ทกั ษะชีวติ เพื่อความเป็ นมนษุ ย์ท่สี มบรู ณ์ บทท่ี 1 แนวคดิ ทฤษฎีเก่ียวกับการเข้าใจตนเอง รุ่งโรจน์ ตรงสกลุตอนท่ี 1.1 การเข้าใจและรู้จักตนเอง มนษุ ย์มีเหตผุ ลหรือสติปัญญาท่ีสรรค์สร้างของแตล่ ะบคุ คล แตล่ ะหมพู่ วกมีความแตกตา่ งกนัในรูปลกั ษณ์ ความคดิ จินตนาการ รูปแบบการพฒั นา การจดั องค์กร แตล่ ะหนว่ ยย่อยเป็ นของแตล่ ะบคุ คล เรียกวา่ ตนหรือตวั ตน หรือรูป ตวั ตน ประกอบด้วยกลมุ่ (ขนั ธ์) ท่ีเป็ นรูปและกล่มุ ท่ีเป็ นความรู้สึก จดจํา ปรุงแตง่ และความรู้ความเข้าใจที่เป็นนาม มีสถานภาพ และมีบทบาทประกอบกนั เข้า ทําให้เกิดสิ่งมีชีวิต มีความรู้สกึ นกึ คดิมีการจํา การรับรู้ตอนท่ี 1.2 ความหมายของการเข้าใจตนเอง ความสามารถในการเข้าใจตนเองในทางจิตวิทยา หรือการตระหนกั รู้ในตนเอง (Self-awareness)คือ ความสามารถในการรับรู้เกี่ยวกับตนเองทงั้ ในด้านความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม ตลอดจนรู้จกั จดุ เดน่ จดุ ด้อยของตนเอง ทกั ษะความสามารถ บคุ ลกิ ภาพ และคา่ นยิ ม ความสามารถในการรับรู้ถงึ ความคดิ ความรู้สกึ พฤตกิ รรมของตนเอง ประกอบด้วยองค์ประกอบ3 ด้าน ได้แก่ การรู้อารมณ์ตนเอง การประเมนิ ตนเองได้ตามความเป็นจริง ความมนั่ ใจในตนเองตอนท่ี 1.3 ความสาํ คัญของการรู้จกั ตนเอง การรู้จกั ตนเองมีความสําคญั ตอ่ การกระทํา การประพฤติ และการแสดงออก ผ้รู ู้จกั ตนเองดพี อ จะดํารงตนอยา่ งพอเหมาะพอควร ก่อนท่ีจะทําอะไรอ่ืนๆ บคุ คลควรท่ีจะรู้จกั ตนเองก่อน และคนท่ีจะรู้จกั ตนเองได้ดี ก็คอื บคุ คล นนั่ นนั้ เอง ดงั คาํ กล่าวที่ว่า ไมม่ ีใครรู้จกั ตวั เราเองได้ดีเทา่ กบั ตวัเราเอง
ทกั ษะชีวติ เพอ่ื ความเป็นมนษุ ย์ทส่ี มบรู ณ์ บคุ คลแรกที่มองเหน็ คณุ คา่ และความสําคญั ของการรู้จกั ตนเอง คือ โสเครติส โดยกลา่ วไว้วา่ จงรู้จกั ตนเอง และวา่ ชีวติ ที่ไมร่ ู้จกั ตนเองเป็ นชีวิตท่ีไม่มีคา่ ชีวิตของบคุ คลจะเป็ นชีวิตที่มีคณุ คา่หรือไม่นนั้ อยทู่ ่ีการท่ีบุคคลนนั้ รู้จกั หรือสํารวจตนเอง หรือตระหนกั รู้ว่า ชีวิตคืออะไร กําลงั ทําอะไรอยแู่ ละมีชีวิตอยเู่ พ่ืออะไรตอนท่ี 1.4 ปัจจยั ส่งเสริมให้รู้จกั ตนเอง ปัจจยั ท่ีส่งเสริมให้รู้จักตนเองนัน้ มีหลายปัจจยั ได้แก่ อัตมโนทัศน์ ฐานะทางเศรษฐกิจความสามารถแห่งสมองและบคุ ลิกภาพ ความรู้ ความสามารถทว่ั ๆ ไป และความสามารถพิเศษความสนใจและนิสยั สขุ ภาพและศกั ยภาพ เร่ือง 1.4.1 อัตมโนทศั น์ (Self - concept) อตั มโนทศั น์แยกออกเป็ น อตั ตะ (ตวั ตน) มโน (จิต, ความคิด) ทศั นะ (ความคดิ เห็น)เมื่อรวมกนั ก็หมายถึง ความคิดเห็นเก่ียวกบั ตวั ตน มาร์กสั (Markus) ได้แยกแยะการมองเห็นตนเองเป็น 2 ลกั ษณะคือ 1. การมีจนิ ตนาการเดียวกบั ตนเอง (Self-Image) บคุ คลจะมีความคิดเก่ียวกบั ตนในด้านดี หรือด้านเลว โดยอาศยั ประสบการณ์ท่ีตนได้พบเหน็ ก่อน จินตนาการที่บคุ คลสร้างขนึ ้ มานนั้จะสร้างจากทางร่างกายก่อนแล้วมาเป็นทางด้านสตปิ ัญญา จิตใจ และสงั คม เป็ นลําดบั มา 2. การมองเหน็ คณุ คา่ ของตนเอง (Self-Esteem) การมองเหน็ คณุ คา่ ในตวั เองวา่มนษุ ย์เป็นสตั ว์ประเสริฐ สามารถเรียนรู้ได้ สามารถคดิ สามารถทํา สามารถจดั การกบั ปัญหาตา่ งๆ ได้เป็ นต้น ผ้ทู ี่คิดได้ดงั กลา่ วจะทําให้เกิดความเช่ือมนั่ ในตนเอง และจะทําให้ประสบความสําเร็จในชีวิตทงั้ ในการดาํ รงชีวิตอยู่ และในการทํางาน เร่ือง 1.4.2 ลักษณะของตนท่มี องเหน็ คุณค่าของตนเอง 1) พดู ทํา คิด เชิงบวก 2) รู้จกั ตนเองและผ้อู ื่นเชิงบวก 3) มีสมั พนั ธภาพท่ีดกี บั บคุ คลอ่ืน 4) มีความเชื่อมนั่ ในตนเองเพิม่ ขนึ ้2
ทกั ษะชีวติ เพอื่ ความเป็ นมนษุ ย์ที่สมบรู ณ์ 5) มีความสมั ฤทธ์ิสงู เร่ือง 1.4.3 ควรรู้จักตนเองในด้านใดบ้าง เราควรจะมีความเข้าใจและรู้จกั ในตนเองในด้านตา่ งๆ ดงั นี ้ฐานะทางเศรษฐกิจความสามารถแห่งสมองและบคุ ลิกภาพ ความรู้ ความสามารถทวั่ ๆ ไป และความสามารถพิเศษความสนใจและนสิ ยั สขุ ภาพกายและศกั ยภาพทางกายตอนท่ี 1.5 รูปแบบของการรู้จกั ตนเอง นกั จิตวทิ ยาได้เสนอแนวคิดหลกั ในการทําความรู้จกั หรือเข้าใจตนเอง การรับรู้รูปแบบของตนไว้ดงั นี ้ แนวคิดของโรเจอร์ส เชื่อว่าตนเป็ นบอ่ เกิดของการรับรู้ที่บุคคลมีต่อตนเอง ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผ้รู ู้หรือผ้ถู กู รับรู้ ถ้าบคุ คลใดมีตน ทงั้ 3 แบบสอดคล้องกนั คือ มีตนตามความจริง (Real Self)ตนตามท่ีรับรู้ (Perceived Self) และตนเองตามอดุ มคติ (IdeaI SeIf) ก็จะไม่มีความสบั สนเกิดขึน้ในรับรู้ตนของตนเอง แตห่ ากแตล่ ะตน ไม่สอดคล้องกบั บคุ คลจะรู้สกึ สบั สนวนุ่ วาย รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจตนและไมเ่ ป็นตวั ของตวั เอง หากเป็นในระดบั สงู ก็จะพฒั นาไปส่กู ารเป็ นโรคประสาทและโรคจติ ได้ แนวคดิ ของโบลล์ และ ดาเวน พอร์ท (BoIes and Davenport) ได้กลา่ ววา่ บคุ คลจะรับรู้ตนในรูปแบบตา่ ง ๆ ดงั นี ้พบวา่ รูปแบบตวั ตนท่ีคาดหวงั (SeIf-expectation) ตวั ตนตามที่มองเห็น (SeIf-perception) และตวั ตนตามจริง (ReaI-seIf) มีผลเกี่ยวข้องกบั การทํางานในหน้าท่ี รูปแบบตวั ตนตามจริง (ReaI-seIf) ตวั ตนท่ีผ้อู ื่นคาดหวงั (Other-expectation) และตวั ตนตามที่ผู้อื่นรับรู้ (Other-perception) มีผลเก่ียวข้องกับความเป็ นคนดีในสายตาของสงั คม รูปแบบตวั ตนที่ผู้อ่ืนคาดหวงั(Other-expectation) และตวั ตนตามท่ีผ้อู ื่นรับรู้ (Other-perception) มีผลต่อการสร้ างความเชื่อถือและการยอมรับตอนท่ี 1.6 การรู้จกั ตนในบริบทของส่ิงแวดล้อม เร่ืองท่ี 1.6.1 แนวคดิ ของโจเซฟ สุฟท์ และ แฮร่ี อิงแฮม 3
ทกั ษะชีวิตเพ่อื ความเป็นมนษุ ย์ที่สมบรู ณ์ โจเซฟ สฟุ ท์ และ แฮร่ี อิงแฮม (Josept Luft and Harry Ingham) ได้เสนอรูปแบบของการตระหนกั ถึงตนของบุคคลในสถานการณ์ที่แสดงพฤติกรรมติดตอ่ กบั บคุ คลอ่ืนโดยพฒั นาขึน้เป็นทฤษฏีเรียกวา่ ทฤษฏีหน้าตา่ งใจอารี (Johari window) ซง่ึ แบง่ ตนออกเป็น 4 สว่ นตวั เองรู้ ตวั เองไมร่ ู้ตวั เองและคนอ่ืนรู้ ตวั เองไมร่ ู้แตค่ นอ่ืนรู้(บริเวณเปิดเผย : open area) (บริเวณจดุ บอด : bIind area ) 1 2ตนเองรู้ แต่ คนอื่นไมร่ ู้ ตวั เองไมร่ ู้ และคนอ่ืนก็ไมร่ ู้(บริเวณซอ่ นเร้น : hidden area) (บริเวณอวิชา : unknown area) 3 4 เร่ืองท่ี 1.6.2 ทฤษฏีการเช่ือมโยงความคดิ ทฤษฏีนีก้ ล่าวว่า บคุ คลมีความคิดเชื่อมโยงระหว่างการรับรู้ตนเอง และรับรู้ผ้อู ่ืนการแสดงออกของบคุ คลก็จะเป็ นไปตามความคดิ ท่ีตนเปรียบเทียบไว้ การเปรียบเทียบการแสดงออกในลกั ษณะตา่ งๆ เหล่านีท้ ําให้เกิดเป็ นเจตคติส่วนตนและแนวโน้มที่จะแสดงออกพฤติกรรมเมื่อมีโอกาสการเช่ือมโยงความคดิ ระหวา่ งเรากบั ผ้อู ่ืน เร่ืองท่ี 1.6.3 ทฤษฏีการวเิ คราะห์เช่ือมโยงสัมพนั ธ์ (Transactional Analysis = TA) การเชื่อมโยงสัมพันธ์นีม้ ีความสําคัญต่อการสร้ างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นๆเนื่องจากการแสดง “ลกั ษณะสภาวะ” ที่เหมาะสมและสอดคล้องกบั สภาวะลกั ษณะของบคุ คลอ่ืนๆ ก็จะทําให้การส่ือสารระหวา่ งกนั มีความราบร่ืน บคุ คลต้องพิจารณาตวั ตนของผ้อู ื่นที่แสดงออกด้วยการสะท้อนกลบั มาด้วย ดงั นนั้ การวิเคราะห์เช่ือมโยงสมั พนั ธ์จงึ ต้องคํานึงถึงบทของชีวิต (Life-state)จดุ ยืนแห่งชีวิต (Life-position) ลกั ษณะสภาวะเฉพาะกาล (Specific ego-state) และภาวะแฝง(Ulterior Transactional Analysis)4
ทกั ษะชีวติ เพอ่ื ความเป็ นมนษุ ย์ที่สมบรู ณ์ตอนท่ี 1.7 ความสาํ คัญของการเข้าใจในตนเอง การตระหนกั รู้ในตนเองหรือการเข้าใจในตนเอง มีความสําคญั ต่อการดํารงชีวิตของเราอยา่ งมาก เนื่องจากจะทําให้บคุ คลสามารถท่ีจะรับรู้ รู้จกั และเข้าใจตนเองมากขึน้ ซ่ึงอนั จะเป็ นผลนําไปส่กู ารแสดงออกและพฤติกรรมที่เหมาะสม เกิดการพฒั นาตนเองให้ดีขึน้ ในด้านต่างๆ ที่สําคญัตอ่ การดํารงชีวิตประจําวนั อาทิ ความฉลาดทางอารมณ์ และการพฒั นาความเป็นผ้นู ําตอนท่ี 1.8 แนวคดิ และทฤษฎีเก่ยี วกบั การเข้าใจตนเอง เร่ืองท่ี 1.8.1 ทฤษฎีเทรท (The Theory of Trait) ทฤษฎีเทรทเป็นทฤษฎีเกี่ยวกบั บคุ ลกิ ภาพ พฒั นาการบคุ ลิกภาพมีศนู ย์กลางอยทู่ ่ีตวั ตน (Self) ซง่ึ เร่ิมต้นมาตงั้ แตว่ ยั ทารก เกิดขึน้ มาจากความรู้สึกทางร่างกาย ซึ่งความรู้สกึ ที่เกิดขึน้ทางร่างกายเหลา่ นนั้ จะเป็นรากฐานสําคญั ของการตระหนกั ในตนเอง (Self-awareness) เร่ืองท่ี 1.8.2 ทฤษฎีการรับรู้ตน (Self-Theory) บคุ ลิกภาพของมนษุ ย์เกิดจากประสบการณ์เฉพาะตวั ของบคุ คล ซงึ่ รวมถึงความรู้สกึและเจตคตขิ องบคุ คลตอ่ โลก ตอ่ ชีวิต ตอ่ ตนเอง และตอ่ สงั คมแวดล้อมโดยมงุ่ ให้ความสําคญั ที่ตวั เองและความเป็นตวั ของตวั เองของบคุ คล บุคลิกภาพของบุคคลเกิดจากการผสมผสานกันของโครงสร้ างตวั ตน ทัง้ ตวั ตนท่ีแท้จริง ตวั ตนอดุ มคติ และตวั ตนทางสงั คม ถ้ามีการผสมผสานกนั อย่างสอดคล้อง หรือกลา่ วได้ว่าถ้าบุคคลมีการตระหนกั รู้ในตนเอง จะทําให้บุคลิกเกิดความเข้าใจในตนเอง และปรับตวั ได้อย่างเหมาะสม แตถ่ ้าบคุ คลใดท่ีไมส่ ามารถผสมผสานโครงสร้างตวั ตนได้จะทําให้บคุ คลมองตนเองในแง่ลบ และมีการปรับตวั อยา่ งไมเ่ หมาะสมได้ เร่ืองท่ี 1.8.3 หน้าต่างโจฮาร่ี (The Johari Window) รูปแบบของหน้าตา่ งโจฮารี่นนั้ อธิบายถึงสมั พนั ธภาพระหว่างบุคคล ประกอบด้วย2 มิติ คือ มิติส่วนตน (Self) และมิติสว่ นผ้อู ่ืน (Others) และประกอบไปด้วยหน้าตา่ ง 4 สว่ น จดั เป็ นระดบั ในการตระหนกั รู้ ซง่ึ สว่ นแบง่ หน้าตา่ งจะแสดงถึงภาวะความเป็ นบคุ คลทงั้ หมดในการมีสมั พนั ธภาพกับบุคคลอื่น โดยมีหลกั ในการแบ่งพืน้ ที่แต่ละส่วนของหน้าต่าง คือ การตระหนักรู้ในพฤติกรรมความรู้สึกและแรงจงู ใจ เมื่อการตระหนกั รู้เปล่ียนแปลงไป สภาวทางจิตใจในแตล่ ะสว่ นของหน้าตา่ งจะมีการเปล่ียนแปลงไปด้วย 5
ทกั ษะชีวิตเพื่อความเป็นมนษุ ย์ทส่ี มบรู ณ์ แนวคดิ หน้าตา่ งโจฮาร่ีสรุปได้ว่า คนเราเปรียบเสมือนกบั หน้าตา่ งบานหนง่ึ ซึ่งภายในหน้าตา่ งบานนนั้ ประกอบไปด้วยความเป็ นตวั ตนของบคุ คล โดยแบง่ ออกได้ 4 ลกั ษณะคือ บริเวณที่เปิดเผย บริเวณจดุ บอด บริเวณซ่อนเร้น และบริเวณท่ีไมร่ ู้ ทงั้ นีถ้ ้าหากบคุ คลสามารถทําให้หน้าตา่ งโจฉารี่ขยายเปิ ดกว้างในบริเวณเปิ ดเผยมากขึน้ โดยการเปิ ดเผยตนเองและได้รับข้อมลู ป้ อนกลบั จากบคุ คลอ่ืนๆ อนั เก่ียวข้องกบั พฤตกิ รรม ความคดิ และความรู้สกึ จะส่งผลให้บคุ คลเกิดการตระหนกั รู้ในตนเองมากขนึ ้ เร่ืองท่ี 1.8.4 ทฤษฎีบุคลิกภาพของเกสตอลท์ (Gestalt Theory of Personality) ทฤษฎีบคุ ลิกภาพของ Gestalt สรุปได้ว่า เป็ นแนวคดิ ทฤษฎีที่เน้นให้ความสําคญัตอ่ การตระหนกั รู้ในตนเองของบุคคล และสมั พนั ธภาพกบั ผ้อู ่ืน ซ่ึงการตระหนกั รู้ในตนเอง คือ การมีสติรับรู้ถึงการสมั ผสั การคิด การกระทํา และอารมณ์ ความรู้สึก อีกทงั้ การตระหนกั รู้ในตนเองที่เกิดขึน้นนั้ จะต้องเน้นท่ีปัจจบุ นั มากกวา่ ในอดีตและอนาคต ซ่ึงหากบคุ คลเกิดการตระหนกั รู้ในตนเอง จะทําให้บคุ คลสามารถพฒั นาตนเองให้งอกงามขนึ ้ และสามารถตดิ ต่อสมั พนั ธ์กบั สิ่งแวดล้อมหรือผ้อู ื่นได้ดี เร่ืองท่ี 1.8.5 ทฤษฎีการตระหนักรู้ในตนเอง (Theory of Objective Self-awareness) ทฤษฎีนีส้ ร้างขึน้ มาโดยนกั จิตวิทยาสงั คมสองทา่ น คือ Duval and Wicklund ทฤษฎีนี ้สรุปได้วา่ คนเรามีความใสใ่ จตระหนกั รู้อยู่ 2 แบบ คือ การใสใ่ จที่เน้นภายนอกที่มีตอ่ สิ่งแวดล้อมและภายในที่มีตอ่ ตนเอง ทงั้ นีบ้ คุ คลไมส่ ามารถจะเน้นการใสใ่ จได้ทงั้ ภายนอกและภายในพร้อมกนับคุ คลสามารถที่จะให้ความใสใ่ จได้เพียงอยา่ งเดียวในชว่ งเวลานนั้ กลา่ วคือ เม่ือบคุ คลมีการใสใ่ จภายในตนเองจะสามารถรับรู้เฉพาะเกี่ยวกบั ตนเอง ทงั้ ในความคดิ ความรู้สึก และพฤติกรรม แตจ่ ะไม่ให้ความใส่ใจตอ่ ส่ิงแวดล้อมภายนอกนนั่ เอง ส่วนการใส่ใจภายนอกตนเอง คือ การที่บคุ คลจะเน้นการใส่ใจท่ีสภาพสิ่งแวดล้อมภายนอกมากกว่าตนเอง ซึ่งบคุ คลจะไมร่ ับรู้เกี่ยวกบั ตนเองและพฤตกิ รรมของเขา แตจ่ ะรับรู้ผา่ นสิง่ แวดล้อมรอบตวั ทงั้ นีก้ ารให้ความใส่ใจของบคุ คลสามารถสลบัสบั เปล่ียนกนั ได้6
ทกั ษะชีวิตเพ่อื ความเป็ นมนษุ ย์ที่สมบรู ณ์ตอนท่ี 1.9 ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) การรู้จกั อารมณ์ของตนเองหรือการตระหนกั รู้ในตนเอง (Self-awareness) เป็ นองค์ประกอบหนง่ึ ที่เป็นสว่ นสําคญั ที่จะชว่ ยสร้างให้บคุ คลเกิดความฉลาดทางอารมณ์ ซ่งึ เมื่อบคุ คลรู้จกั อารมณ์ของตนเอง หรือตระหนกั รู้ในตนเอง จะทําให้บคุ คลสามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเอง หรือตระหนกั รู้ในตนเอง จะทําให้บุคคลสามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ได้ตามสภาพความเป็ นจริง รวมทงั้ รู้ผลของอารมณ์ที่จะเกิดขนึ ้ สามารถประเมินตนเองได้ตามความเป็ นจริง รู้จดุ เด่นจดุ ด้อยของตนเอง มีความมนั่ ใจในตนเองเชื่อมนั่ ในความสามารถและมองเหน็ คณุ คา่ ของตนเองตอนท่ี 1.10 ทกั ษะชีวติ (Life Skill) ทกั ษะชีวิต หมายถึง ความสามารถของบุคคล โดยใช้ความรู้ เจตคติ และทักษะในการปรับตวั และจดั การกบั อปุ สรรคตา่ งๆ ในชีวิตของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสง่ ผลให้ชีวิตของบคุ คลประสบความสําเร็จ ทกั ษะชีวิตถือเป็นทกั ษะหนงึ่ ท่ีจําเป็นและสําคญั อยา่ งมากในการดําเนินชีวิตของมนษุ ย์เราทกุ คน เน่ืองจากการมีทกั ษะชีวิตจะชว่ ยให้บคุ คลสามารถจดั การกบั ปัญหาตา่ งๆ ท่ีเกิดขึน้ ในชีวิตได้ และทําให้บคุ คลสามารถดําเนินชีวิตได้อย่างมีความสขุ ทงั้ ในปัจจบุ นั และอนาคต ซ่งึ ทกั ษะชีวิตมีองค์ประกอบที่สําคญั อย่หู ลายด้านการตระหนกั รู้ในตนเอง ถือเป็ นองค์ประกอบหนึ่งที่สําคญั ท่ีจะชว่ ยให้บคุ คลสามารถรับรู้เกี่ยวกบั ตนเองและผู้อ่ืน มองเห็นจุดเดน่ จุดด้อยของตนเอง และเห็นคณุ ค่าในตนเอง ซ่ึงหากบคุ คลเกิดการตระหนกั รู้ในตนเองแล้วจะมีส่วนช่วยในการพฒั นาทกั ษะชีวิตของตนให้ดีขนึ ้ ตามไปด้วยตอนท่ี 1.11 แนวทางการวเิ คราะห์และเข้าใจพฤตกิ รรมของตนเองและผู้อ่ืนด้วยทฤษฎียูเอน็ โอ (U N O Expression Personality) ทฤษฎียเู อ็นโอนีไ้ ด้นําบคุ ลิกภาพในการแสดงของคนท่ีมีขอบเขต (Human Boundary) ท่ีแตกตา่ งกนั เปรียบเทียบกบั ภาพตดั ขวางของต้นไม้ ซงึ่ มีสว่ นท่ีสําคญั 3 ส่วนได้แก่ เปลือก เนือ้ และแก่นรูปแบบการแสดงออก หรือการปฏิบตั ติ นตอ่ การพบปะสงั สรรค์ในแตล่ ะขอบเขตก็จะแตกตา่ งกนั การจําแนกบคุ คลด้วยการแสดงออก จะจําแนกได้เป็น 3 ประเภท คอื - Under Expression Personality หมายถึง บคุ คลที่มีบคุ ลิกภาพไมช่ อบแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด ๆ หรือกบั ใคร ไมว่ า่ จะเป็นผ้ใู หญ่ หรือเดก็ 7
ทกั ษะชีวิตเพื่อความเป็นมนษุ ย์ที่สมบรู ณ์ - Normal Expression Personality หมายถึง บคุ คลที่มีการแสดงออกท่ีเหมาะสม ไม่มากและไมน่ ้อยจนเกินไป - Over Expression Personality หมายถึง บคุ คลที่มีบคุ ลิกภาพชอบแสดงออก การประหม่าหรือสะทกสะท้อนแทบจะไม่มี ตรงกนั ข้าม เขาจะมีความสุขมาก เมื่อมีโอกาสได้แสดงออกต่อหน้าชมุ ชน เร่ืองท่ี 1.11.1 เทคนิคท่ีใช้ในการตดิ ต่อกับ Under Expression Personality และOver Expression Personality เม่ือเราจําแนกบุคคลด้วยการแสดงออก เป็ น 3 ประเภท เพื่อการติดตอ่ สื่อสารหรือสร้างความสมั พนั ธ์ซึ่งกันและกัน เราจึงจําเป็ นต้องเรียนรู้เทคนิคในการติดต่อส่ือสารกับบคุ คล 2 กลุ่มได้แก่ Under Expression Personality และ Over Expression Personality เน่ืองจากเป็ นกลมุ่บคุ คลท่ีมีบคุ ลิกสดุ โตง่ ในทงั้ 2 ด้าน การเรียนรู้เทคนิคในการตดิ ตอ่ ส่ือสารกบั บุคคล 2 กล่มุ ดงั กล่าวจะทําให้เราประสบความสําเร็จในการดาํ เนินการที่จะสร้างความสมั พนั ธ์ซง่ึ กนั และกนัตอนท่ี 1.12 ภาษาท่ใี ช้ในการส่ือสารเพ่ือการสร้างสัมพันธภาพ ภาษาท่ีใช้ในการสื่อสารเพื่อสร้างสมั พนั ธภาพท่ีดีแก่กนั สามารถจําแนกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆคือ ภาษาคําพดู (Verbal Language) และภาษาท่าทาง หรือภาษากาย (Body Language orNon-Verbal Language) ถ้าเราสามารถใช้ภาษาท่ีใช้ในการส่ือสารอย่างสอดคล้องเหมาะสม การส่ือความหมายก็จะประสบผลสําเร็จตามความมงุ่ หมายท่ีปรารถนา ดงั นนั้ หากต้องการให้การส่ือความหมายในกล่มุสงั คมมีประสิทธิภาพ ไม่วา่ จะเป็ นกลมุ่ เล็ก กล่มุ ใหญ่ หรือสงั คมเล็ก สงั คมใหญ่ ตงั้ แตร่ ะดบั ครอบครัวถึงระดบั ประเทศชาติ สมาชิกในกล่มุ พึงตระหนกั ในปัจจยั ของการสื่อความหมายที่มีประสิทธิภาพดงั กล่าวทงั้ 5 ข้อ คือ ปัจจยั ในองค์ประกอบของการส่ือความหมาย ภาษาที่ใช้ในการสื่อความหมายทกั ษะในการวิเคราะห์ อารมณ์ ความรู้สึก หรือส่ิงท่ีแฝงมาพร้อมกบั ข้อมูลข่างสาร ทักษะในการทบทวนแปลความหมายและขนาดของกลมุ่ นนั้ เพ่ือชว่ ยให้การสื่อความหมายในสงั คมมีประสิทธิภาพย่ิงขนึ ้8
ทกั ษะชีวติ เพอื่ ความเป็ นมนษุ ย์ทสี่ มบรู ณ์เฉลยคาํ ถามท้ายบท 1. การเข้าใจในตนเองหรือการตระหนกั รู้ในตนเอง มีความสําคญั ต่อการดํารงชีวิตของเราอย่างมาก เนื่องจากจะทําให้บุคคลสามารถท่ีจะรับรู้ รู้จกั และเข้าใจตนเองมากขึน้ ซึง่ อนั จะเป็ นผลนําไปสู่การแสดงออกและพฤตกิ รรมท่ีเหมาะสม เกิดการพฒั นาตนเองให้ดขี นึ ้ ในด้านตา่ งๆ ท่ีสําคญั ตอ่ การดาํ รงชีวิตประจําวนั อาทิ ความฉลาดทางอารมณ์ และการพฒั นาความเป็นผ้นู ํา 2. สาระสําคญั ของแนวคดิ ทฤษฎีเกี่ยวกบั การเข้าใจและการรู้จกั ตนเองของนกั จิตวิทยามีรายละเอียด ดงั นี ้ คาร์ล โรเจอร์ (Carl Roger) ในทฤษฎีการรับรู้ตน (Self-Theory) มีสาระสําคญั กล่าวคือบุคลิกภาพของมนษุ ย์เกิดจากประสบการณ์เฉพาะตวั ของบุคคล ซ่ึงรวมถึงความรู้สึกและเจตคติของบุคคลต่อโลก ต่อชีวิต ต่อตนเอง และต่อสังคมแวดล้อมโดยมุ่งให้ความสําคญั ท่ีตวั เอง และความเป็นตวั ของตวั เองของบคุ คล สามารถนําแนวคดิ ดงั กลา่ ว ไปใช้ประโยชน์ในการดําเนินชีวิต คอื นําบคุ ลิกภาพของตนเองท่ีเกิดจากการผสมผสานกนั ของโครงสร้างตวั ตน ทงั้ ตวั ตนท่ีแท้จริง ตวั ตนอดุ มคติ และตวั ตนทางสงั คมมาผสมผสานกนั อย่างสอดคล้อง ทําให้เกิดความเข้าใจในตนเอง มองตนเองในด้านบวก จนสามารถปรับตวั ได้อยา่ งเหมาะสม เกสตอลท์ (Gestalt) เน้นให้ความสําคญั ตอ่ การตระหนกั รู้ในตนเองของบคุ คล และสมั พนั ธภาพกบั ผ้อู ื่น ซ่ึงการตระหนกั รู้ในตนเอง คือ การมีสติรับรู้ถึงการสมั ผสั การคิด การกระทํา และอารมณ์ความรู้สกึ อีกทงั้ การตระหนกั รู้ในตนเองที่เกิดขึน้ นนั้ จะต้องเน้นท่ีปัจจบุ นั มากกวา่ ในอดีตและอนาคต สามารถนําแนวคดิ ดงั กลา่ ว ไปใช้ประโยชน์ในการดําเนินชีวิต คือ ปฏิบตั ิตนให้เกิดการตระหนกัรู้ในตนเองในด้านตา่ งๆ จนสามารถพฒั นาตนเองให้งอกงามขึน้ และสามารถติดตอ่ สมั พนั ธ์กบั สิ่งแวดล้อมหรือผ้อู ่ืนได้ดี ดวู ลั และวิคลนุ ต์ (Duval and Wicklund) ในทฤษฎีการตระหนกั รู้ในตนเอง มีสาระสําคญัคือ คนเรามีความใส่ใจตระหนักรู้อยู่ 2 แบบ คือ การใส่ใจท่ีเน้นภายนอกท่ีมีต่อส่ิงแวดล้อมและภายในท่ีมีตอ่ ตนเอง แตอ่ ยา่ งไรก็ตามบคุ คลไม่สามารถจะเน้นการใสใ่ จได้ทงั้ ภายนอกและภายในพร้อมกนั บคุ คลสามารถท่ีจะให้ความใส่ใจได้เพียงอย่างเดียวในช่วงเวลานนั้ แตท่ งั้ นีก้ ารให้ความใสใ่ จของบคุ คลสามารถสลบั สบั เปลี่ยนกนั ได้ 9
ทกั ษะชีวติ เพื่อความเป็นมนษุ ย์ที่สมบรู ณ์ สามารถนําแนวคิดดงั กล่าว ไปใช้ประโยชน์ในการดําเนินชีวิต คือ การดําเนินชีวิตประจําวนัของเราให้มีการตระหนกั รู้การใสใ่ จท่ีเน้นภายนอกที่มีตอ่ สิ่งแวดล้อมสลบั เปลี่ยนกบั การใส่ใจภายในที่มีตอ่ ตนเอง ตามความเหมาะสมของสภาวการณ์ตา่ ง ๆ ท่ีได้พบในการดําเนินชีวิตประจําวนั ก็จะทําให้สามารถดําเนินชีวติ ในสงั คมร่วมกบั บคุ คลอื่นได้อยา่ งมีความสขุ และเหมาะสม 3. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ ขัน้ตระหนกั รู้จกั อารมณ์ตน หรือการตระหนกั รู้ในตนเอง (Self-awareness) ขนั้ บริการจดั การอารมณ์ขนั้ สร้ างแรงจูงใจท่ีดีให้แก่ตนเอง ขัน้ สามารถรับรู้อารมณ์ของผู้อ่ืนได้ และความสามารถในการจดั การความสมั พนั ธ์กบั ผ้อู ื่น ทกั ษะชีวิต (Life Skill) มี 4 องคป์ ระกอบ ได้แก่ การตระหนกั รู้และเห็นคณุ คา่ ในตนเองและผ้อู ื่น การคดิ วเิ คราะห์ ตดั สนิ ใจ และแก้ไขปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ การจดั การกบั อารมณ์และความเครียดและการสร้างสมั พนั ธภาพที่ดีกบั ผ้อู ่ืน ความฉลาดทางอารมณ์ และทกั ษะชีวิตมีความสําคญั ตอ่ การดําเนินชีวิตในสงั คมยคุ ปัจจบุ นัเนื่องจากการมีความฉลาดทางอารมณ์ และทกั ษะชีวิตจะช่วยให้บคุ คลสามารถจดั การกบั ปัญหาตา่ งๆ ท่ีเกิดขึน้ ในชีวิตได้ และทําให้บคุ คลสามารถดําเนินชีวิตได้อย่างมีความสขุ ทงั้ ในปัจจบุ นั และอนาคต ซง่ึ ทกั ษะชีวติ มีองคป์ ระกอบท่ีสําคญั อย่หู ลายด้าน การตระหนกั รู้ในตนเอง ถือเป็ นองค์ประกอบหนึ่งท่ีสําคญั ท่ีจะช่วยให้บุคคลสามารถรับรู้เกี่ยวกับตนเองและผ้อู ื่น มองเห็นจดุ เดน่ จุดด้อยของตนเอง และเห็นคณุ คา่ ในตนเอง ซงึ่ หากบคุ คลเกิดการตระหนกั รู้ในตนเองแล้วจะมีสว่ นชว่ ยในการพฒั นาทกั ษะชีวิตของตนให้ดขี นึ ้ ตามไปด้วย 4. สาระสําคญั ของทฤษฎียเู อ็นโอ (UNO) สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในการเข้าใจพฤติกรรมของตนเองและผ้อู ่ืน คือ เราสามารถที่จะจําแนกการแสดงออกของบุคคลตา่ งๆ เป็ นกล่มุ ๆ จากนนั้ ก็ใช้เทคนิคการติดตอ่ ส่ือสารหรือสร้างความสมั พนั ธ์ซึ่งกนั และกนั ให้มีความสอดคล้องกบั บคุ ลิกลกั ษณะของกล่มุ บคุ คลนนั้ ๆ ก็จะทําให้การติดต่อส่ือสารสําเร็จผล เกิดความสมั พนั ธ์ที่ดีระหว่างตวั เราเองกับบคุ คลที่ตดิ ตอ่ สื่อสารอยดู่ ้วย10
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: