ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง การเปลยี่ นแปลงทางกายภาพของโลกและภัยพบิ ัตทิ างธรรมชาติ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม รายวิชาสงั คมศกึ ษา 5 (ภมู ิศาสตร)์ รหสั วชิ า ส33101 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 เรอ่ื ง การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพของโลกและภยั พบิ ตั ทิ างธรรมชาติ นายรมยร์ วนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ โรงเรยี นเบต็ ตด้ี เู มน 2 ชอ่ งเม็ก อาเภอสริ ินธร จังหวดั อบุ ลราชธานี องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั อบุ ลราชธานี
ชดุ ที่ 1 การเปล่ียนแปลงทางธรณีภาค คำนำ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเปล่ียนแปลงทางกายภาพของโลกและภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จัดทาขึ้นเพ่ือเป็นส่ือนวัตกรรมประกอบการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน รายวิชาสังคมศึกษา 5 (ภูมิศาสตร์) รหัสวิชา ส33101 เพื่อให้ผู้เรียนใช้ ประกอบกิจกรรมการเรียนการสอนและสามารถเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง นาไปใชใ้ นการเรียนการสอน ซ่อมเสริมได้ หรือใชใ้ นการสอนแทนได้เป็นอยา่ งดี เพื่อให้ผู้เรยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจและพัฒนา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นนวัตกรรมท่ีช่วยลดบทบาทของครูตามแนวทางการปฏิรูปการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นกิจกรรม การเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทาเป็น คิดเป็น แก้ปัญหาได้ สามารถพัฒนาตนเอง ได้เต็มตามศักยภาพ ซ่ึงสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) ท่มี ุ่งเน้นให้ผูเ้ รียนได้รับการ พัฒนาทั้งด้านความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การ แก้ปัญหา ความสามารถในการส่ือสาร การตัดสินใจ การนาความรไู้ ปใช้ในชีวติ ประจาวัน ตลอดจนส่งเสริม ใหผ้ ้เู รียนมจี ติ สงั คมศกึ ษาคณุ ธรรมและคา่ นยิ มท่ถี ูกต้องเหมาะสม ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้น้ีจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน ทาให้มีความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองการเปล่ียนแปลงทางกายภาพของโลกและภัยพิบัติทาง ธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึน สามารถใช้เพื่อศึกษาค้นคว้าด้วย ตนเองเป็นส่ือที่มีประสิทธิภาพ สามารถอานวยประโยชน์ต่อการเรียนการสอนให้บรรลุ วัตถปุ ระสงค์ของหลกั สูตรได้ รมยร์ วนิ ท์ เชดิ ชู โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ ก
ชดุ ที่ 1 การเปลยี่ นแปลงทางธรณภี าค สำรบญั เรือ่ ง หนำ้ คำนำ ก สำรบัญ ข คำชี้แจงเกย่ี วกับกำรใชช้ ุดกิจกรรมกำรเรียนรู้ ค แผนภูมลิ ำดับขั้นตอนกำรใช้ชดุ กิจกรรมกำรเรยี นรู้ ง คำช้แี จงกำรใช้ชุดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้สำหรับครู จ คำชแ้ี จงกำรใชช้ ุดกจิ กรรมกำรเรียนรู้สำหรบั นักเรยี น ฉ 1 มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรยี นรู้สู่ตวั ชวี้ ัด 2 สาระสาคัญ 3 แบบทดสอบก่อนเรียน 6 บตั รเนือ้ หา ชดุ ท่ี 3 เร่อื ง การเปลี่ยนแปลงทางอทุ กภาค 30 บัตรกจิ กรรมท่ี 3.1 เรอื่ ง การเปล่ยี นแปลงทางอุทกภาค 33 บัตรกจิ กรรมท่ี 3.2 เรอ่ื ง วัฏจักรของน้า 34 บตั รกจิ กรรมท่ี 3.3 ผังมโนทศั น์ เร่ือง การเปลีย่ นแปลงทางอทุ กภาค 35 แบบทดสอบหลังเรียน 38 กระดาษคาตอบแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียน 39 บรรณำนุกรม ภำคผนวก เฉลยบัตรกจิ กรรมท่ี 3.1 เรอ่ื ง ข้อมูลในการศึกษาและแบง่ ช้นั โครงสรา้ งโลก เฉลยบตั รกจิ กรรมท่ี 3.2 เรื่อง การเคล่อื นที่ของแผน่ เปลอื กโลก เฉลยบตั รกจิ กรรมที่ 3.3 ผงั มโนทัศน์ เร่อื ง การเปลย่ี นแปลงทางธรณภี าค เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น ประวตั ยิ อ่ ผ้จู ดั ทำ โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ ข
ชดุ ที่ 1 การเปลยี่ นแปลงทางธรณีภาค คำชีแ้ จงเกยี่ วกบั ชุดกิจกรรมกำรเรยี นรู้ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของ โลกและภัยพิบัติทางธรรมชาติ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เพ่ือใช้ ประกอบการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา 5 (ภูมิศาสตร์) รหัสวิชา ส33101 ชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 6 โดยสอดคล้องตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) กระทรวงศึกษาธิการ หลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ยึดแนวทางการฝึกทีเ่ หมาะสมกบั ระดับ และวัย เพื่อให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้น มีความสุขในการทากิจกรรมการเรียนรู้ และเพ่ือ ส่งเสริมเจตคติที่ดี นักเรียนจะได้พัฒนากระบวนการคิด กระบวนการตัดสินใจ กระบวนการ แก้ปัญหา และสามารถนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ ซ่ึงประกอบด้วยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ จานวน 8 ชดุ ดงั น้ี ชดุ ที่ 1 เรือ่ ง การเปลีย่ นแปลงทางธรณีภาค ชุดที่ 2 เรื่อง การเปลีย่ นแปลงทางบรรยากาศภาค ชุดท่ี 3 เรื่อง การเปลย่ี นแปลงทางอุทกภาค ชุดท่ี 4 เรอ่ื ง การเปลีย่ นแปลงทางชวี ภาค ชดุ ท่ี 5 เรอ่ื ง ภัยพิบัติธรรมชาตทิ างธรณีภาค ชุดท่ี 6 เรื่อง ภยั พบิ ัติธรรมชาติทางบรรยากาศภาค ชดุ ท่ี 7 เรอ่ื ง ภยั พบิ ัติธรรมชาตทิ างอทกภาค ชดุ ท่ี 8 เร่ือง ภัยพบิ ตั ธิ รรมชาติทางชีวภาค 2. ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ชดุ น้ีเป็น ชุดที่ 3 เรือ่ ง กำรเปลยี่ นแปลงทำงอุทกภำค ใชเ้ วลำ 2 ช่ัวโมง 3. ผู้ใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้น้ีควรศึกษาขั้นตอนการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้อย่าง ละเอยี ดกอ่ นใช้ ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ชุดนี้ จะมีประโยชน์ต่อนักเรียนและ ผู้สนใจที่จะนาไปใช้สอนและฝึกเด็กในปกครองในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้มีคุณภาพมาก ยง่ิ ข้ึนตอ่ ไป โดย นายรมยร์ วินท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ ค
ชุดที่ 1 การเปลี่ยนแปลงทางธรณภี าค แผนภูมลิ ำดับข้นั ตอนกำรใช้ชุดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้ อ่านคาชแ้ี จงและคาแนะนาในการใช้ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ศกึ ษาตวั ช้ีวัดและจุดประสงค์การเรียนรู้ เสรมิ พ้นื ฐำน ทดสอบกอ่ นเรียน ผมู้ ีพ้นื ฐำนตำ่ ศึกษาชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ตามข้นั ตอน ประเมนิ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรูจ้ ากชุดกิจกรรม ไมผ่ ำ่ น ทดสอบหลงั เรียน กำรทดสอบ ผ่ำนกำรทดสอบ ศึกษาชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้เรื่องต่อไป แผนภมู ิลำดับข้ันตอนกำรเรียนโดยใช้ชดุ กิจกรรมกำรเรียนรู้ ชุดท่ี 3 เรื่อง เร่ือง กำรเปลี่ยนแปลงทำงอุทกภำค โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ ง
ชุดที่ 1 การเปล่ยี นแปลงทางธรณภี าค คำช้แี จงกำรใช้ชุดกจิ กรรมกำรเรียนรสู้ ำหรบั ครู ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูท้ ค่ี รผู สู้ อนไดศ้ ึกษาต่อไปนค้ี ือ ชดุ ที่ 3 เรอ่ื ง กำรเปลี่ยนแปลงทำง อทุ กภำค ใช้เวลำในกำรทำกิจกรรม 2 ชัว่ โมง ซึ่งนักเรียนจะได้สารวจ สังเกตและรวบรวม ขอ้ มูล มาสรุปเป็นองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการคิด กระบวนการสืบค้นข้อมูล กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณแ์ ละแกป้ ัญหา ผ่านทางกระบวนการกลุ่ม เพ่ือช่วยให้การดาเนินการ จัดกจิ กรรมการเรยี นรบู้ รรลุจุดประสงค์และมีประสทิ ธิภาพ ครูผ้สู อนควรดาเนินการดังนี้ 1. ครูผู้สอนต้องศึกษาและทาความเข้าใจเก่ียวกับคาช้ีแจงการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สาหรับครู และแผนการจดั การเรียนรู้ เพอื่ ที่ครูผู้สอนสามารถนาชดุ กิจกรรมการเรียนร้ไู ปใช้ในการ จดั กจิ กรรมการเรยี นรไู้ ด้อย่างมีประสทิ ธิภาพ 2. ครูผู้สอนเตรียมสื่อการเรยี นการสอนให้พรอ้ ม 3. ก่อนดาเนินการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ครูต้องเตรียมชุดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ บนโต๊ะประจากลุ่มให้เรียบร้อยและเพียงพอกับนักเรียนในกลุ่มซ่ึงนักเรียนจะได้รับคนละ 1 ชุด ยกเว้นสื่อการสอนท่ตี อ้ งใช้รว่ มกนั 4. ครูต้องช้ีแจงใหน้ ักเรียนรู้เก่ียวกับบทบาทของนักเรียนในการใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ดังนี้ 4.1 ศึกษาบทบาทของนักเรียนจากการปฏิบัติกจิ กรรมให้เข้าใจก่อนการเรียนรู้โดยใช้ ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ 4.2 ปฏิบัติกิจกรรมตามลาดับขั้นตอน อ่านคาชี้แจงจากใบกิจกรรม เพ่ือจะได้ทราบ วา่ จะปฏบิ ตั ิกจิ กรรมอะไร อย่างไร 4.3 นักเรียนต้องต้ังใจปฏิบัติกิจกรรมอย่างเต็มความสามารถ ต้องให้ความร่วมมือ ช่วยเหลอื ซึง่ กันและกัน ไมร่ บกวนผู้อนื่ และไม่ชักชวนเพ่ือนใหอ้ อกนอกลู่นอกทาง 4.4 หลังจากปฏบิ ตั ิกจิ กรรมแล้ว นักเรียนจะต้องจดั เกบ็ อปุ กรณท์ ุกช้นิ ใหเ้ รยี บรอ้ ย 4.5 เม่อื มีการประเมนิ ผลนักเรยี นต้องปฏบิ ัตติ นอยา่ งตง้ั ใจและรอบคอบ 5. ขณะที่นักเรียนทุกกล่มุ ปฏิบตั ิกิจกรรม ครูไม่ควรพูดเสียงดัง หากมีอะไรจะพูดต้องพูด เปน็ รายกลมุ่ หรือรายบุคคล ตอ้ งไมร่ บกวนกิจกรรมของนักเรียนกลุ่มอื่น 6. ครูผู้สอนต้องเดินดูการทางานของนักเรียนแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิด หากมีนักเรียนคน ใดหรอื กลุ่มใดมปี ัญหาควรเข้าไปให้ความชว่ ยเหลอื จนปญั หาน้ันคลคี่ ลายลง 7. การสรุปผลที่ไดจ้ ากกิจกรรมการเรียนรู้ควรเป็นกิจกรรมร่วมของนักเรียนทุกกลุ่มหรือ ตวั แทนของกลุ่มร่วมกนั ครูควรเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนแสดงออกให้มากทีส่ ดุ 8. ประเมินผลการเรียนรขู้ องนกั เรยี น เพอ่ื ตรวจสอบผลการเรียนรูข้ องนกั เรยี น โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ จ
ชดุ ท่ี 1 การเปล่ียนแปลงทางธรณภี าค คำชแี้ จงกำรใช้ชดุ กิจกรรมกำรเรยี นรสู้ ำหรับนกั เรยี น ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ที่นักเรียนไดศ้ ึกษาต่อไปน้คี ือ ชุดที่ 3 เรื่อง กำรเปลี่ยนแปลงทำง อุทกภำค ซึ่งนักเรียนจะได้สารวจ สังเกต และรวบรวมข้อมูลมาสรุปเป็นองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการคิด กระบวนการสืบค้นข้อมูล กระบวนการทางสังคม ทักษะกระบวนการทางสังคม ศึกษา กระบวนการเผชิญสถานการณ์ และแก้ปัญหา ผ่านทางกระบวนการกลุ่ม เพ่ือให้เกิด ประโยชน์สงู สุด นกั เรียนควรปฏิบัติตามคาชแ้ี จง ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สังคมศึกษา ชุดท่ี 3 เร่ือง กำรเปล่ียนแปลงทำงอุทกภำค ใชเ้ วลำในกำรทำกจิ กรรม 2 ชว่ั โมง 2. นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น จานวน 10 ขอ้ 3. นักเรียนทากิจกรรมเป็นรายกลมุ่ และศกึ ษาวิธดี าเนนิ กิจกรรมใหเ้ ข้าใจ 4. นักเรียนปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในชุดกิจกรรมการเรียนรู้สังคมศกึ ษา 5. นักเรยี นทากจิ กรรมในชุดกิจกรรมการเรยี นรูใ้ หค้ รบ 6. นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลงั เรยี น จานวน 10 ข้อ โดย นายรมยร์ วินท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ ฉ
ชดุ ท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงทางอทุ กภาค มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ช้วี ัด จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ส่ตู วั ช้ีวดั / สาระสาคัญ ชุดท่ี 3 เรือ่ ง การเปลีย่ นแปลงทางอุทกภาค สาระ ภูมิศาสตร์ มาตรฐานการเรียนรู้ 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายรูปของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซ่ึงมีผลต่อกัน ใช้แผนท่ีและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลตาม กระบวนการทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนใชภ้ มู สิ ารสนเทศอย่างมปี ระสทิ ธิรูป ตวั ช้วี ดั ม.4 – 6/1 วเิ คราะห์การเปล่ยี นแปลงทางกายรูปในประเทศไทยและภมู ิภาคตา่ ง ๆ ของโลก ซง่ึ ได้รับอิทธพิ ลจากปัจจัยทางภมู ิศาสตร์ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ส่ตู วั ช้ีวดั 1. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางอุทกภาค โดยใช้เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ได้ ถูกตอ้ ง (K) 2. อธบิ ายถงึ ผลกระทบการเปลย่ี นแปลงทางอทุ กภาค ตอ่ สิ่งมชี ีวติ และสิ่งแวดล้อมได้ถกู ตอ้ ง (K) 3. สบื ค้นข้อมูลเก่ียวกับวัฏจักรของน้า ระบบน้าจืด และระบบน้าเค็ม โดยใช้เครื่องมือทาง ภมู ศิ าสตร์ (P) 4. ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งเก่ยี วกับการเปลี่ยนแปลงทางอุทกภาคในการ รว่ มกจิ กรรมการเรียนการสอนและน้าความรู้ไปใชใ้ นชีวติ ประจา้ วนั (A) 5. มีความสนใจใฝ่เรียนรู้หรืออยากรู้อยากเห็น ท้างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ยอมรับ ความคิดเหน็ ของผ้อู น่ื ได้ (A) โดย นายรมย์รวินท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 1
ชดุ ท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงทางอุทกภาค สาระสาคัญ อุทกภาค (hydrosphere) หมายถึง ส่วนที่ห่อหุ้มเปลือกโลกที่เป็นน้าทังหมด ได้แก่ ความชนื ในบรรยากาศ (atmospheric moisture) หยาดนา้ ฟา้ (precipitation) น้าไหลบ่า (runoff) ความชืนในดิน (soil moisture) น้าใต้ดิน (groundwater) แม่น้าล้าธาร (rivers and channels) ทะเลสาบ (lakes) น้าในมหาสมุทร (oceanic water) และธารน้าแข็ง (glacier) อุทกภาคมี ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอีก 3 ส่วนของโลก ได้แก่ บรรยากาศ (atmosphere) ชีวมณฑล (biosphere) และธรณภี าค (lithosphere) ส่วนตา่ ง ๆ ทงั 4 สว่ นของโลกนีมกี ารกระท้าระหว่างกัน อยา่ งใกลช้ ิดอยตู่ ลอดเวลา โลกเป็นดาวเคราะห์ซ่ึงพืนผิวส่วนใหญ่ห่อหุ้มด้วยน้า โลกของเราแตกต่างจากดาวเคราะห์ ดวงอน่ื ในระบบสุริยะ เนอ่ื งจากบนพืนผิวโลกมีน้าอยู่ครบทังสามสถานะ การเปลีย่ นสถานะของน้าใน ธรรมชาติ หรือ วัฏจักรน้า ท้าให้เกิดการถ่ายเทพลังงานไปทั่วทังโลก น้าเป็นตัวท้าละลายที่ดี จึงท้า ให้เกิดการพัดพาแร่ธาตุต่างๆ ลงสู่มหาสมุทร และเกิดโมเลกุลซึ่งมีโครงสร้างสลับซับซ้อนซ่ึงเป็นจุด ก้าเนิดของิชีวิต สิ่งมีชีวิตบนโลกล้วนมีองค์ประกอบหลักเป็นน้า นอกจากน้าจะเป็นทังองค์ประกอบ และถ่ินท่ีอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตแล้ว น้ายังเกราะป้องกันรังสีคลื่นสันซ่ึงเป็นอันตรายอีกด้วย น้ามี คุณสมบัติพิเศษท่ีแตกต่างจากสสารอื่นๆ คือ เมื่อเปล่ียนสถานะเป็นของแข็งแล้วกลับมีความ หนาแน่นลดลง น้าแข็งบนพืนผิวมหาสมุทรจึงเป็นผ้าห่มปกคลุมป้องกันความหนาวเย็นจากอากาศ เบอื งบน ท้าใหส้ ง่ิ มชี ีวติ แถบขัวโลกดา้ รงชวี ติ อยไู่ ด้ โดย นายรมยร์ วินท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ 2
ชดุ ท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงทางอุทกภาค แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรื่อง การเปล่ียนแปลงทางอุทกภาค กลุ่มสาระการเรยี นร้สู ังคมศึกษา ฯ รายวิชาสังคมศกึ ษา 5 (ภมู ิศาสตร)์ รหสั วิชา ส33101 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 คาชแ้ี จง 1. แบบทดสอบฉบบั นี จ้านวน 10 ข้อ คะแนนเต็ม 10 คะแนน เวลาทใ่ี ช้ 10 นาที 2. จงเลือกค้าตอบท่ถี ูกต้องที่สุด แลว้ เขยี นเครอื่ งหมาย ลงในกระดาษคา้ ตอบ 1. ขอ้ ใดเปน็ ลกั ษณะการเกิดปรากฏการณ์เอลนโี ญ ก. น้าในมหาสมทุ รแปซิฟิกด้านตะวันตกมีอุณหภมู คิ งที่ ข. น้าในมหาสมุทรแปซิฟกิ ด้านตะวนั ตกมีอุณหภูมิสงู ขึน ค. นา้ ในมหาสมุทรแปซิฟกิ ดา้ นตะวนั ออกมอี ุณหภูมิสูงขึน ง. น้าในมหาสมทุ รแปซิฟิกด้านตะวันออกมีอุณหภมู ิลดลง 2. ปัจจยั ในข้อใดที่สาคัญทีส่ ุดในการเกดิ วฏั จักรของน้า ก. ลม ข. ปา่ ไม้ ค. สิง่ มีชีวิต ง. ความรอ้ น 3. หากใช้แหล่งน้าจดื ข้อใดในปริมาณมาก จะมีผลต่อการทรุดตัวหรือยุบตัวของแผ่นดนิ ก. นา้ ในอ่างเก็บน้า ข. นา้ บาดาล ค. นา้ ในดิน ง. นา้ ผวิ ดนิ 4. เพราะเหตใุ ด การสร้างเข่ือนกน้ั แม่นา้ โขงของประเทศจีน จงึ สง่ ผลกระทบต่อระบบนิเวศของ แม่น้าโขงตอนล่าง ก. ทา้ ใหก้ ารขนึ ลงของน้าผดิ ปกติ ข. ท้าใหต้ ลิ่งกันน้าพงั ทลาย ค. ทา้ ให้มสี ารพษิ ในนา้ ง. ทา้ ใหน้ ้าตืนเขนิ โดย นายรมย์รวินท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 3
ชุดที่ 3 การเปลยี่ นแปลงทางอทุ กภาค 5. ข้อใดเปน็ สาเหตุท่ที าให้ลักษณะทางกายภฃนาพฃมขขอลงใทฝ้องทะเลเมืองดไู บ มกี ารเปลี่ยนแปลงไปจาก เดิม ก. การทงิ ของเสียจากครัวเรือน ข. การขยายพืนทด่ี ้วยการถมทะเล ค. การจบั สัตวน์ า้ และเกบ็ ปะการังมากเกินไป ง. การร่ัวไหลของนา้ มันเชือเพลงิ จากเรือประมง 6. “ครู ลิ แบงส์” พบไดใ้ นบริเวณใด ก. มหาสมุทรอินเดีย ข. กลางมหาสมทุ รแปซิฟิก ค. ทางตะวนั ตกของประเทศญ่ีปุ่น ง. ทางตะวันออกของประเทศญป่ี ุ่น 7. อทุ กภาค หมายถึงอะไร ก. สว่ นทเี่ ป็นพนื นา้ ข. สว่ นที่เป็นพนื ดิน ค. ส่วนทเ่ี ป็นอากาศ ง. ส่วนทเี่ ปน็ ส่ิงมชี ีวติ 8. ดาวเคราะหส์ นี า้ เงิน หมายถงึ อะไร ก. พนื ท่ที ี่แต่พายุ ข. พืนทที่ ่ีประกอบไปด้วยแก๊ส ค. พนื ทที่ ่ปี ระกอบไปดว้ ยพืนนา้ เป็นส่วนใหญ่ ง. พนื ทที่ ่ปี ระกอบไปด้วยสิง่ มชี ีวติ เปน็ ส่วนใหญ่ 9. จดุ สน้ิ สดุ ของแมน่ า้ จะมีลักษณะแผ่ขยายออก เรียกว่าอะไร ก. ดินดอนสามเหล่ยี ม ข. ชะวากทะเล ค. ไหล่ทะเล ง. สันดอน โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 4
ชุดท่ี 3 การเปลีย่ นแปลงทางอุทกภาค 10. รอ่ งลึกบาดาลทล่ี กึ ท่ีสดุ ในโลก มชี ือ่ วา่ อฃะนไฃรมขลใฝ ก. ร่องลกึ บาดาลบาเรียนา ข. ร่องลกึ บาดาลอโิ วจมิ า ค. รอ่ งลึกบาดาลแปซิฟิก ง. ร่องลกึ บาดาลโซโลมอน โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ 5
ชดุ ท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงทางอทุ กภาค บัตฃรนฃเนมขอื้ ลหา ชดุ ท่ี 3 การเปล่ียนแปลงทางอุทกภาค อทุ กภาค (Hydrosphere) โลกเป็นดาวเคราะห์ซึ่งพืนผิวส่วนใหญ่ห่อหุ้มด้วยน้า โลกของเราแตกต่างจากดาวเคราะห์ ดวงอ่ืนในระบบสุริยะ เน่ืองจากบนพืนผวิ โลกมนี ้าอยู่ครบทงั สามสถานะ การเปลี่ยนสถานะของน้าใน ธรรมชาติ หรือ วัฏจักรน้า ท้าให้เกิดการถ่ายเทพลังงานไปท่ัวทังโลก น้าเป็นตัวท้าละลายที่ดี จึงท้า ให้เกิดการพัดพาแร่ธาตุต่างๆ ลงสู่มหาสมุทร และเกิดโมเลกุลซ่ึงมีโครงสร้างสลับซับซ้อนซึ่งเป็นจุด ก้าเนิดของิชีวิต ส่ิงมีชีวิตบนโลกล้วนมีองค์ประกอบหลักเป็นน้า นอกจากน้าจะเป็นทังองค์ประกอบ และถ่ินท่ีอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตแล้ว น้ายังเกราะป้องกันรังสีคลื่นสันซึ่งเป็นอันตรายอีกด้วย น้ามี คุณสมบัติพิเศษท่ีแตกต่างจากสสารอ่ืนๆ คือ เม่ือเปล่ียนสถานะเป็นของแข็งแล้วกลับมีความ หนาแน่นลดลง น้าแข็งบนพืนผิวมหาสมุทรจึงเป็นผ้าห่มปกคลุมป้องกันความหนาวเย็นจากอากาศ เบอื งบน ท้าใหส้ ่งิ มีชวี ติ แถบขัวโลกด้ารงชวี ติ อยู่ได้ น้าผิวดินและอุทกภาคเป็นส่วนของน้าทังหมดบนผิวโลก น้าเป็นทรัพยากรหมุนเวียน แต่ ร้อยละ 97.5 ของปริมาณน้าทังหมดบนโลกเป็นน้าเค็ม มีส่วนที่เป็นน้าจืดเพียงร้อยละ 2.5 เท่านัน ซ่งึ นา้ จืดประมาณรอ้ ยละ 68.7 เป็นธารน้าแข็ง หิมะร้อยละ 30.1 เปน็ น้าใต้ดนิ และรอ้ ยละ 1.2 เป็น น้าผิวดินและอ่ืน ๆ ซึ่งมีเพียงร้อยละ 0.3 เป็นนา้ ผิวดนิ ทีม่ นุษย์นา้ มาใชป้ ระโยชน์ได้ รูปที่ 3.1 สดั สว่ นปรมิ าณน้าในแหล่งตา่ ง ๆ ท่ีมา : หนงั สอื เรยี นรายวิชาพ้ืนฐานสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ภมู ศิ าสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4 – 6 บริษทั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จากดั (หน้า 54) โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ 6
ชุดท่ี 3 การเปล่ียนแปลงทางอุทกภาค 3.1 วฏั จักรของนา้ วัฏจักรของน้า คือ การหมุนเวียนเปล่ียนแปลงสภาวะของน้าในธรรมชาติ ที่ผ่าน ขันตอนและกระบวนการทางธรรมชาตติ ่าง ๆ เชน่ การระเหย การกล่นั โดยพลังงานแสงอาทติ ยเ์ ป็น ปัจจัยส้าคัญท่ีท้าให้เกิดการระเหยของน้าจากแหล่งน้าต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร อ่างเก็บน้า บึง แม่น้า ฯลฯ ทลายเป็นไอน้าขึนสู่บรรยากาศ ถ้าหากมีไอน้ามากขึนจนถึงจุดอ่ิมตัวจะกล่ันตัวเป็น ละอองน้ารวมตัวเปน็ ก้อนเมฆ และตกลงมาสู่พืนผิวโลกในรูปหยาดน้าฟ้ต่าง ๆ เช่น ฝน หิมะ ลูกเห็บ และไหลลงสแู่ หล่งน้าตา่ ง ๆ หมนุ เวียนไปเรื่อยๆ ไม่มีทส่ี นิ สุด น้าที่อยตู่ ามแหล่งน้า เชน่ อา่ งเก็บนา้ บึง แมน่ ้า ฯลฯ เรียกวา่ \"น้าผิวดนิ \" ส่วนนา้ ทีไ่ หล ซมึ ลงในดินถกู เกบ็ สะสมไวต้ ามโพรง ชันดนิ และชันหินตา่ ง ๆ เรยี กว่า \"นา้ ใต้ดิน\" รปู ท่ี 3.2 วฏั จักรของน้า ทม่ี า : หนังสือเรียนรายวชิ าพน้ื ฐานสังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ภมู ิศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 – 6 บริษัทอักษรเจริญทศั น์ อจท. จากดั (หน้า 54) อุทกภาค (hydrosphere) หมายถึง ส่วนที่ห่อหุ้มเปลือกโลกท่ีเป็นน้าทังหมด ได้แก่ ความชืนในบรรยากาศ (atmospheric moisture) หยาดน้าฟ้า (precipitation) นา้ ไหลบ่า (runoff) ความชืนในดิน (soil moisture) น้าใต้ดิน (groundwater) แม่น้าล้าธาร (rivers and channels) ทะเลสาบ (lakes) น้าในมหาสมุทร (oceanic water) และธารน้าแข็ง (glacier) อุทกภาคมี ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอีก 3 ส่วนของโลก ได้แก่ บรรยากาศ (atmosphere) ชีวมณฑล (biosphere) และธรณีภาค (lithosphere) สว่ นตา่ ง ๆ ทงั 4 สว่ นของโลกนีมกี ารกระทา้ ระหวา่ งกัน อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 7
ชดุ ที่ 3 การเปลี่ยนแปลงทางอทุ กภาค น้าทังหมดในอุทกภาคนีมีปริมาตรรวมกันทังหมดเกือบ 1,500 ล้านลูกบาศก์กิโลเมตร ในจ้านวนนีเป็นน้าในมหาสมุทรหรือน้าเค็มเกือบร้อยละ 94 ที่เหลืออีกประมาณกว่าร้อยละ 6 เป็นน้าจืด แหล่งน้าจืดที่นับว่ามีความส้าคัญและมีประโยชน์โดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกมากท่ีสุดคือ น้าใต้ดินซ่ึงเป็นแหล่งน้าจืดท่ีมีปริมาณมากที่สุดในบรรดาแหล่งน้าจืดทังหลายและเป็นแหล่งน้าจืด ที่ปลอดจากมลภาวะมากท่ีสุดอีกด้วย แหล่งน้าจืดที่มีความส้าคัญรองลงมาคือน้าผิวดิน (surface water) ได้แก่ หนองบึง ทะเลสาบ แม่น้าล้าคลองต่าง ๆ ซ่ึงเป็นแหล่งน้าจืดที่มีปริมาณน้อยมาก เมื่อเทียบกบั แหล่งนา้ ใต้ดิน กาเนิดน้าบนโลก ธาตุสามัญในจักรวาล เกิดขึนจากกระบวนการนิวเคลียร์ฟิวชันที่แก่นกลางของดาวฤกษ์ ได้แก่ ไฮโดรเจน ฮีเลียม คาร์บอน ออกซิเจน ซิลิกอน และเหล็ก ระบบสุริยะก้าเนิดขึนจากฝุ่นและ แก๊สในโซลาร์เนบิวลา (Solar nebula) เม่ือประมาณ 4,600 ลา้ นปที ี่แลว้ โลกเกิดขึนโดยการรวมตัว ของสะเก็ดดาวทงั หลาย (Planetisimal) โลกในยคุ แรกเป็นหนิ หนืดรอ้ น สสารทเี่ ป็นโลหะ เชน่ เหล็ก มคี วามถ่วงจ้าเพาะสูง จมตัวลงที่แก่นโลก สสารทีเ่ ปน็ อโลหะ เช่น ซิลิกา (SiO2) มคี วามถ่วงจ้าเพาะ ต้่าลอยตัวอยู่บนเปลือกโลก ส่วนสสารที่เป็นธาตุเบา เช่น ไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และไอน้า ยกตัวขึนสู่ชันบรรยากาศ พืนผิวของโลกในยุคแรกมีอุณภูมิสูงเต็มไปด้วยภูเขาไฟและลาวา ต่อมา เม่ือโลกเย็นตวั ลง ไอน้าจงึ ควบแน่นเปน็ หยดน้าตกลงสู่พืนผิวโลก ประกอบกับการพงุ่ ชนของดาวหาง จ้านวนมากซ่ึงมีองค์ประกอบเป็นน้าแข็ง ท้าให้พืนผิวโลกสะสมน้าไว้ในที่ต่้ากลายเป็นทะเลและ มหาสมทุ ร ดังแสดงในรูปที่ 3.3 รูปที่ 3.3 โลกในอดีต ที่มา : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere โดย นายรมย์รวินท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 8
ชุดที่ 3 การเปลี่ยนแปลงทางอทุ กภาค โลกไม่ใช่ดาวเคราะห์ดวงเดียวท่ีมีน้า ดาวศุกร์มีไอน้าในบรรยากาศ ดาวอังคารมีน้าแข็งอยู่ บนพืนผิว โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 149.6 ล้านกิโลเมตร ด้วยระยะทางนี โลกได้รับพลังงานจาก ดวงอาทิตย์ 1,370 วัตต์ต่อตารางเมตร ท้าให้พืนโลกมีอุณหภูมิ -18°C แต่เนื่องจากบรรยากาศของ โลกมีแก๊สเรือนกระจก เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้าจึงเกิดภาวะเรือนกระจก (Greenhouse effect) ท้าให้พืนผิวโลกมีอุณหภูมิเฉล่ีย 15°C น้าบนโลกจึงมีครบทังสามสถานะคือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส เนื่องจากน้ามีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดแตกต่างกันเพียง 100°C พลังงานจากดวงอาทิตย์ท้าให้น้าหมุนเวียนเปลี่ยนสถานะเกิดเป็นวัฏจักรน้า ซ่ึงเป็นปัจจัยส้าคัญที่ เปล่ยี นโฉมหน้าโลกของเราให้แตกตา่ งจากดาวเคราะหด์ วงอนื่ รปู ท่ี 3.4 โลก ดาวเคราะห์สีน้าเงิน ทม่ี า : https://sites.google.com/a/go.buu.ac.th สมบัตขิ องน้า โครงสรา้ งโมเลกลุ ของนา้ น้า 1 โมเลกุล (H2O) ประกอบด้วย ไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม เชื่อมต่อ กันด้วยพันธะโควาเลนท์ (Covalent bonds) ซึ่งใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน โดยท่ีอะตอมทังสามตัว เชื่อมตอ่ กันเป็นมมุ 105° โดยมีออกซเิ จนเปน็ ขัวลบ และไฮโดรเจนเป็นขวั บวก ดงั รูปที่ 2.3 โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 9
ชดุ ที่ 3 การเปลยี่ นแปลงทางอุทกภาค รูปท่ี 3.5 โมเลกุลนา้ ทม่ี า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere น้าแต่ละโมเลกุลเช่ือมต่อกันด้วยพันธะไฮโดรเจน (Hydrogen-bonds) เรียงตัวต่อกันเป็น โครงสร้างจัตุรมุข (Tetrahedral) ดังรูปท่ี 3.4 ท้าให้น้าต้องใช้ที่ว่างมากขึนเม่ือเปลี่ยนสถานะเป็น น้าแข็ง ดังนันเมือ่ น้าเปลี่ยนสถานะเปน็ ของแข็งจะมคี วามหนาแน่นน้อยลง เมือ่ เพิม่ ความร้อนใหก้ ับ น้าแข็งพันธะไฮโดรเจนจะถูกท้าลาย ท้าใหน้ ้าแข็งละลายเป็นของเหลว และเมื่อโครงสร้างผลึกยุบตัว ลงน้าในสถานะของเหลวจึงใช้เนือที่น้อยกว่าของแข็ง นี่คือสาเหตุว่าท้าไมน้าแข็งจึงมีความหนาแน่น ต้่ากว่าน้า รูปที่ 3.46 พันธะไฮโดรเจนมีระยะห่าง 177 พิโคเมตร พันธะโควาเลนต์มรี ะยะห่าง 99 พโิ คเมตร ทีม่ า : the full wiki โดย นายรมย์รวินท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 10
ชุดท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงทางอทุ กภาค ตัวอย่างท่ีแสดงพันธะไฮโดรเจนที่เห็นได้ชัดคือ แรงตรึงผิวของน้า (Surface tension) เราจะเห็นวา่ หยดน้าบนพืนหรอื บนใบบัวมีรปู ร่างเป็นทรงกลมคล้ายเลนส์นนู หรอื เวลาท่ีเติมน้าเต็ม แก้ว ผิวน้าจะพนู โคง้ สงู เหนือปากแก้วเลก็ น้อย หากปราศจากแรงตรึงผิวซึง่ เกดิ จากพันธะไฮโดรเจน แล้ว ผิวน้าจะเต็มเรียบเสมอปากแก้วพอดี แรงตรึงผิวเป็นคุณสมบัติพิเศษของน้า ซ่ึงมีมากกว่า ของเหลวชนิดอื่น ยกเวน้ ปรอท (Mercury) ซึ่งเป็นธาตุชนิดเดยี วที่เปน็ ของเหลว แรงตรงึ ผิวท้าใหน้ ้า เกาะรวมตวั กนั และไหลชอนไชไปไดท้ ุกหนแห่ง แม้แตร่ ูโหว่และรอยแตกของหิน ดว้ ยเหตุนีน้าจงึ เป็น ตวั ปฏวิ ตั ริ ูปโฉมของพืนผวิ โลก การเปล่ยี นสถานะของนา้ ภายใต้ความกดอากาศ ณ ระดับน้าทะเลปานกลาง น้ามีสถานะเป็นของเหลว น้าเปล่ียน สถานะเป็นแก๊ส (ไอน้า) เมอ่ื มอี ุณหภูมิสงู ถงึ จุดเดือด (Boiling point) ทอี่ ณุ หภูมิ 100°C และเปลย่ี น สถานะเป็นของแข็ง เม่ืออณุ หภมู ิลดต้่าถงึ จุดเยือกแข็ง (Freezing point) ท่ีอุณหภมู ิ 0°C การเปลยี่ น สถานะของน้ามีการดูดกลืนหรือการคายความร้อน โดยท่ีไม่ท้าให้อุณหภูมิเปล่ียนแปลง เรียกว่า ความรอ้ นแฝง (Latent heat) ความร้อนแฝงมหี น่วยเปน็ แคลอรี (Calorie) 1 แคลอรี คือปริมาณความร้อนซึ่งท้าให้น้า 1 กรัม มีอุณหภูมิสูงขึน 1°C (ดังนันหากเราเพิ่ม ความร้อน 10 แคลอรี ให้กับนา้ 1 กรมั น้าจะมอี ณุ หภูมิสงู ขนึ 10°C) รปู ท่ี 3.7 พลังงานที่ใช้ในการเปล่ยี นสถานะของนา้ ทีม่ า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere ก่อนท่ีน้าแข็งละลาย น้าแข็งต้องการความร้อนแฝง 80 แคลอรี/กรัม เพื่อท้าให้น้า 1 กรัม เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว น้าแข็งดูดกลืนความร้อนนีไว้โดยยังคงรักษาอุณหภูมิ 0°C คงท่ีไม่ โดย นายรมย์รวินท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 11
ชดุ ที่ 3 การเปลย่ี นแปลงทางอทุ กภาค เปลี่ยนแปลงจนกว่าน้าแข็งจะละลายหมดก้อน ความร้อนที่ถูกดูดกลืนเข้าไปจะท้าลายพันธะ ไฮโดรเจนในโครงสร้างผลึกน้าแข็ง ท้าให้น้าแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว ในทางกลับกันเมื่อน้า เปลยี่ นสถานะเป็นนา้ แขง็ กจ็ ะคายความรอ้ นแฝงออกมา 80 แคลอรี/กรัม เมื่อน้าเปลี่ยนสถานะเป็นไอน้า น้าต้องการความร้อนแฝง 600 แคลอรี เพื่อท่ีจะเปลี่ยน น้า 1 กรัม ให้กลายเป็นไอนา้ ในท้านองกลับกันเมอื่ ไอน้าควบแนน่ กลายเป็นหยดน้า น้าจะคายความ รอ้ นแฝงออกมา 600 แคลอร/ี กรมั ท้าให้เรารู้สึกรอ้ นก่อนที่จะเกดิ ฝนตก การเปลี่ยนสถานะของน้าท้าให้น้ามีสมบัติในการพาความร้อน (Convection) ดังนันเมื่อน้า เคลื่อนท่ีไปตามพืนผิวโลก ในมหาสมุทร หรือในอากาศ ก็จะพาพลังงานความร้อนไปด้วย ท้าให้ อุณหภูมิของพืนผิวโลกในเวลากลางวันและกลางคืนไม่แตกต่างกันมากนัก โลกจึงมีภาวะที่ เออื อ้านวยต่อสง่ิ มชี ีวิต ความหนาแน่นของนา้ ภายใต้ความกดอากาศ ณ ระดับน้าทะเลปานกลาง น้าจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งเม่ือมี อณุ หภูมิ 0°C เม่ือพจิ ารณากราฟในรูปที่ 4 จะเห็นว่าน้ามีความหนาแนน่ สูงสุดท่ีอุณหภูมิ 4°C และ มีสถานะเป็นของเหลว เมื่อน้าเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิ 0°C น้าจะมีปริมาตรเพิ่มขึนถึง รอ้ ยละ 9 โดยเราจะเห็นได้วา่ เมอ่ื ใส่น้าเต็มแกว้ แลว้ น้าไปแช่ห้องแขง็ น้าแข็งจะลน้ ออกนอกแก้วหรือ ดันให้แก้วแตก ในท้านองเดียวกันเมื่อน้าในซอกหินแข็งตัว มันจะขยายตัวจนท้าให้หินแตกเกิด กระบวนการผุพงั ของหนิ (Weathering) ซ่งึ ท้าให้เกดิ ตะกอน รปู ท่ี 3.8 ความหนาแนน่ ของนา้ ณ อณุ หภูมิตา่ งๆ ท่มี า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere โดย นายรมยร์ วินท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 12
ชุดท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงทางอุทกภาค น้า เป็นส่ิงมหัศจรรย์ของจักรวาล สสารท่ัวไปมีความหนาแน่นมากขึนเม่ือเปล่ียนสถานะ เป็นของแข็ง แต่น้ามีความหนาแน่นน้อยลงเม่ือเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง ด้วยเหตุนีน้าแข็งจึงลอย อยู่บนน้า ถ้าหากน้าแข็งมีความหนาแน่นกว่าน้า เมื่ออุณหภูมิของอากาศลดลง น้าในมหาสมุทร แข็งตัวและจมตัวลงสู่ก้นมหาสมุทร ท้าให้สิ่งมีชีวิตท่ีอาศัยอยู่บริเวณพืนมหาสมุทรไม่สามารถ ด้ารงชีวิตอยู่ได้ ดังนันการที่น้ามีความหนาแน่นน้อยลงเม่ือเปล่ียนสถานะเป็นของแข็งจึงเป็นผลดีท่ี เอืออ้านวยต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก เมื่ออุณหภูมิของอากาศลดต้่ากว่าจุดน้าแข็ง น้าแข็งจะเกิดขึนบนผิว มหาสมุทร ท้าหน้าท่ีเป็นฉนวนป้องกันไม่ให้น้าทะเลท่ีอยู่เบืองล่างสูญเสียความร้อนจนกลายเป็น นา้ แข็งไปหมด ส่งิ มีชีวิตจงึ สามารถดา้ รงชีวติ อยไู่ ด้ในท้องทะเลได้อยา่ งอบอนุ่ ความจคุ วามร้อน ท่านเคยสังเกตหรือไม่ว่า เวลาเล่นน้าทะเลในตอนกลางวันจะรู้สึกเย็นสบาย แต่ถ้าเล่นน้า ทะเลในตอนกลางคืนจะรู้สึกอบอุ่น ทังนีเน่ืองจากน้ามีความจุความร้อน (Heat capacity) น้ามคี วาม ร้อนจ้าเพาะ 4.184 จูล/กรัม/องศาเซลเซียส ซึ่งหมายถึงการที่จะท้าให้น้า 1 กรัม มีอุณหภูมิสูงขึน 1°C จะต้องใชพ้ ลังงาน 4.184 จลู ถา้ ตอ้ งการให้นา้ จ้านวน 1 กโิ ลกรัม มีอณุ หภูมิสูงขึน 1°C จะต้อง ใช้พลังงาน 4,184 จูล ดังนันการที่จะท้าให้อุณหภูมิของน้าทะเลสงู ขึนได้ จะต้องอาศัยพลังงานมหา ศาลจากดวงอาทิตย์ น่ันจึงเป็นสาเหตุท่ีท้าให้ในตอนกลางวันอุณหภูมิของน้าทะเลต่้ากว่าอุณหภูมิ ของอากาศ และหลักฐานของการคงอยู่ของความจุความร้อนของน้าก็คอื ในตอนกลางคืนน้าทะเลมี อณุ หภมู ิสงู กว่าอุณหภูมิอากาศ เนอ่ื งจากการดูดกลืนพลงั งานจากดวงอาทิตยใ์ นเวลากลางวนั ความจุ ความรอ้ นของนา้ ทะเลทา้ ให้สรูปภูมอิ ากาศของแต่ละภมู ิภาคแตกตา่ งกนั พนื ทหี่ ่างไกลจากทะเล เช่น บริเวณใจกลางทวีป อุณหภูมิกลางวันกลางคืนแตกต่างกันมาก ส่วนพืนท่ีชายฝั่งและหมู่เกาะกลาง มหาสมทุ ร มอี ณุ หภมู กิ ลางวนั กลางคนื แตกตา่ งกนั เพียงเล็กน้อย ตัวทาละลาย เม่ือเปรียบเทียบน้ากับสารประกอบชนิดอ่ืนแล้ว น้าเป็นตัวท้าละลายท่ีดีที่สุด โมเลกุลของ น้ายึดเหน่ียวกันด้วยพันธะไฮโดรเจน โดยแรงอิเล็กโตรสแตติก (Electrostatic forces) นอกจาก โมเลกุลของนา้ จะเชอ่ื มตอ่ กันเองแล้ว โมเลกุลของน้ายังสามารถยึดเหน่ยี วกับโมเลกุลอื่นด้วย โมเลกุล ของสารประกอบบางชนิดยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะไอออน (Ionic bonds) โดยมีแรงอิเล็กโตรสแตติก ระหว่างประจุบวกและประจุลบของอะตอมแต่ละตัว แรงอิเล็กโตรสแตติกของโมเลกุลเหล่านีจะ ลดลงเหลือเพียง 1/80 เมื่อถูกรบกวนจากแรงอิเล็กโตรสแตติกของน้า น้าจึงเป็นตัวท้าละลายท่ีดี เนื่องจากแรงอีเล็กโตรสแตกติกของโมเลกุลน้ามีพลังมากกว่าแรงอิเล็กโตรสแตกติกของโมเลกุลอ่ืน เสมอ โดย นายรมย์รวินท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 13
ชดุ ท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงทางอทุ กภาค ยกตัวอย่าง เกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ประกอบด้วยโซเดียมประจุบวก (Na+) เช่ือมต่อ กับคลอรีนประจุลบ (Cl-) ด้วยพันธะไอออน เมื่อใส่ผลึกเกลือลงในน้า แรงอีเล็กโตรสแตติกระหว่าง โซเดียมกับคลอรีนจะลดลง 80 เท่า ท้าให้ไฮโดรเจนประจุบวกของน้า (H+) ยึดจับคลอรีนประจุลบ ของเกลือ (Cl-) ของเกลือ และออกซิเจนประจุลบของน้า (O-) ยึดจับโซเดียมประจุบวกของเกลือ (Na+) ทา้ ให้เกดิ สารละลายโซเดยี มคลอไรด์ ในรปู ท่ี 2.7 รูปที่ 3.9 การทาละลายของนา้ ทีม่ า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere น้าทะเลมีรสเค็ม เน่ืองจากเป็นท่ีรวมของสารละลายชนิดต่างๆ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็น ประจุ โซเดียม (Na+) และประจุคลอไรด์ (Cl-) นอกจากน้าเป็นตัวท้าละลายของแข็งแล้ว น้ายังเป็นตัวท้า ละลายแก๊สอีกด้วย น้าฝนละลายแก๊สคาร์บอนได้ออกไซด์ในอากาศจึงมีฤทธ์ิเป็นกรดอ่อน น้าใน แหล่งน้าละลายออกซิเจนในฟองอากาศ ท้าให้ส่งิ มีชีวิตในน้าหายใจได้ ประสทิ ธิรูปในการละลายแก๊ส ของน้า ขึนอยู่กับอุณหภูมิของอากาศ สัตว์น้าหลายชนิดชอบน้าเย็นมากกว่าน้าอุ่น เน่ืองจากน้าเย็น สามารถละลายออกซิเจนได้ดีกว่าน้าอุ่น ความเข้มข้นของแก๊สซึ่งละลายอยู่ในน้ามีหน่วยวัด เป็น parts per billion (ppb) หรือ ต่อพันล้านส่วน เช่น ค่าออกซิเจนในน้า 5 ppb หมายถึง ใน นา้ 1 พันลา้ นส่วนมีแกส๊ ออกซเิ จนละลายอยู่ 5 สว่ น สรูปการนาไฟฟ้าของนา้ น้าบริสุทธ์ิ ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่เหนี่ยวน้าไฟฟ้า การน้าไฟฟ้าของน้าแสดงถึง การเจือ ปนของสารละลายในน้า การเหน่ียวน้าไฟฟ้าของน้ามีหน่วยวัดเป็น ไมโครซีเมนส์ต่อเซนติเมตร (mS/cm) น้าสะอาดมีค่าการน้าไฟฟ้าประมาณ 5 – 30 mS/cm แต่นา้ ท่ีไม่บริสทุ ธ์ิ เช่น น้าที่ปล่อย ออกจากโรงงานอตุ สาหกรรมจะมีคา่ การนา้ ไฟฟา้ สูงกวา่ นี โดย นายรมยร์ วินท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ 14
ชดุ ที่ 3 การเปลย่ี นแปลงทางอทุ กภาค นา้ อ่อน – นา้ กระด้าง น้าอ่อน (Soft water) หมายถึง น้าในสรูปปกติท่ัวไป น้ากระด้าง (Hard water) หมายถึง น้าท่ีมีสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตหรือแคลไซต์ปนอยู่มาก น้ากระด้างจึงมีฤทธ์ิเป็นกรดอ่อน เม่ือเราใช้น้ากระด้างอาบน้าหรือล้างมือ น้าจะท้าให้สบู่ไม่เป็นฟอง และเช็ดคราบสบู่ออกจากตัวไม่ เกลียง น้ากระด้างสว่ นมากอยใู่ นแหลง่ นา้ บาดาลซึ่งมีหินพนื เปน็ หนิ ปูน ความเป็นกรด – เบส กรด (Acid) หมายถงึ สสารทีป่ ลอ่ ยประจไุ ฮโดรเนยี ม (H3O+) ใหก้ บั สารละลาย ตัวอย่างเช่นเม่ือผสมน้ากับกรดเกลือจะเกิดประจุไฮโดรเนียมและประจุคลอไรด์ตามสูตร H2O + HCl -> (H3O+) + Cl- ท้าให้เกิดสารละลายที่เป็นกรด ได้แก่ กรดก้ามะถัน (H2SO4) นา้ ส้มสายชู (CH3COOH) เบส (Base) หมายถงึ สสารทป่ี ลอ่ ยประจไุ ฮดรอกไซด์ (OH-) ใหก้ บั สารละลาย ตัวอย่างเช่นเมื่อโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) แตกตัว จะให้ประจุไฮดรอกไซด์ตามสูตร NaCL -> Na+ + OH- เม่ือโลหะไฮดรอกไซด์ละลายน้าจะปล่อยประจุไฮดรอกไซด์ออกมาเรียกว่า “ดา่ ง” (Alkali) สสารทเี่ ปน็ เบส ไดแ้ ก่ ปนู ซเี มนต์ (CaO) และ แอมโมเนีย (NH3) ตารางท่ี 3.1 คุณสมบตั ขิ อง กรด และ ด่าง กรด เบส รสเปรยี ว รสขม เปลยี่ นกระดาษลติ มัสสนี า้ เงิน เปลี่ยนกระดาษแดงสนี ้าเงิน เป็นสีแดง เป็นสีนา้ เงนิ ใหโ้ ปรตอนขณะท่ีท้าปฏิกิริยา รับโปรตอนขณะท่ีท้าปฏิกิริยา ทา้ ปฏกิ ิรยิ ากบั โลหะ เกดิ แก๊สไฮโดรเจน ท้าให้เกิดไฮดรอกไซด์ และประจุของโลหะ ซึ่งไมล่ ะลายน้า ในการวัดความเป็น กรด – เบส ในสารละลาย เราใช้ค้าว่า pH เป็นตัวบ่งชี ตัว p ย่อมา จากค้าว่า power ซึ่งมีความหมายในเชิงยกก้าลัง ส่วน H หมายถึง ความเข้มของประจุไฮโดรเจน pH ซ่งึ มีคา่ เป็นตัวเลข 0 – 14 สารประกอบท่ีมีค่า pH 5 มปี ระจุไฮโดรเจนมากกวา่ สารประกอบท่ีมี คา่ pH 6 ถงึ 10 เทา่ โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 15
ชดุ ท่ี 3 การเปลยี่ นแปลงทางอทุ กภาค นา้ บรสิ ุทธ์มิ คี า่ เปน็ กลางอยู่ท่ี pH 7 หมายถึง นา้ 1 ลิตร ที่อุณหภูมิ 25°C มปี ระจุ ไฮโดรเจน และประจไุ ฮดรอกไซด์ อยจู่ า้ นวนเท่ากันคือ 1 x 10–7 โมล ค่า pH ตา้่ แสดงว่า สารประกอบมีความเปน็ กรดสงู เช่น นา้ มะนาวมี pH 2.3 ค่า pH สูง แสดงวา่ สารประกอบมคี วามเป็นเบสสงู เช่น น้ายาท้าความสะอาดพนื มี pH 13 ส่ิงมีชีวิตในน้าส่วนมากอาศัยอยู่ในน้าท่ีมีค่า pH 6.5 – 9 โดยปกติน้าฝนตามธรรมชาติมี ความเป็นกรดเล็กน้อย เน่ืองจากการละลายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ แต่ทว่าในเขต อุตสาหกรรมท่ีมีการปล่อยแก๊สเสียออกมา จะท้าให้เกิดสภาวะฝนกรด น้าฝนท่ีสะสมอยู่ในแหล่งน้า ทา้ ให้คา่ pH ต่า้ ลง เม่ือ pH ต่า้ กว่า 5.5 ปลาจะตายหมด เมอื่ pH ต้่ากว่า 4 สงิ่ มีชวี ติ ในนา้ จะไม่สามารถ ทนทานได้เลย การศึกษาความเป็นกรด – เบสของน้า จึงมีความสา้ คญั มากต่อการประมงและ การเกษตร รปู ที่ 3.10 pH ของสารประกอบชนดิ ต่างๆ ท่ีมา : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere วัฏจักรนา้ แม้ว่าพืนผิวโลกส่วนใหญ่จะปกคลุมไปด้วยน้า แต่ถ้าเปรียบเทียบมวลของน้ากับมวลของ โลก น้ามีมวลเพียงร้อยละ 0.2 ของมวลโลก อย่างไรก็ตามการหมุนเวียนของน้าเป็นวัฏจักร ถือเป็น สิ่งส้าคัญที่สุดเร่ืองหนึ่ง ในการศึกษาระบบโลก ดวงอาทิตย์แผ่รังสีท้าให้พืนผิวโลกได้รับ พลังงาน ปริมาณพลังงานแสงอาทิตย์ ร้อยละ 22 ท้าให้น้าบนพืนผิวโลกไม่ว่าจะในมหาสมุทร ทะเล แม่น้า หรือ ห้วย หนอง คลอง บึง ระเหยเปล่ียนสถานะเป็นแก๊สคือ ไอน้า ลอยขึนสู่ บรรยากาศ อุณหภูมิของไอน้าลดลงเมื่อลอยตัวสูงขึนจนเกิดความชืนสัมพันธ์ 100% ไอน้าจะ โดย นายรมยร์ วินท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 16
ชดุ ท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงทางอุทกภาค ควบแน่นเป็นละอองน้าเล็กๆ ซ่ึงมองเห็นเปน็ เมฆ เมื่อหยดน้าเล็กๆ ในเมฆรวมตัวกันจนมีขนาดใหญ่ และมีน้าหนกั พอที่จะชนะแรงต้านทานอากาศ ก็จะตกลงมากลายเป็นฝน หรอื หิมะ หิมะที่ตกคา้ งอยู่ บนยอดเขาพอกพูนกันเป็นธารน้าแข็ง น้าฝนที่ตกลงถึงพืนรวมตัวเป็นล้าธาร ห้วย หนอง คลอง บึง หรือไหลบ่ารวมกันเป็นแม่น้า เมื่อธารน้าแข็งละลายก็จะเพ่ิมปริมาณน้าให้แก่แม่น้า น้าบน พืนผิวโลกบางส่วนแทรกซึมตามรอยแตกของหิน ท้าให้เกิดน้าใต้ดิน และไหลไปรวมกันในท้อง มหาสมุทร เปน็ อันครบรอบวฏั จกั รตามรปู ที่ 2.9 รปู ท่ี 3.11 วฎั จกั รนา้ ท่มี า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere วัฏจักรน้า ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่อยู่ในบรรยากาศ บนพืนผิว หรือใต้ดิน ล้วนเป็นกลไกที่ส้าคัญ ของระบบโลก ไอน้าที่ระเหยออกจากน้าในมหาสมุทร ทิงประจุแร่ธาตุต่างๆ ท้าให้มหาสมุทรมีความ เค็ม ไอน้าที่ระเหยขึนไปเป็นน้าจืดบริสุทธ์ิ แต่เม่ือไอน้าควบแน่นเป็นหยดน้าและตกลงมาเป็นฝน น้าฝนละลายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ จึงมีสรูปเป็นกรดคาร์บอนิกอ่อนๆ เมื่อตกลงสู่ พืนผิวโลกจะท้าปฏิกิริยากับหินปูนซึ่งมีองค์ประกอบเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ท้าให้เกิดหน้าผา แหลม โพรงถา้ และนา้ กระด้าง เน่ืองจากน้าเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นไปตามอุณหภูมิ การขยายตัวของน้าในซอกหินท้า ให้หินแตก น้าเป็นตัวละลายท่ีดีจึงน้าพาแร่ธาตุสารอาหารไปกระจายตามส่วนต่างๆ ของพืนผิวโลก และสะสมแร่ธาตุในดิน ท้าให้พืชพรรณอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งอาหารของสรรพสัตว์ ต้นไม้ สังเคราะห์แสงเปล่ียนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นอาหารและปล่อยออกซิเจนสู่บรรยากาศ ปริมาณสัตว์ โดย นายรมยร์ วินท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 17
ชดุ ที่ 3 การเปลี่ยนแปลงทางอุทกภาค ควบคุมปริมาณพืช คายน้ากลบั คืนสบู่ รรยากาศ ท้าใหเ้ กดิ ความชืนบนผิวดิน นา้ ไหลจากทีส่ งู ไปสูท่ ่ตี า้่ จึงชะล้างประจุของแร่ธาตุทังหลายไปสะสมกันในท้องทะเล และเกิดเป็นตะกอนที่พืนมหาสมุทร สิง่ มีชีวิตในมหาสมุทรจึงใช้แร่ธาตุเหล่านีเป็นอาหารและสร้างร่างกาย มหาสมุทรจึงเป็นแหลง่ อาหาร ที่ส้าคัญของโลก นอกจากนันแล้วการที่น้ามีความจุความร้อน และเป็นตัวพาความร้อนที่ ดี กระบวนการเปลี่ยนสถานะของน้าจึงเป็นสมดุลพลังงานของโลก ซึ่งมีอทิ ธิพลตอ่ ระบบภูมิอากาศของ โลกอีกดว้ ย แหล่งนา้ รูปที่ 3.12 โลก ดาวเคราะหส์ ีนา้ เงิน ท่ีมา : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere แม้ว่าพืนผิว 2 ใน 3 ส่วนของโลกปกคลุมไปด้วยน้า แต่น้าจืดท่ีสามารถน้ามาใช้ในการ ด้ารงชีวิตของมนุษย์กลับมีไม่ถึง 1% ถ้าหากสมมติว่าน้าในโลกทังหมดเท่ากับ 100 ลิตร จะมีน้า ทะเล 97 ลิตร น้าแข็งเกือบ 3 ลิตร สว่ นน้าจืดท่ีเราสามารถใช้บริโภคอุปโภคได้มีเพียง 3 มิลลิลิตร ดงั รูปท่ี 2.11 ดว้ ยเหตนุ นี ้าจงึ เปน็ ทรพั ยากรทีล่ า้ คา่ และขาดแคลนง่าย โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ 18
ชุดท่ี 3 การเปล่ียนแปลงทางอุทกภาค รปู ท่ี 3.13 เปรยี บเทียบแหล่งนา้ บนโลก ทมี่ า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere แม้ว่าปริมาณน้าส่วนใหญ่จะอยู่ในทะเลและมหาสมุทร แต่น้าก็มีอยู่ในทุกหนแห่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นแมน่ า้ ล้าคลอง นา้ ใตด้ ิน นา้ ในบรรยากาศ รวมทงั เมฆหมอกและหยาดนา้ ฟ้า ดงั ข้อมูลใน ตารางท่ี 3.2 นอกจากนันร่างกายมนุษย์มีองค์ประกอบเป็นน้าร้อยละ 65 ร่างกายของสัตว์น้าบาง ชนิด เช่น แมงกะพรุน มีองค์ประกอบเป็นน้าร้อยละ 98 ดังนันจึงกล่าวได้ว่า น้าคือปัจจัยท่ีส้าคัญ ที่สุดของสง่ิ มีชวี ติ ตารางที่ 3.2 แหล่งนา้ บนโลก มหาสมุทร 97.2 % ทะเลสาบน้าเค็ม 0.008 % ธารน้าแข็ง 2.15 % ความชนื ของดิน 0.005 % น้าใต้ดิน 0.62 % แมน่ ้า ลา้ ธาร 0.00001 % ทะเลสาบนา้ จืด 0.009 % บรรยากาศ 0.001 % น้าผวิ ดนิ แหล่งน้าท่ีเรารู้จกั และใชป้ ระโยชนก์ ันมากทีส่ ดุ คือ \"นา้ ผวิ ดิน\" (Surface water) น้าผวิ ดนิ มี ทังน้าเค็มและน้าจืด แหล่งน้าผิวดินท่ีเป็นน้าจืดได้แก่ ทะเลสาบน้าจืด แม่น้า ล้าธาร ห้วย หนอง คลอง บงึ เน่ืองจากภูมิประเทศของพืนผิวโลกไม่ราบเรียบเสมอกนั พืนผิวของโลกแต่ละแหง่ มีความ โดย นายรมยร์ วินท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 19
ชุดท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงทางอุทกภาค แข็งแรงทนทานไม่เหมือนกัน แรงโน้มถว่ งท้าให้น้าไหลจากที่สูงลงท่ีตา่้ น้ามีสมบัติเป็นตัวท้าละลาย ทด่ี จี งึ สามารถกดั เซาะพืนผวิ โลกใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงภูมปิ ระเทศ การกัดเซาะของน้าอย่างต่อเนื่อง ท้าให้ร่องน้าเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง และทิศทางการ ไหล เมื่อฝนตก หยดน้าจะรวมตัวกันแล้วไหลท้าให้เกิดร่องน้า ร่องน้าเล็กๆ ไหลมารวมกันเป็น “ธารนา้ ” (Stream) เมอื่ กระแสน้าในธารนา้ ไหลอยา่ งต่อเนือ่ งก็จะกัดเซาะพนื ผิวและพัดพาตะกอน ขนาดต่างๆ ไปกบั กระแสน้า ธารน้าจึงมีขนาดใหญ่และยาวขนึ จนกลายเป็น แม่น้า (River) ความเร็ว ของกระแสน้าขึนอยู่กับความลาดชันของพืนที่ ถ้าพืนท่ีมีความลาดชันมากกระแสน้าจะเคลื่อนท่ีเร็ว แต่ถา้ หากพืนท่ีมคี วามลาดชันนอ้ ยกระแสนา้ กจ็ ะเคล่ือนที่ช้า นอกจากนันความเร็วของกระแสน้ายัง ขนึ อยู่กับพืนท่ีหน้าตดั เข่น เมื่อกระแสน้าไหลผ่านชอ่ งเขาแคบๆ ก็จะเคล่ือนท่เี ร็ว เม่ือกระแสน้าพบ ความที่ราบกว้างใหญ่ เชน่ บึง หรือทะเลสาบ กระแสน้าจะหยุดนงิ่ ท้าให้ตะกอนท่ีน้าพัดพามาก็จะตก ทบั ถมใต้ท้องน้า ดังเราจะพบว่า อ่างเก็บน้าเหนือเขื่อนท่ีมอี ายมุ ากมกั มีความตืนเขินและเก็บกกั นา้ ได้ น้อยลง อย่างไรก็ตามปริมาณของน้าผิวดินขึนอยู่กับลักษณะภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ปริมาณน้าฝน เนอื ดิน การใชป้ ระโยชนท์ ด่ี นิ และทรพั ยากรนา้ รปู ที่ 3.14 ภาคตัดขวางของแม่นา้ ท่มี า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 20
ชุดท่ี 3 การเปลีย่ นแปลงทางอทุ กภาค น้าใตด้ ิน หากไม่นับธารน้าแข็งขัวโลกแล้ว \"น้าบาดาล\" (Ground water) เป็นแหล่งน้าจืดที่มีปริมาณ มากท่ีสุดบนโลกของเรา น้าบาดาลเกิดขึนจากการไหลซึมของน้าผิวดิน ในเนือดินมีรูพรุน (Pore) ส้าหรับอากาศและน้า เช่น ดินเหนียวมีรูพรุนขนาดเล็ก น้าไหลผ่านได้ยาก ดินทรายมีรูพรุน ขนาดใหญ่ น้าไหลผ่านได้ง่าย เม่ือพืนผิวดินเกดิ ความชืนหรือมฝี นตก เม็ดดินจะเก็บนา้ ไว้ในรูพรนุ ไว้ จนกระทั่งดินอิ่มตัวด้วยน้า ไม่สามารถเก็บน้าได้มากกว่านีแล้ว น้าส่วนหน่ึงจะไหลบ่าไปตามพืนผิว (Run off) น้าอีกส่วนหน่ึงจะไหลซึมลงสู่ชันดินเบืองล่าง (Infiltration) ใต้ชันดินลึกลงไปจะเป็นชัน หินตะกอนเนือหยาบท่ีสามารถเก็บกักน้าบาดาลไว้ได้เรียกว่า “ชันหินอุ้มน้า” (Aquifer) ซึ่งเป็นหิน ทราย กรวด ตะกอนทราย จึงมีสมบัติยอมใหน้ ้าซึมผ่านโดยงา่ ย เนื่องจากชอ่ งวา่ งขนาดใหญ่ระหว่าง อนุภาคตะกอน จึงเก็บกักน้าได้เป็นปริมาณมากจนกลายเป็นแหล่งน้าบาดาล ใต้ชันหินอุ้มน้าลงไป เป็นชันหินตะกอนเนือละเอียด เช่น หินดินดานหรือทรายแป้งซ่งึ ไม่ยอมให้น้าซึมผ่านได้ ในบางแห่ง ที่ชันหินอุ้มน้าถูกขนาบด้วยชันหินเนือละเอียดก็จะเกิดแรงดันน้า ถ้าเราเจาะบ่อบาดาลลงไปตรง บริเวณดังกล่าว แรงดันภายในจะดันน้าให้มีระดับสูงขึน หรือไหลล้นปากบ่อออกมา และเนื่องจาก ชันหินมีความลาดเอยี ง น้าในดินจึงไหลจากท่ีสงู ไปสทู่ ีต่ ่้า แรงดนั ของน้าใต้ดนิ จงึ มักท้าใหเ้ กิด “น้าพุ” (Spring) ในบรเิ วณท่ีราบต่้า ดงั รปู ท่ี 3.15 รูปท่ี 3.15 ภาคตดั ขวางของแหล่งนา้ ใตด้ นิ ที่มา : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere อย่างไรก็ตามน้าบาดาลท้าให้เกิดแรงดันภายใต้พืนผิว ซ่ึงช่วยรับน้าหนักท่ีกดทับจาก ด้านบน แต่ถ้าหากเราสูบน้าบาดาลขึนมาใช้เป็นปริมาณมาก เกินกว่าที่น้าจากธรรมชาติจะไหลมา แทนที่ช่องว่างระหว่างอนุภาคตะกอนของชันหินอุ้มน้าได้ทัน ก็จะส่งผลให้ระดับน้าใต้ดินลดลงอย่าง รวดเรว็ โพรงทวี่ ่างท่ีเกิดขึนจะท้าให้แผ่นดินทีอ่ ยดู่ ้านบนทรุดตวั ลงมากลายเปน็ หลุมยุบ (Sinkhole) ซ่งึ ถา้ เกิดขนึ ในเขตชุมชน ก็จะสรา้ งความเสยี หายแกส่ ง่ิ ปลกู สรา้ ง และเกิดอันตรายต่อชวี ติ โดย นายรมยร์ วินท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ 21
ชุดที่ 3 การเปล่ยี นแปลงทางอทุ กภาค นา้ ทะเล น้าทะเลมีรสเค็ม เนื่องจากมีเกลือซ่ึงประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ ปะปนอยู่ในรูปของ สารละลาย ในนา้ ทะเล 1 ลิตร (1,000 กรัม) มีเกลืออยู่ 35 กรัม ในบริเวณท่ีน้าทะเลอุณหภูมิสงู เช่น ใจกลางมหาสมุทรบริเวณเส้นศูนย์สูตร แสงแดดมีความเข้มสงู ท้าให้น้าในมหาสมุทรระเหยเป็นไอน้า ทิงแร่ธาตุที่ตกค้างไว้ในทะเล น้าทะเลจึงมีความเค็มมาก แต่ในที่หนาวเย็นที่บริเวณขัวโลก แสงแดด ตกกระท้าพนื ผิวโลกเปน็ มุมเฉียง พลังงานที่ตกกระทบนอ้ ย ปริมาณการระเหยของน้าทะเลย่อมน้อย ตามไปด้วยจึงมีความเค็มไม่มาก ในบริเวณใกล้ปากแม่นา้ มีความเค็มไม่มากเน่ืองจากอิทธิพลของน้า จืดจากแม่น้าลา้ คลองท้าใหน้ า้ ทะเลเจอื จาง เกลือในมหาสมุทรมีก้าเนิดมาจากแร่ธาตุบนพืนโลก น้าเป็นตัวท้าละลายท่ีดี น้าฝนละลาย แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศท้าให้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ น้าที่อยู่บนพืนโลกละลายแร่ธาตุในหิน และดิน ไหลรวมกันเป็นแม่น้าล้าธารไปสะสมกันในมหาสมุทร สารละลายเกลือเหล่านีอยู่เป็นประจุ ของแร่ธาตุที่ส้าคัญ ได้แก่ ประจุโซเดียม (Na+) และประจุคลอไรด์ (Cl-) เม่ือน้าระเหยออกไปประจุ เหลา่ นรี วมตวั กันเปน็ สารประกอบ ไดแ้ ก่ เกลอื แกง (NaCl) และเกลืออ่ืนๆ ดงั ตารางที่ 3.3 ตารางที่ 3.3 ประจเุ กลอื ในน้าทะเล คลอไรด์ (Cl-) 54.3% แมกนเี ซยี ม (Mg++) 3.7% โซเดียม (Na+) 30.2% แคลเซียม (Ca++) 1.2% ซลั เฟต (SO4++) 7.6% โปแตสเซยี ม (K+) 1.1% ประจุอ่ืนๆ 1.9% มวลนา้ ในมหาสมทุ ร มี 3 ระดับ คือ น้าชนั บน เทอร์โมไคลน์ และนา้ ชนั ลา่ ง นา้ ชั้นบน (Surface water) ได้รบั อทิ ธิพลจากแสงอาทิตย์และบรรยากาศ จึงมนี า้ ฝนและ น้าทา่ (นา้ จากแมน่ ้าลา้ คลอง) ปนอยู่ จงึ มคี วามความหนาแน่นต้่ากวา่ น้าชนั ล่าง เทอร์โมไคลน์ (Thermocline) อยู่ใตร้ ะดับน้าชนั บน เปน็ เขตท่ีอุณหภมู ิของน้าทะเลลดลง อยา่ งรวดเรว็ ตามความลกึ ท่ีเพม่ิ ขึนดังรูปที่ 1 ความเค็มเพ่ิมขนึ ตามความลึก น้าชัน้ ลา่ ง (Deep water) มีอุณหภมู ติ า้่ ความเค็มและความหนาแนน่ สงู มาก น้าในบริเวณพืนผิวมหาสมุทร ได้รับอิทธิพลจากแสงอาทิตย์และบรรยากาศ จึงมีน้าฝน หรือน้าจากแม่น้าล้าคลองปนอยู่ จึงมีความเจือจางและมีความหนาแน่นต่้ากว่าน้าชันล่าง ซึ่งมีความ เค็มสูงและมีอุณหภูมิต่้ากว่า เมื่อดูกราฟในรูปท่ี 1 จะเห็นว่า ใต้ระดับผิวน้าลงไปอุณหภูมิลดต่้าลง อย่างรวดเร็วเรียกว่า “เทอร์โมไคลน์” (Thermocline) ใต้ระดับผิวน้าลงไปความเค็มเพิ่มขึนอย่าง รวดเร็วเรียกว่า \"แฮโลไคลน์\" (Halocline) อุณหภูมิและความเค็มคือปัจจัยที่ท้าให้น้าทะเลมีความ หนาแนน่ เพ่ิมขึนตามระดบั ความลึก โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 22
ชุดที่ 3 การเปล่ียนแปลงทางอุทกภาค รูปท่ี 3.16 เทอร์โมไคลนแ์ ละแฮโลไคลน์ ทม่ี า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere กระแสน้าในมหาสมทุ ร น้าเป็นของไหลเช่นเดียวกับอากาศ การไหลเวียนของกระแสน้าในมหาสมุทรจึงมีลักษณะ คล้ายกับการไหลเวียนของกระแสลมในบรรยากาศ แต่การไหลเวียนของกระแสน้ามีอุปสรรค ขวางกัน เนื่องจากหน่ึงในสามของพืนผิวโลกเป็นแผ่นดิน การไหลเวียนของน้าในมหาสมุทรจึงไม่ ปรากฏรูปแบบท่ีชัดเจนเหมือนดังกระแสลม ข้อแตกต่างอีกประการหน่ึงคือน้าทะเลในมหาสมุทรมี ความเค็มไม่เท่ากัน น้าทะเลท่ีเค็มมากกว่ามีความหนาแน่นสูงจะเคล่ือนไปแทนท่ีน้าทะเลที่มีความ หนาแน่นต่้า เราจึงแบ่งการไหลเวียนของน้าในมหาสมุทรเป็น 2 ประเภทคือ กระแสน้าบริเวณ พนื ผวิ (Surface currents) และกระแสนา้ ลกึ (Deep currents) การไหลเวยี นของกระแสนา้ พื้นผิวมหาสมุทร กระแสน้าพืนผิวมหาสมุทรเกิดขึนเน่ืองจากแรงเสียดทานระหว่างอากาศกับผิวน้า อากาศ เคลื่อนที่ด้วยการพาความร้อน (Convection cells) ซ่ึงสะสมพลังงานมาจากแสงอาทิตย์ พลังงาน จากอากาศถ่ายทอดลงสู่ผิวน้าอีกทีหน่ึง โดยกระแสลมพัดพาให้กระแสน้าเคล่ือนท่ีไปในทาง เดียวกัน รูปที่ 1 แสดงให้เห็นว่า ลมสินค้าตะวันออกบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร (ลูกศรสีน้าเงิน) มีอิทธิพลพัดพาให้น้าในมหาสมุทรเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก (ลูกศรสีแดง) และลมตะวันตกใน โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ 23
ชดุ ที่ 3 การเปลีย่ นแปลงทางอุทกภาค บริเวณใกล้ขัวโลก (ลูกศรสีน้าเงิน) มีอิทธิพลพัดพาให้น้าในมหาสมุทรเคลื่อนตัวไปทางทิศ ตะวันออก (ลูกศรสีน้าแดง) การไหลของน้าในมหาสมุทรเคล่ือนที่เป็นรูปวงเวียน ในทิศทางตามเข็ม นาฬกิ าในซีกโลกเหนือ และในทิศทางทวนเข็มนาฬกิ าในซีกโลกใต้ รปู ที่ 3.17 อิทธิพลของกระแสลมต่อกระแสนา้ ในมหาสมุทร ท่ีมา : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere โลกมีสัณฐานเป็นทรงกลมท้าให้น้าในมหาสมุทรมีอุณหภูมิแตกต่างกัน พลังงานจากดวง อาทติ ย์ตกกระทบบรเิ วณศนู ย์สูตรมากกวา่ ขัวโลก นา้ ทะเลบริเวณเส้นศนู ยส์ ตู รมอี ณุ หภูมสิ ูงจึงไหลไป ทางขัวโลก ในขณะที่น้าทะเลบริเวณขัวโลกมีอุณหภูมิต้่ากว่าไหลเข้ามาแทนท่ี (รปู ที่ 2) เน่ืองจากน้า มีคณุ สมบัติในการเก็บความร้อนได้ดีกว่าพืนดินกลา่ วคือ ใชเ้ วลาในการสะสมความร้อนและเย็นตัวลง นานกว่าพืนดิน ดังนันกระแสน้าพบพืนผิวมหาสมุทรจึงน้าพาพลังงานความร้อนไปด้วยเป็นระยะ ทางไกล ท้าใหเ้ กดิ ผลกระทบตอ่ ภมู ิอากาศและระบบนิเวศบนพืนที่ชายฝ่ังเป็นอย่างยิ่ง กระแสน้าอุ่น ท้าให้น้าระเหยเป็นไอน้าแล้วควบแน่นตกลงมาเป็นฝน อากาศชืน พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ กระแสน้า เย็นท้าให้อากาศแห้งจมตัวลง เกิดภูมิอากาศแบบทะเลทราย อย่างไรก็ตามอิทธิพลของกระแสลม สง่ ผลกระทบตอ่ กระแสน้าในมหาสมทุ รเพียงความลึก 1 กโิ ลเมตรเท่านัน น่ันหมายถึงการไหลเวียน ของกระแสนา้ ผิวพนื มอี ทิ ธิพลต่อนา้ ในมหาสมุทรเพียงประมาณร้อยละ 10 โดย นายรมย์รวินท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 24
ชุดท่ี 3 การเปลยี่ นแปลงทางอุทกภาค รปู ที่ 3.18 กระแสน้าพืน้ ผวิ มหาสมุทร ทม่ี า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere การไหลเวยี นของกระแสนา้ ลกึ ในมหาสมทุ ร นา้ ทะเลในแต่ละส่วนของโลกมคี วามเค็มไม่เท่ากันและมีความหนาแน่นไม่เทา่ กัน น้าทะเลที่ มคี วามหนาแน่นสูงจะไหลไปแทนที่น้าทะเลท่ีมีความหนาแน่นต้่า การหมุนเวียนของกระแสน้าลึกมี ปัจจัยท่ีส้าคัญ 2 ประการคือ ความร้อน (Thermo) และเกลือ (Haline) เราเรียกการไหลเวียนใน ลกั ษณะนีว่า \"เทอร์โมแฮลนี \" (Thermohaline) รูปท่ี 3.19 การไหลเวียนของนา้ ลกึ ในมหาสมุทร ทมี่ า : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere โดย นายรมย์รวินท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ 25
ชุดที่ 3 การเปล่ียนแปลงทางอุทกภาค วงจรการไหลเวียนของกระแสน้าลึกในมหาสมุทรมีช่ือเรียกว่า “แถบสายพานยักษ์” (Great conveyor belt) น้าทะเลความหนาแน่นสูงอุณหภูมิต้่าจมตัวลงสู่ท้องมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ไหลลึกลงทางใต้ แล้วเลียวไปทางตะวันออก ขณะที่มันไหลผ่านมหาสมุทรอินเดียอุณหภูมิจะ สูงขึน และลอยตวั ขึนทางตอนเหนอื ของมหาสมุทรแปซิฟกิ ดงั เส้นสีน้าเงนิ ในรปู ท่ี 3.17 น้าทะเลความหนาแน่นตา่้ อณุ หภมู ิสงู จากมหาสมุทรแปซฟิ ิก ไหลวกกลบั ผา่ นมหาสมทุ รอินเดยี ลงมาทางมหาสมทุ รแอตแลนติกใต้ แล้วไหลย้อนมาทางมหาสมุทรแอตแลนตกิ เหนือดังเสน้ ประสแี ดง ในรูปท่ี 3 กระแสน้ามีความเค็มมากขึนเนื่องจากการระเหยของน้า ประกอบกับการเดินทางเข้าใกล้ ขวั โลกท้าใหอ้ ุณหภมู ติ า่้ ลง จึงจมตวั ลงอกี ครังเปน็ การครบวงจรใชเ้ วลาประมาณ 500 – 2,000 ปี การ ไหลเวียนเช่นนีส่งผลกระทบต่อสรูปภูมิอากาศในระยะยาว อาทิเช่น ยุคน้าแข็งเล็ก ในยุโรปเม่ือ คริสต์ศตวรรษท่ี 17 อิทธิพลของการไหลเวียนแบบเทอร์โมแฮลีนมีอิทธิพลต่อน้าในมหาสมุทร ประมาณร้อยละ 90 3.2 ระบบนา้ จดื น้าจืดเป็นน้าที่เกิดจากการหมุนเวียนตามวัฏจักรของน้า มีเกลือโซเดียมและคลอไรด์เพียง เลก็ น้อยละลายอยูใ่ นนา้ ไม่เกนิ 0.5 สว่ น ในน้า 1,000 สว่ น ปรมิ าณนา้ จดื ในสว่ นตา่ ง ๆ ของโลกมอี ยู่ เกอื บร้อยละ 3 เท่านัน อยู่ตามแหล่งต่าง ๆ ดงั นี 1) น้าผิวดิน แหล่งน้าผิวดินเฉพาะท่ีเป็นน้าจืด ได้แก่ แม่น้า ล้าธาร ห้วย คลอง หนอง บึง ทะเลสาบ และอ่างเก็บน้า รวมทังพืนที่ชุ่มน้า น้าผิวดินมีเพียงร้อยละ 0.01 จากปริมาณน้าจืด ทังหมด แต่มีความส้าคัญมาก เน่ืองจากสามารถน้ามาใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือการ ด้ารงชีวติ ของมนษุ ย์ สัตว์ และพชื 2) น้าใต้ดิน เป็นน้าที่อยู่ตามแหล่งน้าใต้ดิน ทังบนบกและใต้พืนดินในทะเล เป็นน้าใน ธรณีภาคท่ีเกิดจากน้าจืดของวัฎจักรน้าไหลตามช่องว่างที่ต่อเนื่องกันใต้พืนดิน เช่น ช่องว่างของเม็ด กรวด ทราย โพรงดิน โพรงถ้า ตลอดจนถึงชันใต้ดนิ ที่มีน้าบรรจเต็มช่องว่างต่างๆ ในเขตอ่ิมน้า หรือ ระดับน้าใต้ดิน น้าใต้ดินมีประมาณร้อยละ 0.62 จากปริมาณน้าจืดทังหมด น้าใต้ดินบางส่วนจะไหล ซึมอยู่ในชันใต้ดินตามความลาดและเป็นส่วนส้าคัญในการช่วยรักษาระดับน้าในแม่น้าไม่ให้ลดระดับ ลงอย่างรวดเรว็ 3) ธารน้าแข็ง พบในทวีปแอนตาร์กติกา เกาะกรีนแลนด์ เกาะไอซ์แลนด์ ยอดเขาสูง และท่ีราบสูงท่มี ีหมิ ะปกคลมุ พนื ที่ในเวลายาวนาน เช่น ทิวเขาเซอเลน ในประเทศนอร์เวย์และสวีเดน ยอดเขามงบล็องของเทือกเขาแอลป์ ยอดเขาคีโบของเทือกเขาคิลิมันจาโร ในประเทศแทนซาเนีย ท่ี ราบสูงทิเบตและเทือกเขาเซาเทิร์นแอลป์ ในประเทศนิวซีแลนด์ จากปรมิ าณน้าจืดทังหมดเป็นนา้ จืด จากธารน้าแขง็ ประมาณร้อยละ 2.20 โดย นายรมยร์ วินท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 26
ชดุ ท่ี 3 การเปลยี่ นแปลงทางอทุ กภาค 4) ไอน้าและเมฆ เป็นส่วนของไอน้าท่ีเกิดจากการระเหยของน้าในวัฎจักรน้า แล้วลอย ขึนไปอยู่ในบรรยากาศชันโทรโพสเฟียร์ เป็นความชืนในอากาศ ละอองน้า บางส่วนรวมตัวกันเป็น กลุ่มก้อน ซึ่งจะกล่ันตัวเป็นน้าจืดได้อีก ซึ่งโดยรวมมีปริมาณร้อยละ 0.01 ของน้าจืดท่ีสะสมไว้ใน อากาศ 3.3 ระบบน้าเค็ม น้าเค็มเป็นน้าที่มีปริมาณมากที่สุดถึงร้อยละ 97 ของปริมาณน้าทังโลกและกระจายตาม แหล่งน้าตา่ ง ๆ ได้แก่ อา่ ว ทะเล และมหาสมุทร จึงเป็นแหล่งน้าในวัฎจกั รนา้ ทม่ี ีการระเหยเป็นไอน้า ในอากาศมากทีส่ ุดด้วย 1) ความเค็มและความหนาแนน่ ความเค็มของน้าทะเลเกิดจากการมีเกลือโซเดียมและ คลอไรดล์ ะลายอยู่ ในปรมิ าณเฉล่ีย 35 กรัมต่อนา้ 1,000 กรมั หรอื ร้อยละ 3.5 น้าทะเลแต่ละบรเิ วณ มคี วามเค็มแตกต่างกันตามอัตราการระเหยของน้า ปริมาณน้าฝน น้าจากแม่น้าหรือน้าแข็งท่ีละลาย ลงไป และอณุ หภมู ขิ องนา้ 2) กระแสน้าพืนผิวและการลอยตัวของมวลน้าในมหาสมุทร การไหลเวียนของกระแส น้าพืนผิวในมหาสมุทรมีความต่อเนื่องและสม่้าเสมอ เกิดจากความหนาแน่นและอุณหภูมิที่แตกต่าง กนั ของนา้ ทะเลในแตล่ ะแห่ง และลมประจา้ ของโลก 2.1) กระแสน้าพืนผิวในมหาสมุทร เป็นระบบหมุนเวียนของน้าพืนผิวในแนวนอน ประจ้าอยู่ในมหาสมุทรต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ การไหลของกระแสน้าพืนผิวเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดงั นี 1. การหมุนรอบตัวเองของโลก ท้าให้กระแสน้าพืนผิวบริเวณเส้นศูนย์สูตรไหลจากทิศ ตะวันออกไปทิศตะวันตก เม่ือถึงทวีปและแผ่นดิน กระแสน้าพืนผิวจะไหลเบนขวาในซีกโลกเหนือ และเบนซ้ายในซกี โลกใตต้ ามลกั ษณะรปู รา่ งของแผน่ ดนิ 2. ลมทพ่ี ดั ประจา้ ไดแ้ ก่ ㆍ ลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือและลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ ลมท่ีพัดประมาณละติจูด 30 - 5 องศาเหนือและใต้ ทา้ ใหก้ ระแสน้าแถบเส้นศนู ย์สูตรไหลจากทศิ ตะวนั ออกไปทิศตะวันตก ㆍลมตะวันตก เป็นลมที่พัดประมาณละติจูด 30 - 60 องศาเหนือและใต้พัดจากแนว ความกดอากาศสูงกึ่งเขตร้อนไปยังบริเวณแนวความกดอากาศตา้่ ก่ึงขัวโลกในซีกโลกเหนือ ลมจะพัด รนุ แรงมากในฤดูหนาว ส้าหรับซีกโลกใต้ลมจะพัดรุนแรงในฤดูร้อนและฤดูหนาวซ่ึงในสมัยโบราณใช้ ประโยชน์ในการเดินเรือจากตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางตะวันออกผ่านมหาสมุทร อนิ เดีย โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ 27
ชุดที่ 3 การเปล่ียนแปลงทางอทุ กภาค รปู ท่ี 3.20 แผนทแ่ี สดงน้าผวิ ดนิ บนโลก ท่ีมา : หนงั สือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ภมู ิศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 – 6 บริษทั อักษรเจริญทศั น์ อจท. จากดั (หนา้ 56) โดย นายรมยร์ วินท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ 28
ชดุ ท่ี 3 การเปลยี่ นแปลงทางอุทกภาค รปู ท่ี 3.21 แผนทแี่ สดงกระแสนา้ ในมหาสมทุ ร ท่ีมา : หนงั สือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐานสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ภมู ศิ าสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 – 6 บริษัทอักษรเจริญทศั น์ อจท. จากัด (หนา้ 58) โดย นายรมยร์ วินท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ 29
ชดุ ที่ 3 การเปลี่ยนแปลงทางอุทกภาค บัตรกิจกรรมท่ี 3.1 เร่ือง การเปลยี่ นแปลงทางอุทกภาค คาชีแ้ จง ให้นกั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนใ้ี ห้ถูกต้อง 1. สืบคน้ ข้อมูลปรากฏการณ์เปลย่ี นแปลงทางดา้ นอุทกภาค ในประเดน็ ต่อไปนี 1.1 สาเหตุและปจั จยั การเปล่ียนแปลง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. 1.2 ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. 1.3 ผลกระทบต่อมนษุ ย์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. โดย นายรมย์รวินท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 30
ชดุ ที่ 3 การเปลีย่ นแปลงทางอุทกภาค 2. จงอธิบายเกี่ยวกับระบบนา้ จืด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ 31
ชุดท่ี 3 การเปล่ียนแปลงทางอุทกภาค 3. จงอธบิ ายเกีย่ วกบั ระบบน้าเค็ม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. โดย นายรมย์รวินท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ 32
ชุดที่ 3 การเปลยี่ นแปลงทางอุทกภาค บัตรกิจกรรมที่ 3.2 เรือ่ ง วฏั จกั รของน้า คาชีแ้ จง ให้นักเรยี นเขียนแผนภาพขนาดโป๊สเตอร์วฏั จักรของน้า แลว้ นามาตดิ บนป้ายนเิ ทศ หน้าชัน้ เรยี น ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. โดย นายรมย์รวินท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ 33
ชดุ ที่ 3 การเปล่ียนแปลงทางอทุ กภาค บตั รกิจกรรมที่ 3.3 แผนผังมโนทัศน์ เร่ือง การเปลยี่ นแปลงทางอทุ กภาค คาช้ีแจง ให้นักเรยี นสรุปความร้ทู ่ีเกี่ยวกับ “การเปลยี่ นแปลงทางอทุ กภาค” เปน็ แผนผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) ในกระดาษทีแ่ จกใหแ้ ล้วน้าเสนอผลงานหน้าชันเรียน โดย นายรมย์รวินท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 34
ชดุ ที่ 3 การเปลยี่ นแปลงทางอุทกภาค แบบทดสอบหลังเรยี น เรื่อง การเปลีย่ นแปลงทางอุทกภาค กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ฯ รายวิชาสงั คมศึกษา 5 (ภมู ศิ าสตร์) รหัสวชิ า ส33101 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 คาช้ีแจง 1. แบบทดสอบฉบบั นี จ้านวน 10 ข้อ คะแนนเต็ม 10 คะแนน เวลาทใ่ี ช้ 10 นาที 2. จงเลอื กคา้ ตอบทถ่ี กู ต้องทีส่ ดุ แล้วเขียนเครื่องหมาย ลงในกระดาษคา้ ตอบ 1. อุทกภาค หมายถึงอะไร ก. สว่ นที่เปน็ พืนดิน ข. ส่วนท่ีเปน็ พืนน้า ค. สว่ นทเี่ ป็นอากาศ ง. สว่ นท่เี ปน็ ส่ิงมชี วี ิต 2. ดาวเคราะหส์ นี า้ เงนิ หมายถงึ อะไร ก. พนื ท่ีทแ่ี ต่พายุ ข. พนื ทที่ ป่ี ระกอบไปด้วยแก๊ส ค. พนื ทท่ี ี่ประกอบไปด้วยพนื นา้ เปน็ ส่วนใหญ่ ง. พืนท่ีทปี่ ระกอบไปดว้ ยสิง่ มชี ีวิตเป็นสว่ นใหญ่ 3. จุดสิ้นสดุ ของแมน่ ้าจะมลี ักษณะแผข่ ยายออก เรยี กว่าอะไร ก. ดินดอนสามเหลย่ี ม ข. ชะวากทะเล ค. ไหล่ทะเล ง. สนั ดอน 4. รอ่ งลึกบาดาลทีล่ ึกท่สี ุดในโลก มีชอ่ื ว่าอะไร ก. ร่องลกึ บาดาลบาเรยี นา ข. รอ่ งลกึ บาดาลอิโวจิมา ค. รอ่ งลึกบาดาลแปซิฟิก ง. ร่องลกึ บาดาลโซโลมอน โดย นายรมยร์ วินท์ เชิดชู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 35
ชุดที่ 3 การเปลี่ยนแปลงทางอุทกภาค 5. ขอ้ ใดเป็นสาเหตุทท่ี าใหล้ ักษณะทางกายภาพของท้องทะเลเมืองดไู บ มกี ารเปลย่ี นแปลงไปจาก เดมิ ก. การทงิ ของเสียจากครัวเรือน ข. การขยายพืนทด่ี ้วยการถมทะเล ค. การจบั สัตวน์ า้ และเก็บปะการังมากเกนิ ไป ง. การร่ัวไหลของน้ามนั เชือเพลงิ จากเรือประมง 6. ขอ้ ใดเปน็ ลกั ษณะการเกดิ ปรากฏการณ์เอลนโี ญ ก. น้าในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกมีอุณหภูมิคงที่ ข. น้าในมหาสมุทรแปซิฟกิ ด้านตะวนั ตกมีอุณหภมู สิ ูงขึน ค. น้าในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวนั ออกมีอุณหภมู ิสูงขึน ง. น้าในมหาสมทุ รแปซิฟิกด้านตะวนั ออกมีอุณหภมู ิลดลง 7. ปัจจัยในข้อใดท่ีสาคัญท่ีสุดในการเกิดวฏั จักรของน้า ก. ลม ข. ปา่ ไม้ ค. ส่ิงมชี ีวิต ง. ความร้อน 8. หากใช้แหล่งน้าจดื ขอ้ ใดในปริมาณมาก จะมผี ลต่อการทรดุ ตัวหรอื ยุบตัวของแผ่นดิน ก. น้าบาดาล ข. นา้ ในดนิ ค. น้าผวิ ดิน ง. น้าในอา่ งเกบ็ นา้ 9. “ครู ิลแบงส”์ พบได้ในบริเวณใด ก. มหาสมทุ รอินเดีย ข. กลางมหาสมุทรแปซิฟกิ ค. ทางตะวันตกของประเทศญป่ี นุ่ ง. ทางตะวันออกของประเทศญปี่ ่นุ โดย นายรมยร์ วินท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 36
ชดุ ที่ 3 การเปล่ียนแปลงทางอทุ กภาค 10. เพราะเหตุใด การสรา้ งเขื่อนก้นั แม่น้าโขงของประเทศจนี จึงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของ แม่น้าโขงตอนล่าง ก. ทา้ ใหน้ ้าตืนเขนิ ข. ท้าใหม้ สี ารพษิ ในนา้ ค. ท้าให้ตลิ่งกนั นา้ พังทลาย ง. ทา้ ให้การขนึ ลงของนา้ ผิดปกติ โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 37
ชุดท่ี 3 การเปลีย่ นแปลงทางอทุ กภาค กระดาษคาตอบ แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน ชดุ ท่ี 3 การเปล่ียนแปลงทางอุทกภาค แบบทดสอบก่อนเรียน ง แบบทดสอบหลงั เรยี น ง ขอ้ ก ข ค ข้อ ก ข ค 1 1 2 2 3 3 4 4 5 5 6 6 7 7 8 8 9 9 10 10 คะแนนเต็ม 10 คะแนน คะแนนเตม็ 10 คะแนน ได้ ...................คะแนน ได้ ...................คะแนน โดย นายรมยร์ วินท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ 38
ชุดที่ 3 การเปลยี่ นแปลงทางอุทกภาค บรรณานุกรม กรมทรัพยากรธรณี. 2544. ธรณวี ิทยาประเทศไทยเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว เนอ่ื งในวโรกาสพระราชพธิ ีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542. (พมิ พค์ รงั ที่ 1). กรงุ เทพฯ : กองธรณวี ิทยากรมทรพั ยากรธรณี. กรมทรพั ยากรธรณี. 2550. ธรณีวทิ ยาประเทศไทย. (พมิ พ์ครังท่ี 2). กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พด์ อกเบยี . คณะกรรมการวิชาส่ิงแวดลอ้ ม เทคโนโลยแี ละชวี ติ ศูนยว์ ิชาบูรณาการ หมวดวิชาศึกษาท่ัวไป มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์, 2549. สิ่งแวดล้อมเทคโนโลยแี ละชวี ิต. กรงุ เทพมหานคร: มหาวทิ ยาเกษตรศาสตร์. ภาควชิ าปฐพวี ิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2548. ปฐพีวทิ ยาเบ้ืองตน้ . กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค้าแหง. 2535. ภูมิศาสตรเ์ ศรษฐกจิ . กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ชัชพล ทรงสนุ ทรวงศ.์ 2546. มนษุ ยก์ ับส่งิ แวดล้อม. กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ดาภา ไชยพรธรรม. 2537. สึนามิแผ่นดนิ ไหวภยั ใกลต้ ัว. กรงุ เทพมหานคร : ยโู รปา เพรส. เทพพรรณี เสตสบุ รรณ. (ม.ป.ป. ). ภัยพิบตั จิ ากธรรมชาติในเขตร้อน. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์. นวิ ตั ิ เรืองพานิช. 2528. การอนรุ ักษ์ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม. กรุงเทพมหานคร : เฉลมิ ชาญ การพมิ พ์. ประสทิ ธ์ิ ทีฆพฒุ แิ ละศุภฤกษ์ ตันศรรี ัตนวงศ.์ 2549. คู่มอื เตือนภัยพิบตั ทิ างธรรมชาติ. กรงุ เทพมหานคร : ดอกหญา้ กรุ๊ป. ระวิวรรณ ตังตรงขนั ต,ิ พรวิมล สวา่ งชม และภาณุภทั ร วงศ์วรปัญญา. 2564. แบบฝกึ สมรรถนะ การคิด เน้น Geo-Literacy ภมู ศิ าสตร์ ม.4-6. (พิมพ์ครงั ท่ี 1) กรุงเทพฯ : ไทยร่มเกล้า, บริษทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จ้ากดั ราชบณั ฑิตยสถาน. 2558. พจนานุกรมศพั ทธ์ รณีวทิ ยา A-M. (พมิ พ์ครังท่ี 2). กรุงเทพฯ : ส้านักพมิ พค์ ณะรัฐมนตรแี ละราชกิจจานเุ บกษา. ราชบณั ฑติ ยสถาน. 2558. พจนานกุ รมศพั ทธ์ รณวี ิทยา N-Z. (พมิ พค์ รงั ท่ี 2). กรงุ เทพฯ : สา้ นักพิมพค์ ณะรฐั มนตรีและราชกิจจานเุ บกษา. สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. 2551. หนงั สือเรยี นรายวิชาพืน้ ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ดวงดาวและโลกของเรา. (พิมพค์ รังท่ี 1). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2551. หนงั สอื เรยี นรายวิชาพืน้ ฐาน โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 39
ชดุ ท่ี 3 การเปล่ียนแปลงทางอุทกภาค โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ. (พิมพค์ รังที่ 8). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2554. หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเพ่มิ เตมิ โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ. (พิมพ์ครงั ที่ 1). กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. 2561. หนังสอื เรียนรายวิชาเพิ่มเติม โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เล่ม 1. (พิมพค์ รงั ท่ี 1). กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . อภสิ ทิ ธิ์ เอี่ยมหน่อ และคณะ. 2564. หนังสือเรยี นรายวิชาพื้นฐานสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ภมู ศิ าสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4-6. (พมิ พ์ครงั ที่ 8) กรงุ เทพฯ : ไทยรม่ เกลา้ , บรษิ ทั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จ้ากดั โดย นายรมยร์ วนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 40
ชดุ ที่ 3 การเปล่ียนแปลงทางอทุ กภาค โดย นายรมย์รวินท์ เชดิ ชู ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 41
ชดุ ที่ 3 การเปลี่ยนแปลงทางอุทกภาค เฉลยบัตรกจิ กรรมที่ 3.1 เรือ่ ง การเปล่ยี นแปลงทางอุทกภาค คาชีแ้ จง ให้นกั เรยี นตอบคาถามต่อไปนี้ใหถ้ กู ต้อง 1. สืบคน้ ข้อมลู ปรากฏการณ์เปล่ียนแปลงทางดา้ นอทุ กภาค ในประเดน็ ต่อไปนี 1.1 สาเหตแุ ละปจั จัยการเปล่ียนแปลง …แ…น…ว…คา…ต…อ…บ…………………………………………………………………………………………………………………………. ………………1)…เ…ก…ิดจ…า…ก…คว…า…ม…แต…ก…ต…า่ …งข…อ…งร…ะ…ด…ับน…า้…ท…ะ…เล…………………………………………………………………. ………………2)…เ…ก…ดิ จ…า…ก…คว…า…ม…หน…า…แ…น…่น…แล…ะ…อ…ุณ…ห…ภ…ูมทิ…แี่…ต…ก…ต…่าง…ก…นั …ขอ…ง…ท…ะเ…ล…ใน…แ…ต…ล่ ะ…แ…ห…่ง……………………. ………………3)…เ…ก…ดิ จ…า…ก…แร…ง…ผล…ัก…ข…อ…งล…ม…ป…ระ…จ…า้ …ฤด…แู …ล…ะ…ลม…ป…ร…ะ…จา้ …ถ…่นิ …ท่ีก…ร…ะ…ท…า้ ต…่อ…ผ…วิ ห…น…้า…น…้า…………………. ………………4)…เ…ก…ดิ จ…า…ก…กา…ร…ล…ดร…ะ…ด…บั แ…ล…ะ…ก…าร…เพ…่มิ …ร…ะ…ดบั…น…้า…ท…ะเ…ล…จา…ก…ป…รา…ก…ฏ…ก…าร…ณ…น์ …า้ …ขนึ…-…น…า้ ล…ง……………. 1.2 ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม …แ…น…วค…า…ต…อ…บ…………………………………………………………………………………………………………………………. ………………กา…ร…เป…ล…่ีย…น…แป…ล…ง…ส…ภ…าพ…ภ…ูม…ิอ…า…กา…ศ…ส…่งผ…ล…ก…ร…ะท…บ…โ…ดย…ต…ร…งต…่อ…ค…ุณ…ภ…า…พ…ขอ…ง…แ…ห…ล่…งน…้า…โ…ด…ย…กา…ร. …เป…ล…ี่ย…น…แ…ป…ล…งท…ี่เ…ห…็น…ได…้ช…ัด…เจ…น…ค…ือ…ก…า…รเ…ป…ล…่ียน…แ…ป…ล…ง…ท…ังท…า…ง…ด…้าน…ก…า…ย…ภ…า…พ…แล…ะ…เ…คม…ี …อ…าท…ิเ…ช…่น…ก…า…ร. …เป…ล…่ีย…น…แ…ป…ล…งข…อ…ง…อ…ุณ…ห…ภ…ูม…ิ ค…ว…า…ม…เป…็น…ก…ร…ด…ด…่าง……อ…ัต…รา…ก…า…รร…ะ…เห…ย…ข…อ…ง…น…้า…แ…ล…ะ…ป…ริม…า…ณ…ต…ะ…ก…อ…น. …แ…ขว…น…ล…อ…ย…ก…าร…ผ…ัน…แป…ร…ข…อ…งอ…ุณ…ห…ภ…ูม…ิใน…ช…นั …บ…รร…ย…า…กา…ศ…ย…งั ส…่ง…ผ…ลใ…ห…้ป…ริม…า…ณ…น…า้ ใ…น…แ…ม…น่ ้า…ล…ด…ลง……กา…ร…รุก…ล…้า. …ข…อง…น…้า…ท…ะเ…ล…มา…ก…ข…ึน…แ…ล…ะ…ยัง…ส…่งผ…ล…ใ…ห…้ค่า…ค…ว…าม…เ…ข้ม…ข…้น…ข…อ…งอ…ิอ…อ…น…ใน…แ…ห…ล…่งน…้า…เพ…ิ่ม…ส…ูงข…ึน……เช…่น…โ…ซ…เด…ีย…ม. …โพ…แ…ท…ส…เซ…ีย…ม…แ…ค…ล…เซ…ีย…ม…แ…ม…ก…นีเ…ซ…ียม……ค…ลอ…ไ…รด…์ …ซ…ัลเ…ฟ…ต…ไ…บค…า…ร…์บ…อเ…น…ต…แ…ล…ะโ…บ…รไ…ม…ด…์ แ…ล…ะ…กา…ร…เพ…ิ่ม…ข…ึน. …ข…อง…อ…ิอ…อ…นด…ัง…ก…ล่า…ว…ย…ังส…่ง…ผ…ลใ…ห…้แ…ห…ล่ง…น…้า…ธร…ร…มช…า…ต…ิม…ีค่า…ก…า…รน…้า…ไฟ…ฟ…้า…(…E…C…) แ…ล…ะ…ค…่าค…ว…าม…เ…ป…็น…ด่า…ง…(…pH…). …เพ…มิ่ …ส…ูงข…ึน…อ…กี …ด…้วย……………………………………………………………………………………………………………………. 1.3 ผลกระทบต่อมนษุ ย์ …แ…น…วค…า…ต…อ…บ…………………………………………………………………………………………………………………………. ………………ปัจ…จ…ุบ…ัน…น…้า…ผิว…ด…ิน…ม…ีแ…นว…โ…น…้ม…ลด…ล…ง…ท…ังท…า…ง…ด้า…น…ป…ร…ิมา…ณ…แ…ล…ะ…ค…ุณ…ภ…าพ……จ…าก…ส…า…เห…ต…ุต…่าง…ๆ…เ…ช…่น. …ป…ริม…า…ณ…น…้า…ฝ…นเ…ฉ…ลี่ย…ร…า…ยป…ีล…ด…ล…ง…จ…าก…อ…ุณ…ห…ภ…ูม…ิข…อ…งโ…ล…กท…ี่ส…ูง…ข…ึนแ…ล…ะ…ค…วา…ม…ช…ืน…ใน…บ…ร…รย…า…ก…าศ…ล…ด…ล…งจ…า…ก. …ก…ิจ…กร…ร…ม…ต…่าง…ๆ…ข…อ…งม…น…ุษ…ย…์ แ…ล…ะ…พ…า…ยุห…ม…ุน…เ…ข…ตร…้อ…น…ท…่ีเค…ล…ื่อ…น…ท…ี่ผ…่า…นบ…ร…ิเ…วณ……ป…ระ…เ…ทศ…ไ…ท…ย…ล…ดน…้อ…ย…ล…ง. …แ…ต่ป…ร…ะ…ช…าก…ร…ก…ลับ…ม…ีค…ว…าม…ต…้อ…ง…กา…ร…ใช…้น…้า…เพ…่ิม…ม…าก…ข…ึน…ท…้า…ให…้ป…ร…ะ…ชา…ช…น…ต…้อง…ก…ล…ับ…มา…ข…า…ดแ…ค…ล…น…น…้า …ส่ง…ผ…ล. …ก…ระ…ท…บ…ต…่อก…า…ร…เพ…า…ะป…ล…กู …พ…ืช……………………………………………………………………………………………………. โดย นายรมย์รวนิ ท์ เชดิ ชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ 42
ชุดท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงทางอุทกภาค 2. จงอธิบายเก่ยี วกับระบบนา้ จดื …แน…ว…ค…า…ต…อบ……………………………………………………………………………………………………………………………. ……………น…้า…จ…ืด…เป…็น…น…้าท…ี่เ…กิด…จ…า…ก…กา…ร…ห…มุ…นเ…ว…ียน…ต…า…ม…วัฏ…จ…ัก…รข…อ…ง…น…้า …ม…ีเก…ล…ือโ…ซ…เด…ีย…ม…แ…ละ…ค…ล…อ…ไร…ด…์เพ…ีย…ง. …เล…็ก…น…้อย…ล…ะ…ล…าย…อ…ย…ู่ใน…น…้า…ไม…่เก…ิน……0.…5…ส…่ว…น…ใน…น…้า…1…,0…0…0…ส…่ว…น…ป…ร…ิมา…ณ…น…้า…จ…ืดใ…น…ส…่วน…ต…่า…ง…ๆ…ข…อ…งโ…ล…ก…มี. …อย…ู่เ…กือ…บ…ร…้อ…ยล…ะ…3……เท…่า…นัน……อ…ยตู่…า…ม…แห…ล…ง่ …ต…า่ ง…ๆ……ดัง…น…ี …………………………………………………………………. ……………………1…) …นา้…ผ…ิว…ดิน……แ…ห…ลง่…น…้าผ…ิว…ด…นิ …เฉ…พ…าะ…ท…่ีเ…ปน็…น…้า…จ…ืด…ได…แ้ …ก…่ แ…ม…่น…้า…ล…้าธ…า…ร…ห…้ว…ย …ค…ลอ…ง…ห…น…อ…ง. …บ…ึง …ท…ะเ…ล…สา…บ…แ…ล…ะ…อ…่าง…เก…็บ…น…้า…ร…ว…ม…ทัง…พ…ืน…ท…ี่ช…ุ่ม…น้า……น้…าผ…ิว…ด…ินม…ีเ…พ…ีย…งร…้อ…ย…ละ……0.…01……จ…าก…ป…ร…ิม…าณ…น…้า…จ…ืด. …ท…ังห…ม…ด…แ…ต…่ม…ีค…ว…าม…ส…้า…ค…ัญ…ม…าก……เน…ื่อ…ง…จ…าก…ส…า…ม…าร…ถ…น…้า…มา…ใ…ช…้ป…ระ…โ…ยช…น…์ใ…น…ก…ิจก…ร…ร…ม…ต่…าง…ๆ……เพ…ื่อ…ก…า…ร. …ด้า…ร…งช…วี …ิต…ขอ…ง…ม…น…ุษ…ย์…ส…ัตว…์ …แล…ะ…พ…ืช……………………………………………………………………………………………. ……………………2…) …น้า…ใ…ต้ด…ิน……เป…็น…น…้าท…่ีอ…ย…ู่ต…าม…แ…ห…ล…่งน…้า…ใต…้ด…ิน…ท…ัง…บ…น…บ…กแ…ล…ะ…ใต…้พ…ืน…ด…ิน…ใน…ท…ะ…เล…เ…ป…็น…น้า…ใ…น. …ธร…ณ…ภี …า…ค…ที่เ…ก…ดิ จ…า…ก…น…า้ จ…ืด…ข…อง…ว…ัฎ…จัก…ร…น…้าไ…ห…ล…ตา…ม…ช…่อ…งว…า่ …งท…ตี่ …่อ…เน…อื่ …งก…ัน…ใ…ตพ้…ืน…ด…ิน…เ…ช…น่ …ช…อ่ …งว…่า…งข…อ…งเ…ม…็ด. …กร…ว…ด…ท…ร…าย……โพ…ร…งด…นิ …โ…พ…ร…งถ…า้ …ต…ล…อ…ดจ…น…ถ…ึงช…ัน…ใ…ต้ด…นิ …ท…่ีม…นี …้าบ…ร…ร…จเ…ต…็มช…่อ…ง…วา่…ง…ตา่…ง…ๆ…ใ…นเ…ข…ตอ…ิม่ …น…้า…ห…ร…ือ. …ระ…ด…ับ…น…า้ ใ…ต…้ดิน……น…้าใ…ต…้ดิน…ม…ีป…ร…ะ…มา…ณ…ร…้อ…ยล…ะ…0….…62……จา…ก…ป…ริม…า…ณ…น…้า…จดื …ท…ัง…หม…ด……นา้…ใ…ตด้…ิน…บ…า…งส…่ว…น…จ…ะไ…ห…ล. …ซมึ…อ…ย…ู่ใน…ช…ัน…ใต…ด้ …ิน…ต…าม…ค…ว…าม…ล…า…ด…แล…ะ…เป…็น…ส…่ว…นส…้า…ค…ัญ…ใน…ก…า…รช…่ว…ย…รกั…ษ…า…ระ…ด…ับ…น…า้ ใ…น…แ…มน่…้า…ไม…ใ่ …ห…ล้ …ดร…ะ…ด…ับ. …ลง…อ…ย…า่ ง…ร…วด…เ…ร็ว………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………3…) …ธา…ร…น…้าแ…ข…็ง…พ…บ…ใน…ท…ว…ีป…แ…อน…ต…า…ร์ก…ต…ิก…า…เ…กา…ะ…ก…รีน…แ…ล…น…ด์…เก…า…ะ…ไอ…ซ…์แ…ลน…ด…์ …ยอ…ด…เ…ขา…ส…ูง. …แล…ะ…ท…ี่ร…าบ…ส…ูง…ท…่ีม…ีห…ิม…ะป…ก…ค…ล…ุม…พ…ืน…ที่ใ…น…เว…ล…า…ยา…ว…น…า…น…เช…่น……ท…ิวเ…ข…าเ…ซ…อ…เล…น…ใ…น…ป…ระ…เ…ท…ศน…อ…ร…์เว…ย…์แ…ล…ะ. …สว…ีเ…ด…น…ย…อ…ด…เข…า…มง…บ…ล…็อ…งข…อ…ง…เท…ือ…ก…เข…า…แ…อ…ลป…์…ย…อ…ดเ…ข…าค…ีโ…บ…ข…อ…งเ…ท…ือก…เ…ข…าค…ิล…ิม…ัน…จ…าโ…ร…ใ…น…ป…ระ…เ…ท…ศ. …แท…น…ซ…า…เน…ีย…ท…่ีร…า…บ…สูง…ท…ิเบ…ต…แ…ล…ะ…เท…ือ…ก…เข…า…เซ…าเ…ท…ิร์…นแ…อ…ล…ป…์ ใ…น…ป…ระ…เ…ทศ…น…ิว…ซ…ีแ…ลน…ด…์ …จา…ก…ป…ริม…า…ณ…น…้า…จ…ืด. …ท…งั ห…ม…ด…เป…น็ …น…้าจ…ดื …จ…าก…ธ…า…รน…า้ …แ…ขง็…ป…ร…ะม…า…ณ…ร…อ้ ย…ล…ะ…2….2…0………………………………………………………………. ……………………4…) …ไอ…น…า้ แ…ล…ะ…เม…ฆ…เ…ป…น็ …ส่ว…น…ข…อ…งไ…อน…้า…ท…่ีเก…ดิ …จ…าก…ก…า…รร…ะ…เห…ย…ข…อง…น…้า…ใน…ว…ัฎ…จัก…ร…น…า้ …แ…ล้ว…ล…อ…ย. …ขึน…ไ…ป…อ…ยู่ใ…น…บ…รร…ย…า…กา…ศ…ช…ัน…โท…ร…โพ…ส…เฟ…ีย…ร…์ เ…ป…็น…คว…า…ม…ชืน…ใ…น…อ…าก…า…ศ…ล…ะ…ออ…ง…น…้า…บ…า…งส…่ว…น…รว…ม…ต…ัวก…ัน…เ…ป็น…. …กล…ุ่ม…ก…้อ…น…ซ…่ึง…จะ…ก…ล…่ัน…ต…ัวเ…ป…็น…น…้าจ…ืด…ได…้อ…ีก…ซ…่ึง…โด…ย…ร…วม…ม…ีป…ร…ิม…าณ……ร้อ…ย…ล…ะ…0….0…1…ข…อ…งน…้า…จ…ืด…ที่…สะ…ส…ม…ไว…้ใ…น. …อา…ก…า…ศ…………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. โดย นายรมยร์ วินท์ เชิดชู ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ 43
Search