เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณ ตารางธาตุ - 1 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดร์ิ ักษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ 3.1 วิวฒั นาการของตารางธาตุ - เร่ิมแรกในศตวรรษท่ี 19 Johann Dobereiner ไดนําธาตุตาง ๆ ที่พบในสมัยน้ันมาจัดเรียงเปนหมวดหมู โดยนําธาตุท่ีมีสมบัติคลายกันมาจัดไวในหมวดหมูเดียวกัน หมูละ 3 ธาตุ เรียงตามมวลอะตอมจากนอยไปมาก และธาตุแตละหมูมวลอะตอมที่อยูตรงกลางจะเปนคาเฉลี่ยของมวลอะตอมของอีก 2 ธาตุ โดยประมาณ กฎนี้ เรยี กวา Law of Triads รปู ท่ี 3.1 การจัดตารางธาตขุ อง Johann Dobereiner ตารางที่ 3.1 แสดงมวลอะตอมเฉลีย่ ของธาตบุ างกลุมตามกฎชุดสาม ธาตุ มวลอะตอม มวลอะตอมของธาตุแถวท่ี 1 และ 3 Li 6.940 Na 22.997 23.018 K 39.096 Cl 35.453 Br 79.909 81.197 I 126.197 - ค. ศ. 1866 John Newlands ไดจัดธาตุตาง ๆ เปนหมวดหมู โดยถาเรียงธาตุตามมวลอะตอมจากนอยไป มากพบวา ธาตทุ ี่ 8 จะมีสมบตั เิ หมือนกบั ธาตุท่ี 1 เสมอ แตจะใชไดถึงธาตแุ คลเซียมเทานน้ั Li Be B C N O F Na Mg Al Si P S Cl K Ca รปู ท่ี 3.2 การจัดตารางธาตขุ อง John Newlands - 2 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ ักษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ - ค.ศ 1869 Julius Lothar Meyer จัดตารางธาตุเปนหมวดหมู โดยนํามวลอะตอมของธาตุตาง ๆ มาเขียน กราฟกับสมบัติทางกายภาพตาง ๆ ของธาตุ เรียกวา Lothar Meyer’s Curves กราฟท่ีไดจะพบวาสมบัติตาง ๆ ของ ธาตจุ ะเพ่ิมขนึ้ แลว ลดลง แลวเพ่ิมขึน้ อีก ซํา้ ๆ กนั เปน ชว ง ๆ เม่อื มวลอะตอมของธาตุเพ่ิมข้นึ รูปท่ี 3.3 การจดั ตารางธาตขุ อง Julius Lothar Meyer - ในชว งเดียวกับ Julius Lothar Meyer มนี กั เคมีชาวรสั เซยี Dmitri Ivanovich Mendeleev ไดเสนอการจัดตารางธาตุออกมาในลักษณะคลาย ๆ กัน โดยพบวาสมบัติตาง ๆ ของธาตุสัมพันธกับมวลอะตอม ของธาตุ ตาม Periodic Law คือ “ สมบัติของธาตุเปนไปตามมวลอะตอมของธาตุโดยเปลี่ยนแปลงเปนชวง ๆ ตาม มวลอะตอมทเ่ี พมิ่ ขึน้ ” รูปที่ 3.4 การจัดตารางธาตขุ อง Dmitri Ivanovich Mendeleev - 3 - นางสาวจตุภรณ สวัสดริ์ ักษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ ชองวางที่เวนไวคือตําแหนงของธาตุที่ยังไมพบในสมัยน้ัน เนื่องจากตําแหนงของธาตุในตารางธาตุสัมพันธ กบั สมบัติของธาตุ ทาํ ใหเ มนเดเลเอฟสามารถทาํ นายสมบัตขิ องธาตุไวลวงหนา ไดดวย โดยการศกึ ษาสมบัตเิ กย่ี วกบั จดุ หลอมเหลว จุดเดือด ความถวงจําเพาะ และความรอนจําเพาะ รวมทั้งสมบัติเกี่ยวกับสารประกอบคลอไรด และ ออกไซด ตวั อยาง เชน ธาตทุ อ่ี ยูใ นชอ งวางใต Si เมนเดเลเอฟเรยี กช่อื วาธาตเุ อคาซลิ คิ อน อีก 15 ปตอมาคือในป พ.ศ. 2429 (ค.ศ. 1886) เคลเมนส วิงคเลอร (Clemens Winkler) นกั วิทยาศาสตรชาวเยอรมนั จงึ ไดพบธาตุนี้และเรียกช่ือวา ธาตเุ จอรเมเนยี ม (Ge) นน่ั เอง ตาราง 3.2 เปรยี บเทยี บสมบัติของเอคาซิลิคอนกบั เจอรเ มเนียม สมบัติ เอคาซลิ คิ อนทํานายเม่อื เจอรเ มเนยี มพบเม่ือ พ.ศ. 2429 (ค.ศ.1886) พ.ศ. 2414 (ค.ศ. 1871) 72.6 มวลอะตอม 72 เปนโลหะสีเทา สขี องธาตุ เปน โลหะสเี ทา 5.36 958 ความหนาแนน (g/cm3) 5.5 GeO2 4.70 จุดหลอมเหลว (0C ) สูง ไมละลายท่ี 25 0C สตู รของออกไซด GeO2 ความหนาแนนของออกไซด (g/cm3) 4.7 เมอื่ ผสมกบั กรดไฮโดรคลอริก ละลายไดเ ลก็ นอย นอกจากธาตุเอคาซิลิคอนแลว ยังมีธาตุอื่นที่เมนเดเลเอฟ ไดเรียกชื่อไวลวงหนา เชน ธาตุท่ีอยูใต B เรียกวา เอคาโบรอน ธาตทุ ีอ่ ยใู ต Al เรยี กวา เอคาอะลมู ิเนียม ซ่งึ ปจจบุ ันกค็ อื ธาตุ Se และ Ga ตามลาํ ดบั การจัดตารางธาตุของเมนเดเลเอฟนั้น ถายึดหลักการเรียงตามมวลอะตอมจากนอยไปหามากอยางเครงครัด จะทําใหธาตบุ างธาตุซง่ึ มีสมบตั ิแตกตางกนั อยูในหมูเดยี วกนั ทําใหต อ งยกเวนไมเ รียงตามมวลอะตอมบางแตเมนเดเล เอฟกไ็ มสามารถใหเ หตุผลไดว า เปนเพราะเหตุใดจงึ ตอ งเรียงลาํ ดับธาตุเชนนัน้ เนือ่ งจากในขณะนนั้ ยังไมม ีความเขาใจ เก่ยี วกบั โครงสรางของอะตอมมากพอ ตอมานักวิทยาศาสตรจึงสรางแนวคดิ ใหมวา ตาํ แหนงของธาตุในตารางธาตุไม ควรข้ึนอยูกับมวลอะตอม แตค วรจะข้ึนอยูก ับสมบตั อิ นื่ ๆ ทีส่ ัมพนั ธก บั มวลอะตอม - ค.ศ. 1913 Henry Moseley ไดจัดเรียงธาตุตามเลขอะตอมจากนอยไปหามาก ดังน้ันในปจจุบัน Periodic Law มีความหมายวา “สมบัติตาง ๆ ของธาตุจะข้ึนอยูกับเลขอะตอมของธาตุนั้น และข้ึนอยูกับการจัดอิเล็กตรอน ของธาตเุ หลานนั้ ” - 4 - นางสาวจตุภรณ สวัสดริ์ กั ษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ 3.2 ตารางธาตุในปจ จบุ ัน รปู ที่ 3.5 ตารางธาตปุ จ จุบัน ปจจุบันการจัดธาตุตามเลขอะตอมจากนอยไปหามาก โดยแบงธาตุออกเปนหมู (แนวตั้ง) ท้ังหมด 18 หมู และคาบ (แนวนอน) ท้ังหมด 7 คาบ ธาตุที่พบท้ังหมดในตารางธาตุมี 105 (มีรายงานการคนพบธาตุท่ี 110 และ 111 แลว แตกาํ ลังอยูระหวา งการทดสอบเพอ่ื ยืนยันและตงั้ ชอื่ ตอ ไป) ธาตใุ นแนวตัง้ แบง เปน 2 กลุมใหญ ๆ คือกลุม A และ B กลุม A มี 8 หมู คือหมู IA ถึง VIIIA สวน กลุม B ซ่ึงอยูระหวางหมู IIA และ IIIA มี 8 หมูเชนเดียวกัน คือ หมู IB ถึง VIIIB (แตมี 10 แนวตั้ง) เรียก ธาตกุ ลมุ B วา ธาตทุ รานซชิ ัน • ธาตุหมู I มีสมบัติเปนโลหะซ่ึงมีคุณสมบัติวองไวในการผสมธาตุมาก ธาตุหมู I เรียกวา alkalai metal และมอี ิเลก็ ตรอนวงนอกสดุ อยู 1 ตวั • ธาตุหมู II เปนธาตโุ ลหะ มีอเิ ล็กตรอนวงนอกสดุ 2 ตัว ธาตุทว่ี องไวทส่ี ดุ ในหมนู ้ี คอื เรเดียม (Ra) - 5 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดริ์ ักษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหัสวชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ • ธาตหุ มู III จะเร่ิมประกอบดว ยโลหะและอโลหะ มีอเิ ล็กตรอนวงนอกสุด 3 ตวั • ธาตุหมู IV มอี ิเล็กตรอนวงนอกสุด 4 ตวั • ธาตุหมู V ในตอนตน ๆ จะเปนอโลหะ ธาตุถัดมา เชน สารหนู (As) และอันติโนมี (Sb) จะแสดง คณุ สมบัตริ ะหวา งโลหะและอโหะก้าํ กึ่งกนั ลักษณะเชน นี้เรยี กวามสี มบตั เิ ปน metalloid • ธาตหุ มู VI ตอนตน หมจู ะมีธาตุที่มีสมบัติเปน อโลหะ แลวคอย ๆ เปน โลหะ • ธาตุหมู VII มชี อ่ื เรยี กวา Halogen group ธาตหุ มูน เี้ ปนอโลหะ ท่ีวองไวในการผสมธาตุมาก • ธาตุหมู VIII จัดเปนธาตุ Inert gas จึงไมคอยทําปฏิกิริยากับธาตุอื่น เพราะมีอิเล็กตรอนวงนอกสุด เทา กบั 8 หมูธาตุทรานซชิ ่ัน (Transition elements) ไดแ ก • Lanthanide series ประกอบดว ยธาตุท่ีมี Atomic number 57 - 70 เปนธาตทุ ี่หายากมาก • Actinide series ประกอบดวยธาตุที่มี Atomic number 89 - 102 ธาตุในหมูนี้มีคุณสมบัติเปนสาร กมั มันตรงั สี 3.2.1 การตั้งช่อื ธาตุท่ีคน พบใหม จากตารางธาตุจะพบวามีธาตุอยู 105 ธาตุ ซ่ึงยังมีการคนพบธาตุใหม ๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายธาตุ แตยังไมได กําหนดสัญลักษณท่ีแนนอนไวในตารางธาตุ ธาตุบางธาตุถูกคนพบโดยนักวิทยาศาสตรหลายคณะ ทําใหมีช่ือเรียก และสัญลกั ษณตางกนั เชน ธาตุที่ 104 คนพบโดยคณะนักวิทยาศาสตร 2 คณะ คือ คณะของนักวิทยาศาสตรสหรัฐอเมริกา ซ่ึง เรียกชื่อวา รัทเทอรฟอรเดียม (Ratherfordium) และใชสัญลักษณ Rf ในขณะท่ีคณะนักวิทยาศาสตรสหภาพโซเวีย ตเรียกช่ือวา เคอรซาโตเวยี ม (Kurchatovium) และใชส ัญลกั ษณ Ku ธาตุที่ 105 คนพบโดยคณะนกั วทิ ยาศาสตร 2 คณะเชน เดยี วกนั คือคณะนักวิทยาศาสตรสหรัฐอเมริกาเรียกช่ือ วา ฮาหเนียม (Hahnium) และใชสัญลักษณ Ha ในขณะที่นักวิทยาศาสตรสหภาพโซเวียตใชชื่อวา นิลสบอหเรียม (Neilbohrium) และใชส ญั ลักษณเ ปน Ns การท่ีคณะนักวิทยาศาสตรตางคณะตั้งช่ือแตกตางกัน ทําใหเกิดความสับสน International Union of Pure and Applied Chemistry (IUPAC) จึงไดกําหนดระบบการต้ังช่ือขึ้นใหม โดยใชกับชื่อธาตุที่มีเลขอะตอมเกิน 100 ข้ึนไป ทั้งนี้ใหต ง้ั ชือ่ ธาตโุ ดยระบเุ ลขอะตอมเปน ภาษาละติน แลว ลงทายดวย ium ระบบการนบั เลขในภาษาละตนิ เปนดังน้ี 0 = nil (นลิ ) 1 = un (อนุ ) 2 = bi (ไบ) 3 = tri (ไตร) 4 = quad (ควอด) 5 = pent (เพนท) - 6 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดร์ิ ักษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ 6 = hex (เฮกซ) 7 = sept (เซปท) 8 = oct (ออกตฺ) 9 = enn (เอนน) เชน ธาตทุ ี่ 104 ตามระบบ IUPAC อา นวา อนุ นลิ ควอเดียม (Unnilquadium) สัญลกั ษณ Unq ธาตทุ ี่ 105 ตามระบบ IUPAC อา นวา อุนนลิ เพนเทียม (Unnilpentium) สญั ลักษณ Unp ตวั อยา งท่ี 1 จงอา นชอ่ื ตามระบบ IUPAC พรอ มทง้ั เขียนสญั ลกั ษณข องธาตตุ อ ไปน้ี 1. ธาตทุ ี่ 106 =____________________________________________สัญลกั ษณ_ __________ 2. ธาตุท่ี 208 =____________________________________________สญั ลักษณ_ __________ 3. ธาตุท่ี 119 =____________________________________________สญั ลักษณ_ __________ 4. ธาตทุ ี่ 135 =____________________________________________สญั ลกั ษณ___________ 5. ธาตุท่ี 374 =____________________________________________สญั ลักษณ_ __________ การจัดตารางธาตุเปนหมูเปนคาบ ทําใหศึกษาสมบัติตาง ๆ ของธาตุไดงายข้ึน สามารถทํานายสมบัติบาง ประการของธาตุบางธาตุได กลาวคือธาตุที่อยูในหมูเดียวกันจะมีสมบัติตาง ๆ คลาย ๆ กัน และธาตุท่ีอยูในคาบ เดียวกนั จะมีแนวโนม ของการเปลยี่ นแปลงสมบัติตาง ๆ ตอเนือ่ งกนั ไป 3.2.2 การจัดอิเลก็ ตรอนของธาตุในตารางธาตุ การแบงธาตุตามหมูและตามคาบมีความสัมพันธกับโครงแบบอิเล็กตรอนของธาตุ คือ ธาตุในหมูเดียวกันมี จํานวนอิเล็กตรอนนอกสดุ หรือเวเลนซอ เิ ล็กตรอนเทา กนั เสมอ เชน ธาตุหมู IA ทกุ ธาตมุ เี วเลนซอ เิ ลก็ ตรอนเทา กับ 1 หมู IIA มีเวเลนซอิเล็กตรอนเทากับ 2 และธาตุเรพรีเซนเททีฟทุกหมูมีจํานวนเวเลนซอิเล็กตรอนเทากับเลขช่ือหมู นนั้ ดวย สาํ หรับธาตทุ ี่อยใู นคาบเดียวกันจะมเี วเลนซอิเล็กตรอนที่ระดับพลังงานหลัก (n) นอกสุดระดับเดียวกันเสมอ โดยมีอิเล็กตรอนเพ่ิมขึ้นจากซายไปขวาของคาบ เชน 19K 20Ca 21Sc เปนธาตุในคาบท่ี 4 มีเวเลนซอิเล็กตรอน ดังน้ี K (4s1) Ca (4s2) และ Sc (4s2 3d1) การท่ีธาตุตาง ๆ มีการจัดอิเล็กตรอนเปนลักษณะเฉพาะที่แบงไดตามคาบและ ตามหมูน ี้ จงึ เรียกวา โครงแบบอิเลก็ ตรอน มีลกั ษณะเปนพริ ิออดิกอยา งหนึง่ ดวย สําหรับกาซมีสกุล ทุกธาตุมีอิเล็กตรอนเต็มใน s- และ p-ออรบิทัล เชน He (1s2) Ne (2s2 2p6) Ar (3s2 3p6) - 7 - นางสาวจตุภรณ สวสั ดริ์ ักษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ รูปที่ 3.6 การจัดเรยี งอเิ ล็กตรอนในตารางธาตุ ตวั อยางที่ 2 จงเตมิ ขอความตอ ไปนใี้ หส มบูรณ คาบที่ หมูท ่ี สญั ลักษณธ าตุ เลขอะตอม โครงแบบอเิ ล็กตรอน _____ _____ __________ 8 _________________ _____ _____ __________ 36 _________________ _____ _____ __________ 42 _________________ _____ _____ __________ 50 _________________ - 8 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดร์ิ กั ษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ 3.3 สมบัตขิ องธาตตุ ามหมแู ละตามคาบ 3.3.1 แรงดึงดดู ของนิวเคลยี ส (Zeff) บงบอกถงึ อเิ ล็กตรอนทอี่ ยูในชั้นนอกสดุ วาสามารถถูกดดู โดยประจุท่นี ิวเคลยี สไดม ากนอ ยเพยี งใด ทาํ ใหพบวา ถา จํานวนอเิ ล็กตรอนมากข้นึ แรงดงึ ดดู ของนิวเคลยี สจะมากข้ึน ดวย ทําให Zeff มากขึ้น Element รูปที่ 3.7 แรงดงึ ดูดภายในนิวเคลียส Atomic# Zeff Al Si P S Cl Ar 13 14 15 16 17 18 1+ 2+ 3+ 4+ 5+ 6+ รูปท่ี 3.8 กราฟแสดงความสัมพันธระหวางขนาดอะตอมกับแรงดงึ ดดู ของนวิ เคลยี ส - 9 - นางสาวจตุภรณ สวัสดริ์ ักษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ 3.3.2 ขนาดอะตอม การพจิ ารณาแนวโนมของขนาดอะตอม หรอื เปรียบเทียบขนาดขงอะตอมสวนใหญใชคารัศมีอะตอม ซ่ึงอาจ ใชหนว ยเปนพิโกเมตร ( pm ) หรอื แองสตรอม ( A๐ ) ในการวดั รัศมีของอะตอม สามารถทาํ ไดห ลายวธิ ีดังน้ี 1. ถา อะตอมรวมตวั กันดวยพนั ธะโคเวเลนต เมือ่ วดั ระยะระหวา งนิวเคลยี สทั้งสองแลวหารดว ย 2 จะไดรัศมีอะตอมเรียกวา รัศมโี คเวเลนต รัศมีโคเวเลนต คอื ระยะทางครงึ่ หนึ่งของความยาวพนั ธะโคเวเลนต ระหวา งอะตอม ชนิดเดยี วกนั ความยาวพนั ธะ Cl-Cl = 198/2 = 99 pm ถาความยาวพันธะ C-Cl = 176 pm = 77 pm รัศมีอะตอมของ Cl = 99 pm ดังน้ันรัศมีอะตอมของ C = (176-99) 2. ถาโมเลกลุ สองโมเลกลุ ยดึ เหนี่ยวกันดวยแรงแวนเดอรว าลส ระยะระหวางนวิ เคลยี สของ อะตอมทงั้ สองของแตละโมเลกลุ หารดว ย 2 จะไดรศั มีอะตอมซง่ึ เรยี กวา รัศมีแวนเดอรว าลส รัศมีแวนเดอรว าลส คือระยะทางครงึ่ หนง่ึ ของระยะ ระหวางนิวเคลยี สของอะตอมท่ีอยูใกลท ่สี ดุ H2 Kr Kr รศั มแี วนเดอรว าลสของ Kr = 200 pm รศั มแี วนเดอรว าลสของ H = 120 pm - 10 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ กั ษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ 3. ถา วดั ระยะระหวางนวิ เคลยี สของอะตอมภายในผลึกของโลหะแลวหารดว ย 2 จะไดร ศั มอี ะตอม เรยี กวา Metallic radius เพราะอะตอมยดึ เหนยี่ วกนั ดวยพันธะโลหะ รศั มีอะตอมทีห่ าไดในแตละวธิ ีจะมคี า ไมเ ทา กันถึงแมวาจะเปนอะตอมของธาตเุ ดียวกันกต็ าม ความสัมพนั ธระหวา งขนาดอะตอมกับตารางธาตุ ถาพิจารณาธาตุทุก ๆ หมูและทุก ๆ คาบในตารางธาตุ อาจแสดงแนวโนมของขนาดอะตอมไดดังแผนภาพ ตอ ไปนี้ รปู ท่ี 3.9 ขนาดอะตอมตามตาราง จากแนวโนมดังกลาว จึงสามารถสรุปขนาดของอะตอมหรือรัศมีอะตอมของธาตุในหมูเดียวกัน และในคาบ เดยี วกันไดด งั น้ี ก. ธาตุในหมูเดยี วกัน เมอื่ เลขอะตอมเพม่ิ ขน้ึ ขนาดอะตอมจะใหญขนึ้ เพราะธาตใุ นหมเู ดยี วกนั เมอ่ื เม่ือเลขอะตอมเพ่ิมขึ้น จะมีจํานวนระดับพลังงานเพิ่มขึ้น แมวาจํานวนโปรตอนจะเพ่ิมขึ้นดวยก็ตาม แตแรงดึงดูดตอ เวเลนซอิเล็กตรอนมีนอย จึงทําใหขนาดใหญข้ึน กลาวไดวากรณีน้ีการเพิ่มระดับพลังงานมีผลมากกวาการเพ่ิมจํานวน โปรตอน ข. ธาตุในคาบเดียวกัน เมื่อเลขอะตอมเพิ่มข้ึน ขนาดอะตอมจะเล็กลง เนื่องจากธาตุในคาบเดียวกันมีจํานวน ระดับพลังงานเทากัน แตเมื่อเลขอะตอมเพิ่ม จํานวนโปรตอนจะเพิ่มข้ึนดวย แรงดึงดูดระหวางนิวเคลียสกับเวเลนซ อิเลก็ ตรอนเพมิ่ ขึ้น ขนาดจงึ ลดลง - 11 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ ักษา ครูวิชาการ
1A เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 3Li 2, 1 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ 11Na 2, 8, 1 19K 2, 8, 8, 1 7A 9F 2, 7 3.3.3 ขนาดไอออน 17Cl 2, 8, 7 35Br 2, 8, 18, 7 รูปท่ี 3.10 รัศมีไอออนของ Mg2+ และ O2- รศั มไี อออน คอื ระยะระหวา งนิวเคลียสของไอออนคูหนง่ึ ๆ ท่ีมีแรงยดึ เหน่ยี วซ่งึ กนั และกันในโครงผลกึ ก. ไอออนของโลหะ โลหะ e- 2, 8, 1 2, 8 อะตอม ⇒ เสีย e- → p > e- ⇒ ไอออนบวก → การเกดิ ไอออนบวกนนั้ ขนาดของไอออนเล็กกวาอะตอมเดมิ เพราะ 1) ระดับพลังงานลดลง 2) จํานวนโปรตอน > จํานวนอเิ ล็กตรอน ª สงผลให แรงดึงดูด Nucleus - e- มีคาสงู ª e- จึงเขา ใกลน วิ เคลยี สไดม าก → ขนาดจึงเลก็ ลง - 12 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดริ์ ักษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ พิจารณาขนาดของไอออนของโลหะในหมูแ ละในคาบเดียวกัน ดงั ตอไปน้ี ตาราง 3.3 เปรียบเทยี บขนาดของไอออนของโลหะในหมเู ดยี วกัน (หมู IIA) ธาตหุ มู เลขอะตอม ไอออน รศั มีไอออน (pm) รศั มีอะตอม (pm) IIA Be 4 Be2+ 31 111 Mg 12 Mg2+ 65 160 Ca 20 Ca2+ 99 197 Sr 38 Sr2+ 113 215 Ba 56 Ba2+ 135 217 ตาราง 3.4 เปรียบเทยี บขนาดไอออนของโลหะในคาบเดียวกัน (คาบที่ 3) ธาตุ Na Mg Al เลขอะตอม 11 12 13 ไอออน Na+ Mg2+ Al3+ รศั มีไอออน (pm) 95 65 50 รัศมีอะตอม (pm) 186 160 143 จะเห็นไดวา “ไอออนของโลหะในหมูเดียวกันจะมีขนาดใหญขึ้นเม่ือเลขอะตอมเพ่ิมข้ึน” และ“ไอออนของโลหะใน คาบเดียวกนั จะมีขนาดเล็กลงเม่อื เลขอะตอมเพิม่ ขึ้น” ข. ไอออนของอโลหะ อโลหะ e- 2, 8, 7 2, 8, 8 อะตอม ⇒ รบั e- → e- > p ⇒ ไอออนลบ → การเกดิ ไอออนลบน้นั ขนาดของไอออนใหญกวา อะตอมเดิม เพราะ ª e- ทร่ี บั เพมิ่ เขามาจะผลักกบั e- เดมิ ทาํ ให e- อยูไกลจากนิวเคลียสมากข้นึ ª ขนาดไอออนจงึ ใหญข น้ึ - 13 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดร์ิ กั ษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ พจิ ารณาขนาดของไอออนของอโลหะในหมูและในคาบเดียวกนั ดงั ตอ ไปนี้ ตาราง 3.5 เปรียบเทียบขนาดของไอออนของโลหะในหมูเดียวกัน (หมู VIIA) ธาตหุ มู เลขอะตอม ไอออน รัศมีไอออน (pm) รศั มีอะตอม (pm) VIIA F 9 F- 136 71 Cl 17 Cl- 181 99 Br 35 Br- 195 114 I 53 I- 216 133 ตาราง 3.6 เปรียบเทยี บขนาดไอออนของโลหะในคาบเดยี วกนั (คาบท่ี 3) ธาตุ P S Cl เลขอะตอม 15 16 17 ไอออน P3- S2- Cl- รศั มีไอออน (pm) P 184 181 212 รัศมอี ะตอม (pm) 110 102 99 จะเหน็ ไดว า “ไอออนของอโลหะในหมเู ดียวกัน จะมขี นาดใหญข นึ้ เมอื่ เลขอะตอมเพ่ิมขึ้น” และ “ไอออนของโลหะในคาบ เดยี วกนั จะมขี นาดเลก็ ลง เมือ่ เลขอะตอมเพมิ่ ขึน้ ” จะเห็นไดวา ท้ังไอออนของโลหะและอโลหะในหมูเดียวกัน จะมีขนาดใหญข้ึน เม่ือเลขอะตอมเพ่ิมข้ึน สาํ หรบั ไอออนในคาบเดียวกัน ถาพิจารณาแยกกันระหวางโลหะกับอโลหะ จะมีแนวโนมเปนอยางเดียวกันคือมีขนาด เลก็ ลง เม่อื เลขอะตอมเพม่ิ ขึ้น แตเ ม่ือมาพิจารณารวมกันแนวโนม ของขนาดจะไมเปน ดงั ทกี่ ลาวแลว ตาราง 3.7 เปรยี บเทยี บขนาดของไอออนของธาตใุ นคาบที่ 3 ธาตุ Li Be B C N O F เลขอะตอม 34 5 6 7 8 9 ไอออน Li+ Be2+ B3+ C4- N3- O2- F- รัศมีไอออน (pm) 68 31 20 260 171 140 136 รัศมีอะตอม (pm) 152 111 79 77 74 73 71 - 14 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดร์ิ กั ษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณ เม่อื เขยี นแผนภาพแสดงขนาด จะไดแ นวโนมของการเปล่ียนแปลงดงั น้ี รูปที่ 3.11 แนวโนมขนาดของไอออนในคาบเดียวกนั เปรยี บเทียบกบั ขนาดอะตอม ค. ไอออนที่มจี าํ นวนอิเล็กตรอนเทากัน พจิ ารณาขนาดของไอออนตางๆ ทม่ี จี ํานวนอิเล็กตรอนเทา กนั ทงั้ ไอออนบวกและไอออนลบ ดังตอ ไปน้ี ตาราง 3.8 แสดงขนาดของไอออนตางๆ ทีม่ ี 10 อเิ ลก็ ตรอนเทา กัน เลขอะตอม 6789 11 12 13 ไอออน C4- N3- O2- F- Na+ Mg2+ Al3+ จาํ นวนอิเล็กตรอน 10 10 10 10 10 10 10 รศั มีไอออน (pm) 260 171 140 136 98 65 45 จากตาราง จะเห็นไดวา ขนาดของไอออนท่ีมี 10 อิเล็กตรอนเทากัน เรียงลําดับจากใหญไปหาเล็กไดดังน้ี C4- > N3- > O2- > F- > Na+ > Mg2+ > Al3+ ทาํ ใหส รปุ ไดด ังนี้ “สาํ หรับไอออนทม่ี จี าํ นวนอเิ ลก็ ตรอนเทา กันไอออนทม่ี ปี ระจุลบมากทส่ี ดุ จะมี ขนาดใหญทสี่ ดุ ขณะทีไ่ อออนทม่ี ีประจบุ วกมากท่ีสดุ จะมขี นาดเล็กท่ีสดุ ” 3.3.4 พลงั งานไอออไนเซชัน พลงั งานที่ใชดึง e- หลดุ ออกจาก + อะตอมในสถานะกา ซ Na(g) Na+ + e- (ดูดความรอ น) IE สูง ⇒ อะตอมใดมีขนาดเล็ก จะทําใหดึง e- ออกยาก ⇒ IE ตํา่ ⇒ อะตอมใดมีขนาดใหญ จะทําใหด งึ e- ออกงา ย ⇒ - 15 - นางสาวจตุภรณ สวสั ดร์ิ ักษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ ก. ธาตุในหมูเดียวกัน คา IE1 จะลดลงเม่ือเลขอะตอมเพิ่มขึ้น ทั้งน้ีเพาะธาตุในหมูเดียวกัน เม่ือเลขอะตอม เพ่ิมข้ึนขนาดของอะตอมจะใหญขึ้น การดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอมขนาดใหญ (ซึ่งมีแรงดึงดูดระหวาง อิเล็กตรอนระดับนอกกับนิวเคลียสนอย) ยอมงายกวาการดึงอิเล็กตรอนจากอะตอมเล็ก (ที่มีแรงดึงดูดระหวาง อิเล็กตรอนระดับนอกกับนิวเคลียสมาก) ข. ธาตุในคาบเดียวกัน คา IE1 จะเพิ่มข้ึนเม่ือเลขอะตอมเพ่ิมข้ึน ทั้งน้ีเพราะขนาดอะตอมเล็กลงการดึงดูด ระหวางอเิ ลก็ ตรอนระดับนอกกับนิวเคลียสเพิ่มข้ึน การดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอมทําไดยากข้ึน คาพลังงานไอออ ไนเซชนั จึงสงู ข้ึน จะเห็นไดวาธาตุในหมูเดียวกันเมื่อเลขอะตอมเพ่ิมข้ึน คา IE1 ลดลงตามลําดับ แตธาตุในคาบเดียวกัน เม่ือเลข อะตอมเพ่ิมข้ึน คา IE1 สวนใหญเพ่ิมขึ้น แตมีบางธาตุคา IE1 ลดลงอยางไรก็ตามเมื่อพิจารณาโดยรวม ก็จะพบวาใน คาบเดยี วกันเมือ่ เลขอะตอมเพิม่ ขน้ึ คา IE1 มีแนวโนมเพม่ิ ข้ึน แนวโนมของคา IE ในตารางธาตุ IE เพ่ิม พจิ ารณา Mg → Mg++ e- IE1 IE Mg → Mg2++ e- IE2 ลด IE1 > IE2 ตามหมู ⇒ ระดับพลงั งานมากขนึ้ ⇒ e- อยไู กล Nu มาก ⇒e- หลดุ งาย ; IE ตาํ่ ตามคาบ⇒ จํานวนประจบุ วกเพิ่มมากขนึ้ ⇒ e- ถกู ดงึ ดูดมาอยูใ กล Nu ไดม าก ⇒ e- หลดุ ยาก ; IE สงู ª คา IE พจิ ารณาความเปน โลหะได ⇒ โดยโลหะทีด่ จี ะเสยี e- ไดงาย ⇒ IE ต่ํา ขอยกเวน N Be O IE B IE Mg P Al S เลขอะตอม - 16 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ ักษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรยี นมหิดลวิทยานสุ รณ จากกราฟ ⇒ แสดงคา IE ของธาตใุ นคาบ 2 และ 3 ซงึ่ พบวา คา IE ไมไ ดเพิม่ ข้นึ เสมอไป ª ท้ังนขี้ น้ึ กับการจดั เรยี ง e- ในอะตอม 4Be เสถยี ร (เต็ม field) 5B 2s 2p ª Be มี e- บรรจอุ ยูเต็ม field จงึ เสถียร (ไมชอบเสีย e- ; IE สงู ) ª สาํ หรับ B หากเสยี e- ไป 1 ตวั จะทาํ ใหอยใู นรูปแบบท่เี สถยี รเต็ม field ดงั น้นั B จึงชอบเสยี e- (IE ตาํ่ ) 7N เสถียร (half field) 6O 2p 2s ª N มี e- บรรจแุ บบ half field จงึ เสถยี ร (IE สงู ) ª สว น O หากเสียe- ไป 1 ตัว จะทาํ ใหอ ยใู นรูปแบบทีเ่ สถียรขน้ึ เปน half field ดังนัน้ O จงึ ชอบเสยี e- (IE ตํ่า) รปู ท่ี 3.12 แนวโนมพลงั งานไอออไนเซชนั ตามตารางธาตุ 3.3.5 อเิ ล็กตรอนอฟั ฟนติ ี อิเล็กตรอนอัฟฟนิตี (Electron affinity) หมายถึง พลังงานท่ีคายออกมาเม่ืออะตอมที่เปนกลางในภาวะกาซ รับอเิ ล็กตรอน 1 ตัว กลายเปน ไอออนลบในสภาวะกาซ ดังสมการ X (g) + e- → X- (g) + พลังงาน - 17 - นางสาวจตุภรณ สวสั ดร์ิ กั ษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ พลังงานนี้คือ พลังงานอเิ ลก็ ตรอนอฟั ฟนิตีน่ันเอง Cl(g) + e- พลังงานทอ่ี ะตอมคาย ออกมาหลังจากรับ e- Cl- แนวโนมของคา EA ในตารางธาตุ รบั e- งา ย ยาก EA สูง EA ต่าํ ⇒ อะตอมท่ีมขี นาดใหญ จะรับ e- ไดไ มด ี เพราะ e- ท่รี บั เขา มาใหมจ ะไดรับแรงดึงดูดจาก Nucleus ไดน อย จึงพรอมทจ่ี ะหลุดออกไปอีกไดงา ย ∴ EA จะต่ํา ⇒ แตถาอะตอมขนาดเล็ก จะรบั e- ไดดี เพราะ e- ทเ่ี ขา มาใหมจ ะถกู ดงึ ดดู ดว ย Nucleus ไดมาก ∴ EA จะ สงู ก. ธาตุในหมเู ดยี วกัน คาสมั พรรคภาพอิเล็กตรอนลดลงจากบนลงลาง เพราะธาตุขางบนมีขนาดเล็กกวาธาตุ ขางลาง จึงมีแรงดึงดูดระหวางประจุบวกที่นิวเคลียสกับอิเล็กตรอนท่ีเพ่ิมเขาในอะตอมไดมากกวา ระยะทางจาก นวิ เคลียสถงึ ขอบเขตของอะตอมส้ันกวาอะตอมที่มีขนาดใหญที่อยูขางลางของหมู ธาตุขางบนรับอิเล็กตรอนไดดีกวา ธาตุขางลา ง EA จึงมากกวา ข. ธาตุในคาบเดียวกัน คาสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนเพิ่มข้ึนจากซายไปขวาของตารางธาตุ เพราะธาตุทางขวามี ขนาดเล็กกวา ธาตุทางซา ยมอื จะรบั e- ไดดกี วา e- ที่เขามาใหมจ ะถูกดึงดดู ดวย Nucleus ไดมาก EA จะ สูง - 18 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดริ์ กั ษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณ รูปที่ 3.13 คา สมั พรรคภาพอิเล็กตรอนในตารางธาตุ หนวยของพลังงานอิเล็กตรอนอัฟฟนิตีจะเหมือนกับพลังงานไอออไนเซชันคือ kJ/mol หรือ หนวยท่ีใหญ กวา MJ/mol และหนว ยที่เลก็ กวาคือ eV ธาตุที่มีอิเล็กตรอนอัฟฟนิตีสูง จะคายพลังงานออกมามากเม่ือรับอิเล็กตรอนเขาไป ทําใหเกิดไอออนลบที่มี ความเสถียรมาก ดังนั้นอิเล็กตรอนอัฟฟนิตีจึงใชทํานายความสามารถในการเปนไอออนลบ กลาวคือ ธาตุที่มี อเิ ลก็ ตรอนอัฟฟน ิตีสูง จะสามารถเกดิ เปน ไอออนลบไดง า ยกวาธาตทุ มี่ ีอิเลก็ ตรอนอฟั ฟน ติ ีตา่ํ ปจ จยั ท่ีมผี ลตอ คา อเิ ล็กตรอนอัฟฟน ิตี เหมือนกับปจจัยท่ีมีผลตอพลังงานไอออไนเซชันและอิเล็กโทรเนกาติวิตี คือข้ึนอยูกับขนาดของอะตอมและ ประจุในนิวเคลยี ส ก. ขนาดของอะตอม อะตอมที่มีขนาดเล็ก จะมีอเิ ลก็ ตรอนอัฟฟน ิตีมากกวา อะตอมทม่ี ีขนาดใหญ ข. ประจุในนิวเคลียส อะตอมท่ีมีประจุในนิวเคลียสมาก จะมีอิเล็กตรอนอัฟฟนีตีมากกวาอะตอมท่ีมีประจุใน นวิ เคลยี สนอย ปจจัยเกีย่ วกับขนาดของอะตอมจะมผี ลตออิเล็กตรอนอัฟฟน ติ มี ากกวาประจุในนิวเคลยี ส ขอยกเวน 1) ธาตุในคาบที่ 2 จะมคี า EA นอ ยกวา คาบท่ี 3 เพราะขนาดของอะตอมในคาบท่ี 2 จะเลก็ มาก ทําใหe - ท่รี ับเขา ไปใหมเ กดิ แรงผลักกับ e- เดมิ ไดงาย ทําใหอ ะตอมไมเสถยี ร ดังน้นั EA จะต่าํ เพราะอะตอมไมชอบทีจ่ ะรับ e- 2) ธาตใุ นหมู 4A มี EA มากกวาหมู 5A เพราะการจดั เรียง e- เชน 6C half field 7N 2p 2s - 19 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ กั ษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหัสวชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ ª N มกี ารจดั เรียง e- ท่เี สถียร (half field) จงึ ไมช อบรบั e- ∴ EA ตาํ่ ª สว น C ชอบรับ e- เพราะเม่ือรับ e- เขา มา 1 ตัว จะทําใหเ สถียรขน้ึ ∴ EA สงู 3.3.6 อิเลก็ โตรเนกาติวติ ้ี (EN) อิเล็กโตรเนกาติวิต้ี ( Electronegativity ) เปนคาสมมติท่ีแสดงความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอนคูรวม พันธะ (V e-) จาก Nucleus H2 ⇒ F2 ⇒ e- ครู ว มพนั ธะ EN ตํ่า EN สงู ª e- ครู ว มพนั ธะของอะตอมท่มี ขี นาดเล็ก จะไดร ับแรงดึงดดู จาก Nucleus มาก ∴ EN สูง ª สว น e- คูรว มพันธะของอะตอมท่มี ีขนาดใหญ จะไดรับแรงดงึ ดดู จาก Nucleus นอย ∴ EN ตา่ํ อะตอมท่ีมีสภาพไฟฟาลบมาก จะดึงอิเล็กตรอนท่ีใชรวมกันในการเกิดพันธะโคเวเลนตเขาหาตัวเองได มากกวา ไดมีผูหาคาสภาพไฟฟาลบไวหลายแบบ แตที่นิยมใชอางอิงมากที่สุด คือ ของพอลิง ( linus Pauling ) โดย กําหนดใหฟลูออรีนมีคาสภาพไฟฟาลบมากที่สุด คือ เทากับ 4.0 และซีเซียม ( Cs ) มีสภาพไฟฟาลบนอยท่ีสุด คือ เทากับ 0.7 คาอิเล็กโตรเนกะติวิตีตามตารางของพอลิงคํานวณจากการใชพลังงานพันธะ ซึ่งพอลิงไมไดกําหนดคา สาํ หรบั แกส เฉื่อยหรือแกสมีตระกลู ทงั้ น้เี น่อื งจากแกสเหลา นโี้ ดยปกติไมเกิดสารประกอบ พจิ ารณาคา อิเลก็ โตรเนกาติวติ ขี องธาตใุ นตาราง จะเห็นแนวโนม อยา งเดน ชัดซ่งึ พอสรปุ ไดวา ก. ธาตุหมูเดียวกัน คา EN จะลดลงจากบนลงลาง เพราะขนาดอะตอมใหญข้ึนทําใหนิวเคลียสมีโอกาส ดึงดูดอเิ ล็กตรอนไดน อยกวา อะตอมทมี่ ีขนาดเล็ก EN จึงตํา่ ลง ข. ธาตุในคาบเดียวกัน คา EN จะเพิ่มขึ้นจากซายไปขวา เพราะขนาดอะตอมเล็กลงทําใหไดรับแรงดึงดูด จากนิวเคลียสมากกวา อะตอมทมี่ ีขนาดใหญ EN จึงสงู ข้ึน - 20 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดริ์ กั ษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรยี นมหิดลวิทยานสุ รณ รปู ที่ 3.14 คา อเิ ลก็ โตรเนกาตวิ ติ ขี องธาตใุ นตารางธาตุ 3.3.7 การหลอมเหลวและกลายเปนไอ การหลอมเหลวและกลายเปนไอเปนการใชพลังงานความรอนแยกโมเลกุลที่จัดตัวเปนระเบียบใผลึกใหหาง จากกัน เคล่ือนท่ไี ปมาไดบ า งจนถึงแยกจากกนั โดยเดด็ ขาดในสภาวะกาซ ในกรณีทีธ่ าตมุ ีโครงสรางเปนโมเลกุลเดี่ยว พลังงานความรอนจะไปทําลายแรงแวนเดอรวาลสซึ่งออน ธาตุกลุมนี้จึงมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดคอนขางตํ่า แต จะสงู ข้ึนเมอ่ื โมเลกลุ มีขนาดใหญข ึน้ แตถาเปนโลหะหรือพวกโครงรางตาขาย ความรอนที่ใชตองไปทําลายพันธะโลหะหรือพันธะโคเวเลนต ตามลาํ ดบั จงึ ตอ งใชพลงั งานมากกวา โลหะทรานซิชันเปนกลุมท่ีมีจุดเดือดสูงมาก รองลงมาก็ไดแกกลุมโครงรางตา ขาย แนวโนมของการเปลี่ยนแปลงจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของธาตุตาง ๆ ในตารางธาตุตามหมูและคาบซ่ึงพอ สรุปไดดังน้ี - ธาตใุ นหมูเดยี วกัน ก. โลหะในหมูเดียวกัน คือ หมู IA , IIA, และ IIIA “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมีแนวโนมลดลง เม่ือเลขอะตอมเพ่ิมข้ึน” เนื่องจากความแขง็ แรงของพันธะโลหะลดลง เพราะมีขนาดอะตอมใหญขึน้ ข. อโลหะในหมูเดียวกัน คือ หมู VIA , VIIA, และ VIIIA “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมีแนวโนมเพิ่มข้ึน เมื่อเลขอะตอมเพ่ิมขึ้น” เนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหวางโมเลกุลคือแรงวันเดอรวาลสเพ่ิมขึ้น เพราะมวลโมเลกุลและ ขนาดโมเลกลุ เพม่ิ ขนึ้ หมายเหตุ สําหรับธาตุหมู IVA และ VA จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมีแนวโนมของการเปล่ียนแปลงไมชัดเจน เน่ืองจากมโี ครงสรางและแรงยึดเหนยี่ วระหวา งอะตอมท่แี ตกตางกัน - 21 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดร์ิ กั ษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ - ธาตุในคาบเดียวกัน ก. โลหะในคาบเดียวกัน คือ โลหะในหมู IA , IIA, และ IIIA ในคาบตางๆ “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมี แนวโนมสงขึ้น เมื่อเลขอะตอมเพ่ิมข้ึน” เน่ืองจากมีพันธะโลหะท่ีแข็งแรงมากข้ึน ทั้งน้ีเพราะอะตอมมีขนาดเล็กลง และมจี ํานวนเวเลนตอ เิ ล็กตรอนเพม่ิ ขนึ้ ข. อโลหะในคาบเดียวกัน คือ อโลหะ หมู VA, VIA , VIIA, และ VIIIA “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมี แนวโนมลดต่ําลงเมื่อเลขอะตอมเพิ่มข้ึน” เน่ืองจากแรงยึดเหน่ียวระหวางโมเลกุลคือ แรงวันเดอรวาลสมีคาลดลง เพราะขนาดของโมเลกุลเล็กลง โดยเฉพาะกาซเฉื่อยเปนกาซประเภทโมเลกุลเดี่ยว และมีขนาดเล็ก มีจุดหลอมเหลว และจดุ เดือดต่ํามาก อาจแสดงแนวโนมของการเปล่ียนแปลงจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของธาตุตางๆ ตามหมูและตามคาบ (ยกเวน ธาตแุ ทรนซิชนั และธาตุบางธาตุ) ไดดังแผนภาพตอไปน้ี รปู ท่ี 3.15 การเปรียบเทยี บจุดหลอมเหลวและจุดเดอื ดของธาตเุ รพรเี ซนเตตฟิ ตามคาบและตามหมู 3.3.8 การนําไฟฟาและความรอ น ธาตุบริสุทธ์ิสามารถนําไฟฟาและความรอนไดถามีอิเล็กตรอนอิสระ สมบัติขอน้ีใชแบงธาตุออกเปนโลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ โดย • โลหะ เปนตัวนําที่ดี มีความสามารถในการนําไฟฟาสูงกวา 1 x 10-4 ohm-1 cm-1 และการนําไฟฟาจะลดลง เมื่ออณุ หภมู สิ งู ขึ้น • อโลหะ เปนฉนวนมคี วามตานทานสูงมาก • กึ่งโลหะ นําไฟฟาไดเล็กนอ ย แตจะนาํ ไฟฟาไดด ขี ้นึ เมอ่ื อณุ หภูมิสูงข้นึ - 22 - นางสาวจตุภรณ สวสั ดร์ิ กั ษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหัสวชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ 3.3.9 เลขออกซิเดชัน เลขออกซิเดชัน ( Oxidation Number ) เปนตัวเลขเพ่ือแสดงคาประจุไฟฟาหรือประจุไฟฟาสมมติของไอออน หรอื อะตอมของธาตุ ซึง่ สว นใหญเ ปน เลขจํานวนเตม็ รวมทง้ั ศนู ยแ ละอาจมเี ครื่องหมายเปนบวกหรอื ลบก็ได ธาตุหมูตาง ๆ เม่ือเกิดสารประกอบมักจะแสดงเลขออกซิเดชันท่ีมีคาเทากับเลขหมูน้ัน โดยเฉพาะธาตุกลุม s หมู IA และ IIA มีเลขออกซิเดชนั เปน +1 และ +2 ตามลําดับ แตธาตุในกลุมอื่น ๆ สวนใหญจะมีเลขออกซิเดชัน มากกวา 1 คา โลหะในกลุม p เชน หมู IIIA, ธาตุหนักในหมู IVA จะมีเลขออกซิเดชันสองคาหางกัน 2 หนวย ซึ่ง สอดคลองกบั การจัดเวเลนซอิเล็กตรอนแบบ ns2npx เชนโลหะหมู IIIA (ns2 np1) อาจมีเลขออกซิเดชันเปน +1, +3 ธาตุที่หนักขึ้น เลขออกซิเดชันคาตํ่าจะเสถียรมากขึ้น เชน ในหมู IIIA Al มีเพียง +3 In มีทั้ง +1 และ +3 Tl สว นใหญจ ะเปน +1 โลหะในกลุม d และ f สวนมากจะมีเลขออกซเิ ดชันหลายคา หางกนั 1 หนวย หรือมาก กวา ท้ังนี้เนื่องจากธาตุเหลานี้มีหลายเวเลนซอิเล็กตรอน และพลังงานไอออไนเซชันลําดับตาง ๆ มีคาไมตางกันมาก นกั แนวโนมท่ีตา งกบั โลหะกลมุ p อกี ประการหนึง่ คือ ธาตทุ ่ีหนักข้ึนมกั แสดงเลขออกซเิ ดชันคาสูงมากกวาคาต่ํา สาํ หรบั อโลหะ ถาปรากฏเปน ไอออนลบในสารประกอบมกั แสดงเลขออกซิเดชนั คาเดียว คือ เทากับจํานวนอิเล็กตรอนที่รับเขามาเพ่ือใหเปนไปตามกฎออกเตต เชน Cl- , S2- , O2- แตถาเกิดเปนสารประกอบ โคเวเลนซก็อาจมเี ลขออกซิเดชนั คา บวกหรือลบไดแลวแตวา สรางพันธะกับธาตใุ ด ในการกาํ หนดตัวเลขออกซเิ ดชันจะตอ งมีการตกลงกนั กอ นวา จะตอ งมกี ฎเกณฑอยา งเดยี วกนั กฎดังกลาวคอื 1. อะตอมของธาตุตาง ๆ ในสภาวะอิสระ ไมวาจะอยูในรูปที่เปนอะตอมเดียว หรือโมเลกุล จะมีเลข ออกซเิ ดชันเทา กับศูนย เชน Na Be He O2 S8 2. ไอออนที่มอี ะตอมเดี่ยวเลขออกซิเดชันจะมีคา เทา กับประจุของไอออนน้ัน เชน Na+ มีเลขออกซเิ ดชนั เทากบั +1 Be2+ มเี ลขออกซิเดชนั เทากบั +2 O2- มเี ลขออกซิเดชัน เทา กบั -2 3. เลขออกซเิ ดชันของโลหะอัลคาไล ( หมู IA ) และโลหะอัลคาไลนเอิรท ( หมู IIA ) ในสารประกอบตาง ๆ มคี า เทากับ +1 และ +2 ตามลําดบั 4. เลขออกซิเดชนั ของออกวเิ จนในสารประกอบสวนมาก มีคาเทากับ -2 ยกเวน ในกรณี • สารประกอบเปอรออกไซด เชน H2O2 และ Na2O2 ⇒ ออกซเิ จนมเี ลขออกซเิ ดชัน -1 • สารประกอบซุปเปอรอ อกไซด เชน KO2 ⇒ ออกซเิ จนมีเลขออกซเิ ดชนั -1/2 • สารประกอบ OF2 ⇒ ออกซิเจนมีเลขออกซิเดชนั +2 - 23 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดริ์ กั ษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ 5. เลขออกซิเดชันของไฮโดรเจนในสารประกอบสวนมากมีคาเทา กับ +1 ยกเวน ในสารประกอบ พวกไฮไดรดไ อออนกิ ซง่ึ ไฮโดรเจนมีคาเลขออกซเิ ดชนั เทากับ -1 เชน LiAlH4 และ NaBH4 6. ผลรวมทางพชี คณติ ของเลขออกซิเดชนั ของอะตอมทั้งหมดในสตู รเคมีใด ๆ จะมคี าเทากบั ประจสุ ําหรบั กลุมของอะตอมท่ีเขียนแสดงในสูตรนั้น ๆ เชน ผลรวมของเลขออกซิเดชันของ KMnO4 เทากับ 0 ผลรวมของเลข ออกซิเดชนั ของ NO3- เทา กับ -1 ตัวอยางเลขออกซิเดชันของ N รปู ที่ 3.16 คาเลขออกซเิ ดชนั ท่แี ตกตางกนั ของไนโตรเจน ตวั อยางท่1ี จงหาเลขออกซเิ ดชันธาตุทขี่ ดี เสน ใตต อไปนี้ 6) CO32- 7) OF2 1) Na2S 8) H2O2 2) HClO4 9) CH3OH 3) NaBrO3 10) S8 4) NO3- 5) (NH4)2SO4 - 24 - นางสาวจตุภรณ สวัสดริ์ ักษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ 3.4 สมบัติของธาตแุ ละสารประกอบตามคาบ 3.4.1 สารประกอบคลอไรดแ ละออกไซดข องโลหะและอโลหะ สารประกอบคลอไรด จากการจัดธาตุเปน 2 ประเภท คือ โลหะและอโลหะ ทําใหสามารถแบง สารประกอบคลอไรดอ อกเปน 2 กลุมใหญ ๆ คือ คลอไรดข องโลหะและคลอไรดข องอโลหะดังน้ี ก. คลอไรดข องโลหะ ไดแ ก LiCl , BeCl2 , NaCl , MgCl2 , AlCl3 , KCl ,และ CaCl2 ข. คลอไรดของอโลหะ ไดแ ก HCl , BCl3 , CCl4 , NCl3 , Cl2O , ClF , PCl5 , SiCl4 และ SCl2 นอกจากจะแบงสารประกอบคลอไรดเปน 2 กลุมใหญ ๆ ดังกลาวแลว ยังสามารถแบงเปนกลุมยอยไดอีก เพ่ือใหการจัดหมวดหมูมีความสมบูรณมากท่ีสุด โดยใชสมบัติของสารประกอบคลอไรด เชน สถานะ จุด หลอมเหลว ความเปน กรดเบสของสารละลายเปนตน เม่ือใชค วามเปน กรด - เบสของสารละลาย จะแบง กลมุ ยอยไดด งั น้ี ก. คลอไรดของโลหะ สารละลายเปนกรด ไดแก AlCl3 , BeCl2 สารละลายเปนกลาง ไดแ ก LiCl , NaCl , MgCl2 , KCl ,และ CaCl2 สารละลายเปน เบส - ข.คลอไรดข องอโลหะ สารละลายเปน กรด ไดแ ก HCl , BCl3 , Cl2O , ClF ,PCl5 , SiCl4 และ SCl2 สารละลายเปนกลาง ไดแก - สารละลายเปนเบส ไดแก - เมอ่ื ใชส ถานะและจุดหลอมเหลวจะแบงกลมุ ยอ ยได ตาราง 3.9 การแบงสารประกอบคลอไรดเ ปนกลุมโดยใชจุดหลอมเหลว คลอไรดท เี่ ปน ของแข็งและมจี ดุ คลอไรดท่ีเปน ของแขง็ และมจี ุด คลอไรดท่เี ปน ของเหลวหรือกาซ และมจี ดุ หลอมเหลวตํา่ หลอมเหลวสงู หลอมเหลวคอ นขางสูง สตู ร จุดหลอมเหลว (0C) สตู ร จุดหลอมเหลว (0C) สตู ร จุดหลอมเหลว (0C) SCl2 -80 LiCl 610 AlCl3 198 CCl4 -23 NaCl 801 PCl5 148 ClF -154 KCl 770 Cl2O -20 BCl3 -107 BeCl2 405 MgCl2 712 - 25 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดริ์ กั ษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณ จากตารางเมอ่ื พจิ ารณาคลอไรดข อง 20 ธาตแุ รก จะพบวา ก. คลอไรดที่เปนของแขง็ และมีจุดหลอมเหลวสงู คือ คลอไรดข องโลหะ ข. คลอไรดที่เปนของเหลวและกาซซง่ึ มีจุดหลอมเหลวตํ่า คอื คลอไรดของอโลหะ เมื่อนําคลอไรดมาจัดรวมกันเปนหมวดหมู โดยจัดคลอไรดที่มีสูตรชนิดเดียวกันและสมบัติเชน ความเปน กรดเบส และจดุ หลอมเหลวคลา ยกันอยูใ นชอ งแนวด่งิ เดียวกันจะไดด ังน้ี ตาราง 3.10 การจดั กลมุ สารประกอบคลอไรดโ ดยใชสมบตั ิเปนเกณฑ HCl He LiCl BeCl2 BCl3 CCl4 NCl3 OCl2 FCl Ne NaCl MgCl2 AlCl3 SiCl4 PCl5 SCl2 Cl-Cl Ar KCl CaCl2 จะเห็นไดวาเม่ือจัดกลุมธาตุโดยใชสูตรและสมบัติของสารประกอบคลอไรดเปนเกณฑ จะจัดกลุมธาตุได 8 กลุม ตามแนวดิ่ง ซ่ึงสวนใหญจะสอดคลองกับการจัดกลุมธาตุโดยใชความเปนโลหะ ความแข็งและความไวเปน เกณฑ แตก็มีบางธาตุท่ีเปลี่ยนไปอยูในกลุมใหม เชน K Al B Si O บางธาตุท่ีจัดกลุมไมได เม่ือพิจารณาสมบัต คลอไรดกํสามารถจัดอยูในกลุมเดียวกันได เชน P กับ N และ S กับ C ถาเรียงตามมวลอะตอม จะตองแยก Ar ออกจาก He และ Ne ซง่ึ ก็แสดงวาการใชม วลอะตอมเปน เกณฑใ นการจดั กลุมยังมปี ญ หาอกี บางสว น ทาํ ใหตองหา วิธกี ารอน่ื ๆ อีกตอไป ประโยชนข องสารประกอบคลอไรด • CaCl2 ใชในเครอื่ งทําความเยน็ ในอตุ สาหกรรมหอ งเยน็ ใชทําฝนเทียม • KCl ใชท ําปยุ • NH4Cl ใชเ ปนอิเลก็ โทรไลตข องเซลลถ านไฟฉาย ใชเ ปน นาํ้ ประสานดีบกุ • ปูนคลอรีน ใชเปนสารฟอกสหี รือฟอกขาวเยือ่ กระดาษ ใชฆาแบคทีเรียในนาํ้ ประปาและในสระวายน้ํา • DDT และดีลดรนิ ใชเ ปนยาฆาแมลง กําจดั ศัตรูพชื • เกลือแกง ใชปรุงแตงอาหาร ถนอมอาหาร และใชเปนสารต้ังตนในการผลิต NaHCO3 (โซดาทําขนม) Na2CO3 (โซดาแอช) NaOH (โซดาไฟ) และ HCl นอกจากนยี้ ังใชล ะลายนํา้ แขง็ ในหมิ ะ • CCl4 และ CHCl3 ใชเ ปน ตัวทาํ ละลายในการสกดั สารอินทรยี - 26 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ กั ษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ สารประกอบออกไซด เชนเดียวกับสารประกอบคลอไรดท่ีผานมาแลว สามารถใชสมบัติบางประการ เชน การละลายน้ํา ความเปนกรดหรือเบสของสารละลาย สูตรของสารประกอบ ฯลฯ มาเปนเกณฑในการจัดหมวดหมู ของธาตุ โดยในขั้นแรกจะแบง ธาตุออกเปน กลุม ใหญ ๆ คือ ออกไซดของโลหะและอโลหะกอน แลวจึงใชสมบัติอื่น ๆ แบงออกเปนกลมุ ยอย เมื่อใชความเปนโลหะและอโลหะเปนเกณฑ จะแบงสารออกไดเปน 2 กลุมดังน้ี ก. ออกไซดของโลหะ เชน Li2O , BeO , Na2O , MgO , Al2O3 , K2O , CaO ข. ออกไซดของอโลหะ เชน H2O , CO2 , N2O5 , F2O , P2O5 , SO2 , Cl2O ในการแบงกลมุ ยอ ยอาจจะใชสมบตั คิ วามเปนกรดเบสของสารละลายหรือจุดหลอมเหลว เชน ก. ออกไซดข องโลหะ สารละลายเปน กรด - สารละลายเปนเบส ไดแ ก Li2O , Na2O , MgO , K2O และ CaO สารละลายเปน กลาง ไดแก - พวกไมล ะลายน้ํา ไดแ ก BeO , Al2O3 B2O3 , SiO2 ข. ออกไซดข องอโลหะ สารละลายเปน กรด ไดแ ก CO2 , N2O5 , F2O , P2O5 , SO2 และ Cl2O สารละลายเปน เบส ไดแก - สารละลายเปนกลาง ไดแ ก H2O พวกไมล ะลายน้ํา ไดแ ก - เมื่อใชจ ดุ หลอมเหลวเปน เกณฑจะไดก ลมุ ยอยดังน้ี ตาราง 3.11 การแบงสารประกอบออกไซดเ ปน กลุมโดยใชจ ุดหลอมเหลวเปนเกณฑ ออกไซดท ่เี ปน ของแขง็ และมีจุด ออกไซดทเ่ี ปน ของแข็งและมจี ุด ออกไซดท่ีเปน ของเหลวหรือ หลอมเหลวสูง หลอมเหลวคอ นขา งสงู กาซและมจี ุดหลอมเหลวตา่ํ สตู ร จดุ หลอมเหลว (0C) สูตร จดุ หลอมเหลว (0C) สูตร จดุ หลอมเหลว (0C) Li2O 1700 K2O 350 H2O(l) 0 Na2O 1275 B O2B 3 460 CO2(g) -57 BeO 2530 P2O5 580 N2O5(g) -102 MgO 2800 F2O(g) -218 CaO 2580 P2O5(g) -224 Al2O3 2045 SO2(g) -73 Cl2O(g) -20 - 27 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ ักษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ จะเห็นไดวาออกไซดท่ีเปนของแข็งมีจุดหลอมเหลวสูง จะเปนพวกออกไซดของโลหะและออกไซดท่ีเปน ของเหลวและกา ซและมจี ดุ หลอมเหลวตาํ่ จะเปนออกไซดข องพวกอโลหะ โดยสรปุ ขอ แตกตา งระหวา งออกไซดของโลหะและอโลหะ ก. ออกไซดของโลหะ มีสถานะเปนของแข็งที่มีจุดหลอมเหลวคอนขางสูง พวกที่ละลายนํ้าไดสารละลายจะ แสดงสมบตั เิ ปน เบส เปลยี่ นสีกระดาษลิตมสั จากแดงเปน น้าํ เงนิ ข. ออกไซดของอโลหะ มีสถานะเปนไดท้ังของแข็ง ของเหลวและกาซ สวนมากมีจุดหลอมเหลวคอนขาง ต่าํ พวกทีล่ ะลายนา้ํ ไดส ารละลายจะแสดงสมบตั ิเปนกรด เมื่อนําสารประกอบออกไซดมาจัดเรียงเปนหมวดหมู โดยจัดพวกท่ีมีสมบัติคลายกันอยูในแนวดิ่งเดียวกัน เชนพวกที่มีสูตรโมเลกุลอยางเดียวกัน ความเปนกรด - เบสของสารละลายและจุดหลอมเหลวท่ีมีแนวโนมเหมือนกัน จะไดด ังน้ี ตาราง 3.12 การจัดกลมุ สารประกอบออกไซดใชสมบัตเิ ปน เกณฑ Li2O BeO B2O3 CO2 N2O5 O2 H2O He Na2O MgO Al2O3 SiO2 P4O10 SO2 F2O Ne K2O CaO Cl2O Ar จะเห็นไดวาการจัดกลุมของสารประกอบออกไซด คลายคลึงกับสารประกอบคลอไรด ยกเวน H เม่ือเปน H2O จะมีสมบัติแตกตางจาก F2O และ Cl2O แมวาจะมีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน แสดงวา H กับ F และ Cl ไม ควรจดั อยใู นกลุมเดยี วกนั แตจ ะจดั อยูใ นกลมุ ใดน้นั นกั เรียนจะไดศ ึกษาตอ ไป สารประกอบออกไซดท ่ีควรรูจ กั • CO2 เกิดจากการเผาไหมของเช้ืเพลิงและการเผาผลาญอาหารของส่ิงมีชีวิต การเพิ่มข้ึนของ CO2 ทําให อณุ หภมู ขิ องบรรยาการสูงข้ึนทําใหเ กดิ ปรากฎการเรอื นกระจก • CO2 ใชเปนสารต้งั ตน ในกระบวนการสังเคราะหด ว ยแสงของพืช • ใชผลติ ปุย ยเู รยี ใชผ ลิตนา้ํ อัดลม นา้ํ โซดา ใชดบั เพลิง • ใชใ นยงุ เกบ็ เมล็ดธญั พืชเพ่อื ปองกันการงอก ทาํ นํ้าแขง็ แหงเพ่อื ใชเก็บอาหาร • CO, SO2, NO และ NO2 จดั เปนกา ซพิษ เปนอันตรายตอระบบหายใจ ทําใหเกิดหมอกควันพิษ เกิดฝน กรด • CO(g) + H2(g) เรยี กวา water gas - 28 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดริ์ กั ษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ • CO(g) + N2(g) เรยี กวา producer gas • CO(g) ใชเ ปนตัวรดี วิ ซในการถลงุ โลหะ • SO2(g) ใชในการฟอกสีและฆา เชอ้ื รา • แรด ีบุกคอื แรแ คสซเิ ทอไรต (SnO2) • แรเหล็กคอื แรฮมี าไทต (Fe2O3) • SiO2 หรือซิลิกา เกิดในธรรมชาติเปนผลึกรูปตาง ๆ บางชนิดสวยงาม บางชนิดแข็ง มีจุดเดือดจุด หลอมเหลวสงู ใชท าํ เครอื่ งประดบั สารขัดโลหะกระดาษทราย สารชวยกรองในเครื่องกรองนํ้า ทําแกว กระจก และเลนส 3.5 สมบตั ิของธาตุและสารประกอบตามหมู 3.5.1 สมบตั ทิ ่วั ๆ ไปของธาตหุ มู IA ไดดงั นี้ 1. เปน ธาตทุ ่มี ี 1 เวเลนตอ เิ ลก็ ตรอน 2. เปนของแข็ง ยกเวน Cs เปนของเหลว แตจัดวาเปนประเภทโลหะออน สามารถตัดดวยมีดไดงาย ทําให เปนชนิ้ แผน หรอื ดึงเปนเสนลวดไดง าย 3. เปนโลหะท่ีนาํ ไฟฟาและนาํ ความรอ นไดดมี าก เพราะมีพนั ธะโลหะ 4. ความเปนโลหะเพิม่ ขน้ึ เมือ่ เลขอะตอมเพ่ิมขึน้ 5. ทาํ ปฏิกริ ิยากบั นา้ํ เกดิ ปฏิกิริยารนุ แรง คายความรอนมาก และติดไฟไดไดสารละลายท่ีแสดงสมบัติเปนเบส จึงเรยี กวา โลหะแอลคาไลน เขยี นสมการทั่วๆ ไป สาํ หรบั แสดงปฏกิ ิรยิ ากับนํ้าไดด งั นี้ 2M + 2H2O → 2MOH + H2 เชน 2Na + 2H2O → 2NaOH + H2 2Li + 2H2O → 2LiOH + H2 เน่ืองจากเกิดปฏิกิริยากับนํ้าไดงาย และยังสามารถทําปฏิกิริยากับ O2 ไดดวย ดังน้ันจึงตองเก็บโลหะแอล คาไลนใ นน้ํามัน 6. เปนธาตทุ ช่ี อบใหอ เิ ลก็ ตรอนแกธ าตอุ นื่ ๆ เรยี กวา electropositive element แลวกลายเปนไอออนทป่ี ระจุ +1 7. รัศมอี ะตอมและรศั มไี อออนเพ่ิมขน้ึ เมอ่ื เลขอะตอมเพ่มิ ขึ้น 8. มคี า IE1 นอยทสี่ ุด ในคาบเดยี วกนั และคา IE1 จะลดลงเมื่อเลขอะตอมเพิม่ ขนึ้ เพราะขนาดอะตอมใหญข้นึ 9. มีคาอิเล็กโทรเนกาติวิตีนอย เมื่อเทียบกับธาตุอื่นๆ ในคาบเดียวกัน และคาอิเล็กโทรเนกาติวิตีจะลดลงเมื่อ เลขอะตอมเพ่มิ ขึ้น - 29 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดร์ิ กั ษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณ 10. เปนโลหะท่ีมีจุดหลอมเหลวต่ํากวาโลหะอื่นๆ ในคาบเดียวกัน นอกจากนี้จุดหลอมเหลวและจุดเดือดจะ ลดลงเม่ือเลขอะตอมเพ่ิมขน้ึ เพราะความแรงของพันธะโลหะลดลง 11. เปนตวั รดี วิ ซท ่ีดีมาก โดยเฉพาะ Li เปนตวั รดี ิวซท ่ดี ีทส่ี ุด 12. ความหนาแนนนอยกวาโลหะอื่นๆ ที่อยูในคาบเดียวกัน แตความหนาแนนมีแนวโนมเพ่ิมขึ้น เม่ือเลข อะตอมเพิ่มขนึ้ 13. ทําปฏิกิริยากับธาตุตางๆ เกิดเปนสารประกอบไดงาย และเปนสารประกอบไอออนิก สารประกอบคลอ ไรด คารบอเนต ซลั เฟต ไนเตรต ฟอสเฟต โดยมีจดุ หลอมเหลวสงู มาก (ดังตาราง 7.34) 14. สารประกอบของธาตหุ มู IA ละลายน้าํ ไดดีมาก ดังแสดงในตารางท่ี 7.35 15. เม่ือเผาสารประกอบของหมู IA จะไดเปลวไฟท่ีมีสีตางๆ กัน เชน Li มีสีแดงสด หรือแดงเลือดนก Na ใหส ีเหลือง K ใหส มี วงนํา้ เงนิ เปนตน 3.5.2 สมบตั ิทั่วๆ ไปของธาตหุ มู IIA ไดด งั นี้ 1. เปน ธาตทุ ี่มี 2 เวเลนตอ เิ ล็กตรอน เม่ือเปนไอออนจงึ มปี ระจเุ ปน +2 2. เปนธาตทุ ่ีจดั อยูในกลุมของโลหะ ความเปนโลหะเพิ่มมากขนึ้ เมอ่ื เลขอะตอมเพม่ิ ขน้ึ 3. เปนโลหะทนี่ าํ ความรอ นและนําไฟฟาไดดี เพราะมพี ันธะโลหะ 4. มีความหนาแนนมากกวาโลหะหมู IA ดังนั้นจึงมีความแข็งแรงมากกวาโลหะหมู IA และความหนาแนนมี แนวโนม เพมิ่ มากขึ้น เมอ่ื เลขอะตอมเพิม่ ขน้ึ 5. รศั มีอะตอมเลก็ กวา หมู IA และคอ ยๆ เพมิ่ ขึ้นเม่อื เลขอะตอมเพิม่ ขน้ึ 6. จดุ หลอมเหลวและจุดเดือดมคี าคอนขา งสูง แตมีแนวโนมทีล่ ดลงเม่อื มวลอะตอมเพ่มิ ขนึ้ 7. IE1 มคี าคอ นขางนอย (แตม ากกวา หมู IA ในคาบเดยี วกนั ) และมีแนวโนมลดลงเมื่อเลขอะตอมเพิ่มขน้ึ 8. อเิ ลก็ โทรเนกาติวติ ีมีคานอ ย และมีคาลดลงเม่อื เลขอะตอมเพิ่มขน้ึ 9. เปนตัวรีดิวซที่ดี คา E0 มีคาลดลงตามลําดับเมื่อเลขอะตอมเพิ่มข้ึน แสดงวาความสามารถในการเปนตัวรีดิ วซจ ะเพ่มิ ข้ึน เม่ือเลขอะตอมเพิ่มขึน้ 10. ทําปฏิกิริยากับน้ําไดกาซ H2 และสารละลายแสดงสมบัติเปนเบส แตปฏิกิริยาไมรุนแรงเหมือนกับธาตุหมู IA เมอื่ เลขอะตอมเพมิ่ ขึน้ การทําปฏิกิรยิ ากับนํา้ จะเกิดไดเรว็ ขึ้น เขียนสมการทวั่ ๆ ไปไดดังน้ี M + 2H2O → M(OH)2 + H2 เชน Mg + 2H2O → Mg(OH)2 + H2 Ca + 2H2O → Ca(OH)2 + H2 - 30 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ กั ษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณ 11. เกดิ เปนสารประกอบตา งๆ ไดเชน คลอไรด ออกไซด ซัลไฟด ซัลเฟต เปนตน โดยมีสูตรและสมบัติตางๆ คลา ยๆ กนั 12. สารประกอบของหมู IIA สวนมากเปนสารประกอบไอออนิก (ยกเวนสารประกอบของธาตุ Be เชน BeCl2 , BeSO4 เปน สารประกอบโคเวเลนต ) ดังนัน้ สวนมากจึงละลายน้าํ ได เชน เกลือไนเตรต เกลือคลอไรด ละลายนาํ้ ได แตเ กลือคารบอนเนต เกลอื ซลั เฟต (ยกเวน MgSO4) และเกลือฟอสเฟต ละลายน้าํ ไดนอยมาก 13. เมื่อเผาสารประกอบของธาตหุ มู IIA จะใหเ ปลวไฟสตี า งๆ กนั 3.5.3 สมบัตทิ ่วั ๆ ไปของธาตหุ มู VIIA ไดดงั นี้ 1. เปนพวกอโลหะ มีเวเลนตอ ิเล็กตรอนเทากับ 7 สภาวะปกติ F2 และ Cl2 เปนกาซสีเหลอื งออ นและเขียวออน ตามลําดับ Br2 เปนของเหลวสีน้ําตาลแดง และ I2 เปนของแข็งสีมวง ซึ่งสีของธาตุแฮ-โลเจนจะเขมขึ้น เมื่อเลขอะตอม เพิม่ ขึ้น ทกุ ตัวเปนสารพษิ 2. ความเปนอโลหะจะลดลงเมือ่ เลขอะตอมเพ่มิ ขนึ้ หรือความเปน โลหะจะเพ่ิมขนึ้ เม่ือเลขอะตอมเพม่ิ ขนึ้ 3. ธาตุแฮโลเจนทุกตัวอยูในสภาพโมเลกุลอะตอมคู (diatomic molecule) ทุกสถานะท้ังของแข็ง ของเหลว และกา ซ โดยยึดเหนยี่ วกันดว ยพนั ธะโคเวเลนต 4. ไมน ําความรอ นและไฟฟาเพราะเปน อโลหะ 5. อะตอมมขี นาดเล็กเม่ือเปรียบเทยี บกบั ธาตใุ นคาบเดยี วกัน แตมขี นาดใหญข ้นึ เมอื่ เลขอะตอมเพม่ิ ขึ้น 6. ธาตุหมู VIIA ละลายในนํ้าไดเล็กนอยและใหสีตางๆ กัน เน่ืองจากเปนโมเลกุลไมมีข้ัวจึงละลายไดดีในตัว ทําละลายอนิ ทรยี เชน ใน CCl4 Cl2 ใน CCl4 ไมมีสี Br2 ใน CCl4 สสี ม I2 ใน CCl4 สีมว ง ซงึ่ ในตวั ทาํ ละลายดงั กลา วน้ีธาตหุ มู VIIA ทุกชนิดจะอยใู นรปู ของโมเลกลุ อิสระเหมอื นกบั ในสภาวะเปน กา ซ ในตัวทําละลายท่ีมีขั้ว เชน H2O, C2H5OH , CH3COCH3 , ท้ัง Br2 และ I2 จะมีสีนํ้าตาลแดง เน่ืองจากเกิด สารประกอบเชงิ ซอนขึน้ 7. ความหนาแนนนอ ย แตค วามหนาแนนจะเพ่ิมขนึ้ เม่อื เลขอะตอมเพิ่มขน้ึ 8. มีจุดหลอมเหลว จุดเดือดและความรอนแฝงของการเกิดไอตํ่า เน่ืองจากมีแรงยึดเหน่ียวระหวางโมเลกุล (คือแรงวันเดอรวาลส) นอย แตจุดหลอมเหลว จุดเดือดและความรอนแฝงของการเกิดไอเพ่ิมข้ึน เมื่อเลขอะตอม เพมิ่ ข้ึน เพราะมแี รงวันเดอรวาลสเพิม่ ขน้ึ นอกจากนี้การระเหยของธาตุหมู VIIA จะคอยๆ ลดลงเมือ่ เลขอะตอมเพมิ่ ขน้ึ เพราะแรงวันเดอรวาลสเ พ่ิมขึน้ - 31 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดร์ิ ักษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรยี นมหิดลวิทยานสุ รณ 9. มีคาอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงที่สุด ในคาบเดียวกัน และคาอิเล็กโทรเนกาติวิตีจะคอยๆ ลดลงเมื่อเลขอะตอม เพม่ิ ข้นึ 10. มี IE1 คอ นขา งสูง และคา IE1 จะคอยๆ ลดลงเมอ่ื เลขอะตอมเพิ่มข้ึน เน่ืองจากขนาดใหญขึ้น 11. มีเลขออกซิเดชันไดหลายคา เน่ืองจากมี 7 เวเลนตอิเล็กตรอน ซ่ึงสามารถจะใหหรือรับอิเล็กตรอนจาก ธาตุอื่น หรือใชอิเล็กตรอนรวมกับธาตุอ่ืนๆ ซ่ึงมีคาอิเล็กโทรเนกาติวิตีตางๆ กันได ทําใหมีเลขออกซิเดชันหลายคา เชน ตวั อยางของธาตุ Cl มีเลขออกซิเดชนั ตัว้ แต -1 ถึง +7 12. เกิดสารประกอบไดหลายชนิด เชน NaCl CaF2 HF KI และยังเกิดสารประกอบท่ีมีธาตุองคประกอบ ชนิดเดียวกันไดหลายชนดิ เพราะมเี ลขออกซเิ ดชนั หลายคา เชน NaClO NaClO2 NaClO3 NaClO4 Cl2O ClO2 ClO3 และ Cl2O7 เปนตน 13. ธาตุที่อยูตอนบนของหมู สามารถทําปฏิกิริยากับสารประกอบแฮไลดของธาตุท่ีอยูตอนลางได แตธาตุอยู ตอนลางจะไมทําปฏิกริ ยิ ากับสารประกอบแฮไลดของธาตทุ อ่ี ยูต อนบน จึงสรุปไดวา “ความสามารถในการทําปฏิกิริยา ของธาตหุ มู VIIA จะลดลงจากบนลงลาง” เชน F2 ทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากับ NaCl ได แต Cl2 ไมท าํ ปฏกิ ริ ิยากับ NaF F2 + 2NaCl → 2NaF + Cl2 Cl2 + NaF → ไมเกิดปฏิกริ ิยา ธาตุอนื่ ๆ กเ็ ชน เดยี วกนั Cl2 + 2NaBr → 2NaCl + Br2 Br2 + NaCl → ไมเ กดิ ปฏกิ ริ ยิ า 14. การเตรยี มธาตุแฮโลเจนบางธาตุทําไดดงั น้ี 2KMnO4 + 16HCl (conc) → KCl + 2MnCl2 + 8H2O + 5Cl2 MnO2 + 4HCl (conc) → MnCl2 + 2H2O + Cl2 2NaBr + MnO2 + 3H2SO4 (conc) → 2NaHSO4 + MnSO4 + 2H2O + Br2 - 32 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ ักษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณ 3.6 ตําแหนง ของไฮโดรเจนในตารางธาตุ โดยทั่ว ๆ ไปการจัดธาตุใหอยูในหมูเดียวกันจะใชเวเลนตอิเล็กตรอนและสมบัติของธาตุเปนเกณฑ ถามีเว เลนตอ เิ ลก็ ตรอนเทา กนั และมสี มบตั ติ างๆ คลายกันจะจัดวาอยใู นหมูเดียวกนั สําหรบั ไฮโดรเจนมเี ลขอะตอมเทากบั หนึ่ง เม่อื พจิ ารณาการจดั เรียงอิเลก็ ตรอน จะพบวามีเวเลนตอเิ ลก็ ตรอน เทา กับ 1 และอยใู นระดับพลังงานแรก ซึ่งถาใชเวเลนตอิเล็กตรอนเปนเกณฑควรจะจัดใหไฮโดรเจนอยูในหมู IA คาบ 1 ได แตอยางไรก็ตาม อาจจะพิจารณาวาอยูในหมู VIIA ไดเหมือนกัน เพราะยังขาดอิเล็กตรอน เพียง 1 ตัวจะมีการจัด อิเล็กตรอนเหมือน He เมื่อพิจารณาสมบัติบางประการของธาตุไฮโดรเจนเทียบกับสมบัติของธาตุหมู IA และหมู VIIA จะไดดงั นี้ ตาราง 3.14 สมบตั ิบางประการของไฮโดรเจนเทียบกับธาตหุ มู IA และหมู VIIA สมบัติ ไฮโดรเจน ธาตุหมู IA ธาตหุ มู VIIA เวเลนตอ ิเลก็ ตรอน 1 1 7 จํานวนอะตอมในโมเลกุล 2 ไมแนนอน 2 เลขออกซเิ ดชนั ในสารประกอบ -1, +1 +1 -1,+1, +3, +5, +7 การนําไฟฟา ในสถานะของแขง็ ไมนาํ ไฟฟา นําไฟฟา ไมนาํ ไฟฟา IE1 (kJ/mol) 1318 382-526 1015-1687 อเิ ลก็ โทรเนกาติวิตี 2.1 1.0 - 0.7 4.2 - 2.2 จากตารางจะเหน็ ไดว า ไฮโดรเจนมีสมบตั ิบางประการเหมือนธาตุหมู VIIA เชน มีเลขออกซิเดชันมากกวา 1 คา ไมนําไฟฟา มีคา IE1 และอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูง ในขณะเดียวกันมีสมบัติบางประการเหมือนธาตุหมู IA เชน มีเว เลนตอิเล็กตรอนเทากับ 1 การท่ีไฮโดรเจนมีสมบัติบางประการคลายทั้งหมู IA และ VIIA จึงไดแยกไฮโดรเจนออก จากหมูทัง้ สอง ดงั ปรากฏอยูในตารางธาตุ - 33 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ กั ษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหิดลวิทยานสุ รณ 3.7 ธาตุแทรนซชิ ัน ธาตุแทรนซิชัน หมายถึง ธาตุท่ีมีสมบัติอยูระหวางกลางของธาตุทางซายสุด และขวาสุดของตาราง หรือ หมายถึง ธาตุท่ีใชอิเล็กตรอนในระดับพลังงานยอย d หรือ f ในการเกิดพันธะ ยกเวนธาตุหมู IIB มีธาตุ Zn Cd และ Hg ทีใ่ ชอเิ ลก็ ตรอนในระดบั พลงั งานยอ ย s ในการเกดิ พันธะ รปู ที่ 3.17 ตารางแสดงธาตแุ ทรนซชิ นั ธาตุแทรนซิชันจัดเปนหมู และคาบแบบเดียวกับโลหะและอโลหะท่ัวๆ ไป ธาตุแทรนซิชันท่ีมีสมบัติ คลายกันจะอยูในหมูเดียวกัน โดยแบงเปน 8 หมู คือหมูที่ IB ถึง VIIIB สําหรับหมู VIIIB มี 3 แถวในแนวดิ่ง ทําให ธาตุแทรนซิชนั มที งั้ หมด 10 แถวในแนวดิง่ ธาตุแทรนซชิ ันแบงออกเปน คาบ โดยที่แตล ะคาบมีช่ือเรียกตางๆ กนั ดงั นี้ 1. อนุกรมแทรนซิชันท่ี 1 (first transition series) คือ ธาตุแทรนซิชันแถวแรกต้ังแต Sc ถึง Cu (เลขอะตอม 21 - 29 ) ธาตุเหลานอ้ี ิเลก็ ตรอนใน 3d - orbital ไมค รบ 2. อนุกรมแทรนซิชันที่ 2 (second transition series) คือ ธาตุแทรนซิชันแถวที่ 2 ต้ังแตธาตุ Y ถึง Ag (เลข อะตอม 39 - 47 ) ธาตเุ หลานอ้ี เิ ลก็ ตรอนใน 4d - orbital ไมค รบ 3. อนุกรมแทรนซิชันที่ 3 (third transition series) คือ ธาตุแทรนซิชันในแถวท่ี 3 ตั้งแต La ถึง Au (เลข อะตอม 57 - 79 ) ธาตเุ หลานอ้ี เิ ล็กตรอนใน 5d - orbital ไมครบ 4. อนุกรมแลนทาไนด (lanthanide series) คอื ธาตุอนิ เนอรแทรนซชิ ันตง้ั แตธาตุ Ce ถึง Lu (เลขอะตอมตั้งแต 58 - 71) ธาตเุ หลา นมี้ ีอเิ ล็กตรอนใน 4f - orbital ไมค รบ - 34 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดร์ิ ักษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหิดลวิทยานสุ รณ 5. อนุกรมแอคติไนด (actinide series) คือ ธาตุอินเนอรแทรนซิชันต้ังแต Th ถึง Lr (เลขอะตอม 90 - 103) ธาตเุ หลานมี้ อี เิ ล็กตรอนใน 5f - orbital ไมค รบ สําหรับอนุกรมแลนทาไนดและแอคติไนด จัดอยูในสวนลางของตารางธาตุ แยกออกจากกลุมธาตุหลัก ของแทรนซชิ ัน ธาตุแทรนซิชันทั้งหมดรวมกันมีจํานวนมากกวาคร่ึงหน่ึงของธาตุทั้งหมด บางธาตุไมมีอยูในธรรมชาติแต มนุษยส งั เคราะหข ึ้น (man made element) เชน ธาตเุ ลขอะตอมต้งั แต 93 - 103 บางธาตุเปนกัมมันตรังสี เชน Es, Am, Pu ธาตุแทรนซิชันท้ังหมดจัดวาเปนโลหะ เปนตัวนําไฟฟาและนํา ความรอนท่ีดี (Ag มีการนําความรอนและไฟฟาดีที่สุด) เปนของแข็งที่มีจุดหลอมเหลวสูง (W เปนธาตุท่ีมีจุด หลอมเหลวสงู สดุ ถึง 3400 0C ) 3.7.1 สมบัติของธาตุแทรนซชิ ัน การท่ีธาตุแทรนซิชันมีสมบัติแตกตางจากโลหะท่ัวๆ ไป ทําใหตองแยกออกเปนกลุม ๆ ตางหาก ลักษณะที่ สําคญั ของธาตุแทรนซิชนั เปน ดังน้ี 1. มีเลขออกซเิ ดชันมากกวา 1 คา ยกเวนหมู IIIB เชน Sc เปน +3 คาเดียว และหมู IIB (Zn, Cd) เปน +2 คา เดียว 2. ธาตุแทรนซิชันเปนโลหะ จึงดึงดูดกับแมเหล็ก และมีบางธาตุ เชน Fe, Co, และ Ni สามารถแสดงสมบัติ เปนแมเหล็กไดเมื่อนาํ ไปวางไวใ นสนามแมเ หลก็ นาน ๆ นอกจากนยี้ ังมีสารประกอบของธาตุแทรนซิชันอีกหลายชนิด ที่สามารถดดู กบั แมเหลก็ ได 3. สารประกอบสว นใหญ มีสี (ยกเวนหมู IIIB) ซึ่งเปนสีของไอออนเชงิ ซอ นของธาตแุ ทรนซิชัน 4. ธาตุแทรนซิชันมแี นวโนมท่จี ะเกดิ สารประกอบเชิงซอ นได 5. มีเวเลนตอิเล็กตรอนเทากับ 2 (ยกเวน Cr, และ Cu มีเวเลนตอิเล็กตรอนเทากับ 1) และอิเล็กตรอนถัดจาก วงนอกสดุ ไมครบ 18 (ยกเวน Cu และ Zn) 6. รัศมีอะตอมมีแนวโนมลดลงจากซายไปขวาของคาบ (หรือเมื่อเลขอะตอมเพ่ิมข้ึน รัศมีอะตอมจะเล็กลง) ซึ่งเหมือนกับธาตใุ นคาบเดียวกันทวั่ ๆ ไป) 7. มจี ุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดคอนขา งสูง เพราะมพี นั ธะโลหะ 8. ความหนาแนนเพ่ิมข้นึ เมื่อเลขอะตอมเพ่ิมขนึ้ เนอื่ งจากมวลเพ่ิมขึน้ ในขณะท่ขี นาดเลก็ ลง 9. คา IE1 , IE2 , และ IE3 มีแนวโนมเพิ่มขึ้นเม่ือเลขอะตอมเพิ่มข้ึน แตคาตางกันไมมากนัก เพราะขนาด ใกลเคียงกัน 10. อเิ ลก็ โทรเนกาติวิตมี แี นวโนมเพิ่มขน้ึ เมอ่ื เลขอะตอมเพิม่ ขึน้ 11. เปน โลหะทน่ี าํ ความรอนและนําไฟฟาไดดีเหมือนกับโลหะทั่ว ๆ ไป ทัง้ นเี้ พราะมพี นั ธะโลหะ - 35 - นางสาวจตุภรณ สวสั ดร์ิ กั ษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณ 3.7.2 สารประกอบของธาตแุ ทรนซชิ ัน เนื่องจากธาตุแทรนซิชันสวนใหญเสียอิเล็กตรอนไดงายจึงมีความวองไวในการเกิดปฏิกิริยากับอโลหะ เกิด สารประกอบไดม ากมายหลายชนดิ สารประกอบและไอออนของธาตแุ ทรนซชิ ันสวนใหญจะมีสีตาง ๆ กัน ซึ่งข้ึนอยู กับชนิดของธาตุแทรนซิชันเอง เลขออกซิเชัน ชนิดและจํานวนของสารท่ีรวมตัวกับธาตุแทรนซิชัน คือ ถาธาตุแท รนซชิ ันตา งชนดิ กนั หรือชนดิ เดยี วกันแตมเี ลขออกซเิ ดชนั ตา งกนั หรอื มีจํานวนและชนิดของสารที่รวมตัวกับธาตุแท รนซิชันตางกัน มักจะทําใหสารประกอบหรือไอออนของธาตุแทรนซิชันมีสีตางกันดวย สวนสาเหตุที่ทําให สารประกอบหรอื ไอออนของธาตุแทรนซิชันมีสี เน่ืองจากอิเล็กตรอนใน d ออรบิทอล สามารถดูดกลืนแสงในชวงที่ ตามองเห็น แสงที่ไมถ ูกดดู กลนื กค็ ือสีของสารประกอบหรือของไอออนนน้ั 3.7.2.1 เลขออกซเิ ดชนั ของธาตุแทรนซิชนั ในสารประกอบ ลักษณะท่ีเดนชัดประการหนึ่งของธาตุแทรนซิชัน คือ มีเลขออกซิเดชันหลายคาทั้งน้ี เนื่องจากโครงสราง ของอิเล็กตรอนของธาตุแทรนซิชัน มีท้ังที่อยูใน 3d และ 4s- orbital ซ่ึงพลังงานใกลเคียงกัน เมื่อเกิดปฏิกิริยาจะ สามารถเสียอิเล็กตรอนไดท้ังใน 3d และ 4s-orbital จํานวนตางๆ กัน ซึ่งทําใหมีเลขออกซิเดชันไดหลายคา (ยกเวน Sc และ Zn มเี ลขออกซิเดชันคาเดียวคอื +3 และ +2 ตามลําดบั ) สรปุ เก่ยี วกบั เลขออกซิเดชันของธาตุแทรนซิชนั คาบท่ี 4 ดังนี้ 1. เลขออกซิเดชันสามัญของธาตุคือ +2 และ +3 โดยที่ +3 เปนเลขออกซิเดชันสามัญของธาตุซายของคาบ และ +2 เปน ของธาตทุ างขวา 2. เลขออกซิเดชันสูงสุดคือ +7 ซ่ึงเปนของ Mn เน่ืองจาก Mn มีอิเล็กตรอนวงนอกเปน 3d5 4s2 มี 7 อิเลก็ ตรอน ในขณะทห่ี มอู น่ื ๆ เลขออกซิเดชนั สงู สดุ คอื เลขประจาํ หมู เชน Sc อยูห มู IIIB เลขออกซิเดชนั สงู สุดคอื +3 Ti อยูหมู IVB เลขออกซเิ ดชนั สูงสุดคอื +4 V อยูหมู VB เลขออกซิเดชนั สูงสดุ คอื +5 Cr อยหู มู VIB เลขออกซิเดชนั สงู สุดคอื +6 Mn อยหู มู VIIB เลขออกซิเดชนั สงู สุดคอื +7 แตหลังจากหมู VIIB ไปแลวคือหมู VIIIB IB และ IIB จะไมเปนไปตามหลักเกณฑน้ี เน่ืองจากเม่ือประจุ ในนิวเคลียสเพิ่มมากขึ้นจะสงผลกระทยถึงอิเล็กตรอนใน 3d-orbital ทําใหเลขออกซิเดชันสวนใหญเกี่ยวของกับ 4s- orbital ซ่ึงมี 2e- ดงั นน้ั จึงมักจะพบเลขออกซเิ ดชัน +2 3. เลขออกซิเดชันทเ่ี สถียรของธาตุทางซายของคาบ มักจะเปนเลขออกซิเดชันท่ีมีคาสูง และเลขออกซิเดชัน ทีเ่ สถยี รของธาตุทางขวาของคาบ มกั จะเปน เลขออกซิเดชนั ทีม่ ีคา ตา่ํ - 36 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดร์ิ ักษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ 4. เลขออกซิเดชันสงู สุดของธาตุแทรนซชิ ัน มักจะพบในสารประกอบของออกซิเจน และฟลูออรีน เชน เลข ออกซิเดชันสูงสุดของ Mn คือ +7 ใน MnO4- สําหรับสารประกอบหรือไอออนของธาตุแทรนซิชันคาบท่ี 4 มักจะมีสีตางๆ กันซึ่งขึ้นอยูกับชนิดของธาตุ เลข ออกซิเดชัน ชนิดของไอออนลบที่มาเกิดพันธะดวย และโครงสรางของสารท่ีเกิดข้ึน การท่ีมีสีเน่ืองจากอิเล็กตรอนใน 3d-orbital ซงึ่ อยูในสถานะพน้ื (ground state) ไดรับพลังงานแสงในชวงแสงขาว (visible light) ทําใหเปลี่ยนจากระดับ พลงั งานต่าํ ขน้ึ ไปสรู ะดบั พลงั งานสูงกวา (exited state) และใหส ตี างๆ ตามความถ่ีของแสงที่ถกู ดดู กลนื เขาไป ตาราง 3.15 สีของสารประกอบและไอออนของธาตแุ ทรนซิชันคาบที่ 4 บางธาตุ ธาตุ ไอออน เลขออกซเิ ดชันของโลหะ สี ตวั อยา ง Sc Sc3+ +3 ไมม ีสี ScCl2 Ti Ti2+ +2 +3 น้ําตาล TiCl2 Ti3+ +2 +3 มวงออ น TiCl3 V V2+ +4 V3+ +5 มว ง VCl2 VO2+ +2 VO2+ +3 เขยี ว VCl3 +6 Cr Cr2+ +6 นา้ํ เงิน VOCl2 Cr3+ +2 CrO42- +3 เหลอื ง VO2Cl Cr2O72- +4 +5 นา้ํ เงิน CrCl2 Mn Mn2+ +6 Mn3+ +7 เขียว CrCl3 +2 MnO2 +3 เหลือง Na2CrO4 MnO3- +2 MnO42- +2 สม K2Cr2O7 MnO4- +2 Fe Fe2+ +2 ชมพอู อน Mn(OH)2 Fe3+ - 37 - นํา้ ตาล Mn(OH)3 Co Co2+ Ni Ni2+ ดํา MnO2 Cu Cu2+ น้าํ เงิน KMnO3 Zn Zn2+ เขยี ว K2MnO4 มว งแดง KMnO4 เขยี วออ น FeCl2 เหลือง* FeCl3 ชมพู CoCl2 เขยี ว NiCl2 นํ้าเงิน CuCl2 ไมมสี ี ZnCl2 นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ ักษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณ * สารละลายของ Fe3+ ปกติในน้ําจะเปน [Fe(H2O)6]3+ ซึ่งเปนสีมวงออน แตเสถียรเฉพาะในสารละลายที่ เปนกรดมาก การทเ่ี ห็นเปนสเี หลืองเพราะถกู ไฮโดรไลสกลายเปน [Fe(H2O)5OH]2 3.7.3 สารประกอบเชิงซอนของธาตุแทรนซิชนั โลหะแทรนซิชันเกิดเปนสารประกอบเชิงซอน (Complex compounds) หรือ coordination compounds ได งา ย โดยมอี ะตอมหรือกลมุ ของอะตอมที่เรียกวาลิแกนด (Ligands) ลอมรอบโลหะ แทรนซิชันโดยใชพันธะโคออดิ เนตโคเวเลนต เชน ไอออนเชงิ ซอน แอนไอออน Co (NH3)6 3+ 3Cl- ไอออนกลาง ลแิ กนด เลขโคออรด ิเนชัน สารประกอบเชิงซอ น ไอออนเชิงซอ น คอื สารทเ่ี กิดจากไอออนลบ (anions) หรือโมเลกุลที่เปนกลางไมมีประจุจํานวนหน่ึง หรือ มากกวาน้ันมาสรางพันธะเคมีกับไอออนกลางของโลหะ เชน [Cu(NH3)4 ] 2+, [FeCl4] - ไอออนเชิงซอนมี 2 ชนดิ คือ ไอออนเชงิ ซอ นทเ่ี ปนไอออนบวก และไอออนลบ สารประกอบเชิงซอน คือ สารประกอบที่มีไอออนเชิงซอนเปนองคประกอบอยูดวย สวนมากเกิดกับธาตุแท รนซชิ นั ลิแกนด คือ ไอออนหรือโมเลกุลท่ีลอมรอบอะตอมกลางหรือไอออนกลาง สารพวกนี้เปนสารท่ีมีอะตอม ของธาตุที่มอี เิ ลก็ ตรอนคอู ิสระอยู เชน F-, Br-, OH-, SCN-, S2-, CO, NH3, H2O เปน ตน อะตอมกลางหรือไอออนกลาง (Central atom ion) คือ อะตอมของธาตุท่ีอยูแกนกลางของสารเชิงซอน สว นมาก ไดแก โลหะแทรนซชิ ัน พันธะระหวางลิแกนด และโลหะแทรนซิชันท่ีอยูกลางในสารเชิงซอนเปนพันธะโคเวเลนต และจํานวนลิ แกนดที่ลอมรอบโลหะแทรนซิชันที่อยูกลาง เรียกวา เลขโคออรดิเนชัน และเลขโคออรดิเนชันเปนเทาใดนั้นขึ้นอยู กบั ชนิดของธาตแุ ทรนซชิ นั เลขออกซเิ ดชนั ของโลหะแทรนซิชนั และชนดิ ของลแิ กนดด ว ย - 38 - นางสาวจตุภรณ สวสั ดริ์ ักษา ครูวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ ตาราง 3.16 สารประกอบเชิงซอ นบางชนดิ และไอออนองคป ระกอบ สารประกอบเชงิ ซอน ไอออนบวก ไอออนลบ KMnO4 K+ [ MnO4] - K2MnO4 K+ [MnO4]2- PbCrO4 Pb2+ [ CrO4 ] 2- K3Fe(CN)6 K+ [Fe(CN)6] 3- K4Fe(CN)6 K+ [Fe(CN)6 ]4- Cu(NH3)4SO4 [ Cu(NH3)4]2+ [SO4 ]2- สารประกอบเชงิ ซอน เปนสารประกอบทีม่ ไี อออนเชงิ ซอ น สารหลายชนิดของธาตุ แทรน-ซิชันที่รูจักกันดี เชน KMnO4 K2Cr2O7 และ K4Fe(CN)6 ก็เปนสารประกอบเชิงซอน โดยทั่ว ๆ ไปสารประกอบชนิดหน่ึง ๆ จะ ประกอบดวยไอออน 2 ชนิดคือ ไอออนบวกและลบ ไอออนท่ีประกอบดวยธาตุตั้งแต 2 ธาตุขึ้นไปเรียกวา ไอออน เชงิ ซอน ซ่งึ อาจจะเปนไอออนบวกหรือลบก็ได เชน [Fe(CN)63- และ [Cu(NH3)4]2+ ไอออนเชิงซอนเหลาน้ีจะมีธาตุแท รนซิชันเปน อะตอมกลางและมไี อออน อะตอมหรอื โมเลกุลอ่ืนๆ มาลอมรอบ หรือ ลิแกนด สวนมากลิแกนดมักจะยึด เหนีย่ วกับธาตแุ ทรนซิชนั ดว ยพนั ธะโคเวเลนต หรือพันธะโคออรดเิ นตโคเวเลนต จํานวนอะตอมที่มาใชพันธะรวมกับธาตุแทรนซิชันในไอออนเชิงซอนเรียกวา coordination number ซึ่ง อาจจะมเี ลขโคออรดิเนชนั ต้ังแต 2 ถึง 8 (ถา มี 6 อะตอม มาสรางพันธะกับธาตแุ ทรนซชิ ัน ธาตแุ ทรนซชิ นั นัน้ จะมเี ลข โคออรดิเนชัน = 6 ถามี 4 อะตอม มาสรางพันธะกับธาตุแทรนซิชัน ธาตุ แทรนซิชันน้ันจะมีเลขโคออรดิเนชัน = 4) เชน MnO4- มี Mn เปนอะตอมกลาง และมีธาตุ O 4 อะตอมมาสรา งพันธะกบั Mn ดังนัน้ Mn มีเลขโคออรด เิ นชนั = 4 โดยท่ัว ๆ ไป เลขโคออรดิเนชันของธาตุก็คือ จํานวนลิแกนดมาสรางพันธะกับอะตอมของธาตุน้ันนั่นเอง เชน Cu2+ มีเลขโคออรดิเนชัน = 4 ในไอออนเชิงซอน [Cu(H2O)4] 2+ [Cu(NH3)4] 2+ และ [CuCl4] 2+ , Fe2+ มีเลขโค ออรด เิ นชัน = 6 ใน [FeF6] 3- [Fe(CN)6] 3- และ [Fe(H2O)6] 3+ เปนตน สารประกอบของธาตุแทรนซิชัน นอกจากจะมี สีแตกตางกันเพราะเกิดจากธาตตุ า งชนิดกันแลว สารประกอบชนดิ เดียวกนั ท่ีมีสูตรเหมอื นกันแตสูตรโครงสรา งตา งกนั กจ็ ะมสี ีตางกนั ดว ย การเรยี กชื่อสารประกอบและไอออนเชงิ ซอน ตามขอตกลงระหวางนักเคมีนานาชาติใหใชระบบ IUPAC (International Union of Pure and Applied Chemistry) ในการเรยี กชอื่ สารประกอบเชงิ ซอ นดงั นี้ 1. เรียกชื่อไอออนบวกกอนไอออนลบ ซ่ึงเปนหลักเกณฑเดียวกับการเรียกช่ือสารประกอบไอออนิกทั่วไป เชน [Co(NH3)6] Cl3 ใหเรียกช่ือสวน [Co(NH3)6]3+ กอน แลวจึงตามดวยชื่อของ Cl, K3[Co(C2O4)3] ใหเรียกช่ือ สวน K+ กอนแลว จึงตามดว ยชอื่ ของ [Co(C2O4)33- - 39 - นางสาวจตุภรณ สวัสดร์ิ ักษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ 2. ในการเรียกช่ือไอออนเชิงซอน ใหเรียกชื่อลิแกนดกอนแลวตามดวยชื่อของไอออนของธาตุแทรนซิชัน เชน [Ni(NH3)4]2+ ใหเ รียกชอื่ NH3 กอ น แลว จึงเรยี กชื่อของ Ni2+ [Fe(CN)63- ใหเรยี กชอ่ื CN- กอน แลวจึงเรียกชอื่ ของ Fe3+ 3. การเรยี กชือ่ ไอออนลบทเ่ี ปนลิแกนด จะลงทายดวย “O” โดยมีหลักเกณฑด ังนี้ ก. ไอออนลบท่ลี งทา ยดว ย -ide เมือ่ เปน สารประกอบเชิงซอ นใหเ ปลี่ยนจาก -ide เปน -o ตัวอยางเชน ไอออนลบ ช่อื ท่ัวไป ชอื่ เมอ่ื เปน ลแิ กนด Cl- chloride chloro Br- bromide bromo I- iodide iodo CN- cyanide cyano O2- oxide oxo ข. ไอออนลบทีล่ งทา ยดวย -ite หรอื -ate ใหเ ปลย่ี นเปน -ito หรือ -ato ตามลาํ ดับ ตัวอยา งเชน ไอออนลบ ช่อื ท่ัวไป ชอื่ เมอ่ื เปน ลิแกนด CO32- carbonate Carbonato S2O32- thiosulfate Thiosulfato SCN- thiocyanate thiocyanato เมือ่ เกิดพันธะที่ S thiocyanate isothiocyanato เมือ่ เกิดพนั ธะท่ี N C2O42- oxalate oxalato 4.สําหรบั ลแิ กนดท ีไ่ มม ีประจหุ รือเปน กลาง (neutral ligand) ใหเ รยี กชอื่ เหมือนกับโมเลกลุ ท่ีเปน กลาง เชน NH2CH2CH2NH2 เมื่อเปน โมเลกุลเรียกวา ethylenediamine เมื่อเปนลิแกนดกย็ ังคงเรียกวา ethylenediamine ยกเวนลแิ กนดที่เปนกลางบางชนดิ ใหเรยี กชือ่ เฉพาะตวั เชน H2O เรยี ก aquo NH3 เรยี ก ammine CO เรยี ก carbonyl - 40 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดริ์ กั ษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ 5. ถาสารประกอบเชิงซอนน้ันมีลิแกนดชนิดเดียวกันมากกวาหน่ึงใหบอกจํานวนที่ซํ้ากันไวหนาช่ือของลิ แกนด โดยระบจุ ํานวนดวยภาษากรกี ดงั น้ี จาํ นวนลิแกนดทีซ่ า้ํ กัน เรียก 2 Di 3 Tri 4 Tetra 5 Penta 6 Hexa เชน (CN)6 เรยี ก hexacyano (C2O4)3 เรียก trioxalato ในกรณีท่เี ปนพวก polydentate ligand (ลิแกนดที่สามารถเกิดพันธะกับไอออนไดตั้งแต 2 ตําแหนงข้ึนไปใน 1 ลแิ กนด) ใหใ ชดงั น้ี จํานวนลิแกนดทซ่ี ้ํากนั เรียก 2 Bis 3 Tris 4 Tetrakis สําหรับ ethylenediamine ถามี 2 โมเลกุล เน่ืองจากมีคําวา di อยูแลวจึงใช bis แทน di โดยเขียน bis ไว ขางหนา และ ethylenediamine อยใู นวงเล็บดังน้ี bis(ethylenediamine) 6.ถาไอออนเชิงซอ นมปี ระจเุ ปนลบ ใหเ รียกชือ่ ลแิ กนดกอนแลว ตามดวยช่อื โลหะ พรอมกันเปลี่ยนคําลงทาย ของโลหะใหเปน -ate และใสเ ลขออกซิเดชันไวใ นวงเล็บตอจากช่ือของโลหะดวยเลขโรมัน โลหะ ช่ือโลหะ ช่อื โลหะในไอออนเชงิ ซอนท่ีมปี ระจลุ บ Al Aluminium Alminate Cr chromium Chromate Mn manganese Manganate Ni nickel Nickelate Co cobalt Cobaltate Zn zinc Zinccate Mo molybdenum Molybdate W tungsten Tungatate - 41 - นางสาวจตุภรณ สวสั ดริ์ กั ษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ โลหะบางตวั มีชอ่ื เรียกเปน ภาษาละตนิ ใหใชภาษาละตินและลงทา ยดว ย -ate ดงั ตัวอยา ง ธาตุ ช่ือโลหะ ช่ือโลหะในไอออนเชิงซอน ภาษาองั กฤษ ภาษาละตนิ ท่มี ีประจเุ ปนลบ Fe iron Ferrum Ferrate Cu copper Cuprum Cuprate Pb lead Plumbum Plumbate Ag silver Argentum Argentate Au gold Aurum Aurate Sn tin Stannum Stannate เชน [Fe(CN)6]3- เรยี กวา hexa cyano ferrate (III) ion [Co(C2O4)3]3- เรยี กวา tris oxalato cobalttate (II) ion [Cr(NO2)6]3- เรียกวา hexa nitro chromate(III) ion สําหรับไอออนเชิงซอนที่มีประจุบวกและสารประกอบเชิงซอนท่ีเปนกลาง ใหอานช่ือของโลหะตามชื่อ โลหะเดิม โดยไมต อ งเปลยี่ นคําลงทา ย เชน [Cu(NH3)4]2+ เรยี กวา tetra amminne copper (II) ion [Co(H2O)63+ เรียกวา hexa aquo cobalt (III) ion [Cr(H2O)6]3+ เรยี กวา hexa aquo chromium (III) ion 7.ในกรณีท่ีสารประกอบเชิงซอนน้ันมีลิแกนดหลายชนิด ใหเรียกชื่อลิแกนดท่ีมีประจุลบกอน ตามดวยลิ แกนดท่เี ปนกลาง และลิแกนดท่มี ปี ระจบุ วกไวทายสดุ ตวั อยางที่ 4 การเรยี กชื่อสารประกอบเชิงซอ น สารประกอบเชิงซอน ไอออนบวก ไอออนลบ เลขโคออรด ิเนชัน อา นช่ือ K3[Fe(CN)6] ……………… ……………… ………………… ………………………………… [Cu(NH3)4]SO4 ……………… ……………… [Cr(H2O)4Cl2]ClO4 ……………… ……………… ………………… ………………………………… Na3[Cr(NO2)6] ……………… ……………… Fe2[Fe(CN)6] ……………… ……………… ………………… ………………………………… [Ni(NH3)6]Br2 ……………… ……………… ………………… ………………………………… ………………… ………………………………… …………………. ………………………………… - 42 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดริ์ กั ษา ครวู ชิ าการ
3.8 ธาตุกมั มนั ตรังสี เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหัสวชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ ในป ค.ศ. 1896 อองตวน อองรี เบ็กเคอเรล นักวิทยาศาสตรชาว ฝรั่งเศสพบวา เม่ือเก็บแผนฟลมที่หุมดวยกระดาษสีดําไวกับสารประกอบ ของยูเรเนียม ฟลมจะมีลักษณะเหมือนถูกแสง และเมื่อทําการทดลองกับ สารประกอบของยูเรเนียมชนิดอ่ืนๆ ก็ไดผลเชนเดียวกัน จึงสรุปวานาจะมี รังสแี ผออกมาจากธาตยุ ูเรเนยี ม ตอมาปแอร และมารี กูรี พบวาธาตุพอโลเนียม เรเดียม และ ทอเรียม สามารถแผรังสีไดเชนเดียวกัน ปรากฏการณที่ธาตุแผรังสีไดเอง อยา งตอเนือ่ งเรยี กวา กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) รปู ที่ 3.18 ปแอร และมารี กรู ี 3.8.1 การเกิดกมั มนั ตภาพรังสี รปู ท่ี 3.19 การกมั มันตภาพรังสี - 43 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดริ์ กั ษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวิชาเคมี โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ กมั มนั ตรงั สี (Radioactivity) คือกระบวนการเปลยี่ นแปลงท่ีเกดิ ขน้ึ ภายในนิวเคลียสของอะตอม เพ่อื ใหเ กดิ เปน นวิ เคลียสใหมท่ีเสถยี รกวา ดวยการเปลง รังสีออกมา กระบวนการน้เี กิดขึ้นอยางอิสระไมขึ้นกับสภาวะ ใด ๆ ธาตุกมั มันตรังสี ( Radio element ) เปนธาตทุ ่ีนิวเคลียสสามารถเปลงรงั สีกัมมนั ตภาพ ไดแ ก รังสี α , β และ γ ออกมาไดต ลอดเวลา แลวไดธาตุใหมขึ้นมา 3.8.2 การสลายตวั ของธาตกุ มั มนั ตรังสี รังสีกัมมันตภาพ ( Radiation ) เปนรังสีที่ธาตุกัมมันตรังสีแผหรือสลายตัวออกมา เนื่องจากภายในธาตุ กัมมันตรังสีมีพลังงานสวนเกินอยูจึงตองถายเทพลังงานสวนเกินนี้ออกไปเพ่ือท่ีจะไดอยูในสภาพที่เสถียรตอไป ซ่ึง การแผหรือการแตกสลายรังสจี ะมี 3 ประเภท คือ - การแผรงั สขี องอนภุ าคแอลฟา ( Alpha rays ) เปน อนุภาคท่ีมมี วลมาก 4.00260 amu มปี ระจุไฟฟา +2 โดย ใชสญั ลกั ษณเปน α หรอื 24He - การแผรังสีของอนุภาคบีตา ( Beta Rays ) เปนอนุภาคท่ีมีมวลนอย 0.000549 amu มีประจุไฟฟา –1 โดย ใชสญั ลกั ษณเปน β หรอื −10e - การแผรังสีแกมมา ( Gamma Rays ) เปนพลังงานที่อยูในรูปคล่ืนแมเหล็กไฟฟา ซึ่งมีชวงคล่ืนสั้นมาก มี ความเรว็ เทากบั ความเร็วแสง เปนรังสีท่ีไมมีมวลและไมมีประจุไฟฟา จึงไมเบ่ียงเบนในสนามแมเหล็ก มี สญั ลกั ษณเปน γ 3.8.3 ครึ่งชีวิตของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี คร่ึงชีวิต (half life) ของสารกัมมันตรังสี หมายถึง ระยะเวลาที่สารกัมมันตรังสีสลายตัวไปจนเหลือเพียง คร่งึ หนึง่ ของปริมาณเดมิ ใชส ัญลักษณเ ปน t1/2 รูปท่ี 3.20 ครงึ่ ชีวติ ของเรเดยี ม Radioactive decays law หมายถึง อัตราการสลายหรือจํานวนอะตอมของธาตุท่ีสลายไปในระยะเวลา หนึง่ เปนปฏิภาคโดยตรงกับจาํ นวนอะตอมของธาตุกัมมนั ตรงั สีท่มี อี ยูทัง้ หมด ให N เปน จํานวนอะตอมของธาตุกัมมันตรังสที ่มี อี ยทู ้งั หมด และ λ เปน คา คงของการสลาย หนว ยตอเวลา - 44 - นางสาวจตุภรณ สวัสดริ์ ักษา ครูวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ อตั ราการสลาย ∝ N อตั ราการสลาย = ∝ N จากหลักเกณฑท างคณิตศาสตร จะไดคาคร่ึงชวี ติ จากความสมั พนั ธด ังน้ี ln N = - λ t1/2 N0 N0 = จํานวนอะตอมของธาตกุ ัมมนั ตรงั สีทีเ่ วลาเรม่ิ ตนั ( t = 0 ) N = จํานวนอะตอมของธาตกุ ัมมันตรังสีท่ีเวลาผานมา t λ = คา คงทข่ี องการสลาย t1/2 = ครึ่งชวี ิต นิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีท่ีไมเสถียร จะสลายตัวและแผรังสีไดเองตลอดเวลาโดยไมขึ้นอยูกับ อุณหภูมิหรอื ความดนั อัตราการสลายตวั จะเปนสัดสวนโดยตรงกับจํานวนอนุภาคในธาตุกัมมันตรังสีน้ัน ปริมาณการ สลายตวั จะบอกเปนครึ่งชีวิต โดยครง่ึ ชีวติ เิ ปน สมบัตเิ ฉพาะตัวของแตละไอโซโทป ตวั อยางท่ี 1 จงหาปรมิ าณของ Tc-99 ที่เหลือเมือ่ วาง Tc-99 จาํ นวน 18 กรัมไวน าน 24 ชั่วโมง และ Tc-99 มีคร่ึงชีวิต 6 ชั่วโมง ตัวอยา งที่ 2 ถา ทงิ้ ไอโซโทปกัมมันตรงั สชี นดิ หนึง่ 20 กรมั ไวนาน 28 วนั ปรากฏวามีไอโซโทปนัน้ เหลอื อยู 1.25 กรัม ครงึ่ ชวี ิตของไอโซโทปนี้มคี าเทาใด - 45 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดร์ิ ักษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหิดลวิทยานสุ รณ ตัวอยางท่ี 3 จงหาปริมาณ I-131 เร่ิมตน เมื่อนํา I-131 จํานวนหน่ึงมาวางไวเปนเวลา 40.5 วัน ปรากฎวา มีมวลเหลือ 0.125 กรัม คร่ึงชีวติ ของ I-131 เทากับ 8.1 วนั 3.8.3 สมการนิวเคลยี ร สมการนิวเคลียร ( Nuclear equation ) คือสมการที่เขียนข้ึนเพ่ือแสดงปฏิกิริยานิวเคลียร โดยผลบวกของเลข อะตอมและเลขมวล ทางซายตอ งเทา กับทางขวา เชน 29328U 23940Th + 24He 28130Bi + −10e 210 Pb 82 226 Ra +28262Rn * 24He +28262Rn γ 88 3.8.4 ปฏิกริ ยิ านิวเคลยี ร ปฏิกิริยานิวเคลียร ( Nuclear reaction ) จะเปนปฏิกิริยาท่ีเกิดในนิวเคลียสของอะตอมของธาตุท่ีจะใหธาตุ ใหมเปลงรังสี α ( แอลฟา ), β ( บีตา ), และ γ ( แกมมา )เกิดขึ้นดวยโดยปฏิกิริยาจะไมยอนกลับ และไมขึ้นอยูกับ อณุ หภูมิ ความดนั หรอื ตัวคะตะไลส นอกจากนยี้ งั ปลอยพลงั งานมหาศาล ปฏิกิริยาฟชชัน (Fission reaction) คือ กระบวนการที่นิวเคลียสของธาตุหนักบางชนิด แตกตัวออกเปน ไอโซโทปของธาตทุ ี่เบากวา การยิงนิวตรอนเขาไปท่ีนิวเคลียสของธาตุหนัก จะทําใหแตกตัวเปนนิวเคลียสของธาตุใหมหลาย ชนิดทีเ่ บาขึ้น และคายความรอ นออกมาเปนจํานวนมาก ยังไดนิวตรอนจํานวนหน่ึงดวย ซึ่งนิวตรอนที่เกิดข้ึนใหม น้ีจะชนกบั นิวเคลียสอน่ื ๆ เกดิ ฟช ชันแบบตอ เนือ่ งเปน ปฏิกิริยาลูกโซ ในป พ.ศ. 2482 นักวิทยาศาสตรพบวาเมื่อใชนิวตรอนยิงไปท่ีนิวเคลียสของ U-235 จะทําใหเกิดการแตกตัว ไดธาตุใหมคือ Ba-139, กับ Kr-97 หรือ Ba-142 กับ Kr-91 การใชนิวตรอนยิงไปที่นิวเคลียสจัดวาเปนปฏิกิริยาฟช ชันที่สาํ คัญ - 46 - นางสาวจตภุ รณ สวสั ดร์ิ ักษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหสั วิชา ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณ รปู ที่ 3.21 ปฏกิ ิริยาฟช ชนั ปฏิกิริยาฟชชัน สามารถเกิดไดกับนิวเคลียสของธาตุหนักเชน U-233 , U-235, U-238, และ Pu-239 พิจารณาตวั อยางของปฏิกริ ยิ าฟส ชนั ตอไปน้ี 235 U + 1 n → 90 Kr + 144 Ba + 2( 01n ) 92 0 36 56 นิวตรอนที่เกดิ ขน้ึ จะทาํ ใหเ กิดปฏกิ ิรยิ าลูกโซจนกระท่ังไดนิวเคลยี สที่เสถียร คอื Zr-90 และ Nd-144 ดงั นี้ 90 Kr ⎯⎯β→ 90 Rb ⎯⎯β→ 90 Sr ⎯⎯β→ 9309Y ⎯⎯β→ 90 Zr 36 37 38 40 144 Ba ⎯⎯β→ 144 La ⎯⎯β→ 144 Ce ⎯⎯β→ 144 Pr ⎯⎯β→ 144 Nd 56 57 58 59 60 ปฏิกิริยาฟชชันที่เกิดขึ้นภายใตสภาวะที่เหมาะสม จะทําใหเกิดพลังงานอยางมหาศาล ซึ่งใชหลักการของฟ ชชนั มาทําระเบดิ ปรมาณู ในสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 ประโยชนของปฏิกิริยาฟช ชนั ปจ จุบันนกั วทิ ยาศาสตรสามารถควบคมุ ปฏกิ ริ ิยาลูกโซใ นฟสชันได และนาํ มาใชป ระโยชนทางสันติ เชน ใช สรางเตาปฏิกรณปรมาณู เพ่ือผลิตไอโซโทปกัมมันตรังสี เพ่ือใชในทางการแพทย การเกษตร และอุตสาหกรรม ในขณะทพ่ี ลงั งานท่ีไดกส็ ามารถนาํ ไปใชผ ลติ กระแสไฟฟาได - 47 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดร์ิ ักษา ครวู ิชาการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเคมี 2 รหสั วชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ ปฏิกิริยาฟวชัน (Fusion reaction) คือ ปฏิกิริยาท่ีเกิดการรวมตัวของไอโซโทปที่มีมวลอะตอมตํ่า ทําใหเกิด ไอโซโทปใหมที่มีมวลมากขึ้นกวาเดิม และใหพลังงานจํานวนมหาศาล และโดยท่ัวๆ ไปจะใหพลังงานมากกวา ปฏิกิริยาฟชชัน รูปท่ี 3.22 ปฏกิ ริ ิยาฟว ชนั ตวั อยางปฏิกิริยาไดแก 21H + 3 H → 4 He + 1 n + พลังงาน 1 2 0 3 He + 21H → 4 He + 11H + พลงั งาน 2 2 6 Li + 21H → 4 He + พลงั งาน 3 2 6 Li + 21H → 7 Li + 11H + พลังงาน 3 3 ปฏิกิริยาฟวชันจะเกิดขึ้นไดท่ีอุณหภูมิสูงมากเทานั้น เพื่อเอาชนะแรงผลักระหวางนิวเคลียสที่จะมารวมกัน ประมาณวาตองมีอุณหภูมิสูงประมาณ 2 x 108 0C ความรอนดังกลาวน้ีอาจไดจากปฏิกิริยาฟสชัน ซึ่งเปรียบเสมือน เปน ชนวนใหเกิดปฏิกิริยาฟวชัน ประโยชนของปฏกิ ิรยิ าฟว ชนั พลังงานในปฏิกิริยาฟวชันถาควบคุมใหปลอยออกมาชา ๆ จะเปนประโยชนตอมนุษยอยางมากมาย และมี ขอ ไดเปรยี บกวาปฏิกิรยิ าฟสชัน เพราะสารตั้งตนคือไอโซโทปของไฮโดรเจนนั้นหาไดงาย นอกจากน้ีผลิตภัณฑที่เกิด จากฟว ชันยังเปนธาตุกัมมันตรังสีท่ีมีอายุและอันตรายนอยกวา ซึ่งจัดเปนขอไดเปรียบในแงของสิ่งแวดลอม (เกิดเปน แหลง พลังงานมหาศาลทเ่ี ปน ประโยชนต อมนุษย) 3.8.5 ประโยชนแ ละโทษของกัมมันตรงั สี ประโยชนข องกัมมันตรังสี 1. ใชใ นดา นการเกษตร เชน การวจิ ยั เก่ียวกับปยุ หรอื การเปลยี่ นแปลงพืชพันธุบางชนิด 2. ใชในการแพทย เชน รักษาโรคมะเร็ง Co-60, Ra-226 หรือตรวจระบบการหมุนเวียนโลหิต Na-24 ใช I-131 ดูความผดิ ปกตขิ องตอมไทรอยด ใช I-123 ดูภาพสมอง ใช Tc-99 ดภู าพอวยั วะภายใน 3. ในทางอตุ สาหกรรม ใชตรวจสอบรอยแตกราวในเสาหนิ ปนู หรอื ภายในโลหะซึง่ มองจากภายนอกไมเหน็ 4. ในทางธรณวี ทิ ยา ใชห าอายวุ ัตถุโบราณโดยเทยี บจาก 14C ซ่ึงอยใู นของโบราณนนั้ 5. ใชควบคุมความหนาของแผน โลหะทีร่ ดี ออกมาจากเคร่อื งรีดโลหะใหบ างเทา กนั ตลอดแผน - 48 - นางสาวจตุภรณ สวัสดริ์ กั ษา ครวู ชิ าการ
เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าเคมี 2 รหัสวชิ า ว 40121 สาขาวชิ าเคมี โรงเรียนมหิดลวิทยานสุ รณ โทษของกมั มันตรังสี 1. ทาํ ใหเกิดการเปล่ยี นแปลงภายในสารในรางกายสาํ หรบั ส่ิงมีชีวติ 2. ถา สงิ่ มีชวี ิต ไดรบั รังสีปริมาณมากอาจตายในทันที 3. ถานาํ เอาความรูไปใชใ นทางทผ่ี ิดก็จะเปน อนั ตรายตอมวลมนษุ ยชาติ 4. เกิดผลกระทบตอ สง่ิ แวดลอ ม - 49 - นางสาวจตภุ รณ สวัสดร์ิ กั ษา ครวู ิชาการ
Search
Read the Text Version
- 1 - 49
Pages: