รำ� ลึก เทิดทูน ศรัทธา ธ สถิตในดวงใจไทยนริ ันดร์ ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๑๓ ตลุ าคม ๒๕๕๙ อันเป็นวันที่โลกแหง่ ความเป็นจรงิ ของพสกนกิ รปวงชนชาวไทยทกุ หมูเ่ หล่าตา่ ง โศกเศรา้ อยา่ งใหญห่ ลวง ภาพใบหนา้ ของ พล.อ.ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรฐั มนตรี ในจอโทรทศั นส์ เี ทาหมน่ ยงั คงชดั เจน อยู่ในทุกๆ ครั้ง ขณะท่ีร�ำลึกถึง ซึ่งเป็นวันท่ีหัวใจของคนไทยทุกคนแทบหยุดเต้นพร้อมๆ กัน คงไม่มีค�ำพูดใด ไม่มีการ สบตา ไม่อยากจะเคล่ือนไหวใดๆ ทุกอย่างเงียบสงัดกดดัน จนในท่ีสุดก็มิอาจสะกดกลั้นความรู้สึกไว้ได้ แล้วพรั่งพรูมา เป็นหยดน�ำ้ ตา แหง่ ความเสียใจ ประเทศไทยจะเปน็ อยา่ งไร คนไทยจะอยกู่ นั ยงั ไง และจะเกดิ อะไรตอ่ จากนไ้ี ป ความรสู้ กึ คนไทยทงั้ ประเทศตา่ ง ถกู ยกขน้ึ มาวางอยภู่ ายใตเ้ ครอื่ งหมายคำ� ถามมากมายในลมหายใจ นาทนี น้ั ซงึ่ ขา้ พเจา้ กค็ งไมต่ า่ งจากผคู้ นทว่ั ไปในแผน่ ดนิ นที้ ไ่ี มเ่ คยเตรยี มใจจะยอมรบั กบั ความเปน็ ไป ของโลกแหง่ ความเปน็ จรงิ วา่ สกั วนั พระองคจ์ ะตอ้ งจากเราไปตามกฎเกณฑ์ แห่งสจั ธรรม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านทรงเป็นที่รักย่ิงของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า การ เสดจ็ สสู่ วรรคาลยั ของพระองคท์ า่ น จงึ ทำ� ใหค้ นทง้ั โลกไดร้ บั รปู้ ระจกั ษแ์ จง้ อยา่ งแทจ้ รงิ วา่ ผคู้ นในประเทศนี้ ประชาชนใน บ้านเมืองนี้ มีความเคารพรักบูชาและผูกพันใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ มากมายถึงเพียงใด เพราะเราได้ท�ำให้ โลกได้เห็นแล้วว่าพระองค์คือศูนย์รวมจิตใจ คือความรัก คือความสามัคคี คือมหาบุรุษที่มีความหมายประทับอยู่ใน ดวงใจของคนไทยทกุ คน จนกระท่ังมาถึงในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ทีพ่ สกนิกรทกุ คนจะตอ้ งสง่ เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ใน พระบรมโกศ ส่สู วรรคาลยั ก็ถือเปน็ อกี วันทหี่ ัวใจของคนไทยตอ้ งผจญกับความอาลยั อย่างหาที่สดุ มไิ ดอ้ กี ครง้ั ในนามของบรรณาธกิ ารบรหิ ารสำ� นกั ขา่ วชยั สมรภมู ิ และในฐานะประชาชนคนไทยผจู้ งรกั ภกั ดี ขา้ พเจา้ จงึ มอิ าจ หลีกเลี่ยงความเศร้าโศกใดๆ ไปจากชีวิตได้เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกของท่านผู้อ่านทุกๆคน ด้วยน้อมระลึกในพระ มหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ จึงมิอาจจะอดทนอยู่กับความอาดูรแห่งการจากไป แม้ในอดีตที่ผ่านมาส�ำนักข่าว ชัยสมรภูมิ จะมีโอกาสได้ถวายผลงานอันทรงคุณค่า ในการจัดพิมพ์หนังสือเรื่องส้ันเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๙ ชุด แสงธรรมแห่งศรัทธา หรือที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพในพระราชพิธีทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศล สตมวาร ๑๐๐ วันก็ตาม ได้สำ� นึกในพระมหากรณุ าธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ จงึ มีเจตนารมณร์ ่วมกนั วา่ เราจะยดึ มนั่ อยา่ ง มน่ั คงในเจตคตเิ ดมิ ตลอดไปคือ การเทิดทูนสรรเสริญ และคงไวซ้ ่งึ พระเกยี รติยศแห่งพระองค์ สบื เนือ่ งต่อไปอยา่ งไมม่ ที ี่ สนิ้ สดุ ดังน้ัน การจัดพิมพ์ หนังสือพิมพ์ชัยสมรภูมิ ขึ้นมาเป็นวาระพิเศษในครั้งน้ี จึงเป็นเสมือนด่ังเครื่องแสดงถึง ความเคารพรักเทิดทูนต่อพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ โดยไม่ว่าขณะท่ีพระองค์ยังคงมีพระชนม์ชีพ หรือเสด็จสวรรคตไป แล้วกต็ าม แต่การแสดงความจงรักภักดีตอ่ พระองค์ กจ็ ะยังคงอย่ตู ลอดไปอยา่ งไม่มที ส่ี ้ินสดุ เพ่ือรว่ มแสดงความร�ำลกึ ใน พระมหากรุณาธคิ ุณ ทที่ รงประกอบพระราชกรณยี กิจเพอ่ื ความผาสกุ แก่ปวงชนชาวไทยมาอย่างยาวนาน ตลอดรัชสมยั สุดทา้ ยน้ี ข้าพเจา้ ขอยนื ยันว่า ขา้ พเจา้ จะไมห่ ยุดแสดงพลงั แหง่ ความจงรกั ภกั ดตี อ่ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช มหาราช ผู้ทรงเป็นท่ีเคารพสกั การะของคนทงั้ ชาติ ตราบนจิ นริ นั ดร์ ดว้ ยสำ� นึกในพระมหากรณุ าธคิ ุณอยา่ งหาท่ีสดุ มไิ ด้ ข้าพระพทุ ธเจ้า นาย กฤตพัฒน์ จลุ ไสย บรรณาธิการบรหิ าร สำ� นกั ข่าวชยั สมรภูมิ 1
2
3
4
5
6
พระเมรุมาศ ประติมากรรมชน้ั สงู สงา่ งามสมพระเกียรติ 7
งาม พระเมรุมาศแมน้ ยคุ นธร ชะลอเฮย งาม สรรพหมิ พานตอ์ มร สะพรง่ั พรอ้ ม งาม สทุ ศั น์เทพบังอร นัจนาฏ คิตนอ งาม อเนกนกิ รนอ้ ม แนบน้อมสุทธกิ มล พระ บรมโกศแก้ว กุฏาดาร พระ สรรพกกุธภาณฑ ์ พิกัตแิ พรว้ พระ ทพิ ยสุบรรณทยาน นิวัตสิ ู่ พิมานนา พระ สถติ เกษยี รสมทุ ร์แก้ว กอบเกอ้ื นารายณอ์ งค์ กรณุ า ธ ยิง่ ลำ�้ กรณุ ย ์ ใดฤา กรณุ า ธ เพ็ญบรู ณ ์ กวา่ อ้าง กรณุ า ธ กว่าสรู ย์ แจงแจม่ กระจ่างเอย กรณุ า ธ ไป่รา้ ง โลกร้างแรมกัลป์ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ชวลติ ผภู้ กั ดี 8
ประธานทีป่ รึกษากติ ตมิ ศักดิ์ ฉบับพิเศษ บนั ทึกแผ่นดนิ “จอมทพั ไทย” ตุลาคม 2560 พลเอก ธีรเดช มเี พียร พระบรมสาทิสลกั ษณ์ 2 ทป่ี รึกษากิตติมศกั ดิ์ ค�ำนยิ ม 10 พลอย พนั แสง 11 พลเอก บุญเลิศ แกว้ ประสิทธิ์ พลตรี สัมพนั ธ์ แจ้งเจนเวทย์ 12 พลเอก ไพโรจน์ นาคฉตั รีย์ จดหมายเหตุพระบรมราชพธิ ี 38 พลเอก รงุ่ โรจน์ จ�ำรัสโรมรนั พลาดิสัย สทิ ธิธัญกิจ 40 พลเอก นพดล อินทปญั ญา กองทพั บก “ตามรอยจอมทพั ไทย” 41 พลเอก ธรี ะฉัตร ค�ำรพวงศ์ ธงชยั เฉลิมพล 44 พลเอก อมรฤทธ์ิ แพทยเ์ จริญ การสวนสนามของทหารรกั ษาพระองค ์ 45 พลเอก อมั รินทร์ สุวรรณนพ พระผู้สร้างศรทั ธาแก่เหล่าทหาร 47 พลเอก อาทร โลหิตกุล พระราชกรณยี กิจทรงเยี่ยมทหารชายแดน 48 พลเอก สามารถ สมเศรษฐ์ พระบรมราโชบาย ยทุ ธศาสตรพ์ ฒั นา 49 พลโท มีชยั ห้องริว้ พธิ ีพระราชทานกระบ ี่ 50 พลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์ ด้านความสมั พันธ์ระหว่างประเทศ 53 พล.ต.ต.ภาณรุ ัตน์ มเี พยี ร โครงการอันเนอ่ื งมาจากพระราชดำ�ร ิ 56 พลเอก กะสณิ ทองโกมล หน่วยบัญชาการสงครามพเิ ศษ 58 พลเอก อทุ ศิ สุนทร กองบญั ชาการตำ�รวจตระเวนชายแดน 64 พลเอก สกณุ ชยั ศิริเรอื ง เส้นทางตามพระราชประสงค์ 68 พลเอก ชาญ โกมลหริ ัญ “โครงการถนนหว้ ยมงคล” 70 พลเอก ธนสร ป้องอาณา กองทัพเรอื 74 กองทัพอากาศ 75 เลขานกุ ารคณะท่ปี รึกษากิตติมศกั ด์ิ กองบญั ชาการกองทัพไทย 82 ฝ่ินดอกสุดทา้ ย พนั โท หญงิ เกษมณี จลุ ไสย ปทั มา การะบุหนิง ๑๓ ตุลาวนั อภมิ หาวิปโยค คณะผจู้ ดั ทำ� พลโท สุวัฒน์ อกั ษรกิตต์ิ พระบรมสาทิสลกั ษณ์ ผ้อู ำ� นวยการ ไมค์ ณ ชมุ พร บรรณาธกิ ารบรหิ าร พลาดิศัย สิทธิธญั กิจ ผู้ชว่ ยบรรณาธิการบรหิ าร ณฤชนก ภักดภี ริ มรักษ์ บรรณาธกิ ารขา่ ว หยก อารม์ ่ี พิสูจนอ์ กั ษร ธาม บัวรุ่ง, ฐิติพร จลุ ไสย ฝา่ ยศิลป์ เอกวฒั น์ วษิ ณนุ รานนท์, ณพวุฒิ จลุ ไสย ทีป่ รกึ ษาฝา่ ยกฎหมาย นิพธั ปิน่ แสง, ธนะพงษพ์ ัฒน์ ธนะโสภณ, จตรุ งค์ พลนิล บรรณาธกิ ารผพู้ ิมพ์ผู้โฆษณา กฤตพัฒน์ จุลไสย ส�ำนักงาน 135/262 อาคาร 3 โสสุ-นครคอนโด ตำ� บล ตลาดขวัญ ถนน ตวิ านนท์ อ�ำเภอ เมือง จงั หวดั นนทบรุ ี 11000 โทร : 02-881-6363 แฟกซ์ : 02-881-6499 แยกสี บริษัท 274 มเี ดยี จำ� กดั 0-2882-2121 พิมพ์ที่ บริษทั ปรชี าธรอนิ เตอรป์ ริ้น จำ� กัด 4/5 แยก 8 รามอินทรา แขวงคันนายาว เขตคนั นายาว กรงุ เทพฯ 10230 9
แด่ ไมค์ ณ ชุมพร และคณะผจู้ ดั ทำ� ทกุ ลมหายใจ ในวันน้ี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จ ประทบั ยงั สรวงสวรรคาลยั อนั ไกลแสนไกลไปเนนิ่ นานแลว้ คณุ กฤตพฒั น์ จลุ ไสย หรือ พ่ีไมค์ ณ ชมุ พร บรรณาธกิ ารสำ� นักข่าวชยั สมรภมู ิของน้องๆ จงึ ไมม่ ีโอกาสท่จี ะได้รับใชถ้ วายงานประชาสมั พนั ธข์ อ้ มูลขา่ วสารอันเกย่ี วเนอื่ ง กับพระมหากรุณาธิคุณในพระราชกรณียกิจต่างๆ ณ เบ้ืองใกล้พระเนตร พระกรรณอย่างเช่นในอดตี อกี ตอ่ ไป แต่ทวา่ ความจงรกั ภักดที ม่ี นี ั้น กลบั ยิง่ เพิ่มขึน้ เป็นนับรอ้ ยเท่านับพนั ทวี หนงั สอื ชยั สมรภมู ใิ นวาระเพอ่ื ถวายความอาลยั ใน สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณและ ครงั้ นี้ จงึ ไมไ่ ดม้ คี วามหมายเพยี งแคเ่ ปน็ เครอื่ งยนื ยนั ความ สรรเสรญิ ในการเปน็ แบบอยา่ งทดี่ งี ามในดา้ นความซอ่ื สตั ย์ ซื่อสัตย์กตัญญูต่อพ่อผู้สถิตในดวงใจของคนไทยทั้งชาติ กตัญญู รูค้ ณุ ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ทีห่ นักแน่นและชัดเจน เทา่ นน้ั หากทว่าแสดงให้เห็นถึงความรักความผูกพนั ทค่ี ณุ ของคุณกฤตพฒั น์ จลุ ไสย และหวังเป็นอยา่ งยง่ิ ว่า หนงั สือ ไมคม์ ตี อ่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อนั เปน็ ทเ่ี คารพรกั ชัยสมรภมู ิในวาระเพ่ือถวายความอาลยั ฉบับน้จี ะเปน็ ส่งิ ท่ี อยใู่ นชวี ติ และจติ ใจมาโดยตลอด เพราะการทเ่ี ขาไดท้ ำ� เพอื่ คอยช่วยย้�ำเตือนให้คนในชาติไม่หลงลืมกันไปว่า ชาติ ตอบแทนคณุ พระองคท์ า่ นมาตลอดชวี ติ นนั้ ยงั คงเปน็ ความ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ นน้ั มพี ระคณุ ตอ่ พสกนกิ รปวงชน คุน้ ชินท่ียงั คงค้นุ เคยอยา่ งชัดเจนเสมอื นด่งั วา่ ชีวิตยังคงมี ชาวไทยถงึ เพียงใด พระองคอ์ ย่เู ป็นพระม่ิงขวญั ในดวงใจไมเ่ ปลย่ี นแปลง ขอบคุณ คณุ ไมค์ ณ ชมุ พรและคณะผจู้ ัดท�ำทกุ ๆ สำ� หรับ คุณไมค์ ณ ชุมพร นน้ั แมเ้ ขาจะไม่เคย คน ท่ีช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่าฉบับนี้ให้มี ปฏิเสธความเป็นจรงิ ของชีวิตว่า มหาบุรษุ ที่เคารพรกั และ ความส�ำเร็จเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นส่วนหน่ึงในการสร้าง ศรทั ธามากทส่ี ดุ ไดเ้ สดจ็ ยงั สรวงสวรรคไ์ ปแลว้ แตท่ วา่ ความ รากฐานทางความรู้ในหมู่ชนอันจะน�ำมาซ่ึง ความม่ันคง เปน็ จรงิ แหง่ สจั ธรรมกม็ อิ าจพลดั พรากความศรทั ธาทเ่ี ขามี และสามคั คปี รองดองของประเทศชาตบิ ้านเมือง สบื ไป ต่อ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ได้ ดังนั้น ทุกส่ิงทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 13 ตุลาคม 2559 จงึ ยงั ท�ำหน้าทเี่ คลือ่ นไหวอยใู่ นแนวระนาบเดิมแหง่ ขอแสดงความเคารพย่งิ ความศรัทธาก็คือ ทุกอย่างยังคงด�ำเนินไปเพื่อตอบแทน พลอยพันแสง พระมหากรุณาธิคุณแห่งพระองคท์ ่านตลอดไป ผูป้ ระพนั ธ์เร่อื งสน้ั เฉลมิ พระเกียรติฯ 10
ผมยังจ�ำความร้สู ึกน้นั ได้จนทุกวนั น้ี ประเทศที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๑๔ กองพันทหารปนื ใหญท่ ่ี ๖๓๖ อยู่บน เนินซบี รา ยงั ไม่ไดร้ ับปืนใหญ่ และฝ่ายเรา ก�ำลังได้เปรียบ . . . รกุ ไลโ่ จมตี พวกไพรีแตกและหนพี ่ายไป . . . ฝา่ ยเราเข้ายดึ ท่งุ ไหหนิ เอาไวไ้ ด้ ทหารราบ ทหารปืนใหญ่ ฝ่ายเราสร้างฐานที่ม่ันและที่ต้ังยิงกระจายท่ัวไปเต็มทุ่งไหหิน อย่างรวดเร็ว และแลว้ . . . กองพนั ทหารปนื ใหญท่ ี่ ๖๓๖ กไ็ ด้ แต่ยังมีกระสุนเหลืออยู่ท่ีซีบราอีก และท่ีต้ัง รบั ปืนใหญ่ขนาด ๑๕๕ มม. ทั้งการเตรยี มการสร้างที่ ยิงใหม่ก็ยังไม่มีปืนใหญ่ให้ผมไปอ�ำนวยการยิง ภูเวียง ตั้งยงิ ในทุ่งไหหินก็เสรจ็ พอทจี่ ะใชต้ ้ังยิงได้ หนว่ ยเหนือ ผบ.ร้อย.ฯ จึงใหผ้ มกับรี้พลสกลไกรประมาณ ๔๐ คน จึงส่ังการใหก้ องพันทหารปืนใหญ่ท่ี ๖๓๖ เคลอื่ นยา้ ย อยู่ท่ีซีบรา ต่อไป เพ่ือเฝ้าและจัดส่งมหาสมบัติเหล่านี้ ก�ำลงั พลไปเตรยี มการ และเตรยี มรบั ปืนใหญ่ ณ ทต่ี ้งั ไปยงั ทตี่ ั้งยงิ ปืนใหญใ่ นทุง่ ไหหิน ยิงในทงุ่ ไหหิน ในวนั ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๑๔ เมอ่ื เหลอื อยกู่ นั ประมาณ ๔๐ คนกร็ สู้ กึ วา่ วทิ ยุ ทรานซสิ เตอรน์ น้ั มคี ณุ คา่ มาก โดยเฉพาะเวลากลางคนื คืนท่อี ากาศดจี ะสามารถรบั ฟงั สถานวี ิทยุกระจายเสยี ง จากจงั หวัดอดุ รธานีไดช้ ัดเจน คืนหนง่ึ ผมนอนดึก ฟงั รายการเพลงจนกระท่งั ปดิ สถานี เปดิ เพลงสรรเสรญิ พระบารมี . . . ผมฟงั อยา่ ง ตง้ั ใจ เมือ่ ถึงเนอ้ื รอ้ งตอนท่ีว่า . . . เยน็ ศิระ เพราะพระบริบาล . . . ผมยกมอื ขน้ึ ประนมเหนอื หัวอยนู่ าน . . . ผมยังจำ� ความรสู้ ึกน้นั ได้จนทกุ วนั นี้ . . . ที่มา : หนงั สอื คนไทยในกองทพั แห่งชาตลิ าว โดย ภูสนิ สินภูเทงิ ดว้ ยเกล้าดว้ ยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพทุ ธเจา้ พลตรี สมั พันธ์ แจง้ เจนเวทย์ 11
พระมหาธรรมราชาธิราชแห่งแผน่ ดนิ พระปฐมราชวงศจ์ กั รี ราชวงศจ์ กั รนี น้ั เปน็ ราชสกลุ วงศก์ ษตั รยิ ผ์ คู้ รองกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ สกลุ วงศน์ สี้ บื เชอื้ สาย มาจากราชวงศพ์ ระรว่ ง (สมยั สโุ ขทยั ) หรอื ราชวงศส์ โุ ขทยั (สมยั อยธุ ยา) อนั เปน็ ราชวงศเ์ ดยี วกนั สืบตั้งแตส่ มเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าช (ขุนพเิ รนทรเทพ ผู้เปน็ เชอื้ พระวงศพระรว่ ง) น้นั ได้ ครองราชยเ์ ป็นกษัตริย์อยุธยา และสมเดจ็ พระเอกาทศรถ พระราชโอรสมีพระธิดา ซึ่งแตง่ งาน กบั บคุ คลสำ� คญั ผสู้ บื เชอ้ื สายมาจากพระยาเกยี น พระยารามขนุ นางมอญทอ่ี พยพครอบครวั เขา้ มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเจา้ ในแผน่ ดนิ ของสมเด็จพระนเรศวร 12
การล�ำดับราชวงศ์จักรีนั้น จึงต้ังต้นราชวงศ์โดย เม่อื มีชนั ษาได้ ๔๖ พรรษาไดป้ ราบจลาจลในกรุง นบั ตง้ั แต่ สมเด็จพระชนกาธิบดี (ทองด)ี เป็น สมเด็จพระ ธนบุรี ได้เสด็จผ่านพิภพปราบดาภิเษกเป็นพระปฐมกษัตริย์ ปฐมบรมมหาชนกนาถ แห่งพระปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี ราชวงศจ์ ักรใี นวนั ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ปีขาล ดำ� รง เปน็ ปฐมราชวงศ์จักรีองค์แรก มพี ระอัครชายา พระนามเดมิ สริ ิราชสมบัติอยู่ ๒๘ พรรษา วา่ “ดาวเรอื ง” เปน็ พระธดิ าของพระยาอภยั ราชา สมหุ นายก พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อ วันพฤหัสบดี ท่ี ๗ ในกรงุ ศรอี ยธุ ยา มพี ระราชโอรส และพระราชธดิ า ๗ พระองค์ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ เดือน ๙ แรม ๑๓ ค่�ำ ปมี ะเสง็ พระชน นบั เปน็ ราชสกลุ วงศ์ ช้ันที่ ๑ แหง่ ปฐมวงศ์ราชวงศจ์ กั รี โดย มายไุ ด้ ๗๓ พรรษา มี พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี หรือ พระนามที่ใช้เรียกกันแต่เดิมนั้น คือ สมเด็จ นายทองดว้ ง เปน็ หนงึ่ ในจำ� นวนนนั้ พระพุทธเจ้าอยู่หัว แผ่นดินต้น ต่อมาในรัชกาลท่ี ๓ จึงได้ นายทองด้วง ได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก ใน อญั เชิญพระนามพระพทุ ธรูปที่รัชกาลท่ี ๓ สรา้ งอทุ ิศถวายใน เจา้ ฟ้าอุทมุ พร กรมขุนพรพนิ ิจ และอุปสมบทร่วมส�ำนกั วดั พระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม คอื พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ า มหาทะลายร่วมกับ สมเด็จพระเจ้าตากสิน ต่อมาได้รับการ โลกย์ มาเป็นพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า แต่งต้ังเป็นหลวงยกกระบัตร เจ้าเมืองราชบุรี ได้รับราชการ จฬุ าโลก รชั กาลที่ ๑ ภายหลงั ไดร้ บั การยกยอ่ งใหเ้ ปน็ มหาราช เป็นพระราชวรินทร์เจ้ากรมพระต�ำรวจนอกขวา เป็นพระยา จึงเรยี ก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อภัยรณฤทธิ์ จางวางพระต�ำรวจฝา่ ยขวา เป็นพระยายมราช พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช เจา้ พระยาจักรี สมุหกลาโหม และสมเดจ็ พระยามหากษตั ริย์ ทรงมีจอมทัพคู่พระทัย คือ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระราชวัง ศึก แม่ทพั ในแผ่นดนิ กรุงธนบุรี ตามล�ำดับ บวรมหาสุรสงิ หนาท (พ.ศ. ๒๒๘๖–๒๓๔๖) พระนามเดิมว่า 13
“บุญมา” ทรงพระราชสมภพในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรม เจ้าอนัมก๊ก แห่งอนัมก๊ก (เวียดนาม) และองค์ โกศ เม่ือ วนั พฤหสั บดที ี่ ๘ กนั ยายน พ.ศ. ๒๒๘๖ เดอื น ๑๑ สมเดจ็ พระนารายณ์ รามาธบิ ดี เจ้ากรงุ กัมพชู า เม่ือไดท้ ราบ ขึ้น ๑ ค่�ำ ปกี ุน เวลา ๒ ยามเศษ ข่าวงานพระเมรุมาศของสมเด็จพระชนกนาถ ในพระบาท นายบญุ มาไดเ้ ขา้ รบั ราชการเปน็ มหาดเลก็ ในเจา้ ฟา้ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั องคพ์ ระปฐมกษตั รยิ ร์ าชวงศจ์ กั รี ทงั้ สอง เอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นนาย เมอื งจงึ ไดแ้ ตง่ ทตู ใหค้ มุ สง่ิ ของเขา้ มาทลู ถวายชว่ ยในการสรา้ ง สุจินดา มหาดเล็กห้มุ แพร คร้ันเมอ่ื เสยี กรงุ ศรอี ยุธยา ไดล้ อบ พระเมรุในคร้ังน้ี และเม่ือการก่อสร้างพระเมรุได้สร้างเสร็จ หนอี อกจากกรงุ มาเขา้ รบั ราชการอยกู่ บั พระยาตาก (สนิ ) หรอื แล้ว วนั ขึ้น ๑๓ ค่�ำ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวทรงโปรด พระยาวชริ ปราการ ตอ่ มาไดร้ บั แตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ พระมหามนตรี เกล้าฯ ให้แหพ่ ระบรมสารรี กิ ธาตอุ อกมาสู่มณฑลพระเมรุ ณ เจ้ากรมพระต�ำรวจในขวา เป็นพระอนุชิตราชา จางวางพระ ทอ้ งสนามหลวง จัดให้มีการมหรสพสมโภช ๓ คืน ๓ วนั นับ ตำ� รวจฝา่ ยขวา เปน็ พระยายมราช และเจา้ พระยาสรุ สหี พ์ ษิ ณุ เปน็ พระราชพธิ บี ำ� เพญ็ พระราชกศุ ลทจี่ ดั ขนึ้ ครง้ั แรกทม่ี คี วาม วาธิราช ผสู้ �ำเรจ็ ราชการเมอื งพษิ ณุโลก ตามล�ำดับ เป็นอเนกประการอยา่ งราชประเพณกี รุงศรอี ยธุ ยา เม่ือพระชันษาได้ ๔๐ พรรษา สมเด็จพระบรม ในการมหรสพสมโภชพระบรมอฐั คิ รงั้ นั้น ไดม้ กี าร เชษฐาธิราชได้ตั้งราชวงศ์ จึงมีพิธีอุปราชาภิเษกพระอนุชา จดั โขนชกั รอกโรงใหญ่ จดั โขนวงั หลวงและวงั หนา้ แลว้ ประสม ธิราชองค์นี้ข้ึนเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุร โรงเลน่ กลางแปลง เลน่ เรอ่ื งศกึ ทศกณั ฐย์ กทพั กบั ๑๐ ขนุ ๑๐ สงิ หนาท ตำ� แหนง่ พระมหาอปุ ราช เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๒๕ พระองค์ รถ โขนวังหนา้ นัน้ จัดเปน็ ทัพทศกณั ฐ์ ยกออกจากพระราชวงั เสดจ็ สวรรคต เมือ่ วนั พฤหสั บดีท่ี ๓ พฤศจกิ ายน พ.ศ.๒๓๔๖ บวรสถานมงคล มาเล่นรบกันกับทัพพระรามจากพระราชวัง เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่�ำ ปีกุน พระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา หลวงในท้องสนามหลวงหน้าพลับพลา โดยมีการน�ำเอาปืน พระนามทเี่ รียกกนั ท่วั ไปคือ พระยาเสือ บาเรียมลางเกวียน (เทียมล้อ) ลากออกมายิงดังสน่ันในงาน พระบรมวงศ์ชั้นต้นแหง่ ราชวงศจ์ ักรีนต้ี ่างมีสืบ พระเมรมุ าศ ราชสกุลแยกสาขา และมีการสืบราชสันตติวงศ์ต่อมา ซ่ึง ครั้นถึงวันแรม ๔ ค่�ำ ได้อัญเชิญพระบรมธาตุแห่ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในแต่ละรัชกาลแห่งราชวงศ์ กลบั แลว้ เวลานน้ั ไดจ้ ดั พระราชพธิ ถี วายพระเพลงิ พระบรมอฐั ิ จกั รนี น้ั ไดท้ รงบำ� เพญ็ พระราชกจิ นอ้ ยใหญ่ อนั เปน็ พระมหา ด้วยไม้หอมต่างๆ ในเวลาระหว่างที่ถวายพระเพลิงพระบรม กรุณาธิคณุ มากลน้ สุดพรรณนาตามลำ� ดบั มาจนถึงรชั กาล อัฐิน้ัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระอนุ ปจั จบุ นั ชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ช่วยกันทรงเชิญ พระจติ กาธานซ่ึงประดิษฐานพระบรมอัฐิไวน้ ั้นดว้ ยพระหตั ถ์ การถวายพระเพลิงพระอัฐขิ อง จนถวายพระเพลิงเสร็จ รุ่งข้ึนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเดจ็ พระชนกาธบิ ดี (ทองด)ี ทรงโปรดฯใหแ้ หพ่ ระอังคารไปลอยตามประเพณี การถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิของสมเด็จพระ พระบรมอัฐิของพระชนก สว่ นทเ่ี ปน็ ของพระบาท ชนกาธบิ ดี (ทองด)ี เปน็ การสนองพระเดชพระคณุ พระชนกนาถ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าช รามาธบิ ดี (ทองดว้ ง) นน้ั ไดอ้ ญั เชญิ และเมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดส้ ถาปนาใหเ้ ปน็ พระ เขา้ ประดษิ ฐานในพระโกศทองคำ� ประดบั พลอยและทบั ทมิ ตงั้ ปฐมราชวงศ์จักรีแล้ว หลังจากสร้างพระนครเรียบร้อยแล้ว ไวบ้ นหอนมสั การในพระบรมมหาราชวงั สำ� หรบั พระองคท์ รง พระองคจ์ งึ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระเมรขุ นาดใหญ่ และเครอื่ ง สักการบูชา และให้พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนข้าราชการ มหรสพสมโภชเหมือนอย่างการพระบรมโกศพระเจ้าแผ่นดิน ไดถ้ วายบงั คมในพธิ ีถอื นำ้� พิพฒั นส์ ัตยาแทนธรรมเนยี มเดิม ที่ ครง้ั กรงุ เกา่ ขน้ึ ณ มณฑล ทอ้ งสนามหลวง พรอ้ มกบั ทรงโปรด นิยมถวายบังคมพระเชษฐบิดร อันได้แก่รูปสมเด็จพระรามา ใหส้ ร้างพระมหาพิชยั ราชรถ ราชรถน้อย พระราชยาน ตาม ธิบดี (พระเจ้าอูท่ อง) ผสู้ ถาปนากรุงศรีอยธุ ยา แบบอยา่ งคร้ังกรงุ ศรอี ยุธยา ส่วนพระบรมอัฐิของพระชนกอีกส่วนหนึ่งซ่ึงเป็น 14
พระไตรปิฎกมาช้านาน ดงั ปรากฏวา่ พระมหากษัตรยิ ใ์ นอดีต นนั้ ไดม้ พี ระราชศรทั ธาออกผนวชเปน็ พระภกิ ษแุ ละทรงปฏบิ ตั ิ ธรรม ดงั เชน่ พระมหาธรรมราชาลไิ ท สมเดจ็ พระบรมไตรโลก นาถ เปน็ ตน้ พระราชพธิ ที รงผนวชนัน้ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวในรัชกาลก่อนมักจะทรงออกผนวช ก่อนเสดจ็ ขึ้นครอง ราชย์เป็นกษัตริย์ ในรัชกาลที่ ๕ นั้นพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก ที่ทรงออกผนวชหลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว อีกทั้งในรัชกาล ของพระองค์น้ันพระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรม โอรสาธิราช สยามมกฏุ ราชกุมาร (รชั กาลท่ี ๖) ทรงผนวช ท่ี พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมี สมเด็จฯ กรม พระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงเปน็ องคอ์ ุปัชฌาย์ และ พระคุณ ของสมเดจ็ กรมพระราชวงั บวรสรุ สงิ หนาท (บญุ มา) สนั นษิ ฐาน เจา้ กรมหมืน่ ชนิ วรศริ ิวัฒน์ เป็นกรรมวาจาจารย์ เม่อื สมเด็จ ว่าคงจะอัญเชญิ เข้าประดิษฐานในพระเจดีย์ทอง ทมี่ ณฑปวัด พระบรมโอรสาธิราชฯ ผนวชเป็นพระภิกษุ แล้วได้เสด็จไป มหาธาตุ จงึ มพี ธิ ตี งั้ เครอื่ งทองนอ้ ยสำ� หรบั พระองคท์ รงสกั การ ประทับจ�ำพรรษา ณ พระต�ำหนักทรงพรต ในวัดบวรนิเวศ บูชาเปน็ พเิ ศษ ณ พระเจดยี ์ทองในพระมณฑปสืบตอ่ มา วรวหิ าร ดงั นัน้ พระเมรุองค์แรก ณ มณฑลท้องสนามหลวง พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช น้ัน คือ พระเมรุที่ตั้งขึ้นส�ำหรับงานพระบรมศพของสมเด็จ รัชกาลท่ี ๙ นับเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่สอง ซ่ึงทรงออก พระชนกาธบิ ดี (ทองดี) พระชนกนาถผู้เป็นพระปฐมราชวงศ์ ผนวชระหว่างครองราชย์เป็นกษัตริย์ หลังจากท่ีพระบาท จักรี สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาล ท่ี ๕ ทรงออกผนวช คร้ังน้ันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แผ่นดินต้น แล้วเป็นพระองคแ์ รก (รัชกาลที่๑) ได้สร้างเป็นพระเมรุขนาดใหญ่แบบอยุธยา ในพระราชพิธีทรงผนวช พระบาทสมเด็จพระ เหมอื นกับให้มพี ระเกยี รติยศเสมอ พระเมรุมาศ พร้อมกบั ได้ ปรมนิ ทร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรงโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตง้ั สมเดจ็ ระดมฝีมือช่างสร้าง พระมหาพิชัยราชรถ ราชรถน้อย พระ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นผู้ส�ำเร็จราชการ ราชยาน และเครื่องประกอบงานพระศพในครั้งนี้เป็นปฐม แทนพระองค์ ในระหวา่ งทท่ี รงผนวช และพระราชทานโอกาส และใช้สืบทอดพระราชพิธี พระบรมศพ พระศพในแต่ละ ให้รัฐบาลรับภาระทุกอย่างเป็นการสนองพระเดชพระคุณใน รชั กาลมาจนวนั น้ี การน้ี โดยตั้งคณะกรรมการด�ำเนินการซ่ึงมี พระวรวงศ์เธอ พระมหาธรรมราชารตั นโกสินทร์ การครองแผน่ ดนิ ใหม้ คี วามสงบรม่ เยน็ นนั้ พระมหา กษัตริย์ทรงน้อมน�ำราชนีติและพระธรรมนูญศาสตร์ มาเป็น หลัก ท�ำให้ทรงด�ำรงในทศพธิ ราชธรรม ดงั เหน็ ไดว้ ่าพระมหา กษตั รยิ ท์ กุ พระองคท์ รงเปน็ องคพ์ ทุ ธศาสนปู ถมั ภก ทรงมพี ระ ราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงสถาปนาและท�ำนุบ�ำรุง พระอารามมาทกุ สมยั ทรงสนพระราชหฤทยั ใฝธ่ รรมและสรา้ ง 15
กรมหมื่นพิทยาลาภพฤติยากร ประธานองคมนตรี และนาย สุชีพ ปุญญานุภาพ เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม เป็นกรรมการและเลขานุการ ให้มีหน้าท่ีเตรียมการทุกอย่าง เชน่ มกี ารปรับปรงุ บริเวณทปี่ ระทับ พระต�ำหนกั ทรงพรต หอ สหจร ต�ำหนกั ซ้าย เตรยี มการ ซอ่ มบริเวณสังฆาวาสของวัด บวรนเิ วศวรวหิ ารทจี่ ดั พระราชพธิ ที รงผนวชและจำ� พรรษา ใน การนส้ี มเด็จพระราชชนนี ทรงมพี ระราชศรทั ธาซอ่ มต�ำหนกั เพช็ ร ตำ� หนกั จนั ทรซ์ งึ่ อยหู่ นา้ ทป่ี ระทบั และรฐั บาลไดท้ ำ� การ ซอ่ มแซมพระตำ� หนกั ปน้ั หยา พระอโุ บสถและบรเิ วณโดยรอบ วดั เปน็ ตน้ สำ� หรับพระราชพธิ ที รงผนวชนั้น มพี ิธีการดงั น้ี วันท่ี ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระบรม วงศานวุ งศ์ ขา้ ทูลละอองธุลีพระบาท และคณะทูตานุทูตเขา้ เฝ้า ณ พระท่นี งั่ อมรนิ ทรวินจิ ฉัยเป็นมหาสมาคม ทรงแถลง พระราชด�ำริในอันที่พระองค์จะเสด็จออกทรงผนวช จากนั้น พระองค์ได้เสด็จพระราชด�ำเนินไปยังพระมหามณเฑียร เพ่ือ ออกมหาสมาคมคร้งั นั้นได้มีการถา่ ยทอดเสยี งทางวิทยไุ ปทว่ั ถวายเครอ่ื งราชสกั การะและทรงจดุ ธปู เทยี นกราบถวายบงั คม พระราชอาณาจักร ลง พระบรมอัฐิและอัฐิพระสมเด็จพระราชบูรพการีในการท่ี ในวนั ท่ี ๒๒ ตลุ าคม พ.ศ.๒๔๙๙ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระองค์เสดจ็ ทรงผนวช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้เสด็จพระราช ตอ่ จากน้นั พระองค์เสดจ็ ออกมหาสมาคม ณ พระ ดำ� เนนิ มาวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม เสดจ็ สทู่ เี่ ปลอ้ื งเครอื่ งทรง ท่ีน่ังสุทไธสวรรยปราสาท ที่โปรดเกล้าให้ปวงชนชาวไทยเฝา้ ที่หลังพระอุโบสถ สมเด็จพระราชชนนีทรงจรดพระกรรบิด ทลู ละอองธลุ พี ระบาทถวายความจงรกั ภกั ดอี ยเู่ นอื งแนน่ อยู่ ณ (กรรไกรโบราณท่ีมีใบมีดตอ้ งใชม้ ือหนีบสำ� หรบั ตัดผม) ถวาย สนามไชยหน้าพระท่นี ั่ง พระยารามราชภักดี เป็นผ้เู บกิ และ เพอื่ เจรญิ พระเกศาหรอื ขลบิ พระเกศา แลว้ พนกั งานภษู ามาลา พระองคท์ รงประทานกระแสพระราชดำ� รสั แกอ่ าณาประชาราษฎร์ ถวายตอ่ จนเสรจ็ เวลา ๑๕.๐๐ น. ทรงเครอ่ื งอปุ สมั ปทาเปกข์ ถึงพระราชปรารถนา พระราชศรัทธา และทรงช้ีแจงกิจการ (แบบผู้แสวงการอุปสมบทท่ีเรียกกันว่านาค) เสด็จข้ึนสู่พระ บ้านเมอื งมาทรงจัดในระหวา่ งเวลาทรงผนวช อุโบสถทางพระทวารเบื้องหลัง เสด็จออกหน้าพระฉาก ทรง พระราชกระแสรับสั่ง เพื่อให้เป็นที่เข้าใจแก่พสก นมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี นิกรนน้ั มีความวา่ และพระพทุ ธรปู ประทนั ยนื สนองพระองคท์ งั้ สอง เปน็ การสว่ น “ขอคณุ พระศรรี ตั นตรยั ไดอ้ ภบิ าลคมุ ครองทา่ น พระองคต์ ามราชประเพณแี ลว้ สมเดจ็ พระราชชนนีถวายไตร ทงั้ ปวงใหม้ คี วามสขุ ขอทา่ นทง้ั หลายทกุ ทา่ นจงมสี ว่ นไดร้ บั และบาตรส�ำหรับทรงอุปสมบท ภายในพระอุโบสถน้ันมีหมู่ กุศลความดงี ามอนั จักพึงมีจากการท่ขี า้ พเจ้าจะเขา้ พระสงฆน์ ่งั หตั ถบาส ๓๐ รปู อยูด่ า้ นเหนือโดยมี สมเดจ็ พระ อุปสมบทในพระพุทธศาสนาครง้ั น้ีโดยทวั่ กนั เทอญ” สังฆราช วดั บวรนเิ วศวหิ าร (ม.ร.ว.ชืน่ นพวงศ์)เป็นประธาน คณะสงฆ์ ทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ พระอปุ ชั ฌาจารยแ์ ละถวายศลี สมเดจ็ สิ้นพระสุรเสียงของพรพระราชทาน กองดุริยางค์ พระวันรตั (ปลด กติ ิโสภโณ) วดั เบญจม บพิตร เป็นพระอนุ บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ปวงชนชาวไทยได้พร้อมใจ ศาสนาจารย์ และสมเด็จพระราชาคณะ และทางด้านใต้น้ัน กนั เปลง่ เสียงแสดงความปิตยิ ินดใี นพระราชศรัทธา การเสด็จ พระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี ประธาน 16
พระพี่เลี้ยง ทรงรถยนต์พระท่ีน่ังเข้าไปสู่พระพุทธรัตนสถาน ในพระราชอุทยานสวนศิวาลัย ทรงประกอบ พิธีตามราช ประเพณี โดยมีพระเถระฝ่ายธรรมยุต นั่งหัตถบาส ๑๕ รูป เม่ือเสรจ็ อปุ สมบทกรรมเวลา ๑๗.๔๓ น. พระภิกษุภูมิพโลภิ กขจุ งึ เสดจ็ ทรงรถยนตพ์ ระทนี่ งั่ พรอ้ มดว้ ยสมเดจ็ พระสงั ฆราช พระราชอุปัชฌาจารย์ สู่วัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จเข้าพระ อโุ บสถทรงนมสั การพระพทุ ธ ชนิ สหี ์ พระประธาน พระรปู ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และ สมเดจ็ พระมหาสมณ เจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ อดตี เจา้ อาวาส โดยมพี ระเถรานุเถระวัดบวรนเิ วศวรวหิ ารและวดั อน่ื ๆ รอรับ พระนวกะภมู พิ โลภกิ ขุ พระภิกษุภูมิพโล ทรงจ�ำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศ สภาผู้แทนราษฎรและข้าราชการระดับสูง เฝ้าท่ีชานพระ วรวหิ ารตลอดพรรษา ทรงกระทำ� พระองคเ์ ปน็ ภกิ ขภุ าวะทที่ รง อุโบสถทง้ั ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั ปฏบิ ัตทิ กุ อย่างทั้งทรงสดับพระธรรมคำ� ส่งั สอนและพระวนิ ยั จากนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๙ มุขและอ่ืนๆอย่างเคร่งครัด พระราชศรัทธาในการทรงผนวช เสด็จเข้าไปขอบรรพชาในท่ามกลางหมู่สงฆ์ต่อสมเด็จพระ ครงั้ นี้ เปน็ เครอ่ื งแสดงถงึ พระราชศรทั ธาในธรรมแหง่ พระมหา สังฆราช สมเด็จพระสังฆราชถวายโอวาทตามราชพิธีจนผ่าน กษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรมเป็นที่ตั้ง ดังพระปฐมบรม การบรรพชากจิ เปน็ สามเณรแลว้ พระองคท์ รงขอนสิ ยั สมเดจ็ ราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพ่ือประโยชน์ พระสงั ฆราชเป็นพระราชอปุ ัชฌาจารย์ถวายฉายาพระสมณ สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งตลอดรัชกาลนั้นพระบาท นามว่า “ภูมิพโล” โดยมีพระสังฆราชเป็นองค์อุปัชฌาจารย์ สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลท่ี ๙ ทรง พระศาสนาโสภณ (จวน อฎุ ฐายี ป.๙) วัดมกฏุ กษตั ริยาราม ดำ� รงความเปน็ พระมหาธรรมราชามาตลอดโดยไมผ่ ดิ สญั ญา เปน็ พระราชกรรมวาจารย์ ต่อประชาชนเลย เม่ือพระองค์ทรงรับการอุปสมบทเสร็จ เป็นอัน การครองแผ่นดินโดยธรรมแห่งพระบาทสมเด็จ ด�ำรงภิกขุภาวะโดยสมบูรณ์แล้ว พระภิกษุภูมิพโลภิกขุ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช รชั กาลท่ี ๙ ตามพระปฐม (พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว) ทรงรบั เคร่ืองไทยธรรม ของ บรมราชโองการแต่แรกนั้น ได้ท�ำให้พระองค์ทรงมีพระราช หลวงจากสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ในหนา้ ทีผ่ ู้ กรณยี กจิ นอ้ ยใหญอ่ ยา่ งมากลน้ สดุ พรรณา ทำ� ใหเ้ กดิ โครงการ สำ� เรจ็ ราชการแทนพระองค์ และทรงรบั ดอกไมธ้ ปู เทยี น จาก อันเนื่องจากพระราชด�ำริเกิดขึ้นจ�ำนวนมากทั่วประเทศ สมเด็จพระนางเจ้าร�ำไพพรรณี พระบรมราชินีนาถในรัชกาล ที่ ๗ ในนามพระบรมวงศานุวงศ์ จากนั้นทรงรับเครื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์น้ีเป็นที่ ไทยธรรมจากประธานองคมนตรใี นนามคณะองคมนตรี จาก ประจักษช์ ดั ถงึ การทรงงานหนักเพอื่ นำ� การพฒั นาส่แู ผน่ ดิน นายกรัฐมนตรีในนามคณะรัฐมนตรีและข้าราชการทุกฝ่าย ดังปรากฏว่าได้ทรงโปรดฯ ให้ต้ังศูนย์ศึกษาการพัฒนาข้ึนใน และประธานสภาผ้แู ทนราษฎรในนามของสมาชกิ สภาฯ และ หลายพน้ื ทเ่ี พอื่ ใหเ้ ปน็ แหลง่ เรยี นรแู้ กป่ ระชาชน ทำ� ใหเ้ กดิ องค์ ประชาชน ความรูใ้ นการพัฒนาของแผ่นดนิ แพร่หลายไปอย่างมากมาย พระภิกษุภูมิพโลภิกขุ ได้เสด็จเข้าทางหลังพระ ซึ่งต่อมาได้เรียกกันว่าเป็น “ศาสตร์พระราชา” ท�ำให้มีการ อโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดารามพรอ้ มดว้ ยพระโสภณคณา ภ เรียนรู้ และน้อมน�ำความรู้น้ันไปปฏิบัติตามจนเกิดผลส�ำเร็จ รณ์ (เจรญิ สวุ ฑั ฒโน ป.๙ ) วดั บวรนเิ วศวหิ าร ผทู้ ำ� หนา้ ทเี่ ปน็ อย่างดีจน เป็นที่ยกย่องของนานาประเทศ และไดร้ บั รางวลั 17
เกยี รตยิ ศมากมายจนเปน็ ทร่ี จู้ กั ถงึ “ศาสตรพ์ ระราชา” เป็น อย่างดสี ่งผลให้ไดร้ บั การยกย่องในระดบั โลก การทพ่ี ระองคท์ รงงานหนกั เพอื่ พฒั นาแผน่ ดนิ และ แก้ปัญหาต่างๆ มาตลอดรัชกาลน้ัน ก็เพื่อพสกนิกรของ พระองค์จะได้มีความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึนและสามารถด�ำรงชีวิต อยา่ งไม่เดอื ดรอ้ นนั้น ปวงชนชาวไทยตา่ งพากนั ส�ำนึกในพระ มหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เสมือนพระองค์เป็น “พระ โพธิสตั ว์” ทแี่ ผ่พระเมตตาบารมปี กเกลา้ ฯ อยตู่ ลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีความห่วงใยอาณา ประชาราษฎร์โดยแท้ ทรงพระราชทานความรู้และคอยช่วย เหลือไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินมาโดยตลอด ทรงเป็นพระมหาธรรม ราชาธิราชผู้ปฏิบัติอยู่ในธรรมตามพระปฐมบรมราช โองการ ครองแผ่นดินนัน้ จงึ เสมือนเป็น “โพธสิ ตั ว์” แปลวา่ ผขู้ ้องอยู่ มหาปรชั ญา หรอื ปญั ญาอนั ยง่ิ ใหญ่ หมายความวา่ จะตอ้ งเปน็ ในพระโพธญิ าณ ผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้ง พระบารมแี หง่ พระโพธสิ ตั ว์ หลายอยา่ งปราศจากขอบเขต พรอ้ มท่จี ะสละตนเองเพอื่ ชว่ ย บุคคลผู้ที่ข้องอยู่ในพระโพธิญาณนั้น ทั้งฝ่าย สัตวใ์ หพ้ ้นทุกข์ และ มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์ เถรวาทและมหายานเช่ือว่า พระโพธิสัตว์ นั้นจะมีอยู่เป็น จะตอ้ งมวี ธิ กี ารชาญฉลาดในการแนะนำ� อบรมสง่ั สอนผอู้ นื่ ให้ จ�ำนวนมาก ต่างมีความเชื่อที่แตกต่างกัน ส�ำหรับกษัตริย์ผู้ เข้าถึงสจั ธรรม เป็นจักรพรรดิราชน้ันจะทรงด�ำรงพระองค์ตั้งอยู่ในทศพิธ คุณสมบัติทั้งสามข้อน้ี เป็นหัวใจของพระพุทธ ราชธรรมอย่างสม่�ำเสมอ ศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบ�ำเพ็ญประโยชน์ตนให้ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ถึงพร้อม ส่วนสองข้อหลังเป็นการบ�ำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อ่ืน รชั กาลท่ี ๙ เปน็ กษตั รยิ ผ์ ทู้ รงครองแผน่ ดนิ โดยธรรม มาตลอด โดยมี มหาปณธิ าน ๔ เป็นหลักประกอบดว้ ย เราจะละกเิ ลส รัชกาล จนเช่ือได้ว่าพระองค์ทรงเป็น พระโพธิสัตว์ โดยแท้ ให้หมด เราจะศึกษาสัจธรรมให้จบ เราจะช่วยโปรดสัตว์ทั้ง พระองค์ทรงแผ่พระบารมีปกเกล้าฯช่วยเหลืออาณาประชา หลายให้ส้ิน เราจะบรรลุพระพทุ ธภูมอิ ันประเสริฐสุด ราษฎร์โดยถ้วนหนา้ ความถึงพร้อมแห่งพระโพธิญาณของพระโพธสิ ตั ว์ ค�ำว่าพระโพธิสัตว์น้ัน เป็นค�ำท่ีใช้เรียกผู้บ�ำเพ็ญ น้ันก็คือความเป็น พระจักรพรรดิราชตามมติในพุทธศาสนา พระบารมีในการเสียสละเพื่อให้โดยแท้ อันเป็นท่ีความ คอื พระมหาจักรพรรดผิ ูย้ ่งิ ใหญ่เหนือมวลกษัตริย์ทัง้ หลายใน ปรารถนาสดุ ยอดในพทุ ธศาสนา ซงึ่ มกี ารเรยี กหลายภาษา เชน่ สากลจักรวาล ซ่ึงมีการกล่าวอ้างในศาสนาพุทธว่า พระชาติ ภาษาสนั สกฤตวา่ โพธสิ ตตฺ วฺ bodhisattva ภาษา สดุ ทา้ ยของผทู้ สี่ ง่ั สมบญุ ญาธกิ ารมากพอสำ� หรบั การบรรลพุ ระ บาลวี ่า โพธสิ ตฺต bodhisatta ภาษาจีนเขียนวา่ สัมมาสัมโพธิญาณน้ัน สามารถเลือกได้ว่าจะเป็น พระบรม ภาษาญี่ปุ่น เขียนว่า (bosatsu) ภาษาเกาหลี ศาสดาเอกผู้เปน็ เลิศในทางธรรมของโลก หรอื พระจกั รพรรดิ เขียนวา่ (bosal) ภาษาทิเบตว่า changchub sempa ราชผู้เปน็ ใหญใ่ นทางโลก (byang-chub sems-dpa') ภาษาเวยี ดนาม = Bồ Tát และ พระจักรพรรดิราชนั้นพุทธศาสนาชอบท่ีจะให้ อักษรโรมนั โดยท่ัวไป อ่านวา่ “Bodhisattva” ความส�ำคัญเปน็ “ทางธรรม” มากกว่า “ทางโลก” ก็ตาม แต่ คุณสมบัตขิ องพระโพธสิ ตั ว์น้นั มอี ยู่ ๓ ขอ้ ใหญ่คือ การยกยอ่ งกษตั รยิ เ์ ปน็ พระมหาจกั รพรรดใิ์ นทางโลก กม็ คี วาม 18
สำ� คญั ในทางธรรมเชน่ เดยี วกนั กบั “พระพทุ ธเจา้ ” ศาสดาเอก แหง่ พทุ ธศาสนา ด้วยกษัตรยิ ท์ รงใช้หลกั ธรรมแหง่ ทศพธิ ราช ธรรม ทศบารมแี ละพระบารมี ๓๐ ทศั เพือ่ ครองแผ่นดนิ ให้มี ความสุขร่มเยน็ เช่นกัน พระสมมตเทวราชา การประกอบพธิ กี รรมเพอื่ ใหก้ ษตั รยิ ม์ ฐี านะประดจุ ดง่ั พระผเู้ ป็นเจา้ โดยหมายเอาการเป็นสมมตเทวราช ตามความ หมายอยา่ งเกา่ หมายถงึ พระอนิ ทร์ ผู้เป็นราชาเหนอื หมูเ่ ทพ ท้ังหลาย แล้วค่อยเปล่ียนมาเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพราหมณ์ ซงึ่ เป็นเทพเจ้าผยู้ ่ิงใหญใ่ นยคุ หลังพระเวทอยา่ งพระศิวะและ พระวษิ ณุ โดยเฉพาะพระวษิ ณนุ น้ั มี คมั ภรี ป์ รุ าณะบางฉบบั ถงึ กับถือเอาว่า “พระจักรพรรดิราชนั้นเป็นอวตารหนงึ่ ของพระ วิษณุ” หรอื พระนารายณ์ดว้ ย จารกึ สโุ ขทยั หลกั ที่ ๒ พบทว่ี ดั ศรชี มุ จงั หวดั สโุ ขทยั “เบญจราชกกธุ ภณั ฑ”์ สำ� หรบั ใชเ้ ปน็ สัญลักษณ์ของกษัตริย์ น้ันมีข้อความระบุว่า “ผีฟ้าแห่งเมืองยโสธรปุระ” (หมายถึง และใช้ประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกข้ึนเป็นพระ กษัตริย์เมอื งพระนคร หรอื นครธม) ได้พระราชทานพระแสง สมมตเิ ทวราช ขรรคช์ ยั ศรพี รอ้ มกบั พระราชธดิ าของพระองค์ ใหก้ บั พอ่ ขนุ ผา ในสมัยอยุธยานั้น กษัตริย์ได้รับยกย่องขึ้นเป็น เมือง พระแสงขรรค์ชยั ศรจี งึ เปน็ สัญลักษณ์ที่เช่ือมโยงเข้ากับ เทวราช โดยสรา้ งคติความเชอื่ วา่ ผู้มีบุญน้ันสืบเน่ืองจาก การ อ�ำนาจของผีฟ้าแห่งเมืองยโศธรปุระ พร้อมกับเช่ือมโยงให้ อวตารของเทพเจา้ บนสวรรค์ ตามคติของศาสนาฮินดู สมเด็จ กษตั รยิ ผ์ ทู้ รงครอบครองพระแสงขรรคอ์ งคน์ น้ั เขา้ อยกู่ บั อำ� นาจ พระบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงอธิบาย ของเมืองพระนครไปด้วย วา่ พระมหากษตั รยิ ์ไทยสมัยอยธุ ยาทรงเปน็ เทวราช อนั เนอื่ ง ดังน้ันเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์จึงเป็นสัญลักษณ์ของ มาจากสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ (เจ้าสาม การสถาปนาขน้ึ เปน็ กษตั รยิ ์ ประกอบดว้ ย พระมหาพชิ ยั มงกฎุ พระยา) นั้นได้ยกกองทัพไปตเี มอื งพระนครใน พุทธศตวรรษ พระแสงขรรคช์ ยั ศรี พัดโบกวาลวิชนี ธารพระกร และฉลอง ที่ ๒๐ ได้กวาดต้อนผู้คนจากกัมพูชา ซ่ึงรวมท้ังบรรดาพวก พระบาทเชิงงอน นับรวม ๕ ประการ จึงเรียกอีกชื่อหน่ึงว่า ปโุ รหติ าจารยม์ ายงั กรงุ ศรอี ยธุ ยา จงึ เปน็ เหตใุ หท้ างราชสำ� นกั อยุธยาได้เรียนรู้ศิลปวิทยาการ และวัฒนธรรมการปกครอง ของกัมพูชา โดยเฉพาะความคิดเกยี่ วกบั การเป็นเทวราชของ พระมหากษัตรยิ ์ จึงท�ำใหม้ คี วามเชือ่ กันตอ่ มาถึงคตเิ ทวราชา ซ่ึงแท้จริงแล้วเป็นพระสมมติเทวราช ข้ึนเป็น กษัตริย์หรือให้เป็นสมมติเทวราชา ท่ีสืบการอวตาร จาก เทพเจา้ ท่นี บั ถือ โดยเฉพาะ พระวิษณเุ ทพหรือพระนารายณ์ ผู้อวตารเป็นพระรามในวรรณคดีอินเดีย ดังนั้นพระนาม กษัตริย์จึงมีพระนามดุจเทพเจ้าพระองค์น้ัน เช่น พระ รามาธบิ ดี พระนารายณ์ พระนเรศวร พระราเมศวร พระมหิ นทราชา เปน็ ตน้ 19
การยอมรับคติความเชื่อการอวตารจากเทพเจ้า จงึ มคี วามพยายามขยายอ�ำนาจในการรวบรวมบา้ นเลก็ เมือง เช่นน้ี มาจากการนับถือศาสนาท่ีเดินทางมาจากอินเดียและ นอ้ ยใหม้ ากจนรวมกนั เปน็ อาณาจกั รหรอื ประเทศ ภายใตก้ าร ศรีลังกาในสมัยโบราณนั้น ซ่ึงมีความเชื่อจากศาสนาฮินดูทั้ง ปกครองของกษัตริย์ในท่ีสุด การเรียกเป็น “กษัตริย์หรือ ลัทธไวษณพนิกาย ไศวะนิกาย ความเชื่อในพุทธศาสนาทั้ง ราชาธริ าช” จงึ มคี วามหมายเพยี งแตก่ ารเป็นราชาทเี่ ปน็ ใหญ่ เถรวาท และมหายาน ท่ีต่างเดินทางข้ามมหาสมุทรเผยแพร่ กว่าราชาท้ังหลายเท่านั้น จึง ต่างกับค�ำว่า “พระจักรพรรดิ เข้ามาในดนิ แดนต่างๆ ทั้งประเทศไทยและประเทศใกล้เคยี ง ราช” ที่มีคตคิ วามเชอื่ แห่งอำ� นาจบารมี แม้จะเป็นนามธรรม ที่อยู่ร่วมภมู ิภาคในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ รวมทั้งพ้นื ทีเ่ ป็น ที่เป็นคุณธรรมก็เป็นท่ีปรารถนาของกษัตริย์ผู้ครองแผ่นดิน หมู่เกาะและแผ่นดิน โดยเรียกกันในกลุ่มผู้คนจากอินเดียว่า โดยธรรมน่ันเอง เป็นดินแดน “สวุ รรณภมู ิ” มาตงั้ แตส่ มัยต้นพุทธกาล คอื ราว ในยคุ แรกนนั้ ผคู้ นในสวุ รรณภมู ไิ ดม้ กี ารพฒั นา การ พทุ ธศตวรรษที่ ๓-๔ เป็นต้นมา หรือ สมัยก่อนครสิ ตกาล ซึ่ง เป็นชุมชนใหญ่ สร้างบ้านเมืองและเป็นนครรัฐ และมีความ นกั ประวตั ศิ าสตรเ์ อเชยี อาคเนยโ์ บราณนน้ั ตา่ งเรยี กวา่ เปน็ ยคุ สามารถตดิ ตอ่ คา้ ขายและแลกเปลย่ี นวฒั นธรรมกบั บา้ นเมอื ง สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงสมัยราวพุทธศตวรรษท่ี ๘-๙ อ่ืนในโพ้นทะเลกันบ้างแล้ว จึงเป็นเหตุท�ำให้ผู้ น�ำของบ้าน จึงได้มีหลกั ฐานทางเอกสารและศลิ ปะสถาปตั ยกรรมปรากฏ เมือง และนครรัฐนั้นสามารถจะเลือกเฟ้นอารยธรรมจาก ข้ึน โดยมีการกล่าวถึงชื่อนครรัฐและเมืองส�ำคัญต่างๆให้รู้จัก อินเดียที่เหมาะสมกับตน ดังนั้นเรื่องศาสนา ศิลปวิทยาการ เชน่ ฟนู นั กิมหลิน ตกั โกลา พันพนั เปน็ ต้น จนมีความเช่ือได้ ความรู้ดา้ นอักษรศาสตร์ รฐั ศาสตร์ ธรรมนูญศาสตร์ ฯลฯ ท่ี วา่ บา้ นเมอื งหรอื เมอื งสำ� คญั นน้ั ตา่ งมผี นู้ ำ� บา้ นเมอื งทเ่ี รยี กวา่ พอจะไดร้ ับรูส้ ืบตอ่ กันมาจึงถูกปรับใช้ [Localize] ใหเ้ หมาะ กษัตริย์ หรือราชา ตามแนวคิดของอินเดีย และผู้น�ำน้ันยังมี สมกับแผ่นดินและบริบททางทางสังคม เศรษฐกิจ และ การยอมรับนับถือศาสนาต่างๆที่มาจากอินเดียด้วย ซ่ึง ต่าง วัฒนธรรมของตนตอ่ ไป ปนเปกนั ไปกบั ความเชอื่ ดง้ั เดมิ ทนี่ บั ถอื สง่ิ ลล้ี บั เหนอื ธรรมชาติ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ นน้ั ไดม้ กี ารพฒั นาการของ หรอื ผเี จา้ ปา่ เจา้ เขา จนแยกไมไ่ ดว้ า่ ชมุ ชนใดเลอื่ มใสหรอื นบั ถอื นครรัฐขนาดใหญ่ในระบบมณฑลเกิดข้ึน โดยมีการสถาปนา ศาสนาใดเปน็ หลัก ศาสนาใดศาสนาหนงึ่ ใหเ้ ปน็ ศาสนาสำ� คญั ของราชสำ� นกั และ ตง้ั แตพ่ ทุ ธศตวรรษท่ี ๖-๗ เปน็ ตน้ มานนั้ จงึ ไดม้ กี าร ใช้เป็นหลักการครองบ้านเมืองที่ชัดเจนมากข้ึน ดังปรากฏ เกดิ ชมุ ชนเมอื งขนาดใหญห่ รอื นครรฐั ขนึ้ และมกี ารพฒั นาการ วา่ บรรดารัฐใหญใ่ นดนิ แดนลมุ่ นำ้� อริ วดี – สาละวนิ ของพมา่ การใชศ้ าสนาไปครองเมอื ง นบั ถอื ศาสนา การ เมอื ง [Political น้ัน ใหค้ วามสำ� คัญตอ่ พุทธศาสนาเถรวาท และมหายานเป็น religion] เพ่ือท�ำให้มีจุดศูนย์รวมอยู่ท่ี “กษัตริย์หรือราชา” อย่างยิ่ง 20
โพธสิ ตั ว์” คติการเป็น “พระจกั รพรรดริ าช” ในพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาทน้ันจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล ท่ีบ�ำเพ็ญบารมีมี คุณธรรมท่ียังด�ำรงความเป็นธรรมให้แก่มวลมนุษย์ จึงไม่ใช่ เป็นเรื่องที่บุคคลอ่ืนใดไม่ว่าจะเป็นเชื้อสาย หรือลูกหลาน จะสบื ทอดกนั ไดง้ า่ ย หากไมบ่ ำ� เพญ็ บารมมี าอยา่ งเพยี งพอจน เป็นที่ตระหนักและยอมรับของคนทั้งหลายแล้ว ย่อมเป็น “พระจักรพรรดิราช” ได้ยาก ด้วยต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม เยี่ยมยอดเป็นส�ำคัญ จึงเกิดความคิดในเรื่อง อเนกชนนิกร สโมสรสมมตขิ น้ี ความแตกตา่ งกนั ระหวา่ งการเปน็ เทวราชกบั สมมติ ราชนน้ั เปน็ การแสดงออกทางสัญลกั ษณข์ องความศักดส์ิ ิทธ์ิ ในทางศาสนา ท�ำให้มีความแตกต่างในการแสดงกฤษดา ภนิ หิ ารหรอื พระมหากรณุ าบารมี ดงั ปรากฏในการสรา้ งศาสน สถานศักดิส์ ิทธขิ์ องฮนิ ดู ท่ีมกั นิยมสร้างปราสาทหรอื เทวาลัย อันเป็นที่ผู้คนมาประกอบพิธีกรรมร่วมกัน ท้ัง กษัตริย์ เจ้า นาย และไพร่ฟ้าประชาชน นอกจากน้ียังได้ใช้เป็นสถานที่ ประดษิ ฐานรปู เคารพสำ� คญั สำ� หรบั พธิ กี รรมอนั ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ เชน่ เทวรูป ศวิ ลงึ ค์ หรอื สิง่ ที่เกี่ยวขอ้ งกับพระผเู้ ปน็ เจ้าทน่ี ับถือ สำ� หรบั ดนิ แดนแถบลมุ่ นำ้� เจา้ พระยา ภาคกลางของ โดยเฉพาะการสรา้ งภาพเร่อื งราวจากมหากาพยท์ ี่ ประเทศไทยไดใ้ หค้ วามสำ� คญั กับพุทธศาสนาฝา่ ยเถรวาท ใน ใชส้ งั่ สอนในเรอื่ งคณุ ธรรมและแสดงอำ� นาจบารมแี หง่ กษตั รยิ ์ ขณะพนื้ ทท่ี ร่ี าบสงู โคราชไปจนถงึ ทลี่ มุ่ ของทะเลสาบเขมรและ ที่มีฐานะเป็นเหมือนเทพเจ้าหรือพระราชาธิราช ซ่ึงมีมหา ปากน�้ำแม่โขงไปจนชายทะเลของประเทศเวียดนามน้ันให้ กาพย์ส�ำคัญหลายเรื่องเช่น รามายณะ มหาภารตะ เป็นต้น ความสำ� คญั กบั ศาสนาฮนิ ดแู ละพทุ ธศาสนาฝา่ ยมหายานเปน็ สว่ นพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาทนนั้ มกั สรา้ งพระมหาสถปู ทบี่ รรจุ ส�ำคัญ ส�ำหรับสังคมที่ยอมรับนับถือพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท พระบรมสารรี กิ ธาตุ พระบรมธาตขุ องพระพทุ ธเจา้ องคศ์ าสดา นั้นได้มีพัฒนาการต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ก่อนท่ี เอกของมนุษย์ และภาพเรอื่ งราวจากชาดกต่างๆ เช่นพระเจ้า ประเทศไทยจะไดม้ ลี ายสอื ไทยเปน็ ภาษากลาง และเรยี กคนใน ห้าร้อยห้าสิบชาติ เพื่อแสดงถึงการแสดงพัฒนาการของจิต ประเทศว่า “คนไทย” ในเวลาต่อมา แห่งความเป็นพระโพธิสัตว์ ที่มีการเสวยพระชาติต้ังแต่การ “พระจักรพรรดิราช” ในคติทางศาสนาฮินดูนั้น เป็นสัตว์เดรัจฉาน มาจนเป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ จนมาถึงพุทธ แตกตา่ งจากพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาทกลา่ วคอื ศาสนาฮนิ ดู ถอื ประวัตใิ นการตรสั ร้เู ปน็ องคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ วา่ กษตั รยิ ท์ รงเปน็ เทพเจา้ ลงมาเกดิ ทำ� นองเดยี วกบั การอวตาร ดว้ ยเหตนุ ี้ กษตั รยิ ต์ ามคติเทวราชา นั้น จงึ หมาย ของพระผู้เป็นเจ้า เช่น การอวตารของพระวิษณุหรือพระ ถึงบุคคลท่ีได้บ�ำเพ็ญคุณธรรมความดีจนเชื่อว่าเป็นเทพเจ้า นารายณ์อวตารมาเปน็ พระราม เปน็ ต้น ส่วนคตทิ างพุทธฝ่าย แลว้ จงึ จตุ มิ าบงั เกดิ เปน็ กษตั รยิ เ์ พอ่ื ดบั ยคุ เขญ็ ดงั่ ตวั อยา่ ง เทว เถรวาทนนั้ เชอ่ื วา่ “พระจกั รพรรดริ าช” นน้ั เปน็ พระสมมตเิ ทว ราชาของกษตั รยิ ข์ อมสมยั เมอื งพระนคร กลา่ วคอื เมอ่ื พระเจา้ ราช คือหาได้มาจากการอวตารของเทพเจ้าลงมาเกิดในโลก สุริยวรมันที่ ๑ สวรรคตแล้วนั้นได้รับพระนามใหม่ว่า พระ มนษุ ยไ์ ม่ หากเปน็ การพฒั นาการทางจติ ของสตั วโ์ ลกทเ่ี รม่ิ แต่ นิพพานบท และพระเจ้าสุริรยวรมันที่ ๒ สวรรคตแล้วได้รับ เดรจั ฉานมาจนเปน็ มนษุ ยผ์ มู้ ธี รรมปญั ญาบารมใี นนาม “พระ พระนามใหม่ว่า พระบรมวิษณุโลก ซ่ึงไม่ใช่เทวราชา ท่ี 21
หมายความวา่ เปน็ พระราชาแหง่ เทพเจ้า คือ พระอศิ วรและ พระนารายณ์ แตเ่ ทวราชานเ้ี ปน็ เพยี งเทพเจา้ ชนั้ รองลงมาโดย น�ำพระนามมาใช้โดยตรง เช่น สุริยวรมัน หรือ อินทรวรมัน เปน็ ตน้ สำ� หรบั กษัตริย์ในคตพิ ระสมมตริ าชก็เช่นเดยี วกัน การเป็นจกั รพรรดริ าชจึงเปน็ เร่ืองสว่ นบคุ คลไมไ่ ด้หมายเปน็ เทพเจา้ แตก่ ารเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ อนั หมายถงึ สตั วท์ ต่ี น่ื แลว้ มา จากที่ต�ำ่ ไม่ใช่ทสี่ ูง คือ แรกเร่ิมน้ันมาจากสตั ว์เดรัจฉานช้นั ต่�ำ จนเป็นสัตวใ์ หญ่ เช่น ชา้ ง มา้ ววั ควาย ลงิ ค่าง จนเกิดมาเปน็ มนุษยไ์ ด้นน้ั เป็นการยกระดับของจติ ในแตล่ ะชาติอันเป็นผล มาจากการบำ� เพญ็ บารมีท่เี ป็นกศุ ลและมคี ุณธรรมในเรอ่ื ง ตา่ งๆ ตลอดมาจนถงึ สบิ ชาตสิ ดุ ทา้ ยคอื ทศบารมี ซง่ึ เปน็ บารมี ส�ำคัญท่ีจะน�ำไปสู่การเป็นพระสมมติราช และการตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า ดงั นั้นการสรา้ งพระราชวงั ให้เปน็ ศนู ย์กลางแหง่ อ�ำนาจในสมัยอยุธยาน้ันจึงรวมอ�ำนาจ ทั้งทางพุทธจักรและ อาณาจกั รเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั โดยมพี ระทนี่ ง่ั สรรเพชญม์ หาปราสาท และวัดพระศรีสรรเพชญ์เป็นสัญลักษณ์ แห่งพระสมมติเทว ราช ซ่งึ เปน็ แบบแผนทีท่ �ำให้การสร้างพระบรมมหาราชวังใน หายพระทยั เรว็ มพี ระเสมหะ พระปบั ผาสะซา้ ยอกั เสบ มพี ระ กรงุ รตั นโกสนิ ทรน์ น้ั มพี ระทนี่ ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาทหรอื พระทน่ี ง่ั โลหิตเป็นกรด และพบว่ามีน้�ำค่ังในช่องเยื่อหุ้มพระปัปผาสะ จกั รีมหาปราสาทและวดั พระศรีรตั นศาสดารามเช่นเดยี วกนั เลก็ น้อย กับพระราชวงั หลวงกรงุ ศรอี ยธุ ยา วันที่ ๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๙ มีความดันพระโลหิต ลดต�่ำลง คณะแพทย์จึงรักษาดว้ ยพระโอสถปฏิชวี นะ และใช้ จดหมายเหตกุ ารสวรรคต สายสวนเขา้ หลอดพระโลหติ ดำ� เพ่ือฟอกพระโลหติ ระยะยาว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช แต่มีพระความดันพระโลหิตต่�ำจึงใช้เคร่ืองช่วยหายพระทัย รัชกาลท่ี ๙ และมกี ารฟอกไต พระอาการไมค่ งที่ กอ่ นทพ่ี ระอาการจะเรม่ิ วนั ท่ี ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ สำ� นกั พระราชวงั ทรุดลงเรอื่ ยๆ ทรงมภี าวะการติดเชือ้ และการทำ� งานของพระ แจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยกนะ (ตับ) และมแี ถลงการณส์ ำ� นักพระราชวงั ฉบบั ที่ ๓๘ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จ ความว่า พระราชดำ� เนนิ มาประทบั ณ ช้ัน 16 อาคารเฉลมิ พระเกยี รติ วนั น้ี คณะแพทยผ์ ู้ถวายการรักษาพระบาทสมเดจ็ โรงพยาบาลศิริราช ตามค�ำกราบบังคมทูลเชิญเพ่ือมาตรวจ พระเจ้าอย่หู วั ไดร้ ายงานวา่ เม่อื วันท่๑ี ๑ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๕๙ พระวรกายของคณะแพทย์ ผลการตรวจพบว่าพระโลหิต ความดนั พระโลหติ ลดตำ่� ลงอกี พระชพี จรเรว็ ขน้ึ รว่ มกบั ภาวะ อุณหภมู พิ ระวรกาย ความดนั พระโลหติ พระหทยั และระบบ พระโลหิตมีความเป็นกรดเพ่ิมขึ้นอีก ผลของการถวายตรวจ การหายพระทัยเปน็ ปกติ พระโลหิตบ่งช้ีว่า มีภาวะการติดเชื้อและการท�ำงานของพระ ตงั้ แตว่ นั ท่ี ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นตน้ มา ยกนะ (ตับ) ผิดปรกติ คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถ ส�ำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ประชวร ว่ามีพระปรอทต�่ำ ปฏชิ ีวนะและแกไ้ ขภาวะพระโลหิตมคี วามเป็นกรด ตลอดจน 22
ถวายพระโอสถควบคุมความดันพระโลหิตเพิ่มข้ึน พร้อมทั้ง เสดจ็ สวรรคตเมอื่ วนั พฤหสั บดที ี่ ๑๓ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ถวายเครอ่ื งชว่ ยหายพระทยั (Ventilator) และถวายการรกั ษา ๑๕.๕๒ นาฬกิ า ณ อาคารเฉลมิ พระเกยี รติ โรงพยาบาลศริ ริ าช ดว้ ยวิธีทดแทนไต (CRRT) พระอาการประชวรโดยรวมยังไม่ รัฐบาลประกาศไว้ทุกข์ถวายความอาลัยเป็นเวลา๑ ปี ส�ำนัก คงท่ี ตอ้ งควบคมุ ดว้ ยพระโอสถ คณะแพทย์ฯ ไดเ้ ฝา้ ตดิ ตาม พระราชวงั มหี มายกำ� หนดการพระราชพธิ ที รงบำ� เพญ็ พระราช พระอาการและถวายการรกั ษาอย่างใกลช้ ดิ กศุ ลถวายพระบรมศพระหว่างวันที่ ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๕๙ ถงึ ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๐ ณ พระท่ีน่ังดุสิตมหาปราสาท ส�ำนักพระราชวัง ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ พระบรมมหาราชวงั วันที่ ๑๒ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๕๙.พระราชโอรส-ธิดา ท้งั ส่พี ระองค์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวร วันท่ี ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ๑๖.๐๐น. ราชาทินัดดามาตุ และพระเจ้าหลานเธออีกสองพระองค์เข้า สมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เยี่ยมพระอาการประชวร โดยนับตั้งแต่ส�ำนักพระราชวังได้ ครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร แถลงการณพ์ ระอาการประชวร ฉบบั ท่ี ๓๗ พร้อมดว้ ยพระบรมวงศานวุ งศ์ ไดเ้ สด็จพระราชด�ำเนนิ ไปโรง ประชาชนจำ� นวนมากไดเ้ ดนิ ทางมายงั โรงพยาบาล พยาบาลศิริราช เพ่ือเคล่ือนพระบรมศพของพระบาทสมเด็จ ศริ ิราชเพอื่ ถวายพระพรใหท้ รงหายจากพระอาการประชวร พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปยังพระบรมมหาราชวัง กจิ กรรมสำ� คญั คอื การสวดบทโพชฌงั คปรติ ร ซงึ่ เชอ่ื วา่ จะเปน็ เพอื่ ประกอบพระราชพธิ สี รงนำ�้ พระบรมศพ ณ พระทนี่ ง่ั พมิ าน บทสวดมนตป์ ัดเปา่ โรคร้ายพร้อมทงั้ มกี ารเชญิ ชวนประชาชน รตั ยา โดยขบวนเคล่ือนออกจากโรงพยาบาลศิรริ าชทางถนน สวมเสอ้ื สชี มพซู งึ่ เปน็ สเี สรมิ ดวงพระราชสมภพและมกี ารรว่ ม อรณุ อมรนิ ทร์ ผ่านไปยังแยกอรุณอมรนิ ทร์ข้นึ สะพานสมเด็จ กันถวายพระพรทั่วทั้งส่ือสังคม วันท่ี ๑๓ ตุลาคม พระบรม พระปิ่นเกล้า เคล่ือนต่อไปถนนราชด�ำเนินใน สู่พระบรม วงศานุวงศท์ กุ พระองคเ์ สดจ็ ฯ มายังโรงพยาบาลศิรริ าช มหาราชวังทางถนนหนา้ พระลาน ทีป่ ระตพู ิมานไชยศรี และ ส�ำนักพระราชวังมีประกาศเรื่องพระบาทสมเด็จ ประตเู ทวาภิรมย์ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี วนั ศุกรท์ ่ี ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๑๗.๐๐ จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต นาฬิกาโดยประมาณ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ เมอื่ วนั ท่ี ๑๓ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ความว่า บดินทรเทพยวรางกรู ครั้งยงั เปน็ สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชด�ำเนินยังพระที่น่ังพิมาน มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช รตั ยา ในพระบรมมหาราชวังในการถวายสรงนำ�้ พระบรมศพ บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชด�ำเนินไปประทับรักษาพระ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จเข้าสู่ภายในพระฉาก ซึ่ง อาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ ที่ ๓ พระบรมศพบรรทมอยบู่ นพระแท่น ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามทสี่ ำ� นกั พระราชวังได้แถลงให้ทราบ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลง เป็นระยะแล้วนั้น แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ กรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ชดิ จนสดุ ความสามารถ แตพ่ ระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ ส�ำหรบั พระบรมศพบูชาพระพุทธรูปประจำ� พระชนมวาร จดุ ทรุดหนักลงตามล�ำดับ ถึงวันพฤหัสบดี ท่ี ๑๓ ตุลาคม ธูปเทียนเครื่องทองน้อยราชสักการะพระบรมศพ ทรงรับ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๙ เวลา ๑๕ นาฬกิ า ๕๒ นาที เสดจ็ สวรรคต ขวดน้�ำพระสุคนธ์ โถน้�ำอบไทยและโถน�้ำขม้ิน ถวายสรงท่ี ณ โรงพยาบาลศริ ริ าช ดว้ ยพระอาการสงบ สริ พิ ระชนมพรรษา พระบาทพระบรมศพ ตอ่ จากนนั้ ทรงหวเี สน้ พระเจา้ พระบรม ปีท่ี ๘๙ ทรงครองราชยส์ มบตั ิได้ ๗๐ ปี ศพข้นึ คร้ังหน่งึ หวีลงอกี ครง้ั หนึง่ แลว้ หวีขน้ึ อกี ครั้งหน่งึ แล้ว ส�ำนกั พระราชวัง ๑๓ ตุลาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๙ ทรงหักพระสางนั้นวางไว้ในพานซ่ึงเจ้าพนักงานเชิญอยู่ จาก พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช นนั้ เสดจ็ ฯ ไปทรงถวายซองพระศรบี รรจดุ อกบวั และธปู เทยี น 23
แผน่ ทองคำ� จำ� หลกั ลายปดิ พระพกั ตร์ พระชฎาหา้ ยอดวางขา้ ง สมาคม ในพระบรมมหาราชวงั ตอ่ มาสำ� นกั พระราชวังได้รบั พระเศียรพระบรมศพ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้า พระราชานุญาต ให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พนักงานเชิญพระบรมศพลงสู่หีบ ทหารราชวัลลภรักษา ณ พระทน่ี ่ังดุสิตมหาปราสาท เวลา ๐๕.๐๐–๒๑.๐๐ น. และ พระองค์เชิญหบี พระบรมศพไปยงั พระท่ีน่ังดุสิตมหาปราสาท ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนไดท้ กุ วัน ตั้งแต่วันท่ี๒๙ตลุ าคม พ.ศ. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยาม ๒๕๕๙ เป็นตน้ ไป มกุฎราชกุมารและพระบรมวงศานุวงศ์ เสดจ็ พระราชด�ำเนนิ และเสดจ็ ตาม ตำ� รวจหลวงเชญิ หบี พระบรมศพขนึ้ ประดษิ ฐาน หมายกำ� หนดการพระราชพธิ ีทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศล เหนอื พระแทน่ แวน่ ฟา้ เบอ้ื งหลงั พระฉากและพระแทน่ สวุ รรณ ถวายพระบรมศพฯ เบญจดล ประกอบพระลองทองใหญ่ ภายใตน้ พปฎลเศวตฉตั ร ส�ำนักพระราชวัง ก�ำหนดการพระราชพิธีทรงบ�ำเพ็ญ แวดลอ้ มดว้ ยเครอ่ื งสงู หกั ทองขวาง บังแทรก ชมุ สาย ตน้ ไม้ พระราชกุศล ถวายพระบรมศพ พระบาทสมเดจ็ พระ ทองเงนิ ณ มุขตะวนั ตก พระที่นงั่ ดุสิตมหาปราสาท ปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ดังนี้ เสร็จแลว้ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้ามหา วชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงวางพวงมาลาท่ีหน้า พระราชพิธีทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลสตั ตมวาร พระโกศพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและ ระยะเวลา 7 วนั ตงั้ แต่วันท่ี 19–20 ตลุ าคม 2559 เครอ่ื งราชสกั การะพระบรมศพ ทรงกราบ แล้วทรงจดุ เคร่ือง พระราชพธิ ที รงบ�ำเพ็ญพระราชกศุ ลปณั รสมวาร นมสั การบชู าพระพทุ ธรปู ประจำ� พระชนมวารทหี่ นา้ พระแทน่ ระยะเวลา 15 วนั ต้ังแต่วันที่ 27–28 ตุลาคม 2559 มหาเศวตฉตั ร ทรงกราบ เจา้ พนกั งานนมิ นตพ์ ระสงฆเ์ ทย่ี วละ พระราชพิธที รงบ�ำเพญ็ พระราชกุศลปญั ญาสมวาร ๑๐ รูป ทรงทอดผ้าไตรเท่ยี วละ ๑๐ ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ระยะเวลา 50 วัน ตง้ั แต่วันที่ 1–2 ธนั วาคม 2559 เมอ่ื ครบ ๑๐๐ รปู ทรงหลง่ั ทกั ษโิ ณทก ถวายอนโุ มทนา ถวาย พระราชพธิ ที รงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร อดิเรก ถวายพระพรลา ระยะเวลา 100 วัน ตงั้ แต่วันที่ 20–21 มกราคม 2560 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลง กรณ สยามมกุฎราชกมุ าร เสดจ็ พระราชด�ำเนนิ ไปที่หนา้ พระ พิธถี วายเลี้ยงภตั ตาหารเช้าและเพลแด่พระพิธีธรรม โกศพระบรมศพ ทรงกราบ และเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทหี่ นา้ ตงั้ แตว่ นั ท่ี ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๕๙ พระบรมวงศา พระพทุ ธรปู ประจำ� พระชนมวารทป่ี ระดษิ ฐานอยบู่ นพระแทน่ นุวงศเ์ สด็จฯ ทรงบ�ำเพญ็ พระราชกศุ ลถวายพระบรมศพฯ ใน มหาเศวตฉัตร ทรงกราบ จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชา การถวายภตั ตาหารเชา้ และเพลแดพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ ระหวา่ งการ กระบะมุกที่หน้าพระแท่นเตียงพระสวดพระอภิธรรม ณ มุข พระพิธธี รรมสวดพระอภธิ รรมพระศพ ครบทง้ั ๑๐๐ วัน ถงึ หน้าพระท่ีน่ังดุสิตมหาปราสาท จากนั้น เสด็จลงบันไดมุข วนั ท่ี ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ณ พระทน่ี งั่ ดสุ ติ มหาปราสาท กระสันด้านทิศเหนือพระท่ีนั่งดุสิตมหาปราสาท ประทับ ในพระบรมมหาราชวัง เวลา ๗ นาฬิกา และเวลา ๑๑.๐๐ รถยนต์พระทน่ี ั่ง เสดจ็ พระราชด�ำเนินกลบั นาฬกิ า ส�ำหรับประชาชนถวายน้�ำสรงพระบรมศพ ตั้งแต่ เวลา ๐๘.๐๐–๑๔.๐๐น. ส�ำนักพระราชวังให้ประชาชนเข้า พระพิธธี รรมพิธสี วดพระอภิธรรมพระบรมศพ ถวายน้�ำสรงพระบรมศพ หนา้ พระบรมฉายาลักษณ์ ณ ศาลา ต้ังแต่คนื วนั ท่ี ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ พระบรม สหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ส�ำนักพระราชวังให้ วงศานวุ งศเ์ สดจ็ ฯ ทรงบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลถวายพระบรมศพฯ ประชาชนเขา้ ถวายสกั การะหนา้ พระบรมฉายาลกั ษณ์ และได้ ในการพระพธิ ธี รรมสวดพระอภธิ รรมพระบรมศพตลอด ๑๐๐ จดั สมุดลงนามถวายความอาลยั ต้งั แตว่ ันท่ี ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ. วนั ถึงวนั ที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ณ พระท่นี ่ังดุสิตมหา ๒๕๕๙ จนถงึ วนั ที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ณ ศาลาสหทัย ปราสาท ในพระบรมมหาราชวงั ในเวลา ๑๕.๐๐ นาฬกิ า เวลา 24
แตรสังขแ์ ละวงปีไ่ ฉนกลองชนะและกลองมโหรทึก) และวงปี่ พาทย์นางหงส์ ของกลุ่มดุริยางค์ไทย ส�ำนักการสังคีต กรม ศลิ ปากร กระทรวงวฒั นธรรม ๑๙.๐๐ นาฬกิ า และเวลา ๒๑.๐๐ นาฬกิ า คณะรัฐมนตรีมีมติประกาศให้วันที่ ๑๓ ตุลาคม ของทกุ ปี เปน็ วนั คลา้ ยวนั สวรรคตและวนั หยดุ ราชการ เพอื่ ให้ ประชาชนนอ้ มรำ� ลกึ ถงึ พระมหากรณุ าธคิ ณุ และไดก้ ำ� หนดให้ มพี ระราชพธิ ถี วายพระเพลงิ พระบรมศพขนึ้ ในวนั ท่ี ๒๕ - ๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐ รวมถึงได้ประกาศให้วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐ เป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพและเป็นวัน หยดุ ราชการเป็นกรณีพเิ ศษ การบำ� เพ็ญกุศลพธิ ีกงเต็กถวายพระบรมศพ พระราชพิธถี วายพระเพลงิ พระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ ทรงพระ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช กรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานญุ าตให้คณะ พระราชพธิ ีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาท สงฆ์จีนนิกาย คณะสงฆ์อนัมนิกาย โดยมีครอบครัวสิริวัฒน สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชพิธีที่ ภักดี สมาคมนักธุรกิจสัมพันธ์แห่งประเทศไทย และมูลนิธิ รฐั บาลไทยจดั เพอื่ แสดงความจงรกั ภกั ดแี ละสง่ เสดจ็ พระบาท ปอ่ เตก็ ตง๊ึ เปน็ เจา้ ภาพบำ� เพญ็ กศุ ลพธิ กี งเตก็ ถวายพระบรมศพ สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สู่สวรรคาลัยเป็น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ ครง้ั สุดท้าย โดยรัฐบาลกำ� หนดวนั พระราชพิธี ระหว่างวนั ท่ี พระทน่ี งั่ ดสุ ติ มหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวงั ในวนั ที่ ๒๘ ๒๕ – ๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐ โดยมีประกาศให้วันท่ี ๒๖ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๐ วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๐ วนั ที่ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เปน็ วนั ถวายพระเพลิงพระบรมศพและ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๐ วนั ท่ี ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๐ เปน็ วันหยดุ ราชการเป็นกรณพี ิเศษ และวนั ท่ี ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๐ ตามล�ำดับ ส�ำหรับการด�ำเนินการพระราชพิธีฯ นั้น คณะท�ำ งานทกุ ฝา่ ยไดด้ ำ� เนนิ การอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มกี ารสรา้ งพระเมรมุ าศ หนว่ ยงานและบคุ คล รว่ มเปน็ เจา้ ภาพสวดพระอภธิ รรม และอาคารประกอบ เช่น พระที่น่ังทรงธรรม ศาลาลูกขุน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ ทรงพระ เป็นตน้ กรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ ส่วนการบูรณะปฏิสังขรณ์ราชรถ ราชยาน และ ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม เครอื่ งประกอบพระราชพธิ นี น้ั ไดม้ กี ารซอ่ มแซมพระมหาพชิ ยั องคก์ รอสิ ระ รฐั วสิ าหกจิ และภาคเอกชน รว่ มเปน็ เจา้ ภาพใน ราชรถ พระยานมาศสามลำ� คาน ราชรถน้อย พระท่ีนัง่ ราเชน การบ�ำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ หลังจากการ ทรยาน และพระวอสีวิกากาญจน์ เพ่ือพร้อมใช้ในพิธีจริง พระราชพธิ ที รงบ�ำเพญ็ พระราชกศุ ลปญั ญาสมวาร (๕๐ วนั ) นอกจากนยี้ งั มกี ารจดั สรา้ งราชรถ ราชยานขน้ึ มาใหม่ คอื ราช รถปืนใหญ่และพระที่น่ังราเชนทรยานน้อย รวมท้ังประติมา การประโคมย่�ำยาม กรรมประกอบพระเมรุมาศในพระราชพิธีครั้งนี้ได้มีการปรับ การประโคมย�่ำยามในงานพระบรมศพพระบาท ปรงุ ให้มคี วามร่วมสมัย สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มหี นว่ ยงานเขา้ รว่ ม การจัดสร้างพระเมรุมาศน้ัน แล้วเสร็จเดือน ประโคม วงประโคมของงานเคร่ืองสูง ส�ำนักพระราชวัง (วง กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ 25
สยามบรมราชกุมารีทรงเปน็ องค์วนิ จิ ฉยั ในการจัดสร้างพระ ส�ำหรับพระเมรุมาศทรงบษุ บกนไ้ี ดม้ กี ารประยุกต์ เมรุมาศ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็น งานให้แข็งแรงโดยใช้โครงสร้างด้วยเหล็ก สูง ๕๐.๔๙ เมตร ประธานอำ� นวยการพระราชพิธี ต่อมาได้ขยายเปน็ ๕๓ เมตร มีชั้นเชงิ กลอน ๗ ช้ัน ผังพ้ืนทใ่ี ช้ การสรา้ งพระเมรมุ าศในพระราชพธิ ถี วายพระเพลงิ งานเปน็ ส่เี หลีย่ มจัตรุ สั ขนาดกว้างดา้ นละ ๖๐ เมตร มบี ันได พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทง้ั สด่ี า้ น ฐานยกพนื้ ทส่ี งู มี ๓ ชนั้ ชนั้ บนตรงมมุ ทง้ั ส่ี ประกอบ น้ัน สว่ นสำ� คัญทีส่ ุดคืองานกอ่ นสรา้ งพระเมรมุ าศและอาคาร ด้วย ซ่างทรงบุษบก ชั้นเชิงกลอนห้าชั้น สำ� หรบั พิธธี รรมสวด ประกอบ ณ มณฑลสนามหลวง นนั้ กระทรวงวัฒนธรรม โดย พระอภธิ รรม ฐานชั้นท่ี ๒ ประกอบดว้ ยหอเปล้อื งทรงบุษบก กรมศิลปากร ได้ออกแบบพระเมรุมาศเป็นอาคารทรงบุษบก รปู แบบเดยี วกนั รวมสง่ิ กอ่ สรา้ งมเี ครอ่ื งยอดนบั รวมได้ ๙ ยอด ๙ ยอด ตามโบราณราชประเพณที พี่ ระมหากษัตริยจ์ ะใชพ้ ระ โดยยอดกลางนั้นคือยอดของพระเมรุมาศจะเปรียบเหมือน เมรุทรงบุษบกเท่าน้ัน ในการน้ีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เป็นเขาพระสุเมรุ และอกี ๘ ยอดของซ่างทรงบษุ บกและหอ สยามมกุฎราชกุมาร (พระราชอิสสริยยศในขณะน้ัน) ทรง เปลอ้ื งทรงบษุ บกเปน็ เหมอื นยอดเขาสตั ตบรภิ ณั ฑ์ เปรยี บเปน็ โปรดฯให้สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โลกสัณฐานแห่งจักรวาลตามไตรภูมิ โดยเปรียบพระมหา เปน็ องค์ประธานท่ปี รึกษาในการจดั สร้างพระเมรมุ าศซึ่งพระ กษัตริยเ์ ปน็ เหมือนสมมติเทวราชา เมรมุ าศนนั้ มคี ณะทำ� งานรว่ มกนั ไดแ้ ก่ นายกอ่ เกยี รติ ทองผดุ สว่ นศลิ ปกรรมประกอบพระเมรมุ าศ ไดม้ กี ารสรา้ ง นายชา่ งศลิ ปกรรมชำ� นาญการเปน็ ผอู้ อกแบบหลกั นายสตั วนั ศิลปกรรมช้นั เยยี่ มประกอบอาคารให้ดปู ระดจุ สรวงสวรรค์ มี ฮม่ ซ้าย ผูอ้ �ำนวยการส�ำนกั สถาปัตยกรรม กรมศลิ ปากร นาย ฉตั ร เทวดา สตั วห์ มิ พานต์ ซงึ่ เปน็ ประตมิ ากรรมประกอบพระ ธีรชาติ วีรยุทธานนท์ สถาปนิกช�ำนาญการ เป็นผู้ช่วย และ เมรุมาศ อีกท้ังยังมีการขุดสระอโนดาตขึ้นมาให้เสมือนจริง คณะชา่ งผชู้ ำ� นาญการรว่ มกนั ควบคมุ ดแู ลดว้ ยเปน็ การใชโ้ ครง โดยมีส�ำนักชา่ งสบิ หมู่ กรมศิลปากร สร้างงานศลิ ปกรรมและ สร้างเหล็กแทนการใช้เสาไม้แบบโบราณ ต้นแบบการสร้าง งานประณตี ศลิ ป์ ดงั น้ี พระเมรุมาศทรงบษุ บกเป็นของพระมหากษัตริย์นน้ั เริม่ ใช้ใน ๑. ประติมากรรมประดับพระเมรุมาศ ได้แก่ รูป สมัยรัชกาลท๕่ี สรา้ งบนพ้นื ราบดัดแปลงอาคารปราสาทเปน็ หล่อ เทวรูป สัตว์หิมพานต์ เป็นต้น ๒. จิตรกรรมฉากบัง เรือนบุษบกบัลลังก์ หรือคือการขยายมาจากพระเมรุทองใน เพลิงและจิตรกรรมโครงการพระราชด�ำริ ๓. การจัดสร้าง ปราสาทให้ใหญ่ขึ้น และต้ังเบญจาจิตกาธานรับพระโกศ พระโกศจันทน์ ๔. ฉัตรประดับพระเมรุมาศ ฉัตรโลหะ พระบรมศพ เพอ่ื ใหส้ ะดวกกบั การถวายพระเพลงิ พระเมรมุ าศ กลบี บัว ฉัตรฉลลุ ายโลหะ (โปรง่ ) ฉตั รประดับลายผ้าทองย่น ทรงบษุ บกองคแ์ รกนนั้ สรา้ งใชใ้ นงานถวายพระเพลงิ พระบรม ๕. การจัดสร้างพระโกศพระบรมอัฐิ ๖. การออกแบบเคร่อื ง ศพพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๕ และ สังเค็ด ๗. การซ่อม สร้างเครื่องประกอบราชยาน ในส่วนท่ี ถือเป็นแบบพระเมรุมาศเฉพาะพระมหากษัตรยิ เ์ ทา่ น้นั เป็นผ้าระบายฉัตรพระมหาพิชัยราชรถ พระวิสูตรพระมหา พิชัยราชรถ ธงสามชายงอนราชรถ สำ� หรบั งานประตมิ ากรรมประดับพระเมรุมาศนัน้ มีรูปประติมากรรมของส�ำนักช่างสิบหมู่ ที่ดูแลการสร้าง สำ� หรบั ใชป้ ระดบั ตกแตง่ บนพระเมรมุ าศและบรเิ วณปรมิ ณฑล ของพระเมรุมาศ โดยเฉพาะบนพระเมรุมาศ เป็นไปตามผัง แบบของพระเมรมุ าศ ประกอบด้วยช้ันต่างๆ ดังน้ี จากชน้ั ทหี่ นงึ่ เปน็ พนื้ ลา่ งสดุ ทต่ี ดิ กบั ถนนรอบพระ เมรมุ าศ ถดั ขึ้นมาเปน็ ฐานไพทชี ั้นที่ หนึ่ง ฐานไพทชี ัน้ ทีส่ อง ฐานไพทีชั้นที่สาม ซึ่งต่อขึ้นไปเป็นบริเวณท่ีสร้างเป็นอาคาร 26
ผังแสดงการต้งั รูปประติมากรรมประดบั บนพระเมรุมาศ พระเมรุทรงมณฑปหรือบุษบกขนาดใหญ่ ประติมากรรมท่ีสถาปนิกผู้ ออกแบบได้กำ� หนดพน้ื ทีจ่ ัดตั้งไวต้ ามแบบผงั นั้นมี ดังน้ี มหาเทพหรือพระผเู้ ปน็ เจ้าของพราหมณ์ ๑. พระอศิ วร (พระศวิ ะ) พระผูเ้ ปน็ เจ้าหรือเทพผูท้ รงประทาน พรวิเศษใหแ้ กผ่ ู้หมนั่ ทำ� ความดี และยึดมน่ั ในศลี ธรรม ๒. พระนารายณ์ (พระวษิ ณ)ุ พระผเู้ ปน็ เจา้ หรอื เทพผอู้ วตารเปน็ พระรามหรอื พระรามาธบิ ดี ลงมามชี ีวิตบนมนุษยโ์ ลกเพอ่ื ปราบยุคเข็ญ ๓. พระอนิ ทร์ พระผเู้ ป็นเจา้ หรอื เทพผสู้ ามารถบันดาลความสขุ ใหแ้ กโ่ ลก โดยบนั ดาลใหเ้ กดิ ฝนตกตอ้ งตามฤดกู าล และบนั ดาลใหพ้ ชื พรรณ เจริญงอกงาม ๔. พระพรหม พระผู้เป็นเจ้าหรือเทพผู้ก�ำหนดชะตาชีวิตของ มนุษย์ พระมหาเทพหรือพระผู้เป็นเจ้าของพราหมณ์ท้ัง ๔ องค์น้ีได้ เสดจ็ ลงมาจากสวรรคเ์ พอื่ รบั เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล อดุลยเดช เสด็จกลับสู่สวรรค์ จึงก�ำหนดให้พระมหาเทพทั้งสี่องค์ ประดษิ ฐานบนฐานไพทชี ้นั ท่สี าม ลอ้ มรอบองคพ์ ระเมรุมาศ 27
จตุโลกบาล ๔ พระองค์ ๑. ทา้ วธตรฐ เทวดาผดู้ แู ลรกั ษาโลกดา้ นทิศตะวนั ออก ๒. ทา้ ววิรุฬหก เทวดาผ้ดู ูแลรักษาโลกด้านทศิ ใต้ ๓. ท้าววิรปู ักษ์ เทวดาผู้ดูแลรกั ษาโลกดา้ นทศิ ตะวันตก ๔. ท้าวกเุ วร หรอื ทา้ วเวสวณั (ท้าวเวสสวุ รรณ) เทวดาผู้ ดแู ลรกั ษาโลกด้านทศิ เหนือ ท้าวจตโุ ลกบาลทง้ั สี่นี้ เป็นเทวดาผู้ปอ้ งกันอนั ตรายทจ่ี ะ เกดิ แกม่ นษุ ยโ์ ลกประจำ� ๔ ทศิ ไดเ้ สดจ็ ลงมาจากสวรรคเ์ พอ่ื รบั เสดจ็ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสู่สวรรค์ จึงก�ำหนดให้ท้าวจตโุ ลกบาลทง้ั สอ่ี งค์ประดิษฐานบนฐานไพทีชั้นที่ หนง่ึ บริเวณมุม ล้อมรอบองค์พระเมรุมาศ พระพเิ นก (พระพฆิ เนศวร) ประดษิ ฐานบนฐานไพทชี นั้ ทสี่ อง ในตำ� แหนง่ หนา้ บนั ไดทางขน้ึ ฐานไพทชี นั้ ทสี่ ามดา้ นทศิ เหนอื พระพนิ าย (พระโกญจนาเนศวร) ประดษิ ฐานบนฐาน ไพทีชัน้ ทีส่ องในต�ำแหน่ง หนา้ บันไดทางขน้ึ ฐานไพทชี น้ั ทีส่ าม ดา้ น ทิศเหนือคู่กับพระพิฆเนศวร ซ่ึงมหาเทพท้ังสององค์นี้ก็คือ พระ พิเนกและพระพินาย เทพผู้จัดสร้างพระรูปประหนึ่งเฝ้ารับเสด็จสู่ สรวงสวรรค์ ป่าหมิ พานตห์ รอื เขาหมิ พานต์ เทวดานั่งอัญเชิญบังแทรก/พุ่ม ประดิษฐานไว้บนฐาน ปา่ หิมพานต์น้นั มีสระสำ� คัญอยู่ ๗ สระ สระ ไพทชี นั้ ทห่ี นง่ึ ฐานไพทชี นั้ ทสี่ อง และฐานไพทที ส่ี าม รวมจำ� นวนทงั้ อโนดาต ซงึ่ เปน็ สระหนึง่ ในจ�ำนวนสระทงั้ ๗ แห่ง สระ สิน้ ๕๖ องค์ ท�ำหน้าทใี่ นการอญั เชิญ ฉัตร บงั แทรก และพ่มุ ตามท่ี อโนดาตมีธารน�้ำทั้งหลายพากันไหลลงมาที่สระนี้ พื้น สถาปนกิ ก�ำหนดอยู่บนฐานไพทีแตล่ ะช้นั โดยล้อมรอบพระเมรุมาศ สระอโนดาต เปน็ แผ่นหินกายสทิ ธ์ิ ช่อื มโนศลิ า บริเวณ ส่วนทเี่ ป็นพนื้ ดนิ เปน็ ดินกายสทิ ธ์ชิ ่อื หรดาล (เป็นชอื่ ที่ เทวดายืนอัญเชญิ ฉตั ร เรยี กดนิ สำ� หรบั ใชถ้ ตู วั ) นำ�้ ในสระใสสะอาด มที า่ อาบนำ้� รปู ประตมิ ากรรมเทวดายนื สร้างขน้ึ เพ่ืออัญเชญิ ฉัตร ได้ อยู่มากมาย เป็นสระสรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระ กำ� หนดใหป้ ระดษิ ฐานบนฐานไพทชี นั้ ทส่ี าม ตดิ กบั บนั ไดทางขน้ึ พระ ปจั เจกพทุ ธเจ้าและ พระอรหนั ต์ทง้ั หลาย รวมท้งั เหล่า มณฑปพระเมรุมาศ รวมทั้งสิ้น ๘ องค์ ผู้วิเศษผ้มู ีฤทธทิ์ ง้ั หลาย เชน่ ฤๅษี วิทยาธร ยกั ษ์ นาค เทวดา เปน็ ต้น สตั ว์ส�ำคัญประจำ� ทิศ ดงั น้ันโดยรอบสระอโนดาตจงึ มียอดเขาต้งั รปู ประตมิ ากรรมสตั ว์สำ� คญั ประจ�ำทศิ สำ� นกั ช่างสบิ หมู่ ราย รอบอยู่ ๕ แหง่ ได้แก่ จดั สรา้ งขน้ึ เพอ่ื ตดิ ตงั้ บรเิ วณบนั ไดทางขน้ึ ของฐานไพทแี ตล่ ะชนั้ ซงึ่ ๑. ยอดเขาสทุ สั สนะ เปน็ ภเู ขาทองคำ� รปู ทรง เรียงตามล�ำดับ เปรียบเสมือนเป็นทางข้ึนเขาพระสุเมรุที่ล้อมรอบ โค้งตามแนวสระอโนดาต และปลายยอดเขา มสี ณั ฐาน ดว้ ยป่าหิมพานต์ โดยล�ำดับท่ีอยูข่ องสัตว์ส�ำคญั หลายชนดิ ไปจนถึง โค้งงุ้มดังปากกา โอบปิดด้านบนสระอโนดาตไว้ ไม่ให้ ชน้ั ระดบั สงู ซงึ่ ทเี่ ปน็ ทอี่ ยขู่ องครฑุ โดยเรม่ิ จากสตั วม์ งคล๔ประเภท โดนแสงอาทิตย์ แสงจนั ทร์ อนั เป็นท่เี กดิ ของแมน่ �้ำ ๔ สาย ๒. ยอดเขาจติ ตะ เป็นภูเขาแกว้ หรือรตั นะ 28
ปา่ หิมพานต์หรอื เขาหิมพานต์ ๓. ยอดเขากาฬะ เปน็ ภเู ขาทมี่ แี รพ่ ลวง หนิ ยอดเขา ๑. สีหมขุ ปากแม่น�้ำดนิ แดนแหง่ ราชสีห์ เปน็ ถนิ่ ท่ี นั้นเปน็ สนี ิล มีราชสหี ์อาศยั อยูจ่ �ำนวนมาก ๔. ยอดเขาคันธมาทน์ เป็นภูเขาท่ีบนยอดเขาน้ัน ๒. หัตถีมุข ปากแม่น้�ำดินแดนแห่งช้าง เป็นถ่ินที่ เปน็ พนื้ ราบเรียบ อุดมไปดว้ ยไม้หอมนานาพนั ธ์ุ ช้างอาศยั อยจู่ �ำนวนมาก ๕. ยอดเขาไกรลาส เป็นภูเขาเงนิ ท่มี ี วิมานฉมิ พลี ๓. อัสสมุข ปากแม่น้�ำดินแดนแหง่ ม้า เป็นถ่นิ ท่มี า้ ของพญาครุฑ อย่บู นเขาไกรลาสนี้ อาศยั อย่จู �ำนวนมาก ยอดเขาทั้ง ๕ ลูกน้ีตั้งตระหง่านรายล้อมสระ ๔. อุสภมุข ปากแมน่ ำ�้ ดินแดนโคอสุ ภะ เป็นถ่ินที่ อโนดาตไว้ โดยมีเทวดารวมถึงนาค เป็นผู้ดูแลรักษา ธารนำ้� โคอาศัยอยู่จ�ำนวนมาก ทงั้ หลาย ทไี่ หลมาจากเขาหรอื ปา่ หมิ พานตท์ กุ สารทศิ โดยไหล ปากแม่น�้ำนี้เกิดจากแม่น้�ำใหญ่สี่สาย ท่ีไหลมา มาผา่ นยอดเขา ๕ ลกู นลี้ กู ใดลกู หนง่ึ จากนน้ั กจ็ ะไหลวกไปรวม หล่อเล้ียงอยู่รอบนอกของเขาหิมพานต์ ก่อนที่จะไหลลงสู่ กันลงสู่สระอโนดาต ชื่อ อโนดาต น้มี ีทีม่ าจากการมเี งอ้ื มผา มหาสมุทร ดงั นนั้ สัตว์มงคล ๔ ประเภท จึงเป็นแนวความคิด โค้งง้มุ ดงั ปากกา โอบบงั แสงไว้ด้านบน ท�ำใหแ้ สงอาทติ ยแ์ ละ มาจากปากแม่น้�ำส�ำคัญทั้งสี่สาย ซึ่งเป็นถิ่นที่อาศัยของสัตว์ แสงจันทร์ ไม่สามารถส่องผ่านไปโดนน้�ำได้ จะมีเพียงแสงที่ สำ� คัญในป่าหิมพานตด์ งั กลา่ ว คือ ราชสีห์ ท่ตี งั้ ไวข้ า้ งบันได ลอดเขา้ ด้านข้าง ในแนวเหนอื ใต้ ตรงระหว่างรอยตอ่ ยอดเขา ทางขึ้นซ้าย-ขวาของฐานไพทีชั้นที่หนึ่งทางทิศตะวันออก กบั ยอดเขาเทา่ นัน้ สระนี้ จึงไดช้ ื่อว่า “อโนดาต” แปลวา่ ไม่ รวมสองรปู ชา้ ง ทต่ี งั้ ไวข้ า้ งบนั ไดทางขนึ้ ซา้ ย-ขวาของฐาน ถกู แสงสอ่ งใหร้ อ้ นนน่ั เอง จากสระอโนดาตจะมปี ากทางใหน้ ำ�้ ไพทชี น้ั ทหี่ นง่ึ ทางทศิ เหนอื รวมสองรปู มา้ ทตี่ ง้ั ไวข้ า้ งบนั ได ไหลระบายออกอยู่สี่แห่ง ตาม ทิศละแหง่ คอื ทางข้ึนซ้าย-ขวาของฐานไพทีช้ันที่หนึ่งทางทิศตะวันตก 29
ครฑุ ครุฑนั้นมีท่ีอาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุ เป็น วมิ านทร่ี จู้ กั กนั คอื วมิ านฉมิ พลี ครฑุ นนั้ มคี วามสำ� คญั ดว้ ยเปน็ พาหนะของพระนารายณ์ ดงั ปรากฏในศิลปกรรมคอื รปู พระ นารายณท์ รงสบุ รรณหรอื พระนายทรงครฑุ อนั ปรากฏอยบู่ น หนา้ บันพระโบสถพ์ ระวหิ ารท่พี ระมหากษัตรยิ ์ทรงสร้าง รวม ท้ังการใช้รูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณ เป็นโขนเรือพระท่ีนั่ง ประจำ� รชั กาลที่ ๙ ดว้ ย โดยนำ� ครฑุ ตดิ ตงั้ ไวข้ า้ งบนั ไดทางขน้ึ รวมสองรูป โคอุสภราช ที่ต้ังไว้ข้างบันไดทางขึ้นซ้ายขวา ฐานไพทีช้ันท่ีสาม ด้านซ้าย-ขวาของในทิศตะวันออก ตะวัน ของฐานไพทชี ้ันท่หี นง่ึ ทางทศิ ใต้ รวมสองรปู ตก และทศิ ใต้ ของพระเมรุ รวม ๖ รูป บรเิ วณพื้นด้านขา้ งของรปู สตั วส์ �ำคัญจากด้านขา้ ง หนึ่งของรูปสัตว์ชนิดหนึ่งน้ัน ผ่านมุมพระเมรุมาศสู่ด้านข้าง นาคตกแตง่ ราวบนั ได อีกหนึ่งของรูปสัตว์อีกชนิดหนึ่ง ตกแต่งให้เป็นสระน้�ำ มีเขา บันไดทางข้ึนของฐานไพทีพระเมรุมาศแต่ละชั้นน้ัน ได้มีการ มอประดบั ไปดว้ ยพนั ธพ์ุ ชื สวยงาม โดยจดั ตงั้ รปู ปน้ั สตั วส์ ำ� คญั ประดับรปู พญานาคตกแต่งราวบันไดในลกั ษณะต่างๆ ดงั น้ี ขนาดย่อส่วน และลงสีสันสัตว์ส�ำคัญเป็นลักษณะต่างๆ ให้ บันไดทางขึ้นอาคารซ่างและหอเปร่ืองเครือ่ ง นาค เขา้ กบั ปา่ หมิ พานต์ ซง่ึ ไดร้ บั ความรว่ มมอื จากเครอื ขา่ ยปฏบิ ตั ิ ๑ เศียร งาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ บันไดทางข้ึนฐานไพทชี นั้ ท่ี ๑ นาค ๑ เศียร ขนาด วิทยาเขตเพาะช่าง และคณะชา่ งอาสาสมัคร จงั หวดั เพชรบรุ ี ๗๐ ซม. ยาว ๑๕๐ ซม. โดยการนำ� ของคณุ สมชาย บุญประเสรฐิ อยู่ในความดูแลของ บนั ไดทางขึน้ ฐานไพทชี น้ั ที่ ๒ นาค ๓ เศยี ร ขนาด กรมศลิ ปากร ๗๐ ซม. ยาว ๒๕๐ ซม. บนั ไดทางข้ึนฐานไพทชี ั้นท่ี ๓ นาค ๕ เศยี ร ขนาด คชสหี ์ และ ราชสีห์ ๗๐ ซม. ยาว ๓๕๐ ซม. คชสีหแ์ ละราชสีหน์ น้ั เป็นสตั วใ์ หญท่ ่มี ีพลงั อำ� นาจ บนั ไดทางขน้ึ พระมณฑปกลางของพระเมรุ นาค ๕ อยเู่ หนอื สตั วท์ ง้ั ปวงอยใู่ นปา่ หมิ พานต์ อกี ทง้ั ยงั เปน็ สญั ลกั ษณ์ เศยี ร ขนาด ๗๐ ซม. ยาว ๕๑๐ ซม. แทนของขา้ ราชบรพิ ารผจู้ งรกั ภกั ดตี อ่ พระบาทสมเดจ็ พระปร มินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ คชสีห์ เป็นตราประจ�ำสมุห การประดับตกแตง่ ฐานบวั เชิงบาตรพระเมรุมาศ กลาโหม เสนาบดีฝา่ ยทหาร ซ่ึงเป็นสญั ลักษณ์ของผทู้ �ำหนา้ ท่ี การตกแตง่ ฐานบวั เชงิ ท้องไม้เชิงบาตรของพระ พทิ กั ษแ์ ผน่ ดนิ และพระมหากษตั รยิ ์ หมายถงึ เหลา่ ทหารและ เมรมุ าศนนั้ ได้รับความรว่ มมือจากเครอื ขา่ ยปฏบิ ัตงิ าน จาก ต�ำรวจ ทั้งปวง ส่วนราชสีห์ น้ันเป็นตราประจ�ำสมุหนายก สถาบันสิริกิต์ิ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้า เสนาบดฝี า่ ยพลเรอื น ซงึ่ มคี ณุ ลกั ษณะเปน็ ขา้ ราชการพลเรอื น สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถโดยศนู ยศ์ ลิ ปาชพี เกาะเกดิ และศนู ย์ ผทู้ �ำหนา้ ที่ในการปกครองดูแลทกุ ข์สุขของราษฎรแทน ศิลปาชีพสีบัวทอง ในการควบคุมอาจารย์สุดสาคร ชายเสม ขา้ ราชการในทกุ ภาคส่วน โดยจดั ให้คชสหี ์ ที่ต้ังไว้ สร้างงานตกแตง่ ประกอบดว้ ย ขา้ งบนั ไดดา้ นขวาของทางขน้ึ ฐานไพทชี นั้ ทส่ี องทกุ ทศิ ของพระ ๑. เทพชุมนุม รอบฐานท้องไม้เชิงบาตรฐานไพที เมรุ ราชสหี ์ ทตี่ งั้ ไวข้ า้ งบนั ไดดา้ นซา้ ยของทางขน้ึ ฐานชน้ั ทสี่ อง ชั้นที่สามของพระเมรุมาศ ขนาดความสูง ๖๐ เซนติเมตร ทกุ ทิศของพระเมรุ จ�ำนวน ๑๐๘ องค์ ๒. เทพพนม ประดบั รอบทอ้ งไม้เชิงบาตรของฐาน 30
มณฑปกลางของพระเมรุมาศ ขนาดความสูง ๖๐ เซนตเิ มตร ใหญใ่ นหลวงรชั กาลที่ ๙ เปน็ พระนารายณอ์ วตารอกี ปางหนง่ึ จำ� นวน ๒๘ องค์ ซึ่งได้อัญเชิญพระบรมโกศตั้งอยู่ในพระเมรุมาศทรงบุษบก ๙ ๓. ครุฑยุดนาค ประดับรอบท้องไม้เชิงบาตรของ ยอดอยแู่ ลว้ ฐานมณฑปกลางของพระเมรุมาศ ขนาดความสูง ๖๐ นอกจากภาพพระนารายณอ์ วตารแลว้ ฉากบงั เพลงิ เซนติเมตร จ�ำนวน ๒๘ รปู นน้ั ยงั คดั เลอื กเอาโครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำ� รสิ ำ� คญั จาก ๔,๐๐๐ โครงการโดยแยกงานตามหมวด ดิน น�้ำ ลม ไฟ เสาครฑุ เป็น ๒๔ โครงการประกอบชอ่ งล่างของพระนารายณอ์ วตาร เสาครฑุ ตดิ ตงั้ อยบู่ นฐานไพที ชนั้ ที่ ๒ และฐานไพที ทภ่ี าพขนาบซา้ ยขวาของนน้ั เปน็ ภาพกลมุ่ เทวดาทลี่ งมาแสดง ชน้ั ท่ี ๓ ซึ่งบรเิ วณมมุ ไพทที งั้ สด่ี า้ นนน้ั มีเสาครฑุ รวม ๘ เสา ความสักการะแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และรับกลับข้ึนสู่สรวง โดยเหนือครฑุ นัน้ ต้งั ฉัตรโลหะฉลลุ าย สวรรค์ ส่วนช่องล่างของฉาก ๔ ช่องรวมถึงบริเวณทางขึ้น บนั ไดสองดา้ นนนั้ เปน็ โครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำ� ริ ๖ คุณทองแดง สนุ ขั ทรงเลย้ี ง โครงการ โดยกำ� หนด ดังน้ี คณุ ทองแดงเปน็ สนุ ขั ทรงเลย้ี งเพศเมยี เปน็ ลกู ของ ดา้ นทิศเหนอื เป็นหมวดน้ำ� แดง ซง่ึ เปน็ สนุ ขั จรจดั บรเิ วณถนนพระราม ๙ พระบาทสมเดจ็ ดา้ นทิศตะวันออก เปน็ หมวดดนิ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชทรงนำ� มาเลยี้ งไว้ พระองค์ ด้านทิศตะวนั ตก เป็นหมวดลม ทรงพระราชนพิ นธเ์ รอื่ ง“ทองแดง(TheStoryofTongdaeng)” ด้านทิศใต้ เปน็ หมวดไฟ พิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และ การ์ตูนส�ำหรับเยาวชน การสร้างต้นแบบรูปคุณทองแดงนี้ได้ สำ� หรบั ดา้ นหลังฉากบงั เพลงิ ทงั้ สีด่ ้านน้ันเปน็ ภาพ รับความร่วมมือจากนายชิน ประสงค์ อดีตผู้เช่ียวชาญด้าน พระปรมาภิไธยย่อ “ภปร” ลอยบนพ้นื ดอกดาวเรอื งสีเหลือง ประติมากรรมของส�ำนักช่างสิบหมู่ เป็นผู้ด�ำเนินการปั้น สปี ระจำ� วนั พระราชสมภพของพระองคแ์ ละรอบขา้ งเปน็ ดอก ตน้ แบบ ไมม้ ณฑาทพิ ย์ทรี่ ้อยเป็นลายเฟอ่ื งอุบะห้อยอยู่ถือเปน็ ดอกไม้ แห่งสวรรค์ท่ีร่วงหล่น เป็นการแสดงความอาลัยในการเสด็จ จิตรกรรมฉากบังเพลิง สวรรคตของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช และจิตรกรรมโครงการพระราชด�ำริ รชั กาลท่ี ๙ กษัตรยิ ์นกั พฒั นาของโลก จิตรกรรมฉากบังเพลิงประกอบพระเมรุมาศ นั้น ส�ำนกั ช่างสิบหมู่ กรมศลิ ปากร นายเกียรตศิ ักด์ิ สวุ รรณพงศ์ จิตรกรรมโครงการพระราชด�ำริในพระทนี่ งั่ ทรงธรรม จติ รกรชำ� นาญการพเิ ศษ ไดอ้ อกแบบฉากบังเพลงิ ส่วนภาพ จติ รกรรมโครงการพระราชดำ� รปิ ระดบั ภายในพระ โครงการพระราชดำ� รนิ นั้ นายมณเฑยี ร ชเู สอื หงึ จติ รกรชำ� นาญ ทนี่ ัง่ ทรงธรรม โดยสำ� นกั ชา่ งสิบหมู่ กรมศลิ ปากร ดำ� เนนิ การ การพิเศษ ได้ออกแบบ ซ่ึงภาพจิตรกรรมท้ังหมดน้ันน�ำมา ออกแบบโดย นายมณเฑยี ร ชเู สอื หงึ ตำ� แหนง่ จติ รกรเชย่ี วชาญ ประกอบในฉากบงั เพลงิ ขนาดสงู ๔.๔ เมตร กวา้ ง ๕.๓๕ เมตร โดยความร่วมมือกันระหว่างส�ำนักช่างสิบหมู่ สถาบันบัณฑิต ส�ำหรับระกอบบนพระเมรุมาศทรงบุษบก ๙ ยอด พัฒนศิลป์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเพาะช่าง ฉากบงั เพลงิ ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั แตล่ ะดา้ นเขยี น ร่วมกันเขียนจิตรกรรมโครงการพระราชด�ำริ ขนาดใหญ่ ภาพในฉากบังเพลงิ ๔ ชอ่ ง ชอ่ งละ ๒ สว่ นนั้น เขยี นเปน็ ภาพ ประดับในท่ีน่งั ทรงธรรมทั้ง ๓ ดา้ น พระผู้เป็นเจ้าของพราหมณ์จาก พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๖ เรอ่ื ง พระนารายณส์ บิ ปาง ทค่ี ดั เลอื กมา ๘ ปางยกเวน้ ปางท่ี ๕ พระโกศจันทนแ์ ละช่อไม้จันทน์ และปางที่ ๙ สำ� หรบั ปางที่ ๙ นัน้ ไดถ้ ือเอาพระบรมโกศทอง พระโกศจนั ทนแ์ ละชอ่ ไมจ้ นั ทน์ ออกแบบโดยนาย 31
สมชาย ศุภลักษณ์อ�ำไพพร นายชา่ งศลิ ปกรรมอาวโุ ส สำ� นกั สำ� หรบั พระโกศจนั ทนท์ ใี่ ชใ้ นพระราชพธิ ถี วายพระ ชา่ งสิบหมู่ กรมศิลปากร เพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล พระโกศจนั ทน์ เปน็ โกศแปดเหลยี่ ม มยี อดประกอบ อดลุ ยเดชนนั้ มรี ปู ลักษณะใกล้เคียงกบั พระโกศจันทนท์ ใ่ี ชใ้ น ด้วย โครงลวดตาข่ายประดับลายฉลุเป็นลายไม้ซ้อนท้ังองค์ พระราชพิธถี วายเพลิงพระศพของสมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบ องคพ์ ระโกศจันทน์สามารถถอดแยกไดเ้ ปน็ ๓ สว่ น ส�ำหรบั รมราชชนนี และสมเดจ็ พระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟา้ กลั ยาณวิ ฒั นา ประกอบกันเปน็ องค์พระโกศ พระโกศจนั ทน์เปน็ เครื่องเฉลมิ กรมหลวงนราธวิ าส ราชนครนิ ทร์ ประกอบดว้ ย ๒ สว่ น กลา่ ว พระเกียรติแก่พระบรมศพและพระศพ จะถูกใช้เม่ืออัญเชิญ คือ ส่วนบนเป็นพระโกศทรงแปดเหลี่ยมมีฝาเป็นทรงมงกุฎ พระโกศพระบรมศพหรอื พระศพประดษิ ฐานยงั พระจติ กาธาน ส่วนล่างเป็นพระหีบรูปทรงสี่เหล่ียมผืนผ้าปากผาย มีความ ภายในพระเมรุมาศ หลังจากเปล้ืองพระลองชน้ั นอกออกแล้ว แตกตา่ งอยทู่ ลี่ วดลายทใ่ี ชใ้ นการโกรกลายซอ้ นไมป้ ระดบั ทต่ี วั เจา้ พนกั งาน จะนำ� พระโกศจนั ทนเ์ ขา้ ประกอบพระโกศลองใน พระโกศจนั ทนท์ ่ีสร้างขึน้ ด้วยไม้จนั ทนท์ ้ังหมด ซง่ึ ประดษิ ฐานบนตะแกรงเหลก็ ชว่ งรดั เอวของพระจติ กาธาน เพอื่ ถวายพระเพลงิ ช่อไมจ้ นั ทน์ ช่อไม้จันทน์นั้น ได้มีการประดิษฐ์ขึ้นเป็นพิเศษ พระโกศจันทน์ เร่ิมจากการใช้ลวดโครงเหล็กตัด ส�ำหรับในส่วนของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ ตามรปู รา่ งและขนาดตามแบบมาเช่ือมกัน แล้วจึงนำ� ตะแกรง บดินทรเทพยวรางกูร และพระบรมวงศานวุ งศ์ เพ่ือใชใ้ นพระ ลวดตาข่ายมาบุทบั โครงภายนอกเพ่อื ไวต้ ิดลวดลายไมจ้ นั ทน์ ราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพส่งเสด็จพระบาทสมเด็จ ซึ่งจะน�ำไม้จนั ทน์ท่เี ปน็ ท่อน ซอยเปน็ แผ่นบางๆ ตามขนาดที่ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ออกแบบโดย นายสมชาย ตอ้ งการ เพ่ือใชฉ้ ลุลวดลายตามขนาดท่ีก�ำหนด เช่น แปรรปู ศุภลักษณ์อ�ำไพพร นายช่างศิลปกรรม อาวุโส ส�ำนักช่าง เป็นแผ่นรูปโค้งตามลักษณะลวดบัวต่างๆ ตามแบบ รวมทั้ง สิบหมู่ กรมศลิ ปากร สำ� หรับชอ่ ดอกไมจ้ นั ทนท์ ั้งหมดนั้น จดั ทำ� การกลึงไม้เป็นยอดพระโกศจนั ทน์ สรา้ งโดยสถาบันสิริกติ ์ิ 32
๑. พระโกศพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ประดิษฐาน ณ พระทน่ี ่ังจกั รี มหาปราสาท ออกแบบโดย นายอำ� พล สมั มาวฒุ ธิ นกั วชิ าการ ช่างศลิ ปเ์ ชยี่ วชาญ ๒. พระโกศพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระ ปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ในสว่ นของสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกรู รชั กาลท่ี ๑๐ ออก แบบโดย นายสมชาย ศุภลักษณ์อำ� ไพพร นายช่างศิลปกรรม อาวโุ ส (จัดสร้างโดยสถาบันสิริกติ )์ิ ๓. พระโกศพระบรมอฐั ขิ องพระบาทสมเดจ็ พระปร มินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในส่วนของสมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี สมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ เจา้ ฟ้า ฉัตรประดับพระเมรมุ าศ จุฬาภรณว์ ลัยลกั ษณ์ อคั รราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอบุ ล ฉตั รทปี่ ระดบั พระเมรมุ าศประกอบดว้ ย ฉตั รโลหะ รตั นราชกญั ญา สริ วิ ฒั นาพรรณวดี ออกแบบโดย นายณฐั พงค์ กลีบบวั ฉตั รฉลุลายโลหะ (โปร่ง) ฉัตรประดบั ลายผ้าทองย่น ปิยมาภรณ์ นกั วิชาการ ชา่ งศลิ ป์ชำ� นาญการพเิ ศษ ๔. พระโกศพระบรมอฐั ขิ องพระบาทสมเดจ็ พระปร พระโกศพระบรมอฐั ิ มินทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช ในส่วนของ สมเด็จพระนางเจ้าสิ พระโกศทรงพระบรมอฐั ิ เปน็ พระโกศสำ� หรบั บรรจุ รกิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ ออกแบบโดย นายสมชาย ศภุ ลกั ษณ์ พระบรมอัฐิของพระเจ้าแผ่นดิน สมเด็จพระราชินี หรือพระ อำ� ไพพร นายช่างศลิ ปกรรม อาวโุ ส ประยรู วงศ์ ทม่ี มี าแตอ่ ดตี ซงึ่ มกั สรา้ งดว้ ยโลหะมคี า่ เชน่ ทอง เงิน หรือใช้โลหะอืน่ แลว้ กะไหลด่ ว้ ยทอง ประดับดว้ ย อัญมณี เครือ่ งประกอบราชยาน หรือรตั นชาติ ใหส้ วยงามสมพระเกียรติ เครอื่ งประกอบราชยาน ซง่ึ ประกอบดว้ ย ผา้ ระบาย พระโกศน้ี มลี กั ษณะรปู ทรงกระบอก ประกอบดว้ ย ฉัตรของพระมหาพิชัยราชรถ ผา้ ทีใ่ ชป้ ระกอบบนชน้ั ฉตั รของ สว่ นฐาน ตวั พระโกศทเี่ ปน็ ทรงกระบอกนน้ั ปากผาย และมฝี า พระมหาพชิ ยั ราชรถ ซง่ึ เปน็ ฉตั ร ๕ ชน้ั เดมิ นนั้ เปน็ ผา้ ตาดทอง ส�ำหรับปิดส่วนบน รูปทรงโดยรวมอาจท�ำเป็นรูปทรงเหลี่ยม ระบายสองช้ัน มีผ้าฝาหลังคาปิดบนในแต่ละช้ัน ในการพระ (มกั เปน็ แปดเหลย่ี ม) หรอื ทรงกลมแลว้ แตค่ วามเหมาะสม ตาม ราชพธิ คี รง้ั นไี้ ดส้ รา้ งผา้ ระบายฉตั รใหเ้ ปน็ ผา้ ตาดทองลายทอง สถานภาพแต่ละพระองค์ ถ้าเป็นชั้นระดับสูงมักมียอดทรง แผล่ วด จำ� นวน ๔ คัน - พระวสิ ูตรพระมหาพชิ ัยราชรถ- พระ มงกฎุ ยอดประดับดว้ ยพุ่ม หรอื ฉตั รตามฐานันดรศกั ด์ิ โดยมี วิสตู รนน้ั กเ็ ช่นเดยี วกันกับผ้าระบายฉัตร ในพระราชพธิ ีครง้ั นี้ การประดบั ตกแตง่ ใหง้ ดงามสมพระเกยี รตดิ ว้ ยดอกไมเ้ อ (สว่ น ได้จดั สร้างผา้ พระวสิ ตู รขน้ึ ใหมใ่ ห้เปน็ ผา้ ตาดทองลายทองแผ่ ฐาน) ดอกไมเ้ พชร หรอื ดอกไมไ้ หว (สว่ นฝา) และเฟอ่ื งพรู่ ะยา้ ลวด จำ� นวนทง้ั ๔ ผืน ที่ปากฝาพระโกศ ส�ำหรับภายในพระโกศนั้นบรรจุพระโกศ ศิลา (ท�ำด้วยศิลาสีขาว) อยู่ช้ันในรองจากพระโกศทองด้าน ธงสามชายงอนราชรถ นอก เปน็ โกศศลิ าทรงกระบอกมฝี าเชน่ เดยี วกนั เพอ่ื ใชส้ ำ� หรบั ด้วยธงงอนของราชรถทกุ องคน์ ้ันสร้างไว้เป็นเวลา บรรจพุ ระบรมอัฐิ นาน ทำ� ใหส้ ผี า้ ซดี ออ่ นลง แผน่ กระดาษทองเกา่ และ เรมิ่ กรอบ การสรา้ งพระโกศพระบรมอฐั คิ รง้ั นไ้ี ดแ้ บง่ ออกเปน็ ส่วนทองท่ีปิดกระดาษก็หม่นหมองดูไม่สดใสเช่นเดิม จึงมี ๔ ส่วน (๔ รูปแบบ) ดงั นี้ การจดั ทำ� ขน้ึ ใหม่ เพอ่ื นำ� ไปใชใ้ นขบวนพระราชอสิ รยิ ยศใหส้ ม 33
พระเกียรตแิ ละเปน็ การอนรุ กั ษศ์ ลิ ปกรรมใหค้ งอยูส่ ืบไป โดย จัดทำ� ขึ้นท้ังสิ้น ๕ ชดุ ชุดละ ๓ ธง รวม ๑๕ ธง ประกอบดว้ ย ธงงอนของพระมหาพชิ ยั ราชรถ ธงงอนของเวชยนั ตราชรถ ธง งอนของราชรถนอ้ ยหมายเลข ๙๗๘๒ ธงงอนของราชรถน้อย หมายเลข ๙๗๘๓ ธงงอนของราชรถน้อยหมายเลข ๙๗๘๔ หมายกำ� หนดการ พระราชพิธถี วายพระเพลิงพระบรมศพ คณะรฐั มนตรไี ด้ร่างหมายก�ำหนดการพระราชพธิ ี ถวายเพลิงพระบรมศพ และก�ำหนดจ�ำนวนร้ิวขบวนพระ อิสริยยศไว้ดังน้ี อฐั โิ ดยพระทนี่ ง่ั ราเชนทรยานและพระบรมราชสรรี างคารโดย พระท่นี ่งั ราเชนทรยานนอ้ ยสำ� หรับพระมหากษัตริย์ จากพระ วนั พุธท่ี ๒๕ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๖๐ เมรุมาศทอ้ งสนามหลวง สพู่ ระบรมมหาราชวงั เวลา ๑๗.๓๐ น. พระราชพิธีพระราชกุศลออกพระเมรุมาศ ณ วนั เสารท์ ่ี ๒๘ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๖๐ พระท่นี ่ังดสุ ิตมหาปราสาท เวลา ๑๗.๓๐ น. พระราชพิธีบ�ำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ ณ วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๖๐ พระทีน่ ั่งดุสติ มหาปราสาท เวลา ๐๗.๐๐ น. พระราชพิธีเชิญพระบรมศพออกพระเมรุ ท้อง วนั อาทิตยท์ ี่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐ สนามหลวง โดย ร้วิ กระบวนที่ ๑ เชญิ พระบรมโกศจากพระท่ี เวลา ๑๐.๓๐ น. นั่งดุสิตมหาปราสาท ไปยังพระมหาพิชัยราชรถท่ีหน้าวัด พระราชพธิ บี ำ� เพญ็ พระราชกศุ ลและเชญิ พระบรม พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม รวิ้ กระบวนที่ ๒ เชญิ พระบรมโกศ อัฐิข้ึนประดิษฐาน ณ พระวิมาน พระท่ีนั่งจักรีมหาปราสาท โดยพระมหาพิชัยราชรถ จากหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลา โดยร้ิวกระบวนท่ี ๕ เชิญพระโกศพระบรมอัฐิโดยพระที่น่ัง รามไปยังพระเมรุมาศท้องสนามหลวง และร้ิวกระบวนท่ี ๓ ราเชนทรยานจากพระท่นี ัง่ ดสุ ิตมหาปราสาท ข้นึ ประดษิ ฐาน เชิญพระบรมโกศเวียนอุตรวัฏ (เวียนซ้าย) รอบพระเมรุมาศ ท่ีพระวิมาน บนพระท่ีน่ังจักรีมหาปราสาทเวลา ๑๗.๓๐ น. แลว้ เชิญพระบรมโกศประดิษฐานบนพระเมรุมาศ พระราชพิธีเชิญพระบรมราชสรีรางคารไปบรรจุ ณ วัด เวลา ๑๗.๓๐ น. พระราชพิธีถวายพระเพลิง ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม และ วดั บวรนเิ วศวหิ าร (วดั ประจำ� พระบรมศพ รัชกาลที่ ๙ โดยนติ นิ ยั ) โดยรว้ิ กระบวนท่ี ๖ เวลา ๒๒.๐๐ น. พระราชพิธีถวายพระเพลิง หมายเหตุ : ได้มีการนำ� ราชรถปืนใหญ่มาใช้ในขบวนพระราช พระบรมศพจริง อสิ ริยยศในครั้งน้ีดว้ ย สิ่งที่ส�ำคัญท่ีปรากฏในริ้วขบวนพระอิสริยยศแห่ วันศุกรท์ ี่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐ พระบรมศพและใช้ประดับบนช้ันฐานพระเมรุ ณ ท้องสนาม เวลา ๐๘.๐๐ น. หลวง นั้นมีฉัตร ซ่ึงเป็นเคร่ืองสูงท่ีเป็นสัญลักษณ์แห่งความ พระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐิ เชิญพระบรมอัฐิสู่ เป็นผู้มีอ�ำนาจ และเป็นเครื่องหมายมงคลตามคติความเช่ือ พระบรมมหาราชวงั โดยรว้ิ กระบวนท่ี ๔ เชญิ พระโกศพระบรม ของอินเดยี โบราณว่าดว้ ยมงคล ๑๐๘ 34
ฉตั รนมี้ รี ปู รา่ งคลา้ ยรม่ ทซี่ อ้ นกนั ขน้ึ ไปเปน็ ชน้ั ๆ โดย เหนือเกรินขณะเชิญพระบรมโกศพระบรมศพขึ้นสู่พระมหา ช้นั บนนั้นมขี นาดเลก็ กว่าชนั้ ลา่ ง ดว้ ยเหตนุ ้คี วามเป็นฉตั ร จงึ พิชัยราชรถ และเชิญขึ้นประดษิ ฐานบนพระเมรุมาศ ใช้แขวน เปน็ เครอื่ งสงู ทใี่ ชท้ งั้ สำ� หรบั แขวน ปกั ตงั้ หรอื เชญิ เขา้ กระบวน เหนอื พระจติ กาธานเมอ่ื สมุ เพลงิ และเกบ็ พระบรมอฐั ิ นอกจาก แห่เป็นพระเกียรติยศจากคติความเช่ือว่าพระมหากษัตริย์ นย้ี ังมี ฉัตรพิเศษสำ� หรบั การพระบรมศพ อีก คือ ฉัตรท่ีใช้ ทรงเปน็ พระจักรพรรดิ หมายถึงผูช้ นะศกึ ท้ัง ๘ ทศิ จึงน�ำเอา สำ� หรบั พระบรมศพ เปน็ ฉตั รปกั ประดบั ยอดพระโกศพระบรม รม่ ของเมอื งขน้ึ ทงั้ ๘ ทศิ มารวมซอ้ นเขา้ ดว้ ยกนั เปน็ ชน้ั ๆ และ อฐั ิ เนอื่ งจากยอดพระโกศปกตเิ ปน็ ยอดพมุ่ ขา้ วบณิ ฑ์ เมอ่ื เชญิ เพิม่ ทศิ ของตนเองอกี ๑ ทศิ รวมเปน็ ๙ ทศิ อีกท้ังยังถอื ว่า สี ออกจากทป่ี ระดษิ ฐานจงึ ถอดพมุ่ ขา้ วบณิ ฑอ์ อก ถวายฉตั รแทน ขาวเป็นมงคล จึงเรยี กว่า ร่มสขี าวหรือเศวตฉตั ร กบั ฉตั รสำ� หรับปักพระเบญจา ที่ประดิษฐานพระบรมศพดว้ ย ฉตั รสำ� หรบั พระมหากษตั รยิ ผ์ เู้ ปน็ จอมทพั หรอื พระ ซึ่งฉัตรปักประดับยอดพระโกศพระบรมอัฐิเป็นฉัตรทองค�ำ จักรพรรดิจึงมี ๙ ช้ัน จัดเป็นเคร่ืองสูงท่ีมีความส�ำคัญสูงสุด จ�ำลองรูปทรงจากฉัตรท่ีใช้ปักหรือแขวนแสดงพระอิสริยยศ เชน่ เดยี วกบั พระมหามงกฎุ เศวตฉตั ร ๙ ชนั้ น้ี เรยี กวา่ นพปฏล ลกั ษณะของฉตั รปกั ประดบั ยอดพระโกศ สำ� หรบั พระบรมอฐั ิ มหาเศวตฉัตร พระมหากษัตริย์น้ันมี ลักษณะเป็นฉัตรทองค�ำลงยา ๙ ชั้น การใช้ฉัตรเป็นเคร่ืองประกอบพระราชอิสริยยศ องค์ฉัตรเป็นลายสลักโปร่ง ภายในบุผ้าขาว ฉัตรปักพระ ส�ำหรับพระมหากษัตริย์น้ันมีมาต้ังแต่สมัยอยุธยา ในสมัย เบญจา พระเบญจานน้ั เปน็ พระแทน่ สำ� หรบั ตงั้ เครอ่ื งประกอบ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทอง มีระบุในกฎ พระราชอิสริยยศพระโกศพระบรมอัฐิ ซึ่งที่มุมพระเบญจา มณเฑียรบาล ฉบับศกั ราช ๗๒๐ หรอื พ.ศ. ๑๙๐๑ ในคร้ังนัน้ จดั ต้งั ฉตั รทองทรงกระบอกลายสลักโปรง่ ๕ ชนั้ เรียกว่า ฉัตร ว่า อภริ ม ก็คือฉตั รนัน่ เอง ซงึ่ ก�ำหนดว่า อภิรรุ ม ส�ำหรบั เจ้า ปกั พระเบญจา หนงึ่ สำ� รบั มี ๘ องค์ ตงั้ แตง่ มมุ พระเบญจา ทง้ั นายที่ด�ำรงพระยศหรือต�ำแหน่ง หน่อสมเด็จพระพุทธเจ้าได้ ๔ มมุ ในพระราชพิธพี ระบรมศพฯ ทกุ คนจะได้เหน็ ฉตั ร เป็น อภิรม ๓ ชน้ั พระอปุ ราชได้อภิรม ๒ ช้นั ในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ เคร่ืองสูงประกอบขบวนพระราชอิสริยศ ตามราชประเพณี นนั้ ฉตั รมี ๔ ชนดิ คอื ฉตั รขาวหรอื เศวตฉตั ร ฉตั รขาวลายทอง โบราณ ฉัตรตาด และฉัตรโหมด ซ่ึงมีการใช้จ�ำนวนช้ันของฉัตรให้ ส�ำหรับการแสดงมหรสพสมโภชในคร้ังน้ี ก�ำหนด เป็นการแสดงพระราชอิสริยยศด้วย วิธีการใช้มีทั้งการแขวน การแสดงมีทั้งหมด ๓ เวที บริเวณสนามหลวงด้านทิศเหนือ และการปกั ตง้ั เช่นเดียวกัน ประกอบดว้ ย เศวตฉัตร ๙ ชนั้ นีเ้ ปน็ ฉัตรส�ำหรับพระมหากษตั ริย์ เวที ๑ การแสดงมโหรสพจัดแสดงหนังใหญ่และ ท่ีทรงรับพระบรมราชาภิเษกตามโบราณขัตติยราชประเพณี โขนเร่ืองรามเกียรต์ิต้ังแต่ตอนพระนารายณ์อวตาร ถึงศึกรบ แล้ว เรียกว่า พระนพปฎลมหาเศวตฉตั ร เรียกยอ่ ว่า พระมหา ชนะทศกณั ฑ์ เศวตฉัตร ลกั ษณะเปน็ ฉัตรผ้าขาว ๙ ช้นั แต่ละชัน้ มรี ะบาย เวที ๒ การแสดงละครหุ่นหลวงหุ่นกระบอกเรือ่ ง ขลบิ ทองแผล่ วดซอ้ น ๓ ชนั้ ฉตั รชนั้ ลา่ งสดุ หอ้ ยอบุ ะจำ� ปาทอง พระมหาชนก อิเหนา มโนราห์ เศวตฉัตรแบบน้ีใช้แขวนหรือปักในสถานท่ีและโอกาสต่างๆ เวที ๓ การแสดงดนตรีสากลบรรเลงและขับร้อง คือ ใช้ปักเหนือราชบัลลังก์ในท้องพระโรง พระมหาปราสาท เพลงพระราชนิพนธเ์ พลงเทดิ พระเกียรติและบทเพลงถวาย ราชมณเฑยี รสถาน ใชป้ กั เหนอื พระทนี่ งั่ ภทั รบฐิ เมอื่ ครง้ั รชั กาล อาลัย ที่ ๙ ทรงรับพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ใช้แขวนเหนือ นอกจากการแสดงทงั้ สามเวทแี ลว้ ยงั มกี ารแสดงท่ี พระแท่นราชบรรจถรณ์ภายในพระมหามณเฑียร ใช้แขวน สำ� คญั ยง่ิ ใหญ่ คอื การแสดงหนา้ พระทนี่ ง่ั ทรงธรรม หรอื พระ เหนอื พระบรมโกศทรงพระบรมศพ ณ ทป่ี ระดษิ ฐานพระบรม เมรุมาศท่ีเรียกกันว่า โขนหน้าไฟ จัดการแสดงโขนเรื่อง ศพ ใช้ปกั ยอดพระเมรมุ าศ ใช้ปกั บนพระยานมาศสามล�ำคาน รามเกยี รต์ิ ชดุ รามเกยี รตข์ิ า้ มสมทุ ร ยกรบ รำ� ลกึ ในพระมหา ในการเชญิ พระบรมศพโดยขบวนพระบรมราชอสิ รยิ ยศ ใชปั กั กรุณาท่ีคุณอีกดว้ ย 35
ของที่ระลกึ และเคร่อื งสังเคด็ ปรมาภิไธยย่อ “ภปร” และฉัตร๕ ชั้น๒ ข้าง พร้อมวันท่ี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมฯ สวรรคต ให้สำ� นักราชเลขาธิการ และสำ� นกั พระราชวัง ด�ำเนินการจดั ๒.พดั รองสำ� หรบั พระจนี นกิ ายและอนมั นกิ าย ใน ทำ� ของทร่ี ะลกึ งานพระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรม พระราชพิธีทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลการออกพระเมรุมาศ มี หาภูมิพลอดุลยเดช ถวายแกพ่ ระสงฆ์ บรรพชติ จนี นกิ ายและ ลักษณะคล้ายพัดเหล่ียมมุมมน ปักลวดลาย ตราพระปรมา อนัมนิกาย รวมท้งั ถวายตามพระอารามหลวง ในการบำ� เพญ็ ภิไธยย่อ “ภปร.” ภายใต้อุณาโลมและพระมหาพิชัยมงกุฎ พระราชกุศลออกพระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมศพ นมพดั ทำ� เปน็ รปู ครฑุ หลอ่ ประดบั ปกั ปพี ระสตู แิ ละปสี วรรคต พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ในพระบรมโกศนัน้ โดยเฉพาะ ซา้ ย-ขวาของนมพดั ของที่ระลึกและเคร่ืองสังเค็ดได้มีการออกแบบสร้างข้ึนโดย ๓.พัดรองส�ำหรับพระสงฆ์ ในพระราชพิธีทรง ประณีต ลวดลาย สีสันที่ใช้และปักประดับต้องมีความหมาย บำ� เพญ็ พระราชกศุ ลฉลองพระบรมอัฐิ เกย่ี วพนั ในพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ๔.ตู้สังเค็ด เป็นตู้กระจกส�ำหรับใส่หนังสือ มีขา กรมศิลปากร โดยช่างกลุ่มประณีตศิลป์ ช่างกลุ่มจิตรกรรม รองรับน�้ำหนักสี่ขา ขนาดสูง๑๗๐เซนติเมตร กว้าง๘๖ และชา่ งกลมุ่ ศลิ ปประยกุ ตแ์ ละเครอ่ื งเคลอื บดนิ เผา สำ� นกั ชา่ ง เซนติเมตร และลึก๔๔เซนติเมตร หลังคาตู้ประดับกระจัง สิบหมู่ ได้ด�ำเนินการออกแบบของที่ระลึกและเครื่องสังเค็ด ลวดลายตราพระปรมาภิไธยยอ่ “ภปร.” ประกอบด้วย พัดรอง-ผา้ กราบ-ย่าม, ตู้สงั เค็ด, หีบปาฏิโมกข์, ๕.ตู้พระปาฏิโมกข์ ออกแบบโดยนายธีรยุทธ คง ธรรมาสนป์ าฏิโมกข์ ซ่ึงนายอนนั ต์ ชโู ชติ อธิบดกี รมศิลปากร เพชร์ กลุ่มงานศิลปประยุกต์และเคร่ืองเคลือบดินเผา ซึ่งมี ไดน้ ำ� ขน้ึ กราบบงั คบั ทลู ฯ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยาม ลวดลายคลา้ ยกบั ตพู้ ระปาฏโิ มกขข์ องวดั บวรนเิ วศวหิ าร และ บรมราชกมุ ารี ทอดพระเนตรและทรงมีพระราชวินิจฉยั เลอื ก ๖.ธรรมมาสน์ปาฏิโมกข์ ลายเหลีย่ มเพชร แบบโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ำ� นกั พระราชวงั รบั ไปดำ� เนนิ การจดั สรา้ ง เครอื่ งสงั เคด็ เปน็ คำ� นาม หมายถงึ ทานวตั ถมุ ตี พู้ ระ แล้ว ดังนี้ ธรรม โต๊ะหมู่ เป็นต้น ท่ีเจ้าภาพจัดถวายแก่สงฆ์หรือภิกษุผู้ ๑,พัดรองส�ำหรับพระสงฆ์ ในพระราชพิธีทรง เทศน์หรือชักบังสุกุลในเวลาปลงศพ ส�ำหรับในพระราชพิธี บ�ำเพ็ญพระราชกุศลการออกพระเมรุมาศ ประดับด้วยพระ พระบรมศพคร้ังนี้ กรมศิลปากร โดยส�ำนักช่างสิบหมู่ได้รับ หีบพระปาตโิ มกข์พรอ้ มตา่ ง ออกแบบโดยนายอัครพล คลอ่ งบญั ชี 36
ตู้สงั เคด็ หรอื ตใู้ สห่ นังสือประดบั ด้วยภาพพระราชนพิ นธ์ พระมหาชนก ออกแบบโดยนายสธุ ี สกลุ หนู ภารกิจในการออกแบบเคร่ืองสังเค็ด ส่วนการจัดสร้างนั้น หนงั สือทีร่ ะลึกงานพระบรมศพ สำ� นกั พระราชวงั เปน็ ผดู้ ำ� เนนิ การ โดยใหท้ างกรมศลิ ปากรชว่ ย หนงั สอื พระราชทาน ควบคุมดแู ลให้เปน็ ไปตามรปู แบบ มีรายการสร้าง ดงั น้ี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทร เทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส�ำนักราช ๑. พดั รองสำ� หรบั พระราชพธิ บี ำ� เพญ็ พระราชกศุ ล เลขาธกิ าร จดั พมิ พห์ นงั สอื พระราชทาน สำ� หรบั พระราชทาน การออกพระเมรุ แกพ่ ระบรมวงศานวุ งศ์ พระราชวงศ์ องคมนตรี ขา้ ราชการชน้ั ๒. พัดรองส�ำหรับพระราชพิธีทรงบ�ำเพ็ญกุศล ผู้ใหญ่ และผู้ท่ีเข้าร่วมในการพระราชพิธีเป็นที่ระลึกอนุสรณ์ พระบรมอัฐิ วทิ ยาทาน เนอ่ื งในโอกาสพระราชพธิ ที รงบำ� เพญ็ พระราชกศุ ล ๓. พัดรองส�ำหรับถวายพระจีนนิกาย และอนัม ครบ ๗ วัน ๑๕ วนั ๕๐ วนั และ ๑๐๐ วนั ขณะเดียวกนั ก็ยัง นิกาย มหี นงั สอื ทจ่ี ดั ท�ำโดย รฐั บาลและหนว่ ยงานรฐั วิสาหกิจต่าง ๆ ๔. ตู้สังเค็ดหรือตู้ใส่หนังสือประดับด้วยภาพพระ รวมถงึ หนว่ ยงาน องคก์ รในพระบรมราชปู ถมั ภท์ ไ่ี ดร้ ว่ มกนั จดั ราชนพิ นธ์ พระมหาชนก ทำ� หนงั สอื เพอื่ เทดิ พระเกยี รตเิ ปน็ จำ� นวนมาก โดยเฉพาะคณะ ๕. ธรรมาสนป์ าตโิ มกข์ ๖. หบี พระปาตโิ มกขพ์ ร้อมตา่ ง กรรมการฝา่ ยจัดทำ� หนังสอื ท่รี ะลึกและจดหมายเหตงุ านพระ ราชพธิ ถี วายพระเพลงิ พระบรมศพ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม เครื่องสังเค็ด ทั้งหมด ได้พระราชทานไปยังพระ พ.ศ.๒๕๖๐ ให้จัดท�ำหนังสอื จดหมายเหตุและหนังสือท่รี ะลึก สงฆ์ บรรพชิตจีนนิกายและอนัมนิกาย รวมท้ังถวายตามพ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอยา่ งมากมาย ระอารามหลวง ตามวาระงานนน้ั ๆ 37
ตามรอยจอมทพั ไทย...ในหลวงแห่งรชั กาลท่ี ๙ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรง จะทรงเขา้ รบั เปน็ พระราชภาระ และทำ� กจิ การตา่ งๆ บรรลผุ ล เปน็ พระมหากษตั ริย์ผทู้ รงประพฤตปิ ฏิบัติมนั่ อยใู่ นทศพธิ ส�ำเร็จเสมอ พระบารมีของพระองค์ก่อให้เกิดความสามัคคี ราชธรรมทกุ ประการ ทรงบำ� เพญ็ พระราชกรณยี กจิ นอ้ ยใหญ่ กลมเกลยี วและความสงบสขุ ในหมปู ระชาชน ทรงเปน็ มงิ่ ขวญั ตลอดมาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง นบั ตง้ั แตเ่ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ และหลักชัยของกองทัพ เป็นศูนย์รวมจิตใจของทหารหาญ สืบต่อจากสมเด็จพระเชษฐาธิราช คือพระบาทสมเด็จ ทั้งหลายที่ก่อให้เกิดความสามัคคี และความเป็นปึกแผ่น พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล พระราชกรณยี กจิ ทง้ั ปวงทท่ี รง ม่นั คงของบ้านเมือง ดงั นนั้ ใน วนั ที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๐๙ บ�ำเพ็ญมานั้นล้วนแต่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาว สภากลาโหมจึงได้มีมติให้จัดสร้างพระคทาข้ึนเพ่ือทูลเกล้าฯ ไทย และความเจรญิ รงุ่ เรอื งเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติ ถวาย โดยเก็บเงินเพื่อสร้างพระคทาน้ีจากนายทหารช้ันนาย เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๙ เสดจ็ พลประจ�ำการทุกนาย เพ่ือเป็นเคร่ืองหมายของความจงรัก เถลิงถวัลยราชสมบัตินั้น พระองค์ทรงด�ำรงต�ำแหน่งประมุข ภักดีของข้าราชการทหารทุกนายเนื่องในวโรกาสท่ีพระองค์ และจอมทัพไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซ่ึง ทรงมีพระชนมายุเข้าปีท่ี ๔๐ โดยนายกรัฐมนตรีว่าการ คณะนายทหารช้นั ผ้ใู หญข่ องกระทรวงกลาโหม ไดท้ ลู เกลา้ ฯ กระทรวงกลาโหมพร้อมด้วยนายทหารช้ันผู้ใหญ่ ได้ทูลเกล้า ถวายพระคทาจอมพล (พระคทาในพระบาทสมเด็จ ถวายพระคทาจอมพลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) พร้อมเคร่ืองยศจอมพลเน่ืองใน พระต�ำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต และเพ่ือให้ วโรกาสที่พระองค์เสด็จพระราชด�ำเนินนิวัติสู่ประเทศไทย แปลกแตกต่างไปจากพระคทาจอมพลองค์ก่อนๆ จึงได้ขอ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๓ ณ พระที่น่ังจักรีมหาปราสาท พระบรม พระบรมราชานญุ าตขนานนามพระคทาองคใ์ หมเ่ ปน็ พเิ ศษวา่ มหาราชวงั “พระคทาจอมทพั ภมู พิ ล” ตอ่ มาขา้ ราชการกระทรวงกลาโหมตา่ งพจิ ารณาเหน็ วา่ พระองค์ทรงบ�ำเพ็ญพระราชกรณียกจิ เพือ่ ประเทศชาตทิ ้งั ในขณะน้ัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ภายในและภายนอกประเทศอย่างมากมายมหาศาล กิจการ อดลุ ยเดช ในหลวงรชั กาลท่ี ๙ ทรงมพี ระราชดำ� รสั ตอบในการ ใดทเี่ ปน็ ประโยชนตอ่ ชาติ และพสกนกิ รชาวไทยแลว้ พระองค์ เสดจ็ พระราชด�ำเนินออกทรงรับพระคทาจอมทพั ภมู ิพลว่า 38
“ขา้ พเจา้ ขอขอบใจรฐั มนตรวี า่ รกระทรวงกลาโหม ทหารตามแบบตะวันตกมาใช้ในสยาม ท�ำให้มีระเบียบแผน และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทุกคนท่ีน�ำคทาจอมทัพมอบให้ เดียวกัน โดยบัญญัตคิ �ำวา่ “จอมพล” เน่อื งจากในขณะน้ันยัง ข้าพเจ้าในครั้งน้ี ข้าพเจ้ายินดีรับไว้ด้วยความเต็มใจ และ ไมม่ คี ำ� วา่ “จอมทพั ไทย” โดยในระยะแรกยงั ไมม่ เี ครอื่ งหมาย จะถือว่าคทาจอมทัพเสมือนเคร่ืองหมายแห่งความเป็นอัน แสดงถงึ ความเป็น “ทีจ่ อมพล” ของพระมหากษตั รยิ ์ จนต่อ หนึง่ อันเดียวกันของกองทพั ท้ังสาม มา นายพลโท พระเจ้าลกู ยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรสี รุ เดช อสิ รภาพ ความมน่ั คง ตลอดความเจรญิ รงุ่ เรอื งของ (ยศในขณะนน้ั ) ในนามของขา้ ราชการทหารไดป้ ระดษิ ฐ์ “คทา ประเทศเรา ขึ้นอยูก่ ับกจิ การทหารเป็นส�ำคญั ตลอดมาทุก องค์แรก” ข้ึนเพ่ือเป็นเครื่องประดับเกียรติยศทางการทหาร ยคุ ทุกสมยั เพราะเมืองไทยของเราเปน็ เมอื งทหาร คนไทย และได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า ทุกคนมีเลือดทหาร เป็นนักสู้ผู้รักและหวงแหนความเป็น อยู่หัว และได้เป็นคทาประจ�ำรัชกาลที่ทรงใช้ตลอดของ ไทยยง่ิ ชพี ดว้ ยชวี ติ ขา้ พเจา้ จงึ มคี วามพงึ พอใจอยา่ งยง่ิ ทไ่ี ด้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาท เหน็ ความกลมเกลยี วเปน็ ปกึ แผน่ ของทหารทงั้ สามเหลา่ ใน สมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่หัว วนั น ้ี ทหารมหี นา้ ทปี่ กปอ้ งประเทศทนี่ ้ี นอกจากการรบแลว้ คทาองค์ ๒ นั้นข้าราชการกรมยุทนาธิการ น�ำโดย ยงั มดี า้ นอนื่ ซง่ึ สำ� คญั เทา่ เทยี มกนั อยอู่ กี คอื การสรา้ งความ นายพลเอกพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช สัมพันธ์อันดีกับประชาชน ทหารต้องท�ำตัวเป็นมิตร ต้อง ผู้บัญชาการกรมยุทนาธิการ ได้จัดสร้างข้ึนทูลเกล้าฯ ถวาย สงเคราะห์อนุเคราะห์ประชาชนด้วยการคุ้มครองป้องกัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั โดยพระองค์ไดท้ รง และช่วยเหลือในความเป็นอยู่ ตลอดถึงการแนะน�ำสนับ ใช้พระคทาองค์นี้ในช่วงต้นของรัชกาลเท่านั้น โดยได้ทรง สนนุ ในการครองชพี ดว้ ย ถา้ ทหารปฏบิ ตั หิ นา้ ทไี่ ดอ้ ยา่ งครบ พระราชทานแบบพระคทาองค์ท่ี ๓ มาใหม่ และทรงใช้มา ถว้ น กจ็ ะเปน็ ที่อนุ่ ใจ และเปน็ ทเี่ ชื่อถือไว้ใจของประชาชน ตลอดรชั กาล นอกจากน้ี พระคทาองคท์ ่ี ๓ นนั้ พระบาทสมเดจ็ ได้อย่างแท้จริง ขอท่านท้ังหลายจงร่วมมือร่วมใจกัน ท�ำ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จอานันทมหิดล และ หน้าท่ีของทหารใหส้ มบูรณท์ ุกด้าน มคี วามพรกั พรอ้ มเปน็ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรงใชพ้ ระคทา ใจเดียวกัน ประกอบกรณยี กิจเพื่อความมั่นคง ความเจริญ องค์นอ้ี กี ด้วย รงุ่ เรืองของประเทศ และความร่มเยน็ เปน็ ผาสุกของประชา จนกระทงั่ สภากลาโหมในรชั สมยั ของในหลวงรชั กาล ราษฎรไทยทกุ คน ขอคุณพระศรรี ัตนตรัย จงคุม้ ครองทา่ น ท่ี ๙ ไดถ้ วายพระคทาองค์ท่ี ๔ เมอ่ื วันท่ี ๒ ธนั วาคม ๒๕๐๙ ทงั้ หลาย ให้แคลว้ คลาดจากภัยทุกประการ บันดาลใหเ้ กดิ เมอื่ ทรงมพี ระชนมายเุ ขา้ ปที ี่ ๔๐ และขอพระบรมราชานญุ าต ก�ำลังกาย ก�ำลงั ใจ และก�ำลงั ปัญญา สามารถปฏิบัตหิ น้าที่ ขนานนามคทาพระองค์ท่ี ๔ น้ีว่า “พระคทาจอมทพั ภมู ิพล” ราชการให้เกดิ ประโยชนแ์ กป่ ระเทศชาติยิง่ ขึ้นสืบไป” พระคทาจอมพลองค์ที่ ๔ มีลักษณะทั่วไปเหมือน พระคทาจอมพลองคท์ ี่ ๓ กล่าวคอื องคพ์ ระคทาทำ� ดว้ ยทอง กวา่ จะมาเป็น “พระคทาจอมทัพภมู พิ ล” ค�ำหนกั ๔๓๐ กรมั แกนกลางป่องเรยี วไปทางยอดและปลาย “คทา” เป็นเคร่ืองหมายแสดงต�ำแหน่ง หรือเป็น ประกอบดว้ ยเครอ่ื งหมายมงคลแปดซง่ึ ถอื กนั วา่ เปน็ นมิ ติ หมาย เครื่องประดับเกียรตยิ ศ ทีใ่ ช้มาตัง้ แตส่ มัยโบราณ ดงั ปรากฏ แหง่ ความเป็นมงคลในศาสนาพราหมณ์ ด้านยอดคงมพี ระยา วิวัฒนาการของรูปแบบคทาอยู่ตามภาพสักและอนุสาวรีย์ ครฑุ พา่ หล์ งยา และลกู แกว้ รองฐานบวั หงายลงยาราชาวดี สว่ น ต่างๆ โดยในประเทศไทยมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เรียกว่า ด้านปลายมีลูกแก้วและยอดบัวกลุ่มสี่ช้ันลงยาราชาวดี เช่น “พระแสงขรรค์ชัยศรี” แสดงถึงพระราชอ�ำนาจสูงสุดของ พระคทาองค์ท่ี ๓ ส่วนที่ต่างออกไปคือ เหนือพระยาครุฑมี พระมหากษตั ริยใ์ นฐานะเทวราชา พระปรมาภไิ ธยยอ่ “ภปร” ฝง่ั เพชรอยูใ่ นกรอบ รปู ไข่ และมี ตอ่ มาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ รปู พระมหาพชิ ยั มงกฎุ ทองฝงั เพชรอยเู่ บอ้ื งบน ตอนปลายตอ่ อยหู่ วั ไดม้ กี ารพฒั นาประเทศในทกุ สาขา และไดน้ ำ� การเรยี น จากเคร่อื งหมายมงคลแปดมีเครื่อง หมายกระทรวงกลาโหม 39
ธงชยั เฉลมิ พล เครอ่ื งหมายแหง่ ความองอาจ กลา้ หาญของหม่ทู หารท้งั ปวง ธงชัยเฉลิมพล เป็นธงประจ�ำหน่วยทหารที่ได้รับ วนั ที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๗ ณ ลานพระทน่ี งั่ อนนั ตสมาคม พระราชทานจากพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๙ ธงชัยเฉลิมพลของทหารบก มีลักษณะอย่างเดียว ธงชัยเฉลิมพลถือเป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของทหาร เป็น กับธงชาติ แต่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ ๗๐ เกยี รตยิ ศของหนว่ ยทหารนนั้ ๆ เมอื่ เวลาเขา้ สสู่ งคราม ทหาร เซนติเมตร ตรงกลางของผืนธงมีอุณาโลมทหารบกและมีชื่อ ทง้ั ปวงตอ้ งพทิ กั ษร์ กั ษาธงชยั เฉลมิ พลของหนว่ ยตนไวด้ ว้ ย หนว่ ยทหารสแี ดงขลบิ รมิ สเี หลอื ง เปน็ แถวโคง้ โอบใตอ้ ณุ าโลม ชวี ติ ธงชัยเฉลิมพลจึงเป็นเครอ่ื งน�ำความองอาจ กลา้ หาญ ทหารบก ผืนธงมุมบนด้านที่ติดกับคันธงมีรูปพระมหามงกุฎ แห่งหมู่ทหารทั้งปวง ให้เข้าต่อสู้ข้าศึกศัตรูให้ได้ชัยชนะ และเลขหมายประจำ� รชั กาลของพระมหากษตั รยิ ท์ พ่ี ระราชทาน กลบั มา เปน็ ตวั เลขไทยสเี หลอื ง ภายใตพ้ ระมหามงกฎุ มพี ระปรมาภไิ ธย การปฏิบัติต่อธงชัยเฉลิมพลทุกข้ันตอน ต้องเป็นไป ยอ่ สแี ดงขลบิ รมิ สเี หลอื งรศั มสี ฟี า้ ขอบธงดา้ นทตี่ ดิ กบั คนั ธงมี ตามพธิ กี าร ระเบยี บแบบแผนทว่ี างไวอ้ ยา่ งเขม้ งวดกวดขนั ใน เกลียวเชอื กสแี ดงสลบั ด�ำ ดา้ นอ่นื มีแถบจีบสเี หลอื ง กวา้ ง ๒ โอกาสทีจ่ ะเชญิ ธงชัยเฉลมิ พลออกประจ�ำท่ตี ้องเป็นพิธีการที่ เซนตเิ มตร มคี วามสำ� คัญเกย่ี วกับเกยี รติยศและเชิดหนา้ ชูตาเทา่ น้ัน เชน่ ความหมายส�ำคัญของธงเฉลมิ พลมี ๓ ประการ คอื พธิ กี ระทำ� สตั ยป์ ฏญิ าณตนของทหาร และไปราชการสงคราม ๑. ผืนธง หมายถึง ชาติ เป็นต้น ๒. บนยอดธงบรรจพุ ระพทุ ธรปู หมายถงึ พทุ ธศาสนา ธงชัยเฉลิมพลสร้างข้ึนครั้งแรกในรัชกาลที่ ๕ ตาม เรยี กวา่ พระยอดธง เปน็ พระบชู าขนาดเลก็ ทเ่ี ชอ่ื กนั วา่ ใชป้ ระดบั พระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม พ.ศ.๒๕๓๔ (ร.ศ. บนยอดธงชยั เฉลมิ พลที่น�ำหน้าออกรบในสงครามจงึ เรียกกนั ๑๑๐) มีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น ท่ีพ้ืนธงนอกจากธง วา่ พระยอดธง ดงั นนั้ ใตฐ้ านของพระยอดธงจงึ มเี ดอื ยสน้ั ๆ โผล่ ชา้ งทม่ี มุ มตี ราสำ� หรบั กองทหารนน้ั เปน็ ธงสำ� หรบั ใชเ้ มอ่ื มกี าร ออกมาไวส้ ำ� หรบั เสยี บบนยอดเสาธง เปน็ พระเครอื่ งแบบหนงึ่ รบั เสด็จในเวลามพี ระราชพธิ ใี หญส่ ำ� หรบั เกียรตยิ ศตามทจ่ี ะ ที่นิยมกันมากเช่ือกันว่าคุม้ ครองป้องกันภยั ไดเ้ ปน็ เลศิ โปรดเกล้าฯ ให้รับและใช้ เม่ือกองทหารจะไปปราบศัตรูก็ใช้ ๓. เส้นพระเจ้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ธงนไ้ี ปในกองทัพดว้ ย หมายถึง องคพ์ ระมหากษัตรยิ ์ หน่วยทหารหน่วยแรกที่ได้รับพระราชทานธงชัย เปน็ หน้าท่ขี องทหารท่ีจะต้องระวงั รักษาธงชัยเฉลิม เฉลิมพล คือ กรมทหารราบท่ี ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ พลไวด้ ว้ ยความเคารพรกั และเทดิ ทนู ไวอ้ ยา่ งสงู ยงิ่ เพราะธงชยั พระราชทานในเมอ่ื ปี พ.ศ.๒๔๙๖ เฉลิมพลย่อมเป็นเกียรติยศของหน่วยทหารน้ันๆ ธงชัยเฉลิม พระราชทานธงเฉลมิ พลใหโ้ รงเรยี นนายเรอื อากาศที่ พลจงึ เปน็ เครอื่ งนำ� ความองอาจ กลา้ หาญแหง่ หมทู่ หารทงั้ ปวง จัดตั้งข้ึนใหม่ในปี พ.ศ.๒๔๙๖ และเข้ารับพระราชทาน เม่ือ ให้เขา้ ต่อสขู้ ้าศึกศตั รูให้ได้ชยั ชนะกลับมา 40
ตามรอยจอมทพั ไทย...การสวนสนามของทหารรกั ษาพระองค์ ในสมัยก่อนการสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ใหญ่ของชาตขิ องแผ่นดนิ เปน็ เปา้ หมายสูงสุด...” กระทำ� ตามคำ� สง่ั ของกองทพั บกเปน็ ครง้ั คราว จนในโอกาสวนั (พระบรมราโชวาท พระราชทานแกท่ หารรักษาพระองค์ สถาปนากรมทหารราบท่ี ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ ในปี ๒ ธนั วาคม ๒๕๔๙) ๒๔๙๖ นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้กองทัพภาคที่ ๑ จดั งาน ราชวัลลภข้ึน และจัดให้มีการสวนสนามของทหารมหาดเล็ก “...สถานการณบ์ า้ นเมอื งเราในทกุ วนั นี้ เปน็ ทที่ ราบ รักษาพระองค์ ท่ีพระลานพระราชวังดุสิต ในพิธีครั้งน้ัน แกใ่ จของเราทกุ คนทสี่ ดุ แลว้ วา่ ไมน่ า่ ไวว้ างใจ พดู ไดว้ า่ หาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระ คนไทยขาดความส�ำนึกในชาติ ขาดความสามัคคี ก็อาจ กรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จเป็นองค์ประธานและได้จัดให้มีการ ประสบเคราะหก์ รรมกันท้งั ชาติ จงึ ขอใหท้ หารทกุ คน และ สวนสนามในต้นเดือนธันวาคมเป็นประจ�ำทุกปี ตั้งแต่น้ัน ชาวไทยทุกคน ทุกหมู่ ทุกเหล่า ได้พิจารณาตัดสินใจว่า เป็นตน้ มา ประเทศชาตขิ องเรานน้ั สำ� คญั ทเ่ี ราควรจะรกั ษาไวใ้ หย้ งั่ ยนื “...ทหารน้ันเป็นก�ำลังส�ำคัญของชาติ ท้ังในด้าน ตอ่ ไปหรอื ไม่ ถา้ เหน็ วา่ สำ� คญั มน่ั ใจ กข็ อใหส้ งั วร ระวงั กาย การตอ่ สปู้ อ้ งกนั เพอื่ ปกปอ้ งเอกราชอธปิ ไตย ทง้ั ในดา้ นการ ใจ ให้ตั้งม่ันอยู่ในความสัตย์สุจริต พยายามลดอคติ และ ใหค้ วามชว่ ยเหลอื และรว่ มมอื สนบั สนนุ กบั ผอู้ น่ื ฝา่ ยอน่ื เพอื่ สรา้ งเสรมิ ความเมตตา สามคั คใี นกนั และกนั ไมว่ า่ จะทำ� การ บ�ำบัดบรรเทาความทุกข์ยากและพัฒนาสร้างสรรค์ความ ส่ิงใดให้ยึดเอาความมั่นคงปลอดภัยของชาติเป็นที่หมาย เจรญิ ร่มเยน็ ...” สงู สดุ ...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ทหารรกั ษาพระองค์ (พระบรมราโชวาท ในพธิ ถี วายสตั ยป์ ฏญิ าณตนและสวนสนาม ๒ ธนั วาคม ๒๕๔๖) ของทหารรักษาพระองค์ เน่ืองในพระราชพิธีเฉลิมพระชนม พรรษา ๒ ธันวาคม ๒๕๕๐) “...ทหารจะต้องระมัดระวังกายใจให้ม่ันคง เท่ียง ซึ่งการท่ีประเทศไทยมีความมั่นคง ด�ำรงความเป็น ตรงในความสัตย์สุจริตและความสมัครสมานสามัคคี มี เอกราชมาไดท้ กุ วนั น้ี กด็ ว้ ยพระบญุ ญาธกิ ารแหง่ องคพ์ ระมหา ความกล้าหาญ เข้มแข็ง อดทนและอดกล้ัน มุ่งม่ันที่จะ กษัตริย์ ท่ีแสดงให้เห็นถึงความเป็นวีรกษัตริย์ท่ีองอาจกล้า ปฏบิ ตั หิ นา้ ทีข่ องตนให้สมบูรณค์ รบถ้วน ทง้ั ในฐานะทีเ่ ปน็ หาญจนอาณาประชาราษฎร์เทดิ ทูนเปน็ มหาราชเจา้ จองทพั ทหาร ทง้ั ในฐานะที่เปน็ คนไทย โดยปรารภประโยชน์อันย่ิง ไทยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต้ังแต่ พ.ศ.๒๔๗๕ เปน็ ต้นมา 41
รชั กาลที่ ๙ องคจ์ อมทัพไทยผอู้ ยู่ในใจไทยนริ ันดร์ พระบรมราโชวาทดา้ นทหาร ของพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ใหเ้ กดิ ความมน่ั คงของชาตใิ นทสี่ ดุ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทจี่ ะตอ้ งกระทำ� ทรงมคี วามสนพระราชหฤทยั ในกจิ การทหาร และการปฏบิ ตั กิ าร เพอ่ื ผลประโยชนข์ องประเทศชาติมิใช่เพือ่ บุคคลหรือกลมุ่ ใดโดย ของหน่วยทหารต่างๆ ในกองทัพบกเป็นอย่างย่ิง พระองค์ได้ เฉพาะ ดังจะเห็นได้จากพระราชด�ำรัสตอนหน่ึง ซ่ึงพระองค์ได้ พระราชทานพระบรมราโชวาท และพระราชด�ำรัสซึ่งเป็น พระราชทานให้กับข้าราชการกองทัพบก ในวันกองทัพบก เมื่อ ประโยชน์ต่อการเสริมสร้างกองทัพให้ด�ำรงอยู่อย่างมีเกียรติ มี วนั ท่ี ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๙ ทว่ี า่ ศกั ดศิ์ รี พระราชกรณยี กจิ และพระมหากรณุ าธคิ ณุ ดา้ นการทหาร “...หลักสำ� คัญอันแรกทท่ี หารทกุ คนต้องระลกึ ถึงอยู่ ท่ีพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่กิจการ เสมอ คือความหมายและหน้าที่ของทหาร ประเทศเราเป็น ทหารบกนัน้ มีอยู่มากมายนานปั การ ประเทศทีร่ ักความสงบ ไมช่ อบการรกุ ราน แมก้ ระนน้ั ก็ดี การ ตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมา นับจากที่ พระบาทสมเด็จ มีก�ำลังรบย่อมเป็นสิ่งจ�ำเป็น ทั้งนี้เพื่อรักษาความสงบและ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ อสิ รภาพของประเทศ เมอื่ ทหารมไี วส้ ำ� หรบั ประเทศชาติ ทหาร พระองคไ์ ดพ้ ระราชทานพระบรมราโชวาท และพระราชดำ� รสั ทาง ก็ต้องเป็นของประเทศชาติ หาใช่เป็นของบุคคล หรือคณะ ด้านการทหาร ซึ่งเปี่ยมด้วยสาระและปรัชญาอันทรงคุณค่าใน บุคคลใดๆ โดยเฉพาะไม่…” วโรกาสตา่ งๆ ไวเ้ ปน็ อนั มาก พระบรมราโชวาท และพระราชดำ� รสั ทพ่ี ระองคไ์ ดพ้ ระราชทานแกท่ หารนน้ั นบั เปน็ ประโยชน์และเป็น ในด้านการพัฒนากองทัพ พระบาทสมเด็จพระปรมิน แนวทางให้ก�ำลังพลในกองทัพบกยึดมั่น เป็นอุดมการณ์และ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความส�ำคัญกับคุณภาพและ น้อมนำ� มาประพฤตปิ ฏบิ ัตสิ นองพระมหา กรุณาธคิ ุณเพ่ือให้เกดิ สมรรถภาพของกำ� ลงั พล นอกเหนอื จากการปรบั ปรงุ ทางดา้ นอาวธุ ประโยชน์ต่อประเทศชาตเิ ปน็ สว่ นรวมสืบไป ยุทโธปกรณ์ ดังปรากฏในพระราชดำ� รสั ตอนหนง่ึ ซึ่งพระองค์ได้ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรง พระราชทานให้กับข้าราชการกองทัพบก ในวันกองทัพบก เม่ือ เน้นให้ทหารตระหนกั ถงึ ภาระหนา้ ที่ในการสร้างและรักษาความ วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๘ ทว่ี ่า ม่ันคงของชาติด้วยการป้องกันประเทศเป็นส�ำคัญ พระองค์ทรง “...ส่วนการทจ่ี ะส่งเสริมใหก้ องทัพบก มคี วามเจรญิ เห็นว่าการป้องกันประเทศนั้น ก่อให้เกิดเสรีภาพ เอกราช กา้ วหนา้ ยง่ิ ขนึ้ สมดงั ปรารถนานน้ั นอกจากจะปรบั ปรงุ ในเรอื่ ง อธปิ ไตย และความเปน็ ปกึ แผน่ ของประเทศชาติ ซง่ึ จะมสี ว่ นชว่ ย ปริมาณ และอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว จ�ำต้องปรับปรุงในเร่ือง 42
คุณภาพและสมรรถภาพของทหารให้ดีย่ิงขึ้นด้วย ท้ังน้ีทหาร รบั ภาระส�ำคญั อกี ประการหน่ึง ควบค่ไู ปกับการรบ ได้แก่ การ จกั ตอ้ งเครง่ ครดั อยใู่ นวนิ ยั และมคี วามประพฤตสิ ภุ าพเรยี บรอ้ ย พฒั นาซง่ึ หมายถงึ การพฒั นาทงั้ ดา้ นกจิ การทหารโดยตรง และ เพื่อจกั ได้เปน็ ที่เคารพนยิ มแก่ประชาชนพลเมอื งสบื ไป...” ด้านอื่นๆ ทั้งหมด เท่าท่ีทหารสามารถจะร่วมมือ ช่วยเหลือ หรือสนบั สนุนได้ เมื่อความสำ� คัญ และจำ� เป็นมีอยูด่ ังนี้ จงึ ตอ้ ง ส่วนทางด้านการศึกษา ในพิธีพระราชทานกระบ่ีและ มีหน้าทเี่ พิ่มขนึ้ และจะจอ้ งสำ� นึกถงึ หนา้ ทขี่ องตน...” ปริญญาบตั ร เมื่อวนั ที่ ๙ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๕๐๐ พระองคท์ รง เตอื นผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษาจากโรงเรยี นนายรอ้ ยพระจลุ จอมเกลา้ ให้ นอกจากน้ัน พระองค์ยังทรงเน้นให้ทหารตระหนักถึง ตระหนักในเร่ืองการปฏิบัติหน้าท่ี การเป็นแบบอย่างท่ีดี พร้อม การปฏิบัตหิ น้าทโ่ี ดยยดึ มัน่ ในหลักการ เหตผุ ล ความมวี นิ ัยและ ทง้ั การฝกึ ฝนเพม่ิ พนู ความรใู้ หท้ นั สมยั ดงั พระบรมราโชวาทตอน สติปัญญาเป็นส�ำคัญ ดังพระบรมราโชวาทตอนหน่ึงในพิธีถวาย หนึ่ง ที่ว่า สัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เม่ือวัน “...ขอตักเตือนให้ทุกคนจงต้ังปณิธานเสียด้วยว่าจะ ท่ี ๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๘ ท่ีว่า พยายามปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซ่ือสัตย์สุจริตเป็นนายทหารที่ “...การปฏบิ ตั งิ านแตล่ ะสง่ิ แตล่ ะดา้ นดงั กลา่ ว ทกุ คน ดขี องกองทพั บก และจงตระหนกั ใหม้ ากวา่ คณุ สมบตั ขิ องทหาร จะต้องยึดม่ันในหลักการและเหตุผลท่ีถูกต้อง ในวินัยและ แต่ละคนจะดีข้ึนได้เพียงไรหรือไม่ ย่อมอาศัยบรรดาท่านท้ัง ระเบียบแบบแผนท่ีดีงาม ในเป้าหมายและประโยชน์ท่ีชอบ หลายที่เป็นนายทหารน้ันเป็นส่วนใหญ่ที่จะได้อบรมสั่งสอน ธรรมอย่างเคร่งครัด ส�ำคัญท่ีสุดจะต้องท�ำงานทุกอย่าง ทุก และถา่ ยทอดแบบอยา่ งทด่ี ใี ห้ จงพยายามหาความรใู้ หเ้ พมิ่ พนู ระดับ ด้วยปัญญา ความฉลาดรู้คิดพิจารณาตามเหตุผล ขึ้นเพ่ือได้มีความรู้ทันสมัย เพราะวิชาการที่ได้ศึกษามาใน ประกอบดว้ ยความมตี ิร้ตู ัว ระมดั ระวงั ตัวทุกเมอื่ ...” โรงเรียนทุกแขนงน้ัน แม้แต่วิชาเทคนิคของทหารเองย่อม อีกทั้งทรงเห็นว่าหน้าที่ของทหารในการช่วยเหลือ วิวัฒนาการเพิ่มเติมอยู่เสมอ ท้ังจงพยายามฝึกตนเองให้รู้จัก บรรเทาความทกุ ขย์ ากและการพฒั นาใหบ้ งั เกดิ ความเจรญิ แกบ่ า้ น ใช้ความคิดมีไหวพริบท่ีจะแก้ปัญหาให้เหมาะกับเหตุการณ์ เมอื ง เป็นเรอื่ งสำ� คญั ยิง่ ดงั ปรากฏในพระบรมราโชวาทตอนหนง่ึ ดว้ ยเถดิ ...” ในพธิ ถี วายสตั ยป์ ฏญิ าณตนและสวนสนามของทหารรักษา พระองค์ เมอ่ื วนั ที่ ๓ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๓๘ ดังนี้ พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “...ทหารจะตอ้ งเตรยี มตวั เตรยี มใจและเตรยี มการให้ รชั กาลท่ี ๙ ในพธิ ถี วายสตั ยป์ ฏญิ าณตนและสวนสนามของทหาร พรอ้ มทกุ เมอื่ เพอื่ ใหส้ ามารถปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ไดพ้ รอ้ มเพรยี งคลอ่ ง รกั ษาพระองค์ เนอื่ งในพระราชพิธเี ฉลิมพระชนมพรรษา เมือ่ วนั ตวั มปี ระสทิ ธภิ าพ ไมว่ า่ ดา้ นยทุ ธการหรอื ดา้ นรว่ มมอื ประสาน ที่ ๓ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๒๓ แสดงให้เหน็ ว่าพระองค์ทรงใหค้ วาม งานกบั ฝา่ ยอ่นื ๆ ในการเกือ้ กลู สนับสนนุ ยกระดับฐานะความ สำ� คญั กบั ภาระหนา้ ท่ีและความรบั ผิดชอบของทหารในเรื่องการ เป็นอยู่ของประชาชน และช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยาก รบ ซง่ึ จะตอ้ งเกย่ี วขอ้ งควบคกู่ นั ไปกบั การพฒั นาบา้ นเมอื งใหเ้ กดิ เดือดรอ้ นในเมื่อเกดิ ภัยพบิ ตั ิอยา่ งทนั การณ์ ทันเวลา และทัน ความเจรญิ มัน่ คงดว้ ย ดังน้ี ท่วงที จงึ ขอให้ทหารทั้งหลายได้ตระหนกั ในหนา้ ทขี่ องตน...” “...หนา้ ทสี่ ำ� คญั ของทหาร ดกู นั อยา่ งผวิ เผนิ กค็ อื การ รบหรือการท�ำสงครามต่อสู้กับศัตรูของชาติ แต่ถ้าจะดูกันให้ พระบรมราโชวาทและพระราชดำ� รสั ในดา้ นการทหารท่ี ชัดตามความจรงิ แลว้ จะเหน็ วา่ หนา้ ทีร่ บเป็นเพียงส่วนหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรง เท่าน้ัน เพราะการป้องกันรักษาเอกราชอธิปไตย และความ พระราชทานแก่ทหารในวโรกาสต่างๆ น้ัน ทหารทุกคนขอรับ มนั่ คงปลอดภยั ของประเทศนน้ั นอกจากจะตอ้ งมกี ำ� ลงั รบทเี่ ขม้ พระราชทานใส่เกล้าฯ และปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทของ แข็งพร้อมมูลแล้ว ยังจ�ำเป็นต้องมีการพัฒนาให้บ้านเมืองเกิด พระองคด์ ว้ ยความสำ� นกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ุณเปน็ ลน้ พ้น ความเจรญิ มน่ั คงขนึ้ ทกุ ๆ ดา้ นอยตู่ ลอดเวลาดว้ ย ทหารจงึ ตอ้ ง 43
ตามรอยจอมทัพไทย ตอน พระผสู้ รา้ งศรทั ธาแกเ่ หลา่ ทหาร พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ในกองพนั บกถงึ ระดบั กองรอ้ ย ซงึ่ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรงเปน็ พระมหากษตั รยิ ผ์ ทู้ รงเปน็ พทุ ธมามะกะ ดงั จะเหน็ ได้ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรงมพี ระบรมราชานญุ าตใหอ้ ญั เชญิ จากการทพ่ี ระองคท์ รงผนวชในพระพทุ ธศาสนา และประพฤติ พระปรมาภไิ ธยยอ่ “ภปร” ประดบั ทผ่ี า้ ทพิ ยด์ า้ นหนา้ องคพ์ ระ ปฏิบัติธรรมตามค�ำสอนของพระพุทธศาสนา นอกจากน้ัน และมตี รากองทัพบกอย่เู หนอื ขอ้ ความ พระองคย์ งั ไดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ ในฐานะทท่ี รงดำ� รงตำ� แหนง่ พระกำ� ลงั แผน่ ดนิ หรอื พระจติ รลดา พระบาทสมเดจ็ จอมทัพไทย ทรงเป็นองคป์ ระธานในพธิ ีเททองหล่อพระพทุ ธ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงออกแบบและสร้าง สงิ หช์ ยั มงคล เม่ือ ๙ เมษายน ๒๕๒๙ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ดว้ ยพระหตั ถ์ (พุทธศกั ราช ๒๕๐๘–๒๕๑๓) เป็นพระพุทธรูป ซึ่งกองทัพบกสร้างข้ึนเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย พมิ พใ์ นสกลุ พระนางพญา สว่ นหนงึ่ ประดษิ ฐานทฐ่ี านบงั หงาย ส�ำหรับพระราชทานให้แก่หน่วยทหารให้กองทัพบกต้ังแต่ ของพระพทุ ธนวราชบพิตร ระดบั กองทพั ภาคถงึ ระดบั กองรอ้ ยในขนาดตา่ งๆ ดงั น้ี หนว่ ย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ระดับกองรอ้ ย หลอ่ ขนาด ๗ นิ้ว จำ� นวน ๑,๙๔๑ องค์ ระดบั มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารท่ไี ปราชการ กองพนั หลอ่ ขนาด ๙ นวิ้ จ�ำนวน ๔๑๙ องค์ ระดบั กรม และ สงครามเวยี ดนาม ของกองพลอาสาสมคั รผลดั ท่ี ๓ สว่ นที่ ๑ กองพล หลอ่ ขนาด ๑๕ นวิ้ จ�ำนวน ๒๑๔ องค์ ระดบั หน่วย เขา้ เฝา้ ฯ เมอ่ื ๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๓ พระองคไ์ ดพ้ ระราชทาน ขึ้นตรงกองทพั บกหล่อขนาด ๑๙ น้วิ จำ� นวน ๘ องค์ แกน่ ายทหารทกุ คน และมพี ระบรมราโชวาท ดงั มใี จความตอน พระพทุ ธสงิ หช์ ยั มงคล เปน็ พระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั หน่งึ วา่ สมยั เชยี งแสน แบบสิงห์ ๑ หน้าตกั กวา้ ง ๒๔ นิ้ว สูง ๒๙ นิว้ “ขอมอบพระให้เน่อื งในโอกาสที่จะไปทำ� ราชการ เนอื้ สำ� รดิ ซงึ่ พลตรี พนะยาพชิ ยั สงคราม (แกป๊ สรโยธนิ ) อดตี สงครามทเ่ี วยี ดนามและขอเนน้ ยำ�้ ใหท้ กุ คนจงตงั้ มนั่ ทำ� ความ เจ้ากรมยุทธศาสตร์ทหารศาสตร์ทหารบก ด�ำรงต�ำแหน่ง ดี เสยี สละทั้งต่อหนา้ และลับหลงั ” รักษาราชการ ผู้บัญชาการทหารบก ได้มอบให้เป็นสมบัติ ของกองทัพบก เมอื่ วนั ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๔๗๖ ต่อมาจอมพล นายทหารทุกคนท่ีได้รับพระราชทานในรุ่นนี้ เป็น ประภาส จารเุ สถยี ร ผบู้ ญั ชาการทหารบกไดส้ งั่ การใหอ้ ญั เชญิ นายทหารต้งั แตช่ นั้ สัญญาบัตรลงมาถงึ นายทหารชน้ั ผนู้ ้อย ไปประดิษฐาน เป็นประจ�ำศาสนสถานกลางกองทัพบก เมื่อ และถอื เป็นรุน่ เกือบสุดท้ายและท่ีไดร้ ับพระราชทาน วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๑๑ จนถึงปัจจุบัน พร้อมกับถวาย ผทู้ ไี่ ดร้ บั พระราชทาน จะไดร้ บั ใบกำ� กบั พระองคน์ นั้ ๆ พระนามว่า \"พระพุทธสิงห์ชัยมงคล\" พระพทุ ธสงิ หช์ ยั มงคล ด้วย ในภายหลังซ่ึงใบก�ำกับพระก�ำลังแผ่นดินน้ีจะมีหมาย เปน็ พระพทุ ธรปู องคต์ น้ แบบของพระพทุ ธประจำ� หนว่ ยทหาร เลขลำ� ดบั ที่ปรากฏอยูด่ ้วย 44
พระราชกรณยี กิจในการเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเย่ียมทหารชายแดน ในขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองเผชิญกับภัยคุกคาม เยียนทหารและต�ำรวจด้วยพระองค์เอง เม่ือพระองค์เสด็จ จากการกอ่ การรา้ ยของคอมมวิ นสิ ตใ์ นประเทศไทยซง่ึ ไดข้ ยาย ถึงจังหวัดน่าน ทรงทราบว่ายังมีทหารบาดเจ็บจากการต่อสู้ ออกไปหลายจงั หวดั ตง้ั แต่ พ.ศ.๒๕๐๘ จนถงึ พ.ศ.๒๕๒๕ นนั้ ตกค้างอยู่บนเขาอีก ๔ นาย จึงมีพระราชกระแสรับส่ังให้ส่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีน�้ำ เฮลคิ อปเตอรใ์ นขบวนเสดจ็ เครอื่ งหนง่ึ ไปรบั มารกั ษาพยาบาล พระทยั หว่ งใยบรรดาทหารทอี่ อกไปปฏบิ ตั หิ นา้ ทป่ี อ้ งกนั และ ซึ่งยังคงความปลาบปลื้มแก่ทหารหาญทั้งหลายเป็นล้นพ้น ปราบปรามอรริ าชศตั รู พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทรง และอกี ครงั้ หนง่ึ กอ่ นทพ่ี ระองคจ์ ะเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทรง เย่ียมเยียนเจ้าหน้าท่ีทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนอย่างสมำ�่ เยี่ยมประชาชนและเจ้าหน้าที่ในต�ำบลปอน อ�ำเภอทุ่งช้าง เสมอ โดยทุกครั้งท่ีเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับยังต่าง จงั หวดั นา่ น เพยี งคนื เดยี ว ไดม้ ผี กู้ อ่ การรา้ ยใชอ้ าวธุ ปนื ครกยงิ จงั หวดั เชน่ พระราชวงั ไกลกงั วล จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ พระ เข้าไปในท่ีต้ังของหน่วยทหารใกล้กับพื้นที่ซึ่งก�ำหนดไว้ว่าจะ ตำ� หนกั ทกั ษณิ ราชนเิ วศน์ จงั หวดั นราธวิ าส, พระตำ� หนกั ภพู าน เป็นที่เสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเยี่ยม พระองค์มิได้ทรงงด ราชนเิ วศน์ จงั หวดั สกลนคร และพระตำ� หนกั ภพู งิ คร์ าชนเิ วศน์ การเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ แมว้ า่ เจา้ หนา้ ทผ่ี ถู้ วายความปลอดภยั จงั หวดั เชยี งใหม่ พระองคจ์ ะเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทรงเยยี่ ม จะไดก้ ราบบงั คมทูลขอใหท้ รงงดการเสดจ็ ฯ ก็ตาม พระองค์ คา่ ยทหาร และฐานปฏบิ ตั ิการทีอ่ ยูใ่ นบรเิ วณใกล้เคยี ง ตลอด ได้เคยทรงมีพระราชด�ำรสั กับผใู้ กลช้ ดิ ว่า จนบรเิ วณทอ่ี ยหู่ า่ งไกลออกไปถงึ เขตชายแดนอยเู่ นอื งๆ ทง้ั น้ี “เมืองไทยอยู่รอดมาได้ทุกกาลสมัย ก็ด้วยก�ำลัง ด้วยทรงเล็งเห็นว่า ขวัญของทหารในสนามนน้ั เป็นส่ิงส�ำคญั ทหารทเ่ี ข้มแขง็ ” การทพ่ี ระองคเ์ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทรงเยย่ี มเยยี นและปลอบ “เขาเสยี สละชวี ติ เลอื ดเนอื้ เพอ่ื พวกเราอยา่ งกลา้ ขวัญย่อมทำ� ใหท้ หารหาญท้ังหลายเกิดก�ำลงั ใจในการต่อสู้กับ หาญ เราควรจะชว่ ยเหลอื เขาเท่าท่ีเราจะทำ� ได้” อรริ าชศตั รู จากพระมหากรุณาธิคุณต่อทหารหาญท้ังหลาย พระเมตตาของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ประกอบกับพระราชดำ� รสั ข้างตน้ ยอ่ มเปน็ ที่ยืนยันเปน็ อย่าง ภูมิพลอดลุ ยเดช ทีเ่ สด็จพระราชดำ� เนินไปพระราชทานกำ� ลัง ดีว่า พระองค์ทรงถือเป็นภาระหน้าท่ีของพระมหากษัตริย์ใน ใจและพระราชทานความช่วยเหลือแก่ทหารหาญถึงแนวรบ การเสด็จไปเปน็ ม่งิ ขวญั และพระราชทานความช่วยเหลอื แก่ ปรากฏเดน่ ชดั เมอ่ื ครงั้ เกดิ การปะทะกนั ระหวา่ งเจา้ หนา้ ทบี่ า้ น ทหารหาญทง้ั หลายไม่ว่าสถานการณ์จะรา้ ยแรงเพยี งใด ดังท่ี เมอื ง และผกู้ อ่ การรา้ ย เมอ่ื พ.ศ.๒๕๑๐ ทบี่ า้ นหว้ ยโกน๋ อำ� เภอ มคี ำ� กลา่ วอยทู่ ว่ั ไปวา่ “ทหารและตำ� รวจอยู่ ณ ทใี่ ด ในหลวง ทงุ่ ชา้ ง จงั หวดั นา่ น พระองคม์ พี ระราชประสงคท์ จี่ ะทรงเยย่ี ม ก็เสด็จฯ ถงึ ทน่ี ัน่ ” 45
ทพางรดะา้ปนรกีชาารสสารมราพรถวธุ เมอ่ื ครงั้ ปี พ.ศ.๒๕๑๑-๒๕๑๒ เปน็ หว้ งทปี่ ระเทศไทย ครงั้ หนง่ึ มเี รอ่ื งเลา่ จากนายทหารของศนู ยก์ ารทหารราบ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายของ คา่ ยธนะรชั ต์ ปราณบรุ ผี หู้ นงึ่ ซง่ึ ไดเ้ คยถวายการรบั ใชเ้ มอื่ ทรง ลทั ธคิ อมมวิ นสิ ตท์ งั้ ภายในและจากภายนอกประเทศนนั้ ภาพ พระแสงปืน M-16 ที่สนามยิงปืนของศูนย์การทหารราบเล่า คนุ้ ตาของเหลา่ พสกนกิ รไทย คอื พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั วา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว ร.๙ ทรงมีความเชยี่ วชาญ ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเคร่ืองแบบทหารเสด็จเย่ียมอาณา ในเรอ่ื ง พระแสงปนื M-16 อยา่ งมาก ปืนนม้ี ีขอ้ บกพร่องบาง ประชาราษฎร์ ทหาร ต�ำรวจ ข้าราชการพลเรือน อาสาสมคั ร อย่างท่ไี ม่ร้กู นั แตท่ รงรู้มาจากการท่ีได้ทรงศึกษาจนสามารถ ท่ีปฏิบัติหน้าอยู่ในพื้นท่ีสู้รบ ตลอดจนทรงงานในภูมิภาค พระราชทานค�ำแนะน�ำแก่ทหารได้ ด้วยพระปรีชาสามารถ ต่างๆ ของประเทศอย่เู สมอ ทางการช่าง พระองค์ทรงแก้ไขซ่อมแซม โดยทรงใช้เครื่อง และเมอ่ื ครง้ั นน้ั ทส่ี ถานการณบ์ า้ นเมอื งเผชญิ กบั ภยั อะไหลท่ มี่ ผี ทู้ ลู เกลา้ ฯ ถวายพระองค์ เมอ่ื ไดท้ รงซอ่ มแซมอาวธุ คกุ คามของคอมมวิ นสิ ตก์ องทพั บกไดร้ บั อาวธุ ปนื เลก็ ยาวแบบ ปืนที่ช�ำรุดเสียหายจนส�ำเร็จแล้ว จึงพระราชทานกลับคืนให้ M-16 มาใช้ในราชการในจ�ำนวนที่จ�ำกัด บางครั้งปรากฏว่า แกห่ นว่ ยเดิม ซงึ่ ยังความปลาบปลมื้ และกอ่ ใหเ้ กดิ กำ� ลงั ใจแก่ ทหารต้องสูญเสียชีวิต เนื่องจากอาวุธเกิดขัดข้องขณะปฏิบัติ ทหารทั้งมวลเปน็ อย่างยิ่ง การ และเป็นท่ีทราบกันดีอยู่แล้วในหมู่ข้าราชการทหาร นอกจากทรงมีความรู้เรื่องปืนเล็กยาวแบบ M-16 และตำ� รวจวา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช อย่างลึกซึ้งแล้ว พระองค์ยังทรงพระแสงปืนเล็กยาวแบบ ทรงใหค้ วามสนพระราชหฤทยั อยา่ งลกึ ซง้ึ ในกจิ การสรรพาวธุ M-16 ได้อย่างแม่นย�ำ ดังเป็นท่ีประจักษ์ เม่ือคร้ังที่เสด็จ ได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการค้นคิดดัดแปลงอาวุธ พระราชดำ� เนนิ ไปทรงเยย่ี มและทอดพระเนตรการฝกึ ทหารที่ ยทุ โธปกรณใ์ หท้ นั สมยั และใชร้ าชการไดด้ ยี ง่ิ ขน้ึ เปน็ ผลสำ� เรจ็ ค่ายธนะรัชต์ พระองค์ได้ทรงฝึกซ้อมยิงปืน ทรงพระแสงปืน หลายรายการด้วยกัน อีกทั้งยังได้ทรงพระราชทานอาวุธ เล็กยาวแบบ M-16 ท่ีสนามยิงปืนของศูนย์การทหารราบ ยทุ โธปกรณท์ ที่ รงแกไ้ ขเหตตุ ดิ ขดั และขอ้ บกพรอ่ งตา่ งๆ เรยี บ พร้อมกันนั้นได้ทรงพระราชทานค�ำแนะน�ำแก่ทหารเกี่ยวกับ ร้อยแล้วให้แก่ทหารและต�ำรวจอยู่เนืองๆ ซ่ึงเม่ือ พระบาท สมรรถนะของปนื เลก็ ยาวแบ บM-16 ด้วย สมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั รัชกาลท่ี ๙ ทรงทราบถึงปญั หาน ้ี ได้ และเม่อื ๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๑ พระบาทสมเด็จพระ ทรงใชเ้ วลาวา่ งจากพระราชภารกจิ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปงาน ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรง ภายนอกในตอนบ่าย ทรงแก้ไขอาวุธยุทโธปกรณ์ท่ีบกพร่อง พระแสงปนื ณ อุโมงคย์ ิงปืนของกรมสรรพาวุธทหารบกเปน็ ด้วยพระเมตตา ทรงรับเอาอาวุธปืนที่ช�ำรุดเสียหายบางส่วน คร้งั แรก ในโอกาสน้นั พลโท ทวชิ เสนวี งศ์ ณ อยธุ ยา เจ้า มาจากผไู้ ดใ้ ชอ้ าวธุ นน้ั ทำ� การสรู้ บจนสน้ิ ชวี ติ ทง้ั นไ้ี ดท้ รงตรวจ กรมสรรพาวุธทหารบกในขณะนั้นได้ทูลเกล้าถวายพระแสง สอบสมรรถภาพและหาสาเหตุข้อบกพร่องของอาวุธนั้นด้วย ปืน และในคราวเสด็จพระราชด�ำเนินคร้ังน้ัน ทรงจารึกพระ พระองค์เอง ซึง่ ในบางโอกาสก็ทรงมพี ระราชกระแสรบั สั่งให้ ปรมาภไิ ธยลงบนแผ่นศิลาออ่ น โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานให้ เจ้าหน้าท่ีของกรมสรรพาวุธทหารบกเข้าเฝ้าถวายค�ำแนะน�ำ ประดิษฐานไว้ ณ อโุ มงค์ยิงปืน เพื่อเปน็ มง่ิ ขวัญและสิริมงคล ท้ังในพระต�ำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระราชวังไกลกังวล แก่ ขา้ ราชการ และลูกจา้ ง กรมสรรพาวุธทหารบกท้งั ปวงสืบ อยา่ งใกลช้ ิด มาจนบดั น้ี 46
พระบรมราโชบาย เรื่อง “ยทุ ธศาสตร์พัฒนา” นับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ “โครงการพัฒนาลมุ่ น้�ำเข็ก” ขน้ึ เป็นโครงการแรก โดยมีเจา้ เสด็จเถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ พระองคท์ รงสนพระทัยในกิจการ หน้าท่ีท้ังฝ่ายทหารและฝา่ ยพลเรือนใหค้ วามร่วมมือ ทหาร และการปฏบิ ตั กิ ารของหนว่ ยทหารตา่ งๆ ในกองทพั บก นอกจากนี้ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล เปน็ อยา่ งยงิ่ พระองคไ์ ดพ้ ระราชทานพระบรมราโชบาย พระ อดุลยเดช ได้ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุน บรมราโชวาทและพระราชดำ� รสั ซงึ่ เปน็ ประโยชนต์ อ่ การเสรมิ สำ� หรบั ดำ� เนนิ งานครง้ั แรกดว้ ย มกี ารจดั ตงั้ หมบู่ า้ นยทุ ธศาสตร์ สร้างกองทัพให้ด�ำรงอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักด์ิศรี พระองค์ได้ พัฒนาขึ้นในพืน้ ที่เขาค้อ ช่วยเหลอื ราษฎรทไ่ี ดร้ ับความเดอื ด พระราชทานพระบรมราโชวาท และพระราชด�ำรัสทางด้าน รอ้ น มกี ารฝกึ อาชพี ให้แก่ราษฎร ฝึกการใชอ้ าวธุ เพอื่ ป้องกัน การทหาร ซึ่งเปี่ยมด้วยสาระและปรัชญาอันทรงคุณค่าใน ตนเองและทรพั ยส์ นิ ชว่ ยเหลอื ราษฎรทไ่ี ดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น โอกาสตา่ งๆ เปน็ อนั มาก มกี ารฝกึ อาชพี ใหแ้ กร่ าษฎร ฝกึ การใชอ้ าวธุ เพอื่ ปอ้ งกนั ตนเอง จากการคกุ คามของผกู้ อ่ การรา้ ยคอมมวิ นสิ ตใ์ นอดตี และทรัพย์สิน ช่วยเหลือในเรื่องบ้านพักอาศัย พร้อมท้ังจัด ทผี่ า่ นมา พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงหว่ งใยตอ่ พสก หาแหล่งน้�ำในการเกษตร การด�ำเนินการในระบบหมู่บ้าน นกิ รและขา้ ราชการซึง่ ประกอบดว้ ย พลเรอื น ตำ� รวจ ทหาร ยทุ ธศาสตรพ์ ฒั นานน้ั หลกั การทส่ี ำ� คญั คอื ไมใ่ หร้ าษฎรละทงิ้ และอาสาสมคั รทต่ี อ้ งสญู เสยี ชวี ติ ลงเปน็ จำ� นวนมากขน้ึ ทกุ ๆ ปี หมบู่ า้ น และละทงิ้ พน้ื ทบ่ี รเิ วณชายแดน ทงั้ นเ้ี พอื่ ปอ้ งกนั ฝา่ ย เมอ่ื วนั ที่ ๑๑ มิถนุ ายน พ.ศ.๒๕๑๙ พระบาทสมเดจ็ ตรงข้ามเขา้ มาในพื้นทบี่ รเิ วณชายแดนทีไ่ ม่มรี าษฎรอยู่ พระเจา้ อยูห่ วั รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรม การด�ำเนินการโครงการพัฒนาลุ่มน้�ำเข็ก ประสบ ราชนิ นี าถ ไดเ้ สดจ็ พระราชด�ำเนินไปทรงเยยี่ มผู้ปฏิบตั ิหน้าที่ ความสำ� เรจ็ เปน็ ผลดตี อ่ การปราบปรามผกู้ อ่ การรา้ ยคอมมวิ นสิ ต์ ณ กองพันรบพิเศษ ค่ายสฤษด์ิเสนา อ�ำเภอวังทอง จังหวัด ในเวลาต่อมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเร่ิมต้นของ “ยุทธศาสตร์ พิษณโุ ลก โดยทรงมีพระราชด�ำริวา่ นา่ จะมวี ิธกี ารท่สี ามารถ พัฒนา” ระงับการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของคนไทยด้วยกัน และ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จ ทรงมพี ระราชกระแสรับสงั่ วา่ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๙ ทท่ี รงพระราชทานแนวพระราชดำ� ริ “ให้พยายามหาหนทางจัดต้ังหมู่บ้านตามเส้นทางท่ี ท่ีท�ำให้สามารถจัดต้ังหมู่บ้านยุทธศาสตร์พัฒนาประกอบกับ สรา้ งขนึ้ ใหม่ โดยเอาทหารกองหนนุ หรอื อาสาสมคั รทเ่ี คยรบ การท่ีเจ้าหน้าท่ีทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน รวมทั้งราษฎรใน หรือท�ำประโยชน์ให้ประเทศชาติมาแล้ว และยังไม่มีที่ท�ำกิน โครงการพฒั นาพนื้ ทน่ี น้ั ๆ ไดร้ ว่ มมอื กนั ดำ� เนนิ งานอยา่ งจรงิ จงั ของตนเอง มาจดั ตงั้ เปน็ หมบู่ า้ นขน้ึ หาทท่ี ำ� กนิ ใหเ้ ขา ตดิ อาวธุ จึงท�ำให้การดำ� เนนิ การโครงการยทุ ธศาสตร์พัฒนาบรรลวุ ตั ถุ ให้เขา เพื่อปอ้ งกันหมบู่ า้ นตนเองและทรัพยส์ ิน” ประสงค์ เกิดความม่ันคงของชาติ และสามารถน�ำไปสู่แผน การด�ำเนินการตามแนวพระราชด�ำริ ได้จัดท�ำเป็น พัฒนาในการป้องกันประเทศจนเป็นผลสำ� เร็จ 47
พระบรมราโชวาทในพธิ ีพระราชทานกระบข่ี อง พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช เปน็ ปลุกปั่นทั้งปวง ส�ำคัญที่สุดจะต้องยึดมั่นในอิสรภาพความ พระมหากษตั รยิ ท์ ที่ รงเลง็ เหน็ ความสำ� คญั ของการศกึ ษาทางดา้ น ม่ันคงและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศบ้านเมือง เป็นจุด การทหารวา่ เปน็ หวั ใจส�ำคญั ในการสร้างพ้ืนฐานความมัน่ คงของ หมายอนั สูงสดุ ...” ประเทศ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้ส�ำเร็จการศึกษา (พระบรมราโชวาท ในพธิ พี ระราชทานกระบแี่ ละปรญิ ญาบตั รแก่ จากโรงเรยี นนายรอ้ ยพระจลุ จอมเกลา้ โรงเรยี นนายเรอื โรงเรยี น นกั เรยี นนายรอ้ ย นกั เรยี นนายเรอื และนกั เรยี นนายเรอื อากาศ ณ นายเรอื อากาศ โรงเรยี นแผนท่ี กรมแผนทที่ หาร และวทิ ยาลยั แพทย บรเิ วณสนามในศาลว่าการกลาโหม 25 กุมภาพนั ธ์ 2520) ศาสตรพ์ ระมงกฎุ เกลา้ เขา้ รบั พระราชทานกระบแี่ ละปรญิ ญาบัตร “การรับกระบี่นั้นเป็นข้ันตอนส�ำคัญข้ันหนึ่งในชีวิต เปน็ ประจำ� ทกุ ปี เพอ่ื เปน็ ขวญั และกำ� ลงั ใจในการรบั ราชการตอ่ ไป นักเรยี นทหาร เพราะต่อไปท่านน้นั กเ็ ป็นนายทหารทำ� หนา้ ท่ี การพระราชทานกระบใี่ นปแี รกๆ จดั ใหม้ ขี นึ้ ณ พระทน่ี งั่ บังคับบัญชาอบรมผู้คนต่อไป...ฉะน้ัน ขอท่านท้ังหลายจงตั้ง ชมุ สาย ในศาลว่าการกลาโหมต่อมาเปลี่ยนสถานทพี่ ระราชทาน ปณธิ านให้มัน่ ทจ่ี ะเป็นนายทหารทีด่ ขี องกองทพั ของเราต่อไป กระบหี่ ลายแหง่ เชน่ อาคารใหมส่ วนอมั พร ศาลาดสุ ติ ดาลยั สวน จงมีความส�ำนึกในหนา้ ที่และความรับผิดชอบทจ่ี ะได้รับตอ่ ไป จิตรลดา อาคารอเนกประสงค์วังไกลกังวล และในปี 2550 ใหม้ าก” พระราชทาน ณ ศาลาดุสิตดาลัย สวนจติ รลดา (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานกระบ่ีแก่นักเรยี นนายรอ้ ย ทผ่ี า่ นมา พระองคท์ รงมพี ระบรมราโชวาทเพอ่ื เปน็ แนว พระจุลจอมเกล้า 9 กมุ ภาพนั ธ์ 2499) ทางในการด�ำเนนิ ชวี ิตรับราชการอย่างตอ่ เน่ืองอาทิ “...เป็นท่ียอมรับกันท่ัวไปว่า ผู้ส�ำเร็จการศึกษาจาก “…การปฏิบัติหน้าท่ีของทหารในยามบ้านเมืองถูก สถาบันทางทหารของไทย เป็นผู้มีระเบียบวินัยดี มีความรู้สูง คกุ คามประทษุ รา้ ยดงั ทกุ วนั น้ี ยอ่ มมอี นั ตรายมาถงึ ไดห้ ลายดา้ น สามารถปฏบิ ตั กิ ารไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ทงั้ ในดา้ นการปฏบิ ตั ิ นอกจากอันตรายโดยตรงจากการปฏิบัติการยุทธ์แล้ว ยังมี งานและการบังคับบัญชา ไม่ว่าในราชการปรกติหรือราชการ อนั ตรายในรปู แบบอน่ื ๆ เช่น การแทรกแซง แทรกซมึ ยุแหย สนาม ข้อน้ีแสดงให้เห็นว่าแต่ละคนมีความต้ังใจมุ่งมั่น และ ยยุ ว่ั ปอ้ ยอ ลอ่ หลอกนานาประการ ซงึ่ ถา้ ไมร่ ะมดั ระวงั ใหถ้ ถี่ ว้ น แนว่ แนท่ จ่ี ะปฏบิ ตั งิ านรบั ใชช้ าตบิ า้ นเมอื ง จงึ ไดอ้ ตุ สาหะศกึ ษา รอบคอบแล้ว จะเป็นอันตรายพ่ายแพ้ได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น และฝึกฝนตนเอง ใหม้ สี มรรถภาพอนั สมบรู ณเ์ ต็มเป่ยี ม จิตใจ เพอื่ ปฏบิ ตั ติ นปฏบิ ตั กิ ารใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและปลอดภยั จะตอ้ ง ทเ่ี ขม็ แขง็ เดด็ เดย่ี วนเ้ี ปน็ สมบตั ปิ ระจำ� ตวั ของชายชาตทิ หารแท้ ฝกึ หดั คดิ พจิ ารณาสถานการณท์ กุ อยา่ งดว้ ยความละเอยี ดรอบ และเปน็ ปัจจัยสำ� คัญที่จะบนั ดาลความสำ� เร็จและความเจรญิ คอบดว้ ยเหตผุ ลและหลกั วชิ า ทำ� ความเหน็ ความเขา้ ใจในกรณี กา้ วหน้าใหไ้ ด้ในภารกิจทกุ ประการ... ” ต่างๆ ให้กระจ่างแจ่มแจ้งและถูกต้อง ยิ่งกว่าน้ันจะต้องท�ำ (พระบรมราโชวาท ในพิธีรพระราชทานกระบ่ีแก่ผู้ส�ำเร็จการ ความ คิดจติ ใจให้มน่ั คงหนักแนน่ มีความขนยนั หม่นั เพยี ร ทง้ั ศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ อดทนต่ออปุ สรรคและอคติทกุ อย่าง ไม่หวัน่ ไหวดา้ ยการยุแยง และโรงเรยี นนายเรืออากาศ 6 มถิ ุนายน 2550) 48
Search