รายงาน เร่อื ง ความผิดฐานแจง้ ความเท็จตอ่ เจา้ พนกั งานตามมาตรา137 และ ความผิดฐานแสดงตนและกระทำการเปน็ เจา้ พนักงาน ตามมาตรา145 จัดทำโดย นางสาว กัญญาวรี ์ โพธโิ สดา รหสั นสิ ติ 631081022 นำเสนอ อาจารย์ วิรัตน์ นาทพิ เวทย์ รายงานฉบบั น้ีเป็นส่วนหนงึ่ ของรายวิชา 0801221 กฎหมายอาญา2 ภาคเรยี นท่ี1 หลักสตู รนิตศิ าสตรบ์ ณั ฑติ สาขานติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ วิทยาเขตสงขลา
คำนำ รายงานฉบบั นเี้ ป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 0801221 กฎหมายอาญา2 โดยมจี ุดประสงคเ์ พ่อื การศกึ ษา ความรู้ที่ไดจ้ ากเร่อื งความผิดฐานแจง้ ความเท็จตอ่ เจา้ พนักงานตามมาตรา137 และความผดิ ฐานแสดงตนและ กระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา145 ซ่ึงรายงานฉบบั นมี้ ีเนื้อหาเกยี่ วกบั คำอธิบายเชิงโครงสร้าง ความรบั ผิดทางอาญาของมาตรา137 และมาตรา145 ตลอดจนคำอธบิ ายจากบรรทดั ฐานคำพพิ ากษาศาลฎีกา ในเรอ่ื งทีเ่ ก่ียวขอ้ งจากมาตรา137 และมาตรา145 ผจู้ ดั ทำไดเ้ ลือกหวั ข้อน้ใี นการทำรายงาน เนอ่ื งจากเป็นเรือ่ งที่นา่ สนใจ รวมถงึ เป็นเรอ่ื งที่มเี นือ้ หาและ สาระสำคัญท่ีสามารถทำความเข้าใจไดเ้ ยอะ แมว้ ่าจะดูเหมอื นเปน็ มาตราสนั้ ๆทีไ่ มไ่ ด้ซับซอ้ นแต่แฝงไปดว้ ย เน้อื หาที่สามารถให้วเิ คราะห์ไดเ้ ป็นอย่างมาก ผู้จัดทำจะต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ วริ ตั น์ นาทิพเวทย์ ผู้ให้ความรู้และแนวทางการศึกษา รวมถงึ ขอบคณุ เพอื่ นๆทกุ คนท่ีคอยตอบข้อสงสยั ในการทำรายงานฉบบั น้ีมาโดยตลอด และผู้จดั ทำคาดหวงั เป็นอย่างยง่ิ วา่ รายงานฉบบั นี้ จะให้ความรู้และมขี ้อมลู ท่เี ปน็ ประโยชน์ต่อผู้ทส่ี นใจศึกษาทกุ ๆท่านไม่มากกน็ อ้ ย นางสาว กัญญาวรี ์ โพธโิ สดา ผจู้ ดั ทำ
สารบญั หนา้ เรอ่ื ง 1 4 บทท่ี 1 : คำอธิบายเชิงโครงสรา้ งความรบั ผิดทางอาญา 7 - ความผิดฐานแจ้งความเท็จตอ่ เจา้ พนักงาน ตามมาตรา137 10 - ความผิดฐานแสดงตนและกระทำการเปน็ เจา้ พนักงาน ตามมาตรา145 13 บทท่ี 2 : คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาศาลฎกี า 18 19 - คำพิพากษาศาลฎีกาเกยี่ วกบั ความผดิ ฐานแจง้ ความเท็จตอ่ เจ้าพนกั งาน ตามมาตรา137 - คำพิพากษาศาลฎกี าเกยี่ วกบั ความผิดฐานแสดงตนและกระทำการเป็นเจา้ พนกั งาน ตามมาตรา145 บทที่ 3 : สรุปเน้อื หาและข้อเสนอแนะ - สรุปเนอ้ื หา - ขอ้ เสนอแนะ บรรณานุกรม
--- 1 --- บทที่ 1 คำอธิบายเชิงโครงสรา้ งความรบั ผิดทางอาญา ความผดิ ฐานแจ้งความเทจ็ ต่อเจ้าพนักงาน ตามมาตรา137 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา137 “ผู้ใดแจ้งขอ้ ความอนั เป็นเท็จแกเ่ จา้ พนักงานซึง่ อาจทำใหผ้ อู้ ื่น หรือประชาชนเสยี หาย ตอ้ งระวางโทษจำคกุ ไม่เกินหกเดือน หรือปรบั ไมเ่ กินหนง่ึ หมน่ื บาท หรอื ทงั้ จำท้ังปรบั ” มาตรา137น้ี เปน็ บทท่ัวไป โดยมีโครงสรา้ งความรับผดิ ทางอาญา ดังนี้ องค์ประกอบภายนอก 1.ผู้ใด 2.แจ้งข้อความ 3.อนั เป็นเท็จ 4.แก่เจา้ พนักงาน 5.ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่ืนหรอื ประชาชนเสยี หาย องค์ประกอบภายใน คือ เจตนาธรรมดา คำอธบิ าย ผู้ใด ในท่ีนีห้ มายถงึ ผูแ้ จง้ ซึ่งอาจเป็นบคุ คลธรรมดาหรอื นิตบิ คุ คลก็ได้ การแจ้ง คอื การทำให้เจ้าพนกั งานได้รับทราบ ซ่งึ อาจกระทำได้ 3 วธิ ี คอื วธิ ที ่1ี กระทำด้วยวาจา เช่น การบอก การตอบคำถามตา่ งๆแก่เจา้ พนกั งาน วิธที ี่2 กระทำด้วยลายลักษณ์อกั ษร เช่น การแสดงหลักฐาน การกรอกขอ้ มลู ต่างๆแก่เจ้าพนกั งาน วิธีท3่ี กระทำดว้ ยการแสดงกริ ยิ าท่าทางอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ขอ้ ความอันเป็นเท็จ คอื ข้อความที่ไม่ตรงกับความเปน็ จริง ซึ่งข้อความจะเปน็ เทจ็ ไดก้ ็ต่อเม่อื เป็นข้อเท็จจรงิ ในอดตี หรือในปจั จุบนั เทา่ น้นั ถา้ เป็นขอ้ เท็จจริงในอนาคต หรอื หากเปน็ เพียงการแสดง ความเห็นหรอื การคาดเดา จะถอื ว่าไม่เป็นความเท็จเพราะไมส่ ามารถทราบไดว้ ่าขอ้ ความนนั้ จริงหรอื เท็จ ในขณะท่ไี ดก้ ลา่ วถึง
--- 2 --- การแจ้งขอ้ ความอันเปน็ เท็จ สามารถแบ่งได้เปน็ 2 กรณี คอื 1.การไปแจ้งด้วยตัวเอง เชน่ นายดำไปแจ้งความว่าใบทะเบยี นสมรสหายเพ่ือท่ีจะนำใบแจ้งความมาขอคดั ใบทะเบียนสมรสใหม่ แต่ความจริงแล้วใบทะเบยี นสมรสไมไ่ ดห้ าย กรณีนีน้ ายดำมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามมาตรา137 2.การไปให้คำให้การ ซง่ึ ในการไปใหค้ ำให้การน้ีแบ่งได้เป็น 2 ฐานะ คือ - ในฐานะพยาน เชน่ นางแมวไม่ได้เห็นเหตุการณต์ อนที่นางต่ายทำรา้ ยนางเตา่ แต่นางแมวไดบ้ อก กับเจ้าพนกั งานว่าตนเหน็ เหตุการณท์ ง้ั หมด กรณีนี้นางแมวมคี วามผิดฐานแจ้งความเทจ็ ตามมาตรา137 - ในฐานะผตู้ อ้ งหา ในกรณีนี้ แม้ผู้ตอ้ งหาจะให้การเปน็ เทจ็ ต่อเจา้ พนักงาน แต่กไ็ มเ่ ป็นความผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ ตามมาตรา137 เน่ืองจากถือว่าผูต้ ้องหาสามารถทจ่ี ะใหค้ ำให้การแกต้ วั สู้คดีอยา่ งไรก็ได้ เพอ่ื ให้ตนเองน้ันพ้นผดิ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญามาตรา 134 ดงั นนั้ แมค้ ำให้การของ ผตู้ อ้ งหาน้ันจะเป็นเทจ็ ก็จะไมม่ คี วามผิด เช่น นายพฤกร้จู กั กบั นางสาวแพรว ต่อมานายพฤกตกเปน็ ผู้ต้องหา กระทำชำเรานางสาวแพรว แต่นายพฤกได้ใหค้ ำให้การกบั เจา้ พนกั งานว่าตนน้ันไม่ได้รจู้ กั กบั นางสาวแพรว กรณีนี้แมน้ ายพฤกจะใหก้ ารเท็จแก่เจา้ พนักงานแตก่ ็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา137 เจา้ พนกั งาน เช่น นายอำเภอ ตำรวจ ปลัดอำเภอ ผู้ใหญ่บา้ น เปน็ ตน้ ซึ่งตามมาตรานีเ้ จา้ พนักงานต้อง มีหน้าท่ใี นการดำเนินการตามเร่ืองทไ่ี ด้รบั แจ้งต่างๆ ซึ่งตอ้ งกระทำการตามหน้าที่และโดยชอบดว้ ยกฎหมาย หากเปน็ เจา้ พนักงานที่มหี น้าทแ่ี ตไ่ ด้กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะถือว่าผทู้ ่ีแจ้งความเทจ็ นั้นไมม่ คี วามผิด ฐานแจ้งความเทจ็ อาจทำใหผ้ ู้อนื่ หรือประชาชนเสยี หาย การท่ีจะมีความผดิ ฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา137น้ี ข้อความท่ีได้แจง้ น้นั จะตอ้ งอาจทำให้ผอู้ ื่นหรือประชาชนเสยี หาย หากไม่เกดิ ความเสียหายกจ็ ะไมถ่ อื วา่ มคี วามผดิ ตามมาตรา137น้ี และหากการแจ้งความเท็จน้นั อาจทำให้เสยี หายแลว้ แม้ว่าจะไม่ไดเ้ กิด ความเสยี หายหรอื เกิดผลกับใคร แต่ก็ถือวา่ เกิดความเสยี หายแก่ผรู้ บั แจง้ แลว้ ทำให้ถือวา่ มีความผดิ ตามมาตรา137 การแจ้งความเท็จน้ัน ผู้แจ้งต้องกระทำโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา59 วรรคสอง และวรรคสาม โดยทราบถงึ ข้อความท่ตี นไดแ้ จง้ นน้ั วา่ เป็นความเทจ็ และทราบดวี า่ ผู้ที่รับแจง้ นัน้ เป็น เจา้ พนักงาน แตห่ ากผู้แจ้งเข้าใจวา่ ขอ้ ความทแ่ี จ้งไปน้ันเปน็ ความจริง หรอื การไม่ทราบกถ็ ือวา่ ไม่มเี จตนา ผแู้ จง้ ก็ไมม่ คี วามผดิ ฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา137 ขอ้ พจิ ารณา - ความผดิ จะสำเร็จก็ต่อเม่ือเจา้ พนกั งานได้รบั ทราบแล้ว - แม้ว่าเจ้าพนกั งานไม่เช่อื หรือทราบความจริงอยู่แล้วก็ตาม กย็ ังถอื วา่ เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
--- 3 --- เชน่ นายหม่องชาวเมยี นมาร์ไปขอออกบัตรประจำตัวประชาชนแกเ่ จ้าพนกั งานโดยแจ้งวา่ ตนเปน็ คนไทย ซึ่งในขณะท่แี จ้งน้นั เจ้าพนักงานกท็ ราบถงึ ความจริงอยแู่ ล้วเพราะรูจ้ กั กับภรรยาของนายหมอ่ ง ดงั น้ันจากกรณีนี้นายหมอ่ งมีความผดิ ฐานแจง้ ความเท็จตามมาตรา137 - หากเจ้าพนกั งานไมไ่ ดร้ บั ทราบ ในกรณนี ี้ถอื เปน็ แคก่ ารพยายามแจง้ ความเทจ็ ตามมาตรา80 เช่น นายแดงคนต่างด้าวไปขอออกบัตรประจำตัวประชาชนแกเ่ จ้าพนักงานโดยแจ้งว่าตนเปน็ คนไทย แตใ่ นขณะน้ัน เกิดเสยี งฟ้าผา่ ทำใหเ้ จ้าพนกั งานไมไ่ ด้ยนิ และไม่ได้รบั ทราบในสงิ่ ท่ีนายแดงพดู ดงั นน้ั จากกรณีนีน้ ายแดง มีความผดิ แค่พยายามแจง้ ความเท็จเท่านัน้ - หากผู้ที่รับการแจง้ ความน้นั ไม่ใชเ่ จ้าพนักงานผู้ทมี่ หี น้าที่รับแจง้ ในกรณนี ถ้ี ือว่าผ้แู จง้ ไมม่ ีความผดิ ฐานแจง้ ความเท็จตอ่ เจ้าพนกั งานตามมาตรา137 เช่น นางสร้อยชาวลาวไปขอออกบัตรประจำตวั ประชาชน ต่อเจา้ หน้าทต่ี ำรวจโดยแจง้ วา่ ตนเป็นคนไทย ดงั นัน้ จากกรณีนี้นางสรอ้ ยไม่มคี วามผิดฐานแจ้งความเท็จตอ่ เจา้ พนกั งาน เพราะเจา้ หน้าท่ีตำรวจไมไ่ ดม้ หี นา้ ทีร่ บั แจง้ ในการออกบตั รประจำตวั ประชาชน - และหากการแจ้งความนน้ั เป็นความเทจ็ เพียงบางสว่ นเท่านน้ั ในกรณนี ก้ี ็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความ อันเป็นเทจ็ ตามมาตรา137แลว้
--- 4 --- ความผิดฐานแสดงตนและกระทำการเปน็ เจ้าพนกั งาน ตามมาตรา145 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา145 “ผู้ใดแสดงตนเปน็ เจา้ พนักงาน และกระทำการเปน็ เจ้าพนกั งาน โดยตนเองมไิ ดเ้ ปน็ เจา้ พนกั งานท่มี อี ำนาจกระทำการน้นั ต้องระวางโทษจำคุกไมเ่ กินหนงึ่ ปี หรอื ปรับไมเ่ กนิ สองหมื่นบาท หรอื ท้ังจำทง้ั ปรับ เจา้ พนักงานผู้ใดได้รบั คำสั่งมใิ ห้ปฏิบัตกิ ารตามตำแหนง่ หนา้ ท่ตี อ่ ไปแล้ว ยงั ฝ่าฝนื กระทำการใด ๆ ในตำแหนง่ หน้าทีน่ ้ัน ต้องระวางโทษตามทก่ี ำหนดไวใ้ นวรรคแรกดจุ กัน” มาตรา145 นี้ สามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 2 วรรค 2 กรณี โดยมโี ครงสรา้ งความรบั ผิดทางอาญา ดังน้ี กรณีความผิดที่1 องค์ประกอบภายนอก 1.ผ้ใู ด 2.แสดงตนเป็นเจ้าพนกั งาน และ 3.กระทำการเปน็ เจา้ พนักงาน 4.โดยตนเองมิไดเ้ ป็นเจา้ พนกั งานทม่ี ีอำนาจกระทำการนั้น องคป์ ระกอบภายใน คอื เจตนาธรรมดา คำอธบิ าย ผใู้ ด ในท่นี ีห้ มายถงึ บุคคลทีแ่ อบอา้ งว่าตนเปน็ เจ้าพนกั งาน อาจเปน็ บคุ คลธรรมดาหรือนติ บิ ุคคลกไ็ ด้ แสดงตนเปน็ เจ้าพนกั งาน คือ ทำให้บุคลอ่นื รู้วา่ คนทแ่ี สดงตนน้ันเป็นเจา้ พนักงาน เช่น นายแดงไดอ้ ้าง วา่ ตนเปน็ ตำรวจนอกเคร่ืองแบบ และการแสดงตนเปน็ เจ้าพนกั งานน้ีใหร้ วมถงึ การผนู้ น้ั นงิ่ เฉยไมม่ กี ารปฏเิ สธ เช่น นายปอ้ มบอกนายตวู่ ่า นายหนเู ป็นแพทย์สาธารณสขุ ท้ังๆทนี่ ายหนไู มไ่ ดเ้ ป็น และนายหนูก็ไดน้ งิ่ เฉย ไม่ปฏเิ สธว่าตนนน้ั ไม่ใชแ่ พทย์สาธารณสุข ดงั น้นั กรณนี ก้ี ็ถือวา่ นายหนูแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานแลว้ กระทำการเปน็ เจา้ พนักงาน คือ การกระทำการตามอำนาจหน้าท่ีของเจา้ พนกั งานนัน้ ๆ แม้ว่าจะมีการแสดงตนเปน็ เจา้ พนกั งานตามทีก่ ล่าวมาแล้วนั้น แต่ยงั จะตอ้ งมกี ารกระทำการเป็น เจา้ พนกั งานดว้ ย เชน่ นายเขียวอา้ งว่าตนเป็นตำรวจนอกเคร่ืองแบบ และได้มกี ารตรวจรถของนายดำ เชน่ น้ถี ือว่านายเขยี วมคี วามผิดตามมาตรา145 หากว่ามเี พยี งแคก่ ารแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานเพยี งอย่างเดียว หรอื มกี ารกระทำการเพยี งอยา่ งเดยี ว จะไม่ถอื วา่ เป็นความผิดตามมาตรา145 ตอ้ งมที ั้งการแสดงตนเป็นเจา้ พนักงานและมกี ารกระทำการ
--- 5 --- เชน่ นางอ้ายอ้างกบั นางเอ้อื ยวา่ ตนเปน็ แพทย์สาธารณสุข แต่ไม่ได้ทำการตรวจหรอื รกั ษานางเอ้อื ยแตอ่ ยา่ งใด กรณถี อื ว่านางอา้ ยไมม่ คี วามผิดตามมาตรา145 เพราะยงั ไม่ไดก้ ระทำการ โดยตนเองมิไดเ้ ปน็ เจา้ พนกั งานที่มีอำนาจกระทำการนน้ั หมายถึงการทเ่ี ราเป็นบคุ คลธรรมดาที่ไมไ่ ด้ เป็นเจา้ พนกั งานและไมไ่ ด้มีอำนาจหน้าท่โี ดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น นายชลเป็นชาวบ้านธรรมดาอาศยั อยู่ บริเวณเขาเมาะแต จังหวัดนราธวิ าส นายชลได้เห็นผูล้ ักลอบตัดไม้ จึงเข้าไปแสดงตวั ว่าตนนั้นเป็นเจา้ พนักงาน กรมป่าไม้ กรณถี อื วา่ นายชลมีความผิดตามมาตรา145 ขอ้ พจิ ารณา - ถ้ามีการอา้ งวา่ “เคยเปน็ เจา้ พนกั งาน” ไม่ถือวา่ เป็นการแสดงตนว่าเปน็ เจา้ พนกั งานตามมาตรา145 กรณคี วามผดิ ที2่ องค์ประกอบภายนอก 1.ผใู้ ด 2.เป็นเจ้าพนกั งาน 3.ไดร้ บั คำส่ังมใิ ห้ปฏบิ ัตกิ ารตามตำแหนง่ หน้าทีต่ อ่ ไปแล้ว 4.ฝา่ ฝนื กระทำการใดๆในตำแหนง่ หนา้ ทีน่ น้ั องค์ประกอบภายใน เจตนาธรรมดา คำอธบิ าย ผใู้ ด ในท่ีนห้ี มายถงึ บคุ คลทเี่ คยเป็นเจา้ พนักงานมาก่อนหรอื เปน็ เจา้ พนกั งานท่เี คยทำหนา้ ท่นี ้ี แต่ในปจั จุบันไมไ่ ด้ทำหน้าทน่ี แี้ ลว้ เปน็ เจ้าพนักงาน หมายถึงการที่มีอำนาจหนา้ ที่ในการกระทำการใดๆ ได้รับคำส่งั มิให้ปฏิบัติการตามตำแหนง่ หน้าที่ต่อไปแลว้ คอื การทไ่ี มไ่ ด้มีอำนาจหน้าทกี่ ระทำการใดๆ ในสงิ่ น้นั อกี รวมถึงการถกู พกั งานหรอื สง่ั ให้ไปกระทำการในหน้าท่อี ่ืนแล้ว เช่น นางสาวฟา้ ถกู ย้ายตำแหนง่ จากเจ้าพนักงานออกบัตรไปเป็นเจ้าพนกั งานตรวจเอกสาร กรณีนถ้ี ือวา่ นางสาวฟ้าไมม่ ีอำนาจหนา้ ที่ ทีจ่ ะกระทำการออกบตั รอกี แล้ว แต่หากเป็นเจ้าพนักงานท่ไี ดม้ ีการลาพกั หรอื มกี ารหนรี าชการ จะไมไ่ ดเ้ ปน็ กรณีที่ไดร้ บั คำส่ังมใิ ห้ ปฏบิ ตั ิการตามตำแหนง่ หน้าท่ีตอ่ ไปแลว้ เพราะถือว่ายังไมพ่ น้ จากหน้าท่นี นั้ ๆ
--- 6 --- ฝา่ ฝนื กระทำการใดๆในตำแหน่งหน้าท่นี ั้น หมายถงึ การกระทำการตามหนา้ ทีอ่ ยู่เหมอื นเดมิ ทง้ั ๆที่ตนไมไ่ ดม้ หี นา้ ท่กี ระทำการน้ันแล้ว เชน่ นางสาวไก่ได้รบั คำสง่ั ไม่ให้ปฏบิ ตั หิ น้าท่ีในตำแหน่งเจ้าพนักงาน ทะเบียนอกี แตห่ ลงั จากทีไ่ ด้รบั คำส่งั แลว้ นางสาวไก่ยงั คงทำหนา้ ท่ีกระทำการในตำแหน่งนัน้ อยู่ ก็ถอื ว่า นางสาวไก่ฝา่ ฝืนกระทำการใดๆในตำแหน่งหน้าที่นั้นแลว้ การแสดงตนและกระทำการเปน็ เจา้ พนกั งานตามมาตรา145 ทัง้ 2กรณคี วามผดิ นี้ ผ้กู ระทำจะต้อง กระทำโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสองและวรรคสาม โดยทราบถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ที่วา่ ตนไม่ไดม้ อี ำนาจหน้าทใี่ นการกระทำการนั้นๆ ไมว่ ่าจะเป็นการท่ไี ม่ไดม้ ีอำนาจหน้าทีน่ น้ั ตง้ั แตแ่ รก หรือ หลังจากไดร้ ับคำสง่ั ไม่ใหป้ ฏบิ ตั หิ น้าท่นี น้ั ก็ตาม หากไม่ทราบถงึ ขอ้ เท็จจริงน้ันจะถอื วา่ ไมไ่ ด้มีเจตนา ข้อสังเกต - การที่ไดร้ ับคำสง่ั มิใหป้ ฏิบัตกิ ารตามตำแหน่งหนา้ ท่ีน้นั จะต้องไมใ่ ช่คำส่งั ท่ีเปน็ การส่ังเพียงครั้งคราว เท่าน้นั แตต่ อ้ งเปน็ การท่ีใหห้ ยดุ กระทำการไปตลอด จนกว่าจะมีคำสัง่ ใหก้ ลับมาปฏิบตั ิการตามหน้าทน่ี ้ันๆอกี - ผ้กู ระทำซง่ึ เป็นเจ้าพนักงานนน้ั ต้องทราบดีถึงข้อเทจ็ จริงท่ีวา่ ตนไมไ่ ด้มีหน้าท่ใี นการกระทำการ ในตำแหน่งนน้ั ๆอีกแลว้ ขอ้ พิจารณา - การลงชอ่ื ยอ้ นหลัง ถอื ว่าเปน็ การกระทำการหลังจากมีคำส่งั ไม่ให้ปฏิบัติการตามตำแหนง่ หนา้ ที่ ตอ่ ไปแล้ว ซ่งึ หมายความว่าผ้นู ้ันได้พ้นจากหนา้ ท่ใี นการกระทำการนัน้ ๆแลว้ ถือว่าเปน็ ความผิดตามมาตรา145 - หากว่ามีคำสงั่ ไมใ่ ห้ปฏิบัติการตามตำแหนง่ หน้าท่ีแลว้ แต่เจ้าพนักงานนัน้ ไม่ทราบ หรือไมท่ นั ได้เปดิ อ่านคำสัง่ นนั้ เพราะวา่ อยากทีจ่ ะทำงานใหเ้ สร็จก่อน ถือวา่ ผูน้ ัน้ ไมม่ คี วามผิด เช่น นางสาวแก้วได้รบั คำสง่ั ใหย้ ้ายไปปฏบิ ัติงานในตำแหนง่ อ่นื แต่นางสาวแกว้ นัน้ ไมไ่ ดเ้ ปิดอา่ นคำสัง่ นั้น เพราะไม่มเี วลาและอยากทำงาน ที่คา้ งให้เสรจ็ เสียก่อน และหลงั จากท่ีงานเสร็จเรยี บร้อยแลว้ นางสาวแกว้ จึงได้เปิดอ่านคำสงั่ น้ัน และได้รู้วา่ ตน ไม่ไดม้ ีอำนาจหน้าทใ่ี นการกระทำการในตำแหนง่ นี้อีก ในกรณนี ถ้ี อื วา่ นางสาวแกว้ ไมม่ คี วามผิดตามมาตรา145 - แตท่ ้ังน้จี ะต้องดูทพ่ี ฤตกิ ารณท์ ี่ปรากฏดว้ ยว่าผูก้ ระทำน้นั ไมไ่ ด้มเี จตนาจริงๆ หากว่าจงใจที่จะไมร่ ับ คำส่งั ทั้งๆที่รู้อยู่แลว้ วา่ มีคำสง่ั น้ี กจ็ ะถอื ว่ามีความผดิ ตามมาตรา145
--- 7 --- บทท่ี 2 คำอธิบายจากบรรทดั ฐานคำพิพากษาศาลฎกี า คำพพิ ากษาศาลฎกี าเกย่ี วกับความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนกั งาน ตามมาตรา137 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2141/2532 จำเลยท้งั สย่ี ่ืนคำร้องตอ่ เจ้าพนกั งานทีด่ นิ ขอรับมรดกทด่ี นิ มีโฉนด แลว้ จำเลยทงั้ สใ่ี ห้ถอ้ ยคำและยืนยัน รบั รองบัญชีเครอื ญาติตอ่ เจา้ หนา้ ที่ทดี่ นิ ที่สอบสวนทด่ี ินมรดกว่า ผู้ตายมีทายาทเพยี ง 4 คน คอื จำเลยทัง้ ส่ี อนั เปน็ เท็จ ซึ่งความจรงิ จำเลยทง้ั ส่ตี ่างทราบดีอยู่แล้วว่าผูต้ ายยงั มบี ตุ รสาวอีก 2 คน เป็นทายาทโดยธรรม เจา้ พนกั งานท่ดี ินจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธ์ทิ ีด่ นิ ใหแ้ ก่จำเลยท่ี 2 ถงึ ที่ 4 ตามคำขอของจำเลยท้งั สี่ทำให้ กรมทดี่ นิ และบตุ รสาวอีก 2 คน ของผู้ตายเสียหาย จำเลยท้ังสยี่ อ่ มมีความผดิ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา137 และกรณเี ช่นนถ้ี ือว่าเป็นความผิดสำเรจ็ ในวันที่กระทำความผดิ น้นั เอง วิเคราะหค์ ำพิพากษาศาลฎกี าที่ 2141/2532 จากคำพพิ ากษาศาลฎีกาน้ีการท่ีจำเลยทง้ั ส่ียื่นคำร้องตอ่ เจ้าพนกั งานที่ดินขอรับมรดกท่ดี นิ มีโฉนด แล้วจำเลยทงั้ ส่ีให้ถอ้ ยคำและยนื ยนั รับรองบัญชเี ครอื ญาตติ ่อเจ้าหน้าที่ที่ดินท่ีสอบสวนท่ดี ินมรดกวา่ ผตู้ าย มที ายาทเพียง 4 คน คอื จำเลยทงั้ ส่ี ซง่ึ ความจรงิ จำเลยทั้งส่ีตา่ งทราบดอี ยู่แลว้ ว่าผู้ตายยังมบี ตุ รสาวอกี 2 คน เปน็ ทายาทโดยธรรม เป็นกรณที ่ีจำเลยทง้ั ส่ีนน้ั แจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ แก่เจ้าพนักงาน และการที่จำเลยทงั้ สี่ ไดแ้ จ้งขอ้ ความเท็จน้ันแก่เจา้ พนกั งาน ทำใหเ้ จ้าพนกั งานน้นั ไมท่ ราบข้อเทจ็ จริงท่วี า่ ผูต้ ายยงั มีบตุ รสาวอกี 2 คน เปน็ ทายาทโดยธรรม เจ้าพนกั งานทด่ี ินได้จดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธ์ิทด่ี นิ ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4 ตามคำขอของจำเลยทง้ั สี่ ซึง่ จากการแจ้งความเท็จของจำเลยท้ังสี่นี้ มีผลทำให้ผ้อู นื่ เสยี หายนน้ั ก็คอื บตุ รสาว 2คนนอกเหนอื จากจำเลยทัง้ สี่และกรมทีด่ ินท่ีไดจ้ ดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธิ์ที่ดนิ ให้ ซึง่ ครบตามองคป์ ระกอบ ภายในมาตรา137 และในกรณนี ้ีจำเลยทั้งสกี่ ท็ ราบถงึ ข้อเทจ็ จริงอยู่แล้วว่าผู้ตายยงั มบี ุตรอกี 2คน และทราบดี วา่ สิ่งทแี่ จง้ ไปนั้นคือข้อความเท็จ จงึ ถอื ว่าเป็นการทีจ่ ำเลยทัง้ สนี่ นั้ กระทำโดยเจตนาซึง่ เข้าองค์ประกอบ ภายนอกมาตรา137 ดงั นั้นในกรณีนีถ้ อื วา่ จำเลยทงั้ ส่มี คี วามผดิ ฐานแจง้ ความเท็จตามมาตรา137 คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 2550/2529 ขอ้ เท็จจรงิ ท่ปี รากฏในคำฟ้องของโจทกไ์ ด้ความวา่ การท่จี ำเลยไปแจ้งวา่ ชายคนที่ไปร้านของจำเลย คอื โจทก์นนั้ ก็เป็นการแจง้ ไปตามคำบอกเล่าของเด็กทอ่ี ยใู่ นร้าน โจทกม์ ิไดย้ นื ยนั ข้อเทจ็ จรงิ ใหป้ รากฏ ในคำฟอ้ งว่าเดก็ ในร้านมไิ ด้บอกกับจำเลยเชน่ นั้นอันจะทำให้เหน็ ว่าข้อท่ีจำเลยแจ้งน้นั เป็นเท็จ เม่อื ฟังไม่ได้ ว่าขอ้ ความที่จำเลยแจง้ เป็นเท็จแลว้ การแจ้งความของจำเลยกไ็ ม่มีมลู ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา137
--- 8 --- วเิ คราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2550/2529 จากคำพพิ ากษาศาลฎีกานี้การที่จำเลยไปแจง้ ว่าชายคนที่ไปรา้ นของจำเลยก็คอื โจทกน์ ้นั เปน็ การแจง้ ไปตามคำบอกเล่าของเดก็ ที่อยูใ่ นร้านวา่ โจทย์ในมีท่าทางพริ ธุ เม่อื เขา้ มาในรา้ นของจำเลย ในกรณีนี้ขอ้ ความ จะเปน็ เท็จได้ก็ต่อเมอ่ื เป็นข้อเท็จจรงิ ในอดีตหรอื ในปจั จุบันเทา่ น้ัน ถ้าเปน็ ขอ้ เท็จจริงในอนาคต หรือหากเปน็ เพยี งการแสดงความเหน็ หรือการคาดเดาจะถือว่าไมเ่ ป็นความเท็จ ซง่ึ จากกรณีนี้เปน็ กรณีที่ผ้แู จง้ กค็ ือจำเลย ได้คาดเดาเพยี งเทา่ นน้ั เนอ่ื งจากจำเลยเกรงว่าโจทก์จะมาดักทำร้ายจำเลยเนื่องจากจำเลยกบั บิดาของโจทย์นน้ั กำลงั มีกรณีพิพาทกันอยู่และความจริงแลว้ โจทก์ไมไ่ ดก้ ระทำตามที่จำเลยแจง้ ความ จงึ ถือวา่ การแจ้งความของ จำเลยนน้ั ไม่เปน็ ความเท็จ และซ่งึ โจทก์กม็ ิได้ยืนยนั ข้อเทจ็ จริงนี้ใหป้ รากฏในคำฟอ้ งวา่ เด็กในร้านมไิ ดบ้ อกกับ จำเลยเชน่ น้นั อันจะทำใหเ้ ห็นวา่ ขอ้ ท่ีจำเลยแจง้ น้ันเปน็ เท็จ ดังนน้ั ในกรณีนถี้ ือวา่ การแจ้งความของจำเลยกไ็ ม่เปน็ ความผิดฐานแจ้งความเทจ็ ตามมาตรา137 คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 1093/2522 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 ผู้ตอ้ งหาจะให้การอยา่ งใดหรอื ไม่ให้การเลย กไ็ ด้ เปน็ สทิ ธขิ องผตู้ ้องหาทจ่ี ะให้การอย่างใดกไ็ ด้ แมค้ ำใหก้ ารของผู้ต้องหาจะไม่เปน็ ความจริงก็ไมเ่ ป็น ความผิดฐานแจง้ ความเท็จตอ่ เจ้าพนักงาน พนกั งานสอบสวนแจง้ ขอ้ หาแกจ่ ำเลยว่าขับรถยนตโ์ ดยประมาทเปน็ เหตใุ ห้ผู้อ่นื ได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วสอบสวนจดคำให้การของจำเลยไว้ ต่อมามีพยานหลักฐานวา่ ผู้อ่นื เป็นผู้ขบั รถชนผู้เสยี หายมใิ ช่จำเลย พนักงานสอบสวนเหน็ ว่าคำให้การของจำเลยทีจ่ ดไว้เปน็ ความเท็จจึงแจง้ ข้อหาจำเลยเพ่มิ เตมิ วา่ แจง้ ขอ้ ความ อนั เป็นเท็จต่อเจ้าพนกั งานดังนี้ คำให้การของจำเลยทพี่ นักงานสอบสวนจดไวเ้ ป็นคำให้การในฐานะผู้ตอ้ งหา แมไ้ ม่เป็นความจริง จำเลยก็ไม่มคี วามผดิ ฐานแจง้ ความเท็จตอ่ เจ้าพนักงาน วเิ คราะหค์ ำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 1093/2522 จากคำพพิ ากษาศาลฎกี านีก้ ารที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยวา่ ขบั รถยนตโ์ ดยประมาท เป็นเหตุให้ผูอ้ ่นื ไดร้ ับบาดเจ็บสาหสั เป็นการท่ีถือว่าจำเลยน้นั ตกเปน็ ผู้ต้องหาในคดีท่แี ลว้ ตอ่ มาพนกั งาน สอบสวนได้สอบสวนและจดคำให้การของจำเลยไว้ ซึ่งการสอบสวนน้ีถอื ว่าเป็นการที่จำเลยนั้นไดใ้ ห้คำให้การ ในฐานะผ้ตู ้องหาตอ่ เจ้าพนกั งาน ต่อมามพี ยานหลักฐานว่าผอู้ นื่ เปน็ ผ้ขู บั รถชนผเู้ สียหายมใิ ชจ่ ำเลย ถือว่า จำเลยนน้ั ใหก้ ารที่เปน็ เท็จตอ่ เจ้าพนกั งาน แต่เนอ่ื งจากจำเลยไดแ้ จ้งความอนั เปน็ เท็จตอ่ เจ้าพนักงานในขณะที่ ตนนน้ั อยู่ในฐานะเปน็ ผู้ตอ้ งหา ซง่ึ ผู้ต้องหาสามารถทจี่ ะให้คำให้การแก้ตวั สู้คดอี ย่างไรกไ็ ดต้ ามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 ดงั นน้ั ในกรณนี ี้ถอื ว่าจำเลยไมม่ ีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา137
--- 9 --- คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 2413/2521 จำเลยเจรจาคา่ เสยี หายกับโจทก์ต่อหน้าพนกั งานสอบสวนในการที่ส. ขบั รถชนบุตรสาวโจทก์ และพนักงานสอบสวนไดท้ ำบนั ทึกไว้แม้จำเลยจะกล่าวความเทจ็ แต่เมือ่ จำเลยมไิ ดเ้ ป็นผ้ตู อ้ งหาในกรณี รถชนดงั กล่าว พนกั งานสอบสวนย่อมไม่มีหน้าทที่ ำการเปรียบเทยี บ การท่ีพนกั งานสอบสวนทำการ เปรยี บเทยี บจึงไม่ถอื เปน็ การกระทำโดยหนา้ ที่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เปน็ ความผิดฐานแจง้ ความเท็จแก่ เจา้ พนักงาน วิเคราะหค์ ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2413/2521 จากคำพิพากษาศาลฎีกานีก้ ารท่ีจำเลยเจรจากบั โจทก์เรอ่ื งคา่ เสยี หายตอ่ หน้าพนักงานสอบสวน โดยจำเลยอ้างวา่ รถท่ีส.ขับชนบุตรสาวโจทก์เป็นรถของหา้ งห้นุ สว่ นจำกัดที่จำเลยเปน็ ผจู้ ัดการห้าง แต่โจทก์และจำเลยตกลงกันไม่ได้ พนักงานสอบสวนจึงทำบันทกึ ไว้ ตอ่ มาโจทกไ์ ดฟ้ ้องห้างหุ้นส่วนจำกดั แตจ่ ำเลยกลบั ใหก้ ารว่ารถท่ีชนบุตรสาวโจทก์แท้จริงแล้วไมใ่ ชข่ องหา้ งดงั กลา่ ว แมว้ ่าพนกั งานสอบสวน จะทำบันทกึ ไว้ แตพ่ นกั งานสอบสวนกม็ หี นา้ ทีเ่ พยี งแต่การสอบสวนและทำบันทกึ เพยี งเท่าน้นั ไม่ได้มหี นา้ ที่ ทำการเปรยี บเทยี บตามประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญามาตรา38 (2) ซงึ่ การทพ่ี นกั งานสอบสวน ทำการเปรียบเทยี บจึงไมถ่ อื เปน็ การกระทำโดยหน้าท่ี จึงถือวา่ จำเลยน้ันไดแ้ จง้ ความเทจ็ แก่ผทู้ ี่รับแจ้งความที่ ไมใ่ ชผ่ ทู้ ม่ี อี ำนาจหนา้ ทใี่ นกระทำ ดังนั้นในกรณีนี้ถอื ว่าจำเลยไมม่ คี วามผิดฐานแจ้งความเท็จตอ่ เจา้ พนกั งานตามมาตรา137
--- 10 --- คำพพิ ากษาศาลฎีกาเกีย่ วกับความผิดฐานแสดงตนและกระทำการเป็นเจา้ พนักงาน ตามมาตรา145 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2514 จำเลยเปน็ พนกั งานตตี ราไม้ไมใ่ ชพ่ นักงานป่าไมผ้ ู้มอี ำนาจจบั กุมผ้กู ระทำผิดตามพระราชบัญญตั ิปา่ ไม้ จำเลยได้แสดงตัวเปน็ เจ้าพนกั งานป่าไมผ้ ู้มอี ำนาจจับกมุ แล้วไดท้ ำการจบั กุมผู้เสียหายในเรอ่ื งไม้ทีผ่ ู้เสียหาย มีไว้ในครอบครองและยังเรียกเงนิ จากผู้เสียหายด้วย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผดิ ตามประมวล กฎหมายอาญามาตรา 145 วิเคราะห์คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1394/2514 จากคำพิพากษาศาลฎกี านีก้ ารท่จี ำเลยเป็นพนกั งานตีตราไม้และได้แสดงตวั เป็นเจ้าพนักงานปา่ ไม้ เปน็ กรณีท่จี ำเลยได้แสดงตนเปน็ เจ้าพนกั งาน และขอ้ เท็จจรงิ ปรากฎต่อมาว่าจำเลยไดท้ ำการจับกุมผู้เสียหาย ในเรื่องไม้ที่ผู้เสียหายมไี วใ้ นครอบครองและยังเรยี กเงินจากผู้เสยี หายด้วย ซง่ึ เป็นกรณที ่ีจำเลยได้กระทำการ เป็นเจา้ พนักงาน โดยท่จี ำเลยนั้นมไิ ด้มอี ำนาจในการกระทำการน้นั และไมไ่ ด้มีอำนาจหน้าท่ีโดยชอบด้วย กฎหมาย ซง่ึ ครบองค์ประกอบภายในมาตรา145 วรรคหนึง่ และจากการกระทำความผิดน้จี ำเลยกไ็ ดก้ ระทำไป โดยทีท่ ราบถงึ ขอ้ เท็จจรงิ ท่วี ่าตนไมไ่ ด้มอี ำนาจหน้าที่ในการกระทำการน้นั ซ่งึ มกี ารกระทำโดยเจตนาครบ องคป์ ระกอบภายนอกมาตรา145 ดังน้นั ในกรณนี ้ีถือวา่ จำเลยมีความผิดฐานแสดงตนและกระทำการเปน็ เจา้ พนกั งานตามมาตรา 145 วรรคหนงึ่ คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 2099/2527 จำเลยไมไ่ ดเ้ ป็นเจ้าพนกั งานตำรวจ แต่แต่งกายดงั ที่เจ้าพนกั งานตำรวจนอกเคร่อื งแบบแตง่ กัน ตามปกติ โดยนุ่งกางเกงสกี ากี สวมเสอ้ื คอกลมขาว คาดเข็มขัดหนังยืนให้สัญญาณรถยนตบ์ รรทกุ ที่ผ่านไปมา ใหห้ ยดุ รถเพ่อื ตรวจตรงจุดทรี่ ถยนตต์ ำรวจทางหลวงจอดอย่เู ป็นประจำ อันทำให้บุคคลทัว่ ไปอาจเข้าใจไดว้ า่ จำเลยเป็นเจา้ พนักงานตำรวจ ในการเรยี กตรวจรถแต่ละครัง้ จำเลยแสดงให้เปน็ ท่เี ขา้ ใจได้วา่ ได้รบั เงินจาก พวกคนขับรถยนตบ์ รรทกุ พฤติการณ์ของจำเลยฟังไดว้ า่ จำเลยแสดงตนและกระทำการเปน็ เจ้าพนกั งานตำรวจ ทางหลวงจำเลยจึงมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 145 วเิ คราะหค์ ำพิพากษาศาลฎกี าที่ 2099/2527 จากคำพพิ ากษาศาลฎีกานีก้ ารท่จี ำเลยไมไ่ ดเ้ ป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แตแ่ ตง่ กายดงั ทเ่ี จ้าพนักงาน ตำรวจนอกเคร่ืองแบบแต่งกนั ตามมปกตนิ ัน้ เป็นการที่จำเลยไดแ้ สดงตนเป็นเจ้าพนกั งาน และข้อเทจ็ จรงิ ปรากฎตอ่ มาวา่ จำเลยยืนให้สัญญาณรถยนตบ์ รรทุกที่ผา่ นไปมาให้หยดุ รถเพอื่ ตรวจตรงจุดทีร่ ถยนตต์ ำรวจ ทางหลวงจอดอยู่เป็นประจำ เป็นกรณที ่ีจำเลยนน้ั ไดก้ ระทำการเปน็ เจา้ พนกั งานแล้ว ทัง้ ทีจ่ ำเลยน้นั
--- 11 --- มไิ ดม้ ีอำนาจในการกระทำการน้ันและไมไ่ ดม้ ีอำนาจหนา้ ท่โี ดยชอบด้วยกฎหมาย ซง่ึ ครบองค์ประกอบภายใน มาตรา145 วรรคหน่ึง และในการเรยี กตรวจรถแต่ละครงั้ จำเลยแสดงใหเ้ ปน็ ท่ีเข้าใจไดว้ า่ ได้รบั เงนิ จาก พวกคนขบั รถยนต์บรรทกุ เป็นการแสดงถึงเจตนาทจ่ี ะกระทำการของจำเลยท้งั ๆทจ่ี ำเลยก็ทราบดีอย่แู ลว้ ว่า ตนนั้นไมไ่ ด้มอี ำนาจหน้าท่ใี นการกระทำนัน้ ซึง่ ครบองคป์ ระกอบภายนอกมาตรา145 ดังน้ันในกรณีน้ถี ือว่าจำเลยมคี วามผิดฐานแสดงตนและกระทำการเป็นเจา้ พนกั งานตามมาตรา 145 วรรคหนงึ่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5096/2540 ครั้งแรกจำเลยและถ.ไปบ้านผ้เู สยี หาย ถ. บอกผเู้ สียหายว่าจำเลยเป็นเจ้าพนกั งานตำรวจ จำเลยได้ยิน คำพูดของ ถ. แต่ก็นิ่งเฉยและมิได้ปฏเิ สธเท่ากบั จำเลยต้องการให้ผู้เสียหายเชอ่ื หรอื เขา้ ใจตามท่ี ถ. บอก ท้ังจำเลยได้เรยี กเงนิ จำนวน 2,000บาท จากผู้เสียหายมิฉะนนั้ จะจบั ผู้เสยี หาย พฤติการณ์เช่นน้ถี ือได้วา่ จำเลย ได้แสดงตนเปน็ เจ้าพนกั งานและกระทำการเป็นเจา้ พนักงานแล้ว ส่วนการเรียกรับเงินครงั้ ท่สี อง แม้จำเลยไมไ่ ด้ บอกหรอื อ้างวา่ เป็นเจา้ พนักงานตำรวจแตจ่ ำเลยเคยไปหาผเู้ สียหายและมพี ฤตกิ ารณ์แสดงให้ผูเ้ สียหายเชื่อวา่ จำเลยเป็นเจา้ พนักงานตำรวจจรงิ ทง้ั ผูเ้ สยี หายเคยใหเ้ งนิ แกจ่ ำเลยเพือ่ มิให้ถกู จบั มาก่อน การทจ่ี ำเลยไปเรียก เงินจากผเู้ สยี หายอกี โดยขู่ว่าหากไม่ให้จะจับผ้เู สียหาย จนผ้เู สยี หายยอมใหเ้ งินจำนวน 2,000 บาท แกจ่ ำเลย เช่นน้ี ถอื ไดว้ า่ จำเลยได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเปน็ เจา้ พนักงาน โดยจำเลยมิไดเ้ ป็น เจ้าพนกั งานทีม่ ีอำนาจกระทำการนัน้ และมคี วามผิดฐานกรรโชกทรัพยผ์ ู้เสยี หายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา145 และ337 วิเคราะหค์ ำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 5096/2540 จากคำพพิ ากษาศาลฎกี านี้ในครัง้ แรกการท่ีจำเลยและถ.ไปบ้านผ้เู สียหาย ถ.บอกผูเ้ สียหายว่าจำเลย เป็นเจา้ พนักงานตำรวจ จำเลยไดย้ ินคำพดู ของ ถ. แตก่ น็ ่ิงเฉยและมิได้ปฏเิ สธ ซึง่ การแสดงตนเปน็ เจ้าพนกั งาน นี้ให้รวมถึงการผนู้ ้นั นงิ่ เฉยไมม่ ีการปฏเิ สธดว้ ย จงึ ถือวา่ เปน็ กรณีท่จี ำเลยน้นั ได้แสดงตนเปน็ เจ้าพนักงานแลว้ ข้อเท็จจรงิ ปรากฎตอ่ มาว่าจำเลยไดเ้ รียกเงินจำนวน 2,000บาท จากผู้เสยี หายมฉิ ะนัน้ จะจับผเู้ สียหาย ซ่งึ การแสดงพฤตกิ ารณด์ ังกล่าวถือว่าจำเลยนน้ั ไดก้ ระทำการเป็นเจ้าพนักงานแล้ว โดยทจ่ี ำเลยไมไ่ ด้เปน็ เจ้าพนักงานท่ีมอี ำนาจในการกระทำนนั้ แมค้ รัง้ ที่สองจำเลยไมไ่ ด้บอกหรืออ้างว่าเปน็ เจา้ พนักงานตำรวจดงั เช่น ครง้ั แรก แตจ่ ำเลยเคยไปหาผเู้ สียหายและมีการกระทำดงั กล่าวเพอ่ื ใหผ้ เู้ สียหายเชื่อว่าจำเลยนน้ั เป็น เจา้ พนักงานตำรวจจรงิ รวมท้ังผ้เู สียหายเคยใหเ้ งินแกจ่ ำเลยเพอื่ มใิ ห้ถกู จบั มากอ่ น กรณนี ้กี ็ถือว่าจำเลยน้ัน ได้แสดงตนเป็นเจา้ พนักงานและกระทำการเป็นเจา้ พนกั งานเช่นเดียวกัน โดยทที่ ้ังสองคร้งั นี้จำเลยมไิ ดเ้ ป็น เจ้าพนักงานทม่ี ีอำนาจกระทำการน้ัน ซึง่ ครบองคป์ ระกอบภายในมาตรา145วรรคหนึ่ง และในกรณนี ี้การที่ จำเลยน่ิงเฉยและมิได้ปฏิเสธเท่ากับจำเลยตอ้ งการให้ผ้เู สยี หายเชอื่ หรือเขา้ ใจตามท่ี ถ. บอกซ่งึ ถอื วา่ จำเลยน้ัน มเี จตนาที่จะกระทำการนัน้ ซงึ่ ครบองคป์ ระกอบภายในมาตรา145
--- 12 --- ดงั นน้ั ในกรณนี ถี้ ือวา่ จำเลยมคี วามผิดฐานแสดงตนและกระทำการเปน็ เจ้าพนักงานตามมาตรา145 วรรคหนงึ่ คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 810/2520 จำเลยบอกผเู้ สยี หายวา่ เปน็ ตำรวจขอคน้ บ้าน และเข้าไปในบา้ น แล้วขูเ่ อาทรัพยไ์ ป ดังนี้ จำเลยยัง ไม่ไดท้ ำการเปน็ เจา้ พนักงานไม่เป็นความผดิ ตามมาตรา145 วเิ คราะหค์ ำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 810/2520 จากคำพิพากษาศาลฎกี านกี้ ารท่ีจำเลยบอกผู้เสยี หายว่าเป็นตำรวจ เป็นกรณที ี่จำเลยน้ันได้แสดงตน เปน็ เจา้ พนักงาน ตอ่ มาจำเลยไดข้ อคน้ บา้ นและเข้าไปในบ้าน แลว้ ข่เู อาทรัพย์ไป ซึ่งกรณีถอื ว่าจำเลยยังไม่ได้ กระทำการเป็นเจา้ พนกั งาน ซงึ่ การทจี่ ะมคี วามผิดตามมาตรา145ไดน้ ั้นจำเลยตอ้ งมีการแสดงตนเป็น เจ้าพนกั งานและมกี ารกระทำการเปน็ เจา้ พนกั งานดว้ ย หากมีเพยี งแค่ส่งิ ใดสิง่ หนึง่ จะไม่ถือวา่ เป็นความผดิ ตามมาตรา145 ซึง่ ในกรณนี ้ีจำเลยไดแ้ สดงตนเปน็ เจ้าพนักงานเพียงอยา่ งเดยี วเทา่ น้ัน จึงถอื ว่าไม่ครบ องคป์ ระกอบภายนอกมาตรา145 วรรคหนงึ่ ดังนัน้ ในกรณีนี้ถอื วา่ จำเลยไม่มีความผดิ ฐานแสดงตนและกระทำการเป็นเจา้ พนกั งานตามมาตรา145 วรรคหนง่ึ
--- 13 --- บทที่ 3 สรุปเนอ้ื หาและข้อเสนอแนะ สรปุ เนอ้ื หา ในเร่อื งของความผิดฐานแจ้งความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งานตามมาตรา137 และความผิดฐานแสดงตนและ กระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา145 เปน็ มาตราในประมวลกฎหมายอาญา ลกั ษณะ2 ความผดิ เกี่ยวกบั การปกครอง เร่ืองของความผิดต่อเจ้าพนักงาน ความผดิ ฐานแจ้งความเท็จตอ่ เจ้าพนกั งาน ตามมาตรา137 เป็นมาตราที่กล่าวถงึ กรณที ่ีผู้ใด ในทนี่ ้ีหมายถึงผแู้ จง้ ซ่ึงอาจเปน็ บคุ คลธรรมดาหรือนิตบิ คุ คลกไ็ ด้ ได้มี การแจง้ ขอ้ ความอันเปน็ เท็จ ซ่ึงการแจง้ คือ การทำใหเ้ จ้าพนักงานได้รบั ทราบ ซึ่งอาจกระทำได้ 3 วธิ ี คือ กระทำด้วยวาจา กระทำดว้ ยลายลกั ษณอ์ กั ษร และกระทำดว้ ยการแสดงกิรยิ าท่าทางอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ และขอ้ ความอนั เปน็ เท็จ คอื ข้อความท่ีไมต่ รงกับความเปน็ จรงิ ซ่ึงข้อความจะเปน็ เทจ็ ไดก้ ็ตอ่ เมอ่ื เป็น ข้อเท็จจรงิ ในอดีตหรอื ในปจั จุบันเท่าน้ัน หากเป็นเพยี งการแสดงความเห็นหรือการคาดเดาจะถือว่าไม่เป็น ความเท็จเพราะไมส่ ามารถทราบได้ว่าข้อความนัน้ จรงิ หรอื เทจ็ ในขณะทไ่ี ด้กล่าวถงึ ซง่ึ การแจ้งขอ้ ความอนั เปน็ เท็จ สามารถแบง่ ได้เป็น 2 กรณี คอื การไปแจ้งด้วยตวั เอง และการไปให้คำให้การทง้ั ในฐานะพยานและใน ฐานะผู้ต้องหา ขอ้ สังเกต การไปให้คำใหก้ ารในฐานะผตู้ ้องหาแม้ผตู้ ้องหาจะใหก้ ารเปน็ เท็จต่อเจา้ พนักงาน แต่กไ็ ม่เปน็ ความผดิ ฐานแจง้ ความเท็จตามมาตรา137 เนอ่ื งจากถอื ว่าผู้ตอ้ งหาสามารถท่ีจะใหค้ ำให้การแกต้ ัวสู้คดีอย่างไร กไ็ ดเ้ พอ่ื ใหต้ นเองน้ันพน้ ผดิ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญามาตรา134 แกเ่ จา้ พนักงาน ซึ่งเจา้ พนักงานตามมาตราน้ี เจ้าพนักงานต้องมีหน้าทใ่ี นการดำเนนิ การตามเรอ่ื งทีไ่ ดร้ บั แจง้ ซึง่ ต้องกระทำการตามหนา้ ท่แี ละโดยชอบดว้ ยกฎหมาย หากเปน็ เจา้ พนักงานท่มี ีหน้าทแ่ี ตไ่ ด้กระทำโดยไมช่ อบ ด้วยกฎหมาย จะถือว่าผู้ท่ีแจ้งความเทจ็ น้ันไม่มคี วามผดิ ฐานแจ้งความเทจ็ ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่ืนหรอื ประชาชนเสียหาย คอื ข้อความทีไ่ ด้แจ้งนนั้ จะตอ้ งอาจทำให้ผอู้ ่ืนหรอื ประชาชนเสียหาย และแมว้ ่าจะไมไ่ ดเ้ กิดความเสยี หายหรือเกิดผลกบั ใคร แตก่ ็ถือว่าเกิดความเสียหายแก่ผ้รู ับแจ้งแล้ว การแจง้ ความเท็จนน้ั ผู้แจง้ ตอ้ งกระทำโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสอง และวรรคสาม โดยทราบถงึ ข้อความทตี่ นไดแ้ จ้งนน้ั วา่ เปน็ ความเท็จ และทราบดีวา่ ผู้ทรี่ ับแจง้ นน้ั เปน็ เจา้ พนกั งาน
--- 14 --- ขอ้ พจิ ารณา - ความผดิ จะสำเรจ็ ก็ต่อเมอื่ เจ้าพนกั งานได้รับทราบแล้ว - แมว้ า่ เจ้าพนักงานไมเ่ ชอ่ื หรือทราบความจรงิ อยแู่ ล้วกต็ าม กย็ งั ถอื ว่าเป็นความผิดสำเรจ็ แล้ว - หากเจ้าพนกั งานไมไ่ ด้รบั ทราบ ในกรณีนี้ถอื เป็นแค่การพยายามแจ้งความเท็จตามมาตรา80 - หากผู้ท่รี บั การแจง้ ความนนั้ ไมใ่ ช่เจ้าพนักงานผทู้ ่มี หี นา้ ท่ีรบั แจ้ง ในกรณีน้ถี ือว่าผ้แู จง้ ไม่มีความผดิ ฐานแจง้ ความเท็จต่อเจา้ พนักงานตามมาตรา137 - และหากการแจง้ ความน้ันเป็นความเท็จเพยี งบางส่วนเท่านั้น ในกรณีนก้ี ถ็ ือวา่ เปน็ การแจง้ ขอ้ ความ อนั เป็นเทจ็ ตามมาตรา137แลว้ ตวั อยา่ งคำพิพากษาศาลฎีกา มาตรา137 คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 2141/2532 การท่ีจำเลยทงั้ สี่ใหถ้ ้อยคำและยนื ยันรบั รองบัญชีเครือญาตติ อ่ เจา้ หนา้ ท่ีท่ีดินท่ีสอบสวนท่ดี ินมรดกวา่ ผู้ตายมที ายาทเพยี ง 4 คน คือจำเลยทงั้ ส่ี ซึ่งความจรงิ จำเลยท้งั สี่ตา่ งทราบดีอยู่แลว้ ว่าผู้ตายยังมีบตุ รสาวอีก 2 คน เปน็ ทายาทโดยธรรม เป็นกรณที ี่จำเลยท้งั สี่น้ันแจง้ ข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนกั งาน ทำให้เจ้าพนักงาน นั้นไม่ทราบขอ้ เท็จจรงิ ทวี่ ่าผ้ตู ายยังมีบตุ รสาวอีก 2คน เจา้ พนักงานทดี่ ินได้จดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธ์ทิ ่ดี ินตาม คำขอของจำเลยทง้ั ส่ี ซึ่งจากการแจ้งความเท็จของจำเลยทั้งสีน่ ้ี มีผลทำให้ผู้อืน่ เสยี หายนัน้ ก็คอื บตุ รสาว 2คน นอกเหนือจากจำเลยทงั้ สีแ่ ละกรมทด่ี นิ ท่ีได้จดทะเบยี นโอนกรรมสิทธ์ทิ ี่ดินให้ และในกรณนี ี้จำเลยท้งั สก่ี ท็ ราบ ถึงข้อเท็จจรงิ อยู่แลว้ วา่ ผู้ตายยังมบี ตุ รอกี 2คน และทราบดีวา่ สิง่ ท่แี จ้งไปนั้นคอื ข้อความเท็จ จงึ ถอื ว่าเป็นการท่ี จำเลยทัง้ สี่นั้นกระทำโดยเจตนา ดังนั้นในกรณีน้ถี อื วา่ จำเลยทั้งสี่มคี วามผดิ ฐานแจ้งความเทจ็ ตามมาตรา137 คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 2550/2529 การทจ่ี ำเลยไปแจง้ วา่ โจทก์ไปที่รา้ นของจำเลยนัน้ เป็นการแจ้งไปตามคำบอกเล่าของเด็กทอ่ี ยู่ในร้าน วา่ โจทยใ์ นมีท่าทางพิรุธเมื่อเขา้ มาในร้าน ในกรณนี ี้ข้อความจะเปน็ เทจ็ ไดก้ ต็ อ่ เม่ือเป็นข้อเท็จจริงในอดีตหรือ ในปจั จบุ นั เท่านั้น ซึง่ จากกรณีนเ้ี ปน็ กรณีที่ผแู้ จ้งก็คือจำเลย ได้คาดเดาเพียงเท่าน้ัน เน่อื งจากจำเลยเกรงวา่ โจทก์จะมาดักทำรา้ ยจำเลยเนอ่ื งจากจำเลยกับบิดาของโจทยน์ ้นั กำลงั มีกรณพี ิพาทกันอยู่และความจรงิ แล้ว โจทกไ์ ม่ไดก้ ระทำตามท่ีจำเลยแจง้ ความ จึงถือวา่ การแจ้งความของจำเลยน้นั ไม่เปน็ ความเท็จ และซงึ่ โจทก์ก็ มิไดย้ นื ยนั ขอ้ เท็จจริงนี้ใหป้ รากฏในคำฟ้องวา่ เด็กในร้านมไิ ดบ้ อกกับจำเลยเชน่ นนั้ อันจะทำให้เหน็ วา่ ขอ้ ท่ี จำเลยแจ้งนั้นเปน็ เทจ็ ดงั น้นั ในกรณนี ีถ้ อื วา่ การแจ้งความของจำเลยก็ไม่เปน็ ความผิดฐานแจ้งความเทจ็ ตาม มาตรา137
--- 15 --- คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1093/2522 การทีพ่ นักงานสอบสวนแจง้ ข้อหาแกจ่ ำเลยถือวา่ จำเลยน้นั ตกเปน็ ผู้ต้องหาในคดีที่แลว้ ต่อมาพนกั งาน สอบสวนได้สอบสวนและจดคำใหก้ ารของจำเลยไว้ ซึง่ การสอบสวนนี้ ถือวา่ เปน็ การทีจ่ ำเลยน้ันไดใ้ ห้คำใหก้ าร ในฐานะผู้ตอ้ งหาตอ่ เจ้าพนักงาน ตอ่ มามีพยานหลักฐานวา่ ผอู้ น่ื เปน็ ผ้ขู ับรถชนผเู้ สียหายมิใช่จำเลย แต่ เนือ่ งจากจำเลยได้แจง้ ความอนั เป็นเทจ็ ต่อเจ้าพนักงานในขณะท่ีตนนัน้ อยใู่ นฐานะเปน็ ผูต้ ้องหา ซึง่ ผตู้ อ้ งหา สามารถท่ีจะให้คำให้การแกต้ วั สู้คดอี ย่างไรก็ได้ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญามาตรา134 ดังนนั้ ในกรณีนีถ้ ือวา่ จำเลยไม่มีความผิดฐานแจง้ ความเท็จตามมาตรา137 คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 2413/2521 การที่จำเลยเจรจากบั โจทก์เร่อื งค่าเสียหายต่อหน้าพนกั งานสอบสวนโดยจำเลยอ้างวา่ รถที่ส.ขับชน บุตรสาวโจทกเ์ ปน็ รถของหา้ งหนุ้ สว่ นจำกัดที่จำเลยเป็นผ้จู ดั การห้าง แตโ่ จทก์และจำเลยตกลงกนั ไมไ่ ด้ พนักงานสอบสวนจึงทำบนั ทึกไว้ ตอ่ มาจำเลยกลับใหก้ ารวา่ รถท่ีชนบุตรสาวโจทก์แท้จริงแล้วไม่ใช่ของหา้ ง ดังกล่าว แมว้ า่ พนกั งานสอบสวนจะทำบนั ทึกไว้ แต่พนักงานสอบสวนก็มหี นา้ ท่ีเพียงแตก่ ารสอบสวนและทำ บันทึกเพียงเท่าน้ัน ไมไ่ ด้มีหนา้ ท่ที ำการเปรียบเทยี บตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา มาตรา 38(2) จงึ ถอื วา่ จำเลยน้ันไดแ้ จง้ ความเท็จแก่ผู้ท่ีไม่มอี ำนาจหนา้ ทีใ่ นกระทำ ดงั น้ันในกรณีนถี้ ือว่าจำเลยไม่มี ความผดิ ฐานแจ้งความเท็จตอ่ เจา้ พนักงานตามมาตรา137 ความผดิ ฐานแสดงตนและกระทำการเปน็ เจา้ พนักงาน ตามมาตรา145 กรณคี วามผิดท่1ี (วรรคหนึง่ ) กลา่ วถึงกรณีทผ่ี ู้ใด ซงึ่ ในทน่ี หี้ มายถึงบคุ คลที่แอบอา้ งวา่ ตนเป็นเจา้ พนกั งาน อาจเป็นบุคคลธรรมดา หรอื นติ ิบคุ คล ได้แสดงตนเปน็ เจ้าพนักงาน คอื ทำใหบ้ ุคลอืน่ ร้วู า่ คนทีแ่ สดงตนนัน้ เปน็ เจ้าพนกั งาน ซ่ึงการ แสดงตนเปน็ เจ้าพนักงงานน้ใี ห้รวมถึงการท่ีผนู้ นั้ นง่ิ เฉยไมม่ กี ารปฏเิ สธด้วย และถ้าหากมกี ารอ้างว่า “เคยเปน็ เจ้าพนกั งาน” จะไม่ถอื วา่ เปน็ การแสดงตนวา่ เป็นเจา้ พนกั งานตามมาตรา145 ได้กระทำการเปน็ เจ้าพนกั งาน คือ การกระทำการตามอำนาจหนา้ ที่ของเจา้ พนักงานนั้นๆ ซง่ึ การแสดงตนเปน็ เจ้าพนักงานตามมาตรานี้ แม้ว่าจะมีการแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตามทกี่ ลา่ วมาแล้วนน้ั แตย่ ังจะตอ้ งมกี าร กระทำการเป็นเจา้ พนักงานด้วย ขอ้ สงั เกต หากว่ามเี พยี งแค่การแสดงตนเป็นเจา้ พนักงานเพยี งอยา่ งเดียว หรอื มกี ารกระทำการเพยี งอย่างเดยี ว จะไมถ่ ือว่าเปน็ ความผดิ ตามมาตรา145 โดยตนเองมไิ ด้เป็นเจ้าพนกั งานท่มี ีอำนาจกระทำการนน้ั ซ่ึงหมายถึงการทีเ่ ราเป็นบุคคลธรรมดาที่ ไมไ่ ด้เปน็ เจ้าพนกั งานและไมไ่ ด้มอี ำนาจหน้าทโี่ ดยชอบด้วยกฎหมาย
--- 16 --- กรณคี วามผิดที่2 (วรรคสอง) กลา่ วถงึ กรณที ่ีเจ้าพนกั งานผู้ใด ซึ่งในทนี่ ห้ี มายถึงบุคคลท่เี คยเป็นเจ้าพนักงานมากอ่ นหรือเป็นเจ้า พนกั งานที่เคยทำหนา้ ทน่ี ีแ้ ตใ่ นปจั จุบนั ไม่ได้ทำหนา้ ที่นแี้ ลว้ ได้รับคำสงั่ มใิ ห้ปฏิบัตกิ ารตามตำแหนง่ หน้าท่ี ต่อไปแล้ว คือการท่ีไมไ่ ดม้ ีอำนาจหนา้ ท่ีกระทำการใดๆในส่งิ นนั้ อีก รวมถึงการถูกพกั งานหรอื สงั่ ใหไ้ ป กระทำการในหนา้ ทีอ่ ่ืนแล้ว และการทไ่ี ดร้ ับคำสัง่ มใิ ห้ปฏบิ ตั กิ ารตามตำแหนง่ หนา้ ที่นนั้ จะต้องไมใ่ ชค่ ำสัง่ ทเ่ี ปน็ การส่ังเพยี งครั้งคราวเทา่ นน้ั แต่ตอ้ งเปน็ การทใ่ี ห้หยุดกระทำการไปตลอด จนกว่าจะมคี ำส่งั ใหก้ ลบั มา ปฏบิ ตั ิการตามหน้าทน่ี น้ั ๆอกี ข้อสังเกต หากเปน็ เจ้าพนักงานทไ่ี ด้มีการลาพักหรอื มีการหนีราชการ จะไมไ่ ดเ้ ปน็ กรณที ่ีได้รับคำส่ังมใิ ห้ ปฏิบตั กิ ารตามตำแหนง่ หนา้ ที่ตอ่ ไปแลว้ เพราะถือวา่ ยงั ไม่พน้ จากหน้าทีน่ นั้ ๆ แต่หากเปน็ เจ้าพนักงานที่ได้มี การลาพกั หรือมกี ารหนรี าชการ จะไมไ่ ด้เปน็ กรณีท่ไี ดร้ ับคำสั่งมใิ ห้ปฏิบัตกิ ารตามตำแหนง่ หนา้ ทต่ี อ่ ไปแลว้ เพราะถอื ว่ายังไม่พน้ จากหนา้ ทน่ี น้ั ๆ ได้ฝา่ ฝนื กระทำการใดๆในตำแหนง่ หน้าท่นี นั้ หมายถึงการกระทำการตามหนา้ ท่ีอย่เู หมอื นเดมิ ทัง้ ๆท่ีตนไม่ได้มี หนา้ ท่ีกระทำการน้นั แล้ว ขอ้ พจิ ารณา - การลงชือ่ ยอ้ นหลัง ถือวา่ เปน็ การกระทำการหลังจากมีคำสั่งไม่ให้ปฏิบัติการตามตำแหน่งหน้าที่ ต่อไปแลว้ - หากวา่ มีคำส่งั ไมใ่ หป้ ฏบิ ตั กิ ารตามตำแหน่งหนา้ ที่แล้ว แต่เจ้าพนกั งานน้ันไม่ทราบ หรอื ไมท่ ันไดเ้ ปดิ อา่ นคำสั่งน้ันเพราะว่าอยากทจี่ ะทำงานใหเ้ สรจ็ ก่อน ถือวา่ ผนู้ ้ันไมม่ ีความผดิ - แตท่ ั้งน้จี ะต้องดทู พี่ ฤติการณ์ทป่ี รากฏด้วยวา่ ผู้กระทำนน้ั ไมไ่ ดม้ ีเจตนาจริงๆ การแสดงตนและกระทำการเป็นเจา้ พนักงานตามมาตรา145 ทั้ง2กรณีความผดิ นี้ ผู้กระทำจะต้อง กระทำโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสองและวรรคสาม โดยทราบถึงข้อเท็จจริงทีว่ ่า ตนไม่ไดม้ อี ำนาจหนา้ ท่ใี นการกระทำการน้ันๆ ไมว่ ่าจะเป็นการทไ่ี มไ่ ด้มอี ำนาจหนา้ ทีน่ ั้นตั้งแตแ่ รก หรือ หลงั จากได้รับคำสัง่ ไมใ่ ห้ปฏบิ ตั หิ น้าที่นน้ั กต็ าม
--- 17 --- ตวั อย่างคำพพิ ากษาศาลฎกี ามาตรา145 คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1394/2514 ซง่ึ จากการวิเคราะห์คำพพิ ากษาศาลฎกี าน้ีการท่ีจำเลยเปน็ พนักงานตตี ราไม้และไดแ้ สดงตัวเป็น เจ้าพนกั งานป่าไม้ เป็นกรณที จ่ี ำเลยไดแ้ สดงตนเป็นเจา้ พนกั งาน และจำเลยได้ทำการจับกุมผู้เสียหายในเรอ่ื งไม้ และยงั เรียกเงินจากผู้เสียหายดว้ ย ซงึ่ เปน็ กรณที ี่จำเลยไดก้ ระทำการเป็นเจ้าพนกั งาน โดยทจี่ ำเลยน้ันมไิ ด้มี อำนาจในการกระทำการนน้ั และไมไ่ ด้มีอำนาจหนา้ ที่โดยชอบด้วยกฎหมาย และจากการกระทำความผิดนี้ จำเลยกไ็ ด้กระทำไปโดยที่ทราบถงึ ข้อเท็จจรงิ ทว่ี ่าตนไมไ่ ด้มีอำนาจหนา้ ที่ในการกระทำการนนั้ ซงึ่ มกี ารกระทำ โดยเจตนา ดงั นน้ั ในกรณีนีถ้ อื ว่าจำเลยมคี วามผดิ ฐานแสดงตนและกระทำการเป็นเจา้ พนักงานตามมาตรา145 วรรคหน่งึ คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 2099/2527 ซงึ่ จากการวเิ คราะห์คำพพิ ากษาศาลฎีกาน้ีการที่จำเลยไม่ไดเ้ ปน็ เจ้าพนักงานตำรวจ แตแ่ ตง่ กายดงั ท่ี เจ้าพนกั งานตำรวจนอกเครอื่ งแบบแต่งกนั ตามมปกตนิ น้ั เป็นการท่ีจำเลยได้แสดงตนเปน็ เจ้าพนักงาน และจำเลยยนื ใหส้ ัญญาณรถยนตบ์ รรทกุ ที่ผา่ นไปมาใหห้ ยดุ รถเพ่อื ตรวจตรงจดุ ท่รี ถยนตต์ ำรวจทางหลวง จอดอยู่เป็นประจำ เป็นกรณที จ่ี ำเลยนนั้ ไดก้ ระทำการเปน็ เจา้ พนกั งานแล้ว และในการเรยี กตรวจรถแตล่ ะคร้งั จำเลยแสดงให้เปน็ ที่เข้าใจไดว้ า่ ไดร้ ับเงินจากพวกคนขบั รถยนต์บรรทุกเปน็ การแสดงถงึ เจตนาท่จี ะกระทำการ ของจำเลยทั้งๆที่จำเลยก็ทราบดีอยู่แลว้ ว่าตนนั้นไมไ่ ด้มอี ำนาจหนา้ ทใี่ นการกระทำน้ัน ดงั น้นั ในกรณนี ถี้ อื วา่ จำเลยมีความผิดฐานแสดงตนและกระทำการเปน็ เจา้ พนกั งานตามมาตรา145 วรรคหนง่ึ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5096/2540 ซ่งึ จากการวเิ คราะหค์ ำพพิ ากษาศาลฎีกานี้การท่ีจำเลยและถ.ไปบ้านผู้เสยี หาย ถ.บอกผเู้ สยี หายวา่ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยได้ยินคำพดู ของ ถ. แต่ก็นงิ่ เฉยและมไิ ดป้ ฏิเสธ จงึ ถอื ว่าเป็นกรณีท่ีจำเลย นนั้ ไดแ้ สดงตนเป็นเจ้าพนักงานแล้ว ต่อมาจำเลยได้เรียกเงนิ จำนวน 2,000บาท จากผู้เสยี หายมิฉะน้นั จะจบั ผู้เสียหาย ซ่งึ การแสดงพฤติการณด์ งั กล่าวถือว่าจำเลยนัน้ ได้กระทำการเปน็ เจ้าพนักงานแลว้ โดยท่ีจำเลยไมไ่ ด้ เปน็ เจ้าพนกั งานท่ีมีอำนาจในการกระทำนัน้ แม้ครั้งท่ีสองจำเลยไม่ได้อา้ งวา่ เปน็ เจา้ พนกั งานตำรวจดงั เชน่ ครงั้ แรก แต่จำเลยเคยไปหาผเู้ สยี หายและมีการกระทำดงั กลา่ วเพอ่ื ให้ผู้เสียหายเชอื่ วา่ จำเลยนั้นเป็นเจ้าพนักงาน ตำรวจจริง และในกรณนี ้ีการทจี่ ำเลยน่งิ เฉยและมิได้ปฏเิ สธเทา่ กับจำเลยตอ้ งการให้ผ้เู สียหายเช่อื ตามท่ี ถ. บอก ถอื ว่าจำเลยนัน้ มีเจตนาท่ีจะกระทำการน้ัน ดงั นนั้ ในกรณีนถ้ี อื วา่ จำเลยมีความผิดฐานแสดงตนและ กระทำการเปน็ เจา้ พนกั งานตามมาตรา145 วรรคหน่ึง
--- 18 --- คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 810/2520 ซึ่งจากการวเิ คราะหค์ ำพพิ ากษาศาลฎีกานี้การท่ีจำเลยบอกผ้เู สียหายว่าเปน็ ตำรวจ เปน็ กรณีที่จำเลย นั้นไดแ้ สดงตนเป็นเจ้าพนกั งาน ตอ่ มาจำเลยได้ขอค้นบา้ นและเข้าไปในบ้าน แลว้ ขู่เอาทรพั ยไ์ ป ซง่ึ กรณีถือว่า จำเลยยังไมไ่ ดก้ ระทำการเป็นเจ้าพนักงาน ซงึ่ ในกรณนี ี้จำเลยไดแ้ สดงตนเป็นเจ้าพนกั งานเพยี งอยา่ งเดยี ว ดงั น้ันในกรณนี ้ถี อื วา่ จำเลยไมม่ ีความผิดฐานแสดงตนและกระทำการเปน็ เจ้าพนกั งานตามมาตรา145 วรรคหน่งึ ขอ้ เสนอแนะ สำหรับความคดิ เห็นของผจู้ ดั ทำน้ัน ผจู้ ดั ทำมองวา่ กฎหมายมกั เปล่ยี นไปตามกาลเวลา เพราะผู้คนใน สงั คมมักจะเปลย่ี นอริยบทไปเรือ่ ยๆ เหมอื นคำทีเ่ คยได้ยนิ ว่า “กฎหมายเป็นกระจกส่องสังคม” ถงึ แมว้ า่ ในปัจจุบันจะมีการพฒั นาในเรอ่ื งของกฎหมายต่างๆอยู่เสมอกต็ าม แต่ผู้จัดทำคิดวา่ ถงึ แม้วา่ จะมกี ารพฒั นา อยู่เสมอ แต่กฎหมายก็มักจะมีชอ่ งว่างอยไู่ มม่ ากกน็ อ้ ย และในเรอื่ งของกฎหมายนอี้ าจจะเป็นส่งิ ท่ีเข้าใจยาก และเกดิ การตง้ั คำถามสำหรบั บคุ คลทว่ั ไปที่ไมใ่ ช่นักกฎหมายหรอื ผทู้ ีส่ นใจศกึ ษาทางด้านกฎหมาย หรือแมแ้ ต่ ตวั นกั กฎหมายหรือผทู้ ่สี นใจศึกษาทางด้านกฎหมายเองก็อาจจะมีการต้ังคำถามขน้ึ ได้ ดังเช่น ตัวผู้จัดทำเองกไ็ ด้มีคำถามขึ้นมาในขณะท่ีรวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มลู ในเรอ่ื งของการแสดงตน เปน็ เจ้าพนักงานตามมาตรา145 ผู้จัดทำมีขอ้ คำถามที่วา่ หากผ้ทู ี่แสดงตนเปน็ เจ้าพนักงานนน้ั กระทำไป เพื่อทจ่ี ะป้องกันและช่วยเหลือ เหตใุ ดถงึ ยังต้องมคี วามผิดตามมาตรา145อยู่ ซึ่งจากตัวอยา่ งที่ผ้จู ัดทำได้มกี ารตงั้ คำถามขน้ึ มาน้นั ผู้จัดทำจงึ มขี ้อเสนอแนะว่า ถา้ หากกฎหมาย สามารถปรบั ปรุงได้ ก็อยากท่ีจะให้ปรับปรุงในเร่ืองของการครอบคลมุ ของแตล่ ะมาตรา คอื แต่ละมาตรา ควรทจ่ี ะไมม่ ีชอ่ งวา่ งและการตง้ั ข้อสงสัย เพ่อื ท่ีจะสามารถให้เป็นไปตามหลกั ของกฎหมายน้นั ๆไดอ้ ย่างไม่มี ข้อคำถามใดๆ เพราะในปจั จบุ ันไม่ว่าจะเป็นความผิดฐานใดหรือเร่อื งอะไรก็มักจะมกี ารตงั้ ข้อสงสัยหรือ ข้อโต้แยง้ อยู่ และควรท่ีจะทำใหก้ ฎหมายนั้นสามารถเข้าใจไดง้ า่ ยแกบ่ ุคคลท่วั ไป เพราะถึงแมว้ า่ จะปรับปรงุ ให้ดีเพยี งใด หากไมม่ ใี ครเขา้ ใจกถ็ อื วา่ ไมม่ ผี ลใดๆเลย...
--- 19 --- บรรณานกุ รม จากหนงั สอื ชมรมลูกพอ่ ขุนประยกุ ต.์ (ม.ป.ป.). สรุปฉบบั พิเศษ LAW 2107(LAW 2007) กฎหมายอาญา2. ชมรมลูกพอ่ ขนุ ประยกุ ต.์ ศาสตราจารย์ ดร.ทวเี กียรติ มนี ะกนิษฐ และผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.รณกรณ์ บญุ มี. (2564). คำอธิบาย กฎหมายอาญา ภาคความผิดและลหุโทษ. กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ทั สำนกั พมิ พว์ ญิ ญูชน จำกัด. จากสือ่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ mjsheetramfree. (1 กรกฎาคม 2560). LAW2007 กฎหมายอาญา2. เข้าถึงไดจ้ าก LAW2007 กฎหมาย อาญา2 S/2554: https://www.mjsheetramfree.com/law-2007-kdhmay-xaya-2-s-2554/ PS thailaw. (ม.ป.ป.). psthailaw.com. เข้าถึงได้จาก เรือ่ งท่ี 21 แจ้งความเท็จเป็นไงครับ คำถามจาก เทศบาลตำบลนางรอง: http://www.psthailaw.com/article.php?cid=573 ทนายคลายทกุ ข์ . (26 ธนั วาคม 2560). DECHA. เข้าถึงไดจ้ าก แสดงตนเป็นเจา้ พนักงานและกระทำการเปน็ เจา้ พนกั งาน: https://www.decha.com/article/section/relieve_lawyer/11927 ทนายความและท่ีปรกึ ษากฎหมาย. (20 กรกฎาคม 2559). ทนายความและท่ปี รึกษากฎหมาย. เขา้ ถึงไดจ้ าก ความผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ : https://wichianlaw.blogspot.com/2016/07/blog-post.html ทนายนรเศรษฐ์ นาหนองตมู . (20 มกราคม 2562). สำนักงานกฎหมายนิติประชาธรรม. เข้าถงึ ไดจ้ าก ข้อควรรู้ ความผดิ ฐานแจ้งความเทจ็ : https://www.norasatelawyer.com/https-www-norasatelawyer- com/ นกั กฎหมายในม่านหมอก. (21 พฤษภาคม 2556). สรปุ อาญา. เข้าถึงไดจ้ าก ม.145: http://justice-in- mind-aya.blogspot.com/2013/05/blog-post_8478.html จากส่ือวิดีโอ(Youtube) Pobtorn Kaewkan. (2021,September 23). บรรยายกฎหมาย ตอนท่ี 33 เรอ่ื ง ความผิดอาญาฐานแจ้ง ความเท็จ มาตรา 137 โดย ดร.ภพธร แก้วขัน (ทนายนอ้ ย) [Video file]. Video posted to https://www.youtube.com/watch?v=-xn7jT2rCXE บรรยายเนติบัณฑิตออนไลน.์ (2021,September 23). 1/74 วิชา อาญา ม.1-58,107-208 (ครงั้ ท่ี 9) อ.ชาตรี สุวรรณิน [Video file]. Video posted to https://www.youtube.com/watch?v=FtN2nHoqgPM&list=PLXDpHvKwIvf9SjybiTyqTU7e BFniLHBTe&index=11
--- 20 --- ประมวลกฎหมาย by Sarai. (2021,September 23). ทบทวนกฎหมายอาญามาตรา 137 - 146 ความผดิ ต่อ เจ้าพนักงาน [Video file]. Video posted to https://www.youtube.com/watch?v=EfpuI2kLkEA
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: