ภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดทำโดย นางสาวสุกัญญา คงชื่น 653020 10062 ปวส.1/2 แผนกการบัญชี วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี
ภาษีมูลค่าเพิ่ม สาระสำคัญ 1. ภาษีมูลค่าเพิ่มคือภาษีที่ถูกจัดเก็บจากสัดส่วนของมูลค่าของ สินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและจำหน่าย สินค้าหรือบริการชนิดต่าง ๆ 2. ภาษีมูลค่าเพิ่มถูกนำมาใช้ในปี พ.ศ. 2535 เนื่องจากสามารถ ขจัดปัญหาภาษีซ้ำซ้อน มีความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ เอื้ออำนวยต่อ การลงทุนและการส่งออก และมีกลไกป้องกันการหลบเลี่ยงภาษี 3. บุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ผู้ประกอบการ และผู้นำ เข้า ซึ่งรวมไปถึงผู้ผลิต ผู้ให้บริการผู้ขายส่ง ผู้ขายปลีก ส่งออก ผู้นำเข้า ซึ่งมีฐานภาษาของกิจการขนาดย่อมขึ้นไป (รายได้เกิน 1,200,000 บาท ขึ้นไป) ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา นิติบุคคล คณะบุคคล ห้างหุ้น ส่วนสามัญ กองมรดก องค์การของรัฐบาล หรือหน่วยงานอื่นได้ 4. กิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่กิจการที่ปรากฏ ตามมาตรา 81 5. กิจกรรมเกี่ยวกับการขายสินค้าหรือบริการมีขั้นตอน เช่น การ ส่งมอบสินค้า การชำระเงินทั้งหมด การชำระเพียงบางส่วน ความรับผิด ในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน โดยแยกตามประเภทของกิจการ เช่น กิจการขายสินค้า การใช้บริการ การนำเข้า และการขายหรือการให้บริการบางประเภท 6. ฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง มูลค่าของสินค้าและบริการที่จะ นำไปคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของ สินค้าและบริการ
7. อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มแบ่งได้ 2 อัตราคือ อัตราร้อยละ 10 ซึ่งปัจจุบันใช้อัตราร้อยละ 7 และอัตราร้อยละ 0 8. การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้จาก ภาษีขาย – ภาษีซื้อ 9. ใบกำกับภาษี คือ เอกสารหลักฐานที่ผู้ประกอบการจด ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีหน้าที่ต้องจัดทำและออกให้กับผู้ซื้อ สินค้า หรือผู้รับบริการทุกครั้งที่ขายสินค้าหรือให้บริการ และ ต้องจัดทำอย่างช้าในทันทีที่ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่า เพิ่มเกิดขึ้น เพื่อแสดงมูลค่าของสินค้าหรือบริการ และจำนวน ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากการขายสินค้าหรือ ให้บริการในแต่ละครั้ง 10. ใบเพิ่มหนี้ ถือเป็นใบกำกับภาษีอย่างหนึ่ง กิจการจะ ออกใบลดหนี้เมื่อได้ขายสินค้า บริการไปแล้วและได้นำส่งภาษี ขายไปแล้ว แต่ต่อมาอาจจะต้องมีการเพิ่มราคาสินค้าที่ขาย ซึ่ง อาจเนื่องมาจาก คำนวณราคาผิดต่ำกว่าความเป็นจริง เป็น เหตุให้ภาษีขายต่ำไป เป็นต้น 11.ใบลดหนี้ ถือว่าเป็นใบกำกับภาษีอย่างหนึ่ง กิจการจะ ออกใบลดหนี้เมื่อได้ขายสินค้าหรือบริการและได้นำส่งภาษีขาย ไปแล้ว แต่ต่อมาต้องลดราคาสินค้าที่ขายหรือค่าบริการ ทำให้ ภาษีขายมีจำนวนลดลง โดยออกให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ 12. ภาษีต้องห้ามหมายถึง ภาษีซื้อที่ไม่สามารถนำไปหัก จากภาษีขายไม่ได้ตามาตรา 82/5 และประกาศอธิบดีกรม สรรพากร ฉบับที่ 42 และฉบับที่ 29
สาระการเรียนรู้ 1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 2. ประเภทของกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 3. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 4. การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 5. การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับการบันทึกบัญชีซื้อขายสินค้า กรณีจด ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 2. บันทึกบัญชีซื้อขายสินค้า กรณีจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 3. แสดงพฤติกรรมการปฏิบัติงานด้วยความเป็นระเบียบ เรียบร้อย ละเอียดรอบคอบ ไม่ลอกผลงานของผู้อื่น ปฏิบัติงาน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
แบบทดสอบก่อนเรียน คำชี้แจง : จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด 1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง ก. การเก็บภาษีจากการขายสินค้า หรือการให้บริการในแต่ละขั้นตอนการผลิต ข. ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนการผลิต สินค้าหรือบริการ และการจำหน่ายสินค้าหรือบริการชนิดต่าง ๆ โดยผู้ประกอบ การเป็นผู้มีหน้าที่เก็บจากลูกค้า แล้วนำภาษี มูลค่าเพิ่มไปชำระให้แก่รัฐบาล ค. การให้บริการในราชอาณาจักรโดยผู้ประกอบการ ง. ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติ ธุระ 2. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ผู้ที่มีรายรับจากการขายสินค้า หรือให้บริการเกินกว่ากี่ล้านบาทต่อปี ก. 1.5 ล้านบาทต่อปี ข. 1.6 ล้านบาทต่อปี ค. 1.7 ล้านบาทต่อปี ง. 1.8 ล้านบาทต่อปี 3. ข้อใดกล่าวถึงภาษีภาพมูลค่าเพิ่มได้ถูกต้อง ก. เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคที่เป็นผู้ซื้อสินค้า ข. เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคที่เป็นผู้ขายสินค้า ค. เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ขาย ง. เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อ
4. ผลต่างหากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายจะเป็นบัญชีใด ก. ลูกหนี้การค้า ข. เจ้าหนี้การค้า ค. ลูกหนี้-สรรพากร ง. เจ้าหนี้-สรรพากร 5. ผลต่างหากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อจะเป็นบัญชีใด ก. ลูกหนี้การค้า ข. เจ้าหนี้การค้า ค. ลูกหนี้-สรรพากร ง. เจ้าหนี้-สรรพากร 6. ข้อใดไม่ใช่ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตาม กฎหมาย ก. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการซึ่งไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามกฎหมายและมีรายรับ ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ข. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร โดยอากาศยาน ค. การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่า ด้วยการนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย ง. ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจทางการค้าที่มีรายรับจากการขายสินค้า/ บริการนั้น ๆ โดยมียอดขาย สินค้า/บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาท/ปี 7. ใครมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ก. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ข. บุคคลธรรมดา ค. ห้างหุ้นส่วนจำกัด ง. บริษัทจำกัด
8. ผู้ประกอบการยกเว้นเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ สามารถจดทะเบียนภาษีได้ ยกเว้นกิจการใด ก. การให้บริการขนส่ง ข. ผู้ประกอบการขายสินค้าเกิน1.8ล้านบาท/ปี ค. ขายพืชผักทางการเกษตร ง. การให้บริการขนส่ง 9. การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบันมีอัตรากี่ เปอร์เซ็นต์ ก. 10 % ข. 7 % ค. 5 % ง. 2 % 10. กิจการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนภาษี มูลค่าเพิ่ม เนื่องจากอะไร ก. เป็นการลดภาระให้กับประชาชน ข. เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน ค. เป็นการให้ความเท่าเทียมประชาชน ง. เพราะว่าเสียเวลา
ผังความคิด mined Mapping 1.ความรู้เบื้องต้น 2.ประเภทของ เกี่ยวกับภาษี กิจการที่ต้อง มูลค่าเพิ่ม เสียภาษีมูลค่า เพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.ผู้มีหน้าที่ เสียภาษี มูลค่าเพิ่ม 5.การจด 4.การ ทะเบียนภาษี ยกเว้นภาษี มูลค่าเพิ่ม มูลค่าเพิ่ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยว กับภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.ความหมายของภาษี มูลค่าเพิ่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้น ในแต่ละขั้นตอนการผลิตสินค้าหรือบริการ และการจำหน่าย สินค้าหรือบริการชนิดต่าง ๆ โดยผู้ประกอบการเป็นผู้มีหน้าที่เก็บ จากลูกค้า แล้วนำภาษีมูลค่าเพิ่มไปชำระให้แก่รัฐบาล ผกาพรรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ให้ความหมายภาษีมูลค่า เพิ่มว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง ภาษีที่เก็บจากการขายสินค้าและ บริการของผู้ผลิตสินค้า หรือผู้บริการ ผู้นำเข้า โดยจัดเก็บเฉพาะ มูลค่าที่เพิ่มขึ้น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมีขอบเขตกว้างขวาง และครอบคลุมทุกขั้นตอนในการผลิตการจำหน่ายและให้บริการ เบญจมาศ อภิสิทธิ์ภิญโญ และคณะ กล่าวถึงภาษีมูลค่าเพิ่มว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือการให้บริ เลยการในแต่ละขั้นตอน การผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการ เหล่านั้น ทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยส่วนที่เก็บเพิ่มนั้นเรียกว่า “มูลค่าเพิ่ม” ภาษีมูลค่าเพิ่มจึง เป็นภาษีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำการเรียก เก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการต่างๆ ที่เป็นคนสุดท้าย รวมถึง การเก็บภาษีทุกขั้นตอนของการผลิตหรือการขายสินค้าหรือการให้ บริการ จากนั้นผู้ประกอบการจะนำภาษีที่เก็บได้ส่งให้กับสรรพากร ทุกเดือน
สรุป ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคที่เป็นผู้ซื้อสินค้าทั้งที่ผลิต ในประเทศและต่างประเทศหรือเป็นผู้ได้รับบริการคนสุดท้าย ผู้ประกอบการที่ ไม่ใช่ผู้บริโภคคนสุดท้ายจะจ่ายภาษีซื้อ 7% ในตอนซื้อสินค้า และเรียกเก็บภาษี ขาย 7% ในตอนขายสินค้า เมื่อสิ้นเดือนจะนำภาษีซื้อและภาษีขายมาหักลบกัน ผลต่าง หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายจะเป็น ลูกหนี้-สรรพากร หรือ ภาษีขาย มากกว่าภาษีซื้อ จะเป็น เจ้าหนี้-สรรพากร ภาษีมูลค่าเพิ่มประกอบด้วย 1.ภาษีซื้อ (Input Tax) คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจาการซื้อวัตถุดิบ/สินค้า/ สินทรัพย์และบริการต่างๆ จากกิจการที่จดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.ภาษีขาย (Output Tax) คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการขายวัตถุดิบ/สินค้า และบริการต่างๆ ของกิจการที่จดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษี ใบกำกับภาษีแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป (Tax Invoice) คือเอกสารหลักฐานสำคัญที่ผู้ ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ออกให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ ใบ กำกับภาษีแบบนี้ต้องมีรายการครบถ้วนตามที่กรมสรรพากรกำหนด (มาตรา 86/4) และใช้เป็นหลักฐานในการชำระหรือเรียกคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.ใบกำกับภาษีอย่างย่อย (Abbreviation Tax Invoice) หรือเรียกย่อๆว่า ABB Tax Invoice คือใบกำกับภาษีที่ออกโดยผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าในลักษณะ ขายปลีกให้บริการรายย่อยแก่บุคคลจำนวนมาก ใบกำกับภาษีอย่างย่อยนี้อาจจะ ออกด้วยมือหรือออกด้วยเครื่องบันทึกเงินสด ใบกำกับภาษีแบบนี้ใช้เป็นหลัก ฐานในการชำระหรือเรียกคืนภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ได้ ดังนั้นผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับ บริการต้องแจ้งความประสงค์ต้องการใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มแยกเป็น 2 กรณี ดังนี้ 1. กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ให้คำนวณ ภาษีซื้อและภาษีขายประจำเดือน โดยดูจากบัญชีภาษีซื้อและภาษีขายหรือจาก รายงานภาษีซื้อและภาษีขายและหาผลต่าง
2. กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ให้คำนวณภาษีขายในอัตราร้อยละ 0 ซึ่งจะมีผลทำให้ภาษีขาย เท่ากับ 0 และคำนวณภาษีซื้อในอัตราร้อยละ 7 ดังนั้นภาษีซื้อจะ มียอดมากกว่าภาษีขาย ซึ่งมีผลทำให้ผู้ประกอบการได้รับคืนภาษี รายงานที่ผู้ประกอบการต้องจัดทำ รายงานที่ผู้ประกอบการต้องจัดทำตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่ง ได้แก่ 1. รายงานภาษีซื้อ 2. รายงานภาษีขาย 3. รายงานสินค้าและวัตถุดิบ 2.ประเภทของกิจการ ที่ต้องเสียภาษี ประเภทของกิจการที่ต้องเสียมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ 1. การขายสินค้าในราชอาณาจักรโดยผู้ประกอบการ 2. การให้บริการในราชอาณาจักรโดยผู้ประกอบการซึ่งจะ ครอบคลุมถึงการให้บริการที่ทำในต่างประเทศและได้มีการใช้ บริการนั้นในราชอาณาจักร (เช่นการให้บริการแพลตฟอร์ม โฆษณาออนไลน์จาก บริษัท ต่างประเทศที่ใช้ในไทย) และ บริการที่ได้ทำในราชอาณาจักร แต่ใช้บริการจริงเกิดขึ้นใน ต่างประเทศ เช่น รับจ้างเขียนซอฟต์แวร์ให้ บริษัท ต่างชาติ ไปใช้ต่างประเทศ 3. การนำเข้าสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผู้นำเข้า
3.ผู้มีหน้าที่เสียภาษี มูลค่าเพิ่ม ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็น ปกติธุระ ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะ บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใดๆ หาก มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาท/ปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบ การจดทะเบียน โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีหักด้วยภาษีซื้อ ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.ผู้ประกอบที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี 2.ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับการยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย 3.ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้ บริการนั้นในราชอาณาจักร 4.ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบ กิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว 5.ผู้ประกอบการอื่นตามที่อธิบดีจะประกาศกำหนดเมื่อมีเหตุ สมควร หน้าที่ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ และออก ใบกำกับภาษีเพื่อเป็นหลักฐานในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งได้แก่ 2.1 รายงานภาษีซื้อ 2.2 รายงานภาษีขาย 2.3 รายงานสินค้าและวัตถุดิบ 3.ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามแบบ ภ.พ.30
4.การยกเว้นภาษี มูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตาม กฎหมาย แต่สามารถขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ได้แก่ 1. ผู้ประกอบกิจการ ขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่น อาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน ฯลฯ 2. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการซึ่งไม่ ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับ ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี 3. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร โดย อากาศยาน 4. การส่งออกของผู้ประกอบการในเขต อุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 5. การให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อใน ราชอาณาจักร
5.การจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือที่เรียกว่า VAT ปัจจุบันมีอัตรา 7% ภาษี มูลค่าเพิ่มบางกิจการได้รับการยกเว้นไม่ต้องจด เพราะเป็นการเพิ่มภาระให้ กับประชาชนเนื่องจากถ้าให้เจ้าของกิจการจดภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีนี้จะถูกผลัก ไปที่ผู้บริโภค เช่น กิจการเกี่ยวกับการขนส่ง กิจการค้าพืชผลทางการเกษตร 1. ต้องการออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้าหรือไม่หรือลูกค้าต้องการใบ กำกับภาษีจากเราดังนั้นเราต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มแน่นอน (เพราะผู้มีสิทธิ์ ออกใบกำกับภาษีได้ก็คือผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น) ถึงแม้ว่าเรา รายได้ไม่ถึง 1.8 ล้าน / ปีก็ตาม 2. มีรายได้ถึง 1,800,000 บาทต่อปีหรือไม่ถ้าถึงก็ต้องจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3. พิจารณาว่า กิจการเรา ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือไม่ เช่น กิจการขนส่ง เป็นต้น สถานที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาประกอบการตั้ง อยู่ 2.กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา (อำเภอ) ในเขตท้องที่ที่สถานประกอบการตั้ง อยู่ 3.กรณีสถานประกอบการที่อยู่ในความกำกับดูแลของสำนักบริหารภาษี ธุรกิจขนาดใหญ่ให้ยื่น ณ สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ หรือจะยื่นผ่าน สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่ประกอบการตั้ง อยู่ึก็ได้
แบบทดสอบหลังเรียน คำชี้แจง : จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด 1. ข้อใดกล่าวถึงภาษีภาพมูลค่าเพิ่มได้ถูกต้อง ก. เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ขาย ข. เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อ ค. เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคที่เป็นผู้ซื้อสินค้า ง. เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคที่เป็นผู้ขายสินค้า 2. ผลต่างหากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายจะเป็นบัญชีใด ก. ลูกหนี้-สรรพากร ข. เจ้าหนี้-สรรพากร ค. ลูกหนี้การค้า ง. เจ้าหนี้การค้า 3. ผลต่างหากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อจะเป็นบัญชีใด ก. ลูกหนี้-สรรพากร ข. เจ้าหนี้-สรรพากร ค. ลูกหนี้การค้า ง. เจ้าหนี้การค้า 4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง ก. การเก็บภาษีจากการขายสินค้า หรือการให้บริการในแต่ละขั้นตอนการ ผลิต ข. ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ เป็นปกติธุระ ค. การให้บริการในราชอาณาจักรโดยผู้ประกอบการ ง. ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนการ ผลิตสินค้าหรือบริการ และการจำหน่ายสินค้าหรือบริการชนิดต่าง ๆ โดย ผู้ประกอบการเป็นผู้มีหน้าที่เก็บจากลูกค้า แล้วนำภาษีมูลค่าเพิ่มไปชำระ ให้แก่รัฐบาล
5. ข้อใดไม่ใช่ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่า เพิ่มตามกฎหมาย ก. ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการซึ่งไม่ได้รับยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อ ปี ข. ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจทางการค้าที่มีรายรับจากการขาย สินค้า/บริการนั้น ๆ โดยมียอดขายสินค้า/บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาท/ปี ค. การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตาม กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ง. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร โดยอากาศยาน 6. ใครมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ก. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ข. บริษัทจำกัด ค. ห้างหุ้นส่วนจำกัด ง. บุคคลธรรมดา 7. ผู้ประกอบการยกเว้นเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแต่สามารถจด ทะเบียนภาษีได้ ยกเว้นกิจการใด ก. ผู้ประกอบการขายสินค้าเกิน1.8ล้านบาท/ปี ข. การให้บริการขนส่ง ค. ขายพืชผักทางการเกษตร ง. การให้บริการขนส่ง
8. การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบันมี อัตรากี่เปอร์เซ็นต์ ก. 10 % ข. 8 % ค. 7 % ง. 2 % 9. กิจการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจด ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากอะไร ก. เป็นการลดภาระให้กับประชาชน ข. เป็นการให้ความเท่าเทียมประชาชน ค. เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน ง. เพราะว่าเสียเวลา 10. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ผู้ที่ มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า กี่ล้านบาทต่อปี ก. 1.6 ล้านบาทต่อปี ข. 1.8 ล้านบาทต่อปี ค. 1.10 ล้านบาทต่อปี ง. 1.12 ล้านบาทต่อปี
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: