หนงั สือเรย� น รายวช� าพน้ื ฐาน สขุ ศึกษา ป. 6 ชน�ั ประถมศึกษาปท ี่ 6 กลมุ สาระการเรย� นรสู ขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข�นั พ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2551 ผูเรียบเรยี ง ดร.ประกติ หงษแสนยาธรรม กศ.บ., กศ.ม., ปร.ด. ผศ.วรรณา พทิ ักษศ านต กศ.บ., กศ.ม. ผตู รวจ ดร.สเุ พียร โภคทิพย พย.บ., วท.ม., ปร.ด. ประดิษฐ พยุงวงศ กศ.บ., กศ.ม. หทยั ฉัฐ ภมู ภิ าค กศ.บ., กศ.ม. บรรณาธกิ าร พัชราภรณ โจมีพร กศ.บ., บธ.ม. ปทมา จนั ทรขํา ศศ.บ.
หนงั สือเร�ยน รายว�ชาพืน้ ฐาน สขุ ศึกษา ป. 6 ชัน� ประถมศกึ ษาปท ี่ 6 กลุม สาระการเร�ยนรูสขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข�นั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ผูเ รยี บเรยี ง ดร.ประกิต หงษแสนยาธรรม ผศ.วรรณา พทิ กั ษศ านต ผตู รวจ ดร.สเุ พยี ร โภคทพิ ย ประดิษฐ พยงุ วงศ หทยั ฉัฐ ภมู ิภาค บรรณาธกิ าร พชั ราภรณ โจมีพร ปทมา จนั ทรข ํา ISBN 978-616-8047-56-9 บริษทั กรพฒั นายิ่ง จาํ กดั เลขที่ 23/34–35 ช้ัน 3 หอง 3B ถนนตรมี ิตร แขวงตลาดนอย เขตสมั พันธวงศ กรุงเทพฯ 10100
คํานาํ คาํ นํา หนงั สือเรียน รายวิชาพ้นื ฐาน สุขศึกษา ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 เล่มน้จี ัดทำขนึ้ ตามหลักสตู ร แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา โดยมี เปาหมายให้นักเรียนและครูใช้เป็นส่ือในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพตาม มาตรฐานการเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ดั ทก่ี ำหนดไวใ้ นหลกั สตู ร และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง พฒั นานกั เรยี น ใหม้ สี มรรถนะสำคัญตามทตี่ อ้ งการ ทัง้ ในด้านการส่ือสาร การคิด การแกป้ ญั หา การใช้ทักษะชวี ิต และการใช้เทคโนโลยี ตลอดจนพัฒนานักเรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ทำประโยชน์ให้ สงั คม เพื่อใหส้ ามารถอยู่รว่ มกบั ผอู้ ่ืนในสงั คมไทยและสงั คมโลกได้อยา่ งมคี วามสขุ ในการจัดทำหนงั สือเรยี น รายวิชาพื้นฐาน สุขศกึ ษา ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 ผูจ้ ดั ทำซึ่งเปน็ ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาและการพัฒนาส่ือการเรียนรู้ ได้ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 อยา่ งลึกซ้ึง ทั้งด้านวิสยั ทศั น์ หลักการ จดุ หมาย สมรรถนะสำคัญ ของผู้เรียน คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ ตัวชีว้ ดั ของสาระการเรียนรู้ แกนกลาง แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แลว้ จงึ นำองคค์ วามรทู้ ไี่ ดม้ าออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ แตล่ ะ หน่วยการเรียนรู้ประกอบด้วยมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดช้ันปี สาระการเรียนรู้ ประโยชน์จาก การเรียน และคำถามชวนคิด (คำถามนำส่กู ารเรยี นรู)้ เนอื้ หาสาระแต่ละเรอ่ื งแต่ละหัวข้อ นานา น่ารู้ กจิ กรรมเรียนรู้...ส่ปู ฏบิ ัติ (กจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น) แหล่งสบื คน้ ความรู้ บทสรปุ หน่วยการ เรียนรู้ กจิ กรรมเสนอแนะ โครงงาน การประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวนั และคำถามประจำหนว่ ยการ เรยี นรู้ นอกจากนที้ า้ ยเลม่ ยงั มบี รรณานกุ รม และคำอภธิ านศพั ท์ ซง่ึ องคป์ ระกอบของหนงั สอื เรยี น เหลา่ นจี้ ะชว่ ยสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนเกิดการเรยี นรู้อยา่ งครบถว้ นตามหลกั สูตร การเสนอเน้อื หาและออกแบบกิจกรรมในหนังสอื เรียนเลม่ นี้ ได้จดั ทำขน้ึ โดยยึดแนวคดิ การ จัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงศักยภาพของนักเรียน เน้นการเรียนรู้แบบ องคร์ วมบนพ้นื ฐานของการบรู ณาการแนวคิดทฤษฎีทางการเรียนรตู้ า่ ง ๆ อย่างหลากหลาย เชน่ การเรียนรโู้ ดยใช้สมองเป็นฐาน พหปุ ัญญา การใช้คำถามแบบหมวกความคดิ 6 ใบ การเรยี นรู้ แบบประสบการณ์และท่ีเน้นการปฏิบัติ การเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นต้น จัดการเรียนรู้แบบ บูรณาการ เน้นให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง มงุ่ พฒั นาการคดิ และพัฒนาการเรียนรู้ท่ี สอดคล้องกับพัฒนาการทางสมองและพัฒนาการทางร่างกายของนักเรียน อันจะช่วยให้นักเรียน เกิดการเรยี นรู้อยา่ งสมบูรณ์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจำวนั ได้ หวงั เปน็ อย่างยงิ่ วา่ หนังสือเรียน รายวชิ าพน้ื ฐาน สุขศกึ ษา ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 เลม่ นี้ จะช่วยสนับสนุนให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้ด้านทักษะกระบวนการทางสุขศึกษาและพลศึกษาได้ เปน็ อยา่ งดี และสนบั สนนุ การปฏริ ปู การเรยี นรตู้ ามเจตนารมณข์ องพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่ม (ฉบบั ท่ี 2 ) พ.ศ. 2545 คณะผ้จู ดั ทำ
คําช้แี จง คํานาํ หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน สุขศกึ ษา ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 แตล่ ะเล่มได้ออกแบบหนว่ ย การเรียนรใู้ ห้แตล่ ะหน่วยการเรียนร้ปู ระกอบด้วย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเปาหมายที่ต้องการให้เกิดข้ึนกับนักเรียนเมื่อจบการศึกษาใน หน่วยการเรียนรู้นั้น ๆ หรือเมอื่ จบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 2. ตวั ช้ีวดั ชน้ั ป เป็นเปาหมายในการพฒั นานกั เรยี นแตล่ ะชั้นปี ซง่ึ สอดคล้องกบั มาตรฐาน การเรียนรู้ มีรหสั ของมาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวช้ีวดั ชั้นปีกำกับไวห้ ลังตัวชีว้ ดั ช้นั ปี เชน่ พ 1.1 ป. 6/1 (รหัสแตล่ ะตัวมคี วามหมายดังน้ี พ คอื กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สขุ ศึกษาและพลศึกษา 1.1 คือ สาระท่ี 1 มาตรฐานการเรยี นรขู้ อ้ ท่ี 1 ป. 6/1 คอื ตัวช้วี ดั ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 ขอ้ ที่ 1) 3. สาระการเรียนรู้ เป็นการนำเสนอขอบข่ายเน้อื หาที่นักเรียนจะได้เรียนรู้ในระดับชั้นนน้ั ๆ 4. ประโยชน์จากการเรยี น นำเสนอไว้เพอื่ กระตุ้นใหน้ กั เรียนนำความรู้ ทกั ษะจากการเรยี น ไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำวนั 5. คำ ถามชวนคิด (คำ ถามนำ สู่การเรียนรู้) เป็นคำถามหรือสถานการณ์เพื่อกระตุ้นให้ นักเรียนเกิดความสงสยั และสนใจท่ีจะค้นหาคำตอบ 6. เนื้อหา เป็นเนื้อหาที่ตรงตามสาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดชั้นปี และสาระการ เรียนรู้แกนกลาง โดยแบ่งเนื้อหาเป็นช่วง ๆ แล้วแทรกกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ท่ีพอเหมาะกับ การเรียน รวมทั้งมีการนำเสนอด้วยภาพ ตาราง แผนภูมิ และแผนที่ความคิด เพ่ือเป็นส่ือให้ นกั เรยี นสร้างความคิดรวบยอดและเกดิ ความเขา้ ใจทคี่ งทน 7. นานา นา่ รู้ (ความรเู้ สริมหรือเกรด็ ความร)ู้ เป็นความรูเ้ พ่อื เพ่ิมพนู ให้นักเรียนมคี วามรู้ กวา้ งขวางขึ้น โดยคดั สรรเฉพาะเรือ่ งท่ีนักเรยี นควรรู้ 8. กจิ กรรมเรียนรู้...สปู่ ฏิบัติ (กิจกรรมพัฒนาการเรียนร้)ู เปน็ กิจกรรมทกี่ ำหนดไวเ้ มือ่ จบ เนื้อหาแตล่ ะตอนหรอื แต่ละหวั ขอ้ เปน็ กิจกรรมที่หลากหลาย ใชแ้ นวคิดทฤษฎีตา่ ง ๆ ทสี่ อดคลอ้ ง กบั เนื้อหา เหมาะสมกับวัย และพฒั นาการด้านต่าง ๆ ของนักเรยี น สะดวกในการปฏบิ ตั ิ กระต้นุ ให้นักเรยี นไดค้ ิด และสง่ เสรมิ ให้ศกึ ษาค้นคว้าเพม่ิ เติม มคี ำถามเป็นการตรวจสอบผลการเรียนรู้ ของนักเรียน ได้ออกแบบกิจกรรมไว้อย่างหลากหลาย และมีมากเพียงพอที่จะพัฒนาให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้ตามเปาหมายของหลักสูตร โดยครูผู้สอน/นักเรียนสามารถนำกิจกรรมดังกล่าวมา ใชปฏิบตั ิในชว งกจิ กรรมลดเวลาเรยี นเพมิ่ เวลารูได 9. แหลง่ สบื คน้ ความรู้ เปน็ แหลง่ การเรยี นรตู้ า่ ง ๆ ตามความเหมาะสม เชน่ เวบ็ ไซต์ หนงั สอื สถานที่ หรอื บคุ คล เพ่ือใหน้ กั เรียนศกึ ษาคน้ ควา้ เพมิ่ เตมิ ใหส้ อดคลอ้ งกบั เร่ืองทเี่ รียน
10. บทสรปุ หนว่ ยการเรยี นรู้ ไดจ้ ดั ทำ�บทสรุปเปน็ ผังมโนทัศน์ (Concept Map) เพอื่ ให้ นักเรียนไดใ้ ช้เปน็ บทสรุปทบทวนความรู้ โดยวิธกี ารจินตภาพจากผังมโนทัศน์ท่ไี ดส้ รุปเนื้อหาทไี่ ด้ จดั ทำ�ไว้ 11. กิจกรรมเสนอแนะ เปน็ กจิ กรรมบรู ณาการทกั ษะทรี่ วมหลักการและความคิดรวบยอด ในเร่ืองต่าง ๆ ทน่ี ักเรียนได้เรยี นรไู้ ปแลว้ มาประยุกต์ใชใ้ นการปฏิบัติกจิ กรรม 12. โครงงาน เป็นข้อเสนอแนะในการกำ�หนดให้นักเรียนปฏิบัติโครงงาน โดยเสนอแนะ หวั ขอ้ โครงงานและแนวทางการปฏบิ ตั โิ ครงงานทส่ี อดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชว้ี ดั ชน้ั ปี ของหนว่ ยการเรียนรนู้ ั้น เพอ่ื พัฒนาทกั ษะการคดิ การวางแผน และการแก้ปัญหาของนกั เรียน 13. การประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำ�วนั เปน็ กจิ กรรมทเ่ี สนอแนะใหน้ กั เรยี นไดน้ ำ�ความรู้ ทกั ษะ ในการประยุกตค์ วามรใู้ นหน่วยการเรยี นรูน้ ้ันไปใชใ้ นชีวิตประจำ�วัน 14. คำ�ถามประจำ�หน่วยการเรียนรู้ เป็นคำ�ถามท่ีต้องการให้นักเรียนได้สะท้อนความคิด ในเนือ้ หาทีไ่ ด้ศึกษา โดยเน้นการนำ�หลกั การตง้ั คำ�ถามสะท้อนคิด (RCA) มาจัดเรียงเปน็ คำ�ถาม ตามเน้ือหาทีน่ กั เรียนไดเ้ รียนรู้ 15. บรรณานกุ รม เปน็ รายชอื่ หนังสอื เอกสาร หรือเว็บไซตท์ ใี่ ช้คน้ คว้าอ้างอิงประกอบการ เรียบเรยี งเนื้อหาความรู้ 16. คำ�อภธิ านศพั ท์ เปน็ การนำ�คำ�สำ�คญั ทแ่ี ทรกอยตู่ ามเนอื้ หามาอธบิ ายใหค้ วามหมาย และ จดั เรยี งตามลำ�ดับตัวอกั ษร เพอื่ ความสะดวกในการค้นควา้
สารบญั หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 1 เรียนรู้ตัวเรา ....................................................... 1–16 • มาตรฐานการเรียนร ู้..........................................................................1 • ตัวช้วี ดั ชน้ั ป ....................................................................................1 • สาระการเรียนร.ู้ ...............................................................................1 • ประโยชนจ์ ากการเรยี น ......................................................................1 • คำ ถามชวนคดิ .................................................................................1 • ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ......................................................... 2–12 – ระบบสืบพันธุ์..................................................................................... 2 – ระบบไหลเวียนโลหิต........................................................................... 6 – ระบบหายใจ ...................................................................................... 9 • บทสรปุ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 ..............................................................13 • กิจกรรมเสนอแนะ ..........................................................................15 • โครงงาน .....................................................................................15 • การประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตประจำ วัน .........................................................16 • คำ ถามประจำ หน่วยการเรยี นรทู้ ี ่ 1 ......................................................16 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 ชีวติ และครอบครวั ............................................. 17–29 • มาตรฐานการเรียนรู ้........................................................................17 • ตัวชี้วัดช้นั ป ..................................................................................17 • สาระการเรยี นร.ู้ .............................................................................17 • ประโยชนจ์ ากการเรียน ....................................................................17 • คำ ถามชวนคดิ ...............................................................................17 1. การสรา้ งสมั พันธภาพกบั ผอู้ ่นื ................................................. 18–20 1.1 ความหมายและความสำคญั ของสมั พนั ธภาพ ....................................18 1.2 แนวทางการสรา้ งเสรมิ สมั พันธภาพ..................................................18 1.3 ปัจจยั ที่ช่วยใหก้ ารทำงานกล่มุ ประสบความสำเรจ็ ..............................19 2. พฤตกิ รรมเส่ยี งทางเพศ ........................................................ 21–25 2.1 พฤตกิ รรมเส่ียงทีน่ ำไปสกู่ ารมีเพศสมั พันธ์........................................21 2.2 การปอ งกนั พฤติกรรมเส่ยี งตอ่ การมเี พศสมั พนั ธ์ ...............................22 2.3 การตงั้ ครรภใ์ นวัยเรยี น ..................................................................23 2.4 การตดิ เชือ้ เอดส์ ............................................................................24
• บทสรุปหนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ ี 2 ............................................................. 26 • กจิ กรรมเสนอแนะ ......................................................................... 28 • โครงงาน .................................................................................... 28 • การประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจำ วัน ........................................................ 29 • คำ ถามประจำ หน่วยการเรียนรู้ท ี่ 2 ..................................................... 29 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 ใสใ่ จสขุ ภาพ ....................................................30–70 • มาตรฐานการเรยี นรู ้....................................................................... 30 • ตัวชี้วัดชัน้ ป ................................................................................. 30 • สาระการเรียนร.ู้ ............................................................................ 30 • ประโยชนจ์ ากการเรยี น ................................................................... 30 • คำ ถามชวนคดิ .............................................................................. 30 1. สุขภาพกับสิง่ แวดลอ้ ม ..........................................................31–37 1.1 ความสำคญั ของส่ิงแวดลอ้ มที่มีผลต่อสุขภาพ .................................. 31 1.2 ปญั หาสิง่ แวดล้อมทมี่ ีผลตอ่ สขุ ภาพ และแนวทางปอ งกันและแกไ้ ข .... 32 2. โรคติดต่อ ........................................................................ 38–46 2.1 โรคติดต่อท่ีสำคญั ที่พบในประเทศไทย............................................ 38 2.2 ผลกระทบทเ่ี กดิ จากการระบาดของโรคติดต่อ .................................. 42 2.3 การปอ งกนั การระบาดของโรคตดิ ต่อ............................................... 44 3. ความรบั ผิดชอบต่อสุขภาพของตนเองและส่วนรวม .......................46–65 3.1 พฤติกรรมสุขภาพท่ีดสี ว่ นบคุ คล .................................................... 46 3.2 การรับผดิ ชอบต่อสุขภาพของส่วนรวม ............................................ 48 3.3 การสรา้ งเสริมและปรบั ปรงุ สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ................ 49 • บทสรุปหน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 ............................................................. 66 • กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................... 69 • โครงงาน .................................................................................... 69 • การประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตประจำ วนั ........................................................ 70 • คำ ถามประจำ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 ..................................................... 70 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ ี 4 ชวี ิตปลอดภัย ...................................................71–84 • มาตรฐานการเรยี นร ู้....................................................................... 71 • ตวั ชวี้ ัดชน้ั ป ................................................................................. 71 • สาระการเรยี นร.ู้ ............................................................................ 71 • ประโยชนจ์ ากการเรียน ................................................................... 71 • คำ ถามชวนคดิ .............................................................................. 71 1. ภยั ธรรมชาต ิ ......................................................................72–78 1.1 ลกั ษณะของภยั ธรรมชาติ .............................................................. 72
1.2 ผลกระทบจากความรนุ แรงของภัยธรรมชาตทิ ่ีมีต่อรา่ งกาย จิตใจ และสังคม ...................................................................................75 1.3 แนวทางการปฏบิ ัติตนเพื่อความปลอดภยั จากภัยธรรมชาติ................76 2. การป‡องกนั สารเสพติด ..........................................................78–81 2.1 สาเหตุของการติดสารเสพติด......................................................... 78 2.2 ทกั ษะการส่อื สารเพื่อใหต้ นเองและผู้อืน่ หลกี เลี่ยงสารเสพติด............. 79 • บทสรุปหนว่ ยการเรยี นร้ทู ี ่ 4 ............................................................. 82 • กจิ กรรมเสนอแนะ ......................................................................... 83 • โครงงาน .................................................................................... 83 • การประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจำ วัน ........................................................ 84 • คำ ถามประจำ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ..................................................... 84 • บรรณานุกรม ...............................................................................85 • คำ อภธิ านศัพท์ .............................................................................86
เรยี นรูต้ ัวเรา 1หนว� ยการเรย� นรูท ่ี มาตรฐานการเร�ยนรู พ 1.1 เขาใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพฒั นาการของมนษุ ย ตวั ชวี้ ัดช�ันป 1. อธิบายความสำ คัญของระบบสืบพันธุ ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจท่ีมีผลตอ สุขภาพ การเจริญเตบิ โต และพฒั นาการ (พ 1.1 ป. 6/1) 2. อธิบายวิธีดูแลรักษาระบบสืบพันธุ์ ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจให้ทำางาน ตามปกต ิ (พ 1.1 ป. 6/2) สาระการเร�ยนรู • ระบบตา ง ๆ ของรางกาย ประโยชนจ ากการเรยี น คําถามชวนคดิ เขาใจและเห็นความสำ คัญของระบบ นักเรียนคิดวาระบบใดในรางกาย สืบพันธุ ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบ มีความสำ คัญทสี่ ุด เพราะเหตุใด หายใจ ตลอดจนวธิ ีชดแู ลรกั ษาอยางถูกตอ ง
2 หนังสอื เรียน รายวชิ าพ้นื ฐาน สุขศึกษา ป. 6 อวัยวะทุกสวนในรางกายของคนเรานั้นทำ งานรวมกันเปนระบบถาระบบใดใน รา งกายทำ งานผดิ ปกตกิ ็จะสงผลกระทบตอ ระบบอืน่ ๆ การเรยี นรู ทำ ความเขา ใจ และ ใหความสำ คัญในการดูแลรักษาระบบตาง ๆ ในรางกายอยางถูกตองจะสงผลดีตอ สุขภาพของคนเรา ระบบตา ง ๆ ของรางกาย คำ�ถามนำ�Êูº่ ทเรยี น ระบบสืบพันธุมคี วามสำ คญั กับการกำ เนดิ ชวี ิตมนษุ ยอยางไร ระบบสบื พนั ธุ ระบบไหลเวียนโลหติ และระบบหายใจ ตา งกม็ คี วามสำ คัญตอ รา งกาย โดยระบบสบื พนั ธชุ ว ยในการสบื ทอดเผา พนั ธ ุ ระบบไหลเวยี นโลหติ ชว ยในการนำ แกส ออกซเิ จนและสารอาหารไปเลยี้ งอวยั วะสว นตา ง ๆ ภายในรา งกาย และระบบหายใจ ชว ยในการแลกเปลี่ยนแกส ออกซิเจนและแกสคารบ อนไดออกไซดใ หก ับรางกาย • ระบบสืบพนั ธุ การสืบพันธุของมนุษยเพื่อดำ รงไวซ่ึงเผาพันธุตามธรรมชาติ จำ เปนตองอาศัย เพศชายและเพศหญงิ ซึง่ ทั้งสองเพศสามารถสบื พนั ธุไดเมอ่ื อวัยวะสืบพนั ธุเ จริญเตบิ โต เตม็ ท ี่ เชน เพศชายมกี ารขับน้ำ อสุจอิ อกมา สวนเพศหญงิ จะมปี ระจำ เดอื น 1. อวยั วะสบื พันธุของเพศชาย อวัยวะสืบพันธุของเพศชายประกอบดวยสวนตาง ๆ หลายสวน ในท่ีนี้ จะกลา วเฉพาะบางสวนทส่ี ำ คญั ๆ ดงั น้ี 1) ลงึ คห รอื องคชาตเปน สว น ที่แสดงใหเห็นวาเปนเพศชายอยาง นานา น่ารู้ ชัดเจน ตัวลึงคจะหอยอยูดานหนา ตัวอสุจิ เปน เซลลท ่ีมีขนาดเล็ก มอง ลกู อณั ฑะ บรเิ วณปลายลงึ คจ ะมเี สน - ไมเ หน็ ดว ยตาเปลา มลี กั ษณะคลา ยลกู ออ ด ประสาทและหลอดเลือดอยูเปน ของกบ จำ นวนมาก
หนังสอื เรยี น รายวิชาพ้ืนฐาน สุขศึกษา ป. 6 3 2) ลกู อณั ฑะ มลี กั ษณะและรูปรา งคลายไขไ กฟ องเล็ก ๆ มี 2 ลูก มหี นาท่ี ในการสรางตัวอสุจิ 3) ตอมลูกหมาก มีลักษณะคลายลูกหมากเล็ก ๆ มีหนาท่ีสรางนำ้ �เมือก (นำ้ �อสุจิ) สำ�หรบั หลอ เล้ยี งตวั อสจุ ิ องคชาต ต่อมลกู หมาก ต่อมลูกหมาก ลูกอัณฑะ ลกู อณั ฑะ ลูกอัณฑะ องคชาต ภาพอวยั วะสบื พันธุ์ของเพศชายด้านขา้ ง ภาพอวัยวะสืบพนั ธุ์ของเพศชายด้านหนา้ นอกจากสวนตาง ๆ ของอวัยวะเพศชายที่กลาวมาแลว ยังมีสวนประกอบ อ่ืน ๆ อีก เชน ทอพักตัวอสุจิ ถุงอัณฑะ ทอนำ�ตัวอสุจิ และสวนประกอบอ่ืน ๆ ซ่งึ นักเรียนจะไดเรียนรใู นระดบั ชั้นตอ ไป 2. อวัยวะสบื พนั ธขุ องเพศหญงิ อวัยวะสืบพันธุของเพศหญิงมีลักษณะและสวนประกอบท่ีสลับซับซอนกวา เพศชาย ประกอบดว ยสว นตา ง ๆ เชน รังไข ทอนำ�ไข มดลูก ชองคลอด และอวยั วะ สืบพันธภุ ายนอก ในท่นี จ้ี ะกลาวเฉพาะบางสวนทส่ี ำ�คญั ดงั นี้ ทอ่ นำ�ไข่ ท่อนำ�ไข่ รังไข่ มดลูก รงั ไข่ รังไข่ ช่องคลอด กระเพาะปัสสาวะ มดลูก ชอ่ งคลอด ภาพอวัยวะสืบพันธข์ุ องเพศหญงิ ดา้ นขา้ ง ภาพอวยั วะสบื พันธ์ุของเพศหญิงดา้ นหนา้
4 หนังสอื เรยี น รายวิชาพน้ื ฐาน สุขศกึ ษา ป. 6 1) รงั ไข เปนตอ มไรท อ มอี ยู 2 ขา ง คอื ขา งขวาและขา งซาย ขางละตอ ม มลี กั ษณะเปน รูปไขคลายเม็ดขนนุ รังไขม หี นาทผ่ี ลติ ไขแ ละฮอรโมนเพศหญิง 2) ทอนำ�ไข เปนทอกลวง มีอยู 2 ขาง ปลายดานหนึ่งตอกับโพรงมดลูก ทางดานซา ยและขวา และปลายอกี ดา นหนึ่งเกาะตดิ อยูกับรงั ไขท ้ัง 2 ขา ง ทอ นำ�ไขจ ะ เปนบริเวณท่ีอสุจิของเพศชายเขาผสมกับไขท่ีสุกแลวของเพศหญิง เรียกกระบวนการ ดังกลา ววา การปฏิสนธิ 3) มดลูก เปนอวัยวะที่เปนโพรงรูปรางคลายผลชมพู ภายในมดลูกจะมี หลอดเลือดไปเลีย้ งอยเู ปน จำ�นวนมาก เมอ่ื มกี ารปฏสิ นธิเกดิ ขน้ึ ท่ีทอ นำ�ไข ผนังมดลูก กจ็ ะเปน ทฝี่ ง ตวั ของไขท ผ่ี สมกบั อสจุ แิ ลว สว นโพรงมดลกู จะเปน ทเี่ จรญิ เตบิ โตของทารก ซ่ึงทำ�ใหมดลูกมีการเปลี่ยนแปลง ขนาดใหญข้ึน และจะกลับคืนสภาพ เดมิ เมอ่ื คลอดทารกแลว แตถ า ไมม กี าร นานา น่ารู้ ปฏสิ นธเิ กิดขน้ึ เยื่อบุมดลูกกจ็ ะสลาย ปกตอิ สุจขิ องเพศชายทแี่ ข็งแรงท่ีสดุ เพียง ตวั กลายเปน เลอื ดประจำ�เดอื นนัน่ เอง 4) ชอ งคลอด มรี ปู รา งคลา ยทอ ตัวเดียวจะผสมกับไขใบหนึ่งของเพศหญิงท่ี เปนอวัยวะสำ�หรับการรวมเพศเพื่อ ทอ นำ�ไข จากนน้ั ไขท ไ่ี ดร บั การผสมแลว จะเดนิ ทาง การสืบพันธุ เปนทางผานของเลือด เขา สโู พรงมดลกู ไปฝง ตวั ในโพรงมดลกู และเจรญิ - ประจำ�เดือนท่ีออกจากโพรงมดลูก เตบิ โตเปน เดก็ ทารกทอี่ ยใู นครรภม ารดาเปน ระยะ สูภายนอก และเปนชองทางใหทารก เวลา 9 เดือน จึงจะคลอดออกมาทางชอ่ งคลอด ของเพศหญงิ คลอดออกมา 3. การดแู ลรักษาระบบสืบพนั ธุ วิธีดูแลรักษาระบบสืบพันธุที่นักเรียนควรเอาใจใสและปฏิบัติอยางสม่ำ�เสมอ มีดงั นี้ 1) รักษาความสะอาดอวัยวะเพศสม่ำ�เสมอ อาบน้ำ� ฟอกสบูใหสะอาด และเช็ดอวัยวะเพศใหแหง โดยในเพศชาย ให้เนน้ การทำ�ความสะอาดบรเิ วณหนงั หมุ้ ปลายอวยั วะเพศ สว่ น เพศหญงิ ใหท้ ำ�ความสะอาดอวยั วะเพศแตภ่ ายนอกจากดา้ นหนา้ ไปด้านหลัง และขณะมีประจำ�เดือนให้เปลี่ยนผ้าอนามัยวันละ 2–3 คร้งั เปน็ อยา่ งนอ้ ย
หนังสือเรยี น รายวชิ าพื้นฐาน สขุ ศึกษา ป. 6 5 2) สวมกางเกงชน้ั ในทีส่ ะอาดและไมร ดั แนน จนเกินไป เน่ืองจากกางเกงชั้นในที่ไมสะอาดและ รัดแนนจนเกินไปเปนแหลงสะสมของเช้ือโรคท่ี เปนสาเหตุของโรคผิวหนังท่บี ริเวณอวัยวะเพศหรือ ขาหนบี ได 3) ระวงั อยา ใหอ วยั วะเพศถกู กระแทกแรง ๆ และเม่ือมีส่ิงผิดปกติเกิดขึ้นกับอวัยวะเพศควรไป พบแพทยเ พ่ือรับการตรวจรักษาตอ ไป ระบบสบื พนั ธมุ คี วามสำ คญั ถา เราไมด แู ลรกั ษา ระบบสืบพันธุใหดี ยอมทำ ใหเกิดโรคและความ เจ็บปวยจนสงผลกระทบตอสุขภาพ และการ เจรญิ เตบิ โต และพฒั นาการของรา งกายได โดยอาจ ทำ ใหเราเจริญเติบโตเขาสูวัยหนุม วัยสาวไดชากวา เพอื่ น ๆ หรอื มีปญั หาในการใชช ีวติ สมรสไดในอนาคต คำ�ถาม¾²ั นาความค´ิ 1. ถานกั เรยี นหญิงมปี ระจำาเดอื นเกิดขน้ึ เปนครง้ั แรก ควรปฏิบตั ติ นอยางไร 2. ถานกั เรยี นชายเกดิ การฝันเปย ก ควรปฏบิ ตั ติ นอยา งไร กิจกรรมเรียนรู้...ส่ปู ฏบิ ัติ • เพื่อความเขา ใจทีค่ งทนใหน ักเรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตอ ไปน้ี เขียนวิธีการดูแลระบบสืบพันธุในรูปแบบแผนที่ความคิด แลวนำาผลงานท่ีเขียนออกมา เลา ใหเพ่ือน ๆ ในชัน้ เรยี นฟัง และอภิปรายรวมกันในเรอื่ งดังกลาว
6 หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน สุขศึกษา ป. 6 • ระบบไหลเวยี นโลหติ คำ�ถามนำ�Êูº่ ทเรียน ระบบไหลเวียนโลหติ มีหนาทอ่ี ยา งไร อวัยวะทกุ ๆ สวนของรางกายตองอาศยั เลอื ดไปหลอ เลยี้ ง โดยเลือดจะนำ แกส ออกซเิ จนและสารอาหารไปยงั อวยั วะเหลา นนั้ ผา นระบบไหลเวยี นโลหติ นกั เรยี นจงึ ควร ดูแลระบบไหลเวียนโลหติ ใหม สี ภาวะทด่ี อี ยเู สมอ 1. หนา ที่ของระบบไหลเวยี นโลหติ ระบบไหลเวียนโลหิตมีหนาท่ีในการนำ แกสออกซิเจนและสารอาหารไปเล้ียง อวัยวะสวนตา ง ๆ ภายในรางกาย โดยผา นกระแสเลอื ด 2. โครงสรางของระบบไหลเวยี นโลหิต โครงสรา งของระบบไหลเวียนโลหติ ท่ีสำ คญั ประกอบดวยสว นตาง ๆ ดงั น้ี หัวใจ หัวใจของมนุษยโดยท่ัวไปจะมีขนาดประมาณเทากับกำ ปันของตัวเอง ตั้งอยูบรเิ วณทรวงอกขา งซาย แบงออกเปน 4 หอง ไดแ ก หวั ใจหองบนซา ยและหวั ใจ หอ งบนขวา หวั ใจหอ งลา งซา ยและหวั ใจหอ งลา งขวา หัวใจมีหนาที่ในการสูบฉีดเลือดไปยังสวนตาง ๆ ของรางกาย ถา หวั ใจหยดุ เตน เราก็จะเสยี ชวี ติ ลกั ษณะภายนอก ลกั ษณะภายใน หลอดเลือด หลอดเลือดมลี ักษณะเปนทอ ของหัวใจ ของหัวใจ ซ่ึงเปนเสนทางใหเลือดหมุนเวียนไปตามรางกาย การไหลเวียนของเลือดอาศัยแรงดันท่ีเกิดขึ้นจาก ภาพแสดงลักษณะของหัวใจ การสูบฉีดของหัวใจหรือการบีบตัวของผนังหลอด- ทงั้ ภายนอกและภายใน เลือดแดง หลอดเลือดแบงออกเปน 3 ชนิด คอื หลอดเลอื ดแดง หลอดเลอื ดดำ และหลอดเลอื ดฝอย เลือด เลือดมลี กั ษณะเปน ของเหลวอยูในหลอดเลอื ด ในเลือดประกอบไปดว ย นำ้ เลือดและเซลลเ ม็ดเลือด
หนังสือเรยี น รายวิชาพ้ืนฐาน สขุ ศกึ ษา ป. 6 7 1. น้ำ�เลอื ด มหี นาที่ลำ�เลยี งสารอาหารตา ง ๆ ไปยังอวยั วะสว นตา ง ๆ ของ รางกายและรักษาสมดลุ ตาง ๆ ของรางกาย เชน ควบคมุ อณุ หภูมิของรา งกาย 2. เซลลเมด็ เลือด แบงออกเปน 3 ชนิด มีหนาที่แตกตา งกัน ดังน้ี 1) เซลลเม็ดเลือดแดง มีหนาที่ลำ�เลียงแกสออกซิเจนและแกสคารบอน- ไดออกไซด 2) เซลลเม็ดเลือดขาว มีหนาท่ีกำ�จัดเช้ือโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เขาสู รางกาย 3) เกล็ดเลือด ชวยในการแข็งตัวของเลือด เชน ในขณะที่ถูกมีดบาด เกลด็ เลอื ดกจ็ ะไปเกาะทขี่ อบของบาดแผล ทำ�ใหเลอื ดหยุดไหล 3. การไหลเวียนของเลือด เริม่ จากหัวใจหอ งบนขวาจะรับเลือดดำ�จากสวนตา ง ๆ ของรา งกาย สวนหัวใจ หองบนซายจะรับเลือดแดงจากปอด เม่ือเลือดเขามาเต็มที่แลวหัวใจหองบนท้ังซาย และขวาจะบบี ตัวพรอมกนั เลือดดำ�จากหวั ใจหองบนขวาจะไหลผา นลิ้นหวั ใจลงสหู วั ใจ หอ งลา งขวา สว นเลอื ดแดงจากหวั ใจหอ งบนซา ยจะไหลผา นลน้ิ หวั ใจลงสหู วั ใจหอ งลา งซา ย จากน้ันหัวใจหองลางซาย และหองลางขวาจะบีบตัว หลอดเลือดที่ไปยัง พรอ มกนั โดยเลอื ดดำ�จาก หลอดเลือดดำ�ทมี่ าจาก } สว นตา ง ๆ ของรา งกาย ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หวั ใจหอ งลา งขวาจะไหลไป หลอดเลอื ดดำ� สูปอดเพื่อฟอกเลือดดำ� ท่ไี ปยงั ปอด ใหเ ปน เลอื ดแดง สว นหวั ใจ หลอดเลอื ดแดง หลอดเลอื ดแดง หองลางซายก็จะสงเลือด ทมี่ าจากปอด ทม่ี าจากปอด แดงผานหลอดเลือดไปยัง สวนตาง ๆ ของรางกาย หมุนเวยี นเชน นเ้ี รือ่ ยไป ภาพแสดงตำ�แหนง่ การไหลเวยี นของเลอื ด
8 หนังสอื เรียน รายวชิ าพ้นื ฐาน สขุ ศึกษา ป. 6 4. การดแู ลรกั ษาระบบไหลเวยี นโลหติ วิธีดแู ลรักษาระบบไหลเวยี นโลหติ มดี ังน้ี 1) ออกกำ ลังกายสม่ำ เสมอ อยา งนอ ยสัปดาหล ะ 3 ครัง้ เพราะถาเราขาดการ ออกกำ ลงั กาย กลามเนื้อหัวใจจะไมแ ขง็ แรง สงผลใหเ มอื่ ทำ กจิ กรรมหนัก ๆ รางกาย จะเหน็ดเหนอ่ื ยไดง า ย 2) รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมากเปนพิเศษ เชน ตับ เคร่ืองในสัตว ผักคะนา เพ่ือชวยเพ่มิ ธาตเุ หลก็ ใหกับเลือด 3) ไมส บู บหุ รแ่ี ละหลกี เลย่ี งบรเิ วณทม่ี คี วนั บหุ ร ่ี เนอ่ื งจากในควนั บหุ รม่ี สี ารพษิ ท่ีเปนอันตรายตอระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต สงผลทำ ใหเกิดโรคปอดและ โรคหัวใจได 4) พักผอนใหเ พียงพอและดม่ื นำ้ มาก ๆ ชว ยในการไหลเวยี นของเลือด 5) หลีกเลี่ยงอาหารทีม่ ไี ขมันมาก เชน เนือ้ สตั วติดมนั น้ำ มนั หมู เพราะอาจ ทำ ใหอ วนและเปน โรคหลอดเลือดหัวใจได 6) พยายามไมเ ครียดหรือเมอื่ เครียดพยายามหาทางผอ นคลายความเครียด ถาระบบไหลเวยี นโลหิตเกิดความบกพรอง โดยทเ่ี ราไมดแู ลรักษาตามวธิ กี ารท่ี กลา วมายอ มจะทำ ใหส ขุ ภาพไมแ ขง็ แรง เลอื ดไหลเวยี นไดไ มด ี ทำ ใหส มองไมป ลอดโปรง มผี ลตอความคดิ และความจำ ในการเรยี นรู อีกทงั้ สง ผลตอ การทำ งานของอวยั วะอน่ื ๆ ในรางกายอีกดว ย คำ�ถาม¾²ั นาความค´ิ ระหวา งคนทมี่ รี ปู รา งอว นและคนทมี่ รี ปู รา งสมสว น ใครมโี อกาสปว ยจากโรคหวั ใจ หรือโรคระบบไหลเวยี นโลหติ มากกวา กนั เพราะอะไร
หนังสอื เรียน รายวชิ าพน้ื ฐาน สุขศกึ ษา ป. 6 9 กจิ กรรมเรียนร.ู้ ..สู่ปฏบิ ัติ • เพ่อื ความเขา ใจที่คงทนใหนักเรยี นปฏิบตั กิ จิ กรรมตอ ไปนี้ วาดภาพและระบายสีหวั ใจ พรอมท้งั เขยี นลูกศรแสดงทศิ ทางการไหลเวยี นของเลอื ด • ระบบหายใจ คำ�ถามนำ�ʺู่ ทเรียน เม่ือกลาวถึงระบบหายใจ นักเรียนจะนึกถึงอวัยวะใดเปนอันดับแรก เพราะอะไร มนุษยสามารถท่ีจะมีชีวิตอยูไดเปนสัปดาหถาขาดอาหาร และมีชีวิตอยูไดเปนวัน ถา ขาดน้ำ แตไ มส ามารถมชี วี ติ อยไู ดถ า ขาดอากาศหายใจเพยี งไมก น่ี าท ี ดงั นน้ั การศกึ ษา เกย่ี วกบั ระบบหายใจจงึ มคี วามสำ คัญทน่ี กั เรยี นควรไดเ รยี นรแู ละทำ ความเขา ใจในเรอื่ ง ทีเ่ กีย่ วขอ ง ดงั นี้ 1. หนา ท่ขี องระบบหายใจ ระบบหายใจมีหนาที่ในการแลกเปล่ียนแกสออกซิเจนและแกสคารบอน- ไดออกไซดใ หกับรา งกาย เราทุกคนหายใจเอาอากาศภายนอกรางกายเขาไปเพื่อตองการแกสออกซิเจน ไปใชในขบวนการเผาผลาญสารอาหารใหเกิดพลังงานที่รางกายตองการ พรอมทั้งขับ แกสคารบอนไดออกไซดอ อกจากรางกายในขณะหายใจออกอีกดวย เมอ่ื เราหายใจเขา อากาศจะผา นโพรงจมกู ไปยงั คอหอย ผา นกลอ งเสยี ง หลอดลม ข้ัวปอด และไปยงั ปอด หลอดลม โพรงจมูก ปอด ชอ งปาก ภาพแสดงโครงสร้างของระบบหายใจ
10 หนงั สือเรยี น รายวิชาพ้นื ฐาน สุขศกึ ษา ป. 6 2. โครงสรา งของระบบหายใจ โครงสรางของระบบหายใจทส่ี ำ�คัญ มดี งั นี้ 1) จมกู จมกู มี 2 รู ภายในรมู ีลกั ษณะเปน โพรง ประกอบดว ยขนจมกู และมี เยอ่ื บเุ มอื กทค่ี อยดกั จบั ฝนุ ละอองและเชอ้ื โรคตา ง ๆ เมอ่ื ฝนุ ละอองทเ่ี กาะอยใู นโพรงจมกู แหง กจ็ ะหลดุ ลอกออกมาในรูปของขี้มูก 2) คอหอยและกลองเสยี ง คอหอยมลี ักษณะเปน ทอ กลวงอยูติดกบั โพรงจมูก เปนทางผานของอากาศที่เราหายใจ (ลมหายใจ) ถัดมาจากคอหอยจะเปนกลองเสียง ซง่ึ เปน ทางผา นของอากาศเชน กนั และยงั เปน สว นทท่ี ำ�ใหเ กดิ เสยี ง โดยมฝี าปด กลอ งเสยี ง เพื่อปองกนั ไมใ หอาหารทีร่ บั ประทานเขาไปพลดั ตกลงไปในหลอดลมอกี ดว ย 3) หลอดลม หลอดลมมลี ักษณะเปน ทอ ตรง กลวง โดยตอ มาจากกลอ งเสยี ง มีหนาที่เปนทางผานของอากาศท่ีเราหายใจ ผูปวยที่เปนโรคถุงลมโปงพอง หายใจ ไมส ะดวก มักจะถกู เจาะหลอดลมบริเวณคอเพอ่ื ใหผ ปู ว ยหายใจไดสะดวกขึน้ หลอดลม ภาพแสดงตำ�แหน่งของหลอดลม 4) ขว้ั ปอด ขว้ั ปอดเปน สว นทตี่ อ จากหลอดลม แยกออกเปน 2 แขนงไปทป่ี อด ขางซา ยและขวา 5) ปอด ปอดมีลกั ษณะคลา ยฟองนำ้ �มี 2 ขา ง คือ ขา งซา ยและขางขวา อยู ระหวางชองอก ภายในปอดประกอบดวยแขนงขั้วปอด และท่ีปลายของแขนงขั้วปอด จะมีถงุ ลมเลก็ ๆ ซง่ึ เปน ทแ่ี ลกเปล่ียนแกส ออกซเิ จนและแกสคารบ อนไดออกไซด โดย ท่ีรางกายจะนำ�แกสออกซิเจนไปใช สวนแกสคารบอนไดออกไซดจะถูกกำ�จัดออก มาพรอมกบั ไอนำ้ �ทางลมหายใจนั่นเอง
แขนงขวั้ ปอด หนังสือเรยี น รายวิชาพน้ื ฐาน สขุ ศึกษา ป. 6 11 แขนงขัว้ ปอด ถงุ ลม ถุงลม ภาพแสดงตำ�แหน่งของปอดและภาพขยายของถุงลม 3. การดูแลรักษาระบบหายใจ วิธีดูแลรกั ษาระบบหายใจ มดี งั น้ี 1) ออกกำ�ลงั กายอยา งสมำ่ �เสมอ เพราะการออกกำ�ลังกายช่วยให้ปอดแข็งแรง มรี ะบบหายใจทีด่ ี และเพิ่มการรบั แก๊สออกซเิ จนของรา่ งกาย 2) ไมสูบบุหร่ีและไมอยูในบริเวณที่มีควันบุหร่ีหรือควันพิษ เพราะถ้าร่างกาย ได้รับควันบุหรี่หรือควันพิษบ่อย ๆ จะทำ�ให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจได้ เช่น โรคภมู แิ พ้ โรคถุงลมโป่งพอง โรคมะเรง็ ปอด เปน็ ต้น 3) ไมถอนขนจมูก เนอื่ งจากขนจมูกมีความสำ�คญั ในการชว่ ยกรองฝุ่นละออง และเชอื้ โรคไมใ่ หเ้ ขา้ สรู่ ะบบหายใจไดโ้ ดยงา่ ย นอกจากนค้ี วรดแู ลรกั ษาความสะอาดจมกู อยเู สมอ 4) ไมสวมเสื้อท่ีรัดตึงจนเกินไป เนื่องจากการสวมเส้ือผ้าที่รัดตึงจนเกินไปจะ ทำ�ใหอ้ ึดอดั หายใจได้ไม่สะดวก 5) ถา ไมจ ำ�เปน อยาหายใจทางปาก เพราะเปน็ การหายใจที่ไม่ถูกวธิ ี อาจทำ�ให้ ได้รับเช้อื โรคเขา้ สูร่ ่างกายได้ง่าย 6) รกั ษารา งกายใหอ บอนุ อยเู สมอ โดยเฉพาะเวลานอน เนอ่ื งจากจะชว่ ยปอ้ งกนั โรคไขห้ วัด โรคปอดบวมได้
12 หนงั สอื เรียน รายวชิ าพนื้ ฐาน สขุ ศึกษา ป. 6 การดูแลรักษาระบบหายใจอยางถูกตองมีความสำ คัญตอสุขภาพ การเจริญ- เติบโต และพัฒนาการของรางกาย ถาเราขาดการดูแลรักษาระบบหายใจแลวยอมเกิด ความบกพรอ งของกระบวนการหายใจในการนำ แกส ออกซเิ จนเพอ่ื ไปหลอ เลย้ี งเซลลข อง รา งกายใหเจริญเตบิ โตสมวัยไดตอไป คำ�ถาม¾ั²นาความค´ิ นักเรียนรูจักโรคใดบางท่ีเกิดขึ้นกับระบบหายใจ และโรคดังกลาวน้ันเกิดจาก สาเหตุใด และมีอาการเชนไร กจิ กรรมเรียนร.ู้ ..ส่ปู ฏิบตั ิ • เพอ่ื ความเขา ใจท่ีคงทนใหนกั เรียนปฏบิ ัติกิจกรรมตอไปน้ี วาดภาพอวยั วะในระบบหายใจพรอ มทง้ั ระบหุ นา ทข่ี องอวยั วะเหลา นน้ั ลงในสมดุ รายงาน แหล่งสบื ค้นความรู้ • นกั เรยี นสามารถคน ควา ความรเู รอื่ ง ระบบตา่ ง�ๆ�ของรา่ งกาย เพมิ่ เตมิ ไดจ ากเวบ็ ไซต http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/ หรือ http://www.thaihealth.or.th/ โดยขอ คำ ปรกึ ษาจากครแู ละเจาหนาท่ีสาธารณสุข
หนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน สขุ ศึกษา ป. 6 13 บทสรปุ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 นกั เรยี นสามารถสรปุ ทบทวนความรโู้ ดยใชว้ ธิ กี ารจนิ ตภาพจากผงั มโนทศั น์ (concept map) เพอื่ สรุปองคค์ วามรไู้ ดด้ ังนี้ เรียนร้ตู ัวเรา การดูแลรักษาระบบสืบพันธ์ุ เรียนรู้เกีย่ วกบั ทำ�ไดโ้ ดย ระบบต่าง ๆ ของรา่ งกาย รกั ษาความสะอาดอวยั วะเพศสม่ำ� เสมอ สวมกางเกงช้ันในที่สะอาดและไม่รัดแน่น ไดแ้ ก่ จนเกนิ ไป ระวังอย่าให้อวยั วะเพศถูกกระแทกแรง ๆ ระบบสืบพันธ์ุ เม่ือเกิดสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับอวัยวะเพศ ควรรบี ไปพบแพทย์ เก่ยี วกับ หน้าที่ คสอื ืบพนั ธุแ์ ละด�ำรงเผา่ พันธุ์ตามธรรมชาติ โครงสรา้ ง แบง่ ออกเปน็ อวยั วะสืบพันธข์ุ องเพศชาย มอี วยั วะส่วนทส่ี ำ�คญั และทำ�หน้าที่ ดังน้ี ลึงหรอื องคชาติ เปน็ ทางผา่ นของนำ�้ อสจุ ิ และนำ้� ปสั สาวะ ลกู อณั ฑะ สร้างตวั อสจุ ิ ต่อมลูกหมาก สรา้ งน�้ำเมือก (น�้ำอสุจ)ิ ส�ำหรบั หล่อเลยี้ งตัวอสุจิ อวัยวะสืบพนั ธ์ขุ องเพศหญิง มอี วัยวะสว่ นท่สี ำ�คัญและทำ�หนา้ ท่ี ดังน้ี รงั ไข่ ผลิตไขแ่ ละฮอรโ์ มนเพศหญงิ ทอ่ น�ำไข่ เป็นบรเิ วณทีเ่ กิดการปฏิสนธิ มดลกู เป็นทีฝ่ ังและเจริญเตบิ โตของตัวออ่ น ช่องคลอด เป็นทางผ่านของประจ�ำเดอื น และเปน็ ชอ่ งทางการคลอดของทารก
14 หนงั สอื เรยี น รายวิชาพน้ื ฐาน สขุ ศึกษา ป. 6 เรียนรู้ตวั เรา (ต่อ) เรียนร้เู ก่ยี วกับ ระบบตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ได้แก่ ระบบไหลเวยี นโลหติ ระบบหายใจ เก่ียวกับ เกีย่ วกับ หน้าท่ี หนา้ ที่ คอืน�ำแกส๊ ออกซิเจนและสารอาหารไปเล้ยี งอวยั วะ คอื แลกเปลี่ยนแกส๊ ออกซเิ จนและแก๊ส ส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย โดยผา่ นกระแสเลอื ด คารบ์ อนไดออกไซดใ์ ห้กับร่างกาย โครงสรา้ ง โครงสรา้ ง มีอวัยวะทสี่ ำ�คัญและทำ�หนา้ ท่ี ดงั นี้ มีอวัยวะทสี่ ำ�คญั และทำ�หน้าท่ี ดังนี้ หัวใจ มี 4 หอ้ ง สูบฉดี เลอื ดไป ยงั สว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกาย จมกู มีขนจมกู และเยอ่ื บุเมอื ก คอยดกั จบั เชอ้ื โรค หลอดเลือด เปน็ เส้นทางใหเ้ ลอื ด คอหอยและกลอ่ งเสยี ง เป็นทางเดินหายใจ หมนุ เวียนไปตามรา่ งกาย หลอดลม เปน็ ทางเดนิ หายใจ ขว้ั ปอด เปน็ สว่ นทต่ี ่อจากหลอดลม เลือด ล�ำเลยี งสารอาหารไปยัง ไปยงั ปอด สว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกาย ปอด แลกเปล่ยี นแกส๊ ออกซิเจน การไหลเวียนของเลอื ด และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ทำ�งานหมนุ เวยี นโดยมลี ำ�ดบั เรมิ่ จาก การดูแลรกั ษาระบบหายใจ • เลอื ดด�ำจากรา่ งกาย หัวใจหอ้ งบนขวา ทำ�ไดโ้ ดย หวั ใจหอ้ งลา่ งขวา ปอด หวั ใจหอ้ งบนซา้ ย ออกก�ำลังกายสมำ่� เสมอ • เลือดแดงจากปอด ส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย ไมส่ บู บหุ ร่ีและหลกี เลี่ยงควันบหุ ร่ี หวั ใจห้องล่างซา้ ย ไมถ่ อนขนจมูก ไม่สวมเสือ้ ผ้ารดั ตงึ จนเกินไป การดูแลรกั ษาระบบไหลเวียนโลหติ ถา้ ไม่จ�ำเป็นอย่าหายใจทางปาก รกั ษาร่างกายใหอ้ บอนุ่ อยูเ่ สมอ ทำ�ไดโ้ ดย ออกก�ำลังกายสม�่ำเสมอ รบั ประทานอาหารทม่ี ีธาตเุ หลก็ งดอาหารไขมนั สูง ไมส่ บู บุหรแี่ ละหลกี เลย่ี งควนั บหุ ร่ี พักผ่อนใหเ้ พียงพอ ไมเ่ ครียด
หนังสือเรียน รายวชิ าพนื้ ฐาน สขุ ศึกษา ป. 6 15 กจิ กรรมเÊนÍáนะ • เพ่อื ความเขา ใจทีค่ งทนใหนกั เรยี นปฏิบัติกิจกรรมตอไปนี้ 1. อภิปรายแสดงความคิดเห็นเร่อื ง ทารกเกดิ มาไดอ้ ย่างไร 2. รวบรวมภาพและขอ มลู ขา วสารในเรอ่ื ง โรคทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ระบบไหลเวยี นโลหติ แลว จดั ปายนเิ ทศหนา หอ งเรยี น 3. แบง กลุม กลุมละ 4–5 คน แตล ะกลุม รวมกนั ระดมสมองแสดงบทบาทสมมุติ เก่ยี วกับแนวทางในการดูแลรกั ษาระบบหายใจ และนำ เสนอหนาชั้นเรยี น âคร§§าน • เพือ่ ความเขาใจท่คี งทนใหนกั เรยี นปฏิบัติกิจกรรมตอ ไปน้ี เลอื กทำ โครงงานตอไปน้ ี (เลือก 1 ขอ ) หรืออาจเลือกทำ โครงงานอืน่ ตามความ สนใจตามรูปแบบโครงงานที่ผูสอนกำ หนด (ซึ่งอยางนอยตองมีหัวขอตอไปน้ี เหตุผล ท่ีเลอื กโครงงานน้ ี จุดประสงค แผนการปฏบิ ตั ิการ) 1. โครงงานการคนควาขอมูลเรื่อง พฤติกรรมของบุคคลที่ส่งผลเสียต่อระบบ � � ไหลเวียนโลหิต 2. โครงงานการสำ รวจขอมูลเร่อื ง สถติ ิของผู้ปว ยเกีย่ วกับระบบสบื พนั ธุ์ 3. โครงงานการคน ควา ขอ มลู เรอื่ ง พฤตกิ รรมเสยี่ งทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ โรคตอ่ ระบบหายใจ � � ของคนในครอบครัว หมายเหตุ: โครงงานท่ีเลือกตามความสนใจควรไดรับคำ แนะนำ แกไขจากผูสอน เมอ่ื ไดร บั ความเห็นชอบแลว จึงดำ เนนิ โครงงานนั้น ๆ โดยผสู อน/ผปู กครอง/กลมุ เพือ่ น ประเมินลักษณะกระบวนการทำ งาน และนักเรียนควรมีการสรุปแลกเปล่ียนความรู ซึ่งกนั และกนั กอ นพิจารณาเกบ็ ในแฟม สะสมผลงาน
16 หนงั สอื เรยี น รายวิชาพน้ื ฐาน สุขศึกษา ป. 6 การประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจำ�วัน • เพื่อความเข้าใจทค่ี งทนใหน้ กั เรยี นปฏบิ ัติกจิ กรรมตอ่ ไปน้ี นักเรียนนำ�ความรูที่ไดจากการศึกษาในหนวยการเรียนรูน้ีไปแนะนำ�แกสมาชิก ในครอบครัวและนำ�ไปปฏิบัติดวยตนเอง โดยการดูแลรักษาความสะอาดรางกายและ เสอ้ื ผา เครอื่ งนงุ หม ของตนเองอยา งสมำ่ �เสมอ รบั ประทานอาหารทม่ี ปี ระโยชน หลกี เลย่ี ง อาหารทม่ี ไี ขมนั มาก ไมส บู บหุ รแี่ ละหลกี เลย่ี งการอยใู นบรเิ วณทมี่ คี วนั บหุ รห่ี รอื ควนั พษิ ออกกำ�ลังกายอยางสม่ำ�เสมอ พักผอนใหเพียงพอ ทำ�จิตใจใหสดใสราเริง พยายาม ไมเครียด และหมนั่ ปฏิบัตกิ ิจกรรมทีช่ ว ยผอนคลายความเครยี ด แลวสังเกตภาวะทาง สุขภาพ การเจริญเติบโต และพัฒนาการของตนเองและสมาชิกในครอบครัววาดีข้ึน หรือไม อยางไร คำ�ถามประจำ�หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 1 ตอบคำ�ถามตอ่ ไปน้ี 1. เพราะเหตใุ ดจงึ ตองมกี ารสบื พันธุ 2. ระบบสืบพนั ธ์ขุ องเพศหญงิ และเพศชายมีความแตกต่างกันอยา่ งไร 3. เมื่อมสี ่ิงผิดปกติเกิดขน้ึ กับอวัยวะเพศควรปฏบิ ตั ิเชนไร 4. “การออกกำ�ลงั กายอยา่ งสมำ่ �เสมอ ชว่ ยใหห้ วั ใจแขง็ แรง” นกั เรยี นมคี วามคดิ เหน็ อยา่ งไรกับคำ�กล่าวนี้ 5. ถา้ นกั เรยี นมคี วามเครยี ดบอ่ ย ๆ จะสง่ ผลกระทบตอ่ ระบบการทำ�งานของหวั ใจ และการเจริญเตบิ โตของร่างกายอย่างไร 6. การหลกี เลย่ี งอาหารท่มี ไี ขมันมากจะสงผลดตี อ ระบบไหลเวียนโลหติ อยางไร 7. หากปอดของคนเราถกู ทำ�ลาย นักเรยี นคิดว่าจะเกดิ ผลต่อคนเราอยา่ งไร 8. เราควรปฏบิ ตั ิตนอยางไรเพื่อชวยใหร ะบบหายใจทำ�งานไดเ ปน ปกติ 9. มปี จั จยั ใดบา้ งทท่ี ำ�ใหน้ กั เรยี นอาจปว่ ยเปน็ โรคในระบบหายใจ และการปว่ ยนน้ั สง่ ผลกระทบตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของร่างกายหรือไม่ อย่างไร 10. แนวทางการปฏบิ ตั ทิ ดี่ ที สี่ ดุ เพอ่ื การดแู ลรกั ษาระบบตา่ ง ๆ ในรา่ งกายใหม้ สี ขุ ภาพ ท่ดี ี แนวทางปฏิบัตนิ ้นั คอื อะไรใหบ้ อกมา 1 แนวทาง
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: