\"มาฆะ\" เปน ชือ่ ของเดอื น ๓ มาฆบูชาน้ัน ยอมาจากคาํ วา \"มาฆบรุ ณมี\" แปลวา การบชู าพระในวันเพ็ญ เดอื น ๓ วันมาฆบูชา จงึ ตรงกบั วนั ขน้ึ ๑๕ ค่ํา เดอื น ๓ แตถ าปใ ดมีเดอื น อธกิ มาส คอื มเี ดอื น ๘ สองครงั้ วนั มาฆบูชาก็จะเลือ่ นไปเปนวนั ข้นึ ๑๕ คํ่า เดอื น ๔ เปน วันสาํ คัญวนั หน่ึง ในวนั พทุ ธศาสนา คือวันทีม่ ีการประชุมสังฆสนั นบิ าตครงั้ ใหญในพุทธศาสนา ทเี่ รยี กวา \"จาตรุ งคสันนิบาต\" และเปน วนั ทพี่ ระสัมมาสมั พทุ ธเจา ไดทรงแสดงโอวาทปฎิโมกขแกพระสงฆส าวกเปนครงั้ แรก ณ เวฬุวนั วหิ าร กรงุ ราชคฤห เพือ่ ใหพระสงฆนาํ ไปประพฤติปฏบิ ัติ เพอ่ื จะยงั พระพทุ ธศาสนาใหเจรญิ รงุ เรอื งตอ ไป โอวาทปาฏโิ มกข โอวาทปาฏิโมกข - หลักคําสอนสาํ คัญของพระพุทธศาสนา หรือคําสอนอันเปนหัวใจของพระพุทธศาสนา ไดแ ก พระพทุ ธ พจน ๓ คาถากึง่ ทพ่ี ระพุทธเจา ตรัสแกพระอรหันต ๑,๒๕๐ รูป ผูไ ปประชมุ กนั โดยมไิ ดน ดั หมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ใน วันเพญ็ เดือน ๓ ที่เราเรียกกันวาวนั มาฆบูชา (ถรรถกถากลาววา พระพทุ ธเจา ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข นี้ แกท ี่ประชุมสงฆ ตลอดมา เปนเวลา ๒๐ พรรษา กอนทีจ่ ะโปรดใหสวดปาฏโิ มกขอยางปจ จุบนั นี้แทนตอ มา)
คาถา โอวาทปาฏโิ มกข มีดงั น้ี สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํกสุ ลสฺสูปสมปฺ ทา สจติ ตฺ ปรโิ ยทปนเํ อตํ พุทธาน สาสนํฯ ขนฺตี ปรมํ ตโป ตตี ิกขฺ า นิพพฺ านํ ปรมํ วทนตฺ ิ พทุ ฺธา น หิ ปพพฺ ชโิ ต ปรปู ฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนโฺ ตฯ อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกเฺ ข จ สํวโร มตฺตฺุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตจฺ สยนาสนํ อธจิ ติ ฺเต จ อาโยโค เอตํ พทุ ฺธาน สาสนฯํ แปล :การไมทําความชว่ั ทั้งปวง, การบําเพ็ญแตความดี, การทําจิตของตนใหผ องใส นเี้ ปนคําสอนของพระพุทธเจา ท้งั หลาย ขันติ คอื ความอดกล้นั เปนตบะอยางย่งิ ,พระพทุ ธเจา ทง้ั หลายกลา ววา นพิ พาน เปน บรมธรรม,ผทู าํ รายคนอืน่ ไมช อ่ื วาเปน บรรพชติ , ผูเ บียดเบียนคนอืน่ ไมชือ่ วาเปน สมณะการไมก ลาวราย, การไมทํารา ย, ความสํารวมในปาฏิโมกข, ความเปนผูรูจ กั ประมาณในอาหาร, ทน่ี ง่ั นอนอันสงดั , ความเพยี รในอธิจติ น้เี ปน คาํ สอนของพระพทุ ธเจาทงั้ หลาย
คาํ วา \"จาตุรงคสันนบิ าต\" แยกศัพทไดด ังนี้ คอื \"จาตรุ \" แปลวา ๔ \"องค\" แปลวา สวน \"สันนบิ าต\" แปลวา ประชมุ ฉะนน้ั จาตุรงคสนั นบิ าตจึงหมายความวา \"การประชุมดวยองค ๔\" กลาวคือมีเหตกุ ารณพิเศษทเี่ กิดข้ึนพรอ มกันในวนั นี้ คือ ๑. เปนวันที่ พระสงฆส าวกของพระพทุ ธเจา จาํ นวน ๑,๒๕๐ รปู มาประชุมพรอมกนั ทเี่ วฬวุ นั วิหารในกรงุ ราชคฤห โดยมไิ ด นัดหมาย ๒. พระภกิ ษสุ งฆเหลานล้ี ว นเปน \"เอหภิ กิ ขอุ ุปสัมปทา\" คือเปน ผทู ไ่ี ดรับการอปุ สมบทโดยตรงจาก พระพุทธเจาท้งั สนิ้ ๓. พระภิกษุสงฆทุกองคท ีไ่ ดมาประชมุ ในครัง้ นี้ ลวนแตเปน ผุไดบ รรลุพระอรหันตแลวทุก ๆองค ๔. เปนวนั ท่ีพระจันทรเตม็ ดวงกาํ ลังเสวยมาฆฤกษ
การปฎบิ ัตติ นสําหรับพุทธศาสนาในวันน้กี ค็ ือ การทาํ บุญตกั บาตรในตอนเชา หรอื ไมกจ็ ัดหาอาหารคาวหวานไปทําบุญฟง เทศนท ่ีวดั ตอนบา ยฟง พระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนาํ ดอกไม ธปู เทียน ไปท่ีวดั เพื่อชุมนมุ กันทาํ พิธี เวียนเทียนรอบพระอโุ บสถพรอมกับพระภกิ ษสุ งฆ โดยเจาอาวาสจะนําวา นะโม ๓ จบ จากน้นั กลา วคําถวายดอกไมธปู เทยี น ทกุ คนวา ตาม จบแลว เดนิ เวยี นขวา ตลอดเวลาใหร ะลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงั ฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แลวนํา ดอกไม ธูปเทียนไปปก บชู าตามที่ทางวดั เตรยี มไวเ ปนอันเสร็จพิธี กจิ กรรมตา งๆ ที่ควรปฏบิ ัติในวนั มาฆบชู า ๑. ทําบญุ ใสบ าตร ๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัตธิ รรม และฟง พระธรรมเทศนา ๓. ไปเวยี นเทียนทว่ี ัด ๔. ประดบั ธงชาติตามอาคารบานเรือนและสถานทีร่ าชการ
กจิ กรรมท่ปี ฏบิ ัตติ อ วนั มาฆบชู า
สถานทีส่ าํ คัญเนอ่ื งดว ยวันมาฆบูชา (พุทธสงั เวชนยี สถาน) \"วัดเวฬุวันมหาวหิ าร\" เปนอาราม (วดั ) แหง แรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยใู กลเ ชิงเขาเวภารบรรพต บนรมิ ฝงแมน ํ้าสรัสวดซี งึ่ มีตโปธาราม (บอ นาํ้ รอ น โบราณ) คน่ั อยูร ะหวา งกลาง นอกเขตกาํ แพงเมอื งเกา ราชคฤห (อดตี เมอื งหลวงขอ) ประเทศอินเดียในปจจุบัน (หรอื แควนมคธในสมัยพทุ ธกาล) วัดเวฬุวนั ในสมยั พทุ ธการ เดมิ วดั เวฬวุ นั เปน พระราชอุทยานสําหรับเสด็จประพาสของพระเจา พิมพิสาร เปน สวนปาไผร มรื่นมีรวั้ รอบและกาํ แพงเขาออก เวฬวุ ันมอี ีกชื่อหน่ึงปรากฏ ในพระสตู รวา \"พระวหิ ารเวฬวุ นั กลนั ทกนวิ าปสถาน\"หรือ \"เวฬวุ นั กลนั ทกนิวาป\" (สวนปาไผสถานท่สี ําหรับใหเ หยอื่ แกกระแต)พระเจา พิมพสิ ารไดถ วายพระราช อทุ ยานแหง นเี้ ปน วดั ในพระพทุ ธศาสนาหลงั จากไดสดบั พระธรรมเทศนาอนุปุพพกิ ถาและจตรุ าริยสจั จณ พระราชอุทยานลฏั ฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนมุ ) โดยในคร้งั นนั้ พระองคไ ดบ รรลพุ ระโสดาบนั เปนพระอริยบคุ คลในพระพทุ ธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนวิ าปสถานไมน าน อารามแหงนี้กไ็ ดใ ชเปน สถานท่สี ําหรับพระสงฆประชมุ จาตรุ งคสันนิบาตครั้งใหญใ นพระพุทธศาสนา อันเปนเหตุการณส ําคัญในวนั มาฆบูชา วดั เวฬุวันหลงั การปรนิ พิ พาน หลงั พระพทุ ธเจา เสดจ็ ปรนิ ิพพาน วดั เวฬุวนั ไดร ับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคนั ธกุฎีทม่ี ีพระสงฆเฝาดูแลทาํ การปด กวาดเชด็ ถปู ูลาดอาสนะและ ปฏบิ ตั ติ อสถานท่ี ๆ พระพทุ ธเจาเคยประทบั อยูท ุก ๆ แหง เหมือนสมัยที่พระพุทธองคท รงพระชนมชพี อยมู ิไดขาด โดยมีการปฏิบตั ิเชนนตี้ ิดตอ กันกวา พันป แตจ ากเหตกุ ารณย า ยเมอื งหลวงแหงแควนมคธหลายคร้งั ในชวง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอํามาตยและราษฎรพรอมใจกนั ถอดกษัตรยิ นาคทสั สกแ หงราชวงศ ของพระเจา พมิ พิสารออกจากพระราชบัลลังก และยกสุสนู าคอาํ มาตยซ่ึงมเี ชือ้ สายเจาลจิ ฉวีในกรงุ เวสาลแี หง แควนวชั ชเี กา ใหเปน กษัตริยตงั้ ราชวงศใหมแลว พระเจา สสุ ูนาคจึงไดทาํ การยา ยเมืองหลวงของแควน มคธไปยงั เมืองเวสาลีอนั เปน เมืองเดิมของตน และกษัตรยิ พระองคตอ มาคอื พระเจา กาลาโศกราช ผเู ปน พระราชโอรสของพระเจาสสุ ูนาค ไดย า ยเมอื งหลวงของแควนมคธอกี จากเมืองเวสาลีไปยงั เมอื งปาตลีบตุ ร ทําใหเ มืองราชคฤหถ กู ลดความสําคัญลงและถกู ท้ิง ราง ซ่งึ เปนสาเหตุสาํ คัญท่ีทําใหวัดเวฬุวันขาดผอู ุปถัมภแ ละถูกท้ิงรา งอยา งสิน้ เชิงในชวงพนั ปถ ัดมา
โดยปรากฏหลกั ฐานบนั ทกึ ของหลวงจนี ฟาเหยี น (Fa-hsien) ที่ไดเ ขามาสืบศาสนาในพทุ ธภูมใิ นชวงป พ.ศ. 942–947 ในชวงรชั สมัยของพระเจา จนั ทร คุปตที่ 2 (พระเจา วิกรมาทติ ย) แหง ราชวงศค ุปตะ ซ่ึงทา นไดบนั ทกึ ไววา เมอื งราชคฤหอยูในสภาพปรักหักพัง แตย ังทันไดเห็นมลู คันธกุฎีวดั เวฬวุ นั ปรากฏอยู และยังคงมีพระภกิ ษุหลายรูปชวยกันดูแลรกั ษาปด กวาดอยเู ปน ประจาํ แตไมป รากฏวา มีการบนั ทึกถึงสถานทีเ่ กดิ เหตกุ ารณจาตุรงคสันนบิ าตแตป ระการใด แตห ลังจากนัน้ ประมาณ 200 ป วดั เวฬุวนั ก็ถูกท้งิ รา งไป ตามบันทึกของพระถังซาํ จั๋ง (Hiuen-Tsang) ซ่งึ ไดจาริกมาเมอื งราชคฤหร าวป พ.ศ. 1300 ซึง่ ทา นบันทกึ ไวแ ตเ พยี งวา ทานไดเห็นแตเ พียงซากมลู คนั ธกฎุ ซี ง่ึ มกี าํ แพงและอิฐลอมรอบอยูเทา นั้น (ในสมยั นนั้ เมืองราชคฤหโรยราถงึ ที่สดุ แลว พระถังซําจั๋งได แตเ พียงจดตําแหนงท่ีตง้ั ทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเกา แกอื่น ๆ ในเมอื งราชคฤหไวม าก ทาํ ใหเปนประโยชนแกนักประวัตศิ าสตรแ ละนกั โบราณคดีในการคน หาโบราณสถานตา ง ๆ ในเมืองราชคฤหใ นปจ จุบัน) จุดแสวงบญุ และสภาพของวัดเวฬุวนั ในปจ จบุ นั ปจ จุบนั หลงั ถูกทอดทิง้ เปน เวลากวาพันป และไดร บั การบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในชวงท่ีอินเดียยังเปน อาณานคิ มของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมี เนนิ ดินโบราณสถานท่ยี ังไมไ ดข ุดคน อกี มาก สถานทส่ี าํ คญั ๆ ทีพ่ ุทธศาสนกิ ชนในปจ จุบนั นิยมไปนมสั การคือ \"พระมูลคันธกุฎี\" ทปี่ จจุบันยงั ไมไดทําการขุดคน เนือ่ งจากมกี ุโบรของชาวมุสลมิ สรา งทับไวข า งบนเนินดนิ , \"สระกลนั ทกนวิ าป\" ซ่ึงปจ จบุ นั รัฐบาลอนิ เดยี ไดท ําการบูรณะใหมอ ยา งสวยงาม, และ \"ลาน จาตุรงคสนั นิบาต\" อนั เปน ลานเลก็ ๆ มซี มุ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปยนื ปางประทานพรอยูก ลางซมุ ลานนเ้ี ปน จดุ สําคัญทีช่ าวพุทธนิยมมาทําการเวยี นเทียนสกั การะ (ลานนีเ้ ปน ลานทีก่ องโบราณคดอี ินเดยี สันนษิ ฐานวาพระพุทธองคท รงแสดงโอวาทปาฏิโมกขใ นจดุ นี้)
จดุ ทีเ่ กิดเหตุการณส ําคญั ในวนั มาฆบูชา (ลานจาตรุ งคสันนิบาต)[แก] ถงึ แมวาเหตกุ ารณจ าตุรงคสันนบิ าตจะเปนเหตกุ ารณส าํ คญั ยง่ิ ที่เกิดในบริเวณวดั เวฬุวนั มหาวหิ าร แตท วา ไมปรากฏรายละเอียดในบนั ทกึ ของสมณทูต ชาวจนี และในพระไตรปฎ กแตอยางใดวาเหตกุ ารณใหญน เี้ กิดขนึ้ ณ จดุ ใดของวดั เวฬุวนั รวมทั้งจากการขดุ คน ทางโบราณคดกี ไ็ มปรากฏหลกั ฐานวา มกี ารทาํ เคร่อื งหมาย (เสาหนิ ) หรอื สถปู ระบุสถานท่ปี ระชุมจาตุรงคสันนบิ าตไวแตอ ยางใด (ตามปกตแิ ลวบรเิ วณท่เี กดิ เหตุการณส าํ คัญทางพระพุทธศาสนา มกั จะพบสถูป โบราณหรือเสาหนิ พระเจา อโศกมหาราชสรา งหรือปก ไวเพ่อื เปน เครื่องหมายสาํ คญั สาํ หรับผูแสวงบญุ ) ทําใหใ นปจ จบุ ันไมสามารถทราบโดยแนช ัดวาเหตุการณ จาตุรงคสนั นบิ าตเกิดข้ึนในจดุ ใดของวัด ในปจ จุบันกองโบราณคดอี ินเดียไดแ ตเ พียงสนั นษิ ฐานวา \"เหตุการณดงั กลา วเกิดในบริเวณลานดา นทศิ ตะวนั ตกของสระกลันทกนวิ าป\" (โดยสันนษิ ฐาน เอาจากเอกสารหลักฐานวาเหตุการณดังกลาวมพี ระสงฆประชมุ กนั มากถงึ สองพนั กวารปู และเกิดในชว งทพี่ ระพทุ ธองคพง่ึ ไดทรงรับถวายอารามแหง นี้ การ ประชมุ ครั้งน้ันคงยังตอ งน่งั ประชมุ กนั ตามลานในปา ไผ เน่ืองจากเสนาสนะหรอื โรงธรรมสภาขนาดใหญยงั คงไมไ ดส รา งขนึ้ และโดยเฉพาะอยางย่ิงในปจ จบุ ัน ลานดานทิศตะวนั ตกของสระกลนั ทกนวิ าป เปน ลานกวา งลานเดยี วในบรเิ วณวัดท่ีไมมีโบราณสถานอ่ืนตงั้ อยู) โดยไดนาํ พระพทุ ธรูปยนื ปางประทานพรไป ประดษิ ฐานไวบ รเิ วณซมุ เลก็ ๆ กลางลาน และเรียกวา \"ลานจาตุรงคสันนิบาต\" ซง่ึ ในปจ จุบนั ก็ยงั ไมม ขี อสรปุ แนชัดวาลานจาตรุ งคสนั นิบาตทีแ่ ทจรงิ อยใู นจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลมุ สรา งซุมพระพุทธรปู ไวใ นบรเิ วณอ่นื ของวดั โดยเชอ่ื วาจุดทีต่ นสรางนั้นเปน ลานจาตุรงคสันนิบาตทีแ่ ทจริง แตพทุ ธศาสนกิ ชนชาว ไทยสว นใหญก เ็ ชอื่ ตามขอสันนิษฐานของกองโบราณคดีอนิ เดียดงั กลา ว โดยนยิ มนับถอื กนั วา ซุม พระพทุ ธรูปกลางลานน้เี ปนจดุ สักการะของชาวไทยผูมาแสวง บุญจุดสาํ คัญ 1 ใน 2 แหงของเมืองราชคฤห (อกี จุดหนง่ึ คือพระมลู คันธกฎุ ีบนยอดเขาคิชฌกฏู )
กิจกรรมทพี่ ทุ ธศาสนิกชนพงึ ปฏิบตั ิในวนั มาฆบชู า วกิ ซิ อรซ มงี านตน ฉบับเกยี่ วกบั : บทสวดมนตบ ูชาพระรัตนตรัยทํานองสรภญั ญะ วกิ ิซอรซ มีงานตนฉบับเกย่ี วกับ: คาํ นําถวายดอกไมธ ปู เทยี นในวันมาฆบูชา วนั มาฆบชู า พทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยนยิ มทําบญุ ตักบาตรในตอนเชา และตลอดวนั จะมีการบาํ เพญ็ บญุ กศุ ลความดีอื่น ๆ เชน ไปวัดรบั ศีล งด เวนการทําบาปท้ังปวง ถวายสังฆทาน ใหอ สิ ระทาน (ปลอยนกปลอยปลา) ฟงพระธรรมเทศนา และไปเวียนเทยี นรอบโบสถใ นเวลาเย็น[19] โดยกอนทาํ การเวียนเทยี นพุทธศาสนกิ ชนควรรวมกันกลาวคําสวดมนตและคาํ บชู าในวันมาฆบชู า โดยปกติตามวดั ตา ง ๆ จะจัดใหมกี าร ทําวัตรสวดมนตก อนทาํ การเวยี นเทยี น ซ่งึ สว นใหญนิยมทาํ การเวียนเทียนอยา งเปนทางการ (โดยมพี ระภกิ ษสุ งฆน าํ เวียนเทยี น) ในเวลา ประมาณ 20 นาฬิกา โดยบทสวดมนตทพ่ี ระสงฆนิยมสวดในวันมาฆบูชากอนทาํ การเวยี นเทียนนิยมสวด (ทง้ั บาลีและคําแปล) ตามลําดบั ดังนี้ บทบชู าพระรตั นตรยั (บทสวดบาลที ข่ี น้ึ ตนดว ย:อรหงั สัมมา ฯลฯ) บทนมสั การนอบนอมบชู าพระพทุ ธเจา (นะโม ฯลฯ ๓ จบ) บทสรรเสรญิ พระพทุ ธคุณ (บทสวดบาลีทีข่ ้นึ ตน ดวย:อติ ปิ โ ส ฯลฯ) บทสรรเสริญพระพทุ ธคุณ สวดทํานองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะที่ข้ึนตน ดว ย:องคใ ดพระสัมพทุ ธ ฯลฯ) บทสรรเสริญพระธรรมคณุ (บทสวดบาลที ่ขี ้ึนตน ดวย:สวากขาโต ฯลฯ) บทสรรเสรญิ พระธรรมคุณ สวดทาํ นองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะที่ขน้ึ ตนดว ย:ธรรมมะคอื คุณากร ฯลฯ) บทสรรเสริญพระสังฆคณุ (บทสวดบาลีทข่ี ้นึ ตนดวย:สปุ ฏิปน โน ฯลฯ) บทสรรเสรญิ พระสงั ฆคุณ สวดทาํ นองสรภัญญะ (บทสวดสรภญั ญะทข่ี ้นึ ตนดวย:สงฆใ ดสาวกศาสดา ฯลฯ) บทสวดบูชาเน่อื งในวนั มาฆบชู า (บทสวดบาลีทีข่ นึ้ ตนดว ย:อชั ชายงั ฯลฯ)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา เจา อยูหวั พระผดู ํารใิ หม พี ิธมี าฆบชู าขึ้นเปน คร้งั แรกของไทย
การกําหนดใหว ันมาฆบชู าเปน วนั สาํ คญั ทางพุทธศาสนาในประเทศไทย การประกอบพธิ ใี นวันมาฆบชู าไดเร่ิมมีขน้ึ ในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา เจาอยูห วั เนอ่ื งจากพระองคทรงเล็งเหน็ วา วนั นีเ้ ปน วนั คลายวันทเ่ี กดิ เหตุการณสาํ คญั ในพระพุทธศาสนา คอื เปนวันที่พระพุทธเจาทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข ฯลฯ ควรจะไดมีการประกอบพธิ ีบาํ เพญ็ กศุ ลตาง ๆ เพ่ือถวายเปนพุทธ บูชา โดยในคร้ังแรกนัน้ ไดท รงกาํ หนดเปนเพยี งการพระราชพิธีบําเพ็ญกุศลเปน การภายใน แตตอ มาประชาชนกไ็ ดน ยิ มนาํ พิธนี ี้ไปปฏิบตั สิ บื ตอ มาจนกลายเปน วนั ประกอบพิธีสําคญั ทางพระพทุ ธศาสนาวนั หนึง่ ไป เนอื่ งจากในประเทศไทย พุทธศาสนิกชนไดมกี ารประกอบพิธใี นวันมาฆบูชาสบื เน่อื งมาต้งั แตสมยั รชั กาลที่ 4 และนบั ถอื กันโดยพฤตินยั วาวนั น้ีเปน วัน สําคญั วันหนงึ่ ในทางพระพทุ ธศาสนาของประเทศไทยมาตั้งแตน ้ัน[21] โดยเมอ่ื ถึงวันนี้พุทธศาสนกิ ชนจะรวมใจกันประกอบพิธบี ําเพญ็ กุศลตา ง ๆ กันเปน งาน ใหญ ดงั น้นั เมือ่ ถงึ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลาเจา อยูห ัว พระองคจ ึงทรงประกาศใหวันมาฆบชู าเปน วนั หยดุ นกั ขัตฤกษ[1] สาํ หรบั ชาวไทยจะไดร ว มใจ กันบาํ เพญ็ กศุ ลในวนั มาฆบูชาโดยพรอ มเพรยี ง ในปจ จุบนั ยังคงปรากฏการประกอบพิธีมาฆบชู าอยูในประเทศไทยและประเทศทเ่ี คยเปนสว นหน่ึงของประเทศไทย เชน ลาว และกมั พูชา (ซ่งึ เปนสวนท่ี ไทยไดเ สยี ใหแกฝ รงั่ เศสในสมยั รชั กาลที่ 5) โดยไมปรากฏวามีการประกอบพิธนี ใ้ี นประเทศพุทธมหายานอนื่ หรือประเทศพทุ ธเถรวาทนอกน้ี เชน พมา และ ศรีลงั กา ซงึ่ คงสันนิษฐานไดวา พิธมี าฆบชู านเี้ ริม่ ตน จากการเปน พระราชพิธขี องราชสํานกั ไทยและไดขยายไปเฉพาะในเขตราชอาณาจกั รสยามในเวลาน้นั ตอ มาดินแดนไทยในสวนท่ีเปนประเทศลาวและกัมพูชาไดตกเปน ดนิ แดนในอารักขาของฝรัง่ เศส และไดร ับเอกราชในเวลาตอมา พุทธศาสนกิ ชนในประเทศท้ังสอง ทไ่ี ดรับคตนิ ิยมการปฏิบตั ิพธิ มี าฆบูชาตง้ั แตย ังเปนสว นหน่ึงของราชอาณาจกั รสยาม คงไดถอื ปฏิบัตพิ ิธมี าฆบชู าอยางตอเน่อื งโดยไมไ ดม กี ารยกเลกิ จึงทําใหคง ปรากฏพธิ ีมาฆบูชาในประเทศดังกลา วจนถงึ ปจ จุบัน
การประกอบพธิ ีทางศาสนาในวันมาฆบชู า พระราชพิธีบาํ เพญ็ พระราชกุศลในวนั มาฆบชู านี้ โดยปกติ พระบาทสมเด็จพระเจาอยหู ัวภูมิพลอดุยเดช เปน องคประธานในการพระราชพิธบี าํ เพญ็ พระราชกศุ ล และบางคร้ังทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหพ ระบรมวงศานวุ งศเ สดจ็ แทน โดยสถานทป่ี ระกอบพระราชพธิ จี ะจดั ในวดั พระศรรี ัตนศาสดาราม สาํ นัก พระราชวงั จะออกหมายกาํ หนดการประกาศการพระราชพิธนี ี้ใหทราบทัว่ ไปเปนประจําทกุ ป ในอดีตจะใชช ือ่ เรียกการพระราชพธิ ีในราชกจิ จานุเบกษาแตกตาง กัน บางครง้ั จะใชชื่อ \"การพระราชกุศลมาฆบูชาจาตรุ งคสันนบิ าต\"หรือ \"การพระราชกศุ ลมาฆบชู า\"หรือแม \"มาฆบูชา\"สว นในรัชกาลปจจุบัน สาํ นกั พระราชวงั จะใชชื่อเรยี กหมายกําหนดการท่ชี ัดเจน เชน \"หมายกาํ หนดการ พระราชกุศลมาฆบชู า พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๒\" รายละเอียดการประกอบพระราชพิธนี ี้ในพระราชนพิ นธพ ระราชพิธีสิบสองเดือน ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลาเจา อยหู ัว ไดมพี ระบรม ราชาธบิ ายเกี่ยวกับการพระราชพิธีในเดอื นสาม คือพระราชพิธบี าํ เพ็ญกศุ ลในวนั มาฆบูชาไว มใี จความวา “เวลาเชา พระสงฆว ัดบวรนิเวศและวัดราชประดษิ ฐ ๓๐ รปู ฉนั ในพระอโุ บสถวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม เวลาค่ําเสดจ็ ออกทรงจุดธูปเทยี นเครอื่ งนมัสการ แลว พระสงฆสวดทาํ วัตรเยน็ เหมอื นอยา งทว่ี ดั แลว จึงไดส วดมนตต อ ไป มสี วดคาถาโอวาทปาฏโิ มกขดว ย สวดมนตจ บทรงจุดเทยี นรายตามราวรอบพระอโุ บสถ ๑,๒๕๐ เลม มปี ระโคมดวยอีกครัง้ หน่งึ แลวจงึ มีเทศนาโอวาทปาฏิโมกขก ัณฑ ๑ เปน เทศนาทั้งภาษามคธและภาษาสยาม เคร่อื งกณั ฑจ วี รเนื้อดผี นื หนึง่ เงนิ ๓ ตําลึงและขนมตาง ๆ เทศนจบพระสงฆส วดมนตร บั สพั พี ๓๐ รูป” ในรชั กาลตอมาไดม ีการลดทอดพธิ บี างอยางออกไปบาง เชน ยกเลิกการถวายภตั ตาหารพระสงฆใ นเวลาเชา หรือการจุดเทียนราย 1,250 เลม เปน ตน แตกย็ ังคงมีการบาํ เพญ็ พระราชกศุ ลในวัดพระศรรี ตั นศาสดารามเหมือนเคย โดยในบางป พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยูห วั ภูมพิ ลอดุลยเดชจะทรงประกอบพิธี บําเพ็ญพระราชกศุ ลมาฆบชู าและทรงเวยี นเทยี นรอบพุทธศาสนสถานเปน การสวนพระองคต ามพระอารามหลวงหรือวดั ราษฎรอน่ื ๆ บาง ตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งการพระราชพธิ นี ี้เปนการแสดงออกถึงพระราชศรัทธาอนั แนนแฟนในพระพุทธศาสนา ขององคพ ระมหากษัตริยไทยผูทรงเปน เอกอคั รพุทธศาสนูปถมั ภมา ตง้ั แตอดีตจนถึงปจจุบัน
วันสําคัญอนื่ ที่เกย่ี วเนื่องกับวนั มาฆบูชา วนั คลา ยวนั ปลงพระชนมายุสังขาร นอกจากเหตกุ ารณจ าตรุ งคสนั นบิ าตในวันเพ็ญเดือน 3 ในพรรษาแรกของพระพุทธเจาแลว ในวนั เพ็ญเดอื น 3 แหงพรรษาสดุ ทา ยของพระพทุ ธเจา (คราวที่ทรงพระชนมายุ 80 พรรษา) ก็ไดเกิดเหตุการณส าํ คัญขน้ึ อกี เหตุการณหนึ่งคอื พระพุทธองคไ ดทรง ปลงพระชนมายสุ ังขาร พระศาสดาเสด็จพกั ผอน กลางวัน ณ ปาวาลเจดีย ทรงแสดงนิมติ โอภาสแกพ ระอานนทว า ผูใดเจริญอทิ ธิบาท 4 ประการ อาจมีอายุยืนไดถึงกปั แตพระอานนทม ิไดทลู อาราธนา เมอ่ื พระ อานนทออกไป มารจึงไดม าอาราธนาใหน พิ พาน พระองคท รงมสี ตสิ ัมปชัญญะ ปลงอายุสงั ขาร ณ ปาวาลเจดยี ว า อีก 3 เดอื นจะเสด็จปรินนพิ พาน เกิดเหตุ แผน ดนิ ไหว เมื่อพระอานนทท ราบ จึงกราบทลู อาราธนาใหท รงพระชนมช พี อยอู กี แตพระศาสดาตรัสวา มิใชก าล เพราะไดทรงแสดงนิมิตแลวถึง 16 ครง้ั ทรง ทาํ นายวา ในวนั เพญ็ เดอื น 6 ทจี่ ะมาถึง พระองคจ ะเขาสมู หาปรนิ ิพพาน จึงถอื ไดวาวันมาฆบชู าเปน วันคลา ยวันสําคัญของพระพทุ ธศาสนาสองเหตกุ ารณส าํ คญั คอื วันทีพ่ ระพทุ ธองคทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข และวันทที่ รงทําการปลงพระชนมายุสงั ขาร
วนั กตญั ูแหงชาติ (ประเทศไทย) ในป พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยไดเล็งเห็นถึงความสําคัญของวันมาฆบูชา (ทีอ่ าจถอื ไดวาเปน วนั แหงความรักของพระพทุ ธศาสนา) โดยถือวาเหตุการณ สําคญั ทเ่ี หลา พระสาวกท้งั 1,250 รปู ไดกลับมาเขา เฝา พระพทุ ธเจาดวยความรกั ในพระองคห ลงั จากไดอ อกไปเผยแพรพ ระศาสนาโดยมิไดนัดหมายดังกลาวเปน ส่ิงท่ีแสดงถงึ ความกตัญกู ตเวทอี นั บรสิ ทุ ธ์ิ และโดยเฉพาะอยา งยง่ิ ชวงเวลาในปฏทิ นิ จันทรคตใิ นวันเพญ็ เดือนสาม มักจะตกใกลกบั ชวง\"เทศกาลวาเลนไทน\" อนั เปนเทศกาลวนั แหง ความรักของครสิ ตศาสนา ซง่ึ วัยรุนไทยบางกลมุ มักยึดถอื คตคิ า นิยมวนั แหง ความรักในวนั วาเลนไทนผ ดิ ๆ โดยนิยมยดึ ถือกันวา เปน วนั แหงความรักของคนหนุม สาว หรอื แมก ระทง่ั ถอื วา เปน \"วันเสยี ตวั แหงชาติ\"ซ่ึงสง ผลกระทบตอ คานยิ มทางจรยิ ธรรมและศีลธรรมของวยั รนุ ไทย รัฐบาลไทยใน สมยั น้นั จึงไดประกาศใหว ันมาฆบูชาเปน วันกตัญแู หงชาติ \"เพอ่ื สงเสริมคา นิยมที่เหมาะสมแกวัยรนุ ไทย ใหหนั มาสนใจกับความรกั อันบริสทุ ธทิ์ ไี่ มห วงั ส่ิง ตอบแทน\" แทนทีจ่ ะไปมวั เมากับความรักใครช สู าวหรอื เรือ่ งฉาบฉวยทางเพศของหนุมสาว อนั จะกอ ใหเกิดปญหาแกส ังคมตามมา การผลักดันใหม ีวนั กตัญแู หงชาติมมี าตัง้ แต พ.ศ. 2546 เคยมีการตั้งกระทถู ามในสภาผแู ทนราษฎรใหพจิ ารณากําหนดใหม วี นั กตญั แู หงชาติ แตถ กู ปฏิเสธจากผูท ี่เกยี่ วของ โดยอา งวา ในประเทศไทยมวี ันสําคญั แหง ชาติทีเ่ ก่ียวกับการแสดงความกตัญมู ากพอแลวตอ มาในป พ.ศ. 2549 นักพูดช่อื ดังหลายคน เชน ดร.ผาณิต กนั ตามระ นายสุรวงศ วฒั นกลุ ดร.อภชิ าติ ดําดี นายเฉลิมชัย จารไุ พบูลย ดร.โอภาส กิจกําแหง และนายถาวร โชติช่ืน ไดร ว มกันทาํ หนงั สอื ถงึ คณะมนตรีความม่ันคงแหงชาตขิ อใหสง เสริมใหว นั มาฆบชู าเปน วันกตญั แู หงชาตอิ กี วนั หน่งึ ดวย และไดรบั การตอบรับจากผเู กย่ี วขอ ง วันกตัญแู หงชาตินี้ นอกจากเพอ่ื แสดงออกถงึ วนั แหงความรักอนั บรสิ ุทธขิ์ องชาวพุทธแลว ยังเพอ่ื สง เสรมิ คานยิ มใหค นไทยยึดถอื ความกตญั ู โดยอาจ มีการพูดคุย สง บตั รอวยพร มอบของขวัญหรือชอ ดอกไมแกผูมพี ระคุณ เปน การแสดงความระลกึ ถึงพระคุณดว ยความหวังดขี องผูใ ห ไมวา จะเปนส่งิ ของ การ แสดงออกซง่ึ น้ําใจหรอื คาํ พดู กต็ าม
เหตกุ ารณส ําคญั ในวันมาฆบูชา เหตุการณ์ที : วนั จาตุรงคสนั นิบาต ซึงในวนั นนั ถือวา่ เป็น \"วนั จาตุรงคสนั นิบาต\" หรือ วนั ทีมีการประชมุ พร้อมดว้ ยองค์ เนืองจากมี \"องคป์ ระกอบอศั จรรย์ ประการ\" คือพระสงฆ์ , รูปที พระพทุ ธองคไ์ ดส้ ง่ ไปเผยแพรพ่ ระพทุ ธศาสนาตามแวน่ แควน้ ตา่ งๆ ไดก้ ลบั มาเฝ้ าพระพทุ ธเจ้าอยา่ งพร้อมเพรียงกนั โดยมิไดน้ ดั หมายพระสงฆท์ งั หมดลว้ นเป็นเอหิภิก ขทุ ีพระพทุ ธเจ้าทรงบวชใหด้ ว้ ยพระองคเ์ องทงั สิน ซึงเรียกวา่ เอหิภิกขอุ ุปสมั ปทาพระสงฆท์ งั หมดลว้ นเป็นพระอรหนั ต์ คือผไู้ ดอ้ ภิญญา ขอ้ วนั ทีพระสงฆท์ งั หมดมาชมุ นุมกนั นี ตรงกบั วนั เพญ็ เดือนมาฆะ (วนั ขึน คา่ เดือน )ดว้ ยเหตุการณ์ประจวบกบั อยา่ ง จึ งมีชือเรียกอีกชือหนึงวา่ จาตุรงคสนั นิบาต (มาจากศพั ทบ์ าลี จตุ + องฺค + สนฺนิปาต แปลวา่ การ ประชมุ อนั ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบทงั สีประการ) โดยประชมุ กนั ณ วดั เวฬุวนั มหาวหิ าร กรุงราชคฤห์ แควน้ มคธ หลงั จากพระพทุ ธเจ้าตรัสรู้แลว้ เดือน ( ปี กอ่ นพทุ ธศกั ราช) โดยพระอรหนั ตท์ งั หลายนนั ตา่ งไปเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธเจ้า ณ วดั เวฬุวนั มหาวหิ าร กรุงราชคฤห์ อนั เป็นทีประทบั โดยมีคณะทงั คือ คณะศิษยข์ องชฎิล พีนอ้ ง คือ คณะพระอุรุเวลกสั สปะ (มีศิษย์ องค)์ คณะพระนทีกสั สปะ (มีศิษย์ องค)์ คณะพระคยากสั สปะ (มีศิษย์ องค)์ คณะของพระอคั รสาวกคือคณะพระสารีบุตรและพระมหาโมคคลั ลานะ (มีศิษย์ องค)์ รวมนบั จํานวนได้ , รูป (จํานวนนีไมไ่ ดน้ บั รวมชฎิล พีนอ้ ง และพระอคั รสาวกทงั สอง)
เหตกุ ารณท ี่ 2 : ประทานโอวาทปาฏโิ มกข หวั ใจแหงพระพุทธศาสนา พระพทุ ธเจา เมอ่ื ทรงทอดพระเนตรเห็นมหาสังฆสนั นิบาตอันประกอบไปดวยเหตุอัศจรรยดงั กลาว จึงทรงเหน็ เปนโอกาสอนั สมควรทจ่ี ะแสดง \"โอวาทปาฏโิ มกข\" อนั เปน หลกั คาํ สอนสําคัญที่เปน หวั ใจของพระพทุ ธศาสนาแกทป่ี ระชุมพระสงฆเหลานน้ั \"โอวาทปาฏโิ มกข\" แปลวา คําสอน เพอื่ ความหลดุ พน จากกิเลสและความทุกข เพื่อวางจุดหมาย หลกั การ และวธิ ีการ ในการเขาถงึ พระพทุ ธศาสนาแกพ ระอรหันตสาวกและพทุ ธบริษทั ท้ังหลาย พระพุทธองคจ ึงทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขเ ปนพระ พุทธพจน 3 คาถาก่งึ ทา มกลางมหาสงั ฆสนั นิบาตนนั้ มีใจความดงั น้ี พระพทุ ธพจนค าถาแรก ทรงกลา วถึง พระนพิ พาน วาเปน จดุ มุงหมายหรืออุดมการณอนั สูงสุดของบรรพชิตและพุทธบรษิ ทั อนั มีลักษณะที่แตกตางจากศาสนาอืน่ ดังพระบาลีวา \"นพิ ฺพานํ ปรมํ วทนตฺ ิ พุทธฺ า\" พระพทุ ธพจนคาถาท่ีสอง ทรงกลา วถงึ \"วธิ กี ารอนั เปนหัวใจสาํ คญั เพือ่ เขาถึงจดุ มุงหมายของพระพทุ ธศาสนาแกพ ทุ ธบรษิ ัททงั้ ปวงโดยยอ\" คือ การไมท ําความชั่วทั้งปวง การบาํ เพ็ญแตความดี และการทาํ จติ ของตนใหผองใสเปนอิสระจากกเิ ลสท้ังปวงสวนนี้ของโอวาทปาฏโิ มกขท ่พี ุทธศาสนกิ ชนมกั ทอ งจํากนั ไปปฏบิ ตั ิ ซึง่ เปน เพียงหนึ่งคาถาในสามคาถากึง่ ของ โอวาทปาฏิโมกขเ ทานน้ั พระพุทธพจนค าถาสดุ ทา ย ทรงกลา วถึง หลักการปฏิบัติของพระสงฆผ ทู าํ หนา ทีเ่ ผยแผพระศาสนา 6 ประการ คอื การไมก ลา วรายใคร, การไมท าํ รายใคร , การมคี วามสาํ รวมในปาฏโิ มก ขท งั้ หลาย, การเปนผูรูจักประมาณในอาหาร และการรูจักท่ีนงั่ นอนอนั สงัด
เหตกุ ารณท ี่ 3 : พระพุทธเจาทรงวันปลงพระชนมายุสังขาร นอกจากเหตกุ ารณจ าตรุ งคสนั นบิ าตในวนั เพ็ญเดอื น 3 ในพรรษาแรกของพระพุทธเจา แลว ในวันเพญ็ เดอื น 3 แหง พรรษาสุดทายของพระพทุ ธเจา (คราวที่ ทรงพระชนมายุ 80 พรรษา) กไ็ ดเกิดเหตุการณส ําคัญข้ึนอกี เหตกุ ารณหนงึ่ คอื พระพุทธองคไดทรง ปลงพระชนมายสุ ังขารขณะท่พี ระศาสดาเสดจ็ พักผอนกลางวนั ณ ปาวาลเจดยี ทรงแสดงนมิ ติ โอภาสแกพ ระอานนทว า ผใู ดเจรญิ อทิ ธิบาท 4 ประการ อาจมีอายยุ นื ไดถ ึงกัป แตพ ระอานนทม ไิ ดทูลอาราธนา เมื่อพระอานนทออกไป มาร จงึ ไดมาอาราธนาใหน ิพพาน พระองคท รงมีสติสัมปชญั ญะ ปลงอายสุ ังขาร ณ ปาวาลเจดยี ว า อกี 3 เดือนจะเสดจ็ ปรนิ พิ พาน ทาํ ใหเ กิดเหตุแผน ดนิ ไหวเม่ือพระอานนท ทราบ จงึ กราบทลู อาราธนาใหท รงพระชนมช ีพอยอู ีก แตพ ระศาสดาตรัสวา มิใชก าล เพราะไดทรงแสดงนิมิตแลวถึง 16 คร้งั ทรงทาํ นายวาในวันเพ็ญเดือน 6 ทีจ่ ะมาถงึ พระองคจะเขา สมู หาปรินพิ พานจงึ ถือไดวา วันมาฆบูชาเปน วนั คลา ยวนั สําคัญของพระพุทธศาสนาสองเหตุการณส าํ คัญ คอื วันท่พี ระพทุ ธองคท รงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข และวันทีท่ รงทําการปลงพระชนมายุสังขาร เหตกุ ารณท ี่ 4 : พระสารีบตุ ร บรรลุอรหัตผล นอกจากนี้ วันมาฆบชู ายงั เปน วันท่ีพระสารีบตุ ร บรรลุอรหตั ผล ทีถ่ ้ําสกุ รขาตา หลังจากบวชได 15 วนั เวลาผานไปครงึ่ เดือน (หลังจากท่ีพระสารบี ตุ รบวชใน พระพุทธศาสนา) ที่ถํ้าสกุ รขาตา เชงิ เขาคชิ กฏู นครราชคฤห พระพทุ ธเจาเสด็จไปโปรดพระสารีบตุ ร ทฆี นขปรพิ าชกผเู ปน หลาน (ลุง) พระสารีบตุ ร เขาเฝา พระพทุ ธองคเ พ่ือทลู ถามปญหา พระพทุ ธองคทรงแสดงธรรมเกีย่ วกบั ทิฏฐแิ ละเวทนา ทีฆนขะไดบรรลโุ สดาบนั สว นพระสารีบตุ รนนั้ ทานกําลังถวายงานพดั พระพุทธองค ทานไดย ินธรรมเหลา นนั้ อยูดว ย ก็สาํ เรจ็ เปน พระอรหนั ตใ นวันขึ้น 15 คํา่ เดอื น 3 นั่นเอง เหตกุ ารณท ่ี 5 : พระพทุ ธเจาทรงตง้ั พระอคั รสาวก คือพระสารีบุตร และพระโมคคลั ลานะ ในวนั 15 คํา่ เดือน 3 นัน้ เอง เนอ่ื งจากเปนวันทีพ่ ระสาวกลวนแตเปน พระอรหันต 1,250 องค ไมไ ดน ดั หมายกนั มาประชุมพรอมกันได พระพุทธเจา จงึ ทรงต้ังให พระสารบี ตุ รเปนอัครสาวกฝายขวา ใหพระโมคคลั ลานะเปนอคั รสาวกฝา ยซา ย นบั วา เปน การประชุมพระสาวกครั้งแรก ณ เวฬวุ ันวิหารเมอื งราชคฤห
นางสาว กิ่งรัก บุษปฤกษ เลขที่4 ปวส.1/13
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: