อสารอาหารทีให้พลังงาน หรื อศพั ท์สมยั ใหม่เรี ยก สารอาหารมหภาค ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมนั และโปรตีน ซึงทําหน้าทีให้พลงั งาน และเสริ มสร้างเนือเยือในร่ างกาย สารอาหารทีตอ้ งการในปริมาณน้อย หรือ สารอาหารทีไม่ให้พลงั งาน หรือสารอาหารจุลภาค ไดแ้ ก่ วิตามนิ และเกลือแร่ ส่วนนาํ เป็นสารอาหารทีไมใ่ หพ้ ลงั งานแต่ช่วยสนบั สนุนการทาํ งานของร่างกาย ซึงจะขาดไมไ่ ด้ ทีผเู้ ขียนสรุปว่านาํ คือ สารอาหารตวั หนึงทงั นี เพราะนาํ เป็ นสารเคมีชนิดหนึงทีอย่ใู น อาหารทุกชนิดมากนอ้ ยขึนอยกู่ บั ชนิดของอาหาร การแบ่งประเภทของสารอาหาร แบ่งได้ (วนี สั และถนอมขวญั , ) ดงั นี 1. สารอาหารทีร่างกายตอ้ งการในปริมาณมาก ไดแ้ ก่ สารอาหาร คาร์โบไฮเดรต ไขมนั และ โปรตีน ซึงทาํ หนา้ ทีใหพ้ ลงั งาน และเสริมสร้างเนือเยอื 2. สารอาหารทีร่างกายตอ้ งการในปริมาณนอ้ ยไดแ้ ก่ วิตามิน และเกลือแร่ ร่างกายตอ้ งการ สารเหลา่ นีเพือกาํ หนด และควบคุมกระบวนการทาํ งานของร่างกายเพอื ดาํ รงไวซ้ ึงสุขภาพทีดี 3. นําเป็ นส่วนประกอบทีสําคญั ในการสนับสนุนการทาํ งานของสารอาหารทงั หมดใน กระบวนการทาํ งานของสิงมชี ีวิต 1.2 สารปรุงแต่ง สารปรุงแต่งอาหาร หมายถงึ สารปรุงรสอาหารใชใ้ ส่ในอาหารเพือทาํ ให้อาหารมีรสดีขึน เช่น นาํ ตาล นาํ ปลา นาํ สม้ สายชู นาํ มะนาว ซอสมะเขือเทศ และใหร้ สชาติต่าง ๆ ดงั รูป รูปภาพ สารปรุงแต่งรสอาหาร

186 กจิ กรรมการเรียนรู้ที 1 วธิ กี ารตรวจสอบ ผงชูรส เนืองจากผงชูรสเป็ นวตั ถุทีสังเคราะห์ขึนมา การตรวจสอบผงชูรสอาจทาํ ไดโ้ ดยการสงั เกต ลกั ษณะภายนอก แต่ในบางครังกเ็ ป็ นการยากในการสงั เกต วิธีทีดีทีสุดตอ้ งตรวจสอบโดยวิธีทางเคมี ซึงมวี ธิ ีการดงั นี 1. การเผา โดยการนาํ ผงชูรส ประมาณ 1 ชอ้ นชา ใส่ลงชอ้ นโลหะเผาบนเปลวไฟให้ ไหมแ้ ลว้ สงั เกต ถา้ เป็นผงชรู สแทจ้ ะไหมเ้ ป็นสีดาํ แต่ถา้ เป็นผงชูรสทีมสี ารอืนเจือปนจะเป็นสีขาว 2. ตรวจสอบดว้ ยกระดาษขมิน ซึงเตรียมโดยการเอาผงขมนิ ประมาณ 1 ชอ้ นชา ละลาย ในแอลกอฮอลห์ รือนาํ 10 ชอ้ นชา จะไดส้ ารสีเหลอื ง จากนนั จุ่มกระดาษสีขาวหรือผา้ ขาวลงในสารสี เหลือง นาํ ไปผงึ ใหแ้ หง้ จะไดก้ ระดาษขมินหรือผา้ ขมิน การตรวจสอบทาํ ไดโ้ ดยการละลายผงชูรสใน นาํ สะอาด จากนนั จุ่มกระดาษขมินหรือผา้ ขมินลงไปพอเปี ยก สงั เกตการเปลียนสี ถา้ เป็ นผงชูรสทีมี สารอนื เจือปนจะเปลยี นจากสีเหลอื งเป็นสีแดง แต่ถา้ ไม่เปลยี นสีเป็นผงชรู สแท้ 3. ตรวจดว้ ยนาํ ยาปูนขาวผสมนาํ สม้ สายชู การเตรียมนาํ ยาปนู ขาว ทาํ ไดโ้ ดยเอาปนู ขาว ครึงชอ้ นชา ละลาย ในนาํ สม้ สายชู 1 ชอ้ นชา คนใหล้ ะลายตงั ทิงไวใ้ หต้ กตะกอน จะไดส้ ่วนทีเป็ นนาํ ใส คือนาํ ยาปูนขาว การตรวจสอบทาํ ไดโ้ ดยการเอาผงชูรสมาประมาณ 1 ชอ้ นชา ละลายในนาํ เท นาํ ยาปนู ขาวลงไป 1 ชอ้ นชา สงั เกตการเปลยี นแปลง ถา้ เป็นผงชรู สแทจ้ ะไม่มตี ะกอนสีขาว แต่ถา้ เป็น ผงชูรสทีมีสารอนื เจือปนจะมตี ะกอนสีขาว กจิ กรรมการเรียนรู้ที 2 การตรวจสอบนําปลา มวี ธิ กี ารทดสอบดงั นี 1. หยดนาํ ปลาลงไปบนถ่านทีกาํ ลงั ติดไฟ ไดก้ ลินปลาไหมจ้ ะเป็ นนาํ ปลาแท้ ถา้ ไม่มีกลินเป็ น นาํ ปลาปลอม 2. นาํ มาตงั ทิงไวแ้ ลว้ ดกู ารตกตะกอน ถา้ เป็นนาํ ปลาแทจ้ ะไมต่ กตะกอน แตถ้ า้ เป็นนาํ ปลา ปลอมจะตกตะกอน 3. การกรองโดยการนาํ นาํ ปลามากรองดว้ ยกระดาษกรอง ถา้ กระดาษกรองไม่เปลียนสีเป็ นนาํ ปลา แท้ แต่ถา้ กระดาษกรองเปลยี นสี เป็นนาํ ปลาปลอม

187 กจิ กรรมการเรียนรู้ที 3 การตรวจสอบนําส้มสายชู มวี ธิ ี ดงั นี 1. การดมกลนิ ถา้ เป็นนาํ สม้ สายชูแทจ้ ะมีกลนิ หอมทีเกิดจากการหมกั ธญั พืชหรือผลไม้ ถา้ เป็ น นาํ สม้ สายชูปลอม จะมกี ลนิ ฉุนแสบจมกู 2. ทดสอบกบั ผกั ใบบาง เช่น ใบผกั ชี นาํ ลงไปแช่ลงในนาํ ส้มสายชูประมาณ 30 - 45 นาที ถา้ พบวา่ ใบผกั ชีไมเ่ หียวเป็นนาํ สม้ สายชูแท้ แต่ถา้ ใบผกั ชีเหียวเป็นนาํ สม้ สายชปู ลอม 3. ทดสอบใชเ้ จนเชียนไวโอเลต (Gentian Violet) หรือทีเรารู้จกั กนั ชือ ยาม่วง นาํ ไปผสมกบั นาํ ใหเ้ จือจาง จากนนั นาํ ไปหยดลงในนาํ สม้ สายชแู ท้ แต่ถา้ เปลียนเป็นสีเขียวหรือสีนาํ เงินออ่ น เป็นนาํ สม้ สายชูปลอม 1.3 สารปนเปื อน สารปนเปื อน (Contaminants) หมายถึง สารทีปนเปื อนกับอาหารโดยไม่ตงั ใจ แต่เป็ นผล ซึงเกิดจากกระบวนการผลิต กรรมวิธีการผลิต โรงงานหรือสถานทีผลิต การดูแลรักษา สิงปนเปื อน อาหารไมว่ ่าจะมีอยตู่ ามธรรมชาติหรือมนุษยส์ ร้างขึนนี หากจาํ แนกตามคุณสมบตั ิของสาร จะแบ่งได้ ประเภท คือ - สิงมีชีวติ (บคั เตรี หรือ แบคทีเรีย เชือรา เป็นตน้ ) - สารเคมี (สารกาํ จดั แมลง โลหะ สารพิษทีจุลนิ ทรียส์ ร้างขึน เป็นตน้ ) - สารกมั มนั ตรังสี 1.4 สารเจอื ปน สารเจอื ปน หมายถึง สารทีเติมลงไปเพือเพิมคุณลกั ษณะดา้ น สี กลิน รส ของอาหาร ให้มี ลกั ษณะใกลเ้ คียงธรรมชาติ อาจมีคุณค่าทางโภชนาการ หรือไม่ก็ได้ เป็ นสารทีตงั ใจเติมลงในอาหาร ไดแ้ ก่ สารปรุงแต่งสี สารปรุงแต่งกลนิ เช่น สียอ้ มผา้ รูปภาพสารเจอื ปนในอาหาร สาเหตุ ทีตอ้ งใส่วตั ถุเจือปนอาหารลงไปก็เพือวตั ถุประสงคท์ างดา้ นเทคโนโลยกี ารผลิต การเตรียม วตั ถุดิบ และ การแปรรูป การบรรจุ การขนส่ง การเกบ็ รักษาอาหาร และ มีผลหรืออาจมผี ลทางตรงหรือ ทางออ้ ม ทาํ ใหส้ ารนนั หรือผลิตผลพลอยไดข้ องสารนันกลายเป็ นส่วนประกอบของอาหารนัน หรือ

188 มผี ลต่อคุณลกั ษณะของอาหารนนั แต่ไมร่ วมถึง สารปนเปื อน หรือ สารทีเติมลงไปเพือปรับปรุงคุณค่า ทางอาหารของอาหาร โดยทีการใชว้ ตั ถุเจือปนอาหารตอ้ งมิไดม้ ีเจตนาหลอกลวงผบู้ ริโภค หรือปิ ดบงั การใชว้ ตั ถุดิบทีมีคุณภาพไม่ดี หรือการผลิตทีมีการสุขาภิบาลไม่ถกู ตอ้ งและตอ้ งไม่ทาํ ใหค้ ุณค่าทาง อาหารลดลงดว้ ย 1.5 สารพษิ สารพิษ หมายถึง สารทีเป็ นอนั ตรายต่อสิงมีชีวิต และทรัพยส์ ินสารพิษซึงมีหรือเกิดขึนใน สิงแวดลอ้ มรอบตัวเราทีเข้ามาปะปนหรือปนเปื อนอาหาร แลว้ ก่อให้เกิดอาการพิษแก่ผบู้ ริโภค นนั จาํ แนกตามแหล่งทีมาไดเ้ ป็น 3 ประเภทคือ 1. สารพิษทีมีอย่ตู ามธรรมชาติ ในส่วนประกอบของอาหารซึงจะพบอยใู่ นพืชและ สตั ว์ สิงเหลา่ นีจะมโี ทษต่อมนุษยก์ ด็ ว้ ย ความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไปเก็บเอาอาหารทีเป็ นพิษมา บริโภค เช่น พิษจากเห็ดบางชนิด ลูกเนียง แมงดาทะเลเป็ นพิษ สารพิษในหัวมนั สาํ ปะหลงั ดิบ เป็ นตน้ รูปภาพ แสดงตวั อย่างสารพษิ ทีมอี ย่ใู นธรรมชาติ 2. สารพิษทีเกิดจากการปนเปื อนในอาหารตามธรรมชาติ สารพิษทีมาจากจุลินทรีย์ ซึงมี 2 ประเภทใหญ่ คือ อนั ตรายทีเกิดจากตวั จุลินทรียแ์ ละอนั ตรายทีเกิดจากสารพิษทีจุลินทรีย์ สร้างขึนจุลินทรียท์ ีทาํ ใหเ้ กิดพษิ เนืองจากตวั ของมนั เอง มอี ยู่ 5 พวก ไดแ้ ก่ 1. แบคทีเรีย เช่น Salmonella Shigella Vibrio 2. รา เช่น Aspergillus Penicillin fusarum Rhizopus 3. โปรโตซวั เช่น Entamoeba histolytica 4. พาราสิต เช่น Trichinosis Tapeworms 5. ไวรัส เช่น Poliovirus Hepatitis Virus รูปภาพ แสดงตวั อย่างจลุ นิ ทรีย์ จุลินทรียท์ ีทาํ ใหเ้ กิดพษิ ภยั อนั เนืองมาจากสารพษิ ทีสร้างขึนในขณะทีจุลนิ ทรียน์ ันเจริญเติบโต แลว้ ปล่อยทิงไวใ้ นอาหาร มีทงั สารพิษของแบคทีเรีย และของเชือรา สารพิษทีสาํ คญั ทีพบ ไดแ้ ก่ สารพษิ ทีเกิดจาก Clostridium botulinum เป็ นจุลินทรียท์ ีเป็ นสาเหตุใหเ้ กิดพิษในอาหารกระป๋ องและ

189 สารพิษจากเชือรา ทีเรียกว่า Alflatoxin มกั จะพบในพืชตะกลู ถวั โดยเฉพาะถวั ลสิ งและผลิตภณั ฑ์จาก ถวั ลสิ ง ไดแ้ ก่ ถวั กระจก ขนมตุบ๊ ตบั นาํ มนั ถวั ลิสง เป็นตน้ 3. พิษทีเกิดจากสารเคมี ซึงปะปนมากบั อาหาร ได้แก่ สารหนู และโซเดียม ฟลูออไรด์ ทีมีอยใู่ นยาฆ่าแมลง หรือยาฆ่าวชั พืชต่าง ๆ สาํ หรับยาฆ่าแมลงซึงใชม้ ากเกินไปหรือเก็บ พืชผลเร็วกว่ากาํ หนดเมือกินผกั ผลไมเ้ ข้าไปจะทาํ ให้ร่างกายสะสมพิษ และเป็ นสาเหตุทาํ ให้เกิด มะเร็งได้ สาํ หรับพษิ จากสารปลอมปนและสารปรุงแต่งอาหารไดก้ ล่าวแลว้ รูปภาพ ตวั อย่างอาหารทีก่อให้เกดิ สารพษิ สะสมในร่างกาย ตารางแสดงตวั อย่างสารพษิ ทปี นมากบั อาหารและอาการของผ้ทู ไี ด้รับสารพษิ ชนดิ ของโลหะ อาการ ตะกวั ( Lead) - ระยะแรกร่างกายอ่อนเพลีย เบืออาหาร ปวดศีรษะ โลหิตจาง - ระยะทีสอง เป็นอมั พาตตามแขนขา สมองไม่ปกติ ชกั กระตุก เพอ้ คลงั หมดสติ แคดเมยี ม ( Cadmium ) - ทอ้ งเดิน ไอหอบ เหนือยง่าย โลหิตจาง กระดกู ผุ ตบั พกิ าร ไตพกิ าร ปรอท ( Mercury ) - ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ มือสัน นอนไม่หลบั มีอาการทางประสาท ระบบทางเดินอาหารและการทาํ งานของไตผดิ ปกติ โครเมียม ( Chromium ) - เวียนศรี ษะ เกดิ แผลทีจมกู ปอด ทางเดินอาหาร เบืออาหาร คลนื ไส้ อาเจียน หมดสติ มีอนั ตรายต่อตบั และไต อาจเสียชีวิตได้ เนืองจากปัสสาวะเป็ นพษิ สารหนู ( Arsenic ) - มีอาการทางผิวหนัง ตาอกั เสบ เส้นประสาทอกั เสบ ปวดศีรษะ วิงเวียน มอี าการทางสมอง ตบั และไตพิการ พลวง ( Antimony ) - อาเจียนบ่อย ๆ ถา่ ยอจุ จาระเป็นนาํ มพี ษิ ต่อตบั อยา่ งรุนแรง เซเรเนียม ( Selemium) - มอี าการปวดศีรษะบริเวณหนา้ ผาก ตกใจง่าย ลินเป็นฝ้ า ผวิ หนงั อกั เสบ ออ่ นเพลยี ตบั ถกู ทาํ ลาย

190 เรืองที สารสังเคราะห์ สารสังเคราะห์ (synthetic substance) สารทีไดจ้ ากปฏิกิริยาเคมีนาํ มาใชป้ ระโยชน์เพือทดแทนสารจากธรรมชาติซึงอาจมีปริมาณ ไมเ่ พยี งพอ หรือคุณภาพไมเ่ หมาะสม รูปภาพ สารสังเคราะห์ทไี ด้จากธรรมชาติ สารสังเคราะห์ คือ สารทีมนุษยศ์ กึ ษาคน้ ควา้ วจิ ยั จากธรรมชาติจนคิดว่ารู้ และเขา้ ใจในสิงนัน อยา่ งถ่องแทส้ ามารถสังเคราะห์สร้างสารนันขึนมาทดแทน การสร้างของธรรมชาติ ตลอดจนมีการ ดดั แปลงต่อเติมโครงสร้างบางประการใหเ้ ป็นตามทีตนตอ้ งการ โดยอาจไมค่ าํ นึงถึงผลกระทบต่อสมดุล ของธรรมชาติภายใตก้ ฎเกณฑก์ ารเกิดขึน ตงั อยแู่ ละดบั ไปโดยสมั พนั ธก์ บั มิติของชีวิตจิตวิญญาณของ มิติของกาลเวลาในธรรมชาติ ซึงก่อให้เกิดการรบกวนกฎเกณฑ์การควบคุมสมดุลของธรรมชาติ โดยปกติ เช่น การสังเคราะห์โพลิเมอร์หลายชนิดทีทนทานต่อการยอ่ ยสลายในสภาวะแวดลอ้ มปกติ ของธรรมชาติในปัจจุบนั การตดั ต่อพนั ธุกรรมพืช และสตั วใ์ หผ้ ดิ เพยี นจากววิ ฒั นาการปัจจุบนั โดยไม่ คาํ นึงถงึ ความเหมาะสม สมดุลในกาลปัจจุบนั โดยมงุ่ สนองต่อตณั หากิเลสความเก่งกลา้ ของตนเองเป็ น สาเหตุให้เกิดการสูญพนั ธุ์ ของพืช และสตั วห์ ลายชนิดจากการแทรกแซงวิถีปกติของธรรมชาติ เช่น การตดั ต่อเอาสารพนั ธุกรรมของแบคทีเรียไปใส่ไวใ้ นพืชตระกลู ฝ้ าย แลว้ จดสิทธิบตั รเป็ นพนั ธุ์พืชของ ตนเองเรียกวา่ ฝ้ าย BTในขณะเดียวกนั เพือเป็ นการปกป้ องการละเมิดสิทธิบตั รของตน หรืออาจเจตนา ทาํ ลายฝ้ ายธรรมชาติให้สูญพนั ธุห์ วงั การผกู ขาด การปลูกฝ้ ายจึงตดั ต่อยีนส์ให้ฝ่ าย BT เป็ นหมนั โดยไม่ไดม้ กี ารป้ องกนั การปนเปื อนยนี ส์ BT จากการผสมเกสรของแมลงใหเ้ ป็นหมนั ในรุ่นต่อมา หรือ ยนี ส์ BTของแบคทีเรียอาจกระตุน้ ใหฝ้ ้ าย BT สร้างสารพษิ ทาํ ลายแมลงในธรรมชาติ จนกระทบห่วงโซ่ ความสมดุลของแมลงในธรรมชาติจนเกิดการสูญพนั ธุข์ องพืชตระกลู ฝ้ ายและแมลงในธรรมชาติได้ จะเห็นไดว้ ่าการเกิดขึนของสารสงั เคราะห์ หรือการสงั เคราะห์สร้างสรรพสิงทีผดิ เพียนจาก ธรรมชาติโดยยงั ขาดความตระหนกั ในความละเอียดอ่อน ซบั ซอ้ น ลึกซึงในสมดุลของธรรมชาติอาจ ก่อใหเ้ กิดหายนะภยั แก่ธรรมชาติ และสิงแวดลอ้ มเกินกว่าจะแกไ้ ขเยียวยาไดใ้ นปัจจุบนั มนุษยพ์ บว่า อตั ราการสูญ เผา่ พนั ธุข์ องสิงมชี ีวติ ในธรรมชาติเพมิ ขึน ในอตั ราทีน่าตกใจความหลากหลายทางชีวภาพ ทีเสือมทรุดหดหายไป ยอ่ มหลีกไม่พน้ ทีจะกระทบต่อการดาํ รงอยขู่ องเผา่ พนั ธุม์ นุษยเ์ ช่นเดียวกบั การเกิด โรคอุบตั ิใหม่ทงั หลาย เช่น ไขห้ วดั ซาร์ส เอดส์ ไขห้ วดั นก และอืน ๆ และโรคความเสือมจากการเสีย

191 สมดุลของร่างกายจากผลกระทบของสารเคมสี งั เคราะห์ ซึงกระทบต่อสิงแวดลอ้ มกระทบต่อสมดุลของ ธาตุในร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน ไขมนั ในเลือด โรคไต และ ตบั วายจากการทาํ งานหนกั ในการขจดั สารแปลกปลอมต่างๆทีรบกวนสมดุลของร่างกายโดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ เหลา่ นีลว้ นเกิดจากผลกรรม ทีมนุษยแ์ ทรกแซงสมดุลของธรรมชาติใหเ้ สียไปทงั สิน สารสังเคราะห์ทีมสี มบัตคิ ล้ายฮอร์โมน สารสงั เคราะห์ทีมคี ุณสมบตั ิเหมอื นออกซิน สงั เคราะห์เพือใชป้ ระโยชนท์ างการเกษตร สาํ หรับ ใชเ้ ร่งรากของกิงตอนหรือกิงปักชาํ ช่วยในการเปลียนเพศดอกบางชนิด ช่วยให้ผลติดมากขึน ป้ องกนั การร่วงของผล สารสงั เคราะห์เหลา่ นี ไดแ้ ก่ - IBA (indolebutylic acid ) - NAA (naphtaleneacetic acid ) - 2, 4 - D (2-4 dichlorophenoxyacetic acid) สารสังเคราะห์ 2, 4-D นาํ ไปใชใ้ นวงการทหารในสงครามเวียดนาม ใชโ้ ปรยใส่ตน้ ไมใ้ นป่ า เพอื ใหใ้ บร่วง จะไดเ้ ห็นภูมิประเทศ ในป่ าไดช้ ดั ขึน สารสงั เคราะห์ทีมีคุณสมบตั ิเหมือนไซโทไคนิน นิยมนาํ มาใชก้ ระตุน้ การเจริญของตาพืช ช่วยรักษาความสด ของไมต้ ดั ดอกใหอ้ ยไู่ ดน้ าน ไดแ้ ก่ - BA (6-benzylamino purine) - PBA (tetrahydropyranyl benzyladenine) สารสงั เคราะห์ทีมีคุณสมบตั ิเหมือนเอทิลีน ไดแ้ ก่ - สารเอทิฟอน (ethephon, 2-chloroethyl phosphonic acid ) นํามาใชเ้ พิมผลผลิตของนํา ยางพารา - สาร Tria ใชเ้ ร่งการเจริญเติบโตของพืช ประเภทขา้ ว สม้ ยา กจิ กรรมการเรียนรู้ที 1 ปฏิกริ ิยาสะปอนนิฟิ เคชัน (การเตรียมสบู่) จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ทาํ การทดลองเตรียมสบ่ไู ด้ 2. อธิบายและเขียนสมการแสดงปฏิกิริยานาํ มนั พืชกบั สารละลาย NaOH ได้ อปุ กรณ์ 1. ถว้ ยกระเบืองขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 8 cm 1 ใบ 2. ขวดรูปกรวยขนาด 100 cm3 1 ใบ 3. ปี กเกอร์ขนาด 250 cm3 1 ใบ

192 4. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 1 ใบ 5. แท่งแกว้ คน 1 อนั 6. จุกยางปิ ดขวดรูปกรวยขนาด 100 cm3 1 อนั 7. ตะเกียงแอลกอฮอลพ์ ร้อมทีกนั ลม 1 ชุด สารเคมี 1. นาํ มนั พืช 3 cm3 (นาํ มนั มะกอกหรือนาํ มนั มะพร้าว) 2. สารละลาย NaOH 2.5 mod/dm3 จาํ นวน 5 cm3 3. นาํ 20 cm3 ลาํ ดบั ขันตอนการปฏิบตั ิ 1. ผสมนาํ มนั มะกอก 3 cm3 กับสารละลาย NaOH 2.5 mod/dm3 จาํ นวน 5 cm3 ในถว้ ย กระเบืองใหค้ วามร้อนและคนตลอดเวลาจนสารในถว้ ยกระเบืองเกือบแห้งตงั ทิงไวใ้ ห้เยน็ สงั เกตการ เปลียนแปลงทีเกิดขึนและบนั ทึกผล 2. แบ่งสารจากขอ้ 1 จาํ นวนเล็กนอ้ ยใส่ลงในขวดรูปกรวยแลว้ เติมนาํ ลงไป 5 cm3 ปิ ดจุกแลว้ เขยา่ บันทกึ ผลการทดลอง สารทีไดจ้ ะมีสีเหลอื งออ่ นปนนาํ ตาล มีกลนิ คลา้ ยสบู่ เมือเติมนาํ ลงไปแลว้ เขยา่ พบว่า เกิดฟอง สรุปและอภิปรายผล สารทีเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างนาํ มนั มะกอกกบั สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) คือ สบู่ เรืองที 3 สารและผลติ ภณั ฑ์ทใี ช้ในชีวติ สารเคมใี นชีวติ ประจาํ วนั ในชีวิตประจาํ วนั เราจะตอ้ งเกียวขอ้ งกบั สารหลายชนิด ซึงมีลกั ษณะแตกต่างกนั สารทีใชใ้ น ชีวติ ประจาํ วนั จะมสี ารเคมีเป็นองค์ประกอบ ซึงสามารถจาํ แนกเป็ นสารสังเคราะห์และสารธรรมชาติ เช่น สารปรุงรสอาหาร สารแต่งสีอาหาร สารทาํ ความสะอาด สารกาํ จดั แมลงและสารกาํ จดั ศตั รูพืช เป็ นตน้ ในการจาํ แนกสารเคมีเป็ นพวก ๆ นันเราใชว้ ตั ถุประสงค์ในการใชเ้ ป็ นเกณฑ์การจาํ แนก ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี ผลติ ภณั ฑ์ทาํ ความสะอาดคอมพวิ เตอร์ (Computer Cleaners) ทีมีจาํ หน่ายเป็นส่วนผสมของอะลฟิ าติกไฮโดรคาร์บอนหลาย ๆ ชนิด (aliphatic hydrocarbon) 35 % อะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอนนีเป็ นส่วนประกอบหลกั ของผลิตภณั ฑ์ทีใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั หลาย ชนิด เช่น นาํ มนั สน แก๊สโซลีน สีนํามนั เป็ นตน้ คุณสมบัติของอะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอนคือไวไฟ ได้ อะลฟิ าติกไฮโดรคาร์บอนส่วนใหญ่ หากสมั ผสั ซาํ ๆ ทาํ ใหผ้ วิ หนงั แหง้ เนืองจากมนั สามารถละลาย

193 ไขมนั ทีผวิ หนงั ไดด้ ี ซึงอาจทาํ ใหผ้ วิ หนงั เกิดอาการแพเ้ ช่นเป็ นผนื แดง คนั เป็ นตุ่มพอง เป็ นแผลระบม ฟกชาํ ตกสะเก็ด และอะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอนบางชนิด เช่น n-hexane ยงั เป็ นสารพิษทียบั ยงั หรือ ทาํ ลายเนือเยอื ของระบบประสาท หากสูดไอระเหยเขา้ ไปเป็ นเวลานานอย่างต่อเนือง การไดร้ ับสารทงั แบบระยะสันในปริมาณมากหรือต่อเนืองในระยะยาวทาํ ให้มีปัญหาดา้ นสุขภาพ เช่น การกดระบบ ประสาทส่วนกลาง หวั ใจลม้ เหลว หมดสติ โคม่า และอาจถึงตายได้ ดงั นันในการใชส้ ารพิษชนิดนีเป็ น ประจาํ ควรมีเครืองป้ องกนั การหายใจ และใชใ้ นทีมีอากาศถ่ายเทไดด้ ี หลีกเลียงการใชใ้ นทีปิ ด เช่น หอ้ งปรับอากาศ หรือในมมุ อบั อากาศ และควรสวมถงุ มอื ดว้ ย ผลติ ภณั ฑ์เพมิ ความชุ่มชืนของผวิ หนงั (Moisturizer) ปกติผวิ หนงั จะมกี ารปกป้ องการสูญเสียนาํ ตามธรรมชาติอยแู่ ลว้ โดยมีผวิ หนงั ขีไคล ซึงเป็ น แผน่ ใสคลมุ ผวิ อยู่ นอกจากนนั ยงั มนี าํ มนั หลอ่ เลยี งผวิ หนงั ซึงช่วยเกบ็ ความชุ่มชืนของผวิ ไวอ้ ีกชนั หนึง แต่บางคนหรือบางสถานการณ์ เช่น โรคหนงั แหง้ จากพนั ธุกรรม การชาํ ระลา้ งเกินความจาํ เป็ น หรือใน ภาวะอากาศแห้งในฤดูหนาว หรือการทาํ งานในห้องปรับอากาศ นาํ จะระเหยจากผวิ หนังเพิมมากขึน ผลติ ภณั ฑเ์ พมิ เพือความชุ่มชืนจึงเป็นทีนิยม จนกลายเป็นความจาํ เป็นขึนมา ลกั ษณะของผลิตภณั ฑ์มีทงั ชนิดครีม โลชนั ขุ่น โลชนั ใส เจล สเปรย์ หลกั การทาํ งานของมนั ก็คือ เพือให้ผิวหนังมีความชุ่มชืน เพิมขึน องค์ประกอบมีทงั สารช่วยเพิมนาํ ในชนั ผิวหนัง เช่น กรดอะมิโน โซเดียมพีซีเอ (Sodium Pyrrolidone Carboxylic Acid) โพลิเพปไทด์ ยเู รีย แลคเตต เป็ นตน้ ส่วนสารป้ องกนั การระเหยของนาํ จากชันผิวก็เป็ นพวกนํามนั และขีผึง ไขสัตว์ ซิลิโคน บางผลิตภัณฑ์จะเติมสารดูดความชืนจาก บรรยากาศเพอื ป้ องกนั การระเหยของนาํ จากเนือครีม เช่น กลีเซอรีน นาํ ผงึ กรดแลคติก เอ เอช เอ (AHA) กบั ความงามบนใบหน้า AHA ยอ่ มาจาก Alpha Hydroxyl Acids มีสรรพคุณทีกลา่ วขวญั วา่ เป็นสารช่วยลดริวรอยจุดด่าง ดาํ บนผวิ หนงั ได้ จึงใชผ้ สมกบั ครีมและโลชนั เครืองสาํ อางทีมี AHA เป็ นส่วนประกอบถูกจดั ในกลุ่ม เดียวกบั สารเคมีสาํ หรับลอกผวิ ซึงใชง้ านกนั ในหมแู่ พทยผ์ วิ หนงั และศลั ยกรรมพลาสติก AHA ทีใชก้ นั มากคือ กรดไกลโคลิก และกรดแลกติก แต่ยงั มหี ลายชนิดทีใชเ้ ป็นส่วนประกอบ โดยปกติทีวางตลาดมี ความเขม้ ขน้ ร้อยละ 10 หรือนอ้ ยกวา่ นนั แต่ในกรณีของผเู้ ชียวชาญดา้ นผิวหนงั สามารถใชไ้ ดถ้ ึงระดบั ความเขม้ ขน้ ร้อยละ 20 - 30 หรือสูงกวา่ นนั AHA จดั อยใู่ นผลิตภณั ฑ์ทีไม่ใช่เครืองสาํ อางทวั ไป แต่อยู่ ในหมวดของเวชสาํ อาง (Cosmeceutical) ตามองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ซึงให้ ความสนใจเป็นพิเศษ เนืองจาก AHA ไม่เหมอื นเครืองสาํ อางทวั ไป แต่มนั ซึมผา่ นเขา้ ไปในชนั ผิวหนงั ได้ และหากเขม้ ขน้ พอก็จะลอกผิว ซึงเกิดผลในทางลบคือทาํ ให้เซลลผ์ ิวเสือมเร็วขึน และยงั ทาํ ให้ ผิวหนังชนั นอกบางลงด้วย ผูใ้ ชผ้ ลิตภณั ฑ์ทีมี AHA จาํ นวนหนึง ใชแ้ ลว้ พบว่าผิวของตนไวต่อ แสงอาทิตยม์ ากขึน หรือแพแ้ ดดนนั เอง การทดลองใชก้ รดไกลโคลิกเขม้ ขน้ และต่อเนือง จะพบอาการ ผิวแดงและทนต่อแสงยวู ีไดน้ อ้ ยลง องค์การทีดูแลความปลอดภยั ของผบู้ ริโภค ไดส้ รุปผลในการใช้

194 AHA อย่างปลอดภยั ให้มีความเขม้ ขน้ ไม่เกินร้อยละ 10 และเมือผสมพร้อมใชจ้ ะตอ้ งมีค่าความเป็ น กรด-ด่างไม่ตาํ กวา่ 3.5 นอกจากนนั ผลิตภณั ฑน์ นั ยงั ตอ้ งมีส่วนผสมทีช่วยลดระดบั ความไวต่อแสงแดด หรือมีสารกนั แดด หรือมีขอ้ ความแนะนาํ ใหใ้ ชค้ วบคู่กบั ผลิตภณั ฑ์สาํ หรับกนั แดด ถา้ อยากทราบว่า ผลิตภณั ฑท์ ีใชอ้ ยมู่ ี AHA หรือไม่ลองอา่ นฉลากดู และมองหาชือสารเคมีต่อไปนี - กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) - กรดแลคติก (Lactic acid) - กรดไกลโคลกิ และแอมโมเนียมไกลโคเลต (Glycolic acid and Ammonium glycolate) - กรดอลั ฟาไฮดรอกซีคาโพรลิก (Alphahydroxy caprylic acid) - กรดผลไมร้ วม (Mixed fruit acid) - กรดผลไมส้ ามอยา่ ง (Triple fruit acid) - กรดผลไมช้ นิดไตรอลั ฟาไฮดรอกซี (Tri-alpha hydroxyl fruit acid) - สารสกดั จากนาํ ตาลออ้ ย (Sugar cane extract) ผลติ ภณั ฑ์กาํ จดั สิงอุดตนั การเกิดสิงอุดตนั ในท่อโดยเฉพาะท่อนาํ ทิงจากอ่างลา้ งชาม ส่วนหนึงเกิดจากไขมนั จากเศษ อาหารแขง็ ตวั เกาะอยใู่ นท่อ สารเคมที ีใชเ้ ป็ นผลิตภณั ฑก์ าํ จดั สิงอุดตนั ส่วนใหญ่คือโซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือ โซดาไฟ (sodium hydroxide) ซึงมีทงั ชนิดผงหรือเมด็ และชนิดนาํ ความเขม้ ขน้ ของทงั 2 ชนิดจะ แตกต่างกนั ชนิดผงจะมีความเขม้ ขน้ ของโซเดียมไฮดรอกไซด์ ประมาณ 50% โดยนาํ หนกั ในขณะที ชนิดนาํ จะมีความเขม้ ขน้ ประมาณ 25% โดยนาํ หนักโซเดียมไฮดรอกไซด์ จะทาํ ปฏิกิริยากบั สิงอุดตนั ประเภทไขมนั กลายเป็นสารทีละลายนาํ ได้ โซเดียมไฮดรอกไซด์ มีความเป็นพษิ มาก เพราะฤทธิกดั กร่อน การสมั ผสั ทางผิวหนงั ทาํ ใหเ้ กิด แผลไหม้ การสมั ผสั ถูกตามีฤทธิกดั กร่อน ทาํ ใหเ้ กิดการระคายเคืองอย่างรุนแรง เป็ นแผลแสบไหม้ อาจทาํ ใหม้ องไม่เห็นและถึงขนั ตาบอดได้ การหายใจเอาฝ่ ุนหรือละอองของสารอาจทาํ ให้เกิดการ ระคายเคืองเลก็ นอ้ ยของทางเดินหายใจส่วนบนไปจนถงึ ระคายเคืองอยา่ งรุนแรง ทงั นีขึนอย่กู บั ปริมาณ ของการไดร้ ับสาร อาการอาจมกี ารจาม เจ็บคอ มีนาํ มกู เกิดการหดเกร็งของกลา้ มเนือ อกั เสบ การบวม นาํ ทีถงุ ลม และเกิดอาการบวมนาํ ทีปอด การกลืนหรือกินทาํ ให้เกิดการไหมอ้ ย่างรุนแรงของปาก คอ และช่องทอ้ ง ทาํ ให้เนือเยือเป็ นแผลรุนแรงและอาจตายได้ อาการยงั รวมถึงเลือดออกในช่องท้อง

195 อาเจียน ทอ้ งเสีย ความดนั เลือดตาํ การปฐมพยาบาลควรลา้ งบริเวณทีไดร้ ับสารดว้ ยนาํ อยา่ งน้อย 15 นาที โซเดียมไฮดรอกไซดเ์ มือละลายในนาํ จะใหค้ วามร้อนสูงจนอาจเดือดกระเด็นเป็นอนั ตรายได้ และ ยงั ทาํ ใหเ้ กิดละอองทีมกี ลนิ ฉุนและระคายเคืองมาก หา้ มผสมหรือใชร้ ่วมกบั ผลิตภณั ฑท์ ีมีสมบตั ิเป็ นกรด ดังนันห้ามผสมนํายาล้างห้องนําซึงมีฤทธิเป็ นกรด เพราะโซเดียมไฮดรอกไซด์มีฤทธิเป็ นเบส ซึงเกิดปฏกิ ิริยารุนแรงและทาํ ใหส้ ารหมดประสิทธิภาพ ความเป็นด่างของโซเดียมไฮดรอกไซด์ มผี ลต่อ พีเอชหรือความเป็ นกรดด่างของสิงแวดลอ้ มจน ทาํ ใหส้ ิงมีชีวิตในนาํ ตายได้ ห้ามทิงลงสู่แหล่งนํา นาํ เสีย หรือดิน ทางทีดีจึงควรหลีกเลียงใชผ้ ลิตภณั ฑ์กาํ จดั สิงอุดตนั ประเภทนี หากจาํ เป็ นควรใช้ โซเดียมไฮดรอกไซด์ อยา่ งระมดั ระวงั ไม่สัมผสั สารโดยตรง ควรใส่ถุงมือ และใชส้ ารใหห้ มดภายใน ครังเดียว การเก็บรักษาควรเก็บใหม้ ิดชิด และปิ ดฝาใหส้ นิทเนืองจากโซเดียมไฮดรอกไซด์ดูดความชืน และคาร์บอนไดออกไซดจ์ ากอากาศไดด้ ีมาก ทาํ ใหป้ ระสิทธิภาพลดลง ผลติ ภัณฑ์ไล่ยงุ (Insect Repellents) ผลิตภณั ฑไ์ ลย่ งุ (Insect Repellents) ทีใชก้ นั มีสารเคมที ีเป็นสารออกฤทธิคือ DEET, ไดเมทิล พทาเลต (dimethyl phthalate) และ เอทิลบิวทิลอเซติลามิโน โพรพิโนเอต (ethyl butylacetylamino propionate) ผลติ ภณั ฑไ์ ลย่ งุ มหี ลายรูปแบบ ทงั แบบสเปรย์ ลกู กลงิ (roll on) โลชนั ทากนั ยงุ และแป้ งทาตวั DEET หรือ diethyltoluamide เป็ นสารออกฤทธิทีนิยมใชม้ าก เป็ นพิษแบบเฉียบพลนั ไม่มากนกั ถา้ สัมผสั ทาง ผวิ หนังก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและตา หากสูดดมเข้าไป ทาํ ให้เกิดการระคายเคืองที แผน่ เยอื เมอื กและทางเดินหายใจส่วนบน และการไดร้ ับสารเป็นเวลานานอาจก่อใหเ้ กิดอาการแพไ้ ด้ ในการทดลองกบั หนูการไดร้ ับสารแบบเรือรังจะก่อให้เกิดการกลายพนั ธุ์และมีผลต่อทารกในครรภ์ ความเขม้ ขน้ ของ DEET ในผลติ ภณั ฑไ์ ลย่ งุ อยรู่ ะหว่าง 5 - 25% โดยนาํ หนกั ปริมาณ % ทีมากขึนไม่ได้ หมายถงึ ประสิทธิภาพในการไล่ยงุ จะมากขึน แต่หมายถงึ ระยะเวลาในการป้ องกนั ยุงนานขึน เช่นที 6% จะป้ องกนั ยงุ ได้ 2 ชวั โมง ในขณะที 20% จะป้ องกนั ยงุ ได้ 4 ชวั โมง dimethyl phthalate มีความเป็ นพิษ ปานกลาง อาจทาํ ใหเ้ กิดการระคายเคืองเช่นเดียวกบั DEET แลว้ ยงั กดระบบประสาทส่วนกลาง รบกวน ระบบทางเดินอาหาร ทาํ อนั ตรายต่อไต มีความเสียงทาํ ใหเ้ กิดการพิการแต่กาํ เนิดของทารกในครรภ์ มีความเป็นพิษเลก็ นอ้ ยต่อสิงมชี ีวิตในนาํ โดยเฉพาะกบั ปลา Ethyl butylacetylamino propionate มคี วาม เป็ นพิษปานกลาง ก่อให้เกิดการระคายเคืองตา นอกจากใช้ไล่ยุงแล้ว Ethyl butylacetylamino propionate มปี ระสิทธิภาพในการไลม่ ด แมลงวนั แมงมุม เห็บ หมดั อีกดว้ ย ผลิตภณั ฑไ์ ล่ยงุ ส่วนใหญ่ มผี ลต่อการกลายพนั ธุห์ ากใชอ้ ยา่ งต่อเนือง ดงั นนั ควรใชเ้ มือจาํ เป็นเท่านนั และควรใชอ้ ยา่ งระมดั ระวงั ... คาํ แนะนาํ ในการใช้ - ไมค่ วรใชท้ าผวิ หนงั ทีมีเสือผา้ ปกปิ ดอยู่ - อยา่ ทาบริเวณทีมีบาดแผลหรือรอยผนื คนั

196 - อย่าทาบริเวณดวงตา ปาก ถา้ ใชแ้ บบสเปรยใ์ หฉ้ ีดสเปรยล์ งบนมือก่อนแลว้ จึงทาทีใบหน้า อยา่ ฉีดสเปรยเ์ ขา้ ทีใบหนา้ โดยตรง - หา้ มเด็กใชผ้ ลิตภณั ฑด์ ว้ ยตวั เอง ควรทาบนมือก่อนแลว้ จึงทาให้เด็ก อยา่ ฉีดหรือเทลงบนมือ ของเด็ก - ใช้ในปริมาณทีเพียงพอสาํ หรับปกป้ องผิว ไม่จาํ เป็ นต้องทาให้หนาเพราะไม่ช่วยเพิม ประสิทธิภาพในการไล่ยงุ - ถา้ ใชแ้ ลว้ เกิดผนื หรือเกิดผลขา้ งเคียง ควรลา้ งออกดว้ ยนาํ สบู่ แลว้ ไปพบแพทยพ์ ร้อมกบั นาํ ผลิตภณั ฑไ์ ปดว้ ย - งดใชใ้ นสตรีมคี รรภ์ ลูกเหมน็ (Mothball) ลกู เหมน็ ทีเราคุน้ เคยมีลกั ษณะเป็นกอ้ นกลมสีขาวขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 1 เซนติเมตร เอาไวใ้ ส่ในตูเ้ สือผา้ หรือตเู้ ก็บรองเทา้ เพอื ระงบั กลนิ และป้ องกนั แมลงกดั แทะ เพราะลูกเหมน็ ใหไ้ อทีมี กลินออกมาจากสารเคมที ีเป็นของแข็ง เรียกวา่ ระเหิดออกมา (ถา้ ไอออกมาจากของเหลว เรียกวา่ ระเหย) สารเคมที ีมีกลนิ และระเหิดไดน้ าํ มาใชท้ าํ ลกู เหมน็ ไดแ้ ก่ แนพธาลนี (Naphthalene) เป็นผลึกสีขาว แข็ง และสามารถระเหิดเป็นไอไดง้ ่าย หากกินหรือกลนื เขา้ ไปทาํ ให้มีอาการปวดศีรษะ คลืนไส้ อาเจียน มึนงง ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลาํ ไส้ การไดร้ ับเขา้ ไปในปริมาณทีมากอาจทาํ ลายเซลลเ์ มด็ เลือดแดง การหายใจเขา้ ไปจะทาํ ใหเ้ จ็บคอ ไอ ปวดศรี ษะ และคลืนไส้ การสมั ผสั ทางผวิ หนงั ทาํ ให้เกิดการระคาย เคืองปวดแสบปวดร้อน สารนีสามารถดูดซึมผา่ นผวิ หนงั และทาํ ใหเ้ ป็ นอนั ตรายได้ การสัมผสั ถกู ตาทาํ ใหป้ วดตา และสายตาพร่ามวั ยงั มีอีกสารหนึงทีนาํ มาใชแ้ ทนแนพธาลีน คือ p-Dichlorobenzene (1,4- Dichlorobenzene หรือ p-DCB) มีสมบตั ิสามารถระเหิดกลายเป็ นไออย่างชา้ ๆ และไอของมนั จะทาํ หน้าทีดับกลิน หรื อฆ่าแมลงพิษของ p-Dichlorobenzene คลา้ ยๆแนพธาลีน มีความเป็ นพิษมาก (www.wikipedia.org) สารเคมีทีใชท้ าํ ลูกเหม็นอีกชนิดหนึงคือ แคมเพอร์ หรือ การบรู (Camphor; 1,7,7-trimethylnorcamphor) มคี วามเป็ นพิษมาก ถา้ หายใจเขา้ ไปก่อใหเ้ กิดการระคายเคืองต่อทางเดิน หายใจ ไอ หายใจถี มีผลต่อระบบประสาทเป็นไดต้ งั แต่มึนงงจนถึงชกั ขึนอยกู่ บั ปริมาณและระยะเวลา ทีไดร้ ับสาร การกลืนหรือกินเข้าไปก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร เกิดอาการคลืนไส้ อาเจียน ทอ้ งเสีย อาจทาํ ใหป้ วดศรี ษะ เป็นลม การสมั ผสั ทางผิวหนังก่อให้เกิดอาการเป็ นผืนแดง คนั และ เจบ็ สามารถดดู ซึมผา่ นผวิ หนงั ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ถา้ ไดร้ ับสารเป็ นเวลานานอาจทาํ ลายตบั และไต คนทีมี อาการผดิ ปกติทางระบบประสาทหรือเป็นโรคเกียวกบั ตบั อยแู่ ลว้ จะไดร้ ับผลกระทบต่อสารนีไดง้ ่าย อยา่ งไรกต็ าม การใชล้ กู เหมน็ ตามปกติไมไ่ ดใ้ หอ้ นั ตรายเช่นว่านี เพราะมนั ค่อยๆระเหิดให้ไอ ออกมา เราไม่ไดไ้ ปสูดดมแรง ๆ หรือสมั ผสั นาน ๆ สิงทีควรระมดั ระวงั คือเก็บใหพ้ น้ มือเด็ก ทีอาจเล่น หรือหยบิ ไปใส่ปากได.้ ..

197 นํายาขัดพนื และเฟอร์นเิ จอร์ นาํ ยาขดั พืนและเฟอร์นิเจอร์ มกั มีส่วนผสมของสารเคมีหลกั ๆ อยู่ 2 - 3 ชนิดคือ ไดเอธิลีน ไกลคอล (Diethylene Glycol) นาํ มนั ปิ โตรเลียม และไนโตรเบนซีน ทงั หมดเป็ นสารไวไฟและให้ ไอระเหย แต่ส่วนใหญ่คือ 2 ชนิดแรก ส่วนไนโตรเบนซีนมีน้อย ไดเอธิลีนไกลคอลและนํามนั ปิ โตรเลียมทาํ หนา้ ทีเป็ นตวั ทาํ ละลายความเป็ นพิษของทังสองตวั นีไม่รุนแรงและไม่มีพิษเฉียบพลนั นอกจากกลนื กินเขา้ ไป อนั ตรายจึงอยทู่ ีความไวไฟและไอระเหยทีอาจสูดดมเขา้ ไประยะยาว แต่เมือมนั มาอยใู่ นบา้ นเราก็ตอ้ งระวงั เดก็ กินเขา้ ไปเท่านนั ถา้ กลืนกินเขา้ ไปจะมีอาการคลืนไส้ อาเจียน ทอ้ งร่วง ตอ้ งใหผ้ ปู้ ่ วยดืมนาํ มาก ๆ ลว้ งคอใหอ้ าเจียนแลว้ ส่งแพทย์ สาํ หรับไนโตรเบนซีนทีอาจเป็ นส่วนผสมอยู่ นนั ดว้ ยตวั ของมนั เองจะมีพิษมากกว่า เพราะเมอื สูดดมหรือซึมซบั เขา้ ผวิ หนังเป็ นเวลานาน จะเป็ นพิษ ต่อเม็ดเลือด อาการรุนแรงอาจถึงขนั ปวดศีรษะ ชีพจรเตน้ ไม่เป็ นจงั หวะ ความดันเลือดลดลง หายใจ ลาํ บาก เกิดอาการตวั เขียว และระบบส่วนกลางผดิ ปกติ เมือเกิดไฟไหมใ้ หใ้ ชโ้ ฟมสาํ หรับดบั ไฟ หรือผง เคมี หรือคาร์บอนไดออกไซด์ดับไฟได้ แต่ถา้ นํายาปริมาณไม่มากก็ใช้นําได้ การถูกผิวหนังไม่มี อนั ตรายมากนกั เพียงแต่ลา้ งออกทนั ทีดว้ ยนาํ มาก ๆ ทีสาํ คญั ไม่ควรปล่อยไนโตรเบนซีน สู่สิงแวดลอ้ ม การทีเราตอ้ งพึงพานํายาต่าง ๆ ตังแต่นํายาขัดพืนห้องนําทงั กรดและด่าง แลว้ ยงั นาํ ยาขัด เฟอร์นิเจอร์อีก น่าจะหยุดคิดว่ามีความจาํ เป็ นสักเพียงใด ลดลงไดห้ รือไม่ อาจหาสิงอืนทดแทนก็ได้ เช่นอาจใชน้ าํ มนั ผสมนาํ มะนาว (2 : 1) ขดั เฟอร์นิเจอร์แทน หรือถา้ ท่อตนั ลองใชว้ ิธีทะลวงท่อหรือลา้ ง ดว้ ยนาํ ร้อน ก่อนหนั ไปใชโ้ ซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือแทนทีจะใชน้ าํ ยาลา้ งหอ้ งนาํ ทีเป็นกรดไฮโดรคลอลิก อาจใช้แค่นําผสมผงซักฟอกแลว้ ขัดดว้ ยแปรงก็ได้ หรือถา้ อย่างอ่อน ๆ ก็หันไปใช้ผงฟู (โซเดียม ไบคาร์บอเนต) แทน ดงั นันก่อนจะซือนาํ ยาทาํ ความสะอาดใด ๆ มาใช้ หยดุ คิดถึงสิงแวดลอ้ มสักนิด ภยั ใกลต้ วั ก็อาจลดลงดว้ ย โฟมพลาสตกิ โฟมพลาสติกทีเราใชก้ นั แพร่หลายทุกวนั นี เรียกอีกอยา่ งหนึงว่า โพลิสไตรีนโฟม หรือสไต- โรโฟม มลี กั ษณะเป็นเนือพอง เป็นเมด็ กลมเบียดอดั กนั แน่นอยใู่ นแผน่ โฟม แข็งแรง ยืดหยุ่นได้ ใชม้ ีด ตดั แต่งได้ เบา และราคาไม่แพง จึงนิยมใชเ้ ป็ นหีบห่อกนั กระเทือน กนั ความร้อน ใชเ้ ป็ นภาชนะใส่ อาหาร ส่วนชนิดเบามีความหนาแน่นน้อย นิยมใชเ้ ป็ นวสั ดุตกแต่งเวที และพวงหรีด โฟมทาํ ให้ ชีวิตประจาํ วนั ของเราสะดวกสบายขึนก็จริง แต่มนั ก็เป็ นตวั สร้างปัญหามลภาวะอย่างมาก เพราะมนั ไม่เน่าเปื อยหรือยอ่ ยสลายตามธรรมชาติ โฟมใชแ้ ลว้ จะถูกทิงลงถงั ขยะ ความทีมนั มีขนาดใหญ่ เบา และกินที การเก็บรวบรวมขยะจึงสร้างปัญหาใหก้ บั เทศบาล เพราะมนั เขา้ ไปอุดตนั ตามท่อระบายนาํ และทาํ ลายทศั นียภาพอีกทงั ยงั ตอ้ งใชเ้ ตาเผาพิเศษ จึงจะกาํ จดั ได้ จึงควรหลีกเลียงการใช้ นอกจากนัน เมือเผาทาํ ลายมนั ยงั ปลอ่ ยกา๊ ซซีเอฟซีซึงเติมลงไปในกระบวนการผลิตทาํ ให้เกิดการพองตวั ก๊าซนีเป็ น

198 ตวั ทาํ ลายชนั โอโซนของบรรยากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์โลกร้อนอนั เนืองมาจากก๊าซเรือนกระจก ดงั นนั เราควรช่วยกนั ลดการใชโ้ ฟมเพือสิงแวดลอ้ มทีเราอาศยั อยู่ (ทีมา : http://www.chemtrack.org) กจิ กรรมการเรียนรู้ที 1 สบู่ ผงซักฟอก และแชมพทู าํ ความสะอาดได้อย่างไร จุดประสงค์ . ทดลองเปรียบเทียบและสรุปเกียวกบั การละลายของนาํ มนั พืชในนาํ ก่อนและหลงั เติมสารทาํ ความสะอาดบางชนิดได้ 2. อธิบายสาเหตุทีสบู่ ผงซกั ฟอก และแชมพู สามารถใชท้ าํ ความสะอาดได้ อุปกรณ์ . นาํ มนั พืช cm3 2. นาํ สบู่ cm3 . สารละลายผงซกั ฟอก cm3 . สารละลายแชมพู cm3 . นาํ กลนั cm3 . หลอดทดลองขนาดกลาง หลอด . ทีตงั หลอดทดลอง อนั . กระบอกฉีดยาขนาด cm3 1 อนั . หลอดหยด อนั . บีกเกอร์ขนาด cm3 4 ใบ วธิ ีการทดลอง . ใชก้ ระบอกฉีดยาดูดนาํ กลนั ทีเตรียมไวใ้ ส่ลงไปในหลอดทดลองทงั หลอด หลอดละ cm3 . ใชห้ ลอดหยดดูดนาํ มนั พืช แลว้ นาํ ไปหยดใส่หลอดทดลองทงั หลอด หลอดละ หยด สงั เกตการเปลยี นแปลงและบนั ทึกผล . นาํ หลอดทดลองที มาเขยา่ นานประมาณ วินาที แลว้ นาํ ไปตงั ทิงไวใ้ นทีตงั หลอดทดลอง สงั เกตการเปลยี นแปลงและบนั ทึกผล . ใชก้ ระบอกฉีดยาดูดนาํ สบ่ทู ีเตรียมไว้ เติมลงไปในหลอดทดลองที ปริมาณ cm3 จากนัน นําหลอดทดลองมาเขย่าประมาณ วินาที แลว้ นําไปตังทิงไวใ้ นทีตังหลอดทดลอง สังเกตการ เปลียนแปลงและบนั ทึกผล . ดาํ เนินการเช่นเดียวกบั ขอ้ แต่จะใชส้ ารละลายผงซกั ฟอกและแชมพู แทนนาํ สบู่ ตามลาํ ดบั

199 ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง การทดลอง ผลการทดลอง . เติมนาํ มนั พชื ลงในนาํ มหี ยดนาํ มนั หยดเลก็ ๆ แทรกไปในนาํ และเมือ ทิงไปนาน ๆ นาํ มนั จะแยกออกจากนาํ เป็ นชัน . เติมนาํ สบ่ลู งในนาํ ทีมนี าํ มนั พชื อยู่ เห็นไดช้ ดั เจน 3. เติมสารละลายผงซกั ฟอกลงในนาํ ทีมีนาํ มนั พืชอยู่ ไดส้ ารละลายขุ่นขาว ไม่มนี าํ มนั เหลืออยู่ . เติมสารละลายแชมพลู งในนาํ ทีมนี าํ มนั พชื อยู่ ไดส้ ารละลายขุ่นขาว ไมม่ นี าํ มนั เหลืออยู่ ไดส้ ารละลายขุ่นขาว ไมม่ ีนาํ มนั เหลืออยู่ สรุปผลการทดลอง เมอื เติมนาํ มนั พืชลงในนาํ หลงั จากเขย่าและตงั ทิงไว้ มีหยดนาํ มนั หยดเล็ก ๆ แทรกไปในนาํ และเมือทิงไปนาน ๆ นาํ มนั จะแยกออกจากนําเป็ นชันเห็นไดช้ ดั เจน แต่เมือเติมนําสบู่ สารละลาย ผงซกั ฟอก สารละลายแชมพู ลงในนาํ ทีมีนาํ มนั พชื อยู่ หลงั จากเขยา่ และตงั ทิงไว้ พบว่า ไดส้ ารละลาย ขุ่นขาว ไมม่ ีนาํ มนั เหลืออยู่ จากการทดลองนีแสดงใหเ้ ห็นว่า นาํ สบู่ สารละลายผงซกั ฟอก สารละลาย แชมพู ช่วยทาํ ใหน้ าํ มนั ละลายนาํ ได้ เรืองที 4 การเลือกใช้สารในชีวติ สารเคมใี นชีวติ ประจาํ วนั ทุกครัวเรือนจาํ เป็นตอ้ งใชผ้ ลติ ภณั ฑต์ ่าง ๆ ทีมีสารเคมีเป็ นส่วนประกอบ ซึงไดแ้ ก่ ผลิตภณั ฑ์ ทาํ ความสะอาดห้องนาํ ผลิตภณั ฑ์ทีใชใ้ นหอ้ งครัว ผลิตภณั ฑ์ทีใชส้ ่วนบุคคล หรือแมแ้ ต่ยาฆ่าแมลง เป็นตน้ คุณเคยหยดุ คิดสกั นิดบา้ งไหมวา่ ผลิตภณั ฑต์ ่าง ๆ ทีใชภ้ ายในบา้ นเหล่านีประกอบดว้ ยสารเคมี บางชนิดทีเป็นอนั ตรายต่อสมาชิกในครอบครัวและสตั วเ์ ลียงทีคุณรัก โดยถา้ นาํ ไปใช้ เก็บ หรือทาํ ลาย ทิง อยา่ งไมถ่ กู วธิ ี อาจเป็นอนั ตรายต่อสุขภาพ และสิงแวดลอ้ ม หรืออาจติดไฟทาํ ลายทรัพยส์ ินของคุณ ได้ อยา่ งไรกต็ าม ถา้ เรารู้จกั ใช้ เก็บ และทิงผลิตภณั ฑเ์ หลา่ นีอยา่ งถกู วิธี เรากจ็ ะสามารถป้ องกนั อนั ตราย ทีอาจเกิดขึนไดแ้ ละใชผ้ ลิตภณั ฑเ์ หลา่ นีไดอ้ ยา่ งปลอดภยั ทาํ ไมสารเคมที ใี ช้ภายในบ้านจงึ เป็ นอนั ตราย ผลิตภณั ฑ์สารเคมีทีใชภ้ ายในบา้ นมีอนั ตราย โดยอย่างน้อยมีคุณสมบตั ิข้อใดขอ้ หนึง ดงั นี เป็ นพิษ กดั กร่อน ติดไฟได้ หรื อทาํ ปฏิกิริ ยาทีรุ นแรงได้ ผลิตภัณฑ์ทีมีสารเคมีทีเป็ นอนั ตราย เป็ นส่วนประกอบ ไดแ้ ก่ นาํ ยาทาํ ความสะอาดทวั ไป ยาฆ่าแมลง สเปรยช์ นิดต่าง ๆ นาํ ยาขจดั คราบ ไขมนั นาํ มนั เชือเพลิง สีและผลิตภณั ฑ์ทีถกู ทาสีมาแลว้ แบตเตอรี และหมึก ผลิตภณั ฑแ์ ละสารเคมี ต่าง ๆ เหลา่ นีส่วนมากถา้ ไดร้ ับหรือสมั ผสั ในปริมาณทีนอ้ ยคงไม่ก่อใหเ้ กิดอนั ตรายมากนกั แต่ถา้ ไดร้ ับ

200 หรือสมั ผสั ในปริมาณทีมาก หรือในกรณีอุบตั ิเหตุ เช่น สารเคมีหกรดร่างกาย หรือรัวออกจากภาชนะ บรรจุ ก็อาจทาํ ใหเ้ กิดอนั ตรายถึงชีวติ ได้ สิงทคี วรปฏิบตั เิ พอื ให้บ้านของคณุ ปลอดภัย 1. จดั เก็บผลิตภณั ฑ์ต่าง ๆไวใ้ นทีทีแห้งและเยน็ ห่างจากความร้อน จดั วางบนพืนหรือชนั ที มนั คง และเก็บใหเ้ ป็นระบบ ควรแยกเกบ็ ผลิตภณั ฑท์ ีมฤี ทธิกดั กร่อน ติดไฟได้ ทาํ ปฏิกิริยาทีรุนแรงได้ หรือเป็นพิษ ไวบ้ นชนั ต่างหาก และทาํ ความคุน้ เคยกบั ผลิตภณั ฑ์แต่ละชนิด ควรจดจาํ ให้ไดว้ ่าเก็บไว้ ทีไหน และแต่ละผลติ ภณั ฑม์ ีวตั ถุประสงคใ์ นการใชอ้ ยา่ งไร เมอื ใชเ้ สร็จแลว้ ควรนาํ มาเก็บไวท้ ีเดิมทนั ที และตรวจใหแ้ น่ใจว่าภาชนะทุกชินมีฝาปิ ดทีแน่นหนา ผลิตภณั ฑบ์ างชนิดอาจเป็นอนั ตรายไดม้ ากกว่าที คุณคิด ผลิตภณั ฑเ์ หลา่ นีไดแ้ ก่ - ผลิตภณั ฑท์ าํ ความสะอาดภายในบา้ น เช่น นาํ ยาเช็ดกระจก แอมโมเนีย นาํ ยาฆ่าเชือ นาํ ยาทาํ ความสะอาดพรม นาํ ยาขดั เฟอร์นิเจอร์ รวมทงั สเปรยป์ รับอากาศ เป็นตน้ - ผลิตภณั ฑซ์ กั ผา้ เช่น ผงซกั ฟอก นาํ ยาปรับผา้ นุ่ม นาํ ยาฟอกสีผา้ เป็นตน้ - ผลิตภณั ฑเ์ พือสุขภาพและความงาม เช่น สเปรยใ์ ส่ผม นาํ ยาทาเล็บ นาํ ยาลา้ งเล็บ นาํ ยากาํ จดั ขน นาํ ยายอ้ มผม เครืองสาํ อางอนื ๆ เป็นตน้ - ผลิตภณั ฑท์ ีใชใ้ นสวน เช่น ป๋ ุย ยากาํ จดั วชั พืช ยาฆา่ แมลง เป็นตน้ - ผลติ ภณั ฑเ์ พอื การบาํ รุงรักษาบา้ น เช่น สีทาบา้ น กาว นาํ ยากนั ซึม นาํ มนั ลา้ งสี เป็นตน้ - ผลิตภณั ฑส์ าํ หรับรถยนต์เช่นนาํ มนั เชือเพลงิ นาํ มนั เบรคนาํ มนั เครืองนาํ ยาลา้ งรถนาํ ยาขดั เงา เป็นตน้ 2. ผลติ ภณั ฑส์ ารเคมที ุกชนิดตอ้ งมฉี ลากและตอ้ งอ่านฉลากกอ่ นใชง้ านทุกครัง ผลิตภณั ฑท์ ีเป็น อนั ตรายควรตอ้ งใชด้ ว้ ยความระมดั ระวงั อ่านฉลากและทาํ ตามวิธีใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ งรอบคอบ โดยเฉพาะ อยา่ งยงิ ถา้ ฉลากมคี าํ วา่ “อนั ตราย (DANGER)”, “สารพษิ (POISON)”, “คาํ เตือน (WARNING)”, หรือ “ขอ้ ควรระวงั (CAUTION)” โดยมีรายละเอยี ดอธิบายไดด้ งั นี - อนั ตราย (DANGER) แสดงใหเ้ ห็นว่าควรใชผ้ ลิตภณั ฑด์ ว้ ยความระมดั ระวงั เพิมมากขึน เป็ นพิเศษ สารเคมีทีไม่ไดถ้ ูกทาํ ให้เจือจาง เมือสมั ผสั ถูกกบั ตาหรือผวิ หนังโดยไม่ไดต้ งั ใจ อาจทาํ ให้ เนือเยอื บริเวณนนั ถกู กดั ทาํ ลาย หรือสารบางอยา่ งอาจติดไฟไดถ้ า้ สมั ผสั กบั เปลวไฟ - สารพษิ (POISON) คือ สารทีทาํ ใหเ้ ป็นอนั ตราย หรือ ทาํ ใหเ้ สียชีวติ ถา้ ถกู ดูดซึมเขา้ สู่ร่างกาย ทางผวิ หนงั รับประทาน หรือ สูดดม คาํ นีเป็นขอ้ เตือนถึงอนั ตรายทีรุนแรงทีสุด - เป็นพษิ (TOXIC) หมายถึง เป็นอนั ตราย ทาํ ใหอ้ วยั วะต่าง ๆ ทาํ หนา้ ทีผิดปกติไป หรือ ทาํ ให้ เสียชีวติ ได้ ถา้ ถกู ดูดซึมเขา้ สู่ร่างกายทางผวิ หนงั รับประทาน หรือ สูดดม - สารก่อความระคายเคือง (IRRITANT) หมายถงึ สารทีทาํ ใหเ้ กิดความระคายเคือง หรืออาการ บวมต่อผวิ หนงั ตา เยอื บุ และระบบทางเดินหายใจ - ติดไฟได้ (FLAMMABLE หรือ COMBUSTIBLE) หมายถึง สามารถติดไฟไดง้ ่าย และมี แนวโนม้ ทีจะเผาไหมไ้ ดอ้ ยา่ งรวดเร็ว

201 - สารกดั กร่อน (CORROSIVE) หมายถงึ สารเคมี หรือไอระเหยของสารเคมีนันสามารถทาํ ให้ วสั ดุถกู กดั กร่อน ผุ หรือสิงมชี ีวิตถกู ทาํ ลายได้ 3. เลอื กซือผลิตภณั ฑ์เท่าทีตอ้ งการใชเ้ ท่านัน อยา่ ซือสิงทีไม่ตอ้ งการใช้ เพราะเสมือนกบั เป็ น การเก็บสารพิษไวใ้ กลต้ วั โดยไม่จาํ เป็น พยายามใชผ้ ลติ ภณั ฑท์ ีมอี ยเู่ ดิมใหห้ มดก่อนซือมาเพิม ถา้ มีของ ทีไมจ่ าํ เป็นตอ้ งใชแ้ ลว้ เหลืออยู่ ควรบริจาคใหก้ บั ผทู้ ีตอ้ งการใชต้ ่อไป หรือไม่ก็ควรเกบ็ และทาํ ฉลากให้ ดี โดยเฉพาะอยา่ งยงิ เมอื ฉลากใกลห้ ลุดหรือฉีกขาด และควรทิงผลติ ภณั ฑท์ ีเก่ามากๆ ซึงไม่ควรนาํ มาใช้ อกี ต่อไป 4. เก็บใหไ้ กลจากเด็ก สารทาํ ความสะอาด หรือ สารเคมที ีใชภ้ ายในบา้ นอาจทาํ ให้เป็ นอนั ตราย ถึงแก่ชีวติ ควรเก็บในตูท้ ีเด็กเออื มไม่ถึง อาจลอ็ คตูด้ ว้ ยถา้ จาํ เป็น สอนเด็กๆในบา้ นใหท้ ราบถึงอนั ตราย จากสารเคมี นอกจากนี ควรจดเบอร์โทรศพั ทฉ์ ุกเฉินไวใ้ กลก้ บั โทรศพั ท์ เบอร์โทรศพั ท์เหล่านี ไดแ้ ก่ เบอร์รถพยาบาลหรือโรงพยาบาลทีใกลบ้ า้ น สถานีดบั เพลงิ สถานีตาํ รวจ หน่วยงานทีทาํ หนา้ ทีเกียวกบั การควบคุมสารพษิ และแพทยป์ ระจาํ ตวั 5. ไม่ควรเก็บสารเคมีปะปนกบั อาหาร ทงั นีเนืองจากสารเคมีอาจหกหรือมีไอระเหยทาํ ให้ ปนเปื อนกบั อาหารได้ และเมือใชผ้ ลิตภณั ฑส์ ารเคมีเสร็จแลว้ ควรลา้ งมอื ใหส้ ะอาดทุกครัง 6. ไม่ควรเก็บของเหลวหรือก๊าซทีติดไฟไดไ้ วใ้ นบา้ น นาํ มนั เชือเพลิงสาํ หรับรถยนตห์ รือถงั บรรจุก๊าซถา้ สามารถทาํ ไดไ้ ม่ควรนาํ มาเก็บไวภ้ ายในบา้ น ถงั บรรจุก๊าซควรเก็บไวน้ อกบา้ นในบริเวณ ใตร้ ่มเงาทีมีอากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก ตอ้ งไม่เกบ็ ของเหลวหรือก๊าซทีติดไฟไดไ้ วใ้ กลก้ บั แหล่งของความ ร้อนหรือเปลวไฟ และเกบ็ ไวใ้ นภาชนะบรรจุดงั เดิมหรือภาชนะทีไดร้ ับการรับรองแลว้ เท่านนั 7. เก็บสารเคมีไวใ้ นภาชนะบรรจุดงั เดิมเท่านนั ไม่ควรเปลียนถ่ายสารเคมีทีใชภ้ ายในบา้ นลงใน ภาชนะชนิดอนื ๆ ยกเวน้ ภาชนะทีติดฉลากไวอ้ ยา่ งเหมาะสมและเขา้ กนั ไดก้ บั สารเคมีนัน ๆ โดยไม่ทาํ ให้เกิดการรัวซึม นอกจากนี ไม่ควรเปลียนถ่ายสารเคมีลงในภาชนะทีใชส้ าํ หรับบรรจุอาหาร เช่น ขวดนาํ อดั ลม กระป๋ องนม ขวดนม เป็นตน้ เพือป้ องกนั ผทู้ ีรู้เท่าไม่ถึงการณ์นาํ ไปรับประทาน 8. ผลติ ภณั ฑห์ ลายชนิดสามารถนาํ ไปแปรรูปเพือนาํ กลบั มาใชใ้ หม่ได้ เพือลดปริมาณสารเคมี ทีเป็นพิษในสิงแวดลอ้ ม 9. ใช้ผลิตภัณฑ์อืนๆ ทีมีอนั ตรายน้อยกว่าทดแทนสาํ หรับงานบา้ นทัว ๆ ไป ตวั อย่างเช่น สามารถใชผ้ งฟู และนาํ สม้ สายชูเทลงในท่อระบายนาํ เพือป้ องกนั การอดุ ตนั ได้ 10. ทิงผลิตภณั ฑแ์ ละภาชนะบรรจุใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม ไม่เทผลติ ภณั ฑล์ งในดินหรือในท่อระบาย นาํ ทิง ผลิตภณั ฑห์ ลายชนิดไม่ควรทิงลงในถงั ขยะหรือเทลงในโถสว้ ม ควรอ่านฉลากเพือทราบวิธีการ ทิงทีเหมาะสมตามคาํ แนะนาํ ของผผู้ ลติ

202 ทําอย่างไรให้ปลอดภัยขณะใช้สารเคมี 1. เลือกใชผ้ ลิตภณั ฑท์ ีไม่เป็นพษิ แทน 2. อา่ นฉลากและปฏิบตั ิตามวิธีการใชท้ ุกครัง 3. สวมถุงมือและเสือคลมุ ทุกครัง ถา้ ผลติ ภณั ฑส์ ามารถทาํ ใหเ้ กิดอนั ตรายไดโ้ ดยการสมั ผสั ต่อผวิ หนงั 4. สวมแวน่ ตาป้ องกนั สารเคมี ถา้ ผลิตภณั ฑส์ ามารถทาํ ใหเ้ กิดอนั ตรายต่อตา 5. หา้ มสวมคอนแทคเลนสเ์ มือใชต้ วั ทาํ ละลายอินทรีย์ เช่น ทินเนอร์ เป็นตน้ 6. หยดุ ใชผ้ ลติ ภณั ฑท์ นั ทีถา้ รู้สึกวงิ เวยี น ปวดทอ้ ง คลืนไส้ อาเจียน หรือปวดศีรษะ 7. ควรใชผ้ ลติ ภณั ฑส์ ารเคมใี นทีทีมอี ากาศถา่ ยเทไดส้ ะดวก ถา้ เป็นไปไดค้ วรใชผ้ ลิตภณั ฑ์ ในทีโลง่ แจง้ 8. หา้ มสูบบุหรีเมือใชผ้ ลติ ภณั ฑท์ ีสามารถติดไฟได้ 9. หา้ มผสมผลิตภณั ฑส์ ารเคมเี อง เนืองจากสารเคมีบางชนิดอาจทาํ ปฏกิ ิริยาต่อกนั เกิดเป็น ไอควนั พิษหรืออาจระเบิดได้ 10. พบแพทยท์ นั ทีถา้ สงสยั ว่าไดร้ ับสารพษิ หรือไดร้ ับอนั ตรายเมือสมั ผสั กบั สารเคมที ีใช้ ภายในบา้ น (ทีมา: http://oldweb.pharm.su.ac.th/Chemistry-in-Life/index2.html) กจิ กรรมการเรียนรู้ที 1 ทดสอบความเป็ นกรด - เบส ของสารทีใช้ในชีวติ ประจาํ วนั จุดประสงค์ . จาํ แนกสารทีใชใ้ นบา้ นโดยใชแ้ ละสมบตั ิความเป็นกรด - เบส เป็นเกณฑไ์ ด้ . ทดสอบและสรุปสมบตั ิของสารเมอื ทาํ ปฏกิ ิริยากบั กระดาษลติ มสั ได้ อุปกรณ์ . นาํ อดั ลม cm3 2. นาํ สม้ สายชู cm3 . นาํ สบู่ cm3 . สารละลายยาสีฟัน cm3 . เกลอื แกง cm3 . หลอดทดลอง หลอด . แท่งแกว้ คน หลอด . ทีตงั หลอดทดลอง อนั . กระดาษลติ มสั สีแดงและสีนาํ เงิน แผน่

203 วธิ ีการทดลอง . ตดั กระดาษลติ มสั สีนาํ เงินและสีแดง ขนาด เซนติเมตร x . เซนติเมตร วางไวบ้ นกระดาษ ขาวเป็นคู่ ๆ มีระยะห่างกนั พอสมควร . ใชแ้ ท่งแกว้ คนจุ่มลงในนาํ อดั ลม แลว้ นาํ มาแตะกระดาษลิตมสั สีนาํ เงินและสีแดงทีวางบน กระดาษขาว สงั เกตการเปลียนแปลงทีเกิดขึน แลว้ บนั ทึกผล . ดาํ เนินการเช่นเดียวกับขอ้ แต่ใชน้ ําสม้ สายชู นาํ สบู่ สารละลายยาสีฟัน และเกลือแกง พร้อมทงั บนั ทึกผลการทดลอง หมายเหตุ . ตอ้ งลา้ งแท่งแกว้ ใหส้ ะอาดและเช็ดใหแ้ หง้ ก่อนนาํ มาทดสอบสารแต่ละชนิด . สารละลายทุกชนิดตอ้ งทิงใหต้ กตะกอนและรินเอาเฉพาะสารละลายใส ๆ ใส่หลอด ทดลองไว้ ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง ผลการทดสอบกบั กระดาษลติ มสั สาร สีนําเงนิ สีแดง นาํ อดั ลม เปลียนเป็ นสีแดง - นาํ สม้ สายชู เปลียนเป็ นสีแดง - นาํ สบู่ - เปลยี นเป็นสีนาํ เงิน สารละลายยาสีฟัน - เปลยี นเป็นสีนาํ เงิน เกลอื แกง -- สรุปผลการทดลอง สามารถจาํ แนกสารละลายโดยใชส้ มบตั ิของสารทีทาํ ให้กระดาษลิตมสั เปลียนสีมาเป็ นเกณฑ์ โดย . สารทีเปลียนสีกระดาษลติ มสั จากสีนาํ เงินเป็นสีแดง จดั ว่ามีสมบตั ิเป็ นกรด ไดแ้ ก่ นาํ อดั ลม นาํ สม้ สายชู . สารทีเปลียนสีกระดาษลิตมสั จากสีแดงเป็ นสีนําเงิน จัดว่ามีสมบตั ิเป็ นเบส ไดแ้ ก่ นําสบู่ สารละลายยาสีฟัน . สารทีไมเ่ ปลยี นสีกระดาษลติ มสั จดั วา่ มสี มบตั ิเป็นกลาง

204 เรืองที 5 ผลกระทบทีเกดิ จากการใช้สารต่อชีวติ และสิงแวดล้อม ปัญหามลพิษทางสิงแวดลอ้ ม ตลอดจนแนวทางการป้ องกนั แก้ไขทีดี ปัญหาสิงแวดลอ้ ม ทีมนุษยก์ าํ ลงั ประสบอย่ใู นปัจจุบนั ทีสาํ คัญ ไดแ้ ก่ ปัญหาการลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหา สารพษิ และปัญหาของระบบนิเวศ ซึงปัญหาทีสาํ คญั เหลา่ นีมาจากปัญหายอ่ ยๆหลายปัญหา เช่น มลพิษ ทางนํา มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง ขยะมูลฝอยและสิงปฏิกลู เป็ นตน้ ปัญหาเหล่านีถา้ ไม่รีบ ป้ องกนั แกไ้ ข อาจส่งผลกระทบต่อววิ ฒั นาการของสิงมีชีวติ ได้ ซึงการป้ องกนั แกไ้ ขปัญหาสิงแวดลอ้ ม เป็นหนา้ ทีของทุกคนทีจะตอ้ งช่วยกนั มลพษิ ทางสิงแวดล้อม สิงแวดลอ้ มต่าง ๆ เช่น นาํ อากาศ ดิน เป็นตน้ มคี วามจาํ เป็นต่อการดาํ รงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ จาํ เป็ นตอ้ งใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเหล่านีมากมาย แต่การใชป้ ระโยชน์โดยไม่คาํ นึงถึง ผลกระทบทีจะเกิดขึนทาํ ใหเ้ กิดมลพษิ ขึนในสิงแวดลอ้ มนนั ๆ มลพิษทางสิงแวดลอ้ ม หมายถึง สภาวะทีสิงแวดลอ้ มตามธรรมชาติถกู ปะปนหรือปนเปื อนดว้ ย สิงสกปรก สิงแปลกปลอม หรือสารมลพิษ ทาํ ให้มีลกั ษณะหรือสมบตั ิแตกต่างไปจากเดิมหรือจาก ธรรมชาติ โดยเปลียนแปลงไปในทางทีเลวลง ยงั ผลใหใ้ ชป้ ระโยชนไ์ ดน้ ้อยหรือใชป้ ระโยชน์ไม่ไดเ้ ลย และมีผลเสียต่อสุขภาพ มลพิษทางสิงแวดลอ้ มทีสาํ คญั ไดแ้ ก่ มลพิษทางนาํ มลพิษทางอากาศ มลพิษ ทางเสียง และมลพษิ ทีเกิดจากขยะมลู ฝอยและสิงปฏิกลู มลพษิ ทางนํา มลพิษทางนาํ (Water pollution) เป็ นปัญหาสิงแวดลอ้ มทีสาํ คญั ทีสุดปัญหาหนึงของประเทศ เมอื เปรียบเทียบกบั ปัญหามลพิษอนื ๆ ปัญหามลพิษทางนาํ มกั เกิดกบั เมืองใหญ่ๆแหล่งนาํ ทีสาํ คญั ของ ประเทศถกู ปนเปื อนดว้ ยสิงสกปรกและสารมลพษิ ต่างๆ ทาํ ใหไ้ มส่ ามารถใชป้ ระโยชน์จากแหล่งนาํ ได้ เตม็ ที ซึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวติ และการพฒั นาทางเศรษฐกิจและสงั คม สาเหตุของการเกิดมลพิษทางนาํ ส่วนใหญ่เกิดจากนาํ ทิงจากทีอยอู่ าศยั ซึงมกั จะมีสารอินทรีย์ ปนเปื อนมาดว้ ย นาํ ทิงดงั กล่าวมกั เป็ นสาเหตุของการทีนาํ มีสีดาํ และมีกลินเน่าเหมน็ นาํ ทีมีสารพิษ ตกคา้ งอยู่ เช่น นาํ จากแหลง่ เกษตรกรรมทีมีป๋ ุยและยากาํ จดั ศตั รูพืช นาํ ทิงทีมีโลหะหนักปนเปื อนจาก โรงงานอุตสาหกรรม เป็ นตน้ สารเหล่านีจะถกู สะสมในวงโคจรโซ่อาหารของสตั วน์ าํ และมีผลต่อ มนุษยภ์ ายหลงั ผลกระทบจากมลพษิ ทางนํา นาํ ทีอยใู่ นระดบั รุนแรง ซึงประชาชนทวั ไป เรียกว่า นาํ เสีย มีลกั ษณะทีเห็นไดช้ ดั เจน คือตะกอน ขุ่นขน้ สีดาํ คลาํ ส่งกลนิ เน่าเหมน็ ก่อใหเ้ กิดความราํ คาญตอ่ ชุมชน และอาจมฟี องลอยอยเู่ หนือนาํ เป็น จาํ นวนมาก อยา่ งไรก็ตาม ลกั ษณะของนาํ เสียบางครังเราอาจมองไมเ่ ห็นก็ได้ ถา้ นาํ นนั ปนเปื อนดว้ ย สารพษิ เช่น ยาปราบศตั รู หรือยาฆ่าแมลง แร่ธาตุ เป็นตน้

205 นาํ ทีเป็นมลพิษจะมผี ลกระทบต่อการดาํ รงชีวติ ของสิงมชี ีวติ อยา่ งเห็นไดช้ ดั กว่า ปัญหา สิงแวดลอ้ มอืนๆเพราะก่อใหเ้ กิดผลเสียหายหลายประการ ซึงสามารถสรุปไดด้ งั นี 1. ผลกระทบทางดา้ นสาธารณสุข 2. ผลกระทบทางดา้ นเศรษฐกิจ 3. ผลกระทบทางดา้ นสงั คม แนวทางการป้ องกนั แก้ไขปัญหามลพษิ ทางนํา 1. การบาํ บดั นาํ เสีย 2. การกาํ จดั ขยะมลู ฝอยและสิงปฏกิ ลู 3. การใหก้ ารศึกษาและความเขา้ ใจเกียวกบั ปัญหามลพษิ ทางนาํ แก่ประชาชน 4. การใชก้ ฎหมาย มาตรการ และขอ้ บงั คบั 5. การศกึ ษาวจิ ยั คุณภาพนาํ และสาํ รวจแหลง่ ทีระบายนาํ เสียลงสู่แม่นาํ กจิ กรรมการเรียนรู้ที 1 คาํ สัง จงตอบคาํ ถามหรือเติมช่องวา่ งดว้ ยคาํ หรือขอ้ ความสนั ๆ 1. มลพษิ ทางนาํ หมายถงึ อะไร ตอบ 2. มลพษิ ทางนาํ ทีเมอื งใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เป็นตน้ กาํ ลงั เผชิญอยใู่ นปัจจุบนั ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุใด ตอบ 3. สาเหตุสาํ คญั ทีทาํ ใหเ้ กิดปัญหามลพษิ ทางนาํ ไดแ้ ก่ อะไรบา้ ง ตอบ 4. ของเสียจากแหล่งชุมชนส่วนมากจะอยใู่ นรูปของ สารประเภทใด ตอบ 5. ของเสียทีปลอ่ ยจากโรงงานอตุ สาหกรรมจะมีลกั ษณะแตกต่างกนั ไปขึนอยกู่ บั อะไร ตอบ 6. นาํ ทีเป็นมลพษิ มลี กั ษณะทีเห็นไดช้ ดั เจน คือ อะไร ตอบ 7. นาํ เสียส่งผลกระทบต่อการบริโภคอาหาร ทาํ ใหเ้ กิดปัญหาสุขภาพโดยตรงต่อมนุษยจ์ ดั เป็น ผลกระทบทางดา้ นใดบา้ ง ตอบ

206 8. การแกไ้ ขปัญหามลพษิ ทางนาํ ทีไดผ้ ล และเป็นการแกไ้ ขปัญหาทีตน้ เหตุ คือ อะไร ตอบ แนวคาํ ตอบกจิ กรรมการเรียนรู้ที 1 ขอ้ ที 1. แหลง่ นาํ ทีถกู ปนเปื อนดว้ ยสิงสกปรกและสารมลพิษต่าง ๆ ทาํ ใหไ้ มส่ ามารถใช้ ประโยชน์จากแหลง่ นาํ ไดเ้ ตม็ ที ขอ้ ที . ส่วนใหญ่เกิดจากนาํ ทิงจากทีอยอู่ าศยั ขอ้ ที 3. 1. ของเสียจากแหลง่ ชุมชน 2. ของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม 3. ของเสียจากกิจกรรมทางการเกษตร 4. สารมลพิษอนื ๆทีไม่มีแหล่งกาํ เนิดแน่นอน ขอ้ ที 4. สารอนิ ทรีย์ เช่น เศษอาหาร สบู่ ผงซกั ฟอก อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นตน้ ขอ้ ที 5. ประเภทและชนิดของโรงงานอตุ สาหกรรม ขอ้ ที 6. คือตะกอนขุ่นขน้ สีดาํ คลาํ ส่งกลนิ เน่าเหมน็ ขอ้ ที 7. ผลกระทบทางดา้ นสาธารณสุข ขอ้ ที 8. การใหก้ ารศึกษาและความเขา้ ใจเกียวกบั ปัญหามลพษิ ทางนาํ แก่ประชาชน มลพษิ ทางอากาศ ส่วนใหญ่เกิดจากควนั ของยานพาหนะและจากโรงงานอุตสาหกรรม ควนั ดังกล่าวมีผลต่อ สุขภาพของมนุษยโ์ ดยตรง ควนั จากโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งทีมี ก๊าซซลั เฟอร์ไดออกไซด์หรือ ไนโตรเจนออกไซด์ เป็ นองคป์ ระกอบ เมือรวมกบั ละอองนาํ ในอากาศ จะกลายเป็ นสารละลายกรด ซัลฟิ วริกหรือกรดไนตริก กลายเป็ นฝนกรด ตกลงมาอนั เป็ นอนั ตรายต่อสิงมีชีวิตและยงั ทาํ ให้ สิงก่อสร้างเกิดการสึกกร่อนได้ สถานทีกาํ ลงั ประสบปัญหากบั มลพษิ ทางอากาศเหล่านี จะมีผลกระทบ ต่อสุขภาพของมนุษยเ์ ป็ นอย่างมาก โดยจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ อาจทาํ ให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคทรวงอก เยอื บุตาอกั เสบ และเป็นอนั ตรายต่อเด็กในครรภต์ ลอดจนเสียชีวติ ได้ ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) เป็นปรากฏการณ์ทีทาํ ใหโ้ ลกมีอุณหภูมิสูงขึน ซึงจะมีผลกระทบต่อภูมอิ ากาศทวั โลกอยา่ งทีไม่ เคยปรากฏมาก่อน โดยนกั วทิ ยาศาสตร์ไดป้ ระมาณการไวว้ ่าทีบริเวณเหนือเสน้ ศนู ยส์ ูตรขึนไปฤดหู นาว จะสนั ขึนและมีความชืนมาก ส่วนฤดูร้อนจะยาวนานขึนอาจทาํ ใหพ้ ืนดินบางแห่งบนโลกกลายเป็ น ทะเลทราย และในเขตร้อนอาจจะมีพายบุ ่อยครังและรุนแรง บริเวณขวั โลกความร้อนส่งผลโดยตรงต่อ




















































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook