เนือหาเรยี น วชิ าภาษาองั กฤษ เรอื ง การใช้ A/AN/THE โรงเรยี นบา้ นพอกหนองแข้ สาํ นกั งานเขตพนื ทีการศกึ ษาศรสี ะเกษ เขต กระทรวงศกึ ษาธิการ
การใช้ A/AN/THE อยา่ งไรใหถ้ กู ตอ้ ง เพราะยงั มหี ลายคนทยี งั ใช้ a/an/the ผิดบา้ ง ถกู บา้ ง งงๆบา้ ง บทความนีก็เลยมาวา่ กนั ดว้ ยเรอื งของการใช้ a/an/the อย่างไรใหถ้ กู ใจทนั ผนู้ าํ (ผนู้ าํ นีผมหมายถงึ เจา้ ของภาษา a/an/the เป็นคาํ ทใี ชน้ าํ หนา้ คาํ นาม เรยี กรวมวา่ Articles มี 2 ชนิด คือ – Indefinite Articles ใชน้ าํ หนา้ คาํ นามทไี มช่ ีเฉพาะเจาะจง คือ a, an – Definite Articles ใชน้ าํ หนา้ คาํ นามทชี ีเฉพาะ คือ the เพือความเขา้ ใจทีงา่ ยขนึ ผมขอแยกการใชง้ าน Articles กบั Noun ออกเป็นสอง สว่ นนะครบั คือ – Singular Noun คอื คาํ นาม ทีมี อนั เดยี ว สิงเดียว หรอื คนเดียว – Plural Noun คือ คาํ นามทีมีจาํ นวนมากกว่าหนึงขนึ ไป o การใช้ Articles กบั Singular Noun o เมือเราพูดถึง Singular Noun อย่างไม่เจาะจง เราจะใช้ o A & An (an ใชน้ าํ หนา้ คาํ นามทีขนึ ตน้ ดว้ ยสระ a, e, i, o, u) เช่น o One table = A table โต๊ะตวั เดยี ว o One iPhone = An iPhone ไอโฟนเครอื งเดยี ว
o คาํ ทขี ึนตน้ ดว้ ยพยญั ชนะแตอ่ อกเสียงสระใหน้ าํ หนา้ ดว้ ย an เชน่ – an hour หนึงชวั โมง – an FM radio เครอื งเลน่ วทิ ยุ FM เครอื งหนึง o คาํ ทขี ึนตน้ ดว้ ยสระแต่ออกเสยี งพยญั ชนะใหน้ าํ หนา้ ดว้ ย a เชน่ – a uniform ชดุ ยนู ฟิ อรม์ ชดุ หนึง – a UFO ยเู อฟโอลาํ หนึง o ใช้ A & An เมอื ไหรก่ ็ตามทีพดู ถงึ สิงนนั เป็นครงั แรก ผฟู้ ังจะยงั ไม่ รูว้ า่ สิงทีเราพดู ถงึ คอื สิงไหนอย่างเจาะจง เชน่ o I killed a mosquito yesterday. ฉนั ฆ่ายงุ ไปตวั หนึงเมอื วาน ผฟู้ ังจะไมร่ ูว้ า่ เป็นยงุ ตวั ไหนโดยเฉพาะทีโดนเรา ฆ่า o แต่เมอื เราพูดถึง Singular Noun อยา่ งเจาะจง เราจะใช้ The o เทยี บกบั สองประโยคในบทสนทนาตวั อย่าง o A: I killed a mosquito yesterday. B: Why? A: I killed the mosquito because it was annoying.
o I killed a mosquito yesterday. ฉนั ฆา่ ยงุ ไปตวั หนึง เมอื วาน เมอื พดู อกี ประโยคถดั ไป และพดู ถงึ ยงุ ตวั เดิมทีเราฆา่ ก็ใช้ The เชน่ o I killed the mosquito because it was annoying. ฉนั ฆา่ ยงุ ตวั นนั เพราะว่ามนั นา่ ราํ คาญ ผฟู้ ังก็จะรูว้ า่ ยงุ ตวั ทนี า่ ราํ คาญนนั เองทีโดนฆา่ o สรุป การใช้ Articles กับ Singular Noun o พดู ถึง Singular Noun ทวั ไปไมเ่ จาะจง = A/AN o พดู ถงึ Singular Noun แบบเจาะจง = The o การใช้ Articles กบั Plural Noun o ถ้าเราพูดถงึ สงิ ใดทมี จี าํ นวนมากกวา่ หนึงโดยไมเ่ จาะจง ไมต่ อ้ งใช้ Articles มานาํ หน้าคาํ นามนัน เชน่ o Thai people are nice เป็นการพดู ถงึ คนไทยโดยทวั ๆไปไม่ เจาะจงว่าเป็นกลมุ่ ไหน จงั หวดั ไหน หม่บู า้ นไหน o Dogs are honest animal สนุ ขั เป็นสตั วท์ ซี อื สตั ย์ พดู ถงึ สนุ ขั ทวั ไป ไมไ่ ดเ้ จาะจงวา่ เป็นหมาของใคร หรอื ตวั ไหนเป็นพเิ ศษ o ถา้ พดู ถึงสิงนันแบบเฉพาะเจาะจง ใช้ The เชน่
o The Thai people that I met are very nice. พดู ถงึ คนไทยเฉพาะกลมุ่ โดยเจาะจงว่าเป็นคนไทยทีเราไปเจอมา ไม่ได้ พดู ถงึ คนไทยโดยทวั ไป o อกี ตวั อยา่ งหนึง เทยี บการพดู แบบไมเ่ จาะจงและเจาะจง o Babies are annoying พดู ถึงเดก็ ๆโดยทวั ไป ไมไ่ ดเ้ จาะจง ว่าเป็นเดก็ ประเทศไหน ลกู ของใคร หรอื เด็กบา้ นไหน o The babies in my family are cute. พดู ถึงเด็กทีอยู่ ในครอบครวั ของฉันเทา่ นนั ไมไ่ ดก้ ลา่ วถึงเดก็ โดยทวั ไป o สรุป การใช้ Articles กบั Plural Noun o พดู ถึง Plural Noun ทวั ไปไมเ่ จาะจง = ไม่ตอ้ งใช้ Articles นาํ หนา้ o พดู ถงึ Plural Noun แบบเจาะจง = ใช้ The *ในบางสถานการณเ์ ราสามารถใช้ The ไดเ้ ลยในประโยคแรกทีพดู ถา้ หากวา่ ทงั ผพู้ ดู และผฟู้ ังเขา้ ใจตรงกนั วา่ สิงทีพดู ถึงอยนู่ นั เป็นสิงไหน สมมตุ เิ รากาํ ลงั นงั อยใู่ นรา้ นอาหาร แลว้ เดก็ ทีนงั อย่โู ตะ๊ ดา้ นหลงั เสยี งดงั นา่ ราํ คาญ เรากพ็ ดู กบั เพือนเราได้ เลยว่า – The baby behind me is so annoying. เด็กขา้ งหลงั นีนา่ ราํ คาญมาก เพราะทงั เราและเพอื นต่างกอ็ ยใู่ นรา้ นเดยี วกนั ก็เป็นอนั รูก้ นั วา่ เป็นเด็กคนไหน
สรุปแบบโคตรสรุป การใช้ Articles กบั Singular Noun พดู ถึง Singular Noun ทวั ไปไม่เจาะจง = A/AN พดู ถึง Singular Noun แบบเจาะจง = The การใช้ Articles กบั Plural Noun พดู ถงึ Plural Noun ทวั ไปไม่เจาะจง = ไมต่ อ้ งใช้ Articles นาํ หนา้ พดู ถึง Plural Noun แบบเจาะจง = ใช้ The GRAMMAR REVIEW : VERBS Verb: คาํ กรยิ า เป็นส่วนประกอบสาํ คญั ในประโยคทีจะขาดไปไม่ได้ เดด็ ขาด! ชนิดของ Verb ใหญ่ๆเลย มี 2 ชนดิ คือ o Transitive verb -> กรยิ าทตี อ้ งมกี รรมมารองรบั ประโยคจงึ จะสมบรู ณ์ o I eat rice. = ฉันกนิ ขา้ ว = Subject + transitive Verb + object o ถา้ เป็น I eat. = ฉันกิน ประโยคกจ็ ะดขู าดๆเพราะไม่ทราบวา่ กินอะไร o Intransitive verb -> กรยิ าทีไมต่ อ้ งมีกรรมมารองรบั ประโยคกส็ มบรู ณ์ ได้ o He runs. -> เขาวิง, He walk. -> เขาเดนิ
o ประโยคแบบนีไมต่ อ้ งมกี รรมมารองรบั เรากส็ ามารถเขา้ ใจได้ เมอื Transitive verb ตอ้ งมีกรรมมารองรบั เรากต็ อ้ งมาศกึ ษากนั ตอ่ วา่ คาํ ชนิด ไหนทีสามารถนาํ มาเป็น Object(กรรม) ในประโยคได้ คาํ ทเี ราสามารถนาํ มาใชเ้ ป็น Object(กรรม) มีดงั นี o Noun ทกุ ชนิด o He eats “rice.” -> เขากินขา้ ว | rice = กรรมในประโยค o Pronoun (Objective Pronoun) = her, him, it, me, them, us, and you. o He knows “me.” -> เขารูจ้ กั ฉนั | Me = กรรมในประโยค o Adjective (คณุ ศพั ท)์ ทีนาํ มาใชอ้ ย่างนาม โดยทาํ ใหเ้ ป็นนามโดยการเตมิ The เขา้ ไป o He likes to help “the poor.” -> เขาชอบชว่ ยเหลือเหล่าคน ยากจน | the poor = กรรมในประโยค o Infinitive with to คือ To + Verb1 (กรยิ าชอ่ งที 1) o He wants “to learn” English. -> เขาอยากเรียน ภาษาองั กฤษ | to learn = กรรมในประโยค (English คอื ส่วน ขยายกรรม มาขยายความวา่ เขาตอ้ งการเรียนอะไร) o Gerund คอื Verb1 + ing
o He like “walking.” -> เขาชอบเดนิ | Walking = กรรมใน ประโยค o Phrase (วลี) o He would like to learn “How to eat sushi.” -> เขา อยากรู”้ วิธีทานซูชิ” | How to eat sushi = เป็นวลี แสดงเป็นกรรม ในประโยค o Clause (อนปุ ระโยค) o She wants to know “what I just said.” -> เธออยากรู”้ สิงทีผมเพิงพดู ไป” | what I just said = กรรมในประโยค นอกจากนันชนิดของ Verb ทแี บ่งตามการใชง้ าน นอกจากมีหมวดใหญ่ๆสอง หมวดแลว้ ในการใชง้ านยงั แบ่งย่อยได้อกี 14 อย่าง o Principal Verb -> กรยิ าหลกั บางครงั อาจเรยี ก Main Verb บา้ ง Finite Verb แตก่ ค็ อื อนั เดยี วกนั o ในประโยคหนึง Principal Verb จะมไี ดเ้ พยี งตวั เดยี วเทา่ นนั o He eats rice -> เขากินขา้ ว -> Eat คือ Principal Verb หรอื Main Verb, Finite Verb ของประโยค o Non-Finite Verbs -> กรยิ าไม่แท้ หนา้ ทีของมนั คอื ขยายกรยิ าแท้ มี 3 ชนดิ
o อยใู่ นรูป Infinitive With to = To + Verb1 (กรยิ าชอ่ งที 1) - > to see, to talk, to read เป็นตน้ o I like to sleep -> ฉันชอบนอนหลบั -> แบ่งเป็น I(subject) + like(Principal Verb) + to sleep(Non-Finite Verb) o อยใู่ นรูปของ Gerund = Verb1 (กรยิ าช่องที 1) + ing -> walking, speaking, seeing o I like sleeping -> ฉันชอบนอนหลบั -> แบ่งเป็น I(subject) + like(Principal Verb) + sleeping(Gerund) o อย่ใู นรูปของ Participle o Present Participle -> Verb1 (กรยิ าชอ่ งที 1) + ing -> walking, speaking, seeing -> I saw you eating rice -> ฉนั เหน็ คณุ กาํ ลงั กนิ ขา้ วอยู่ -> eating เป็น Present Participle และเป็น Non-Finite Verbs มา ขยาย you o Past Participle -> Verbชอ่ งที 3 -> used, seen, written -> He just bought a used car. -> เขาเพงิ ซือรถทใี ชแ้ ลว้ มา – >used เป็น Past Participle และเป็น Non-Finite Verb มาขยาย car
o Auxiliary Verbs (เรยี กอกี อยา่ ง Helping Verbs) คือ “กรยิ าช่วย” มี 24 ตวั -> is,am,are,was,has,have,had,do,does,did,will,would,s hall,should,can,could,may, might,must,need,dare,ought to,used to o ทาํ ไมเรียกกริยา 24 ตวั นวี า่ “กริยาชว่ ย” (Auxiliary Verbs) -> เพราะใชร้ ว่ มกบั กรยิ าแท้ (Finite Verb) ในประโยคเดียวกนั กเ็ ลยกลายเป็น ผชู้ ่วย (Helping Verb)ใหก้ บั กรยิ าแท้ เพอื ชว่ ยบอกเวลา อารมณ์ และผพู้ ดู ของกรยิ าแท้ -> He is eating rice. -> เขากาํ ลงั กนิ ขา้ วอยู่ -> is เป็น กรยิ าชว่ ย ใชร่ ว่ มกบั eating เพือบอกวา่ ประโยคนีเป็น Present Continuous Tense o Verb of Incomplete Predication -> กรยิ าไมส่ มบรู ณค์ วาม o กรยิ าจาํ พวกนีแมว้ า่ ไมต่ อ้ งมกี รรม (Object) มารองรบั แต่ใจความก็ สมบรู ณใ์ นตวั เอง ดงั นนั เวลาพดู หรอื เขยี นตอ้ งมีคาํ อืนมาประกอบหรอื ขยายเนือความเพอื ความชดั เจน ไดแ้ ก่ Verb ตอ่ ไปนี -> is,am,are,was,were,feel,become,look,seem,app ear,grow o I feel better -> ฉัน + รูส้ กึ + ดีขนึ -> ถา้ I feel = ฉนั รูส้ กึ ประโยคจะไมส่ มบรู ณเ์ พราะขอ้ ความทีสืออกมาไมค่ รบถว้ นหรอื ไมเ่ ขา้ ใจได้
o He seems nervous -> เขา + ดทู ่าทาง + เป็นกงั วล -> ถา้ He seems = เขาดทู ่าทาง ประโยคจะไมส่ มบรู ณเ์ พราะขอ้ ความทีสอื ออกมาไมค่ รบถว้ นหรอื ไมอ่ าจเขา้ ใจได้ o Defective Verb -> กรยิ าทีมีรูปไมค่ รบสามสว่ น o Verb โดยทวั ไปจะแยกรูปแบบได้ 3 สว่ น (Present, Past, Past Participle) o กรยิ าโดยทวั ไป เชน่ go (ไป) ก็มสี ามรูป go – went – gone, eat (กิน) = eat – ate – eaten o กรยิ า (บางตวั ) ส่วนมากเป็น Auxillary verb (Helping verb) มเี พยี ง 2 รูป เช่น will-would, can – could มเี ฉพาะ present กบั past ไมม่ ี past participle หรอื ช่องที 3) o กรยิ า บางตวั มีเพียงรูปเดยี ว must, had better, would rather (มีแต่ present) o Regular Verb -> กรยิ าปกติ o เป็นกรยิ าทีทาํ ใหเ้ ป็นชอ่ งที 2 และ 3 (past และ past participle) โดยการเติมทา้ ยดว้ ย Ed ไดเ้ ลย -> Talk – Talked – Talked, Walk – Walked – Walked o Irregular Verb -> กรยิ าไม่ปกติ
o เป็นกรยิ าทีทาํ ใหเ้ ป็นชอ่ งที 2 และ 3 (past และ past participle) โดยการเปลยี นรูปเทา่ นนั -> go – went – gone, drink – drank – drunk o Anomalous Verb -> กรยิ าพิเศษ ซงึ ก็คือกรยิ าช่วย(Auxiliary Verbs) แตเ่ ป็นกรยิ าพิเศษก็เพราะว่า o Anomalous Verb จะเป็นกรยิ าแท้ ถา้ ไม่มกี รยิ าอืนมารว่ มใน ประโยคนนั o Anomalous Verb กลายเป็นกริยาชว่ ย เมือใชร้ ว่ มกบั กรยิ าอนื ใน ประโยค o He is Thai = เขาเป็นคนไทย -> is เป็นกรยิ าแท้ เพราะไมม่ ีกรยิ าอืน ในประโยค | He is running = เขากาํ ลงั วิง -> is กลายเป็นกรยิ า ช่วย เพราะใชร้ ว่ มกบั running ซงึ เป็นกรยิ าแท้ o Ordinary Verb -> กรยิ าธรรมดา o เมอื ประธานในประโยคเป็น เอกพจน(์ มจี าํ นวนแค่ 1) หรอื บรุ ษที 3 (He, She, It) ตอ้ งเติม s ทา้ ยกรยิ าในประโยคทีเป็น Present Simple Tense -> He eats rice, He speaks Thai. o แต่เมอื Ordinary Verb ใชใ้ นประโยคปฏิเสธ หรอื คาํ ถาม ตอ้ งมี Verb to do (Do & Does) มาช่วย และ ไมต่ อ้ งเตมิ s ทที า้ ย Ordinary Verb
o ทาํ ประโยคปฏเิ สธ Verb to do + not มาวางไวห้ นา้ Ordinary Verb เช่น He eat rice ก็จะกลายเป็น He does not eat rice -> ใช้ Does เพราะ ประธานเป็นบรุ ษที 3 (He, She, It) และ ไมเ่ ตมิ s ที eat ตามกฏ o ทาํ ประโยคคาํ ถาม โดยนาํ Verb to do มาวางหนา้ ประโยค -> Does he eat rice? -> ใช้ Does เพราะ ประธานเป็นบุรษที 3 (He, She, It) และ ไมเ่ ตมิ s ทีทา้ ย eat ตามกฏ o Two-Word Verb (Phrasal Verbs) -> กรยิ าผสม o ใชค้ กู่ บั Preposition(บรุ พบท) ถา้ แยกจากกนั ความหมายจะเปลียน ทนั ที o look for, give up, check in, check out o He is looking for something to eat -> เขากาํ ลงั หาอะไร ทาน | I want to give up -> ฉันตอ้ งการยอมแพ้ o Chaining Verb -> กรยิ าลกู โซ่ | Chaining Verb ก็ไดแ้ ก่พวก Anomalous Verb (กรยิ าพเิ ศษ) บางตวั ไม่ใชท่ กุ ตวั o เป็นกรยิ าทีตอ้ งมีกริยาตวั อืนตามหลงั เพือความสมบรู ณข์ องประโยค เช่น Used to ซงึ เป็นทงั Chaining Verb & Anomalous Verb เวลาใชต้ อ้ งมี verb อนื มาขยายความ
o I used to eat rice -> ฉนั เคยกินขา้ ว -> used to เป็น Chaining Verb มี eat มาตอ่ ทา้ ยเพือความชดั เจน o Echo Verb -> Verb ทีใชแ้ ทน verb ทีกล่าวในประโยคกอ่ นหนา้ ลด ความซาํ ซาก เพอื ความสวยงามของภาษา o Do you like to run? Yes, I do. -> Do ในประโยคคาํ ตอบใช้ แทน Verb ในประโยคคาํ ถามก่อนนนั คอื Like to run = Yes, I like to run. o Linking Verb -> ใชช้ ่วยขยาย Subject ของประโยคใหช้ ดั เจน หรอื เชือม Subject กบั Adjective (คณุ ศพั ท)์ o verb to be (is,am,are),feel,become,look,seem,appear,grow เป็นตน้ o He seems better = เขาดทู า่ ทางดขี นึ o Modal Verb | (Auxiliary Verbs (บางตวั )) -> can, could, should, shall, will, would, may, might, must o กรยิ าชว่ ยประเภทหนึงทีทาํ ใหก้ รยิ าแทม้ คี วามหมายต่างจากเดมิ โดยใช้ นาํ หนา้ คาํ กรยิ าแท้ o He may eat rice -> เขาอาจจะกนิ ขา้ ว o (Modal verb เราจะเจาะลกึ ในรายละเอยี ดอกี ทใี นบทความต่อๆไป)
o สรุป Verb ปลีกย่อยทัง 14 ชนิด o Principal Verb -> กรยิ าหลกั o Non-Finite Verbs -> กรยิ าไม่แท้ o Auxiliary Verbs (เรยี กอกี อยา่ ง Helping Verbs) -> กรยิ า ช่วย o Verb of Incomplete Predication -> กรยิ าไมส่ มบรู ณ์ ความ o Defective Verb -> กรยิ าทีมีรูปไม่ครบสามสว่ น o Regular Verb -> กรยิ าปกติ o Irregular Verb -> กรยิ าไม่ปกติ o Anomalous Verb -> กรยิ าพิเศษ o Ordinary Verb -> กรยิ าธรรมดา o Two-Word Verb (Phrasal Verbs) -> กรยิ าผสม (+ preposition) o Chaining Verb -> กรยิ าลกู โซ่ o Echo Verb -> Verb ทีใชแ้ ทน verb ทีกล่าวในประโยคก่อนหนา้
o Linking Verb -> กรยิ าทตี อ้ งตามดว้ ย Noun, Adjective, Adverb ใจความประโยคจงึ สมบรู ณ์ o Modal Verb -> Auxiliary Verbs (บางตวั ) กรยิ าชว่ ยประเภท หนึงทที าํ ใหก้ รยิ าแทม้ ีความหมายต่างจากเดมิ โดยใชน้ าํ หนา้ คาํ กรยิ าแท้
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: