Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมะสอนใจ ทำไมต้องปฏิบัติธรรม

ธรรมะสอนใจ ทำไมต้องปฏิบัติธรรม

Published by canoonza000, 2018-03-29 01:28:08

Description: ธรรมะสอนใจ ทำไมต้องปฏิบัติธรรม

Search

Read the Text Version

ธรรมะสอนใจ ทำไมต้องปฏบิ ตั ธิ รรมทำไมต้องปฏบิ ัตธิ รรม “พระไพศำล วสิ ำโล”เมอ่ื ครัง้ หลวงพอ่ ชา สภุ ทั โท ยงั มีชีวติ อยู่ มีพระเซนจากญ่ีป่ นุ มากราบนมสั การทา่ น พอพบทา่ นกต็ งั้ คาถามท่านเร่ืองการปฏบิ ตั ธิ รรม เลยวา่ “ปฏิบตั ไิ ปทาไม ปฏบิ ตั เิ พือ่ อะไรทาไมจงึ ต้องปฏิบตั ดิ ้วย ปฏบิ ตั แิ ล้วได้อะไร” หลวงพอ่ ชาไมไ่ ด้ตอบตรง ๆ แตถ่ ามกลบั ไปวา่ “กินข้าวไปทาไม กินข้าวเพือ่ อะไร ทาไมจงึ ต้องกินข้าว กินข้าวแล้วได้อะไร” ปรากฏวา่ พระเซนรูปนนั้ พอใจมากกบั คาตอบ ซึง่ จริง ๆแล้วไมใ่ ช่คาตอบ แต่เป็นการถามกลบัสาเหตทุ ่ีพระญ่ีป่ นุ พอใจในคาตอบของ หลวงพอ่ ชา ก็เพราะท่านชีใ้ ห้เห็นวา่ การปฏบิ ตั ธิ รรมนนั้ ไมต่ ่างจากการกินข้าว เพยี งแตว่ า่ การกินข้าวเป็นการบารุงร่างกาย สว่ นการปฏิบตั ธิ รรมเป็นการบารุงจติ ใจ ซ่ึงเป็นสง่ิ จาเป็นสาหรับชีวติ ไมน่ ้อยไปกวา่ การกนิ ข้าวใคร ๆ คงไมค่ าดคดิ วา่ หลวงพอ่ ชาจะถามกลบั วา่ กินข้าวไปทาไม ทาไมถงึ กนิ ข้าว ทงั้ นีก้ ็เพราะวา่ มนั เป็นเร่ืองที่เราทาทกุ วนั จนลืมถามตวั เองวา่ กินข้าวไปทาไมที่จริงไมใ่ ช่เฉพาะกนิ ข้าวอยา่ งเดียว มีกจิ วตั รอีกมากมายที่เราทาในชีวติ ประจาวนั โดยไมเ่ คยถามเลยวา่ ทาไปทาไม ซ่ึงแสดงให้เหน็ วา่ เราไมค่ อ่ ยได้ไตร่ตรองในเร่ืองท่ีสาคญั เทา่ ไร แต่พอพดู ถงึ การปฏบิ ตั ธิ รรม กลบั ตงั้คาถามมากมายจริง ๆ แล้วการปฏบิ ตั ธิ รรมนนั้ สาคญั พอ ๆ กบั การกนิ ข้าว เพียงแตค่ นเราไมไ่ ด้ตระหนกั เพราะการปฏบิ ตั ธิ รรมไมไ่ ด้สง่ ผลหรือเห็นอานสิ งส์ทนั ทีเหมอื นการกินข้าว แต่การปฏิบตั ธิ รรมก็สาคญั พอ ๆ กบั การกินข้าว เพราะถ้าขาดการปฏิบตั ธิ รรมเมอื่ ไร ชีวติ กเ็ ป็นทกุ ขไ์ มต่ า่ งจากการไมม่ ขี ้าวกนิ หากเราไมส่ นใจการปฏิบตั ธิ รรม เวลามีอะไรมากระทบกบั ชีวิต จะทาให้เสียศนู ย์ จติ ใจจะเกดิ ทุกข์ และสง่ ผลร้ายกบั เรา ทาให้เป็นบ้าได้มผี ้คู นมากมายพอไฟไหม้บ้าน ธรุ กจิ ล้มละลาย หรือครู่ ักตีจาก กเ็ สยี ศนู ย์จนคล้มุ คลง่ั ที่เป็นบ้าไปเลยก็มี บางคนถึงกบั ฆ่าตวั ตาย นน่ั เป็นเพราะใจย้อนกลบั มาทาร้ายตวั เอง คนเราทกุ วนั นีไ้ มค่ อ่ ยมีความทกุ ขก์ ายเท่าไร เพราะเราอย่ใู นยคุ ที่มคี วามสขุ สบายเกือบทกุ อยา่ ง บางคนแทบจะไมร่ ู้จกั ความหวิ โหยชีวติ ประจาวนั แทบจะไมม่ ีเหง่ือออก เพราะไมต่ ้องใช้เร่ียวแรงทามาหากนิ ไมเ่ หมอื นสมยั ป่ ยู ่าตายาย ท่ีต้องออกแรงทางานทงั้ วนั แตถ่ ึงแม้ไมค่ อ่ ยมคี วามทกุ ข์กาย แตค่ นสมยั นีม้ ีความทกุ ข์ใจเยอะมาก แล้วความทกุ ข์ใจก็บน่ัทอนสขุ ภาพเรา ทาลายความสมั พนั ธ์ในครอบครัว ทงั้ หมดนีเ้ป็นเพราะเราไมไ่ ด้ฝึกฝนจติ ใจหลายคนตงั้ คาถาม ทาไมต้องปฏิบตั ธิ รรมในเม่ือฉนั ก็สขุ สบายดีอยแู่ ล้ว เขาพดู แบบนีเ้พราะมกั เหน็ คนที่เข้าวดั

ปฏบิ ตั ธิ รรมมกั เป็นคนท่ีมีปัญหา เช่นป่ วย เป็นมะเร็ง ครอบครัวล้มเหลว ธรุ กจิ ล้มละลาย เป็นเพราะเข้าใจแบบนี ้จึงอย่ใู นความประมาท หลายคนที่พดู วา่ ทาไมต้องปฏบิ ตั ธิ รรมในเมือ่ ทกุ วนั นีฉ้ ันก็สบายดอี ย่แู ล้วอาตมาอยากจะถามกลบั วา่ คนที่พดู เชน่ นีม้ ีความสขุ จริงหรือเปลา่ อาตมาสงั เกตดู หลาย ๆ คน เวลาทางานก็เครียด กลบั บ้านก็กงั วล กินไมไ่ ด้ นอนไมห่ ลบั เพราะห่วงงาน หว่ งลกู ห่วงทรัพย์สมบตั ิ หลายคนถงึ กบั กนิ ยานอนหลบั หรือกนิ ยาลดความเครียดทีนีส้ มมตุ ิวา่ เขามคี วามสขุ จริง ๆ ธรุ กจิ รุ่งโรจน์ ครอบครัวอบอ่นุ กนิ ได้นอนหลบั คาถามกค็ ือ คนเหลา่ นีไ้ มต่ ้องปฏิบตั ธิ รรมแล้วใช่ไหม อาตมาไมแ่ น่ใจ เพราะคนที่มีความสขุ ในวนั นี ้ไมไ่ ด้หมายความวา่ พรุ่งนีจ้ ะมีความสขุด้วย วนั นีม้ ีครอบครัวอบอ่นุ ราบรื่น ไมไ่ ด้แปลว่าพรุ่งนีช้ ีวิตจะยงั คงราบร่ืน อบอ่นุ วนั นีม้ ีความสขุ แตแ่ น่ใจได้อย่างไรวา่ พรุ่งนีจ้ ะไมเ่ ป็นมะเร็ง หากพรุ่งนีเ้ขาพบว่าตวั เองเป็นมะเร็งระยะที่ 3 เขาจะยงั คงมคี วามสขุ อยไู่ หมวนั นีม้ ีลมหายใจ ใชว่ า่ พรุ่งนีจ้ ะยงั คงมีลมหายใจอยู่ มีภาษิตธิเบตกลา่ ววา่ “ระหวา่ งพรุ่งนีก้ บั ชาตหิ น้า ไมม่ ีใครรู้หรอกวา่ อะไรจะมาก่อน”บางคนมีชีวติ ราบรื่น ตงั้ แตเ่ ลก็ จนโต ครอบครัวกม็ ีความสขุ วนั หนง่ึ พบวา่ ตวั เองเป็นมะเร็งลามไปถงึ กระดกู ทงั้วนั เอาแตบ่ น่ ว่าอยากตาย อีกครอบครัวหน่ึง สามีดแู ลภรรยาและลกู ดีมาก ครอบครัวกอ็ บอ่นุ วนั หน่ึงสามเี ป็นมะเร็ง ไมก่ ่ีเดือนตอ่ มาก็ตาย ภรรยารับไม่ได้ เสยี ศนู ย์ไปเลย แม้จะกลบั มาเป็นผ้เู ป็นคนได้กต็ ้องใช้เวลาเป็นปี แตท่ กุ เช้าก็ยงั ทาอาหารให้สามีทาน โดยเอาอาหารมาวางบนโต๊ะท่ีมแี ตเ่ ก้าอีท้ ่ีวา่ งเปลา่ ทกุ วนั กจ็ ะโทรศพั ท์ไปท่ีเบอร์ของสามี เพื่อจะได้ฟังเสยี งของสามี ทงั้ นีเ้ป็นเพราะเธอยอมรับไมไ่ ด้วา่ สามไี ด้ตายไปแล้ว จงึ ยงั คงทาเสมือนวา่ สามียงั มีชีวิตอยู่ ลกู สาวมีความทกุ ข์มาก เพราะแมเ่ อาแตค่ ดิ ถึงพอ่ จนลมื ลกู ไปเลยเป็นเพราะไมม่ อี ะไรแนน่ อน ความสขุ วนั นีอ้ าจกลายเป็นความทกุ ข์วนั หน้า ดงั นนั้ เราจงึ ควรหนั มาปฏิบตั ธิ รรมให้มสี ติสมั ปะชญั ญะ และปัญญาเอาไว้รับมือกบั ความผนั ผวนปรวนแปรที่อาจเกิดขนึ ้ กบั เราหรือคนท่ีเรารักไมว่ นัใดก็วนั หน่ึงอย่าประมาทหรือชะลา่ ใจวา่ ฉนั มคี วามสขุ แล้ว จะปฏบิ ตั ธิ รรมไปทาไม มนั ไมม่ ีหลกั ประกนั เลย วา่ พรุ่งนีเ้ราจะยงัมีความสขุ เราจะยงั มีชีวติ อยู่ เคยคดิ เคยเผอ่ื ใจไว้บ้างไหม วา่ สกั วนั หนงึ่ เราอาจเป็นมะเร็ง สามี ภรรยา ลกู อาจมอี นั เป็นไป ทรัพย์สนิ เงินทองอาจสญู เสีย ถกู ทาลาย มนั ไมแ่ น่ใช่ไหม เมือ่ วนั ท่ี ๒๖ ธนั วาคม ๒๕๔๗ ท่ีภเู กต็พงั งา เช้าวนั นนั้ แดดใส ฟ้ าสวย ไม่มใี ครคดิ เลยวา่ อีกไมก่ ่ีนาทีนรกจะแตกเพราะสนึ ามซิ ดั กระหน่าถ้าเราตระหนกั ว่าชีวติ นีไ้ มม่ ีอะไรจีรังยง่ั ยืน เราจาต้องเตรียมตวั เตรียมใจรับกบั ความผนั ผวนปรวนแปรใน

ชีวติ สาหรับคนที่มีความทกุ ขอ์ ย่แู ล้วตอนนี ้กย็ ง่ิ ต้องรีบปฏิบตั ธิ รรม เวลาเราทกุ ข์ เรามกั โทษคนอ่ืน แตเ่ ราเคยหนั มามองตวั เองไหมวา่ ท่ีทกุ ขน์ ่ีอาจเป็นเพราะใจของเราเปิดรับเอาความทกุ ข์เข้ามามเี รื่องเลา่ วา่ มีภรรยาคนหน่ึงต่ืนเช้าก็ลกุ ขนึ ้ มาบริหารกายในห้องนอน มองผา่ นหน้าตา่ ง กเ็ หน็ ราวตากผ้าของเพ่ือนบ้าน จึงพดู ขนึ ้ มาให้สามีท่ีกาลงั นอนอย่วู า่ “คณุ ดสู ิ บ้านนีซ้ กั เสอื ้ ผ้าไมส่ ะอาดเลย ผ้าปทู ี่นอน ปลอกหมอนมีรอยดา่ ง บ้านก็รวย แตท่ าไมไมซ่ กั ให้สะอาด” สามีฟังก็ไมว่ า่ อะไร รุ่งขนึ ้ เธอก็บน่ เหมอื นเดมิ วนั ท่ีสามตื่นขนึ ้ มาเธอกท็ าเหมอื นเดมิ มองไปนอกหน้าตา่ ง แตค่ ราวนีเ้ ธอแปลกใจวา่ ทาไมเสอื ้ ผ้าของบ้านนนั้ สะอาดแล้ว จงึ ถามสามีว่า “คณุ ไปบอกบ้านนนั้ หรือวา่ ซกั ผ้าไมส่ ะอาด” สามีตอบวา่ “เปลา่ หรอก ผมไม่ได้บอกเขา ผมเพยี งแตเ่ ช็ดกระจกหน้าตา่ งบ้านของเราให้สะอาดเท่านนั้ ”ภรรยานนั้ เหน็ วา่ เสอื ้ ผ้าของเพ่ือนบ้านไมส่ ะอาด แตค่ วามจริงแล้วไมใ่ ชห่ รอก มนั เป็นเพราะกระจกบ้านของตวั เองตา่ งหากที่ไมส่ ะอาด เรื่องนีส้ อนเราวา่ เวลาเรามองวา่ ใครมปี ัญหานนั้ บางครัง้ ปัญหาอาจอย่ทู ี่ตวั เราเอง แตเ่ รามกั มองไมค่ อ่ ยเหน็ พอใจเราเป็นลบ เรากม็ องคนอื่นเป็นลบ แนน่ อนบางครัง้ คนอ่ืนที่อยรู่ อบตวั เราเชน่ เจ้านาย สามี เพือ่ นร่วมงาน ก็มีสว่ นเป็นปัญหาด้วย แตถ่ ้าเราไมเ่ ปิดใจรับเอาสงิ่ เหลา่ นีเ้ข้ามาท่ิมแทงใจเราเรากไ็ มท่ กุ ข์พระพทุ ธเจ้าตรัสวา่ “มือท่ีไมม่ ีแผล จบั ต้องยาพิษก็ไมอ่ ันตราย” แตถ่ ้ามีแผลเมอ่ื ไร แล้วไปถกู ต้องยาพษิ เข้าอนั ตรายกเ็ กิดกบั ตวั ใจเรากเ็ ช่นกนั ถ้าใจเรามีแผล อะไรตอ่ อะไรแม้เลก็ น้อยมากระทบกเ็ จ็บ เวลามือมีแผลแม้แตย่ อดหญ้ามาถกู ต้องเรายงั รู้สกึ เจบ็ เลยใชไ่ หมท่ีจริงเวลาใครตอ่ วา่ ดา่ ทอเรา ถ้าเราไมเ่ อาใจไปรับ ก็ไมเ่ จ็บ สมมตุ วิ ่าเราเดนิ เลน่ ในสวนมะพร้าว มลี งิ เกเรตวัหน่ึงขว้างมะพร้าวใสเ่ รา ถ้าเราเหน็ เราจะเอาตวั เข้าไปรับไหม คนที่มีสตดิ ีกต็ ้องพยายามหลบลกู มะพร้าวทงั้ นนั้ แตเ่ วลามีคนสาดคาดา่ ใสเ่ รา ทาไมเราไมห่ ลบ ทาไมจึงเอาใจรับหลวงพอ่ ชาเคยกลา่ ววา่ เวลามีใครดา่ เราวา่ เป็นหมเู ป็นหมา กอ่ นจะโกรธให้เราคลาดทู ่ีก้นก่อนวา่ มีหางงอกออกมาหรือไม่ ถ้าไมม่ ีหางก็อยา่ ไปโกรธเขา ถ้าโกรธแสดงวา่ เรายอมรับวา่ เป็นอย่างท่ีเขาวา่ จริง ๆถ้าลงิ ขว้างมะพร้าวใสเ่ รา แทนท่ีเราจะหลบ กลบั เอาตวั เข้าไปรับแล้วเจ็บ อยา่ งนีจ้ ะโทษใคร คาดา่ ที่พงุ่ มาหาเราถ้าเราหลบหลกี ไมเ่ อาใจไปรับ เราก็ไมท่ กุ ข์ คาดา่ วา่ นนั้ เหมือนจดหมาย ถ้าเอาไปหย่อนในต้ไู ปรษณีย์แล้วไมม่ ีผ้รู ับ สดุ ท้ายจดหมายนนั้ ก็จะตีกลบั มายงั ผ้สู ง่ หรือเจ้าของ ฉนั ใดก็ฉนั นนั้ คาดา่ ถ้าเราไมร่ ับไว้ มนั กจ็ ะกลบั ไปหาคนดา่ ดงั นนั้ เราอย่าไปรับเอามาทิ่มแทงใจเรา

ท่านอาจารย์ชยสาโรเคยกลา่ ววา่ “โลกนีไ้ มม่ ีสง่ิ ใด ไมม่ ีคนใด จะบงั คบั ให้เราทกุ ข์ได้ มีแต่สง่ิ ท่ีชวนให้เราทกุ ข์ชวนให้เราพอใจ ชวนให้เราไมพ่ อใจ มนั มาเชิญเรา เราจะรับเชิญหรือไมร่ ับเชิญ มนั เป็นเร่ืองของเรา เขาบงั คบัไมไ่ ด้” เมอ่ื มีอะไรมาชวนให้ทกุ ข์ เราเลอื กได้วา่ จะรับคาชวนหรือไม่ เราไม่รับกไ็ ด้ เป็นสทิ ธขิ องเรา จงึ พดู ได้วา่คนเราทกุ ข์เพราะใจเรามสี ่วนร่วมมือด้วย ความเจ็บ ความป่ วยก็เชน่ กนั โรคภยั ไข้เจ็บทาให้กายป่ วย แตท่ ่ีทกุ ข์ใจด้วยก็เพราะใจไปผสมโรงด้วยคณุ ป้ าคนหน่งึ ไมส่ บายไปหาหมอหลายครัง้ ไมร่ ู้วา่ เป็นอะไร วนั หนึ่งหมอบอกวา่ ป้ าเป็นมะเร็งตบั นะ อยู่ได้ไมเ่ กนิ ๓ เดือน ป้ าตกใจมาก กลบั บ้านก็กินไม่ได้นอนไมห่ ลบั ทงั้ ตน่ื ตระหนกและหมดอาลยั ตายอยากในชีวติ อย่ไู ด้แค่ ๑๒ วนั กต็ าย อย่างนีเ้รียกวา่ ตายเร็วเพราะวติ กกงั วลสารพดั บางคนป่ วยเป็นมะเร็ง หมอบอกวา่อยไู่ ด้ ๓ เดือน แตอ่ ยไู่ ด้ ๓-๕ ปีก็มี ดงั นนั้ ความเจ็บป่ วยนนั้ มนั ไม่ใช่เรื่องของกายอยา่ งเดียว ใจกส็ าคญั ด้วย หากวติ กกงั วลแทนท่ีจะมสี ติ ปลอ่ ยให้ใจฟ้ งุ ซ่านไปตา่ ง ๆ นานา กจ็ ะตายเร็ว ถ้าไมอ่ ยากตายเร็ว กค็ วรหนั มาปฏิบตั ิธรรมการปฏบิ ตั ธิ รรม สว่ นหนึ่งก็เพ่ือฝึกจิตเพอ่ื ให้มีสตแิ ละปัญญา ปฏิบตั ธิ รรมเพอื่ รักษาจติ ดแู ลใจไม่ให้ปรุงแตง่ ไม่เผลอรับคาเชิญของสง่ิ ตา่ ง ๆ ท่ีมาชวนให้เป็นทกุ ข์ กายป่ วยแตใ่ จไมป่ ่ วยก็ได้ ทรัพย์สมบตั สิ ญู เสียไป ใจไม่เสียศนู ย์ก็ได้ คนรักตายจากไปแตใ่ จเป็นปกตกิ ็ทาได้เช่นกนั ถ้าเราปฏิบตั ธิ รรมจนเกิดปัญญา แม้มีสง่ิ ร้าย ๆ มากระทบ เราไมเ่ พยี งปกตเิ ท่านนั้ แตก่ ลบั จะเข้มแขง็ กวา่ เดมิ ด้วยมคี ณุ แมท่ า่ นหน่ึงเลา่ วา่ หลายปีก่อน ลกู ชายขอไปเรียนตอ่ ท่ีอินเดยี เขาเป็นเดก็ ดี มคี วามรับผดิ ชอบสงู แมจ่ งึอนญุ าตให้ไป แตไ่ ปอินเดียได้ไมก่ ่ีเดอื นลกู ก็เกดิ อบุ ตั ิเหตจุ มนา้ ตาย แมเ่ ศร้าโศกเสยี ใจมาก และรู้สกึ ผดิด้วย เอาแตโ่ ทษตนเองวา่ ทาให้ลกู ตาย เธอเสยี ศนู ย์มาก ทาการทางานไมไ่ ด้เลย แทบไมเ่ ป็นผ้เู ป็นคน ตอ่ มามีคนชวนให้เธอไปปฏิบตั ธิ รรม เม่อื ได้มโี อกาสฟังธรรม จงึ เข้าใจวา่ แตล่ ะคนมกี รรมเป็นของตน และได้ตระหนกั วา่ความตายและการสญู เสียพลดั พรากเป็นเรื่องธรรมดา ทาให้คลายความเศร้า ขณะเดยี วกนั เม่อื ได้เจริญสติ เวลามีความรู้สกึ ผิดเกิดขนึ ้ ก็ดมู นั ไมก่ ดข่มผลกั ไสมนั ในที่สดุ ความรู้สกึ ผดิ กไ็ มม่ ารบกวนจิตใจตอ่ ไป ทาให้จิตใจมคี วามสงบเยน็ เป็นความสขุ ที่ไมเ่ คยประสบมาก่อนการปฏิบตั ธิ รรมทาให้คณุ แมท่ ่านนีก้ ลบั มาใช้ชีวติ ได้เป็นปกติ เข้มแขง็ และมคี วามสขุ กวา่ เดิม เธอบอกวา่ ขอบคณุความตายของลกู ที่ทาให้แมเ่ ห็นธรรมะ อยา่ งนีเ้รียกวา่ เปลี่ยนร้ายกลายมาเป็นดี จะทาอยา่ งนนั้ ได้ต้องอาศยัธรรมะ หลายคนเข้าหาธรรมะเพราะเป็นมะเร็ง เพราะกลวั ตาย แตพ่ อมาสนใจธรรมะ จงึ รู้วา่ ความเจบ็ ป่ วยไมใ่ ช่เร่ืองร้ายเสมอไป อีกทงั้ สมาธิภาวนายงั ทาให้พบความสขุ สงบเย็นอย่างท่ีไมเ่ คยพบมาก่อน

การปฏบิ ตั ธิ รรมหรือการทาบญุ ไมไ่ ด้เป็นหลกั ประกนั วา่ เราจะไมเ่ จบ็ ไมป่ ่ วย ไมเ่ จอความพลดั พราก สญู เสยีบางคนทาบญุ สม่าเสมอมาตลอด วนั หนง่ึ เป็นมะเร็ง ก็ตดั พ้อต่อวา่ ทาไมฉนั เป็นมะเร็ง ทงั้ ที่ทาบญุ มาตลอดชีวติ?การรักษาศลี และทาบญุ ทาให้เกิดสขุ ก็จริง แตก่ ็ป้ องกนั ความทกุ ข์ได้ระดบั หนึง่ ไมถ่ งึ กบั ป้ องกนั ได้ทงั้ หมด ถ้าเราถือศลี ๕ ไมก่ นิ เหล้า เรามีสติสมั ปะชญั ญะ กจ็ ะไมเ่ กดิ อบุ ตั เิ หตกุ บั เรางา่ ย ๆ โอกาสที่จะขบั รถชนต้นไม้หรือแหกโค้งจนพกิ ารมนี ้อยมาก แตบ่ างครัง้ อาจจะมีรถคนั อ่ืนแลน่ มาชนรถเราได้เหมือนกนัประมาณ ๔๐ ปีก่อน เกดิ ไฟไหม้ใหญ่ท่ีกลางเมอื งสรุ ินทร์ ผ้คู นสนิ ้ เนือ้ ประดานบั พนั บางคนตดั พ้อวา่ ทาบญุ มามาก ทาไมบญุ ไมร่ ักษา ธรรมไมค่ ้มุ ครอง บางคนเส่ือมศรัทธาในการทาบญุ ทาทานไปเลย ถึงกบั บอกวา่ จะไมเ่ ข้าวดั แล้ว หลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล เจ้าอาวาสวดั บรู พาราม ซึง่ อยกู่ ลางเมืองสรุ ินทร์ ได้ยนิ จงึ พดู เตอื นสตวิ า่ “ไฟมนั ทาตามหน้าที่ของมนั ธรรมะไมไ่ ด้ช่วยใครในลกั ษณะนนั้ หมายความวา่ ความอนั ตรธาน ความวบิ ตั ิ ความเสอื่ มสลาย ความพลดั พรากจากกนั สง่ิ เหลา่ นีม้ นั มปี ระจาโลกอยแู่ ล้ว ทีนีผ้ ้มู ธี รรมะ ผ้ปู ฏิบตั ธิ รรมะ เมอ่ื ประสบกบัภาวะเชน่ นนั้ แล้ว จะวางใจอย่างไรจึงไมเ่ ป็นทกุ ข์ อยา่ งนีต้ า่ งหาก ไม่ใชธ่ รรมะชว่ ยไมใ่ ห้แก่ ไมใ่ ห้ตาย ไมใ่ ห้หวิไมใ่ ห้ไฟไหม้ ไมใ่ ช่อย่างนนั้ ”คนที่ปฏิบตั ธิ รรมจนเข้าถึงธรรมจะไมค่ าดหวงั วา่ เหตรุ ้ายเหลา่ นีจ้ ะไมเ่ กิดขนึ ้ กบั ตน เพราะเขารู้วา่ มนั เป็นเร่ืองธรรมดา แตเ่ ขาจะสนใจวา่ วา่ ทาอยา่ งไรใจจึงจะไมเ่ ป็นทกุ ข์เม่อื เกิดเหตกุ ารณ์เหลา่ นีข้ นึ ้การเจริญสติ ทาสมาธภิ าวนา มีประโยชน์มากมาย อาทิ๑. ทาให้เราปลอ่ ยวางได้ในสง่ิ ท่ีผ่านไปแล้ว และไมก่ งั วลกบั เร่ืองในอนาคต๒. ทาให้เหน็ ความจริงของชีวติ วา่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ไม่มใี ครหนีพ้นได้๓. เราจะต้องพลดั พรากจากของรัก ของชอบใจ มีความสญู เสยี เป็นธรรมดา๔. เรามกี รรมเป็นที่พง่ึ อาศยั มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพนั ธ์ุ๕.เห็นความสาคญั ของการเตรียมตวั เตรียมใจสร้างความดี๖.เหน็ ทกุ สง่ิ เป็นอนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตาทาให้ลดความยึดมน่ั ถือมนั่ ลงไปได้การปฏิบตั ธิ รรมทาให้เหน็ จริงว่า ทกุ อย่างเป็นทกุ ข์ ถ้าหวงั สขุ จากอะไรก็ตาม เราจะผดิ หวงั ในท่ีสดุ ถา่ นที่กาลงัตดิ ไฟยอ่ มร้อนเป็นธรรมดา ถ้าเรากามนั ไว้ เรากเ็ ป็นทกุ ขใ์ ช่ไหม เศษแก้วบนถนน ถ้าเราเดนิ ไปเหยียบแล้วเจ็บ

เราจะโทษเศษแก้ว หรือควรโทษตวั เอง ก้อนหินใหญ่ ถ้าเราแบกไว้มนั ก็หนกั จะบอกให้มนั อยา่ หนกั เราทาได้ไหมสงิ่ เดยี วท่ีเราทาได้ ถ้าไมอ่ ยากเป็นทกุ ข์ กค็ อื วางมนั ลง โลกนีเ้ตม็ ไปด้วยสง่ิ ที่ไมเ่ ท่ียง ไมอ่ าจควบคมุ บงั คบั ให้ถกู ใจเราได้ เราเปล่ยี นโลกไมไ่ ด้ แต่เราปรับใจเราได้ คือปรับใจไมใ่ ห้ยึดตดิ ถือมนั่ ในสงิ่ ตา่ ง ๆ เห็นถ่านร้อน ๆ ก็ไมก่ ามนั เอาไว้ เห็นเศษแก้วบนถนน ก็ไมเ่ ดนิ เตะมนั เห็นก้อนหนิ ใหญ่ ก็ไมแ่ บกมนั ด้วยวธิ ีนีเ้ท่านนั้ เราจงึ จะไม่ทกุ ข์ เรียกวา่ ตวั อยใู่ นโลก แตใ่ จอย่เู หนือโลกถ้าถามว่าจะปฏิบตั ธิ รรมอยา่ งไร อนั ที่จริงทาน ศลี ภาวนา กเ็ ป็นการปฏบิ ตั ธิ รรมอย่แู ล้ว แตถ่ ้าพดู ให้แคบลง การปฏิบตั ธิ รรม คอื คอื การฝึกจติ ฝึกใจ หมน่ั มองตน รู้กายและใจ ด้วยสติ มคี วามรู้สกึ ตวั อยเู่ สมอ มองอะไรก็เหน็เป็ นธรรมเมอื่ มองตนก็รู้กายรู้ใจ เมอ่ื มองโลกภายนอกก็เหน็ ธรรมมองตนด้วยสติ มองโลกภายนอกให้เป็นก็เกิดปัญญาเวลามองตนเพ่ือให้รู้กายใจ ต้องใช้สติเมอ่ื กายเคลอ่ื นไหว ก็รู้วา่ กายเคล่ือนไหว เดนิ กร็ ู้วา่ เดนิเมื่อใจคดิ นกึ กร็ ู้วา่ ใจคดิ นกึเม่อื รู้แล้ว กป็ ลอ่ ยวางตวั อยทู่ ี่ไหน ใจกอ็ ยตู่ รงนนั้ คอื อยกู่ บั ปัจจบุ นั ไมใ่ ช่วา่ เวลาทางานก็คิดถงึ ลกู แตเ่ วลาอยกู่ บั ลกู ก็คิดถงึ งาน แตถ่ ้ามีสติ เวลาทางานใจกอ็ ยกู่ บั งาน แตก่ ็ไมล่ มื ตวั หลงอยใู่ นงาน ยงั มีความรู้สกึ ตวั อยู่ เวลากลบั บ้าน คยุ กบั ลกู ใจก็อย่กู บั ลกู ไมค่ ดิ เรื่องอ่ืนการอยกู่ บั ปัจจบุ นั นนั้ ไมไ่ ด้หมายความวา่ ห้ามคดิ เร่ืองอดตี คดิ ได้แต่ให้คดิ อย่างมีสติ ไมป่ ลอ่ ยให้อดตี มาท่ิมแทงใจการปฏบิ ตั ธิ รรม ไมป่ ฏิเสธการมองออกนอกตวั แตต่ ้องมองด้วยปัญญา มกี ารคดิ อย่างแยบคายถ้าเราปฏบิ ตั ธิ รรม เราจะสามารถมองเหน็ ธรรมจากทกุ สงิ่ ได้ในสมยั พทุ ธกาล มสี ามเณรรูปหนงึ่ เดนิ ตามพระสารีบตุ รไปบณิ ฑบาตตอนเช้า ระหวา่ งทางผา่ นทงุ่ นา เห็นชาวนากาลงั ไขนา้ เข้านา เมอื่ เข้าไปในหมบู่ ้าน เหน็ ชา่ งไม้กาลงั ถากท่อนไม้ทาด้ามจอบ เสยี ม เดนิ ตอ่ ไปเห็นชา่ งธนกู าลงั ดดั คนั ธนอู ยู่ ท่านได้คดิ วา่ แม้แตส่ งิ่ ที่ไม่มจี ติ ใจ เชน่ นา้ ไม้ เรายงั สามารถดดั แปลงให้เกดิ เป็นประโยชน์ได้ แล้วคนเราซ่ึงมจี ิตใจ ทาไมจะฝึกให้ประเสริฐไมไ่ ด้ สามเณรยงั มองตอ่ ไปวา่ ชาวนา ชาวไร่ ช่างไม้ มงุ่

ดดั แปลงควบคมุ สงิ่ ตา่ ง ๆ ท่ีอยนู่ อกตวั ให้เกิดประโยชน์ได้ แล้วบณั ฑิตละ่ ควรจะทาอะไร กไ็ ด้คาตอบวา่ หน้าท่ีของบณั ฑิตคือเปล่ียนแปลงหรือฝึกฝนตนเมื่อคดิ ได้อยา่ งนนั้ สามเณรกเ็ กิดแรงบนั ดาลใจ อยากฝึ กตน จงึ ขอพระสารีบตุ รกลบั ไปวดั เพื่อบาเพญ็ ภาวนาในวหิ าร จนบรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ตใ์ นเช้าวนั นนั้ขอให้สงั เกตว่าทา่ นไมไ่ ด้คตธิ รรมจากใคร แตไ่ ด้จากชาวนา ชา่ งไม้ ช่างธนู ได้จากเหตกุ ารณ์ที่แสนธรรมดาสามญั เรื่องนีช้ ีว้ า่ ทกุ อย่างสอนธรรมได้ทงั้ นนั้ บางท่านบรรลธุ รรมจากการได้เห็นดอกบวั ท่ีร่วงโรย จนเหน็ ไตรลกั ษณ์หลวงป่ มู นั่ ภรู ิทตั โตเคยกลา่ ววา่ “ธรรมะนนั้ มอี ย่ทู กุ หย่อมหญ้าสาหรับผ้มู ปี ัญญา” คาพดู นีเ้กิดขนึ ้ เน่ืองจากสมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ตสิ โส) สงสยั วา่ หลวงป่ มู น่ั เรียนปริยตั ธิ รรมน้อย เอาแตอ่ ย่ปู ่ า แตท่ าไมจงึ รู้ธรรมได้ลกึ ซงึ ้สมเดจ็ องคน์ ีส้ มยั ที่ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑลอบุ ลราชธานี ทา่ นเหน็ วา่ ปริยตั ธิ รรมเป็นเรื่องสาคญั ที่พระต้องเรียนตวั ทา่ นเองกเ็ รียนถงึ ประโยค ๕ ตอนนนั้ ท่านไมช่ อบพระป่ าเอามาก ๆ โดยเฉพาะพระป่ าสายหลวงป่ มู นั่ หลวงป่ ูสงิ ห์ ขนั ตยาคโม เพราะพระเหล่านีไ้ มย่ อมเรียนหนงั สอื และไมอ่ ยวู่ ดั เป็นหลกั เป็นแหลง่ ธดุ งค์จาริกในป่ าเป็นอาจิณ คราวหนงึ่ หลวงป่ สู งิ ห์กบั คณะธดุ งค์มาถึงอาเภอมว่ งสามสบิ จงั หวดั อบุ ลราชธานี เจ้าคณะมณฑลจงึ สงั่เจ้าคณะอาเภอ ให้บอกชาวบ้านวา่ ขบั ไลค่ ณะพระธดุ งค์กลมุ่ นีอ้ อกไปจากอาเภอ แตช่ าวบ้านไมท่ าสมเดจ็ พระมหาวีรวงศแ์ ตเ่ ดมิ ทา่ นไมเ่ ห็นวา่ การทาสมาธิภาวนามปี ระโยชน์อะไร กระทง่ั วนั หนึ่งท่านล้มป่ วยรักษาเทา่ ไรก็ไมห่ าย ตอ่ มาพระอาจารย์ลี ธมั มธโร และพระอาจารย์ฝัน้ อาจาโร ซึง่ เป็นลกู ศษิ ย์ของหลวงป่ มู นั่ช่วยรักษาทา่ นให้หายจากโรค โดยใช้สมาธิภาวนาและสมนุ ไพร ปรากฏวา่ ทา่ นหายอยา่ งอศั จรรย์ จงึ แปลกใจและประทบั ใจมาก ทา่ นถงึ กับกลา่ ววา่ “ตลอดชีวติ ของเรา เราไมเ่ คยนึกมาก่อนเลยวา่ สมาธิภาวนาจะมีประโยชน์ถึงเพียงนี ้น่าคดิ นะ สมเดจ็ พระมหาวรี วงค์ เป็นพระผ้ใู หญ่ มคี วามรู้สงู ด้านปริยตั ธิ รรม แตไ่ มเ่ คยเชื่อเลยวา่ สมาธภิ าวนาจะมคี ณุ คา่ มาก เมอื่ เห็นประโยชน์ของสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ทา่ นจงึ เริ่มทาสมาธิภาวนา และมศี รัทธาในหลวงป่ ูมน่ั ตอ่ มาเมื่อได้เจอหลวงป่ มู นั่ ทา่ นจึงถามวา่ หลวงป่ มู น่ั วา่ ในเมอื่ หลวงป่ มู นั่ ไม่ได้เรียนหนงั สอื มามาก ทาไมจึงสอนธรรมะได้ลกึ ซงึ ้ หลวงป่ มู นั่ จงึ ตอบพดู วา่ “ธรรมะนนั้ มอี ย่ทู กุ หย่อมหญ้าสาหรับผ้มู ีปัญญา”เราสามารถเห็นธรรมได้จากทกุ สงิ่ เม่อื เราเปิดใจรับรู้ทกุ สงิ่ อย่างมีโยนโิ สมนสกิ าร ถ้าเราครองตนด้วยสติ ก็จะเห็นกายและใจตามที่เป็นจริง และเมื่อเรามองโลก เราก็จะเกดิ ปัญญาเหน็ ธรรมเราจะเห็นกายและใจตามจริงได้อย่างไร ก็เริ่มจากการปฏิบตั ิ ซ่งึ มหี ลายวธิ ี หลกั ใหญ่ ๆ คอื เจริญสตปิ ัฏฐาน 4ได้แก่

กายานปุ ัสสนา คอื เหน็ กายในกายเวทนานปุ ัสสนา คอื เห็นเวทนาในเวทนาจิตตานปุ ัสสนา คอื เหน็ จติ ในจิตธมั มานปุ ัสสนา คือ เห็นธรรมในธรรมอธิบายสนั้ ๆ คือ เหน็ กายวา่ เป็นกาย ไมใ่ ช่เหน็ กายวา่ เป็นเรา เวลาเราเดนิ หากเดนิ อยา่ งมสี ตจิ ะเห็นวา่ กายเดินไมใ่ ช่ “ฉนั ” เดนิเวทนาเกิด กเ็ หน็ เป็นเวทนา ไม่ใชเ่ หน็ วา่ ฉนั ปวด คนเราเวลาปวดก็จะรู้สกึ ว่าฉนั ปวด ๆ แตท่ ่ีจริงเมอ่ื เจริญสตกิ ็จะเห็นวา่ การปวดเป็นอาการปวด ไม่ใชฉ่ นั ปวด เวลาโกรธกเ็ หน็ วา่ มคี วามโกรธเกิดขนึ ้ ไมใ่ ชฉ่ นั โกรธปฏิบตั ธิ รรมไมไ่ ด้มีเป้ าหมายเพ่อื เหน็ สีหรือแสงข้างนอก ถ้าเป็นการภาวนาที่แท้จริงเพอื่ หลดุ พ้นจากความทกุ ข์วธิ ีการกค็ อื เหน็ กายและใจตามท่ีเป็นจริง ด้วยการเจริญสติ ซง่ึ จะนาไปสกู่ ารเกิดปัญญา ถ้าเราเก่ียวข้องกบั โลกภายนอก ตาดู หฟู ัง เม่ือเกิดโยนโิ สมนสกิ าร ก็เกดิ ปัญญาการปฏิบตั ธิ รรมนนั้ สามารถทาได้หลายวธิ ี มรี ูปแบบการปฏิบตั ิ เชน่ ตามลมหายใจ เดนิ จงกรม ยกมอื เคลอื่ นไหวดทู ้องพองยบุ หรือไมม่ ีรูปแบบก็ได้ เป็นการปฏบิ ตั ทิ ี่กลืนกบั ชีวติ ประจาวนั เป็นการเก่ียวข้องโลกภายนอกอยา่ งมีสติ มีปัญญา ทงั้ สองวธิ ีล้วนมีความสาคญั บางคนไปเข้าใจวา่ การปฏบิ ตั ธิ รรมหมายถึงการเดนิ จงกรม นงั่ สมาธิตามลมหายใจ เท่านนั้ ทาอย่างนีถ้ งึ จะเรียกวา่ เป็นการปฏบิ ตั ธิ รรม อนั นีเ้ป็นความเข้าใจที่ผิดหลวงพอ่ ชาเลา่ วา่ ท่านเคยไปปฏบิ ตั ธิ รรมกบั หลวงป่ กู นิ รี หลวงพอ่ ชาตงั้ ใจปฏบิ ตั ิมาก เดนิ จงกรม และนง่ั สมาธิทงั้ วนั แตก่ ็อดแปลกใจไมไ่ ด้วา่ หลวงป่ กู นิ รีวนั ๆ ไมค่ อ่ ยเดนิ จงกรม ไมค่ อ่ ยนงั่ สมาธิเลย ทาโนน่ ทาน่ี เกือบตลอดเวลา แล้วท่านจะเห็นอะไร แตห่ ลงั จากที่ได้อย่ปู ฏิบตั กิ บั หลวงป่ นู าน ๆ และได้ฟังธรรมอนั ลมุ่ ลกึ จากทา่ น หลวงพอ่ ชาก็รู้วา่ เป็นความเขลาของท่านเองท่ีคดิ เชน่ นนั้ ท่านพดู ถึงบทเรียนที่ทา่ นได้จากประสบการณ์ครัง้ นนั้ วา่“เรามนั คดิ ผดิ หลวงป่ ทู า่ นรู้อะไร ๆ มากกว่าเราเสยี อีก คาเตอื นของท่านสนั้ ๆ และไมค่ อ่ ยมีให้ฟังบอ่ ยนกั เป็นสง่ิ ที่ลมุ่ ลกึ แฝงไว้ด้วยปัญญาอนั แยบคาย ความคดิ ของครูบาอาจารย์กว้างไกลเกินปัญญาเราเป็นไหน ๆ ตวั แท้ของการปฏิบตั คิ ือความพากเพียร กาจดั อาสวกเิ ลสภายในใจ ไมใ่ ชถ่ ือเอากริ ิยาอาการภายนอกของครูบาอาจารย์เป็ นเกณฑ์”ทา่ นมาได้ตระหนกั ชดั อีกครัง้ วา่ การปฏิบตั ธิ รรมนนั้ ไมไ่ ด้อยู่ที่รูปแบบ แตอ่ ยทู่ ่ีการวางใจให้ถกู ต้อง ไมว่ า่ ทาอะไรกส็ ามารถเป็นการภาวนาได้

คราวหนง่ึ ท่านนงั่ ปะชนุ จีวรท่ีขาดวน่ิ ใจนนั้ นกึ ถึงการภาวนาอย่ตู ลอดเวลา อยากรีบปะชนุ ให้เสร็จเร็ว ๆ เพ่ือจะได้ไปภาวนาตอ่ ขณะนนั้ เองหลวงป่ กู ินรีเดนิ ผา่ นมา สงั เกตเห็นอาการของพระหน่มุ จงึ พดู ขนึ ้ มาวา่ “ท่านชา จะรีบร้อนไปทาไมเลา่ ” “ผมอยากให้เสร็จเร็ว ๆ ครับหลวงป่ ู” “เสร็จแล้วท่านจะทาอะไรละ่ ” “จะไปทาอนั นนั ้ อีก” “ถ้าเสร็จอนั นนั ้ แล้ว ท่านจะทาอะไรอีกละ่ ” “ผมก็จะทาอย่างอ่ืนอีก” “เมอ่ื ทาอยา่ งอ่ืนเสร็จแล้ว ทา่ นจะไปทาอะไรอีกเล่า”เมือ่ เห็นวา่ ใจของหลวงพอ่ ชาไมไ่ ด้อย่กู บั งานท่ีกาลงั ทา แตค่ ดิ ถงึ งานชนิ ้ อื่น ๆ ท่ีอย่ขู ้างหน้า และรีบร้อนจะทาให้เสร็จไว ๆ ทงั้ หมดนีก้ ็เพอ่ื ไปภาวนาตอ่ หลวงป่ กู นิ รีจงึ เตือนวา่“ทา่ นชา ท่านรู้ไหม นงั่ เยบ็ ผ้าผนื นีก้ ภ็ าวนาได้ ทา่ นดจู ิตตวั เองสวิ า่ เป็นอย่างไร แล้วก็แก้ไขมนั ท่านจะรีบร้อนไปทาไมเลา่ ทาอย่างนีเ้สียหายหมด ความอยากมนั เกดิ ขนึ ้ ท่วมหวั ทา่ นยงั ไมร่ ู้เร่ืองของตนอีก”คาพดู ของหลวงป่ กู ินรีกระตกุ ใจของหลวงพอ่ ชาอยา่ งแรง ทาให้ท่านได้สติ และเกิดความเข้าใจชดั เจนวา่ ไมว่ า่ อยู่ท่ีไหน ทาอะไร กภ็ าวนาได้ทงั้ นนั้ ขอให้หมนั่ ดใู จของตนอย่างตอ่ เน่ือง จนเกิดความรู้สกึ ตวั ทว่ั พร้อม นีเ้ป็นบทเรียนที่ประทบั ใจท่านมาก และถือเป็นหลกั ปฏบิ ตั ขิ องท่านตลอดมาเมื่อทา่ นไปตงั้ สานกั ปฏบิ ตั ธิ รรมที่หนองป่ าพง จึงทาให้มีกจิ กรรมหลาย ๆ อย่าง และมเี ร่ืองเล่าวา่ ตอนนนั้ หลวงพอ่ ชาอายมุ ากแล้ว มเี ดก็ หน่มุ มาถามทา่ นวา่ “ทาไมพระจึงไมน่ ง่ั สมาธิ” พอหลวงพอ่ ชาได้ฟังนา้ เสยี งแล้วรู้วา่ไมไ่ ด้ถามเพราะต้องการคาตอบที่แท้จริง ทา่ นจงึ ตอบวา่ “นงั่ อย่างเดยี วมนั ถ่ายไมอ่ อกวะ่ จะนง่ั อยา่ งเดยี วกไ็ ม่ได้มนั ต้องปฏิบตั กิ บั การทางานด้วย” และท่านก็บอกวา่ “การปฏบิ ตั ธิ รรมมนั ต้องมาดกู ายและใจ” ไมว่ า่ ทาอะไรต้องให้รู้ทนั กายและใจ ทางานก่อสร้างก็เป็นการปฏิบตั ิธรรมได้ อนั นีส้ าคญั มาก เดีย๋ วนีน้ กั ปฏบิ ตั ธิ รรมจานวนมากคดิ อย่างเดียววา่ เวลาปฏบิ ตั ธิ รรมจะต้องเข้าวดั จะต้องหลบลหี ้ นีห้ น้าผ้คู น โดยไมค่ ิดว่า การอยทู่ ่ีไหนก็ปฏิบตั ธิ รรมได้อยบู่ นท้องถนน รถตดิ ก็กาหนดลมหายใจไปด้วย หรือเวลาเจอไฟแดง หงดุ หงดิ ขนึ ้ มากป็ ฏิบตั ธิ รรมได้ ถามวา่เวลารถตดิ ทาไมถึงหงดุ หงิด นน่ั ก็เพราะใจมนั ไปอยทู่ ่ีจุดหมายปลายทางแล้ว ใจมนั อยขู่ ้างหน้าแล้ว ใจไมอ่ ย่กู บัปัจจบุ นั จึงกลวั ไปไมท่ นั กลวั ไมท่ นั ประชุม เป็นต้น ดงั นนั้ ให้พาใจกลบั มาอย่กู บั ปัจจบุ นั จะตามลมหายใจด้วยก็

ได้ การปฏบิ ตั ธิ รรมก็คือ ตดิ ไฟแดงทาอยา่ งไรจะไมห่ งดุ หงดิ ทาอยา่ งไรเวลาถกู ตอ่ ว่าจะไมห่ งดุ หงดิ เวลาเสยี เงินจะไมโ่ มโห เวลาเงินหายกห็ ายแตเ่ งิน แต่ใจไมห่ าย ถ้าทาได้อยา่ งนีก้ ็เรียกวา่ ปฏิบตั ธิ รรมแล้วมีโยมคนหนึง่ ปรารถนาดีกบั พระรูปหนึ่ง เพราะเหน็ สกี าคนหน่งึ มาอย่กู บั พระรูปนี ้เธอจึงไปกระซิบบอกพระรูปนี ้วา่ ไมด่ นี ะที่อย่กู บั สกี าสองตอ่ สอง พระรูปนีก้ ไ็ ปบอกใครตอ่ ใครวา่ ผ้หู ญิงคนที่มาเตอื นทา่ นนนั้ ชอบทา่ นแตท่ ่านไมช่ อบด้วย กเ็ ลยหาเร่ืองมาตอ่ วา่ ท่าน ผ้หู ญิงคนนนั้ โกรธมาก มาปรึกษาอาตมา อาตมาจึงตอบไปวา่ นนั่ แหละคอื สง่ิ ที่มาฝึกใจเรา การรับมือกบั ความเข้าใจผดิ คอื การปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งหนง่ึ คาพดู ของพระรูปนีเ้ ป็นเพียงโลกธรรมอย่างหน่งึ ในเมอื่ คณุ ไมไ่ ด้ทาผดิ หรือไมไ่ ด้ทาอยา่ งท่ีเขาวา่ แล้วคณุ จะทกุ ขไ์ ปทาไม ปลอ่ ยวางเสยี เมือ่ คณุหวงั ดี แตท่ ่านไมเ่ ข้าใจ กลบั มาวา่ ร้ายคณุ ก็ให้ถือวา่ เป็นโลกธรรมท่ีไมค่ วรใสใ่ จมากโยมคนนีช้ อบปฏบิ ตั ธิ รรมมาก แตก่ ารปฏิบตั ธิ รรมของเธอตดิ ท่ีรูปแบบ อาตมาจึงบอกวา่ คาตอ่ วา่ นินทา หากเราตระหนกั วา่ เป็นธรรมดาโลก เป็นโลกธรรม ก็ถือวา่ เป็นการปฏบิ ตั ธิ รรมแล้ว เราต้องเข้าใจวา่ การปฏิบตั ธิ รรม ไม่ใช่การนงั่ หลบั ตา ไมใ่ ชว่ า่ ต้องเดนิ จงกรมเพยี งอยา่ งเทา่ นนั้ แตห่ มายถงึ การวางใจถกู ต้องไมว่ า่ มอี ะไรเกดิ ขนึ ้ มีอะไรมากระทบ ทางตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ใจ เราก็ปลอ่ ยวางได้ เห็นวา่ เป็นธรรมดาโลก ถ้าวางใจเป็น มอี ะไรมากระทบ ใจเราไมท่ กุ ข์ไมว่ า่ จะปฏบิ ตั ิธรรมในรูปแบบ หรือนอกรูปแบบ ถ้าทาแล้วความเห็นแก่ตวั ไมล่ ดลง ต้องสนั นษิ ฐานวา่ ปฏิบตั ิธรรมผดิ นกั ปฏิบตั ธิ รรมจานวนไมน่ ้อย เมอ่ื ปฏิบตั ธิ รรมไปนาน ๆ ก็กลายเป็นคนไมม่ ีนา้ ใจ เห็นแก่ตวั คดิ ถึงแต่ตนเอง ไมค่ ดิ ถึงสว่ นรวม น่ีแสดงวา่ ปฏบิ ตั ธิ รรมผิดถ้าไปปฏบิ ตั ธิ รรมท่ีวดั แล้วไมช่ ่วยงานในวดั เลย เพราะกลวั วา่ ใจจะไมส่ งบ แสดงวา่ ปฏิบตั ธิ รรมไมถ่ กู เพราะหากปฏิบตั ธิ รรมถกู ต้อง ไมว่ า่ อยทู่ ่ีไหนหรือทาอะไร ใจก็จะเป็นปกตไิ ด้ ไมใ่ ชว่ า่ จะสงบเม่อื อย่ใู นกฏุ ิ คนที่ใจสงบเม่ืออยใู่ นกฏุ ิ ถงึ ไมป่ ฏิบตั ธิ รรมกท็ าได้ มบี างคนมาวดั ด้วยความจาเป็น อย่ไู ป ๆ รู้สกึ สงบดี ทงั้ ๆ ที่ไมไ่ ด้ปฏบิ ตั ธิ รรมเลย นนั่ เป็นเพราะธรรมชาตชิ ่วยกลอ่ มเกลาแตก่ ารปฏิบตั ธิ รรมนนั้ จดุ มงุ่ หมายก็เพอ่ื อยกู่ บั โลกท่ีวนุ่ วายได้โดยใจไมท่ กุ ข์ แถมยงั ได้ธรรมด้วย เพราะเกดิปัญญาจากทกุ สง่ิ ท่ีมากระทบด้วยถ้าปฏบิ ตั ธิ รรมถกู อะไรมากระทบ ใจกไ็ มก่ ระเทือน เสียงดงั ขนาดไหนใจกไ็ มห่ งดุ หงิด แมค่ ้าท่ีขายของอยใู่ นตลาดเสยี งดงั รอบตวั ขนาดไหนเขาก็อย่ไู ด้เป็นปกติ แต่ทาไมนกั ปฏบิ ตั ธิ รรม เม่อื เกิดเสียงดงั จงึ หงดุ หงิด ว้าวนุ่ ใจ

กลายเป็นคนอ่อนแอไป ออ่ นแอกวา่ คนท่ีไมป่ ฏิบตั เิ สยี อีก ปฏิบตั ธิ รรมแล้วใจต้องเข้มแขง็ ขนึ ้ มอี ะไรมากระทบใจก็ไมก่ ระเทือนตวั บง่ ชีว้ า่ ปฏิบตั ธิ รรมผิดคอื ๑. ความเห็นแกต่ วั ไมล่ ดลง ๒. ไมร่ ู้จกั เก่ียวข้องกบั โลกภายนอกอยา่ งถกู ต้องมนี กั ปฏิบตั ธิ รรมคนหนงึ่ ไปปฏบิ ตั ธิ รรมอยทู่ ่ีวดั วนั หนึง่ พยาบาลได้โทรศพั ท์ถงึ เธอ บอกวา่ น้องชายของเธอป่ วยหนกั จริง ๆ น้องชายของเธอป่ วยมานานแล้ว เป็นมะเร็งที่คอ นง่ั ไมไ่ ด้ ต้องนอนคยุ กนั พยาบาลก็ดแู ลอยา่ งดีกระทง่ั เขากลบั บ้านได้ แตไ่ มม่ ีใครดแู ล แฟนสาวก็มาดแู ลผ้ชู ายคนนี ้พ่ีสาวก็ไลไ่ ป บอกวา่ ยงั ไมไ่ ด้แตง่ งานกนั มาอย่ดู ้วยกนั ได้อยา่ งไร บอกวา่ ผดิ ศีลข้อท่ี 3 พยาบาลจงึ บอกวา่ “งนั้ พีส่ าวมาดแู ลได้ไหม” พ่ีสาวก็บอกวา่ ไมห่ รอกเพราะเขาทากรรมของเขา เขาต้องใช้กรรมของเขาเอง ฉนั ไมไ่ ปช่วยเขาหรอก ฉนั จะปฏิบตั ธิ รรมของฉนั ตอ่ ไปถามวา่ ปฏบิ ตั ธิ รรมแบบนีถ้ กู ต้องไหม จริงๆ แล้วการดแู ลน้องชาย ก็เป็นการปฏิบตั ธิ รรมอย่างหน่ึง ปฏิบตั ธิ รรมทงั้ การเจริญสติ และเจริญเมตตากรุณา แตป่ ฏบิ ตั ธิ รรมในความเข้าใจของพี่สาวคนนีค้ อื ปฏบิ ตั ใิ นวดั เท่านนั้แถมเป็นการหนีปัญหาหลบเลย่ี งหน้าที่ด้วยซา้ เดีย๋ วนีม้ ีคนคดิ แบบนีก้ นั เยอะ อย่างนีเ้รียกวา่ ปฏิบตั ธิ รรมแบบไม่มนี า้ ใจ แม้กระทง่ั กบั น้องชายของตนเองนกั ปฏบิ ตั ธิ รรมต้องฉลาด และต้องมนั่ ใจในธรรมะที่เราปฏบิ ตั ิ บางคนบอกวา่ ฉนั ไมก่ ล้าชว่ ยใครหรอก เพราะถ้าช่วยแล้ว เจ้ากรรมนายเวรของคน ๆ นนั้ จะมาเลน่ งานฉนั แทน คดิ แบบนีก้ ็มี ถ้าปฏิบตั ธิ รรมแล้วคดิ แบบนี ้จติ ใจก็ไมเ่ จริญงอกงาม บ้านเมอื งก็ไมด่ ีขนึ ้ นกั ปฏิบตั ธิ รรมต้องมน่ั ใจวา่ “ธรรมย่อมรักษาผ้ปู ระพฤตธิ รรม”ชายคนหนง่ึ ทาธรุ กจิ แบตเตอร่ี มีเพื่อนค้าขายขาดทนุ จนล้มละลาย เธอก็ไปแนะนาช่วยเหลอื เขา และชวนเขาทาบญุ ตอ่ มาธรุ กิจแบตเตอรี่ของเธอรายได้ลดลงเร่ือยๆ เธอสงสยั มาถามอาตมา วา่ เป็นเพราะเธอไปช่วยเหลือเขาหรือเปลา่ กรรมของเขากเ็ ลยมาตกอยกู่ บั เธอ คาถามแบบนีค้ งอย่ใู นใจหลายคนตอนนี ้ถ้าหากมคี นคดิ แบบนีม้ ากขนึ ้ เร่ือยๆ ตอ่ ไปผ้คู นกจ็ ะไมช่ ่วยเหลือเจือจานกนั เพ่ือนจะเป็นอย่างไรฉนั ไมส่ นใจเพราะกลวั วา่ กรรมของเขาจะมาตกที่ฉนั อนั นีไ้ มใ่ ช่ปฏิบตั ธิ รรมแล้ว กลายเป็นปฏิบตั อิ ธรรมไป เราต้องมนั่ ใจวา่“ธรรมยอ่ มรักษาผ้ปู ระพฤตธิ รรม” ไมใ่ ชใ่ นความหมายวา่ จะไมเ่ จบ็ ไม่ตาย ไม่ลาบาก แตห่ มายถงึ ไมว่ า่ อะไรเกิดขนึ ้ กบั เรา ใจกไ็ มท่ กุ ข์ ปลอ่ ยวางได้ เปลย่ี นร้ายให้กลายเป็นดีได้ ถ้าเราเชื่อแบบนี ้จิตใจกจ็ ะมนั่ คง องอาจ เบกิบานในธรรม และพร้อมที่จะชว่ ยเหลอื ผ้อู ื่น นี่คือการปฏิบตั ธิ รรมเพ่อื พฒั นาจิตใจ เพ่ือลดละความเหน็ แกต่ วัเพม่ิ พนู เมตตากรุณาให้มากขนึ ้

พระพทุ ธเจ้าบรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจ้าได้ เพราะพระองคไ์ ด้บาเพญ็ ธรรมมาตลอด ๕๐๐ ชาติหรือมากกวา่ นนั้ สงิ่ ท่ีพระองคท์ าล้วนแตเ่ ป็นการบาเพ็ญเมตตากรุณา ชว่ ยเหลอื เกือ้ กลู ผ้อู ่ืน พดู อีกอยา่ งคือ เป็นการขดั เกลากิเลส ลดละความเหน็ แก่ตวั จนกระทง่ั เป็นปัจจยั ให้พระองคบ์ รรลธุ รรมเป็นพระพทุ ธเจ้าได้ ถ้าเราทกุคนสามารถดาเนนิ ชีวติ เชน่ นีไ้ ด้ ก็จะมีความเจริญก้าวหน้าในธรรมได้เช่นเดียวกนัตอ่ ไปนีเ้ป็นการสอนวธิ ีฝึกปฏิบตั ิ (ใช้เวลาฝึกประมาณ 20 นาที)“การปฏบิ ตั สิ มาธภิ าวนา”นง่ั ในทา่ ที่สบาย หลบั ตาพริม้ ยมิ ้ น้อย ๆ ให้ความผอ่ นคลายได้เกิดขนึ ้ กบั กาย ทาความรู้สกึ ตวั ให้เกิดขนึ ้ ทวั่ร่างกาย ไลค่ วามรู้สกึ ผอ่ นคลายลงมาตงั้ แตใ่ บหน้า ผอ่ นคลายกล้ามเนือ้ ทกุ สว่ นบนใบหน้า คงเหลอื แตเ่ พียงรอยยมิ ้ น้อย ๆ ไลค่ วามรู้สกึ ผอ่ นคลายลงมาตงั้ แตห่ น้าอก คอ หวั ไหล่ แขนและมือทงั้ สองข้าง ให้ความผอ่ นคลายเกิดขนึ ้ ที่ช่องท้อง ต้นขา น่อง และปลายเท้า หายใจสบายๆ น้อมจิตมาที่ลมหายใจ รับรู้ลมหายใจอย่างสบายเหมอื นกบั สมั ผสั มอื ของเพ่อื นเราเบาๆ ทาจติ ให้แนบแน่นกบั ลมหายใจ ไมถ่ ึงกบั บงั คบั เพราะจะทาให้รู้สกึ อึดอัดได้วางความนึกคดิ ตา่ ง ๆ ลงชวั่ คราว เร่ืองราวตา่ ง ๆ ที่ได้ยินได้ฟังมาเม่ือครู่ ขอให้วางเอาไว้ สง่ิ ท่ีเราจะทาคา่ คนื นี ้ไมว่ า่ ท่ีบ้าน หรือที่ไหนกต็ าม วางไว้เช่นกนั น้อมใจมาอยทู่ ี่ลมหายใจ รับรู้ถงึ กายที่กาลงั นง่ั อยู่ รับรู้วา่ มกี าลงั ลมเคล่ือนเข้าและออก หรือจะรับรู้ที่ปลายจมกู ก็ได้ เมอ่ื มีลมมาสมั ผสั ทงั้ เข้า ออกขอให้ชว่ งเวลานีเ้ป็นช่วงเวลาท่ีศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ไมอ่ นญุ าตให้เรื่องทงั ้ ในอดีตและอนาคต เข้ามาลว่ งลา้ ดงึ ความสนใจของจิตออกไปนอกตวั ให้ชว่ งเวลาท่ีเราอย่กู บั ปัจจบุ นั นีเ้ป็นชว่ งเวลาที่ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ไมม่ ีอะไรสาคญั ไปกวา่ ท่ีเราได้อยู่กบั ปัจจบุ นั ได้อย่กู บั ตวั เราเอง รับรู้กายและใจอย่างท่ีเป็นจริง รับรู้ถงึ ลมหายใจเข้า ออก บางครัง้ ใจอาจลอยไปคดิ ถงึ สงิ่ อื่น คดิ ถงึ อดีตบ้าง อนาคตบ้าง รู้ตวั วา่ เผลอเม่ือไร ก็พาใจกลบั มาอยกู่ บั ลมหายใจ รับรู้ลมหายใจ ให้จิตอย่เู คียงข้างลมหายใจ เสมือนมติ รที่อย่เู คียงข้างกนั เดนิ เคียงกนั ไป บนเส้นทางท่ียาวไกลลมหายใจนนั้ คือมติ รที่ประเสริฐสดุ ของเรา เป็นมติ รที่เกิดมาพร้อมกบั วนิ าทีแรกท่ีเราเกดิ มาดโู ลก และจะจากไปในวนิ าทีท่ีเราละโลกนีไ้ ป ลมหายใจนีอ้ ยกู่ บั เรามาตลอด ไมว่ า่ ยามหลบั ตื่น สขุ ทกุ ข์ สาเร็จลลุ ว่ ง รุ่งโรจน์ล้มเหลว ร่วงโรย อยกู่ บั เราตงั้ แตเ่ ดก็ เป็นหน่มุ สาวจนถึงวยั ชรา จนกวา่ จะจากโลกนีไ้ ป ลมหายใจทาให้เรามีทกุอยา่ ง ไมว่ า่ พอ่ แม่ พ่ีน้อง ทรัพย์สนิ เงินทอง คคู่ รอง ความสาเร็จ ถ้าไมม่ ลี มหายใจ กไ็ มม่ สี งิ่ ใด ๆ สกั อยา่ งแม้กระทงั่ ชีวติ ดงั นนั้ ขอให้เราใสใ่ จกบั ลมหายใจนี ้เสมือนที่เราใสใ่ จเพื่อนท่ีประเสริฐสดุ ของเรา

ให้เรารับรู้ลมหายใจที่เข้าและออกอยา่ งสบาย ๆ เหมือนกบั เดนิ เคยี งข้างเพอื่ นของเรา ไมถ่ งึ กบั ผกู ตดิ กนั เอาไว้แตเ่ ดนิ ไปด้วยกนั เคียงข้างกนั ทาเช่นนนั้ กบั ลมหายใจของเรา แม้วา่ ระหวา่ งเดนิ เคยี งข้างเพ่ือนเรา เราเผลอแวบไปสนใจดอกไม้ริมทาง ตืน่ เต้นกบั สง่ิ ของข้างทาง รู้ตวั เม่อื ไรก็กลบั มาเดนิ เคียงข้างกบั เพ่อื นของเรา กลบั มาอย่กู บัลมหายใจเบา ๆ แม้จะมีความคดิ นกึ ต่าง ๆ ดงึ จิตออกไปจากลมหายใจ กอ็ ย่าไปโกรธ ไมต่ ้องถงึ กบั กดขม่ ใจไม่ให้คดิ หรือผลกั ไสความคดิ ออกไปจากใจ เพียงแคร่ ู้แล้วกลบั มาท่ีลมหายใจอย่าลมื ให้ความรู้สกึ ผอ่ นคลายเกดิ ขนึ ้ ใบหน้ามีรอยยมิ ้ น้อย ๆ ไมเ่ ม้มริมฝี ปาก ไมก่ ดั ฟัน ส่วนมือก็คลาย คลายทกุ สว่ นผกู ฉนั ทะให้เกิดขนึ ้ ในใจ ให้เรามีฉนั ทะที่จะอยู่กบั ลมหายใจ แม้จะมีสงิ่ ดงึ ดดู ใจให้ออกไปนอกตวั สอู่ ดตี หรืออนาคต รู้ทนั แล้วกว็ าง น่ีคือเวลาที่เราจะได้พกั ใจ เป็นเวลาที่เราจะนาเอาความสขุ ความปกติ โปร่งโลง่ กลบั คืนจติ ใจของเรา แม้วา่ ใจจะยงั ไมย่ อมหยดุ นิ่ง ยงั แสส่ า่ ยกไ็ มเ่ ป็นไร อยา่ ไปโกรธ อย่าหงดุ หงิด แคร่ ับรู้ดูใจท่ีแสส่ า่ ยนนั้ ใช้ความออ่ นโยน กลอ่ มเกลาจติ ใจ ใช้ความอดทน เพ่อื ให้จติ ใจได้กลบั มาเป็นปกติ หายใจเข้า ออก ก็รู้สกึ ตวัไมต่ ้องเพง่ ลมหายใจ และไมต่ ้องไปเฝ้ าดกั ฟังความคดิ คดิ ดกี ็ช่าง คดิ ไมด่ ีก็ช่าง คดิ อะไรก็ตาม กร็ ู้เฉย ๆ ด้วยใจที่เป็นกลาง และกลบั มาสลู่ มหายใจให้เราลองสารวจ กายและใจของเราเป็นระยะ ๆ ด้วย ถ้ากายเกรง หน้านิ่วควิ ้ ขมวดหรือวา่ กดั ฟันเม้มริมฝี ปาก ก็ให้คลาย หากวา่ ลมหายใจถ่ี สนั้ กห็ ายใจเข้าลกึ ๆ หายใจออกยาว ๆ สกั ๔-๕ ครัง้กายที่ผอ่ นคลายจะทาให้ใจผอ่ นคลาย ขณะเดยี วกนั กล็ ะวางความอยากให้จิตสงบ วางความอยาก วางความคาดหวงั ทงั้ หลาย เพยี งแตร่ ับรู้อยกู่ บั ปัจจบุ นั ปัจจบุ นั นนั้ คอื กายและใจ ท่ีกาลงั เป็นไป แม้ใจจะฟ้ งุ ปรุงแตง่ ก็เพยี งแตร่ ู้ทนั เม่ือรู้แล้ว สตกิ ็จะพาจิตกลบั มาสกู่ ายเองการเจริญสติ คือ การรู้กายท่ีเคล่อื นไหว เชน่ ลมหายใจ และรู้ใจท่ีคดิ นึก เมอื่ รู้แล้วสติก็จะพาจติ กลบั มาอย่กู บัเนือ้ กบั ตวั ความรู้สกึ ตวั กเ็ กิดขนึ ้ จติ อยกู่ บั เนือ้ กบั ตวั เม่ือไร สตกิ เ็ กดิ ขนึ ้ ทนั ที สงั เกตวา่ ใจของเราอยกู่ บั เนือ้ กบั ตวัไหม มนั โลดแลน่ ไปสอู่ ดตี บ้าง สอู่ นาคตบ้าง ออกไปนอกตวั ออกจากปัจจบุ นั ไป ทาให้ลืมตวั และนี่แหละคอื ท่ีมาแห่งความทกุ ข์เมอ่ื จิตออกไปข้างนอก กจ็ ะไปเอาความทกุ ขจ์ ากสง่ิ ท่ีเป็นอดตี บ้าง อนาคตบ้าง เอาสง่ิ ที่อยนู่ อกตวั นนั้ กลบั มาทาร้ายจิตใจ ทาให้ใจเป็นทกุ ข์ แค่ให้ใจอยกู่ บั ปัจจบุ นั และรับรู้ลมหายใจที่เคล่อื นไหว แคน่ ีก้ ็เพยี งพอ รู้เฉย ๆ คอื รู้กายและใจตามที่เป็นจริง ไมต่ ้องทาอะไรมากกวา่ นนั้ รู้เฉย ๆ เวลามเี วทนาเกิดขนึ ้ เช่นความปวด ความเม่อื ย กด็ ู

เวทนานนั้ ดเู ฉย ๆ ไมถ่ ึงกบั จ้องมนั เพยี งรับรู้ และสงั เกตดวู า่ ใจเรารู้สกึ อยา่ งไร ขดั เคอื ง กระเพือ่ มหรือไม่ ถ้าใจเข้าไปอยกู่ บั เวทนา โดยไมร่ ู้ตวั ก็จะยิ่งเป็นทกุ ขม์ ากขนึ ้ ไมเ่ พยี งแตท่ กุ ขก์ ายแต่จะทกุ ขใ์ จด้วย เพียงแคด่ ใู จ ให้ใจกลบั มาเป็นปกติ ความทกุ ข์จะลดลง กายปวด กายเม่อื ย แตใ่ จไมป่ วดไมเ่ มอ่ื ยด้วย มีแตค่ วามปวดความเมอื่ ยแตไ่ มม่ ีผ้ปู วดผ้เู ม่อื ย เมือ่ เรามสี ติลองฝึกดู ใหม่ ๆ อาจจะยงั ตามดรู ู้ทนั เวทนาไมไ่ ด้ กใ็ ห้รู้ทนั ใจ รู้ทนั ความโกรธ ความขนุ่ เคือง ความหงุดหงดิความกระสบั กระสา่ ยของใจกอ่ นก็ได้ เมอื่ ใจเป็นปกติ เวทนาก็จะเบาบางลง ให้เรารู้ทนั ความฟ้ งุ ท่ีเกดิ ขนึ ้ กบัใจ ความฟ้ งุ นนั้ ไมเ่ ป็นปัญหา แตเ่ ป็นปัญหาเมอื่ เรารู้สึกลบกบั ความฟ้ งุ นนั้ อยากจะผลกั ไส อยากจะกดขม่ ให้เราดรู ู้ ให้ใจเป็นกลางกบั สงิ่ เหลา่ นนั้ ยอมรับใจของเราอย่างที่เป็น ไมร่ ู้สกึ วา่ อยากจะผลกั ไส กดข่ม ความฟ้ งุ มนั ก็สกั แตว่ า่ เกิดขนึ ้ ไมน่ านมนั ก็เลอื นหายไป เหมอื นกบั เมฆท่ีผา่ นมาแล้วก็ผา่ นไป เหมอื นกบั ลมท่ีพดั เข้ามาทางหน้าตา่ ง แล้วก็พดั ออกไปทางหน้าตา่ งอีกบานหนึง่ ทาใจของเราให้โลง่ เหมอื นบ้านที่มหี น้าตา่ งเปิดรับลมที่พดัมาจากทกุ ทศิ ทกุ ทาง แต่ไมเ่ ก็บกกั ลมนนั้ ไว้อารมณ์ตา่ ง ๆ กเ็ ช่นเดียวกนั ไมว่ ่าบวกหรือลบ ไมว่ า่ อะไรเกดิ ขนึ ้ กบั ใจ มนั ไมเ่ ป็นปัญหา ไมท่ าความทกุ ขใ์ ห้เราถ้าหากเราเห็นวา่ มนั เป็นธรรมดา หรือวา่ มีใจเป็นกลางกบั สงิ่ นนั้ ไมผ่ ลกั ไสหรือไม่ไขวค่ ว้าอารมณ์ตา่ ง ๆ เหลา่ นนั้ความฟ้ งุ ซา่ นก็ดี ความง่วงหงาวหาวนอนก็ดี หรือแม้แตค่ วามขดั เคอื งใจ มนั ไมไ่ ด้อย่นู านเลย มนั มาแล้วกผ็ า่ นไปมแี ตใ่ จเราเท่านนั้ ที่ยดึ ตดิ มนั เอาไว้ เพราะอยากผลกั ไสกด็ ี เพราะอยากไขวค่ ว้าก็ดี มนั จงึ คงอยู่ อ้อยอง่ิ หรือรบกวนจติ ใจของเรามากขนึ ้ลองทาใจให้เป็นกลาง หรือเป็นมติ รกบั ทกุ สง่ิ ท่ีเกดิ ขนึ ้ กับใจ ไมม่ องเหน็ เป็นศตั รู แม้เป็นนวิ รณ์กต็ าม เพยี งแคเ่ ห็นอยา่ งท่ีมนั เป็น ใจของเรากจ็ ะกลบั มาเป็นปกติ และปัญญาท่ีเกดิ ขนึ ้ จากการเห็นความจริงของกายและใจ กจ็ ะเพมิ่ พนู มากขนึ ้ จนนาไปสคู่ วามแจ่มแจ้งในไตรลกั ษณ์ คือ อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตาในที่สดุยอมรับทกุ สง่ิ ไมว่ า่ บวกหรือลบ แตไ่ มต่ กอยใู่ นอานาจของมนั ไมผ่ ลกั ไสและไมไ่ ขวค่ ว้า เพยี งแคเ่ หน็ ทกุ อยา่ งตามที่เป็นจริง แล้วปลอ่ ยวาง กลบั มาสลู่ มหายใจ เอากายเป็นฐาน เมือ่ ตงั้ อยบู่ นฐานรู้ ไมว่ ่ารู้กายหรือรู้ใจ กจ็ ะกอบก้ใู จจากอารมณ์ท่ีเป็นอกศุ ลได้ ขอให้วางจิตตงั้ จิตอย่บู นฐานรู้เอาไว้ ก็จะปลอดพ้นจากความทกุ ข์Advertisements


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook