Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 04 วิจัยบทที่ 1

04 วิจัยบทที่ 1

Published by supawat0003, 2020-12-03 09:15:34

Description: 04 วิจัยบทที่ 1

Search

Read the Text Version

5 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง งานวิจัยเรื่อง การใช้เกมประกอบการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนตารวจตระเวนชายแดนทุติยะโพธิอนุสรณ์ ผู้วิจัยได้ศึกษา แนวคดิ และทฤษฎที ่ีเก่ยี วขอ้ งจากเอกสารและงานวิจยั ดงั ต่อไปน้ี 1. การสอนคาศัพท์ภาษาอังกฤษ 2. การใช้เกมประกอบการสอน 3. การเรยี นรู้คาศพั ท์ 4. งานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 5. กรอบแนวคิดการวจิ ัย

6 1. การสอนคาศัพทภ์ าษาองั กฤษ 1.1. ความหมายของคาศพั ท์ คาศัพท์หมายถึง กลุ่มเสียงกลุ่มหน่ึง ซึ่งมีความหมายให้รู้ว่าเป็นคน สิ่งของ อาการ หรือ ลักษณะอาการอย่างใดอย่างหน่ึง (บุษรีย์ ฤกษ์เมือง, 2552 อ้างถึงใน ศิธร แสงธนู และ คิด พงศทัต, 2521) ปัญจลักษณ์ ถวาย ( 2557 อ้างถึงใน Hatch & Brown, 1995) ได้ให้ความหมายของคาศัพท์ ไว้ว่า คาศัพท์หมายถึง คา หรือ กลุ่มคาสาหรับภาษาใดภาษาหน่ึงท่ีผู้พูดอาจจะสื่อความหมายในแต่ ละภาษา นอกจากน้ียังหมายถึงคาทุกคาในภาษาที่เป็นท่ีรู้จักของแต่ละบุคคล รวมถึงคาในกลุ่มคา พเิ ศษต่างๆ ทถ่ี กู ใช้ในจดุ ประสงคเ์ ฉพาะ เชน่ ธุรกจิ กฎหมายและรายการคาทเ่ี รยี งตามตวั อกั ษร คาศัพท์ หมายถึง คาทุกคาในภาษาที่ถูกใช้และเป็นท่ีเข้าใจในเฉพาะบุคคล วงสังคม วงการ อาชีพ เชื้อชาติ หรือโดยท่ัวไป คาอาจได้แก่ รายการคาหรือวลี ท่ีถูกจัดเรียงตามระบบการเรียงอักษร พร้อมกับมีการอธิบายความหมาย แปล หรือยกตัวอย่างประกอบ (ณัฐวราพร เปลี่ยนปราณ, 2558 อ้างถึงใน มอรร์ สิ Morris, 1979) คาศัพท์ หมายถึง คาหรือกลุ่มคาสาหรับภาษาใดภาษาหนึ่ง ซึ่งผู้พูดอาจจะใช้สื่อความหมาย ในแตล่ ะภาษา (อัญญรัตน์ สมศกั ด์ิ, 2558 อ้างถึงใน Hatch and Brown, 1995) คาศัพท์ คือ กลุ่มเสียงที่มีความหมาย แบ่งออกได้หลายประเภท ข้ึนอยู่กับหลักเกณฑ์ที่ แตกต่างกันออกไป เช่น แบ่งตามรูปหรือคา หรือ แบ่งตามลักษณะการใช้ เป็นต้น (พรพรรณ เหมทานนท,์ 2559 อา้ งถงึ ใน สมพร วราวทิ ยาศรี, 2541) คาศัพท์ หมายถึง คา กลุ่มเสียง เสียง เสียงพูด วลีต่างๆ คาท่ีมีความหมาย ลายลักษณ์อกั ษร ที่เขียนข้ึนเพ่ือแสดงความคิด เป็นคาที่ถูกใช้ในภาษาพูดและภาษาเขียน เพ่ือสื่อความหมายและแสดง ความคิดต่างๆ ในระหว่างมนุษย์ใน แต่ละชนชาติหรือภาษานั้นๆ (มัลลิกา สุวรรณพันธุ์ 2559 อา้ งถึงใน พรสวรรค์ สปี อ้ , 2550) สรุปได้ว่า คาศัพท์หมายถึง เสียงพูด กลุ่มเสียง คาหรือวลี ทั้งในภาษาเขียนและภาษาพูด ไดแ้ ก่ คานาม คากรยิ า คาคุณศพั ท์ และคากรยิ าวิเศษณ์ 1.2 ความสาคญั ของคาศัพท์ บุษรีย์ ฤกษ์เมือง (2552 อ้างถึงใน Ghadessy, 1979) ให้ความเห็นว่า การสอนคาศัพท์ มีความสาคัญย่ิงกว่าการสอนโครงสร้างทางไวยากรณ์ เพราะคาศัพท์เป็นพื้นฐานของการเรียนภาษา หากผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับคาศัพท์ก็สามารถจะนาคาศัพท์มาสร้างเป็นหน่วยท่ีใหญ่ขึ้น เช่น วลี ประโยค ความเรยี ง แต่หากไม่เขา้ ใจคาศพั ทก์ ไ็ ม่สามารถเขา้ ใจหน่วยทางภาษาทใ่ี หญ่กว่าได้เลย ธีมาพร สลุงสุข (2555 อ้างถึงใน ยุพิน จันทร์ศรี, 2545) สรุปความหมายของคาศัพท์ไว้ว่า คาศัพท์เป็นปัจจัยพื้นฐานในการเรียนภาษาทุกภาษา เพราะการรู้คาศัพท์ช่วยให้ส่ือความหมายได้ดี

7 และการท่ีจาคาศัพท์ได้มากจะทาให้สามารถสื่อความหมายได้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน นอกจากน้ัน ความรู้ทางด้านคาศัพท์ยังเป็นพื้นฐานในการพัฒนาทักษะท้ัง 4 ด้านในการเรียนคือ ทักษะการฟัง การพดู การอา่ นและการเขียนไดด้ ียงิ่ ขึน้ อีกดว้ ย อัญญรัตน์ สมศักดิ์ (2558 อ้างถึงใน รณพร ศิลาขาว, 2538) ได้ให้ความเห็นว่า คาศัพท์เป็น หน่วยพ้ืนฐานทางภาษาซึ่งผู้เรียนจะต้องเรียนรูเ้ ป็นอันดับแรกเหตุ เพราะคาศัพท์เป็นองค์ประกอบท่ีมี คาศพั ทใ์ นการเรยี นรู้และฝกึ ฝนทกั ษะทางภาษาคือ การฟงั พดู อา่ น และเขียน พรพรรณ เหมทานนท์ (2559 อ้างถึงใน Stewick,1972) กล่าวว่า ในการเรียนภาษาน้ันการ เรียนรู้คาศัพท์ของภาษาใหม่ถือว่าเป็นเรื่องสาคัญมาก ความสาเร็จในการเรียนภาษาต่างประเทศ ส่วนหนึง่ นัน้ ข้นึ อยูก่ บั ความสามารถในการใช้องค์ประกอบของภาษา ซึ่งประกอบดว้ ย เสียง โครงสร้าง และคาศัพท์ ซึ่งองค์ประกอบทั้งสามประการนั้นจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเรื่องที่ผู้อ่ืนพูด และ สามารถพูดให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้ คาศัพท์ภาษาอังกฤษจึงนับเป็นหัวใจสาคัญอย่างหนึ่งในการเรียนภาษา โดยถือวา่ ผู้เรยี นเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศก็ตอ่ เมอื่ 1. ได้เรยี นรู้ในระบบเสยี ง คือ สามารถพดู ไดด้ ีและสามารถเขา้ ใจได้ดี 2. ได้เรียนรู้และสามารถใชไ้ วยากรณ์ของภาษานั้นๆ ได้ 3. ได้เรียนรู้คาศัพทจ์ านวนมากพอสมควรท่ีจะสามารถนามาใช้ สรุปไดว้ ่า คาศัพท์ถือว่าเปน็ หน่วยพ้ืนฐานของภาษาทผ่ี ู้เรียนต้องเรียนรู้เป็นลาดบั แรกและถือ ว่าเป็นเร่ืองสาคัญมาก ซ่ึงความสาเร็จในการเรียนภาษาต่างประเทศส่วนหน่ึงนั้นขึ้น อยู่กับ ความสามารถในการใช้องค์ประกอบของภาษา เพราะคาศัพท์เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สาคัญในการ เรียนรทู้ งั้ ทกั ษะฟัง พดู อ่าน และเขยี นภาษา 1.3 ประเภทของคาศัพทภ์ าษาอังกฤษ บุษรีย์ ฤกษ์เมือง (2552 อ้างถึงใน Dale Edgar and Others, 1999) ได้แบ่งคาศัพท์ ออกเป็น 2 ประเภทดังน้ี 1. คาศัพท์ท่ีมีความหมายในตัวเอง (Content Words) คือ คาศัพท์ประเภทท่ีเราอาจบอก ความหมายได้โดยไมข่ ้ึนอย่กู ับโครงสรา้ งของประโยค เป็นคาทีม่ ีความหมายตามพจนานุกรม เช่น cat, book เป็นตน้ 2. คาศัพท์ท่ีมีความหมายแน่นอนในตัวเอง (Function Words) หรือที่เรียกว่า ไวยากรณ์ ได้แก่ คานาหน้า (Article), คาบุพบท (Preposition), คาสรรพนาม (Pronoun) คาประเภทน้ีมีใช้ มากกว่าคาประเภทอ่ืน เป็นคาท่ีไม่สามารถสอนและบอกความหมายได้ แต่ต้องอาศัยการสังเกตจาก การฝึกใช้โครงสร้างต่างๆ ในประโยค ณัฐวราพร เปลี่ยนปราณ (2558 อ้างถึงใน ปรียา อุนรัตน์, 2548) กล่าวว่า คาศัพท์แบ่ง ออกเปน็ 4 ประเภท คือ

8 1. คาศัพท์ท่ีกล่าวถึงส่ิงท่ีมีชีวิตและส่ิงที่ไม่มีชีวิต รวมทั้งปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เช่น ก้อนหนิ ต้นไม้ สุนัข มนษุ ย์ ภูตผีปีศาจ 2. คาศัพท์ที่เก่ยี วกับกริยาอาการ กระบวนการต่างๆ เช่น วิ่ง คิด ตาย ยอ้ มใหด้ า 3. คาศัพทท์ ีบ่ อกให้ทราบถึงคุณสมบัติและปริมาณ เชน่ นมุ่ แดง กลม มากมาย 4. ความสัมพันธ์ระหว่างคาศัพท์ท้ัง 3 ประเภท ข้างต้นน้ี ซึ่งอาจเป็นไปในลักษณะท่ีเป็นเหตุ เป็นผลกัน เรยี งลาดบั กัน เสริมความหมายกัน หรือแสดงวา่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของทง้ั หมด อัญญรัตน์ สมศักดิ์ (2558 อ้างถึงใน แฮทชและบราวน Hatch and Brown,1995) ได้แบ่ง คาศัพทอ์ อกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.คาศัพท์ท่ีใช้เพ่ือรับสาร (Receptive Vocabulary) คือ คาศัพท์ที่ใช้เพื่อการรับรู้เป็น คาศัพท์ท่ีผู้เรียนได้รับจากการฟังและการอ่าน ผู้เรียนสามารถจาได้เมื่อคาศัพท์นั้นอยู่ในบริบท แต่ไมส่ ามารถนาคาศพั ท์นั้นไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้ ผสู้ อนเพียงให้ผู้เรียนร้คู วามหมายเพยี งเทา่ นั้น 2. คาศัพท์ท่ีใช้เพื่อส่ือสาร (Productive Vocabulary) คือ คาศัพท์ท่ีใช้เพื่อการส่ือสาร เป็น คาศัพท์ท่ีผู้เรียนเข้าใจ ออกเสียงได้ถูกต้อง และสามารถนาไปใช้อย่างถูกต้องในการพูดและการเขียน ผ้สู อนจึงตอ้ งฝึกผูเ้ รียนให้ใช้คาศพั ทน์ ้ันๆ เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นสามรถนาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้ พรพรรณ เหมทานนท์ (2559 อ้างถึงใน สุไรพงศ์ ทองเจริญ, 2526) ได้แบ่งประเภทของ คาศัพทอ์ อกเปน็ 2 ประเภทคือ 1. Active Vocabulary คือ คาศัพท์ท่ีนักเรียนควรจะใช้เป็นและใช้ได้อย่างถูกต้อง คาศัพท์ เหล่านี้ใช้มากในการฟัง พูด อ่าน และเขียน เช่นคาว่า important, necessary, consist เป็นต้น สาหรบั การเรียนคาศัพทป์ ระเภทน้ี จะต้องฝึกใช้บอ่ ยๆ ซา้ ๆ จนนกั เรยี นสามารถนาไปใช้ไดถ้ กู ต้อง 2. Passive Vocabulary คือ คาศัพท์ท่ีควรจะสอนให้รู้แต่ความหมายและการออกเสียง เท่านั้น ไม่จาเป็นต้องฝึกคาศัพท์ประเภทนี้ เช่น คาว่า elaborate, fascination, contrastive เป็น ต้น คาศัพท์เหล่านี้เม่ือผู้เรียนเรียนในระดับท่ีสูงข้ึน ก็อาจจะกลายเป็นคาศัพท์ประเภท Active Vocabulary ได้ สรุป คาศัพท์ในภาษาองั กฤษสามารถแบ่งไดห้ ลากหลายประเภท แบ่งจากความหมายของคา คือ คาที่มีความหมายในตัวเอง และคาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง หรือคาศัพท์ประเภท Active and Passive หรืออื่นๆ 1.4 องคป์ ระกอบของคาศพั ท์ภาษาองั กฤษ ณัฐวราพร เปลี่ยนปราณ (2558 อ้างถึงใน พรสวรรค์ สีป้อ, 2550) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบ ของคาศัพท์ว่ามีองค์ประกอบท่ีสาคัญ 2 ประการ คือ รูปคา (Form) และความหมาย (Meaning) ท้ัง รปู คาและความหมายต่างมี องค์ประกอบยอ่ ย ๆ ดงั น้ี

9 1. รูปคา (Form) ประกอบด้วย การออกเสยี ง (Pronunciation) การสะกดคา (Spelling) การผนั คา (Inflections) และการแปลงคา (Derivations) 1.1 การออกเสียง (Pronunciation) ในการเรียนรู้คาศัพท์ผู้สอนต้องฝึกให้นักเรียนออก เสียงถูกต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษในข้ันเร่ิมต้น ผู้สอนต้องให้ผู้เรียนฝึกออก เสียงให้มาก หน่วยเสียงภาษาที่ควรฝึกเป็นพิเศษ คือ หน่วยเสียงที่ไม่มีในภาษาไทย เช่น เสียง / θ / ในคา thin เสียง / ð / ในคาว่า then เป็นต้นนอกจากหน่วยเสียงภาษาอังกฤษที่ไม่มีใน ภาษาไทยแล้ว สิ่งท่ีเป็นปัญหาสาหรับผู้เรียนไทยอีกประการหนึ่งก็คือ บางคร้ังคาภาษาอังกฤษไม่มี กฎเกณฑ์แน่นอนในความสัมพันธ์ระหว่างการออกเสียงและการเขียน เช่น through กับ though two กับ twin row กับ now ดังนั้นจึงควรให้ผู้เรียนรู้สัญลักษณก์ ารออกเสยี ง (Phonetic Symbols) เพ่ือให้เกิดความเข้าใจและออกเสียงได้ถูกต้อง เม่ือหน่วยเสียงรวมกันเป็นคา การออกเสียงคา ภาษาอังกฤษก็มีลักษณะที่แตกต่างจากคาไทย คือ เสียงเน้น (Stress) ซึ่งเป็นปัญหาต่อผู้เรียนไทย ผสู้ อนจึงต้องตระหนกั ถึงเรื่องน้ีด้วย ผู้เรยี นไทยทฟี่ ังเจา้ ของภาษาพูดไม่รูเ้ รอื่ ง สาเหตหุ น่ึงก็เน่ืองมาจากไม่เคยชินกับ เสยี งเน้น 1.2 การสะกดคา (Spelling) นอกจากหน่วยเสียง รูปคายังประกอบด้วย การสะกดคา ก่อนสอนคา ครูควรให้นักเรียนออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะในบางครั้งไม่มีกฎเกณฑ์ท่ี แน่นอนใน ความสัมพันธ์ระหว่างการออกเสียงและการเขียน เช่น เช่น through กับ though two กับ twin row กับ now 1.3 การผนั คา (Inflections) การผันคาเกิดขึ้นเม่ือคาเปล่ียนรูป แต่ความหมาย ยังคงเดิม ส่ิงท่ีแตกต่างไป คือ ไวยากรณ์ เช่น man – men, make – makes, walk – walked เป็นต้น 1.4 การแปลงคา (Derivations) คาในภาษาอังกฤษเป็นจานวนมากเกิดจากการเติมวิภัติ และปัจจัย (Prefixes and Suffixes) เช่น unbreakable เกิดจากการเตมิ ปัจจัย -able และวิภัติ un- ในคา break จะเห็นว่าจากคา break เกิดคาใหม่อีก 2 คา หรือ beautiful เกิดจากการเติมปัจจัย – ful ในคา beauty เป็นต้น วิภัติ คือหน่วยคาท่ีเติมหน้าคา และปัจจัย เป็นหน่วยที่เติมท้ายคา การรู้วิภตั ิและปจั จัยทาให้ผ้เู รียนรู้คาศพั ทม์ ากขึ้น 2. ความหมาย (Meaning) ประกอบด้วย ความหมายตรงตัว (Basic and Literal Meanings) ความหมายแฝง (Connotation) ความหมายเชงิ ภาพพจน์ (Figurative Meanings) และ ความสมั พันธ์ทางความหมาย (Semantic Relation) 2.1 ความหมายตรงตัว (Basic and Literal Meanings) ความหมายตรงตัว คือ ความหมายตามพจนานุกรม (Lexical Meaning) เป็นความหมายที่ติดมากับคานั้น เช่น เมื่อพูดถึง type-writer ก็หมายถึงพิมพ์ดีด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามคาภาษาอังกฤษคาหนึ่งอาจมีความหมาย มากกว่าหนึ่งความหมายก็ได้ เช่น She sets the tray down on the table. กับ Have you set a

10 date for the wedding? set ท่ีปรากฏอยู่ใน 2 ประโยคนี้มีความหมายแตกต่างกัน ในประโยคแรก set ความหมายตรงกับ put down และในประโยคหลัง หมายถึง decide การท่ีคาๆ หนึ่งมี ความหมายมากกว่าหน่ึงความหมายน้ี มักเป็นปัญหาต่อผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาท่ีสอง/ ภาษาต่างประเทศ ดังน้นั สิ่งสาคญั ในการเรียนรู้คาศัพทค์ ือ การสอนคาศพั ทใ์ นบรบิ ท (Context) 2.2 ความหมายแฝง (Connotation) นอกจากความหมายตรงตัวแล้วคาภาษาอังกฤษยัง มีคาที่มีความหมายแฝง ซึ่งเป็นคาทม่ี คี วามสัมพันธ์กบั เจตคตแิ ละอารมณ์ของผู้เขยี น ในการเลือกใช้คา เพ่ือให้มีอิทธิพลต่อผู้อ่าน หรือผู้ฟัง เช่นคา childlike และ childish ทั้งสองคาน้ีมี ความหมาย ใกล้เคียงกันแต่ childish มีความหมายแฝงท่ีเป็นลบ เป็นต้น ในการสอนศัพท์ครูควรช่วยให้นักเรียน เขา้ ใจความหมายแฝงของภาษาองั กฤษด้วย 2.3 ความหมายเชิงภาพพจน์ (Figurative Meanings) เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ เช่น John worked like a bee. Winter undressed the tree. He has a stone face. ความหมายเชิงเปรียบเทียบนี้ผู้ฟังหรือผู้อ่านต้องตีความ เพราะไม่ได้มีความหมาย ทต่ี รงไปตรงมา 2.4 ความสัมพั น ธ์ท างความหมาย (Semantic Relation) ป ระกอบด้วย คาท่ี มี ความหมายเหมอื นกัน (Synonym) คาที่มคี วามหมายตรงข้ามกัน (Antonym) คาปรากฏร่วมจาเพาะ (Collocation) และคาลูกกลุ่ม (Hyponym) 2.4.1 คาที่มีความหมายเหมือนกัน (Synonym) คือคาท่ีสามารถนาไปแทนที่กันได้ ในข้อความโดยข้อความเดิมความหมายไม่เปล่ียนแปลง เช่น เราสามารถนาคา politely ไปแทนท่ี courteously ในประโยค He answered courteously. ได้โดยความหมายของประโยคยงั คงเดมิ 2.4.2 คาที่มีความหมายตรงข้าม (Antonym) ตัวอย่างของคาที่มีความหมายตรง ข้าม เช่น dead และ alive, male และ female เป็นตน้ 2.4.3 คาปรากฏร่วมจาเพาะ (Collocation) คือคาท่ีต้องใช้ร่วมกัน เช่น เราใช้ a high building ไมใ่ ช้ a tall building หรือใช้ do homework ไม่ใช้ make homework เปน็ ตน้ 2.4.4 คาลูกกลุ่ม (Hyponym) หมายถึง คาประเภทเดียวกัน เช่น marigold, rose, carnation, sunflower เป็นคาท่ีอยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือ flowers และ sweater, shirt, pants, blouse, vest อยูใ่ นกลมุ่ เดียวกัน คือ clothes เปน็ ต้น พรพรรณ เหมทานนท์ ( 2559 อ้างถึงใน ศิธร แสงธนู และ คิด พงษ์ทัต, 2541) ได้กล่าวถึง องคป์ ระกอบทสี่ าคัญของคาศัพทว์ า่ ต้องมีองคป์ ระกอบดงั นี้ 1. รูปคา (Form) ไดแ้ ก่ รปู ร่างหรอื การสะกดตวั ของคาน้ันๆ

11 2. ความหมาย (Meaning) ได้แก่ ความหมายของคาน้ัน ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดแล้วคาศัพท์ หนง่ึ ๆ จะมคี วามหมายแฝงอยถู่ งึ 4 นยั ดว้ ยกันคือ 2.1 ความหมายตามพจนานุกรม (Lexical Meaning) ได้แก่ ความหมายตามพจนานุกรม สาหรับภาษาอังกฤษ คาหนึ่งๆมีความหมายหลายอย่าง บางคาอาจใช้ในความหมายแตกต่างกันทาให้ บางคนเข้าใจความหมายท่ีแตกต่างกันออกไป หรือความหมายท่ีตนไม่ค่อยรู้จักน้ันเป็น “สานวน” ของภาษา เช่น He went to his house. (บา้ นท่เี ปน็ ทอี่ ยอู่ าศัย) The President lives in the White House. (บ้านประจาตาแหน่งประธานาธบิ ดี) The House of Representative is meeting today. (สภา) 2.2 ความหมายทางไวยากรณ์ (Morphological Meaning) คาศัพท์ประเภทนี้เมื่ออยู่ ตามลาพังโดดๆ จะเดาความหมายได้ยาก เช่น “s” เม่ือไปต่อท้ายคานาม hats, pens จะแสดง ความหมายเป็นพหูพจน์ หรือเมื่อนาไปต่อท้ายคากริยา เช่น walk ในประโยค She walks home. ก็จะหมายความวา่ การกระทานัน้ ทาอยู่เปน็ ประจา เป็นตน้ 2.3 ความหมายจากการเรยี งคา (Syntactic Meaning) ความหมายท่ีเปลีย่ นแปลงไปตาม การเรยี งลาดับ เช่น boathouse หมายถึง อเู่ รอื houseboat หมายถึง เรอื ทท่ี าเปน็ บา้ น 2.4 ความหมายตามเสียงขึ้นลง (Intonation Meaning) ได้แก่ ความหมายของคาท่ี เปลยี่ นไปตอนเท่ยี งขนึ้ ลงที่ผ้พู ูดเปลง่ ออกมาไมว่ า่ จะเปน็ เสียงทมี่ ีพยางค์เดียวหรือมากกว่า เชน่ Fire กับ Fire คาแรกเป็นการบอกเล่าที่อาจทาให้ผู้ฟังตกใจมากหรือน้อย แล้วแต่น้าหนักของเสียงที่เปล่ง ออกมา ส่วนคาหลงั เปน็ คาถามเปน็ เชิงไมแ่ นใ่ จจากผู้ฟงั 3. ขอบเขตการใช้คา (Distribution) จาแนกออกเปน็ 3.1 ขอบเขตทางด้านไวยากรณ์ เช่น ในภาษาอังกฤษการเรียงลาดับคา หรือตาแหน่งของ คาทีอ่ ย่ใู นประโยคท่ีแตกตา่ งกนั ทาให้คาน้นั มคี วามหมายแตกต่างกนั ออกไปดว้ ย ดงั ประโยคต่อไปน้ี This man is brave. (คานาม) แปลวา่ คนผู้ชาย They man the ship. (คานาม) แปลว่า บงั คับ We need more man-power. (คาคุณศัพท์) แปลวา่ กาลังคน 3.2 ขอบเขตของภาษาพูดและภาษาเขียน คาบางคาใช้ในภาษาพูดเท่าน้ันและคาบางคา ใชภ้ าษาเขียนโดยเฉพาะ 3.3 ขอบเขตของภาษาในแต่ละท้องถิ่น การใช้คาศัพท์บางคามีความหมายแตกต่างกันไป ในแต่ละทอ้ งถ่นิ แมแ้ ตภ่ ายในประเทศเดียวกนั กย็ งั มีภาษาทอ้ งถนิ่ ที่แตกต่างกันไป

12 สรุปได้ว่า องค์ประกอบของคาศัพท์ภาษาอังกฤษ มี 3 ประการคือ รูปคา ความหมาย และ ขอบเขต ของการใช้คาในด้านของความหมาย มีความหมายทางไวยากรณ์ ความหมายจากการเรยี งคา ส่วนในด้านของของเขตของการใช้คาแบ่งออกเป็นขอบเขตทางด้านไวยากรณ์ ขอบเขตของภาษาพูด และภาษาเขยี น ขอบเขตของภาษาในแต่ละท้องถ่ิน 1.5 หลักการเลือกคาศพั ทใ์ นการสอน บษุ รีย์ กฤษ์เมือง (2552 อา้ งถงึ ใน Maggi, 1997) ได้ให้ความเหน็ เก่ียวกบั หลักการในการ เลอื กคาศพั ท์มาสอนนักเรยี นดังนี้ 1. คาศัพท์ที่ปรากฏบ่อยๆ (Frequency) หมายถึง คาศัพท์ที่ปรากฏบ่อยในหนังสือเป็น คาศัพทท์ ีน่ ักเรยี นต้องรจู้ กั จึงจาเปน็ ตอ้ งนามาสอนเพอื่ ใหน้ กั เรยี นรู้และใชไ้ ด้อยา่ งถูกต้อง 2. อัตราความถี่ของคาศัพท์จากหนังสือต่างๆ สงู (Range) หมายถึง จานวนหนังสือที่นามาใช้ ในการนับความถี่ ใช้หนังสือจานวนมากเท่าไหร่ บัญชีความถ่ียิ่งมีคุณค่ามากเท่าน้ัน เพราะคาที่จะหา มาได้จากหลายแหล่งย่อมมีความสาคัญมากกว่าคาท่ีพบเฉพาะในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งอย่างเดียว แม้ว่าความถีข่ องคาศัพท์ที่พบในหนังสือเล่มน้นั จะมีมากกต็ าม 3. สถานการณ์หรือสภาวะในขณะนั้น (Availability) คาศัพท์ท่ีเลือกมาใช้ไม่ได้ข้ึนอยู่กับ ความถี่เพียงอย่างเดียว ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ด้วย เช่น คาว่า blackboard ถ้าเก่ียวกับ หอ้ งเรยี นครูต้องใช้คาน้ี แม้จะเป็นคาท่ไี ม่ปรากฏบอ่ ยท่ีอ่นื 4. คาท่ีครอบคลุมคาไดห้ ลายอยา่ ง (Coverage) หมายถึง คาที่สามารถครอบคลุมความหมาย ได้หลายอยา่ งหรอื สามารถใช้คาอื่นแทนได้ 5. คาท่ีเรียนรู้ได้ง่าย (Learn ability) หมายถึง คาที่สามารถเรียนรู้ได้ง่าย เช่น คาท่ีคล้ายกับ ภาษาเดมิ มีความหมายชัดเจน สนั้ และจางา่ ย มัลลิกา สุวรรณพันธ์ (2555 อ้างถึงใน ศิธร แสงธนู และคิด พงศทัต, 2521) ได้ให้ความเห็น เกย่ี วกับหลักการในการเลือกคาศพั ทม์ าสอน ดังน้ี 1. คาศัพท์ที่ปรากฏบ่อย (Frequency) หมายถึง คาศัพท์ท่ีปรากฏบ่อยในหนังสือ เป็น คาศพั ทท์ ่นี กั เรยี นต้องรจู้ กั จึงจาเปน็ ต้องนามาสอน เพือ่ ใหน้ ักเรยี นรู้และใช้ไดอ้ ย่างถูกต้อง 2. อตั ราความถ่ีของคาศัพท์จากหนังสือต่างๆ สูง (Range) หมายถึง จานวนหนังสือท่ีนามาใช้ ในการนับความถ่ี ยิ่งใชห้ นังสือจานวนมากเท่าไหร่ บัญชีความถี่ยิ่งมีคุณค่ามากเท่าน้ัน เพราะ คาท่ีจะ หาได้จากหลายแหล่งย่อมมีความสาคัญมากกว่าคาที่จะพบเฉพาะในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งอย่างเดียว แมว้ ่าความถ่ีของคาศัพทท์ พี่ บในหนังสือเล่มนั้นๆ จะมมี ากก็ตาม 3. สถานการณ์หรือสภาวะในขณะน้ัน (Availability) คาศัพท์ท่ีเลือกมาใช้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ความถ่ีเพียงอย่างเดียว ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ด้วย เช่น คาว่า blackboard ถ้าเก่ียวข้องกับ ห้องเรียนครูตอ้ งใช้คานี้ แมจ้ ะเปน็ คาทไ่ี มป่ รากฏบอ่ ยทอ่ี ื่น

13 4. คาท่ีครอบคลุมคาได้หลายอย่าง (Coverage) หมายถงึ คาที่สามารถครอบคลุมความหมาย ไดห้ ลายอย่าง หรือสามารถใช้คาอ่นื แทนได้ 5. คาท่ีเรียนรู้ได้ง่าย (Learnability) หมายถึง คาท่ีสามารถเรียนรู้ได้ง่าย เช่น คาท่ีคล้ายกับ ภาษาเดิม มีความหมายชัดเจน สน้ั และจาง่าย ณัฐวราพร เปล่ียนปราณ (2558 อ้างถึงใน Mc Whorter, 1990) ได้กล่าวถึง การเลือกสรร คาศัพท์ ควรเลือกคาศัพท์ท่ีมีประโยชน์และใช้มากกับตัวผู้เรียน แต่ก็ข้ึนอยู่กับองค์ระกอบท่ีต่างกันไป สิ่งท่ีสาคัญที่ต้องพิจารณา คือ เป้าหมายในการเรียน หรือแผนงานท่ีสามารถนา ไปใช้ หรือมีส่วน เกี่ยวข้องมากท่สี ดุ อัญญรัตน์ สมศักดิ์ (2558 อ้างถึงใน รวิรรณ ศรีคร้ามครัน, 2539) ได้กล่าวว่าในการสอน คาศพั ท์ให้แก่ผ้เู รยี น ครจู ะต้องรจู้ ักเลือกคาศัพท์ที่จะนามาใช้สอนโดยคานึงถึงความหมายของคาศัพท์ ท่ีเหมาะสมกับรูปประโยคท่ีจะสอนและเป็นคาศัพท์ท่ีนิยมใช้กันอยู่เป็นประจาในการส่ือความหมาย นอกจากนี้ยังมีคาศัพท์บางประเภทที่เรียกว่าคาศัพท์ท่ีไม่มีความหมายในตัวเอง (Function words) ซึ่งจาเป็นต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับรูปแบบทางไวยากรณ์ท่ีคาๆ นั้นเก่ียวข้อง รวมท้ัง ความหมายของคา ซึ่งจะต้องสัมพนั ธ์กบั รูปแบบของประโยคและไวยากรณด์ ้วย สรุปได้ว่า การเลือกคาศัพท์เพ่ือนามาสอนผู้เรียนน้ัน ควรเป็นคาศัพท์ที่อยู่ใกล้ตัวและเป็น คาศัพท์ท่ีปรากฏบ่อย นอกจากนี้คาศัพท์ท่ีจะนามาสอนนั้นต้องเหมาะสมกับวัยและระดับ ความสามารถของผ้เู รียน อกี ทงั้ นกั เรียนสามารถนาไปปรบั ใช้ในชวี ิตประจาวันได้ 1.6 วิธีการสอนคาศัพท์ภาษาองั กฤษ บุษรีย์ ฤกษ์เมือง (2552 อ้างถึงใน อนุภาพ ดลโสภณ, 2542) ได้เสนอแนะลาดับข้ันในการ สอนคาศัพทด์ งั นี้ 1. พิจารณาความยากงา่ ยของคา ครูควรพิจารณาว่าคานั้นๆเป็นคาศัพท์ยากหรือคาศัพท์ง่าย หรือเป็นคาศัพท์ท่ีมีปัญหา ท้ังนี้เพ่ือจะได้แบ่งแยกหาวิธีในการสอน และทาการฝึกให้เหมาะกับ คาศพั ทน์ นั้ 2. สอนความหมายให้นักเรียนตีความหมายจากภาษาอังกฤษโดยตรง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ภาษาไทย โดยอาจจะใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น แผนภูมิ รูปภาพ ของจริง หรือแสดงกริยาท่าทางประกอบ เพ่อื ใหน้ ักเรยี นเข้าใจความหมายอยา่ งเด่นชัดขึน้ 3. ฝึกการออกเสียงคาศัพท์ใหม่ ครูเขียนคาศัพท์ใหม่ลงบนกระดาน อ่านให้นักเรียนฟังก่อน และให้นักเรียนออกเสียงตาม หากนักเรียนออกเสียงผิดก็ให้ออกเสียงให้ถูกต้อง สาหรับกลวิธีในการ สอนความหมายคา เพ่ือหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาไทยในการสอนนั้นมีวิธีการหลายแบบท่ีครูช่วยให้ นักเรียนเข้าใจความหมายของคาจากภาษาอังกฤษโดยตรงดงั ต่อไปน้ี

14 3.1 ใช้คาศัพท์ท่ีนักเรียนรู้หรือจากส่ิงแวดล้อมของนักเรียนมาผูกประโยคเพื่อเช่ือมโยง ไปสู่ความหมายของคาศัพทใ์ หม่ 3.2 ใช้ประโยคของคาศัพท์เก่า เมื่อมีความหมายเหมือนกันหรือตรงกันข้ามกับคาศัพท์ ใหม่ 3.3 สอนคาศัพทใ์ หม่ โดยการใช้คาจากัดความหมายงา่ ย ๆ 3.4 ใช้ภาพหรือของจริงประกอบกับการอธิบายความหมาย อุปกรณ์ประเภทนี้หามาได้ ง่าย เช่น ของที่อยู่รอบตัวเอง เครื่องแต่งกายหรือส่วนต่างๆของร่างกาย หรืออาจใช้ภาพลายเส้น การ์ตูน เขียนภาพบนกระดานดาได้ อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้การแสดงความหมายชัดเจนโดยไม่ต้อง ใช้คาแปลประกอบ 3.5 การแสดงทา่ ทาง ครใู ชก้ ารแสดงท่าทางประกอบการแสดงความหมายของคาได้ 3.6 การใช้บริบทหรือสอนใหเ้ ดาความหมายจากประโยค สาหรบั การฝึกใช้คาศัพท์ต้องฝึก ในรปู ประโยคเสมอ และรูปประโยคที่นามาฝึกก็ต้องเป็นประโยคท่ีถูกต้องและใช้ได้ในสถานการณ์จริง ประโยคที่นามาใช้ต้องเป็นประโยคที่นักเรียนรู้จักแล้ว สอนคาศัพท์ใหม่ในรูปประโยคใหม่ ครูควรหา วธิ เี สรมิ คาศัพท์ โดยใชว้ ธิ กี ารฝึกตา่ งๆ เชน่ 3.6.1 หาคาศัพทท์ ม่ี ีความหมายเหมอื นกัน 3.6.2 หาคาศพั ทท์ ี่มีความหมายตรงกนั ข้าม 3.6.3 หาคาศัพทท์ ่ีมาจากราก (root) เดยี วกนั 3.6.4 หาคาศพั ทท์ ี่มีความหมายอยูใ่ นกลุ่มเดยี วกัน 3.6.5 ศกึ ษาชนิดของคา (Parts of speech) 3.6.6 ฝึกการเติมวภิ ัตติปัจจัย (Prefix and suffix) เขา้ ไปในคาท่นี ักเรยี นท่รี ูจ้ กั แล้ว ธีรมาพร สลุงสุข (2555 อ้างถึงใน Dale Edgar and others, 1999) ได้กล่าวถึงวิธีการสอน คาศพั ทด์ งั นี้ 1.นักเรียนในระยะเร่ิมเรยี นควรจะได้เรียนการออกเสียงอย่างถูกตอ้ งและสามารถเรียงคาเป็น ประโยคในการพูดได้อย่างม่นั ใจและถกู ต้อง คาท่ีไม่มีความหมายในตนเอง (Function word) เช่น คา บพุ บท to, for และอืน่ ๆ ควรให้ฝกึ ในโครงสรา้ งประโยคอย่างคล่องแคลว่ 2. ทบทวนคาศัพท์เก่าเม่ือพบโครงสร้างประโยคใหม่ แต่ส่ิงท่ีจาเป็นคือ สอนการออกเสียง ใหม่ในโครงสร้างของประโยคใหม่ 3. คาศัพทท์ ่นี ักเรียนสนใจหรอื อยใู่ นหัวข้อท่จี ะเรยี นไม่จาเป็นต้องเรียนทีเดียวหมด 4. คาศพั ทท์ เี่ รยี นควรจะเปน็ คาศพั ทท์ ี่เด็กต้องการ เพ่ือใช้ในชวี ติ ประจาวันของเด็ก 5. โดยทว่ั ไปในระยะเรม่ิ แรก ควรเรียนคาศัพทใ์ หม่ 3-5 คาและควรเพ่ิมขึน้ ในระดับสงู ต่อไป

15 6. คาศัพท์ใหม่ 3-5 หมายถึง การฝึกในแบบฝึกหัดหรือกิจกรรม และใช้ในการสร้างประโยค ใหม่ในโครงสร้างเดิมที่เรียนมา เช่นคาว่า hospital ถ้านักเรียนรู้จักประโยค I went to the store. ก็ สามารถสร้างประโยคใหม่ I went to the hospital. และนักเรียนควรจะได้ใช้คาใหม่ในทักษะอื่น ๆ เชน่ ฟัง พดู อา่ น เขียน หรือในกจิ กรรมอ่ืนๆ 7. ในการเลือกคาศัพท์ที่สาคัญประการหนึ่งคือ เป็นคาที่เจ้าของภาษาใช้พูดอยา่ งแทจ้ ริง และ ควรตงั้ คาถามเสมอวา่ นักเรียนจะใชพ้ ูดอย่างไร 8. สิ่งท่ีจาเป็นในการเลือกคาศัพท์ คือศัพท์ใหม่ ใช้สิ่งท่ีอยู่ใกล้ตัวและสามารถใช้ใน ชีวิตประจาวนั 9. ในระยะเริ่มแรก คาท่ีสอนควรมีภาพประกอบ หรือการแสดงง่ายๆ ซ่ึงนักเรียนจะใช้คา เหลา่ นีใ้ นการเรียนสงิ่ ท่ยี ากตอ่ ไป ณัฐวราพร เปลี่ยนปราญ (2558 อา้ งถงึ ใน บุญโฮม ชูสกุล, 2553 )ได้เสนอวธิ ีการสอนคาศัพท์ ดังนี้ 1. การให้คาจากัดความ คือ การท่ีครูให้คาศัพท์ หรือคาจากัดความศัพท์ที่ต้องการสอน อาจ ให้นักเรียนเติมคาจากัดความหรือคาศัพท์ด้วยตนเอง คาแปลหรือคาจากัดความน้ีอาจนามาจาก พจนานุกรมในรูปแบบต่างๆ สิ่งสาคัญครูควรสอนให้นักเรียนรู้จักใช้พจนานุกรมเป็นแหล่งค้นคว้า ไม่ ควรยึดตดิ พจนานกุ รมมากจนเกินไป 2. การเดาคาศัพท์ตามบริบท วิธีการนี้นิยมใช้กันมาก เนื่องจากผู้อ่านสามารถนากลวิธีการ อา่ นเช่นน้ีไปใช้ในการอ่านอย่างอิสระโดยไม่ต้องใช้พจนานุกรมหรือครู แต่ควรเป็นกระบวนการท่ีค่อย เปน็ คอ่ ยไป 3. การใช้ประสบการณ์เดิมเชอื่ มโยงเข้ากับความหมายของศัพท์ใหม่ (Relating new words to what is already known) ครูใช้วิธีการสอนเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนนาความรู้เดิมมาสัมพันธ์และ เกย่ี วข้องกับความหมายของศพั ท์ใหม่ โดยใช้วิธกี ารต่อไปน้ี 3.1 แผนภูมิความรู้ (Semantic maps) ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักจัดโครงสร้างของ ข้อมูลอย่างเป็นระบบ สามารถใช้เป็นกิจกรรมก่อนอ่านเพ่ือเป็นการแนะนาคาศัพท์สาคัญแล้วยังเป็น การชว่ ยกระตนุ้ ความรู้เดิมเกย่ี วกบั หัวขอ้ เรื่อง 3.2 แผนภูมิคาศัพท์ (Word map or Concept of definition) ช่วยให้นักเรียนจัด ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเก่ียวกับคาจากัดความออกเป็นประเภทได้ คือ กลุ่มหรือประเภท (Category) คุณสมบัติหรือลักษณะ (Properties) โครงสร้างของแผนภูมิคาศัพท์ยังช่วยให้นักเรียนได้ จดจาและระลึกถึงความหมาย หรอื ความคดิ รวบยอดของศัพทใ์ หม่ๆ ไดอ้ กี ด้วย 3.3 ตารางการวิเคราะห์ความหมายคาศัพท์ (Semantic feature analysis) คือ ตารางท่ี แสดงความสัมพันธ์ หรือเปรียบเทียบความหมายของคาศัพท์ การสอนโดยวิธีน้ีสอดคล้องกับทฤษฎี

16 โครงสร้างความรู้ เนื่องจากช่วยให้นักเรียนเข้าใจความสัมพันธ์ของคาศัพท์ซึ่งเป็นคาท่ีมีความหมาย กว้างและคาที่มีความหมายช้ีเฉพาะ ตารางวิเคราะห์น้ียังช่วยกระตุ้นความรู้เดิมของนักเรียนท่ีมี เก่ยี วกับคาศัพท์คานน้ั ๆ 3.4 เส้นต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคาศัพท์ท่ีอยู่ในกลุ่มเดียวกัน (Word Lines) เพ่อื แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสัมพนั ธ์ของคาศัพท์เพ่อื พัฒนาการความรเู้ กย่ี วกับคาศัพท์ 3.5 การหาความสัมพันธ์ของคาศัพท์ใหม่ หรือความคิดรวบยอดท่ีนักเรียนเคยรู้แล้ว ลดหล่ันตามลาดับ (Concept ladder) เช่น ครูจะสอนคาว่า “Guitar” ให้นักเรียนอภิปรายว่านัก เรียนรอู้ ะไรบา้ งเก่ยี วกบั ประเภทลักษณะและวัสดุที่ทา 3.6 การทานายเร่ืองจากคาศัพท์ (Predict-o-gram) เป็นกลวิธีการสอนก่อนการอ่านท่ี ชว่ ยให้นกั เรียนทานายเรื่องได้จากคาศพั ท์ 3.7 การบอกความสัมพันธ์ของคาศัพท์จากมากไปหาน้อย หรือสูงสุดไปหาต่าสุด (Semantic Gradient) 4. เสริมความรู้เก่ียวกับคาศัพท์เพ่ิมเติม (Extending word meaning) โดยการนาคาศัพท์ที่ คล้ายๆ กันมาเปรียบเทียบ แยกแยะ หรอื รวมเป็นหมวดเปน็ หมู่ โดยใช้วิธีตอ่ ไปน้ี 4.1 การจัดคาศัพท์ที่มีความสัมพันธ์กัน หรือตามลักษณะท่ีเหมือนกันเข้าเป็นหมวดหมู่ เดียวกนั (Word Sorts) 4.2 การจัดกลุม่ คาโดยวิเคราะห์ความสมั พันธข์ องคาชนดิ ต่างๆ (Categorization) คล้ายๆ Word sorts แต่ลักษณะการจัดกลุ่มต่างกันออกไป เช่น ให้วงกลมคาท่ีมีความหมายกวา้ งครอบคาที่มี ความหมายแคบกวา่ เป็นตน้ 4.3 กิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนเห็นความสัมพันธ์ที่สาคัญของความคิดรวบยอด (Post Structured Overviews) 5. การสอนศัพท์พเิ ศษ 5.1 คาท่สี ะกดต่างกันแต่ออกเสียงเหมือนกนั (Homophones) 5.2 คาทส่ี ะกดเหมือนกันแต่มีความหมายตา่ งกนั (Homograph) 5.3 คาท่มี หี ลายความหมาย (Multiple meaning) 5.4 คาทแ่ี สดงการเปรยี บเทยี บ (Analogy) 5.5 คาท่ีมีความหมายตรงตามพจนานุกรม (Denotations) และคาที่มีความหมายพิเศษ เฉพาะบคุ คล หรือมีความหมายลกึ ๆแตกต่างกัน (Connotations) 5.6 คาที่มีความหมายเหมือนกนั (Synonym) และคาที่มีความหมายตรงกนั ขา้ ม (Antonym) 6. หาที่มาหรอื กาเนิดของศัพท์ (Word origin and histories)

17 7. การสะสมศัพทด์ ว้ ยตนเอง (Vocabulary self-collection strategy) อัญญรัตน์ สมศักด์ิ (2558 อ้างถึงใน พรสวรรค์ สีป้อ, 2550) ได้เสนอขั้นตอนในการสอน คาศัพทไ์ ว้เป็น 3 ขน้ั ตอน คอื ข้นั นาเสนอ ข้นั ฝกึ และขัน้ นาไปใช้ดังตอ่ ไปน้ี 1. ขน้ั นาเสนอ โดยมีเทคนิคการนาเสนอคาศพั ท์มหี ลายวธิ ี ดังนี้ 1.1 การให้ตัวอย่าง เช่น การให้ดรู ูปภาพ ของจริง 1.2 การสอนด้วยเทคนิคการตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response) หรือ TPR 1.3 การแสดงละครใบ้และการใช้ท่าทาง วิธีน้ีเหมาะสาหรับสอนศัพท์ที่แสดง ท่าทาง (Action Verbs) ทาให้นกั เรยี นสนุกสนานและจาคาศัพทไ์ ดด้ ี 1.4 การให้คาท่มี ีความหมายเหมอื นกนั หรือคาท่ีมีความหมายตรงกันขา้ ม เช่น hard มี ความหมายเหมือนกนั different และคาว่า good ตรงกันขา้ มกับ bad ควรนาไปใช้กบั กบั นกั เรยี นท่ี รู้จะไดผ้ ลดี 1.5 การให้คาจากัดความ เช่น A pedestrian is a person who walks in the street. ถ้าผู้สอนใช้วิธีการนี้ คาจากัดความต้องชัดเจน และต้องตรวจสอบดูว่านักเรียนเข้าใจความหมาย ถกู ต้องหรือไม่ 1.6 การให้ผู้เรียนเดาความหมายจากบริบท ซ่ึงบริบทต้องชัดเจน เช่น จะสอนคาว่า affluent ท่ีมีความหมายวา่ มง่ั คัง่ รา่ รวย ผูส้ อนอาจใช้บริบท ดงั นี้ Sarah never wears the same clothes. She always wears expensive jewelry and drives a Mercedez Benz. She must be affluent. เปน็ ต้น 2. การแปล ถ้าวิธีการอ่านแล้วจะทาให้เสียเวลามาก ผู้สอนอาจจะใช้วิธีการแปล นอกจากน้ัน การ สอนคาศัพท์เป็นนามธรรม ผู้สอนอาจจะใช้แปลสิ่งที่ต้องระวังในการแปลคือ คาบางคาสามารถแปล ตรงตวั ได้ 3. ขน้ั ฝึก การฝึกคาศัพท์ควรเริ่มจากคาเด่ียว ต่อจากนั้นฝึกเป็นประโยคและข้ันสุดท้ายฝึก เป็น ข้อความทเ่ี กยี่ วเน่อื งกนั (Connected discourse) 4. ขัน้ นาไปใช้ การนาคาศัพท์ไปใช้นั้นมักจะสัมพันธ์กับทักษะอ่ืน และควรเป็นลักษณะของการ ส่ือสาร เช่น นาคาศัพท์ไปแต่งเป็นเร่ืองสั้น ๆ นาไปใช้ในการสนทนา การแสดงบทบาทสมมุติการแสดงละคร เปน็ ตน้

18 สรุปได้ว่า ในการสอนคาศัพท์น้ัน ครูควรสอนการออกเสียงคาศัพท์ สอนเขียน สอนให้ นักเรียนทราบความหมายของคาศัพท์โดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ เป็นส่ือเพ่ือสนองเรื่องการสะกดคาและ สอนให้นักเรียนนาคาศัพท์ไปใช้ในรูปประโยคได้ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาและใช้วีการสอน คาศัพท์ภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อฝึกทักษะด้านคาศัพท์ให้ผู้เรียนมี ประสิทธภิ าพมากยิ่งขนึ้ 2. การใชเ้ กมประกอบการสอน 2.1 ความหมายของเกม บุษรีย์ ฤกษ์เมือง (2552 อ้างถึงใน วิมลรัตน์ คงภิรมย์ช่ืน (2554) ให้ความหมายของ เกมประกอบการสอนไว้ว่า เกม หมายถึง กิจกรรมการเล่นท่ีให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยฝึก ทักษะให้นักเรียนเกิด ความคิดรวบยอดในส่ิงท่ีเรียนอาจมีการแข่งขันหรือไม่ก็ได้ แต่จะต้องมีกติกา การเลน่ กาหนดไว้ และจะต้องมีการประเมินผลความสาเร็จของผเู้ ลน่ ด้วย ธีมาพร สลุงสุข (2555 อ้างถึงใน พรสวรรค์ สีป้อ, 2550) ให้ความหมายของเกมภาษาไว้ว่า เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน มีกติกา มีกฎเกณฑ์ กติกา การเล่นเกมอาจเล่นเพียงคนเดียวหรือมากกว่า ก็ได้ อาจจะเป็นกิจกรรมเพ่ือความสนุกสนาน หรือเป็นกิจกรรมทางการเรียนรู้ก็ได้ การใช้เกมใน การเรียนรู้ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและผ่อนคลาย เน่ืองจากการได้ลงมือทาและ เคลื่อนไหว ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนด ดังนั้น เกมจึงช่วยให้ผู้เรียนมี พัฒนาการในการเรียนรู้ภาษา นอกจากนั้นเกมยังทาให้ผู้เรียนกล้าแสดงออก ทาให้การเรียนรู้ มปี ระสทิ ธิภาพ เหรียน ถิ หยอื อี๊ (2556 อ้างถึงใน ดวงเดือน วงั สินธ์, 2533) กล่าวว่าเกมหมายถึงการแขง่ ขัน ท่ีมีเวลากาหนดแน่นอน มีกฎกติกาที่ไม่สลับซับซ้อนมากนัก และเป็นการเล่นท่ีส่งเสริมให้เกิดพัฒนา เคลื่อนไหวขั้นพ้ืนฐาน จริ นาถ อุ่นเพ็ญ (2558 อา้ งถึง เตือนใจ เฉลิมกจิ , 2545) ได้ให้ความหมายของเกมสอนภาษา ไว้ว่าเกมภาษา เป็นรูปแบบกิจกรรมท่ีเด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง (Task Based) มีกฎกติกาที่ชัดเจนสร้าง ความสนุกสนานโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นเคร่ืองมอื ในการนาไปสู่การเป้าหมายมีกลยุทธ์ที่ทาให้เด็กต้อง ใช้ทักษะทางภาษาและทักษะอ่ืนๆ ได้ เกมอาจมีลักษณะเป็นการแข่งขันหรือไม่ก็ได้ บางกิจกรรมอาจ คล้ายการฝึกท่ีสนกุ สนานต้องร่วมมือกันเพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายช่วยให้เด็กเกิดความคดิ วิเคราะห์ได้เป็น อยา่ งดี ขวัญฤทัย พิสัยสวัสดิ์ (2558 อ้างถึงใน เรืองศักดิ์ อัมไพพันธ์, 2545) ได้ให้ ความหมายไว้ว่า เกม หมายถึง กิจกรรมทางภาษาที่จัดขึ้นเพื่อท่ีจะทดสอบ (test) และ เสริมสมรรถภาพ (enlarge) ในการเรียนภาษาของผู้เรียน โดยเน้นหนักไปในทางผ่อนคลาย (relax) เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน และเกดิ การเรียนร้ทู ั้งในรายบุคคลและสมาชิกในกลุ่มภายใต้เง่ือนไข (conditions) ทก่ี าหนด

19 ณัฐวราพร เปล่ียนปราณ (2558 อ้างถึงใน วิภา ตัณฑุลพงษ์, 2549) ได้ให้ความหมายของ เกมทักษะภาษาไว้ว่าเกมทักษะภาษา (Language Games) เป็นเกมท่ีผู้เรียนได้ฝึกทบทวนทักษะทาง ภาษาอาศัยจินตนาการและการใช้คาพูดโดย อาจมีการใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบ เช่น ภาพ บัตรคา ของจริง เป็นเกมท่ีใช้ในการพัฒนาการคิด การฝึกทางานกลุ่มและทักษะทางภาษาอย่างรอบด้าน เช่น เกมเกี่ยวกบั การอา่ น ฟงั พูด และเขยี น เป็นต้น อัญญารัตน์ สมศักดิ์ (2558 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2552) ได้กล่าวถึงความหมายของ วิธีการสอนโดยใช้เกม ว่าเป็นกระบวนการท่ีผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ท่ีกาหนด โดย การให้ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา โดยนาเสนอเน้ือหาข้อมูลของเกม พฤติกรรมการเลน่ วิธกี าร เลน่ และผลการเลน่ เกมของผ้เู รียนมาใช้ในการอภปิ รายเพื่อสรปุ การเรียนรู้ มัลลิกา สุวรรณพันธุ์ (2559 อ้างถึงใน เรืองศักด์ิ อัมไพพันธ์, 2542) เกมคาศัพท์ หมายถึง การฝึกคาศัพท์และการออกเสียงคาศัพท์ โดยท่ีมุ่งทดสอบความจาและความรู้เดิมที่ผู้เล่นเคยมี ประสบการณ์ทางด้านภาษา ท้ังในด้านการออกเสียง การสะกดคา ความหมายและ Parts of Speech มากอ่ น จากความหมายของเกมดังกล่าว สรุปได้ว่า เกม หมายถึง กิจกรรมการเล่นหรือการแข่งขัน เพื่อการเรียนรู้ มกี ารกาหนดจุดมุ่งหมาย กฎเกณฑ์ กตกิ า ผู้เล่น วิธีการเล่น การตัดสนิ ผลการเล่นเป็น แพ้หรือชนะ การนาเกมมาประกอบการสอนจะช่วยทาให้หอ้ งเรยี นมีชีวิตชีวา บทเรยี นน้ันนน้ั น่าสนใจ ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน นักเรียนมีโอกาสใช้ปฏิภาณไหวพริบของตน สามารถจาบทเรยี นได้งา่ ย เรว็ และจาไดน้ าน 2.2 คุณคา่ ของการใชเ้ กม การให้นักเรียนเรียนรู้โดยการใช้เกมประกอบการสอนนั้นจะก่อให้เกิดคุณค่าหลายประการ ดังนี้ เหรียน ถิ หยือ อ๊ี (2556 อ้างถึงใน สมใจ ศรีสนิ รุ่งเรอื ง, 2536) กล่าวถึงคุณค่าของการใช้เกม ประกอบการสอนหลายประการ ดังนี้ 1. ด้านร่างกาย การเล่นเกมจะช่วยตอบสนองความจะช่วยสนองความต้องการของร่างกาย ตามหลกั สรีระวิทยา สามารถควบคุมบุคลิกภาพการทางานของร่างกายให้เป็นไปอย่างดยี ่ิง ตามความ ต้องการของผู้เล่น ซึ่งเป็นการแสดงออกทางสรีระวิทยาอย่างกว้างขวางและถูกต้องเหมาะสม นับว่า เปน็ การส่งเสริมทักษะขัน้ พื้นฐาน 2. ด้านอารมณ์ เกณฑ์จะช่วยพัฒนาอารมณ์ของผู้เรียนให้รู้จักยับย้ังชั่งใจ มีใจคอหนักแน่น เดด็ ขาดสขุ มุ รอบคอบ และกล้าตดั สินใจ ท้ังช่วยใหผ้ ู้เลน่ ไดร้ ับความสนกุ สนานเพลิดเพลิน

20 3. ด้านสังคม เกมจะช่วยส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะ รู้จักช่วยเหลือเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ สามารถปฏบิ ัตติ ามระเบียบกฎเกณฑข์ องสังคม ช่วยให้ปรับตัวเขา้ กบั บุคคลในสังคมได้ ส่งเสริมความมี นา้ ใจเปน็ นักกฬี า รูแ้ พ้รู้ ชนะ รอู้ ภยั และสรา้ งเสริมคณุ ลักษณะของผู้นาและผู้ตามท่ีดี 4. ด้านสติปัญญา ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาภาษาอังกฤษ ช่วยให้มีความรู้และ ทักษะต่างๆ ตามเน้ือหาของเกม รู้จัก บูรณ การความรู้และทักษะหลายด้านเข้าด้วยกัน อันจะก่อให้เกิดการเรียนรู้จดจาเรื่องราวต่างๆ ได้รวดเร็ว แม่นยาและเก็บไว้ในความทรงจาได้นาน ทั้งยงั ส่งเสรมิ การพฒั นาความคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์ และฝึกใหม้ ีไหวพรบิ ทดี่ ี อัญญรัตน์ สมศักดิ์ (2558 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2551) กล่าวถึงประโยชน์ของเกมการ สอนภาษาไว้ว่า 1. เป็นวิธกี ารสอนทชี่ ่วยใหผ้ ู้เรียนมีส่วนรว่ มในการเรยี นรสู้ ูงและเกดิ การเรียนรู้จากการเล่น 2. เป็นวิธีการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการเห็นประจักษ์แจ้งด้วยตนเองทาให้ การเรยี นรู้นน้ั มคี วามหมายและอยู่คงทน 3. เป็นวิธกี ารสอนท่ีผสู้ อนไม่เหนือ่ ยแรงมากขณะสอนและผู้เรยี นมีความชอบ พรพรรณ เหมทานนท์ (2559 อ้างถึงใน อัจฉรา ชีวะพันธ์, 2533) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของ การใช้เกมประกอบการสอน ดังนี้ 1. ช่วยให้เกดิ พฒั นาการทางด้านความคิดให้กบั นกั เรียน 2. ช่วยส่งเสรมิ ทกั ษะการใชภ้ าษาด้านการฟงั การพูด การอ่าน และการเขียน 3. ช่วยในการฝกึ ทกั ษะทางภาษาและทบทวนเนอื้ หาวชิ าตา่ งๆ 4. ชว่ ยเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนได้แสดงออกซ่ึงความสามารถท่ีมอี ยู่ 5. ชว่ ยประเมนิ ผลการเรยี นและการสอน 6. ชว่ ยใหน้ ักเรียนเกดิ ความเพลดิ เพลนิ และผ่อนคลายความตึงเครียดในการเรียน 7. ชว่ ยจงใจและรบั ความสนใจของนักเรียน 8. ช่วยส่งเสริมในใหน้ ักเรยี นมคี วามสามคั คีรจู้ กั กนั เอ้ือเฟื้อช่วยเหลือกัน 9. ช่วยฝึกความรบั ผิดชอบ และฝกึ ใหน้ ักเรยี นร้จู ักกนั ปฏิบัติตามกฎเกณฑต์ ามระเบียบ กฎเกณฑ์ 10. ช่วยให้ครูไดเ้ ห็นพิธกี รรมของนักเรยี นไดช้ ัดเจนยง่ิ ขน้ึ 11. ให้เป็นกจิ กรรมคนั นาเข้าสู่บทเรยี น เสริมบทเรยี น และสรปุ บทเรยี น จากดงั กล่าวขา้ งต้น สรปุ ไดว้ า่ การเรียนร้โู ดยใชเ้ กมประกอบการสอนมีคุณค่าหลายประการ คอื ชว่ ยพัฒนาทักษะทางการเรยี นของผูเ้ รยี น ทบทวนบทเรยี น เพ่มิ พูนทักษะท่ีดแี ก่ผ้เู รียน และชว่ ย สง่ เสริมการสอนของครใู ห้นา่ สนใจยง่ิ ข้นึ

21 2.3 จุดมุ่งหมายของการใช้เกม ณัฐวราพร เปล่ียนปราณ (2558 อ้างถึงใน นิตยา สุวรรณศรี, 2551) ได้กล่าวถึง จุดมุ่งหมาย ในการใช้เกมทางภาษา ควรเปน็ ดังนี้ 1. เป็นกจิ กรรมในการออกกาลังเพื่อการบาบัดความเครียดทางกาย และประสาท 2. เพ่ือความสนุกสนาน สร้างบรรยากาศให้นักเรียนสนุกสนาน และทาให้อยากเรียน ภาษาอังกฤษ อีกท้ังสามารถนาเกมทีฝ่ กึ ในหอ้ งเรยี นไปใช้นอกห้องเรยี นได้ดว้ ย 3. เพ่ือศึกษาวัฒนธรรม ใช้เกมในการสอดแทรกกระสวนวัฒนธรรมที่นักเรียนควรจะทราบ ของประเทศเจา้ ของภาษา ธีมาพร สลุงสุข (2558 อ้างถึงใน กุศยา แสงเดช, 2545) ได้กล่าวสรุปจุดมุ่งหมายในการใช้ เกมไว้ดังนี้ 1. เพอ่ื เปน็ การเร้าความสนใจใหน้ ักเรียนอยากเรยี นอยากเรียนภาษาองั กฤษเพ่มิ ขึ้น 2. เพื่อช่วยย้าในสิ่งท่ีเรียนไปแล้วทั้งในด้านคาศัพท์ การออกเสียง การฟังและการพูด การสะกดการอ่าน ตลอดจนรปู แบบประโยคต่างๆ 3. เพื่อช่วยขจัดจุดอ่อนในการใช้ภาษาของนักเรียนด้วยการนาปัญหาของนักเรียนมาฝึกซ้าใน รูปแบบของการเล่น 4. เพ่ือช่วยฝึกความฉับไวในการคิด การทาความเข้าใจ การปฏิบัติตามคาสั่งและการใช้ภาษา อัตโนมัติ 5. เพื่อสง่ เสริมเจตคติท่ีดตี ่อการเรียนภาษาองั กฤษ อัญญรัตน์ สมศกั ด์ิ (2558 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2551) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการเล่น เกมไว้ว่า “เกมเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เร่ืองต่างๆ อย่างสนุกสนานและท้าทาย ความสามารถ โดยผู้เรียนเป็นผู้เล่นเองทาใหไ้ ด้รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการที่เปดิ โอกาสให้ผ้เู รียน มสี ว่ นรว่ มสงู ” เกมการสอนโดยท่วั ๆ ไป มีวัตถุประสงคเ์ พอ่ื 1. ฝึกฝนเทคนิคหรือทักษะต่างๆท่ีต้องการ (ใช้ยุทธวิธีการเล่นท่ีสนุกและการแข่งขันมา เป็นเครอื่ งมือในการใหผ้ ู้เรยี นฝึกฝนทักษะตา่ งๆ) 2. เรียนร้เู น้ือหาสาระจากเกมนนั้ (ในกรณีทีเ่ กมนัน้ เป็นเกมการศกึ ษา) 3. เรียนรู้ความเปน็ จรงิ ของสถานการณ์ตา่ งๆ (ในกรณีทเ่ี กมนนั้ เป็นเกมจาลองสถานการณ์) พรพรรณ เหมทานนท์ (2559 อ้างถึงใน วาสนา โมงวชิ า, 2517) ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายใน การนาเสนอนาเกมมาสอน ดงั น้ี 1. เพื่อสนองความต้องการตามธรรมชาติของเดก็ เพราะเด็กชอบความเคลอื่ นไหว เปลีย่ นแปลงอริ ิยาบถต่างๆ ได้มีความต้องการทีจ่ ะแดงแสดงออก 2. เพ่อื ฝกึ ทกั ษะเบื้องตน้ ในการเคลอ่ื นไหวของรา่ งกาย

22 3. เพอื่ ส่งเสริมให้มคี วามรู้ความเขา้ ใจกฎกติการะเบยี บเก่ยี วกับการเล่นเกม 4. เพอ่ื สง่ เสริมให้มีพฒั นาการทางร่างกายอารมณส์ ังคมจิตใจและสติปญั ญา 5. เพ่อื ให้ไดร้ บั ความสนุกสนานผอ่ นคลายความเครียดทางอารมณ์ 6. เพื่อปลกู ฝงั ใหเ้ ป็นผูม้ นี า้ ใจนกั กฬี ารู้แพ้ รชู้ นะ รู้การให้อภยั 7. เพอื่ ส่งเสรมิ ให้เป็นผู้ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ 8. เพ่ือให้เป็นการส่งเสริมกิจกรรมทดแทนเม่ือไม่สามารถเล่นกีฬาใหญ่ได้เพราะต้องใช้ทักษะ พ้นื ฐานมาก เกมสามารถยืดหย่นุ ไดต้ ามความต้องการและความเหมาะสม สรุปได้ว่า การใช้เกมประกอบการสอน มีจุดมุ่งหมายเพ่ือฝึกทักษะท้ัง 4 ด้าน ส่งเสริม การพัฒนาด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ จิตใจ ให้ร้จู ักปฏิบัติตามกฎ กติกา ให้มีลักษณะความเป็นผนู้ า การวางแผนการทางาน มีความเป็นประชาธิปไตย มีน้าใจนักกีฬา ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนัน้ ยังมีสว่ นเพม่ิ บรรยากาศการเรียนการสอนดว้ ย 2.4 ข้ันตอนในการใช้เกมประกอบการสอน บุษรีย์ กฤษ์เมือง (2552 อ้างถึงใน Reese, 1999) ได้เสนอแนะวิธีการนาเกมมาประกอบ กจิ กรรมการเรียนการสอนไวด้ ังนี้ 1. ใชเ้ กมนาเขา้ สู่บทเรยี นโดยดาเนนิ การ 3 ข้ันตอน คือ 1.1 ให้เกมนาเข้าสู่บทเรียนโดยใช้เกมทบทวนพื้นฐานความรู้เดิม เช่น ใช้รูปภาพจับคู่ คาศพั ท์ หรอื แบง่ กลุ่มสลับกันเตมิ อักษรทห่ี ายไป 1.2 ดาเนินการสอนมีการนารูปภาพ หรือของจริงมาสนทนากัน มีการนาเสนอคาศัพท์ และอธิบายความหมายของคาศัพท์ จากนั้นนาเสนอรูปประโยคเพ่ือฝึกพูดและเขียน ข้ันสุดท้ายมีการ สรุปโดยการทบทวนเช่น ครูนาภาพติดบนกระดานดาให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ตัวแทน ออกไปเขียน คาศัพทใ์ หถ้ กู ต้องหรอื เติมอักษรทห่ี ายไป หรือเตมิ คาศัพทใ์ ห้สมั พนั ธ์กบั ประโยค 1.3 ครูใหน้ ักเรียนแต่งประโยค หรือเตมิ คาทหี่ ายไปของประโยค 2. ให้เกมเป็นกจิ กรรมในการฝึกโดยดาเนินการ 3 ข้ันตอน ได้แก่ 2.1 เตรยี มตัวผเู้ รียน 2.1.1 แบง่ กลมุ่ นักเรียนออกเป็นกลมุ่ ๆ เพ่ือเล่นเกม 2.1.2 อธิบายจดุ ประสงค์ของการเล่นเกม วิธีการเล่น พร้อมกตกิ าการเลน่ และการใช้ คะแนน 2.2 ดาเนินการสอน เช่น สอนคาศัพท์ 2.2.1 สอนความหมายของคาศพั ท์จากภาพ ครูชภู าพ และออกเสยี งคาศพั ท์นักเรียน ดภู าพและออกเสยี งตาม 2.2.2 สอนการสะกดคาศัพท์โดยใช้เกมตามสถานการณ์แต่ละบทเรียน

23 2.2.3 ใชเ้ กมการฝึกแบ่งนกั เรียนเปน็ กลุ่มๆ เพ่ือเลน่ เกมอธิบายวธิ กี ารเลน่ กติกาการ ให้คะแนน ธีมาพร สลุงสุข (2555 อ้างถึงใน สุวิทย์ มูลคา, 2545) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดย ใชเ้ กมประกอบการสอน ดงั นี้ 1.ข้ันเลือกเกม ผู้สอนควรคานึงถึงวัตถุประสงค์ในการเล่น ระดับของผู้เข้าร่วมเล่น สถานที่ จานวนผู้เลน่ อปุ กรณ์ และกตกิ าระเบยี บในการเล่น 2. ขั้นชี้แจงการเล่นและกติกา ผู้สอนควรต้องบอกช่ือเกมแก่ผู้เล่น ช้แี จงกตกิ า โดยผู้สอนควร จัดลาดับขั้นตอนและรายละเอียดท่ีชัดเจน พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามได้และสาธิตการเล่น ก่อนการเลน่ จริงให้ชัดเจนเพ่อื ความเขา้ ใจของผู้เลน่ 3. ข้ันเล่นเกม ควรจัดสถานท่ีให้เอื้ออานวยต่อการเล่นเกม ให้ผู้เรียนเล่นเกมและผู้สอน ควบคุมการเล่นให้เป็นไปตามชั้นตอน และครูผู้สอนควรติดตามและสังเกตพฤติกรรมการเล่นเกมของ ผู้เรียนอย่างใกล้ชดิ และควรบันทึกข้อมูลที่เป็นประโยชนต์ ่อการเรียนของผู้เรียนไว้เพอื่ นาไปใช้โดยการ อภิปรายหลงั การเล่น 4. ขน้ั อภิปรายหลงั การเล่นและสรุปผล เป็นข้ันตอนที่สาคัญมากสาหรับการจดั การเรียนรู้โดย ใช้เกม เพราะจุดเน้นของเกมอยู่ที่การเรียนร้ยู ุทธวิธีต่างๆ ที่จะเอาชนะอุปสรรค์เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย ของการเล่นเกม โดยมกี ารตง้ั ประเด็นหรอื คาถามเกย่ี วกับเทคนิคหรือทกั ษะตา่ งๆทผ่ี ูเ้ รยี นได้รับ เหรียญ ถิ หญอื อ๊ี (2556 อา้ งถึงใน วิไลพร ธนสวุ รรณ, 2530) ไดเ้ สนอข้ันตอนในการใช้เกม ประกอบการสอนดงั น้ี 1. ขั้นเลือก เลือกเกมท่ีเหมาะสม สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการใช้เกมและระดับ ความสามารถของผเู้ รียนรวมถึงขนาดของช้นั เรยี นดว้ ย 2. ข้นั เตรียมการ ควรเตรยี มอุปกรณ์ หรือสถานทีใ่ ห้พรอ้ มและฝึกใช้เกมล่วงหน้า 3. ขั้นการใชเ้ กม ขั้นการใชเ้ กม อธิบายความมุ่งหมายของการใชเ้ กม กติกา วธิ เี ล่นให้ชดั เจน โดยใช้ภาษางา่ ยๆ สั้น กะทัดรัดไดใ้ จความ ผู้สอนคอยควบคุมดูแลให้ผเู้ ลน่ ปฏบิ ตั ิตามกติกาทก่ี าหนด ไว้ 4. ข้ันประเมินผล การเล่นเกมย่อมมีการกาหนดความมุ่งหมายไว้เสมอ จึงต้องมีการวัดและ ประเมินผลว่าผู้เรยี นเกิดความรู้ ความเขา้ ใจในการเล่นเกม ตามความมงุ่ หมายท่ีกาหนดไว้หรือไม่และ หากเป็นการเล่นเกมในลักษณะการแข่งขนั ควรมกี ารใหค้ ะแนนเป็นหลัก ณัฐวราพร เปลีย่ นปราญ (2558 อา้ งถึงใน ปญั ญา สังขภ์ ิรมย์ และสุคนธ์ สนิ ธพานนท์, 2550) ไดก้ ลา่ วถงึ ข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้เกม ไว้ดงั น้ี 1. ขน้ั เลอื กเกม ผู้สอนสรา้ งเกมหรือเลือกเกมให้ตรงตามจดุ ประสงค์ของการเรยี นรู้

24 2. ขนั้ ชแ้ี จงและกติกาการเลน่ เกมเปน็ ขน้ั บอกช่ือเกม ชแ้ี จงกตกิ า สาธิตหรอื อธบิ ายขน้ั ตอน การเลน่ และทดลองการเลน่ เกม 3. ขนั้ เล่นเกม ผู้สอนจัดสถานท่ี ทาหนา้ ท่คี วบคุมดูแลการเลน่ เกม และติดตามพฤติกรรม การเลน่ เกมอยา่ งใกล้ชิด 4. ขนั้ อภิปรายหลังการเลน่ เกม ผู้สอนตัง้ ประเดน็ หรอื คาถามใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ ความคิดเพอื่ นา ไปสู่การอภปิ ราย สรุปได้ว่า เพ่ือให้การเล่นเกมในการเรียนการสอนมีประโยชน์อย่างแท้จริง ครูผู้สอนต้อง เตรียมการสอนในแต่ละคร้ัง กาหนดคัดเลือกเกม ข้ันตอน เวลา สถานที่ และการวางจุดมุ่งหมายของ การเล่นเกมให้ถูกต้องและเหมาะสม ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับกับตัวครูผู้สอน หากได้ทราบถึงแนวการสอนที่ถูก วิธีและรจู้ ักปรับปรงุ เกมในการสอนใหด้ ยี ่อมทาให้การเรยี นการสอนหรอื ชวี ิตชีวามากขนึ้ 2.5 หลักการเลือกเกมเพอื่ ใช้ในการสอนภาษา เกมภาษาที่จะนามาใช้สอนหรือใช้ในการจัดกิจกรรมกลุ่มจะต้องคานึงถึงองค์ประกอบทั้งใน ด้านปริมาณ คุณภาพ และความเป็นไปได้ ดังท่ี (บุษรีย์ กฤษ์เมือง, 2552 อ้างถึงใน มยุรี สุขวิวัฒน์ และคณะ, 2539) ได้ใหข้ อ้ เสนอแนะในการเลอื กเกมภาษาใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รยี นดังต่อไปนี้ 1. เวลา ควรจะใช้เกมในช่วงท้ายๆ ของชั่วโมง และไม่ควรจะใช้เวลามากนักครูควรจะส่ังให้ ผู้เรียนเลิกเล่นเกมทันทีที่นักเรียนใช้ภาษาในตอนน้ันๆ ได้ดีแล้วไม่จาเป็นจะต้องเล่นจนได้ตัวผู้ชนะ และใหเ้ ลิกเล่นเมอื่ ผู้เล่นเกดิ ความรสู้ กึ เบ่ือ 2. จานวนของผู้เรียนในชั้น ครูควรจดั กิจกรรมใหผ้ ู้เรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการเลน่ เกมภาษา ถ้านักเรียนมีจานวนมากควรจะใช้กิจกรรมกลุ่มแทนกิจกรรมเดี่ยวและอาจจะผลัดกันเป็นผู้ เล่น ผู้ดู และกรรมการกไ็ ด้ 3. เนอ้ื หาในห้องเรียนครูต้องพิจารณาวา่ ถ้าจะเล่นเกมภาษานั้นๆ จะตอ้ งใชเ้ น้ือที่เทา่ ไหร่ทจี่ ะ เพยี งพอตอ่ การเคล่ือนไหวของนักเรยี น 4. เสียงในขณะทเ่ี ลน่ ผู้เรยี นส่งเสยี งอกึ ทกึ รบกวนชัน้ เรยี นท่อี ย่ใู กลเ้ คียง หรอื ไม่ 5. ความสนใจของผเู้ รียน เกมภาษาจะนามาใช้นนั้ ผู้เรยี นจะสนใจหรอื ไม่ 6. อุปกรณ์หรือเคร่ืองมือท่ีจะใช้ในการเล่นเกม ครูจะต้องเตรีมการล่วงหน้าเพ่ือส่ังให้ผู้เรียน ทาอุปกรณ์ทจี่ ะใช้ในเกมนั้นๆ หรือผู้เรียนนามาจากบา้ น 7. วัฒนธรรม เกมภาษาน้ันๆ ขัดกับวัฒนธรรมอันดีของไทยหรือไม่ ถ้าไม่เหมาะสมครูไม่ควร จะนามาใช้ ณฐั วราพร เปลีย่ นปราณ (2558 อ้างถงึ ใน นติ ยา สวุ รรณศรี, 2551) ได้เสนอหลักในการเลือก เกมประกอบการสอนว่า จะต้องคิดให้รอบคอบในการคิดลว่ งหน้าเพ่ือให้การสอนประสบผล สาเรจ็ ควรมีหลักในการเลือก ดังน้ี

25 1. กาหนดจดุ ประสงค์ของเกมให้สอดคล้องกบั เนื้อหาท่ีต้องการสอน 2. คานึงถึงสถานทีท่ ี่จะใช้ในการเล่นเกม 3. จานวนนักเรยี นในการเล่นเกมน้นั ๆ 4. ตัดสนิ ว่าเกมไหนใช้กับทมี หรอื บุคคล และบางเกมจะใชไ้ ดท้ ั้ง 2 แบบ 5. วัยของผู้เล่นเกมในแต่ละชนดิ ของเกม 6. คานึงถงึ ระดับกิจกรรมท่ีต้องการ ถ้าต้องการออกกาลงั หรอื แสดงท่าทางอาจใช้ท้าย ชวั่ โมง ถ้าจาเป็นต้องใช้ตน้ ช่ัวโมง หรือกลางชั่วโมงก็เลอื กเกมทเ่ี งียบท่ีไม่ใช้เสยี งมากนัก 7. กาหนดเวลาในการเลน่ เกมเพอ่ื ความสะดวก และแผนการดาเนนิ การสอน 8. เตรยี มวัสดุให้พร้อมไว้ล่วงหน้า 9. ตดั สนิ ใจไว้ล่วงหน้าวา่ จะมีการให้รางวัลหรือไม่ 10. ควรมเี อกสารหรือหนังสอื ประกอบการเล่นเกมเพ่อื เปน็ แนวทาง และความคดิ ใหมๆ่ ในการจดั การเรยี นการสอน และสามารถดัดแปลงให้เหมาะสมกบั บทเรียนของเรา อัญญรัตน์ สมศักดิ์ (2558 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2551) กล่าวว่า “การเลือกเกมเพ่ือ นามาใช้ในการเรียน การสอนทาได้หลายวิธี ผู้สอนอาจเป็นผู้สร้างเกมขน้ึ ให้เหมาะสมกับวตั ถุประสงค์ ของการสอน ของตนก็ได้ หรืออาจนาเกมที่ผู้อื่นสร้างไว้แล้วมาปรับดัดแปลงให้เหมาะสมกับ วัตถุประสงค์ตรงกับความต้องการของตน หากผู้สอนต้องการสร้างเกมข้ึนใช้เอง ผู้สอนต้องมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับวิธีสร้างและจะต้องทดลองใช้เกมที่สร้างหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งแน่ใจว่า สามารถ ใช้ได้ผลดีตามวัตถุประสงค์ หากเป็นการดัดแปลง ผู้สอนจาเป็นต้องศึกษาเกมนั้นให้เข้าใจก่อนแล้วจึง ดัดแปลงและทดลองใช้ก่อนเช่นกัน” ในกรณีท่ีผู้สอนต้องการเลือกเกมท่ีมีผู้จัดทาและ เผยแพร่แล้ว (Published Game) มาใช้ ผู้สอนจาเป็นต้องแสวงหาแหล่งข้อมูลว่ามีใครทาอะไรไว้บ้างแล้ว ซ่ึงใน ปัจจุบันเกมประเภทน้ีมีเผยแพร่และวางจาหน่ายในท้องตลาดเป็นจานวนมาก ซ่ึงส่วนใหญ่แล้วเป็น ผลงานทจี่ ดั ทาขน้ึ ในต่างประเทศ สรุปได้ว่า การเลือกเกมประกอบการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนนั้นต้องคานึงถึงเวลาในการ เล่น สถานที่ จานวนผู้เล่น อุปกรณ์ ตลอดจนความสนใจของนักเรียนต่อเกมประกอบการสอนนั้น รวมท้ังคานงึ ถึงเร่ืองความปลอดภัยของนักเรยี นในการเล่นเกมน้นั ๆ ดว้ ย 2.6 ประเภทของเกมประกอบการสอน บุษรีย์ ฤกษ์เมือง (2552 อ้างถึงใน บารุง โตรัตน์, 2540) ได้แบ่งเกมประกอบการสอน ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ 1. เกมเคล่ือนไหว (Active Games) หมายถึง เกมท่ีนักเรียนหรือผู้เล่นต้องเคลื่อนไหวไป รอบๆ หอ้ งเรียน และบางครัง้ นกั เรียนต้องออกเสยี งดงั

26 2. เกมเงียบ (Passive Games) หมายถึง เกมท่ีผู้เล่น หรือนักเรียนเล่นโดยไม่ต้องเคล่ือนที่ เปน็ เกมท่เี ล่นแล้วไมส่ ่งเสยี งดัง ณัฐวราพร เปลี่ยนปราญ (2558 อ้างถึงใน เรืองศักดิ์ อัมไพพันธ์, 2549) ได้จัดประเภทของ เกมทใ่ี ช้สอนภาษาอังกฤษออกเป็น 7 กลมุ่ ไว้ดงั น้ี 1. Number Games เกมเก่ียวกับการฝึกนับตัวเลขและจานวน เป็นเกมที่เสริมความรู้ ฝึกความจา ตลอดจนปฏิภาณและความเร็วในการคิดเก่ยี วกับตัวเลข 2. Spelling Games เกมเก่ียวกับการสะกดคาฝึกการสอนคาศัพท์ หรือเรียงตัวอักษร ภาษาอังกฤษ เกมนี้ถือว่าเป็นองค์ประกอบสาคัญอย่างหน่ึงในการเขียนคาศัพท์ให้ถูกต้อง เกมนี้จะ ชว่ ยเสริมความสามารถในการจาคาศัพท์และเขียนคาศัพท์ไดถ้ ูกต้อง 3. Vocabulary Games การฝึกคาศัพท์และการออกเสียงคาศัพท์ เป็นเกมท่ีมุ่งทดสอบ ความจาและความรเู้ ดิมท่ผี ู้เล่นเคยมีประสบการณ์ทางด้านภาษาทง้ั ในด้านการออกเสียง การสะกดคา ความหมายและ Parts of Speech นอกจากนนั้ ยังเปน็ การเรยี นรู้คาศัพท์ใหมเ่ พ่มิ เติมด้วย 4. Structure Practice Games เกมในการฝกึ สร้างประโยคและการพดทู ีถ่ กู ต้อง 5. Conversation Games เกมในกลุ่มท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทางด้าน Information and Communication โดยเน้นในด้านการสรุปเน้ือหาสาระที่เข้าใจชัดเจนระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง คือ ความสามารถในการเก็บใจความและการสอ่ื ความหมาย 6. Writing Games เกมในกลุ่มนี้จะรวมเอากิจกรรมในเกมจุดอ่ืนๆ มาช่วยเสริมทักษะใน การเขียนเพื่อชว่ ยเสริมการเรียนร้ขู องผู้เลน่ เกมให้งา่ ยขึ้น 7. Miscellaneous Games เกมการฝึกผสมผสานกันหลายประเภท อญั ญรัตน์ สมศักด์ิ (2558 อ้างถงึ ใน ครยุ อิกแซงค์ Cruickshank, 1997) ได้แบ่งเกมออกเป็น 2 ชนิด คอื 1. เกมไม่เป็นวิชาการ (Nonacademic Games) เป็นเกมท่ีจัดข้ึนเพ่ือความสนุกสนานมี กติกาทีจ่ ัดไวใ้ ห้เหมาะสมกับแต่ละเกม เชน่ หมากรกุ ฟุตบอล ปงิ ปอง เป็นตน้ 2. เกมวิชาการ (Academic Games) เป็นเกมท่ีจัดข้ึนโดยการกาหนดบทบาทลักษณะ ท่าทางต่าง ๆ ให้เหมอื นจรงิ เชน่ เกมบทบาทสมมตุ ิ 2.1 เกมสถานการณ์ (Simulation Game) เป็นเกมที่จัดข้ึนโดยการกาหนดบทบาท ลกั ษณะท่าทางตา่ ง ๆ ใหเ้ หมอื นจริง เชน่ เกมบทบาทสมมุติ 2.2 เกมที่ไม่ใช้สถานการณ์จาลอง (Non – Simulation Game) เป็นเกมท่ีใช้ฝึกทักษะ เสริมความเข้าใจให้แก่นักเรียน โดยมักจัดในรูปการแข่งขันในกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น การต่อ บัตรคา เกมจับคคู่ าศัพทก์ ับรูปภาพ เป็นต้น

27 พรพรรณ เหมทานนท์ (2559 อ้างถึงใน สังเวียน กฤษดิกุล, 2525) ได้แบ่งเกมท่ีใช้ในการ สอนเป็น 7 ประเภท ดังน้ี Number Games เป็นเกมเก่ียวกับการฝึกนับตัวเลขและจานวน Spelling Games เป็นเกมเก่ยี วกับการสะกดคา สอนคาศพั ท์หรอื เรยี งอกั ษรภาษาอังกฤษ 1. Vocabulary Games เป็นเกมฝึกศัพท์และออกเสียงคาศัพท์ 2. Structure Games เปน็ เกมฝกึ สร้างประโยคและการพูดท่ีถูกต้อง 3. Pronunciation Games เปน็ เกมฝึกการออกเสยี งของคาต่างๆ ลักษณะสมั ผัสเสียง 4. Rhyming Games เปน็ เกมฝกึ การออกเสียงคาตา่ งๆ ลักษณะสมั ผสั เสียง 5. Miscellaneous Games เปน็ เกมการฝึกผสมผสานกบั หลายแบบ ครเู ลือกฝึกได้ตามที่ เหน็ วา่ เหมาะสมกับวัยและระดับนกั เรียน 2.7 ชนิดของเกม เกมภาษาอังกฤษมหี ลายชนดิ ครูควรเลอื กเกมต่างๆ มาประกอบการเรียนการสอนตามความ เหมาะสมให้สอดคล้องกับเนอ้ื หาบทเรยี น ซงึ่ มผี แู้ บง่ ชนิดของเกมการสอนไว้ดงั นี้ บุษรีย์ ฤกษ์เมือง (2552) ศกึ ษาวิจัยเกีย่ วกับเกมคาศพั ท์ที่สามารถนามาใช้ในการเรียนการ สอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนสนุกสนานและส่งผลใหเ้ กิดความคงทนในการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาองั กฤษ เกมคาศพั ท์เหลา่ น้ีได้แก่ 1. Bingo Game เกมบงิ โก 2. Whisper Game เกมกระซิบ 3. Spelling Game เกมแขง่ ขันสะกดคาที่ครูกาหนดให้ 4. Deaf and Dumb Spelling Game เกมคนหูหนวก และคนใบส้ ะกดคา 5. Build a New Word Game เกมสรา้ งคาศพั ท์จากตวั อักษรท่ีกาหนดให้ 6. What is missing? Game เกมอะไรหาย 7. Matching Picture and Word Game เกมจบั คู่คาศัพทก์ บั ภาพ 8. Command Game เกมคาสง่ั 9. Domino-type games เกมโดมิโน ธมี าพร สลุงสขุ (2556 อ้างถึงใน สาเนา ศรปี ระมงค์, 2547) ไดเ้ สนอแนะเกมคาศพั ท์ (Vocabulary Games) ทจ่ี ะนามาประกอบการสอน ดังต่อไปน้ี 1. Bingo Game เกมบิงโก 2. Matching pairs: Word and picture เกมจับคคู่ าศพั ท์กับภาพ 3. Crossword and Word Square Game เกมค้นหาคาศัพท์ 4. Word Grouping Game เกมห่วงยาง 5. Deaf and Dumb Spelling Game เกมคนหหู นวกและคนใบ้สะกดคา

28 6. A Spelling Bee Game เกมแข่งสะกดคา 7. Crossword Puzzle Game เกมปรศิ นาไขว้ 8. Word Whisper Game เกมกระซบิ 9. Touch Game เกมสมั ผสั 10. Who am I? เกมทายศัพท์ เหรียญ ถิ หญือ อี๊ (2556 อา้ งถึงใน วดั ซินโจนส์ (Watchy Jones, 2544) ไดแ้ บ่งชนิดของ เกมประกอบการสอนไวด้ งั นี้ 1. เกมอุ่นเคร่ือง (Ice-breaker games) 2. เกมสาหรับผูเ้ รยี นเป็นค/ู่ กลุม่ (Games for diving a class into pairs/groups) 3. เกมบิงโก (Bingo games) 4. เกมจับคู่ (Matching pair games) 5. เกมโดมโิ น (Domino-type games) 6. เกมอักษรไขวแ้ ละคาซ่อนหา (Crossword and word square games) 7. เกมไขปริศนา (Sort out the clue games) 8. เกมแบทเทลิ ซิพ (Word battle games) 9. เกมจัดหมวดหมู่คา (Word grouping) 10. เกมคู่และเกมกระดาน (Pair work card and board game) 11. เกมกระดาน (Board games) 12. เกมที่ครูนา (Teacher-led games) 13. เกม 20 ช่อง (20-square games) 14. เกมสารพัดอย่าง (Miscellaneous games) จริ นาถ อ่นุ เพ็ญ, (2558) ไดเ้ สนอเกมประกอบการสอนออกไว้ ดังนี้ 1. เกมเลียนแบบหรือการจาลอง (Simulation Games) เช่น SIMS ซึ่งเป็นเกมที่พยายาม เลียนแบบเหตกุ ารณ์จริง เพ่ือพัฒนาทกั ษะของผเู้ ล่น เช่น การฝึกบินจาลอง การขับรถจาลอง ตัวอย่าง เกมประเภทน้ี คือ Flight SIM 2. เกมแอคช่ันแบบ FPS (Action First Person Shooters Games) เป็นเกมยิงปืนท่ีผู้เล่น เป็นตัวเอกไล่ยิงผู้ร้ายไปจนถึงสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ตามระดับการเล่น มีทั้งเล่นแบบคนเดียวและเล่น เป็นกลุ่ม ตวั อย่างเกมประเภทน้ไี ด้แก่ Doom, Half-Life, Quake III 3. เกมผจญภัย (Adventure game) มีวัตถุประสงค์ของเกมเพ่ือทาภารกิจให้สาเร็จใน ดินแดนที่สร้างข้ึน ต้องแก้ไขปัญหาหรือหาส่ิงจาเป็นในระดับของเกมท่ีแตกต่างกันไป เช่น หากุญแจ เพ่อื แก้ไขเปดิ หอ้ งลบั เพอ่ื ไปหยบิ อาวธุ เกมประเภทน้ีไดแ้ ก่ Myst, Zelda

29 4. เกม RPG (Role-Playing) เป็นเกมที่ผู้เล่นสามารถสร้างหรือเลือก character ของตัว ละครให้ตรงกับความชอบของตัวเอง แล้วเล่นไปตามเนื้อเร่ืองของเกม ตัวอย่างเกม ประเภทนี้ ได้แก่ Racknaroc, Diablo II 5. เกมต่อสู้ (Fighting Game) เป็นเกมต่อสู้กันโดยมีตัวละครต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวด้วย เทคนิคการต่อสเู้ ฉพาะตวั ตวั ยา่ งเกมประเภทนี้ ได้แก่ Mortal Kombat, Boxing 6. เกมวางแผน (Strategy Games) เกมที่ใช้ความคิดนากลยุทธ์มาใช้เพ่ือเอาชนะ เกมมี เร่ืองราวเป็นนิทาน หรือตานาน มีตัวละครนา และการผูกเรื่องเข้ากับการต่อสู้และวางแผนในเกม ตัวอย่างเกมประเภทนี้ ไดแ้ ก่ checkers, Age of Mythology 7. เกมปริศนา (Puzzle Game) เกมแก้ปัญหาให้ลุล่วงตามจุดประสงค์หลักของเกม เช่น Tetris (เกมตวั ตอ่ ตวั น่ันเอง) 8. เกมกีฬาและการแข่งขัน (Sport & Racing Games) วัตถุประสงค์ของเกมเพ่ือการเป็นท่ี หน่ึงของการแข่งขนั เชน่ แขง่ รถ แข่งฟุตบอล เช่น FIFA Soccer 9. เกมการศกึ ษา วตั ถปุ ระสงค์เพ่ือใหไ้ ดค้ วามรแู้ ละความเพลดิ เพลนิ ณัฐวราพร เปล่ียนปราณ (2558 อ้างถึงใน พรสวรรค์ สีป้อ, 2550 ) ได้จาแนกประเภทของ เกมไว้ดงั น้ี 1. เกมแยกประเภทส่ิงของ เช่น ผู้เรียนมีบัตรภาพ หรือบัตรคาท่ีเก่ียวกับสินค้าต่าง ๆ และ ให้จัดดกลุ่มบัตรเหล่าน้ัน โดยจาแนกว่าสินค้าใดเราจะพบในห้างสรรพสินค้า สินค้าใดพบในร้านขาย ของชา เปน็ ต้น 2. เกมเติมข้อมูลท่ีหายไป (Information Gap) เกมน้ีอาจจะเป็นการสื่อสารด้านเดียว เช่น ผู้เรียนคนหน่ึงมีรูปภาพ และบอกให้เพื่อนอีกคนหน่ึงวาดภาพตามที่ตนเองมี หรือเป็นการส่ือสารสอง ด้านก็ได้ เช่น ผู้เล่นเกมท้ังสองคนมีภาพท่ีเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในบางจุด และให้แต่ละ ฝ่ายหาความแตกตา่ ง 3. เกมการเดา เกมท่รี ้จู ักกนั ดีคือ เกม 20 คาถาม 4. เกมหาของ เช่น เกม Find Someone Who 5. เกมจับคู่ ผู้เล่นต้องจับคคู่ า ภาพ ประโยค เปน็ ต้น 6. เกมแลกเปล่ียน ในการเลน่ เกมนผ้ี ู้เลน่ จะแลกเปลยี่ นสิ่งของกัน 7. Board Game เชน่ Scrabble Game 8. เกมบทบาทสมมติ เปน็ เกมท่ีผู้เรยี นแสดงบทบาทเป็นผู้อ่ืน 9. เกมตอ่ ขอ้ มลู

30 พรพรรณ เหมทานนท์ (2559 อ้างถงึ ใน โคลมั บสั Columbus, 1976) ไดแ้ บง่ เกมออกเป็น 6 ประเภท คือ 1. เกมฝึกการจา (Manipulative Games) 2. เกมจากการศึกษา (Didactic Games) 3. เกมจากฝกึ ทักษะทางกาย (Physical Games) 4. เกมฝกึ ทักษะทางภาษา (Language Games) 5. เกมทายบัตร (Card Games) 6. เกมพิเศษต่างๆ (Special Games)

31 ตารางท่ี 1 การวเิ คราะห์ความถขี่ องการใช้เกมประกอบการสอนคาศัพทใ์ นชั้นเรียน เกม/ผู้วิจัย บษุ รีย์ ธีมาพร เหรยี ญ ถิ จรนิ าถ ณฐั วราพร รวม ฤกษเ์ มอื ง สลงุ สุข หญือ อ๊ี อนุ่ เพญ็ , เปล่ยี นปราณ (2552) (2556) (2556) (2558) (2558) 1. Crossword Puzzle -√√ √ -4 Game 2. Adventure game -- - √ -1 3. Fighting Game -- - √ -1 4. What is missing? Game √ - - - -1 5. Domino-type games √ - √ - -2 6. Ice – breaking game - - √ - -1 7. Bingo game √√ √ - -3 8.Matching pairs game √ √ √ - √4 9. A Chain Game -- - - √1 10. Word grouping game - √ √ - -2 11. Pair work and board - - √ - -1 games 12. Teacher – led game - - √ - -1 13. 20 square game -- √ - -1 14. Miscellaneous game - - √ - -1 15.Deaf and Dumb √√ - - -2 Spelling Game 16. A Spelling Game √√ - - -2 17. Board game -- √ - √2 18. Whisper Game √√ - - -2 19. Fast Thinking Game - - - - √1 20. Rise and Act Game - - - √ -1

32 จากตารางการวิเคราะห์ความถ่ีของเกมดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้สอนสามารถนาเกม ดังกล่าวไปใช้ประกอบการสอนในชั้นเรียนเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้คาศัพท์ของผู้เรียนและเพื่อส่งเสริม บรรยากาศช้ันเรียนให้มีความสนุกสนาน ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะนาเกมคาศัพท์ (Vocabulary Games) มาประกอบการสอน โดยคัดเลือกเกมต่างๆ จากความถ่ีในการใช้ของ ณัฐวราพร เปล่ียน ปราณ, ธีมาพร สลุงสุข, บุษรีย์ ฤกษ์เมืองและของเหรียญ ถิ หญือ อ๊ี เพื่อส่งเสริมการจดจาในการ เรยี นรู้คาศัพท์ และเกมท่ีเข้าหลกั เกณฑ์ในการใช้ในการวจิ ยั ครั้งน้ีได้แก่ 1. Bingo Game เกมบิงโก 2. Whisper Game เกมกระซิบ 3. Spelling Game เกมแขง่ ขันสะกดคาท่ีครกู าหนดให้ 4. Matching pair activities เกมจบั คู่ 5. Crossword Puzzle Game เกมปริศนาคาไขว้ 6. Domino-type games เกมโดมโิ น 7. Run to the board เกมกระดาน 3. การเรยี นรู้คาศัพท์ บุษรีย์ ฤกษ์เมือง (2552) กล่าว่า การเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษ หมายถึง ความรู้ ความจา ความเข้าใจในด้านความหมาย ของคาศัพท์ การสะกดคา และความสามารถในการใช้คาในประโยค ภาษาอังกฤษ ซ่ึงวัดไดจ้ าก แบบทดสอบวดั ผลการเรียนรูคาศพั ทท์ ่ีผู้วจิ ัยสร้างข้นึ ธมี าพร สลุงสขุ (2555 อา้ งถงึ ใน Harley, 1996) ไดก้ ล่าวการเรยี นรู้คาศัพท์ ดงั น้ี 1. จาคาศัพท์นนั้ ได้ 2. ร้เู ข้าใจความหมายของคาศัพท์ในบรบิ ท 3. ใช้คานัน้ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งในภาษาพูดและเขยี น สรปุ ได้วา่ การเรยี นรู้คาศพั ท์ หมายถึง ความรู้ ความจา ความเข้าใจความหมายของคาศัพท์ การสะกดคา และความสามารถในในการใช้คาในประโยค มัลลิกา สุวรรณพันธุ์ (2555) กล่าวว่า ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์ หมายถึง ความหมายของคาศัพท์ การสะกดคาการอ่าน ออกเสียงได้ถูกต้อง และการนาคาศัพท์ไปใช้ในการพูด สือ่ สารได้ ณัฐวราพร เปลี่ยนปราณ (2558) กล่าวว่า การเรยี นรู้คาศัพท์ หมายถึง ความรู้ ความจา และ ความเข้าใจในดา้ นการสะกดคา ด้านความหมาย และดา้ นการนาไปใช้ในโครงสร้างภาษาอังกฤษซึ่งวัด ได้จากแบบทดสอบวัดผลการ เรยี นรู้คาศพั ท์ทีผ่ ้วู จิ ยั สร้างข้ึน

33 4. งานวิจยั ท่เี ก่ยี วข้อง 4.1 งานวิจัยตา่ งประเทศ ดิกเกอร์สัน (Dickerson, 1976) ทดลองเปรียบเทียบการจาคาศพั ท์ของนกั เรยี นระดบั 1 โดย ใช้เกมการเคลื่อนไหว (Active Games) เกมเฉอื่ ย (Passive Games) และกิจกรรมปกติ (Traditional Activity) กลมุ่ ตัวอย่างเป็นนกั เรยี นระดับ 1 จานวน 274 คน เป็นนักเรียนหญงิ 128 คน นักเรียนชาย 146 คน แต่ละกลุ่มได้รับการปฏิบัติดังนี้ กลุ่มเกมการเคลื่อนไหวเป็นการเล่นเก่ียวกับการเคลื่อนไหว ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย กลุ่มเกมเฉื่อยจะเล่นได้โดยใช้บัตรคาและกระดานดากลุ่มปกติใช้สมุด แบบฝึกหดั ผลการทดลองปรากฏว่า 1. กลมุ่ เกมการเคล่ือนไหวผู้เรียนมผี ลสมั ฤทธใ์ิ นการจาแนกศัพทส์ งู กว่ากลมุ่ เกมเฉ่ือยและ กลมุ่ ทใี่ ช้กจิ กรรมปกติ 2. กลมุ่ เกมเฉื่อยมีผลสมั ฤทธิ์ในการจาคาศพั ท์สูงกว่าที่ใช้ในกิจกรรมปกติ 3. นักเรียนชายและนักเรยี นหญิงในกลุ่มเกมการเคลื่อนไหวมผี ลสมั ฤทธ์ใิ นการจาสูงกว่า นักเรียนชายและนักเรียนหญิงในกลุ่มท่ีใช้เกมเฉือ่ ย 4. นกั เรยี นชายและนกั เรียนหญิงในกลุ่มที่ใชเ้ กมเฉอ่ื ย มผี ลสมั ฤทธ์ใิ นการจาคาศัพท์สงู กว่า นกั เรยี นชายและนักเรียนหญิงในกลุ่มที่ใช้กิจกรรมปกติ 5. ในกลมุ่ ทดลองทั้ง 3 กลมุ่ มีผลสัมฤทธิ์ในการจาคาศัพท์ระหว่างนกั เรยี นชายและ นักเรียน หญงิ ไมแ่ ตกตา่ งกัน Craig, (1991) แห่งมหาวิทยาลัยเซาท์เทอร์มิสซิสซิปป์ได้ศึกษาผลของการใช้เกมที่มีต่อ ทัศนคติต่อโรงเรียนของเด็กชายผิวดาระดับ 3 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชายผิวดาระดับ 3 จานวน 112 คน คัดเลือกจากโรงเรยี นประถมศกึ ษาในเมอื งนิวออร์ลนิ ส์ เป็นนกั เรียนท่ีเรียนอ่อน 61 คน เรยี น ปานกลาง 51 คน โดยใช้เกมเขา้ ไปในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศลิ ปะด้านภาษาใน กลุ่มทดลอง ส่วนนักเรียนที่เป็นกลุ่มควบคุมสอนวิธีธรรมดาไม่ได้ใช้เกมเข้าไปประกอบในการสอน ผลการวิจัยปรากฏว่าถ้านาเกมมาใช้ในการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่องเป็น เวลานานๆ ก็จะส่งผลต่อ ทัศนคติและคุณภาพทางการเรยี นการสอนในทางบวกได้ 4.2 งานวิจยั ในประเทศ ธีมาพร สลุงสุข (2556: บทคัดย่อ) ได้ทาวิจัยเร่ือง การเปรียบเทียบความสามารถในการจา คาศัพท์และเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีได้รับการสอน โดยใช้เพลงประกอบกับเกมประกอบ โดยการวิจัยมีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือเปรียบเทียบความสามารถในการ จาคาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนกับหลังเรียนโดยใช้เพลงและ เกมประกอบการสอน และศึกษาเจตคติต่อการเรียนภาษาองั กฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 ท่ีได้รับการสอนโดยใช้เพลงประกอบการสอนกับเกมประกอบการสอน ผลการศึกษา พบว่า 1)

34 ความสามารถในการจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ีได้รับการสอน โดย ใช้เพลงและเกมประกอบการสอนหลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ 2) เจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ีได้รับการสอนโดยใช้เพลง ประกอบการสอนกับทไี่ ด้รบั การสอนโดยใชเ้ กมประกอบการสอนไม่แตกตา่ งกัน ณัฐวราพร เปลี่ยนปราณ (2558: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การเรียนรู้คาศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมประกอบการสอนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนวัดทุ่งน้อย อาเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของการ สอนโดยใช้เกมประกอบการเรียนการสอนการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษ ก่อนและหลังการสอนโดยใช้เกมประกอบ และ 3) ศกึ ษาความพึง พอใจของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ต่อการเรียนรู้คาศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมประกอบ กล่มุ ตวั อยา่ งที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนระดบั ประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรียนวัดทุ่ง น้อย อาเภอกุยบุรี จงั หวัดประจวบคีรขี ันธ์ จานวน 30 คน ซ่ึงสุ่มมาแบบเจาะจง เคร่อื งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั ได้แก่ แผนการ เรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมประกอบ แบบทดสอบการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษ และ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน มีค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.642 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล คือ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการเรียนรู้ คาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมประกอบของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 70.08/95.17 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนดไว้ คือ 70/70 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คาศัพท์ ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 หลังใช้วิธีสอนโดยใช้เกม ประกอบ สูงกว่าก่อนการ ทดลอง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีร้อยละความก้าวหน้าเท่ากับ 25.08 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีมีต่อการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกม ประกอบ โดยรวม อยใู่ นระดบั มาก เมือ่ พิจารณารายข้อพบว่าขอ้ ท่ีมคี ่าเฉล่ยี อยู่ในสงู สุดได้แก่ นักเรยี น มีความเขา้ ใจบทเรียนมากขึน้ เมื่อ เรียนโดยใช้เกมประกอบ รองลงมาคือ นักเรียนช่ืนชอบและให้ความ รว่ มมือกับครูสอนภาษาอังกฤษท่ีให้เล่นเกมประกอบการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษ และนักเรียนใน กลุ่มให้ความรว่ มมือในการทากิจกรรมเปน็ อย่างดี กนกวรรณ รอดคุ้ม (2559: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง ผลการใช้เกมที่มีต่อการเรียนรู้และ ความคงทนในการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 วัตถุประสงค์ของ การวิจัยคือ (1) เปรียบเทียบผลการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียนคาศัพท์โดยใช้เกมและ (2) ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้คาศัพท์ ภาษาอังกฤษของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 กลุ่มตัวอย่างในการวิจยั เป็นนกั เรยี นชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนบ้านทุ่งมะขามป้อม จังหวัดตาก ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2557 จานวน 18 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมสอน

35 คาศัพทภ์ าษาอังกฤษและแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรู้คาศัพท์ภาษาองั กฤษ การวเิ คราะห์ ข้อมลู ใช้ค่าเฉล่ีย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน เปรียบเทยี บผลการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาองั กฤษหลงั เรียนกับ ผลการเรยี นรู้คาศพั ทภ์ าษาอังกฤษหลังเรียน 2 สปั ดาห์โดยใช้ t-test ผลการวิจัยปรากฏวา่ (1) การใช้ เกมสอนคาศัพท์ภาษาอังกฤษ พบว่าผลการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษคะแนนหลังเรียนสูงกว่า คะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 (2) การใช้เกมสอนคาศัพท์ภาษาอังกฤษ พบว่านกั เรียนมีความคงทนในการเรียนรู้คาศพั ท์ภาษาอังกฤษหลงั เรียน 2 สปั ดาห์ มัลลกิ า สุวรรณพันธ์ุ (2559: บทคัดย่อ) ได้ทาวิจัยเร่ือง ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้คาศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมคาศัพท์ตามแนวความคิดของวอลดอร์ฟของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ 1) หาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้เกมคาศัพท์ตามแนวคิดของวอลดอรฟ์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกม คาศัพท์ตามแนวคิดของวอลดอร์ฟของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อเกมคาศัพท์ตามแนวคิดของวอลดอร์ฟของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ีเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายประถม) จานวน 27 คน กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยในครั้งนี้มี 4 ชนิด ประกอบด้วย 1) แผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมคาศัพท์ตามแนวความคิด ของวอลดอร์ฟ 2) แบบทดสอบคาศัพท์ภาษาอังกฤษ 3) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย ร้อยละ ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน และ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1.ประสิทธิภาพของแผนการ จัดการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมคาศัพท์ตามแนวคิดของวอลดอร์ฟของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 1 มีประสิทธิภาพ 83.88/80.93 ซ่ึงสูงกว่า เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ท่ีตั้งไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1ที่ได้รับแผนการจัดการการเรียนรู้คาศัพท์ ภาษาอังกฤษ โดยใช้เกมคาศัพท์ตามแนวคิดของวอลดอร์ฟพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 3. ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการแผนการจัดการการเรียนรู้คาศัพท์ ภาษาอังกฤษ โดยใช้เกมคาศัพท์ตามแนวคิดของวอลดอร์ฟมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ระดับมาก (���̅���= 4.20) อัจฉราพรรณ โพธ์ิตุ่นและ สุธาทิพย์ งามนิล (2559: บทคัดย่อ) ได้ทาวิจัยเรื่อง ผลการสอน โดยใช้เกมตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และเจตคติต่อการ เรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพ่ือ 1) เพ่ือ เป รีย บ เที ย บ ผ ล สั มฤท ธ์ิท างการเรีย น วิช าภ าษ าอั งกฤษ ก่อน เรีย น แล ะห ลั งเรีย น ขอ งนั กเรีย น ช้ั น

36 ประถมศึกษาปีท่ี 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้เกมตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน 2) เพ่ือ เปรียบเทยี บเจตคตติ ่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษก่อนเรยี นและหลงั เรียนของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษา ปีท่ี 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้เกมตามแนวการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ของโรงเรียนบ้านทานบ อาเภอท่าตะโก จงั หวัดนครสวรรค์ จานวน 1 ห้องเรยี น รวม 36 คน ซ่ึงไดม้ าจากการสมุ่ แบบแบง่ กลุ่ม เคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัยคร้ังน้ีได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วชิ าภาษาอังกฤษโดยใช้เกมตามแนวการ เรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานจานวน 6 แผน มีคุณภาพในระดับเหมาะสมมากที่สุด 2) แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ซงึ่ เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิด 3 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ มี คา่ ความยากงา่ ยตั้งแต่ 0.37 ถึง 0.74 ค่าอานาจจาแนกต้ังแต่ 0.25 ถงึ 0.65 และคา่ ความเท่ยี งเทา่ กับ 0.92 3) แบบวัดเจตคติต่อการ เรียนวิชาภาษาอังกฤษมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จานวน 30 ข้อ มีความเที่ยงเท่ากับ 0.80 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1) การเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การทดสอบที่กรณีกลุ่ม ตัวอย่างไมเป็นอิสระต่อกนั (t– test dependent samples) 2) การเปรียบเทียบเจตคติต่อการเรียน วิชาภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การทดสอบที กรณีกลุ่มตัวอย่าง ไม่เป็นอิสระต่อกัน (t–test dependent samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ท่ีได้รับการ สอนโดยใชเ้ กมตามแนวการเรียนรโู้ ดยใช้สมองเป็นฐานมีผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษหลัง เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดบั .05 2) นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ที่ได้รับ การสอนโดยใชเ้ กมตามแนวการเรียนรูโ้ ดยใช้สมองเป็นฐานมีเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษหลัง เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05 กลา่ วโดยสรุปจากการศึกษางานวิจยั ดงั กล่าว จะเหน็ ไดว้ ่าการใช้เกมประกอบการสอนน้ัน สามารถชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเกดิ ความสนใจ สนกุ สนาน กระตือรือร้นและผ่อนคลายในการเรียนเพ่มิ มากข้นึ นอกจากน้เี กมคาศัพท์ต่างๆยังสามารถชว่ ยให้ผเู้ รียนมีผลการเรยี นดขี น้ึ อีกด้วย 5. กรอบแนวคดิ การวิจัย เกมประกอบการสอน ผลการเรียนร้คู าศัพท์ภาษาอังกฤษ แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจยั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook