สมาชิกในกลุ่ม นางสาวกนกวรรณ ไสยวุฒิ นางสาวณฐั รจุ า เถอื่ นเจริญ นางสาวเพญ็ วรา ธรรมสินธุ์ 63B44640502 63B44640505 63B44640516 นางสาวรตั นา แต่งตงั้ นายวริ ตั น์ ชรู กั ษ์ นางสาวสมฤดี ภาคนะภา 63B44640518 63B44640521 63B44640523
ความหมายของปรัชญา คำวำ่ “ปรชั ญำ” เปน็ ศัพท์ท่พี ระเจ้ำวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนรำธปิ พงศป์ ระพันธ์ (พระองคเ์ จำ้ วรรณไวทยำกร) ทรงบัญญตั ิ ข้ึนเพ่ือใชค้ กู่ บั คำภำษำอังกฤษว่ำ “Philosophy” เป็นคำมำจำกรำกศัพท์ภำษำสันสกฤต 2 คำคอื 1. ปรฺ : ประเสริฐ 2. ชญฺ ำ : ควำมรู้, ร,ู้ เข้ำใจ เมอ่ื รวมกนั แล้ว เป็น “ปฺรชญฺ ำ” (ปรชั ญำ) แปลว่ำ ควำมรอู้ นั ประเสริฐ เปน็ วชิ ำที่ว่ำดว้ ยหลักแหง่ ควำมรูแ้ ละควำมจรงิ คำว่ำ “ปรชั ญำ” ตรงกับคำภำษำบำลีวำ่ “ปัญญำ” ซึ่งมีรำก ศพั ทม์ ำจำก ป (อุปสรรค = ทั่ว) + ญำ (ธำตุ = ร)ู้ เมอ่ื รวมกนั แล้ว แปลว่ำ รทู้ ัว่ , รรู้ อบ
ความหมายของอภปิ รัชญา คำวำ่ “อภิปรัชญำ” เป็นศัพทท์ ่ีพระเจ้ำวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนรำธิปพงศ์ประพันธ์ (พระองค์เจ้ำ วรรณไวทยำกร) ทรงบัญญัติขึ้นเพ่ือใช้คู่กับคำภำษำอังกฤษว่ำ “Metaphysics” เป็นคำมำจำก รำกศพั ทภ์ ำษำสันสกฤต 3 คำคอื 1. อภิ : ยงิ่ 2. ปรฺ : ประเสริฐ 3. ชญฺ ำ : ควำมรู้, ร,ู้ เขำ้ ใจ เม่ือรวมกันแล้ว เป็น “อภิปฺรชฺญำ” (อภิปรัชญำ) แปลว่ำ ความรู้อันประเสริฐท่ีย่ิงใหญ่ เป็นวิชาท่ีวา่ ด้วยความแท้จริง ของสรรพสิ่ง คำว่ำ “อภิปรัชญำ” ตรงกับคำภำษำบำลีว่ำ “ปรมัตถ์” ซึ่งมีรำกศัพท์มำจำก ปรม (อย่ำงย่ิง, ลึกซ้ึง) + อัตถ (เนอ้ื ควำม) เมือ่ รวมกันแล้ว แปลว่ำ ควำมรทู้ ม่ี ีเนือ้ ควำมท่ลี ึกซึ้ง ในพจนำนุกรมฉบับรำชบณั ฑติ ยสถำน พ.ศ. 2525 ได้นยิ ำมควำมหมำยของคำว่ำ “อภิปรชั ญำ” เอำไว้ว่ำ “สำขำหนง่ึ ของ ปรัชญำ ว่ำดว้ ยควำมแท้จรงิ ซง่ึ เปน็ เนื้อหำสำคัญของปรัชญำ”อภิปรัชญำ เป็นปรชั ญำบริสทุ ธสิ์ ำขำหนึ่ง มีลกั ษณะเปน็ กำรศึกษำคน้ หำควำมจริงท่ีสน้ิ สุด เดิมทเี รียกวำ่ “ปฐมปรัชญำ” (First Philosophy) หรือปรชั ญำเรมิ่ แรก (Primary Philosophy) ซ่งึ เป็นช่ือเรยี ก
ผลงำนของ อรสิ โตเต้ลิ (Aristotle) อกี อย่ำงหนึง่ เหตทุ ีเ่ รยี กวชิ ำอภปิ รชั ญำนีว้ ่ำ First Philosophy เน่อื งจำกวำ่ เป็นวชิ ำทีเ่ กย่ี วเนือ่ ง ด้วยหลกั พืน้ ฐำนทีแ่ ทจ้ ริงของจกั รวำลและเปน็ วชิ ำ ทคี่ วรศึกษำเป็นอนั ดับแรก ส่วนวชิ ำกำรตำ่ ง ๆ ในสมัยแรก ๆ นั้น ก็รวมอยู่ในปฐมปรัชญำทั้งนนั้ เพรำะหลักกำรของปฐมปรัชญำสำมำรถใชอ้ ธบิ ำยวชิ ำอน่ื ๆ ได้ทุกวชิ ำ จงึ เปน็ ศำสตร์ตน้ ตอแห่ง ศำสตรท์ ง้ั ปวง หรอื เป็นศำสตรท์ ที่ ำให้เกดิ ศำสตรต์ ่ำง ๆ อภปิ รชั ญำ (Metaphysics) เรียกอีกอยำ่ งหนึ่งว่ำ ภววิทยำ (Ontology หรอื Theory of Being) คำวำ่ “ภววิทยำ” มคี วำมหมำยวำ่ เป็นทฤษฎวี ำ่ ด้วยควำมมอี ยู่, ควำมเป็นอยู่ มำจำกภำษำ สันสกฤต 2 คำ คอื 1. ภว : ม,ี เปน็ 2. วิทยำ : วชิ ำ, ศำสตร์ คำวำ่ “Ontology” มำจำกรำกศัพทภ์ ำษำกรีก 2 คำคือ 1. Onto : Being 2. Logos : Scienceคำว่ำ “Ontology” เปน็ คำทีน่ กั ปรัชญำสมัยโบรำณใชม้ ำกอ่ นคำวำ่ “Metaphysics” เพรำะคำว่ำ Metaphysics เพ่งิ จะเริ่มใช้กันเมือ่ ประมำณศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตศ์ ักรำช
สเตจ (W.T. Stace) ได้ชแี้ จงไว้ คือเม่อื แอนโดรนิคุส (Andronicus) จัดพมิ พง์ ำนของ อริสโตเติ้ล (Aristotle) เขำ้ เป็นรปู เลม่ สมบูรณ์ ในกำรจดั พมิ พค์ รัง้ นีไ้ ดน้ ำเอำตำรำปฐมปรชั ญำไปพิมพ์ไว้หลงั ฟิสิกส์ คำว่ำ “Metaphysics” (เมตำฟิสกิ ส์) จงึ มคี วำมหมำยว่ำ “มำหลังฟิสกิ ส์” “ลว่ งพน้ ฟิสิกส์” (After Physics) กล่ำวคือเปน็ เรื่องที่เกี่ยวกบั สิง่ นอกเหนอื ฟิสิกส์ คำว่ำ “Metaphysics” ในภำษำกรีกซึง่ เป็นภำษำดง้ั เดมิ ของอภิปรชั ญำใชค้ ำวำ่ “Meta ta Physika” หรอื ท่ี ภำษำอังกฤษใช้วำ่ Metaphysics มีรำกศัพท์มำจำกคำ 2 คำคอื 1. Meta : After, Above (หลงั , เบ้ืองหลงั , ลว่ งเลย) 2. Physika : Physics = Nature (ส่ิงทสี่ ัมผสั ไดด้ ้วยประสำทสัมผสั , สง่ิ ทส่ี มั ผสั ไดด้ ้วยอินทรยี )์ เมอื่ เปน็ เช่นนี้ คำว่ำ “Metaphysics” จึงหมำยถึง “After Physics” แปลว่ำ “สงิ่ ที่อยเู่ หนอื ประสำทสัมผสั , สง่ิ ท่ีอยูห่ ลงั ฟิสกิ ส์, สิง่ ท่อี ยู่เบ้อื งหลังวัตถุ หรือวิชำทว่ี ำ่ ด้วยสิ่งท่ีอยูเ่ บ้ืองหลังสง่ิ ทีร่ ู้สึกทำงประสำทสมั ผสั ” จำกควำมหมำยดังกลำ่ วน้ี มนี ักปรำชญ์ของไทยบำงทำ่ น ได้บัญญตั ิศพั ท์ขึน้ ใช้อีกศัพท์หนง่ึ คือ “อตนิ ทรียว์ ิทยา” (อติ + อนิ ทรีย์ = ล่วงเลยอินทรยี ์ หรอื ล่วงเลยประสำทสัมผสั ) ดังนัน้ เรำจงึ สรปุ ได้ว่ำ คำวำ่ “อภปิ รชั ญำ” มีไวพจน์ที่ใช้อยู่ 4 อย่ำงไดแ้ ก่ 1. อภปิ รชั ญำ 2. ควำมรขู้ ั้นปรมัตถ์ 3. Meta ta physika 4. อตนิ ทรีย์วิทยำ
เม่อื แยกพจิ ำรณำแล้ว เรำจะเหน็ วำ่ ไวพจนท์ ่ี 1 คอื อภิปรชั ญำ ทัศนะเก่ียวกับเร่ืองเหล่ำนี้ นักปรัชญำจะ ไวพจน์ที่ 2 คอื ควำมรขู้ น้ั ปรมัตถ์ มคี วำมหมำยท่ี พดู ถงึ ลักษณะเหล่ำนี้ที่คล้ำยคลึงกัน ทั้งฝ่ำย ตะวันตก และฝ่ำยตะวันออก ที่ต่ำงกันเห็น เหมือนกัน กลำ่ วคอื เปน็ วิชำทว่ี ่ำดว้ ยกำรค้นหำควำมจริงสูงสุด จะเป็นกำรเรียกชื่อ น่ันคือปรัชญำตะวันตก ไมม่ อี ะไรที่จริงไปกวำ่ นอ้ี ีกแลว้ ภำษำปรัชญำเรียกลกั ษณะเชน่ น้ีวำ่ เรียกว่ำ “Metaphysics” เพรำะเป็นกำร กำรค้นหำควำมจรงิ ขน้ั อนั ตมิ ะ (Ultimate Reality) ในกำรศึกษำ ค้นหำควำมจริงที่อยู่เบ้ืองหลัง อันจะมีผลใน คน้ หำควำมจรงิ ดังกล่ำวน้ัน เรำอำจจะวิเครำะหไ์ ด้ 3 ข้ันตอน (ผศ. ก ำ ร ท ำ ใ ห้ แ จ้ ง สั จ จ ะ ข อ ง ป ร ำ ก ฏ ก ำ ร ณ์ วิธำน สุชวี คุปต์, 2525: 3 - 4) ตำมควำมจรงิ ที่เป็นพ้ืนฐำน น่นั คือ ธรรมชำติ และข้อเท็จจริงท่ีอยู่เบื้องหลัง 1. ควำมจรงิ ข้นั สมมติ เป็นควำมจริงท่เี รำสมมตขิ ึ้นใชใ้ น ปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ ส่วนปรัชญำตะวันออก เรียกว่ำ “อภิปรัชญา หรือ ปรมัตถธรรม” ชีวิตประจำวัน เพรำะเม่ือค้นพบปรมัตถธรรมแล้วก็จะ 2. ควำมจรงิ ตำมสภำวะ เปน็ ควำมจริงที่อำศยั สภำพที่เปน็ อยู่ นำมำเป็นแนวทำงดำเนินชีวิตให้ก้ำวสู่ 3. ควำมจรงิ ขนั้ ปรมตั ถ์ เปน็ ควำมจรงิ สูงสุด ระดับสงู ของกำรประพฤติตอ่ ไป ไวพจน์ท่ี 3 คือ Meta ta physika (Metaphysics) ไวพจน์ท่ี 4 คอื อตนิ ทรีย์วทิ ยำ มีควำมหมำยเหมือนกนั กลำ่ วคือ ควำมจรงิ ที่อยเู่ บอื้ งหลังปรำกฏกำรณ์
ดังนั้น อภิปรัชญำ (Metaphysics) จึงเป็นกำรศึกษำถึงควำมแท้จริงของสรรพสิ่งในโลก ไม่ว่ำจะเป็นเรื่อง ของธรรมชำติ เรื่องของจิตหรือวิญญำณ เร่ืองของพระเจ้ำหรือสิ่งสัมบูรณ์ โดยศึกษำว่ำสิ่งเหล่ำนี้มีจริง หรือไม่ มีลักษณะเป็นอย่ำงไร มีกำรดำรงอยู่อย่ำงไร เรำสำมำรถที่จะรู้จักสิ่งเหล่ำนั้นได้อย่ำงไร กำรมีอยู่ ของสิง่ เหลำ่ นนั้ ตำ่ งกนั หรอื ไม่ อภิปรัชญำ เป็นสำขำของปรัชญำสำขำหนึ่ง เป็นสำขำที่รวมศำสตร์ท่ีว่ำด้วยควำมมีอยู่ของจักรวำล เป็น สำขำท่ีค้นหำเรือ่ งสภำวะแหง่ ควำมเปน็ จรงิ อะไรเปน็ สิ่งทีเ่ ป็นจรงิ และอะไรเป็นส่ิงท่ีได้จำกส่ิงที่เป็นจริง โลกคืออะไร จักรวำลมีได้อย่ำงไร วัตถุหรือจิตเป็นควำมจริง มนุษย์คืออะไร เหล่ำน้ีล้วนแต่เป็นปัญหำท่ีจะหำคำตอบได้จำก อภปิ รัชญำ เมื่อเป็นเช่นน้ี อภิปรัชญำ จึงเป็นสำขำของปรัชญำที่ศึกษำถึงควำมเชื่อเกี่ยวกับควำมเป็นจริง ซ่ึงพยำยำม จะหำคำตอบจำกส่ิงต่ำง ๆ มำกมำย เช่น อะไรคือจิต จิตมีจริงหรือไม่ อะไรคือพระเจ้ำ พระเจ้ำมีจริงหรือไม่ จิตกับ พระเจ้ำมีควำมสัมพันธซ์ ง่ึ กนั และกนั อย่ำงไรหรือไม่ อะไรแนท่ ่ีเปน็ ควำมแท้จรงิ
ทีม่ าของอภปิ รัชญา ดงั ท่ที รำบมำแล้วว่ำ คำวำ่ “อภปิ รัชญำ” (ปรัชญำอนั ยงิ่ ใหญ่, ควำมรู้อนั ประเสรฐิ ทยี่ ิง่ ใหญ่) มำจำกภำษำองั กฤษวำ่ “Metaphysics” ซ่ึงมรี ำกศัพท์มำจำก Meta + Physics รวมกนั แล้วแปลวำ่ “สภำวะทีอ่ ยูเ่ หนอื กำรสัมผัส” นนั่ หมำยถึงว่ำ อภปิ รัชญำ เปน็ ปรัชญำทเ่ี ก่ียวกับสง่ิ ที่อย่เู หนือกำรร้เู หน็ ทัว่ ไป พระเจำ้ วรวงศเ์ ธอ กรมหม่นื นรำธิปพงศป์ ระพนั ธ์ ไดอ้ ธิบำยไวว้ ่ำ กำรให้ควำมหมำยหรอื กำรแปลศพั ทข์ องคำวำ่ Metaphysics นน้ั จะแปลตำมมลู ศพั ทไ์ ม่ได้ เพรำะวำ่ คำนี้เกิดขน้ึ มำจำกควำมบงั เอญิ น่นั คอื หลังจำกที่เพลโต้ (Plato) และอริสโตเติล้ (Aristotle) ได้ทำให้วิชำ Philosophy เจรญิ ขึน้ เพลโต้ถอื ว่ำ วิชำน้ีเป็นวิชำท่ี เกย่ี วกบั ควำมจริงทไ่ี ม่เปลย่ี นแปลง แต่อริสโตเติ้ล (Aristotle) มคี วำมคิดเปน็ วิทยำศำสตร์ ในหนังสอื ท่อี รสิ โตเต้ลิ แปล และเรยี บเรยี งขนึ้ เลม่ หนง่ึ ไดน้ ำเอำเรอื่ ง First Philosophy มำเรยี งไว้ในตอนทำ้ ย ๆ ซง่ึ ตอ่ มำจำกเรอ่ื งฟสิ กิ ส์ หรอื ปรชั ญำธรรมชำติ (Natural Philosophy) ในหนังสอื ดังกล่ำว ไดจ้ ัดเรียงลำดบั ไวด้ ังนี้ 1. คณิตศำสตร์ (Mathematics) 2. กำยภำพของโลก (Physics) 3. ปฐมปรชั ญำ (First Philosophy) 4. ตรรกศำสตร์ (Logic) 5. จิตวิทยำ (Psychology) 6. จรยิ ศำสตร์ (Ethics)
สเตจ (W.T. Stace) ได้ช้แี จงไว้ว่ำ คำวำ่ Metaphysics เปน็ คำทีไ่ ด้มำโดยบังเอญิ คือประมำณ พ.ศ. 480 เม่ือแอน โดรนิคสั (Andronicus) รวบรวมผลงำนของอริสโตเต้ิลเข้ำเปน็ รูปเล่มสมบรู ณ์ ในกำรจัดพิมพ์ครั้งน้ไี ด้นำเอำตำรำ ปฐมปรชั ญำไปพิมพไ์ ว้หลังฟิสกิ ส์ คือเรยี ง First Philosophy ไวห้ ลังปรัชญำธรรมชำติ (Natural Philosophy หรือ Physics) และนโี คลำอุส (Nicolaus) แหง่ ดำมัสกัส เปน็ คนแรกทเี่ รียก First Philosophy โดยใช้ภำษำกรกี วำ่ Ta meta ta Physika แล้วเรียกส่วนนีว้ ำ่ “หลงั ฟสิ ิกส์” (After Physics) กล่ำวคือเปน็ เรื่องท่ีเก่ียวกบั ส่ิงนอกเหนือ ฟสิ กิ ส์ ภำษำกรีกทวี่ ำ่ Meta ta Physika หมำยควำมวำ่ “งำนที่ทำนอกเหนือหรือลว่ งพ้นจำกทำงรำ่ งกำย, โลก เบ้ืองหลงั กำยภำพ, สงิ่ ท่ีอยู่เบอื้ งหลงั ฟิสิกส์” คำวำ่ Meta (After, Above) แปลวำ่ “หลงั เหนือกวำ่ เบ้ืองหลัง เลยออกไป” เมือ่ รวมกับ Physics จงึ หมำยถึงส่ิง ทอี่ ยูน่ อกขอบเขตกำรรบั รู้ดว้ ยประสำทสัมผัส หรือสงิ่ ท่นี อกเหนือไปจำกสสำรและพลังงำน หรือส่งิ ท้ังหลำยที่ไม่ อำจจะรู้หรือเข้ำถึงได้ดว้ ยอำศัยประสำทสัมผสั ดังน้ัน อภปิ รชั ญำ จึงเปน็ วชิ ำทศี่ กึ ษำถงึ เบื้องหลงั หรือเนื้อแท้ของ สิ่งต่ำง ๆ ในเอกภพ ซึง่ ไม่สำมำรถพสิ จู น์และทดสอบด้วยประสำทสัมผัสได้ ต่อมำ นักปรัชญำชำวเยอรมนั ชอ่ื โบเอทอิ สุ (A.M.S.Boethius) ได้เปลย่ี นมำใชเ้ ป็นภำษำลำตินเพียง คำเดยี วว่ำ metaphysica ตอ่ มำจึงไดก้ ลำยมำเป็น metaphysics อยำ่ งทน่ี ยิ มใช้กันอยู่ในปจั จบุ ันน้ี คำว่ำ “metaphysics” แตเ่ ดิมมีควำมหมำยเพียง “หลังฟสิ กิ ส์”
คำว่ำ “ฟสิ ิกส์” เดิมหมำยถึงกำรศึกษำเก่ยี วกับสิ่งตำ่ ง ๆ ในธรรมชำตหิ รอื ในโลก ต่อมำในตอนหลงั ไดม้ ีกำรแปล ควำมหมำยกวำ้ งขวำงออกไปอีกเป็นว่ำ Physics หมำยถงึ กำยภำพ, ควำมรูท้ อ่ี ยใู่ นขอบเขตของประสำทสมั ผสั , ส่งิ ที่เรำสำมำรถรับรู้ได้ดว้ ยอำยตนะ หรอื ประสำทสมั ผัสทัง้ 5 กล่ำวคอื สสำรและพลงั งำน จะเหน็ ไดว้ ำ่ คำวำ่ อภิปรชั ญำ (Metaphysics) เป็นคำทน่ี ำมำใชใ้ นสำขำปรัชญำสำขำหน่งึ นำมำใช้คร้งั แรกประมำณ พ.ศ. 480 หรอื ในศตวรรษท่ี 1 กอ่ นคริสตก์ ำล ปรัชญำเมธอี รสิ โตเติ้ล (Aristotle) ไดเ้ รียกปรัชญำสำขำที่สำคญั ที่สดุ น้ี วำ่ “ปฐมปรชั ญำ” (The First Philosophy) ซ่ึงเปน็ สำขำทีว่ ่ำด้วยควำมแท้จรงิ หรือควำมมอี ยขู่ องสรรพสง่ิ ซ่ึงไมจ่ ำเป็น จะต้องรไู้ ดด้ ว้ ยประสำทสัมผสั ในปรัชญำสมยั กลำง (Medieval Period) อภปิ รชั ญำมคี วำมสำคัญนอ้ ยกว่ำเทววิทยำ (Theology) เพรำะเทววทิ ยำได้รบั กำรยอมรับและศึกษำกนั อย่ำงกวำ้ งขวำง เปน็ ยุคมดื ของวงกำรปรัชญำ นักปรัชญำสว่ นมำกเป็นพระนกั บวชในคริสตศำสนำ จงึ เนน้ เฉพำะคำสอนเกยี่ วกบั ครสิ ตศำสนำอยำ่ งเดยี ว ตอ่ มำประมำณคริสต์ศตวรรษที่ 16 เปน็ ต้นมำ ซง่ึ เขำ้ สปู่ รชั ญำ สมยั ใหม่ (Modern Period) อภปิ รัชญำ ได้มคี วำมสำคญั เทำ่ กันกับเทววิทยำ จนกระทัง่ ถงึ ปัจจุบัน
หน้าที่ของอภิปรัชญา นักปรัชญำเริ่มตน้ แนวควำมคดิ ของตนเกี่ยวกบั ปรำกฏกำรณ์ ทำงธรรมชำติ หรือส่ิงที่เกิดจำกธรรมชำติ อันเกิดจำกควำม สงสัย หรือควำมประหลำดใจในสิ่งต่ำง ๆ ที่เกิดข้ึน และ พยำยำมตอบขอ้ สงสยั ในสิ่งเหล่ำนัน้ ด้วยเหตผุ ล แนวควำมคิดของนักปรัชญำลักษณะเช่นน้ี คือแนวควำมคิด เก่ียวกับปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติ เป็นแนวควำมคิดทำง อภปิ รชั ญำ อา้ งองิ : ปยิ ะฤทธ์ิ พลำยมณี. (2556). พระพทุ ธศำสนำกบั ปัญหำทำงอภิปรชั ญำ. อา้ งองิ : http://metaarcana.blogspot.com
อ้างอิง: https://dhrammada.wordpress.com หนา้ ท่ขี องอภปิ รัชญา ธำเลส (Thales) บดิ ำแหง่ ปรัชญำกรีก มีควำมสงสัยว่ำ โลกเกิดข้ึนมำจำกอะไร มีอะไร เป็นบ่อเกิดของโลก เขำจึงพยำยำมคิดค้นหำ คำตอบ โดยไดค้ ำตอบวำ่ นำ้ เป็นบ่อเกดิ ของโลก หรือเป็นปฐมธำตุของโลก ซ่ึงเขำให้เหตุผลว่ำ ส่ิง ท่ีมีชีวิตท่ีอยู่ในโลกล้วนต้องกำรน้ำ โดยเฉพำะ อย่ำงย่ิง มนุษย์หำกขำดน้ำแล้วไม่สำมำรถจะมี ชีวติ อยไู่ ด้ อ้างองิ : ปิยะฤทธิ์ พลำยมณ.ี (2556). พระพทุ ธศำสนำกับปัญหำทำงอภปิ รัชญำ.
แต่กำรสืบค้นหรือกำรแสวงหำควำมจริง อ้ำงองิ : http://www.newmana.com ดังกล่ำวน้ัน จะต้องประกอบด้วยเหตุผล อ้ำงองิ : http://xn--m3ciu2am4ccl.blogspot.com เ พ ร ำ ะ จุ ด มุ่ ง ห ม ำ ย ข อ ง ก ำ ร ศึ ก ษ ำ อภิปรัชญำที่สำคัญ ก็คือ เพ่ือให้มนุษย์ เป็นตัวของตัวเอง มีควำมคิดเป็นอิสระ รู้จักวิพำกษ์วิจำรณ์ปัญหำปรัชญำตำม หลักของเหตุผล อ้ำงองิ : https://sites.google.com/site/xphiprachya01/
ดังนั้ นหน้ ำท่ีข อง อภิป รัชญ ำคื อ อา้ งอิง : http://primary-philosophy.blogspot.com กำรสืบคน้ หำอันติม สัจอันติมะ คือ ควำมเปน็ จริงข้ันสูงสดุ สัจจะ คือ ควำมจริงเพรำะฉะน้ัน อันติมสัจ คอื ควำมจริงที่สนิ้ สุด ซ่งึ อยู่ เหนือควำมจริงที่ปรำกฏแก่ประสำท สัมผัส เป็นควำมจริงท่ีครอบคลุมสิ่ง ทัง้ ปวงได้
ลักษณะและขอบเขตอภปิ รชั ญา อภิปรัชญำได้ทำหน้ำที่ในกำรตอบปัญหำเก่ียวกับควำมเป็นจริงของสรรพส่ิง รวมทั้ง กระบวนกำรของควำมเป็นไปของสรรพส่ิงด้วย นั่นหมำยถึงกำรศึกษำเกี่ยวกับเอกภพ (Cosmogony) จักรวำล (Universe) โลก (World) มนุษย์(Man) จิต (Mind) หรือวิญญำณ (Soul) ชีวิต (Life) สสำร (Matter) ธรรมชำติ(Nature) พระเจ้ำ (God) หรือสิ่งสัมบูรณ์(Absolute) ตลอดถึงสิ่งที่เก่ียวข้องกับส่ิง เหลำ่ นี้ อภิปรัชญำมุ่งให้ศึกษำค้นคว้ำถึงสัจธรรมหรือควำมเป็นจริงของเอกภพ หรือควำมเป็นจริงของสรรพส่ิงเท่ำที่มีอยู่ ไม่ว่ำ ส่ิงน้ันจะเป็นอยู่ในลักษณะใดก็ตำม ท้ังท่ีเป็นรูปธรรมทั้งท่ีเป็นนำมธรรม ท้ังท่ีสัมผัสได้ทั้งที่สัมผัสไม่ได้ อภิปรัชญำ พยำยำมค้นควำ้ ถงึ ควำมแทจ้ รงิ ของสรรพสง่ิ หรือเรยี กอีกอยำ่ งหน่ึงวำ่ ภววิทยำ (Ontology) คือวิชำท่ศี กึ ษำถึงควำมมีอยู่ เป็นอยขู่ องสรรพส่งิ ในโลก
คำท้ังสองนี้บำงคร้ังใช้ร่วมกัน แต่ก็มี กำรศึกษำที่แตกต่ำงกัน คือ อภิปรัชญำเน้นศึกษำ ถึงสภำวะท่ีไม่อำจรู้ได้โดยประสำทสัมผัสเป็น ภำวะที่อยู่เหนือประสำทสัมผัสท้ังห้ำ ซึ่งเป็นเร่ือง ทเี่ กย่ี วกบั นำมธรรม ส่วนภววิทยำจะศึกษำถึงส่ิงที่มีอยู่เป็นอยู่ ในจักรวำลทั้งส่วนที่สัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้ กล่ำวคือภววิทยำจะศึกษำทั้งสิ่งท่ีเป็นนำมธรรม และรปู ธรรม อา้ งองิ : https://dhrammada.wordpress.com/philosophyreligion
ขอบเขตหรอื ขอบขำ่ ยของอภปิ รชั ญำ มีอยู่ 3 ประกำร คือ 1. เอกภพ หรอื ธรรมชาติ รวมไปถึงจักรวาล (Cosmogony, Nature and Cosmology) ปัญหำแรกที่อภิปรัชญำจะตอบกค็ ือ เร่อื งเอกภพ สุริยจักรวำล ว่ำมสี ภำพเป็นจิต หรือสสำร มีกำร เกิดขึ้นดำรงอยูแ่ ละววิ ัฒนำ แบบจกั รกล หรอื แบบมวี ัตฤประสงคแ์ อบแฝงอยู่ ดังนน้ั จึงมีปัญหำใหญ่ ๆ ที่จะนำมำ ศกึ ษำอยู่ 3 เรอ่ื งคือ จติ นิยม สสารนิยม (Idealism) (Meterialism)
1. จิตนิยมเป็นอภิปรัชญำสุดโต่งด้ำนหนึ่งของธรรมชำติ ท่ีเกี่ยวกับสภำวะที่เป็นนำมธรรม ซ่ึงนักปรัชญำ ยอมรับและเชื่อว่ำ สรรพส่ิงในจักรวำลน้ี เมื่อค้นหำควำมจริงถึงที่สุด จะมีสภำพเป็นจิต หรือนำมธรรม เปน็ สภำวะที่จบั ตอ้ งไมไ่ ด้ มองกไ็ มเ่ หน็ คือ รู้ไมไ่ ด้ทำงประสำทสมั ผัสท้ัง 5 ของคนธรรมดำ ทฤษฎีแบบของเพลโต สิ่งเหล่ำน้เี รำไมส่ มำรถจะมองเห็นได้ หรือสมั ผัสได้ แตก่ ม็ ีอยู่ในธรรมชำติ คือ ปรำกฏอยู่ในโลกน้ีในฐำนะทีเ่ ปน็ นำมธรรม มใิ ช่สสำร 2. สสำรนิยมในทำงอภิปรัชญำเป็นด้ำน 3. ธรรมชำตินิยมเชื่อในควำมมำกมำยหลำกหลำยในจักรวำล รูปธรรม หรือด้ำนวัตถุ ซ่ึงเป็นสภำวะที่เห็น แต่สิ่งเหล่ำนี้ มีควำมจริงอยู่ในตัวมันเอง ได้แก่ควำมเชื่อว่ำ ส่ิง ได้, ฟังได้, สูดกล่ินได้, ล้ิมรสได้, ได้รับสัมผัส และเหตุกำรณ์ทั้งหลำย มีมูลเหตุมำจำกรรรมชำติ มำกกว่ำ ทำงกำยได้ มูลเหตุเหนือธรรมชำติ จักรวำลมีมูลกำเนิดมำจำกธรรมชำติ มำกกวำ่ มำจำกภำวะเหนอื ธรรมชำติ อา้ งอิง : อดศิ กั ดิ์ ทองบุญ, (๒๕๒๖). คมู่ ืออภปิ รัชญำ หน้ำ (๑-๒). กรงุ เทพมหำนคร :สำนกั พมิ พป์ ระยูรวงศ์ จำกัด.
2. อภปิ รัชญาวา่ ด้วยจิตหรอื วญิ ญาณ (Mind , Soul or Spirit) อ้างองิ : https://www.slideshare.net จิต (mind) หลักฐำนทำงพระพุทธศำสนำยืนยันว่ำ มนุษย์เรำนั้น อ้างองิ : https://www.assosolare.org/soulpower3/ มีวิญญำณ ไม่เฉพำะมนุษย์เท่ำน้ันมีวิญญำณ สัตว์ดิรัจฉำนตั้งแต่เล็กที่สุด ถงึ ใหญ่ทส่ี ดุ ก็มีวิญญำณเหมือนกนั เป็นกำรศึกษำถึงลักษณะกำเนิดจุดหมำยปลำยทำงของวิญญำณ และสัมพันธภำพระหว่ำงวิญญำณกับร่ำงกำย อภิปรัชญำจะทำหน้ำท่ี ค้นคว้ำเกี่ยวกับเรื่องธรรมชำติของวิญญำณ กำเนิดของวิญญำณ จุดหมำย ปลำยทำงของวญิ ญำณ และควำมสมั พันธ์ ระหว่ำงวิญญำณกับรำ่ งกำย นักปรัชญำพยำยำมศึกษำเพ่ือท่ีจะตอบคำถำมท่ีว่ำ จิตของมนุษย์ เรำคอื อะไร มลี ักษณะเปน็ อยำ่ งไร มนุษย์มีอิสระในกำรคิดในกำรหำคำตอบ หรือไม่ หรือมนุษย์มีเสรีภำพในกำรตัดสินใจ และกำรเลือกกระทำหรือไม่ มำกน้อยเพียงใด จะเป็นกำรศึกษำเพื่อพิจำรณำดูเก่ียวกับวิญญำณ อัตตำ และจติ ว่ำเป็นสง่ิ เดียวกนั หรือไม่ หรอื เป็นคนละอย่ำงกัน
3. อภิปรัชญาว่าดว้ ยพระเจ้า หรือปรัชญาเทวะ (God or Absolute and Ontology) อา้ งองิ : http://www.kamsonbkk.com คือกำรค้นคว้ำหำสัจภำวะเร่ือง พระเจ้ำ หรือสิ่งที่มีอำนำจเหนือมนุษย์ ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีมี อา้ งอิง : https://www.tailueradio.org อิทธิพลมำตั้งแต่บรรพกำล เป็นลัทธิเทวนิยม “เทวนิยม\" ตำมพจนำนุกรม ฉบับ รำชบัณฑิตยสถำน พ.ต. 2525 หมำยถึงลัทธิที่เชื่อว่ำ มีพระเจ้ำผู้ยิ่งใหญ่พระองค์เดียว พระเจำ้ น้นั ทรงมีอำนำจครอบครองโลก และสำมำรถดลบนั ดำลควำมเป็นไปในโลก เทวนิยมทำงอภิปรัชญำ จะเน้นว่ำ พระเจ้ำมีอยู่จริง ถือเป็นภำวะที่มีอยู่อย่ำง เที่ยงแทถ้ ำวร ไมใ่ ช่เป็นเพียงอุดมคติ อย่ำงที่นักปรัชญำธรรมชำติบำงพวกเข้ำใจ เพรำะนัก ปรชั ญำธรรมชำตินิยม นำเอำคำวำ่ พระเจำ้ (God) ไปใช้ เพียงหมำยถึง มโนภำพอย่ำงหนึ่ง (concept) นักปรัชญำเทวนิยม มีหน้ำที่สำคัญ คือ หำเหตุผล และข้อเท็จจริงมำ ประกอบกำรพิสูจน์ให้เป็นจริงว่ำ พระเจ้ำมีอย่จู ริง ข้อพิสูจน์ของพวกเทวนิยมอำศัยข้ออ้ำง ทำงศำสนำ คือหลักศรัทธำ และมีอยู่จำนวนไม่น้อยท่ีอำศัยข้ออ้ำงทำงปรัชญำ คือหลัก เหตุผลและประสบกำรณข์ องมนุษย์
ความเป็นจริงทีค่ รอบคลมุ อ้างอิง : http://primary-philosophy.blogspot.com ขอ้ เท็จจริง : คอื ปรำกฏกำรณ์ของแต่ละส่งิ ที่ อ้างอิง : http://primary-philosophy.blogspot.com เกดิ ขนึ้ ควำมจรงิ ท่ีประจักษช์ ดั เหตุกำรณ์ที่ เป็นจริง ความจริง : คือ คณุ สมบัติของขอ้ ควำมท่ีมี ลกั ษณะพเิ ศษอยำ่ งใดอย่ำงหนึ่ง ความเปน็ จรงิ : คือ ส่ิงท่มี อี ย่จู รงิ เปน็ อยู่จริง ความเป็นจรงิ สงู สดุ : นิพพำนควำมจริงสงู สดุ เป็นควำมดีสงู สุด เปน็ สภำวะท่สี มบรู ณ์ อา้ งองิ : ผศ.วิธำน สุชวี คปุ ต์. (2561). อภปิ รัชญำ,11,สำนกั พมิ พ์:มหำวิทยำลัยรำมคำแหง
จิตนิยม ลัทธทิ างอภปิ รชั ญา ประสบการณ์นิยม หรอื มโนคตวิ ทิ ยา หรอื ปฏบิ ตั ินยิ ม สจั นิยม หรือวตั ถนุ ยิ ม โทมัสนิยมใหม่ อตั ถิภาวนิยม หรืออัตภาวะนิยม
จติ นยิ ม หรือมโนคติวิทยา (Idealism) พลำโต (Plato) ลัทธิจิตนิยม (Idialism) เป็นลัทธิปรัชญำท่ี เก่ำแก่ท่ีสุดในบรรดำปรัชญำต่ำงๆมีกำเนิดพร้อมกับกำร เร่ิมตน้ ของปรัชญำ ปรชั ญำลัทธินถ้ี ือเร่อื งจติ เป็นส่ิงสำคัญ มีควำมเช่ือว่ำส่ิงท่ีเป็นจริงสูงสุดนั้นไม่ใช่วัตถุหรือตัวตน แต่เป็นเร่ืองของควำมคิดซ่ึงอยู่ในจิต (Mine) ส่ิงท่ีเรำเห็น หรือจับต้องได้น้ัน ยังไม่ควำมจริงท่ีแท้ ควำมจริงท่ีแท้จะ มีอยู่ในโลกของจิต (The world of mind) เท่ำน้ัน ผู้ที่ได้ ชื่อวำ่ เป็นบิดำของแนวควำมคิดลัทธิปรัชญำนี้ คือ พลำโต (Plato) นักปรัชญำเมธีชำวกรีก ซ่ึงมีควำมเช่ือว่ำ กำรศึกษำ คือ กำรพัฒนำจติ ใจมำกกว่ำอยำ่ งอน่ื อา้ งอิง : อุดมศักดิ์ มสี ุข. 2552. ปรชั ญำและปรัชญำกำรศกึ ษำ. กรงุ เทพฯ.
อรสิ โตเตลิ (Aristotle) สัจนยิ ม หรือวัตถุนยิ ม (Realism) ลั ท ธิ ป รั ช ญ ำ ท่ี มี ค ว ำ ม เ ชื่ อ ใ น โ ล ก แ ห่ ง วัตถุ (The world of things) มีควำมเช่ือในแสวงหำ ควำมจริงโดยจิตตำมแนวคิดของจิตนิยมอย่ำงเดียวไม่ พอ ต้องพิจำรณำข้อเท็จจริงตำมธรรมชำติด้วย ควำม จริงท่ีแท้คือ วัตถุท่ีปรำกฏต่อสำยตำ สำมำรถสัมผัสได้ ส่ิ ง เ ห ล่ ำ น้ี เ ป็ น พ้ื น ฐ ำ น ข อ ง ก ำ ร ศึ ก ษ ำ ท ำ ง ด้ ำ น วิทยำศ ำสตร์ บิดำขอ ง ลัทธิน้ีคื อ อริสโตเ ติ ล (Aristotle) นักปรำชญ์ชำวกรีกลัทธิปรัชญำสำขำน้ี เปน็ ตน้ กำเนิดของกำรศกึ ษำทำงงดำ้ นวิทยำศำสตร์ อา้ งอิง : อดุ มศักดิ์ มีสขุ . 2552. ปรชั ญำและปรชั ญำกำรศึกษำ. กรุงเทพฯ.
ประสบการณน์ ยิ ม หรอื ปฏิบัตินยิ ม (Experimentalism) ลัทธิประสบกำรณ์นิยม (Experimentalism) เป็นปรัชญำท่ีมีช่ืออีกอย่ำง หนึ่งว่ำ ปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ปรัชญำกลุ่มน้ีมีควำมสนใจในโลกแห่ง ประสบกำรณ์ ฝ่ำยวัตถุนิยมจะเช่ือในควำมเป็นจริงเฉพำะส่ิงที่มนุษย์พบเห็นได้เป็น ธรรมชำติที่ปรำศจำกกำรปรุงแต่งเป็นธรรมชำติบริสุทธิ์ ส่วนประสบกำรณ์นิยมมิได้ หมำยถึงสิ่งที่เรำพบเห็นในชีวิตประจำวันเท่ำน้ัน แต่หมำยรวมถึงสิ่งท่ีมนุษย์กระทำ คิด และรู้สึก รวมถึงกำรคิดอย่ำงใคร่ครวญและกำรลงมือกระทำ ทำให้เกิดกำร เปล่ียนแปลงในผู้กระทำ กระบวนกำรทง้ั หมดทีเ่ กดิ ข้ึนครบถ้วน แล้ว จึงเรียกว่ำเป็น ประสบกำรณ์ ควำมเป็นจริงหรือประสบกำรณ์สำมำรถเปล่ียนแปลงได้ตำมเงื่อนไข แห่งประสบกำรณ์ บุคคลที่เป็นผู้นำของควำมคิดนี้ คือ วิลเลียม เจมส์ (William, James) และจอห์น ดิวอ้ิ (John Dewey) ชำวอเมริกัน วิลเลียม เจมส์ มีควำมเห็น ว่ำประสบกำรณ์และกำรปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญส่วนจอห์น ดิวอิ้ เชื่อว่ำมนุษย์จะได้รับ ควำมรเู้ กย่ี วกับส่ิงต่ำงๆจำกประสบกำรณเ์ ท่ำนั้น วลิ เลยี ม เจมส์ (William, James) อา้ งองิ : ภวิศำ พงษ์เล็ก. 2560. หลกั กำรและปรชั ญำกำรศกึ ษำ. อดุ รธำนี ดวิ อ้ิ (John Dewey)
โทมัสนิยมใหม่ (Neo-Thomism) โทมสั ปรัชญำโทมัสนิยมใหม่ มีแนวคิดเก่ียวกับโลกและจักรวำล ว่ำเป็น “โลกแห่ง เหตุผล และกำรมีอยูข่ องพระผู้เป็นเจ้ำ” (The World of Reason, Being/God) และ มีแนวคิดว่ำควำมรู้ท่ีแท้จริง คือ “ควำมรู้ที่เป็นไปตำมหลักเหตุผล และเป็นกำรหย่ังรู้” (Truth as reason and intuition) แนวคิดเกี่ยวกับควำมดี หรือจริยธรรมของนัก ปรัชญำกลุ่มโทมัสนิยมใหม่ คือ “จริยธรรมเป็นกำรกระทำอย่ำงมีเหตุผล” แนวคิด เก่ียวกับควำมงำม หรือสุนทรียภำพ คือ “สุนทรียะ เป็นส่ิงท่ีก่อให้เกิดกำรหยั่งรู้เชิง สร้ำงสรรค์ โดยอำศยั พทุ ธปิ ญั ญำ” นักปรชั ญำคนสำคญั คอื Saint Thomas Aquinas อ้างอิง : ภวศิ ำ พงษ์เลก็ . 2560. หลกั กำรและปรัชญำกำรศกึ ษำ. อุดรธำนี
อัตถิภาวนยิ ม หรืออัตภาวะนยิ ม (Existentialism) ลัทธิอัตถิภำวะนิยม (Existentialism) เป็นลัทธิปรัชญำท่ีเกิดหลังสุด มีแนวควำมคิดที่น่ำสนใจและท้ำทำยต่อกำรแสวงหำของนักปรัชญำในปัจจุบัน เล็งเห็นว่ำแก่นแท้หรือสำรัตถะของมนุษย์ คือ เสรีภำพ ซ่ึงหมำยควำมว่ำ มนุษย์เกิด มำโดยไม่มีอะไรเป็นสมบัติติดตัวมำ แก่นแท้ หรือสำรัตถะของมนุษย์ คือ กำรไม่มี อะไรเลยมำแต่เกิดที่จะเรียกได้ว่ำควำมเป็นมนุษย์ ถ้ำยอมเรียกควำมไม่มีหรือสุญตำนี้ วำ่ สำรตั ถะได้ ก็ใหเ้ รียกตอ่ ไป แต่ถำ้ ถอื ว่ำเป็นคำพูดทไ่ี ร้สำระ ก็ขอให้พูดใหม่ว่ำมนุษย์ ไมม่ ีสำรตั ถะ แตม่ ีเพียงควำมมีอยู่ หรืออัตถิภำวะ (Existence) อย่ำงบริสุทธ์ิ ซึ่งทำให้ มนุษย์แต่ละคนต้องสร้ำงตัวเองข้ึนมำจำกกำรไม่มีอะไรเลยในขณะแรกเกิดตำมลำดับ โดยกำรตัดสินใจเลือก ผู้ให้กำเนิดแนวควำมคิดใหม่ ได้แก่ ซอเร็น คีร์เคอร์กำร์ด (Soren Kierkegard), ฌ็อง ปอล ซำร์ต (Jean Paul Sartre) ซอเร็น ครี ์เคอรก์ ำรด์ อ้างองิ : วำรีญำ ภวภตู ำนนท์ ณ มหำสำรคำม. 2547. ปรชั ญำอัตถภิ ำวะนยิ ม ฌ็อง ปอล ซำร์ต (Soren Kierkegard) (Jean Paul Sartre)
ตารางวเิ คราะหแ์ นวคดิ อภิปรัชญา เช่อื มโยงลทั ธปิ รัชญากบั การศึกษา จิตนิยม/มโนคติวิทยำ สจั นยิ ม/วตั ถนุ ิยม ประสบกำรณน์ ิยม/ปฏิบตั ินิยม โทมัสนยิ มใหม่ อัตถภิ ำวนยิ ม/อัตภำวะนยิ ม ลัทธิ ปรชั ญำ กำรศึกษำ ปรชั ญำ กำรศึกษำ ปรชั ญำ กำรศกึ ษำ ปรัชญำ กำรศึกษำ ปรชั ญำ กำรศึกษำ สำขำ อภปิ รชั ญำ 1.เพลโต สญั ชำตญำตใฝ่ 1.โธมสั ฮอ็ บส์ มนษุ ย์ทกุ คนล้วน 1.วิลเล่ยี ม เจมส์ ควำมเป็นจรงิ หรือ 1.ทอมสั อไควนัส เน้นกำร 1.ซอเรน็ ครี ์ ฝกึ ให้ผ้เู รียน (Plato) ศึกษำของมนยุ (Thomas เหน็ แกต่ ัว ไม่มี (William, ประสบกำรณ์ (Saint Thomas เสรมิ สรำ้ งจิตใจ เคอร์กำรด์ รจู้ กั เลอื ก ทฤษฎีจติ ชำติเปน็ Hobbes) ใครชว่ ยผู้อ่นื ด้วย James) ทฤษฎี สำมำรถ Aquinas)ทฤษฎี และพุทธปิ ัญญำ (Soren อย่ำงมคี วำม นยิ ม พ้ืนฐำนขั้นแรก ทฤษฎีสสำร ควำมจริงใจ โลก พหนุ ยิ ม เปลยี่ นแปลงได้ ทวนิ ยิ ม สอนโดยกำรฝึก Kierkegard) รบั ผิดชอบ (Idealism) ของระบบ นยิ ม เปรยี บเสมอื น (Pluralism)ควำม ตำมเงอ่ื นไขแหง่ (Dualism)แนวคดิ ใหผ้ ูเ้ รียนรู้จักคดิ ทฤษฎเี อกนิยม กระตนุ้ ใหแ้ ต่ เชอ่ื ว่ำ สงั คมที่มแี บบ (Meterialism) เครือ่ งจกั รท่ี แทจ้ ริงของปฐม ประสบกำรณ์ เกยี่ วกบั โลกและ และใชค้ วำมคดิ (Monism)ควำม ละคนใช้ วญิ ญำณเปน็ แผนของมนษุ ย์ สสำรและ ตำยตวั ธำตมุ ีจำนวน ประสบกำรณแ์ ละ จักรวำล ว่ำเปน็ อย่ำงมเี หตผุ ล จรงิ เปน็ อยำ่ งไร เสรีภำพใน เน้ือสำรทำง มนุษย์สำมำรถ ปรำกฏกำรณ์ มำกมำย อำจจะ กำรปฏิบตั ิเปน็ สิ่ง “โลกแห่งเหตุผล เพ่อื ให้รจู้ ักใช้ ขน้ึ อย่กู บั แตล่ ะ กำรเลือก จติ ทำหน้ำท่ี เรยี นรู้ได้ ของสสำร เป็นรปู ธรรม สำคัญ และกำรมีอย่ขู อง เสรีภำพอย่ำง บุคคลจะ อยำ่ งถูกต้อง คดิ รู้สึกและ สำมำรถสง่ั สอน เท่ำนั้นเป็น (สสำร) หรอื พระผ้เู ป็นเจำ้ ” ฉลำด พจิ ำรณำ และ เหมำะสม ครู จงใจ เปน็ ใหด้ ีขึ้นได้ ควำมแทจ้ ริง นำมธรรม (จิต) ก็ และมแี นวคดิ วำ่ กำหนดว่ำอะไร เปน็ ผ้ชู ่วย อมตะ ได้ นน่ั คือควำม ควำมร้ทู ีแ่ ท้จริง กระตนุ้ ให้ จริงแทข้ องสรรพ คอื “ควำมรูท้ ่ี ผูเ้ รยี นตืน่ ตวั สง่ิ ไม่ขน้ึ อย่แู กก่ ัน เป็นไปตำมหลัก และช่วยให้ ต่ำงกเ็ ปน็ อสิ ระใน เหตุผล และเป็น ผเู้ รียนเหน็ ตวั เอง กำรหย่งั รู้”
ทฤษฎที างอภปิ รชั ญา นบั ต้งั แตม่ นษุ ย์เกดิ มาพรอ้ มกับความคิดตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ เร่ืองของธรรมชาติ หรือเรื่อง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เพราะมนุษย์เริ่มสนใจสิ่งท่อี ยใู่ กลต้ ัวเพ่มิ มากขน้ึ เน่ืองมาจากการเสอ่ื ม ศรัทธาในเรอ่ื งพระเจา้ ดงั นนั้ พวกเขาจึงเกดิ ความสงสัยขึ้นว่า ในเม่ือพระเจา้ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ปฐมธาตุของ สรรพส่ิง หรอื ไม่ได้เป็นบอ่ เกดิ ของโลกแลว้ อะไรเปน็ ปฐมธาตุของโลก หรอื อะไรเปน็ บ่อเกดิ อันทีแ่ ทจ้ รงิ ของโลก ลกั ษณะแนวคิดเช่นนมี้ ีมาต้ังแตส่ มยั โบราณ จนกระทัง่ ถึงปจั จุบัน แนวความคดิ เหลา่ นลี้ ้วนแต่ เป็นแนวคดิ เก่ยี วกบั อภิปรชั ญาทั้งน้ัน แนวความคดิ เกยี่ วกับอภปิ รัชญาจึงมีวิวฒั นาการมาเป็นเวลานาน และนักปรชั ญาจานวนมาก พยายามคิดหาคาตอบให้แก่ตนเอง ซึง่ ตา่ งคนก็ตา่ งมแี นวความคดิ ไปคนละอยา่ ง บางทศั นะก็มนี กั ปรชั ญาเหน็ พอ้ งต้องกนั หลายคน จงึ ไดร้ วมกลมุ่ กันเกดิ เป็นลทั ธหิ รอื ทฤษฎที างอภิปรัชญาข้นึ ทฤษฎีแต่ ละทฤษฎีพยายามทจ่ี ะค้นหาความจรงิ ทางอภปิ รชั ญาหรอื เก่ยี วกบั เอกภพ เกย่ี วกบั โลก เกีย่ วกับจิต วิญญาณ หรอื แม้แต่เกี่ยวกับพระผ้เู ป็นเจ้า ในปัจจบุ นั น้ี ทฤษฎีทางอภิปรชั ญา มี 5 ทฤษฎีคอื
โธมัส ฮ็อบส์ (Thomas Hobbes) ทฤษฎสี สารนิยม (Materialism) อา้ งอิง : พระมหำปพน กตสำโร. (2561). กำรใชฐ้ ำนข้อมูล (PDF). กำรวเิ ครำะห์ ทฤษฎีสสำรนิยมหรือทฤษฎีวัตถุนิยม (Materialism) ได้แก่ อภิปรัชญำที่ปรำกฏในสำรัตถะแหง่ คัมภรี ์มิลินทปัญหำ (หน้ำ 40-42), มหำวทิ ยำลัย พวกที่ถือว่ำ สสำรและปรำกฏกำรณ์ของสสำรเท่ำนั้นเป็นควำมแท้จริง มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลยั http://202.28.52.4/userfiles/file จิตเป็นเพียงปรำกฏกำรณ์ของสสำร ดังน้ัน สรรพสิ่งในโลกล้วนแต่เป็น สสำร ทฤษฎีสสำรนิยมยุคแรก ๆ อำจได้แก่แนวควำมคิดทำงธรรมชำติ ที่ เรำเรียกว่ำธรรมชำตินิยม เพรำะถือว่ำ สสำรเป็นควำมแท้จริง ชีวิตคือ พลังงำนทำงฟิสิกส์และเคมีท่ีซับซ้อน ส่วนจิตคือปรำกฏกำรณ์ทำงสมอง ลักษณะของสสำรนิยม จึงเป็นควำมพยำยำมท่ีจะหำคำตอบเก่ียวกับเรื่อง สสำรโดยเฉพำะ แนวควำมคิดเก่ียวกับสสำรนิยม จึงแพร่หลำยมำต้ังแต่ สมยั กรกี โบรำณ และมที ฤษฎสี สำรนิยมเกดิ ขนึ้ มำกมำยทสี่ ำคญั ท่ีสุดได้แก่ ทฤษฎีจักรกลนิยม (Mechanicism) ก่อต้ังโดย โธมัส ฮ็อบส์ (Thomas Hobbes) นักสสำรนิยมชำวอังกฤษ ถือว่ำ ชีวิตและควำมคิดทุกอย่ำง เกิดข้ึนตำมกฎกลศำสตร์ที่ตำยตัว โลกเปรียบเสมือนเคร่ืองจักรที่ตำยตัว ประกอบด้วยสสำรและพลังงำน ดังน้ัน สสำรจึงเป็นควำมแท้จริง ส่วนจิต คือกำรทำหนำ้ ท่ีของสมอง
ทฤษฎจี ิตนิยม(IDEALISM) เพลโต้ (Plato) เดสก์ ำร์ตส์ (Descartes) ทฤษฎีจิตนิยม (Idealism) ได้แก่พวกท่ีถือว่ำ จิตเท่ำนั้นเป็นควำมแท้จริง สสำรเป็นเพียง ปรำกฏกำรณ์ของจิตเท่ำน้ัน ชำวจิตนิยมเชื่อว่ำ จิต เป็นอมตะ ไม่สูญสลำย ร่ำงกำยของมนุษย์เป็น เพยี งปรำกฏกำรณช์ ่ัวขณะหนึ่งของจิต เป็นท่ีอำศัย ชัว่ ครำวของจิต เมื่อร่ำงกำยดบั ลง จิตกย็ ังคงอยู่ ไม่ แตกดับไปตำมร่ำงกำย อา้ งอิง : พระมหำปพน กตสำโร. (2561). กำรใชฐ้ ำนขอ้ มูล (PDF). กำรวิเครำะหอ์ ภปิ รชั ญำทปี่ รำกฏในสำรตั ถะ แหง่ คัมภรี ์มลิ ินทปญั หำ (หน้ำ 42-43), มหำวทิ ยำลัยมหำจฬุ ำลงกรณรำชวทิ ยำลยั http://202.28.52.4/userfiles/file
ทฤษฎเี อกนยิ ม (Monism) สปโิ นซ่ำ (Spinoza) เฮเกล (Hegel) ทฤษฎีเอกนิยม (Monism) ได้แก่พวกที่ถือว่ำ ควำมแท้จริง ของสรรพสิ่งมีเพียงส่ิงเดียว จะเป็นรูปธรรม (สสำร) หรือ นำมธรรม (จิต) ก็ได้ แสดงให้เห็นว่ำ ควำมจริงจะต้องมี เพียงส่ิงเดียวเท่ำน้ัน กล่ำวคือเอกนิยม เป็นวิธีกำรทำง ปรัชญำท่ีพยำยำมท่ีจะตอบปัญหำเก่ียวกับควำมจริงที่ ต้ังอยู่บนพื้นฐำนท่ีว่ำ ควำมจริงมีเพียงหน่ึงเท่ำนั้นท่ีอยู่ เบอื้ งหลงั ของสรรพสิ่งและสง่ิ มชี วี ิตทง้ั หลำย อา้ งองิ : พระมหำปพน กตสำโร. (2561). กำรใชฐ้ ำนข้อมูล (PDF). กำรวเิ ครำะห์อภปิ รัชญำทีป่ รำกฏใน สำรตั ถะแห่งคัมภีร์ มิลินทปญั หำ (หน้ำ 43), มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลัย http://202.28.52.4/userfiles/file ธำเลส (Thales)
ทฤษฎีทวินิยม (Dualism) ทฤษฎีทวินิยม (Dualism) ได้แก่พวกที่ถือว่ำ ควำมแท้จริงของสรรพสิ่งมี 2 อย่ำงเป็นของคู่กัน คือเป็นทั้ง รปู ธรรม (สสำร) และนำมธรรม (จิต) มีนักปรัชญำจำนวนมำกท่ีพยำยำมให้คำตอบเก่ียวกับเรื่องของทวินิยม เพรำะเชอื่ ว่ำมนุษย์เรำมีทัง้ รำ่ งกำยและจติ วิญญำณอยคู่ ่กู ัน ทฤษฎีทวินยิ ม แบง่ ออกไปอกี ได้ 2 ทฤษฎี คือ 1.ทฤษฎีรังสรรค์นิยม (Creationism) เป็นท่ียอมรับกันว่ำ 2.ทฤษฎชี วี สสารนยิ ม (Hylozoism) ทฤษฎีทวินิยม คือทฤษฎีที่ยอมรับว่ำควำมจริงมี 2 อย่ำงได้แก่ เรยี กอีกอยำ่ งหน่งึ วำ่ ทฤษฎีจิตสสำรนิยม จิตกับร่ำงกำย จิต เป็นสภำวะที่ใหญ่กว่ำร่ำงกำย เพรำะเป็น เพรำะเปน็ ทฤษฎที ี่ถอื วำ่ จติ กบั สสำรเปน็ ผู้สร้ำงสสำร เรียกว่ำ พระผู้สร้ำง (The Creation) หลังจำกที่ ของคู่กนั จติ ควบคมุ สสำรได้ สร้ำงแล้วก็ปล่อยให้สสำรอยู่ด้วยตัวเอง พระผู้สร้ำงมีอำนำจใน กำรควบคุมและทำลำยสสำร พระผู้สร้ำงนี้ เป็นควำมแท้จริง อ้างองิ : พระมหำปพน กตสำโร. (2561). กำรใช้ฐำนข้อมลู (PDF). กำรวเิ ครำะหอ์ ภปิ รัชญำท่ี สูงสุด เป็นอมตะ เป็นพระวิญญำณบริสุทธ์ิ ส่วนจิตวิญญำณท่ีอยู่ ปรำกฏในสำรัตถะแห่งคมั ภีร์มิลินทปญั หำ (หนำ้ 44), มหำวิทยำลยั มหำจฬุ ำลงกรณรำช กับสสำร เป็นจิตวิญญำณของมนุษย์ พระวิญญำณบริสุทธิ์ ทำ วทิ ยำลัย http://202.28.52.4/userfiles/file หน้ำที่จัดระบบสสำร เพรำะสสำรเป็นวัตถุ วิญญำณเป็นแบบ ดงั นัน้ พระเจำ้ จึงไม่ใชส่ สำร แต่เปน็ แบบ
ไลบน์ ิซ (Leibniz) ทฤษฎพี หนุ ิยม (Pluralism) ทฤษฎีพหุนิยม (Pluralism) ได้แก่พวกท่ีถือว่ำ ควำมแท้จริง ของปฐมธำตุมีจำนวนมำกมำย อำจจะเป็นรูปธรรม (สสำร) หรือ นำมธรรม (จิต) ก็ได้ นั่นคือควำมจริงแท้ของสรรพส่ิงไม่ขึ้นอยูแ่ ก่กัน ต่ำง ก็เป็นอิสระในตัวเอง ดังน้ัน สรรพส่ิงท่ีมีจำนวนมำกมำยจึงไม่สำมำรถจะ ลดหรอื ทอนลงให้เหลอื เพยี งสิง่ เดยี วได้ ทฤษฎีพหุนิยมนี้ท่ียอมรับกันอย่ำงกว้ำงขวำง แบ่งออกได้เป็น 2 ทฤษฎีได้แก่ 1.ทฤษฎีพหุนิยมฝ่ำยจิต (Idealistic Pluralism) ได้แก่พวกท่ี ถือว่ำ ควำมแท้จริงของปฐมธำตุมีมำกมำย แต่มีลักษณะเป็นนำมธรรม (จิต) เช่น ปรัชญำเกี่ยวกับโมนำด (Monad) ของไลบ์นิซ (Leibniz) เป็นตน้ อา้ งองิ : พระมหำปพน กตสำโร. (2561). กำรใชฐ้ ำนข้อมลู (PDF). กำรวิเครำะหอ์ ภปิ รชั ญำทป่ี รำกฏในสำรตั ถะแหง่ คัมภรี ์มลิ ินท ปญั หำ (หน้ำ 45), มหำวทิ ยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั http://202.28.52.4/userfiles/file
เดโมคริตุส (Democritus) ทฤษฎีพหนุ ยิ ม (Pluralism) 2.ทฤษฎีพหุนิยมฝ่ำยสสำร (Materialistic Pluralism) ได้แก่ พวกที่ถือว่ำ ควำมแท้จริงของปฐมธำตุมีมำกมำย แต่มีลักษณะเป็น รูปธรรม (สสำร) เช่น ปรัชญำเกี่ยวกับปรมำณูนิยม (Atomism) ของเดโมคริตุส (Democritus) ถือว่ำ ปฐมธำตุของโลกคือ “ปรมำณู” ปรมำณู เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง สรรพสิ่งเกิดมำจำกปรมำณู และจะ กลำยเป็นปรมำณูอีก กล่ำวคือสรรพสิ่งในโลกประกอบด้วย ปรมำณู 4 อยำ่ งคอื ดิน นำ้ ไฟ ลม อา้ งองิ : พระมหำปพน กตสำโร. (2561). กำรใชฐ้ ำนข้อมลู (PDF). กำรวเิ ครำะหอ์ ภิปรัชญำทป่ี รำกฏในสำรตั ถะแห่งคมั ภีรม์ ลิ ินท ปัญหำ (หนำ้ 46), มหำวทิ ยำลยั มหำจฬุ ำลงกรณรำชวทิ ยำลัย http://202.28.52.4/userfiles/file
ความสัมพนั ธ์ของอภปิ รชั ญากับศาสตร์อ่ืน อภปิ รัชญำ (Metaphysics) เป็นปรชั ญำบรสิ ุทธ์ิสำขำหนึง่ ของปรชั ญำที่วำ่ ด้วยเรือ่ งควำมเป็นจริงและควำม จริงแท้(Reality) เก่ียวกับโลกและจักรวำล ตลอดจนธรรมชำติของมนุษย์ว่ำมีควำมเป็นจริงอย่ำงไร ควำม เป็นจริงที่แสวงหำนั้นเป็นควำมจริงสุดท้ำยหรือควำมจริงสูงสุดที่เรียกว่ำ ควำมจริงอันติมะ (Ultimate Reality) อันเป็นพ้ืนฐำนท่ีมำของควำมจริงอื่น ๆ ดังนั้น จึงทำให้ปรัชญำสำขำน้ี มีควำมสัมพันธ์กับศำสตร์ อนื่ ซึ่งศำสตรท์ ีส่ ำคัญจะมี 3 ศำสตร์ ดังน้ี อภิปรัชญำกับศำสนำ อภปิ รัชญำกับวทิ ยำศำสตร์ อภปิ รชั ญำกับญำณวทิ ยำ (Metaphysics and Religion) (Metaphysics and Science) (Metaphysics and Epistemology)
1. อภิปรัชญากับศาสนา (Metaphysics and Religion) ระหวำ่ งอภปิ รัชญำกับศำสนำมที ัง้ ทีค่ ล้ำยคลึงกันและแตกต่ำงกัน ส่วนท่คี ล้ำยคลึงกันมี อา้ งองิ : https://www.ebooks.in.th ลักษณะที่สำคญั ดงั น้ี 1. อภปิ รชั ญำและศำสนำ มีวัตถุประสงค์ขน้ั ตน้ เหมอื นกัน นั่นคอื เพอ่ื ศกึ ษำเบ้อื งหลงั ของโลกหรอื จักรวำล 2. ทง้ั อภิปรชั ญำและศำสนำ พยำยำมที่จะกำ้ วไปใหพ้ น้ ปรำกฏกำรณใ์ นปัจจุบนั เพ่อื ให้ มองเหน็ ควำมแท้จรงิ 3. ทง้ั อภิปรชั ญำและศำสนำเน้นกำรฝึกจิต วำ่ เป็นวิธีทเี่ ข้ำถงึ ควำมแทจ้ รงิ ได้ ยกเว้น อภิปรัชญำฝ่ำยสสำรนิยม 4. ทงั้ อภิปรชั ญำและศำสนำ เชือ่ ในควำมสำมำรถของจติ มนษุ ยว์ ่ำสำมำรถสมั ผัสควำม แท้จรงิ ได้ ยกเว้นอภปิ รชั ญำฝ่ำยสสำรนิยม
1. อภปิ รชั ญากบั ศาสนา (Metaphysics and Religion) อภิปรชั ญำและศำสนำ (เทวนยิ ม) มีลกั ษณะทีแ่ ตกต่ำงกนั ดงั นี้ อ้างองิ : https://th.wikipedia.org 1. อภิปรัชญำใชเ้ ครอ่ื งมอื ทำงวทิ ยำศำสตร์มำพิจำรณำสภำพธรรมท่เี ป็นโลกตุ ตระ อา้ งอิง : https://sites.google.com ส่วน ด้ำนศำสนำใชว้ ธิ มี อบกำยถวำยชีวิตต่อสภำพธรรมนั้น 2. อภิปรชั ญำใช้เหตุผลในกำรเขำ้ ถึงควำมแท้จรงิ สว่ นศำสนำใช้ควำมภกั ดีและศรัทธำ ในพระเจ้ำในกำรเขำ้ ถงึ สจั ธรรม 3. อภิปรัชญำไมเ่ ร่มิ ตน้ ศรทั ธำในส่ิงทจ่ี ะศกึ ษำค้นคว้ำ แตเ่ ริ่มต้นด้วยควำมสงสยั สว่ น ศำสนำเรมิ่ ตน้ ด้วยศรทั ธำ 4. อภิปรัชญำมีขอบเขตที่จะตอ้ งศกึ ษำกวำ้ งกว่ำศำสนำ คอื วำ่ ด้วยควำมแท้จริงเกยี่ วกับ โลกทั้งมวล ส่วนศำสนำวำ่ ด้วยเรอ่ื งพระเจำ้ ในสว่ นทสี่ มั พนั ธ์กับมนษุ ยเ์ ทำ่ น้นั 5. อภิปรชั ญำศึกษำเพ่ือควำมรู้จริงเทำ่ น้ัน สว่ นศำสนำมงุ่ ปฏบิ ตั ิใหเ้ ขำ้ ถงึ ควำมจริง
2. อภปิ รัชญากับวิทยาศาสตร์ (Metaphysics and Science) ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอภิปรัชญำกับวิทยำศำสตร์ที่จะพึงศึกษำ อ้างอิง :http://www.belongtothetruth.com คอื อภปิ รัชญำเป็นกำรคำดคะเนควำมจริงก่อนวิทยำศำสตร์ แนวควำมคิดทำงอภิปรัชญำ เช่น ธำเลส (Thales) บอกวำ่ “น้ำ เป็นปฐมธำตุของโลก หรือสรรพสงิ่ มำจำกน้ำ” หรอื เฮรำคลิตุส (Heraclitus) บอกวำ่ “ไฟ เป็นปฐมธำตุของโลก หรือ สรรพสิ่งมำจำกไฟ” เหลำ่ น้เี ป็นตน้ ถอื ว่ำเป็นกำรคำดคะเน กำรคำดคะเนเช่นน้ีถือว่ำเป็นเรื่องของอภิปรัชญำ ต่อมำเรื่องโครงสร้ำงของเอกภพกำยภำพก็ดี เรื่องของ สว่ นประกอบของสิ่งทงั้ หลำยกด็ ี เปน็ หนำ้ ทีข่ องวิทยำศำสตร์ เช่น ฟิสิกส์ ดำรำศำสตร์ เป็นต้น ที่จะต้องให้คำตอบโดยใช้ วิธีกำร ทดสอบ ทดลอง ซ่งึ เป็นเรอ่ื งของวทิ ยำศำสตร์
3. อภิปรชั ญากับญาณวทิ ยา (Metaphysics and Epistemology) อา้ งองิ : http://www.satiter.com อภิปรัชญำกับญำณวิทยำเป็น 2 สำขำของปรัชญำ โดย อภิปรัชญำน้ัน เป็นกำรค้นคว้ำถึงธรรมชำติของควำมแท้จริง สุดท้ำย ส่วนญำณวิทยำ เป็นกำรค้นคว้ำถึงธรรมชำติของ ควำมรู้กับปญั หำ ระหว่ำงอภิปรัชญำกับญำณวิทยำ อะไรสำคัญกว่ำ กัน ยังเป็นเรื่องท่ีถกเถียงกันอยู่ นักปรัชญำบำงกลุ่ม เห็นว่ำ ญำณวิทยำมำก่อน เพรำะกำรตรวจสอบถึงควำมเป็นไปได้ และขอบเขตของควำมรู้นั้นเป็นส่ิงสำคัญ อันเป็นพ้ืนฐำนใน กำรแสวงหำและคนั คว้ำถงึ ธรรมชำตขิ องควำมแท้จรงิ สดุ ท้ำย แต่นักปรัชญำบำงกลุ่มก็ได้เริ่มต้นปรัชญำของเขำ ด้วยอภิปรชั ญำ และถือว่ำญำณวิทยำต้องสอดคลอ้ งหรือคล้อย ตำมอภิปรัชญำ โดยทัศนะดังกล่ำวแล้ว ทั้งญำณวิทยำและ อภิปรัชญำ ต่ำงก็เปน็ สำขำของตัวเองตำ่ งหำกไมเ่ กยี่ วเนอ่ื งกนั
3. อภปิ รัชญากบั ญาณวิทยา (Metaphysics and Epistemology) อภิปรัชญำ (Metaphysics) จึงเป็นวิชำท่ีว่ำด้วยควำม ญำณวิทยำสัมพันธ์กับอภิปรัชญำในประเด็นท่ีว่ำ เรำรู้ควำม แท้จริงของสรรพส่ิง เรียกอีกอยำ่ ง หนึ่งว่ำ ภววิทยำ (Ontology) จริงนั้นได้อย่ำงไร หรือเรำใช้อะไรเป็นมำตรฐำนกำรตัดสิน ซึ่งเป็นศำสตร์ที่ว่ำด้วยควำมมีอยู่ ควำมเป็นอยู่ของสรรพสิ่ง ควำมรู้ของเรำวำ่ ตรงกับควำมเปน็ จริง ควำมมีอยู่ของสรรพสิ่งก็คือควำมแท้จริงของสรรพส่ิง ควำม แท้จริงของสรรพส่ิงย่อมเป็นควำมมอี ยู่ของสรรพสิง่ อา้ งองิ : https://dhrammada.wordpress.com ทงั้ 2 คำ จึงเปน็ อันเดียวกันต่ำงแต่ว่ำ Ontology ใช้มำ ก่อน Metaphysics ใช้ทีหลัง กล่ำวคือ อภิปรัชญำศึกษำเรื่อง ธรรมชำติที่แท้จริงเก่ียวกับโลก วิญญำณหรือจิต และพระผู้เป็น เจ้ำ กำรท่ีเรำจะเข้ำใจเกี่ยวกับธรรมชำติท่ีแท้จริงของโลก วิญญำณหรือจิต และพระผู้เป็นเจ้ำนั้น ต้องอำศัยญำณวิทยำเป็น เคร่อื งมือในกำรพิสจู นค์ วำมจรงิ เก่ยี วกบั สง่ิ เหลำ่ นี้
3. อภปิ รัชญากบั ญาณวิทยา (Metaphysics and Epistemology) ญำณวิทยำ (Epistemology) คือทฤษฎคี วำมรู้ เปน็ วิชำทศี่ กึ ษำคน้ คว้ำหำควำมร้ธู รรมชำตแิ ละ เหตแุ ห่งควำมรทู้ ี่แทจ้ ริง ซึ่งเปน็ กำรศกึ ษำถงึ รำยละเอียดของควำมรูท้ ั้งหมด เพอ่ื ให้เห็นควำม เป็นไป และตดั สินไดว้ ่ำอะไรเป็นควำมจรงิ แท้ ซ่ึงเกดิ จำกควำมร้ทู แ่ี ทจ้ ริง เป็นกำรศึกษำสภำพ ท่ัว ๆ ไปของควำมรูอ้ ย่ำงกวำ้ ง ๆ อภปิ รชั ญำจะตอ้ งใชญ้ ำณวิทยำเปน็ เครอื่ งมือในกำรค้นควำ้ ธรรมชำติทแี่ ท้จรงิ ของส่งิ ท่ี มอี ยู่ กล่ำวคือญำณวทิ ยำ เปน็ พนื้ ฐำนหรือมลู ฐำนท่ีทำให้เกดิ ปรัชญำน้นั ควำมจริงญำณวทิ ยำ และอภิปรัชญำมคี วำมสัมพันธก์ ันอย่ำงใกลช้ ิด ซ่ึงส่งิ หนึง่ จะปรำศจำกอีกสิ่งหนึ่ง ยอ่ มเปน็ ไปไมไ่ ด้ ทฤษฎีว่ำดว้ ยควำมรู้นำไปสคู่ วำมร้สู ิ่งต่ำง ๆ จะอย่ำงไรกต็ ำม ทั้งอภิปรชั ญำและญำณ วทิ ยำตำ่ งก็มวี ิธกี ำรอธิบำยส่ิงเดยี วกัน นน่ั คอื ธรรมชำตทิ ่ีแทจ้ ริง และทง้ั สองอยำ่ งตำ่ งกอ็ ำศยั ซึง่ กนั และกัน เพื่อคน้ หำควำมจริงของสิ่งทง้ั หลำยอยำ่ งถกู ต้อง
THANK YOU
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: