Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สังคม ขนิษฐา สวนหนองปลิง เลขที่21

สังคม ขนิษฐา สวนหนองปลิง เลขที่21

Published by paragraphtimeline2019, 2020-07-29 20:34:33

Description: น.ส. ขนิษฐา สวนหนองปลิง เลขที่21

Search

Read the Text Version

วชิ า สังคมศกึ ษา วฒั นธรรมและ พระพทุ ธศาสนา ขนิษฐา สวนหนองปลิง ม.4/3 เลขที2 21

ประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาไดช้ 0ือวา่ เป็นศาสนาที0มีลกั ษณะประชาธิปไตยหลายประการ สรุปดงั นCี 1. พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวนิ ยั เป็นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระ ธรรม คือ คาํ สอนที0พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ยั คือ คาํ สง0ั อนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ิที0 พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิขCึนเมื0อรวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวนิ ยั ก่อนที0พระองคจ์ ะเสดจ็ ปรินิพพานเพียงเลก็ นอ้ ยไดท้ รงมอบใหพ้ ระธรรมเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ 2. พระพทุ ธศาสนามีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั บุคคลที0เป็น วรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรมาแต่เดิม รวมทCงั คนวรรณะต0าํ กวา่ นCนั เช่นพวก จณั ฑาล พวกทาส เม0ือเขา้ มาอุปสมบทในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ มีความเท่า เทียมกนั คือปฏิบตั ิตามสิกขาบทเท่ากนั และเคารพกนั ตามลาํ ดบั อาวโุ ส คือผู้ อุปสมบทภายหลงั เคารพผอู้ ุปสมบทก่อน

3. พระภิกษุในพระพทุ ธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพภายใตพ้ ระธรรม วนิ ยั เช่น ภิกษุท0ีจาํ พรรษาอยดู่ ว้ ยกนั มีสิทธิไดร้ ับของแจกตามลาํ ดบั พรรษา มีสิทธิรับ กฐิน และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจีวรตลอด 4 เดือนฤดูหนาวเท่าเทียม กนั นอกจากนCนั ยงั มีเสรีภาพที0จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ าํ พรรษาวดั ใดกไ็ ดเ้ ลือกปฏิบตั ิกรรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงควตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ Cงั สิCน 4. มีการแบ่งอาํ นาจ การกระจายอาํ นาจ มอบภาระหนา้ ท0ีใหส้ งฆร์ ับผดิ ชอบ ในพCืนฐานท0ีต่าง ๆ พระเถระผใู้ หญ่ทาํ หนา้ ท0ีบริหารปกครองหมู่คณะ ส่วนการบญั ญตั ิพระ วนิ ยั พระพทุ ธเจา้ จะทรงบญั ญตั ิเอง เช่น มีภิกษุผทู้ าํ ผดิ มาสอบสวนแลว้ จึงทรงบญั ญตั ิ พระวนิ ยั ส่วนการตดั สินคดีตามพระวนิ ยั ทรงบญั ญตั ิแลว้ เป็นหนา้ ท0ีของพระวนิ ยั ธรรมซ0ึงเท่ากบั ศาล 5. มีการรับฟังความเห็น หรือฟังเสียงของเหล่าพทุ ธบริษทั 4 กล่าวคือ ภิกษุทุกรูปมีสิทธิในการเขา้ ประชุม มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทCงั ในทางคดั คา้ นและในทางเห็นดว้ ย และนาํ มาพิจารณาไตร่ตรอง 6. พระพทุ ธศาสนายดึ หลกั ความถูกตอ้ งตามธรรมะและความเป็นเอกฉนั ท์ ในการลงมติในท0ีประชุม โดยใชห้ ลกั เสียงขา้ งมากเป็นเกณฑต์ ดั สินในท0ีประชุมสงฆ์ เรียกวา่ วธิ ีเยภุยยสิกา ประกอบกบั หลกั ความถูกตอ้ งตามศีลวนิ ยั สงฆแ์ ละหลกั ธรรมะ อื0น ๆ ประกอบการพิจารณาร่วมกนั 7. พระพทุ ธศาสนามีหลกั ธรรมสนบั สุนนการประชุมในหมู่สงฆแ์ ละเคารพ กฎของการประชุม คือ หลกั ธรรม เรื0อง “อปริหานิยธรรม” มี 7 ประการ เช่น หมน0ั ประชุมเป็นเนืองนิตย์ เขา้ ประชุมและเลิกประชุมพร้อมเพรียงกนั เป็นตน้

8. จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพทุ ธศาสนา คือ มุ่งสู่อิสรภาพ (หมายถึงบุคคล เป็นอิสระจากกิเลสกองทุกขเ์ คร0ืองเศร้าหมองทCงั ปวง) หรือเรียกวา่ “วมิ ุต”ิ 9. พระพทุ ธศาสนาสอนใหช้ าวพทุ ธมีเสรีภาพทางความคิดและ ปฏิบตั ิ ใหเ้ กิดศรัทธาดว้ ยปัญญา โดยไม่มีการบงั คบั 10. พระพทุ ธศาสนายดึ หลกั ธรรมาธิปไตย โดยใชเ้ หตุผลเป็นใหญ่ มิใช่ยดึ ในตวั บุคคล

หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ หลกั ของวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ คือ วชิ าที0เกิดจากการศึกษาคน้ ควา้ หาหลกั ฐานและเหตุผลแลว้ จึงนาํ มา จดั เขา้ เป็นระเบียบหรือวชิ าท0ีมนุษยพ์ ยายามศึกษาเรื0องราวของตนเองและจกั รวาลจน เกิดความรู้ ซ0ึงไดม้ าโดยการสงั เกตและคน้ ควา้ จากธรรมชาติแลว้ นาํ มาจดั ระเบียบ หลกั การของวทิ ยาศาสตร์ มีดงั นCี 1. วทิ ยาศาสตร์เนน้ ดา้ นวตั ถุนิยม คือสสารและพลงั งาน และความสุขทางวตั ถุ 2. วทิ ยาศาสตร์เชื0อวา่ ความจริงรับรู้ไดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั ไดแ้ ก่ ตา หู จมูก ลิCน และ กาย 3. วทิ ยาศาสตร์ไม่ยอมรับความจริงที0เป็นนามธรรม (หรือจิตใจ) ซ0ึงสมั ผสั จบั ตอ้ ง ไม่ได้ 4. วทิ ยาศาสตร์เนน้ ใหค้ นแสวงหาความสุขทางกาย

5. วทิ ยาศาสตร์ใหค้ วามสาํ คญั กบั มูลค่า หรือผลสาํ เร็จคิดเป็นราคา ตน้ ทุน และกาํ ไร หลกั การของพระพทุ ธศาสนา หลกั การสาํ คญั ของพระพทุ ธศาสนา คือ การเขา้ ถึงความหลุดพน้ จากความทุกข์ โดย จาํ แนกเป็นขอ้ ๆ ไดด้ งั นCี 1. พระพทุ ธศาสนายอมรับความจริงอ0ืนนอกจากวตั ถุ 2. พระพทุ ธศาสนายอมรับความจริงท0ีเป็นนามธรรม (จิตใจ) เช่น กรรมดี กรรมชวั0 3. พระพทุ ธศาสนายอมรับในประสาทสมั ผสั ทCงั หา้ และประสาทสมั ผสั ทางจิต 4. พระพทุ ธศาสนาเนน้ ใหค้ นเป็นคนดี โดยมุ่งฝึกฝนอบรมทางจิต 5. พระพทุ ธศาสนามุ่งเนน้ ความสงบสุขทางใจ หรือความสุขจากการสละกิเลสตณั หา 6. พระพทุ ธศาสนามีเป้าหมายใหช้ าวพทุ ธหลุดพน้ จากความทุกข์ ทCงั ในการดาํ เนิน ชีวติ ประจาํ วนั (การดาํ รงชีวติ ในสงั คม) และดบั ทุกขโ์ ดยสิCนเชิง (นิพพาน) เปรียบเทยี บหลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ มีทCงั เหมือนกนั และแตกต่างกนั ดงั นCี 1. หลกั การทเ?ี หมือนกนั มี 3 ประการ คือ (1) ความจริงที0คน้ พบ เกิดจากการพิสูจนใ์ หป้ ระจกั ษด์ ว้ ยประสบการณ์ของตนเอง (2) จุดมุ่งหมาย มุ่งแสวงหาความจริงที0เกิดประโยชนต์ ่อมนุษยชาติ (3) วธิ ีการแสวงหาความจริง เนน้ การลงมือปฏิบตั ิ ทดลอง และพิสูจน์ 2. หลกั การทแ?ี ตกต่างกนั คือ พระพทุ ธศาสนามุ่งคน้ หาความจริงท0ีเป็นประสบการณ์

ดา้ นจิตใจแต่วทิ ยาศาสตร์มุ่งแสวงหาความจริงหรือคาํ ตอบท0ีตอ้ งการเป็นวตั ถุ (สสาร และพลงั งาน) การคดิ ตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนากบั การคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ พระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ มีวธิ ีการท0ีเป็นระบบเหมือนกนั ดงั นCี 1. วธิ ีคดิ ตามนัยแห่งพระพทุ ธศาสนา เป็นกระบวนการคิดพิจารณาคน้ ควา้ หาคาํ ตอบ ของพระพทุ ธเจา้ เพ0ือตรัสรู้ สรุป ได้ 2 วธิ ี คือ (1) คิดโดยสืบสาวจากผลไปหาเหตุ เช่น การสงั เกตสภาพของคนแก่ คนเจบ็ คน ตาย (เป็นผล) และคิดตามหลกั อริยสจั 4 (ทุกข,์ สมุทยั , นิโรธ, มรรค)

(2) คิดโดยสืบสาวจากเหตุไปหาผลคือ การคิดจะลงมือปฏิบตั ิโดยวธิ ีการต่าง ๆ เช่น การบาํ เพญ็ เพียรทางจิต จะส่งผลใหเ้ กิดการรู้แจง้ ในสจั ธรรม 2. วธิ ีคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ เป็นการคิดใชเ้ หตุผล หรือคิดตามกระบวนการของ “วธิ ีการ วทิ ยาศาสตร์” โดยเร0ิมตCงั แต่ การสงั เกต การรวบรวมขอ้ มูล การตCงั สมมติฐาน การ ทดสอบ และการสรุปผลตามลาํ ดบั 4. ความสอดคล้องกนั ระหว่างแนวคดิ ของพระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ พระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ มีแนวคิดสอดคลอ้ งกนั 2 ประการ ดงั นCี 1. ความไม่เทย?ี งของสรรพสิ?งในโลก สิ0งทCงั หลายทCงั ปวงเกิดขCึนและดาํ เนินเป็นไป ตามกฎแห่งเหตุและผลตามธรรมชาติ (หลกั คาํ สอนเร0ืองไตรลกั ษณ์ของ พระพทุ ธศาสนา) สอดคลอ้ งกบั ทรรศนะของวทิ ยาศาสตร์ท0ีวา่ ทุกส0ิงในสากลจกั รวาลมี การเคล0ือนไหวหรือเปลี0ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่หยดุ น0ิง 2. มนุษย์คือผลผลติ ของธรรมชาติ ไม่ไดเ้ กิดจากการปCันแต่งของพระเจา้ 3. การพสิ ูจน์ความจริงอย่างเสรีและมเี หตุผล พระพทุ ธศาสนาสอนไม่ใหเ้ ช0ืออะไร ง่าย ๆ (หลกั คาํ สอนเรื0องกาลามาสูตร) โดยไม่ไดพ้ ิสูจนใ์ หป้ ระจกั ษด์ ว้ ยประสบการณ์ ของตนเองเสียก่อน ซ0ึงสอดคลอ้ งกบั หลกั แนวคิดของวทิ ยาศาสตร์เช่นกนั ความแตกต่างในแนวคดิ ระหว่างพระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ มีคาํ สอนในพระพทุ ธศาสนาบางเร0ืองท0ีวทิ ยาศาสตร์ไม่ยอมรับ เพราะวทิ ยาศาสตร์ไม่ สามารถแยกแยะหรือพิสูจนไ์ ด้ มีดงั นCี

1. คาํ สอนเร?ืองของจติ ไดแ้ ก่ หลกั คาํ สอนเรื0อง “เบญจขนั ธ์” หรือองคป์ ระกอบของ มนุษย์ 5 ประการ ไดแ้ ก่ รูปขนั ธ์ (ร่างกาย) และนามขนั ธ์ 4 (ส่วนประกอบท0ีเป็นจิต 4 อยา่ ง ไดแ้ ก่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ าณ) ซ0ึงวทิ ยาศาสตร์ไม่สามารถใชเ้ คร0ืองมือ พิสูจนใ์ หป้ ระจกั ษไ์ ด้ 2. คาํ สอนเรื?องปัญญา คาํ สอนในพระพทุ ธศาสนาเร0ืองปัญญาขCึนสูงสุด คือ การ เขา้ ถึงโลกตุ ระ (ปัญญาท0ีที0หลุดพน้ จากกิเลสหรือวสิ ยั ทางโลก) โดยวธิ ีฝึกอบรม วปิ ัสสนาจนเกิดปัญญารู้แจง้ ตามความจริงนCนั เป็นสิ0งท0ีวทิ ยาศาสตร์ยงั ไม่ยอมรับ ฤ

พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสตร์ แห่งการศึกษา 1.1 ความหมายของการศึกษาในทศั นะของพระพทุ ธศาสนา การศึกษาตรงกบั คาํ ศพั ทภ์ าษาลีวา่ “สิกขา” แปลวา่ การฝึกอบรมตนใหง้ อกงาม หรือการพฒั นาตนใหง้ อกงาม ตามหลกั พระพทุ ธศาสนาแบ่งการพฒั นาตนใหง้ อกงาม ออกเป็น 4 ดา้ น ดงั นCี 1) การพฒั นากาย คือ การรักษาสุขภาพร่างกายใหแ้ ขง็ แรง มีสุขภาพดี มีความ เป็นอยทู่ ี0ถูกสุขลกั ษณะ รวมไปถึงการรู้จกั ปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สิ0งแวดลอ้ มทางวตั ถุได้ อยา่ งถูกตอ้ งและเกิดประโยชนด์ ว้ ย เช่น กินอาหารเพื0อมุ่งใหร้ ่างกายมีกาํ ลงั มีสุขภาพดี มิใช่กินเพ0ือความเอร็ดอร่อยหรือเพ0ือความหรูหราฟ่ ุมเฟื อย ดูโทรทศั นก์ เ็ พื0อติดตาม ข่าวสาร แสวงหาความรู้ ส่งเสริมปัญญามิใช่เพ0ือมุ่งความเพลิดเพลินเพียงอยา่ งเดียว หรือเป็นเครื0องมือเล่นการพนนั เป็นตน้ 2) การพฒั นาศีล คือ การควบคุมกาย วาจา ไม่ใหม้ ีพฤติกรรมออกมาในทาง เบียดเบียนตนเองและคนอ0ืน เช่น ทางกาย กไ็ ม่ทาํ ร้ายข่มเหงรังแกคนอ0ืน ทางวาจา กไ็ ม่

พดู เทจ็ ไม่พดู คาํ หยาบ ไม่พดู ส่อเสียด ที0จะทาํ ใหค้ นอ0ืนเสียหายและเสียประโยชน์ คือ ใหอ้ ยรู่ ่วมกนั ดว้ ยดีในสงั คม เป็นตน้ 3) การพฒั นาจติ ใจ คือ การทาํ จิตใจใหม้ ีคุณสมบตั ิที0ดีงามพร0ังพร้อมใน 3 ดา้ น คือ 1.1) ดา้ นความดี เช่น มีเมตตา มีความรัก ความเอCือเฟCื อเผอ0ื แผม่ ีความเป็นมิตรไมตรี ต่อคนรอบขา้ ง มีความกรุณาคิดช่วยเหลือเม0ือเห็นคนอื0นมีความทุกข์ มีความกตญั ณู มี สมั มาคารวะ เป็นตน้ 1.2) ดา้ นความแขง็ แกร่ง เช่น มีจิตใจที0เดด็ เด0ียวแน่วแน่ต่อเป้าหมายที0วางไว้ มีสติ (รู้จกั ยบั ยCงั ชง0ั ใจ) มีวริ ิยะ (ความพากเพียร) มีขนั ติ (ความอดทน) มีสมาธิ (ความตCงั มนั0 แห่งจิต) มีสจั จะ (ความจริง) เป็นตน้ 1.3) ดา้ นความสุข เช่น จิตใจมีความสดชื0น ร่าเริงเบิกบาน สะอาด สงบ ปลอดโปร่ง มี ปี ติปราโมทย์ ไม่เครียด ไม่กระวนระวาย ไม่ข่นุ มวั หมองเศร้า เป็นตน้ 4) การพฒั นาปัญญา คือ การรู้จกั เพิ0มความรู้ความเขา้ ใจใหแ้ ก่ตวั เอง เริ0มตCงั แต่รู้จกั เรียนรู้ศิลปวทิ ยาที0ดี มีประโยชนส์ าํ หรับการดาํ รงชีวติ เป็นผขู้ วนขวายใคร่เรียนรู้สิ0ง ต่างๆ อยเู่ สมอ เพื0อกา้ วใหท้ นั ความเปลี0ยนแปลงของโลก ตลอดจนรู้จกั คิด รู้จกั วนิ ิจฉยั รู้จกั ใช่ปัญญาในการแกไ้ ขปัญหาชีวติ ดา้ นต่างๆ เป็นตน้ 1.2) บุรพภาคของการศึกษา ทางพระพทุ ธศาสนานCนั แมจ้ ะมีความเชื0อวา่ มนุษยท์ ุกคนมีศกั ยภาพท0ีจะ พฒั นาตนใหง้ อกงามในดา้ นต่างๆ ไดด้ ว้ ยตวั เองกจ็ ริง แต่ในกระบวนการพฒั นาตนนCนั จะตอ้ งอาศยั องคป์ ระกอบอ0ืนๆ เป็นตวั สนบั สนุนในเบCืองตน้ อีกดว้ ยจึงจะสาํ เร็จได้ ดว้ ยดี องคป์ ระกอบนCีเรียกวา่ “บุรพภาคแห่งการศึกษา” มีอยู่ 2 ประการ ดงั นCี 1) องค์ประกอบภายนอก หรือการมีเง0ือนไขภายนอกไขภายนอกที0สนบั สนุน ใหก้ ารพฒั นาตนเองเป็นไปดว้ ยดี เช่น ไดร้ ับการถ่ายทอดการสงั0 สอนอบรมท0ีดีจากพอ่ แม่ ครูบาอาจารย์ เพื0อนที0ดีรวมไปถึงหนงั สือ ส0ือมวลชน และวฒั นธรรมอนั ดีงาม ซ0ึง

ไดใ้ หข้ ่าวสารและความรู้ท0ีถูกตอ้ ง ใหท้ ศั นคติอนั ดีงาม เหล่านCีถือวา่ เป็น สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมท0ีดี ซ0ึงองคป์ ระกอบภายนอกนCีเรียกวา่ “ปรโตโฆสะ” 2) องค์ประกอบภายใน หมายถึง ตวั ผศู้ ึกษาอบรมเองจะตอ้ งเป็นคนรู้จกั คิด รู้จกั พิจารณา รู้จกั ใชเ้ หตุผลในการดาํ เนินชีวติ ใชค้ วามคิดอยา่ งถูกวธิ ี คิดเป็น คือมองส0ิง ทCงั หลายตามหลกั ของเหตุผล แยกแยะส0ิงนCนั ๆ หรือปัญหานCนั ๆ ออกใหเ้ ห็นตาม สภาวะและความสมั พนั ธ์แห่งเหตุปัจจยั องคป์ ระกอบนCีเรียกวา่ “โยนิโสมนสิการ” องคป์ ระกอบทCงั สองเกี0ยวขอ้ งสมั พนั ธ์กนั และเกCือหนุนกนั โดยอาศยั กระบวนการ ศึกษาต่างๆ และอาศยั ความเก0ียวขอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มและอิทธิพลภายนอกเป็น แรงผลกั ดนั หรือเป็นปัจจยั เกCือหนุน ถา้ ไดร้ ับการ่ายทอด แนะนาํ ชกั จูงจากแหล่ง ความรู้ท0ีถูกตอ้ ง กจ็ ะนาํ ไปสู่การคิดท0ีถูกตอ้ ง เกิดสมั มาทิฐิอนั จกั เป็นบนั ไดกา้ วขCึนสู่ กระบวนการศึกษาท0ีแทจ้ ริง ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ ไดร้ ับการแนะนาํ จากแหล่งขอ้ มูลที0 ไม่ถูกตอ้ ง กจ็ ะนาํ ไปสู่การคิดที0ผดิ การเห็นที0ผดิ เป็นมิจฉาทิฐิ ดงั กรณีอหิงสกกมุ าร (บวชเป็นพระองคค์ ุลิมาลในเวลาต่อมา)เบCือตน้ ไดร้ ับการแนะนาํ ที0ผดิ ๆจากครูผไู้ ม่ทาํ ตนเป็นกลั ยามิตร กเ็ กิดความคิดที0ผดิ ทาํ นองคลองธรรม จนกลายเป็นมหาโจรปลน้ ฆ่า ชีวติ คนเป็นจาํ นวนมาก ต่อมาภายหลงั ไดร้ ับการสงั0 สอนที0ถูกตอ้ งจากพระพทุ ธเจา้ จึง เกิดสมั มาทิฐิ ซ0ึงเป็นความเห็นที0ถูกตอ้ งตามทาํ นองคลองธรรมจนกระทง0ั ละเวน้ จาก บาปอกศุ ลทงั0 ปวงไดใ้ นท0ีสุด 1.3 กระบวนการศึกษา กระบวนการศึกษาทางพระพทุ ธศาสนาเนน้ ไปที0สมั มาทิฐิ คือ ความคิดเห็นที0 ถูกตอ้ งอนั รวมไปถึงความเช0ือถือ ความนิยม เจตคติต่างๆ ท0ีเป็นไปในทางถูกตอ้ งดีงาม เม0ือมีสมั มาทิฐิเป็นฐานแลว้ การบวนศึกษาภายในตวั บุคคลกด็ าํ เนินไปไดด้ ว้ ยดี กระบวนการศึกษานCีแบ่ง รายละเอียดออกเป็นอริยมรรคมีองค์ 8 และสรุปเป็นขCนั ตอนใหญ่ เรียกวา่ “ไตรสิกขา”(สิขขา 3) ดCงั นCี

1) การฝึ กอบรมในด้านความประพฤติ ซ0ึงรวมไปถึงระเบียบวนิ ยั ความสุจริตทาง กายและวาจา ละเวน้ การล่าสตั ว์ ลกั ทรัพย์ ประพฤติผดิ ในกาม ละเวน้ การพดู เทจ็ พดู ส่อเสียด พดู หยาบคาย และพดู เพอ้ เจอ้ ตลอดการประกอบชีพท0ีสุจริตไม่เบียดเบียนตน และผอู้ 0ืน เรียกวา่ “อธิศิลสิกขา” 2)การฝึ กฝนอบรมในด้านจติ ใจอนั ไดแ้ ก่ การปลูกฝังคุณธรรม การเสริมสร้างคุณภาพ สมรรถภาพ และสุขภาพของจิต คือ มีจิตนเป็นสมาธิ ความมีจิตใจดีงาม แขม้ แขง็ วอ่ งไว และปลอดโปรงเป็นสุขเรียกวา่ “อธิจิตตสิกขา” 3) การฝึ กอบรมในด้านปัญญา ซ0ึงก่อใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจในส0ิงทCงั หลายตามความ เป็นจริง รู้ความเป็นไปตามเหตุปัจจยั ท0ีนาํ มาใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาไปตามแนวทาง ของเหตุผลรู้เท่าทนั โลกและชีวติ จนสามารถทาํ จิตใจใหบ้ ริสุทธmิหลุดพน้ จากความยดื มนั0 ในส0ิงทCงั หลาย มีจิตใจท0ีเป็นอิสระผอ่ งใสเบิกบาน ซ0ึงเรียกวา่ “อธิปัญญาสิกขา” 1) อธิศีลสิกขา คือ การฝึกปรือใหเ้ กิดมีสมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ และสมั มาอาชวให้ เจริญงอกงามขCึนจนมีความพร้อมทางดา้ นความประพฤติ และความมีระเบียบวนิ ยั ที0ดี งาม 2) อธิจิตตสิกขา คือ การฝึกปรือใหเ้ กิดมีสมั มาวายามะ สมั มาสติ และสมั มาสมาธิให้ เจริญงอกงามจนมีความพร้อมทางดา้ นคุณธรรม มีคุณภาพจิต สมรรถภาพจิตและ สุขภาพจิตท0ีดี 3) อธิปัญญาสิกขา คือ การฝึกปรือใหเ้ กิดมีสมั มาทิฐิ และสมั มาสงั กปั ปะใหเ้ จริญงอกงาม จนมีความพร้อมทางดา้ นปัญญา และรู้จกั คิดเป็น แกป้ ัญหาเป็น ส่งอีเมลขอ้ มูลนCีBlogThis!แชร์ไปที0 Twitterแชร์ไปที0 Facebookแชร์ใน Pinterest

พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตปุ จั จยั พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของหตุปัจจยั พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาของเหตุผล คือ เนน้ วา่ สรรพส0ิงที0เกิด ขCึนมาในโลกนCีเกิดขCึนมาเพราะมีเหตุปัจจยั และเสื0อมสลายไปเม0ือหมดเหตุปัจจยั ไม่มี ส่งใดกิดขCึนมาลอยๆหริอดบั สลายไปเฉยๆโดยไม่มีเหตุปัจจยั การท0ีพระพทุ ธศาสนาสอนเนน้ เหตุผลทCงั ปัจจยั กเ็ พื0อใหน้ ิศาสนิกชน รู้จกั มอบสิ0งทCงั หลายตามท0ีเป็นจริง ทาํ ใหส้ ายตากวา้ งไกล เขา้ ใจส0ิงทCงั หลายได้ กวา้ งขวางลึกซCึง และนาํ ไปสู่ความเป็นคนมีใจกวา้ ง ไม่ยดึ ติดแง่มุมใดในแง่มุมหน0ึง และท0ีสาํ คญั การเขา้ ใจเหตุปัจจยั ของส0ิงทCงั หลายตามที0เป็นจริง จะสามารถแกป้ ัญหาที0 เกิดขCึนไดต้ รงจุดและถูกตอ้ งดว้ ยดงั จะอธิบายดงั ต่อไปนCี (1) ทาํ ใหเ้ ป็นคนมีเหตุผล คือ มีความเช0ือมนั0 วา่ สรรพสิ0งจะเกิดหรือดบั เพราะมีเหตุปัจจยั ไม่มีสิ0งใดเกิดขCึนมาลอยๆโดยไร้เหตุปัจจยั (2) ทาํ ใหเ้ ป็นคนสายตากวา้ งไกล มองอะไรกเ็ ขา้ ใจกวา้ งขวางลึกซCีง (3) ทาํ ใหเ้ ป็นคนมีใจกวา้ ง ยอบรับความคิดเห็นของคนอ0ืนและเห็นความสาํ คญั ของคน อ0ืน

(4) ทาํ ใหเ้ ป็นคนไม่ยดึ มนั0 ถือมน0ั (5) ทาํ ใหแ้ กป้ ัญหาได้ วธิ แิ ก้ปญั หาตามแนวพระพทุ ธศาสนา อริยสจั 4 นCีมีองคป์ ระกอบของการแกป้ ัญหาสรุปได้ 3 ประการคือ 1) ปัญญา(ความรู้ความเขา้ ใจ) การจะแกป้ ัญหาอะไรไม่วา่ ใหญ่หรือเลก็ ไม่วา่ ปัญหา ส่วนตวั หรือปัญหาส่วนรวม ปัญญาคือองคป์ ระกอบแรกที0จาํ เป็น 2) กรรม(ลงมือกระทาํ ) การปฎิบตั ิตามปัญญาที0ไดช้ CีบอกนCนั เป็นเร0ืองที0สาํ คญั มาก เพียงแต่รอบรู้สาเหตุของปัญหา รู้สาเหตุของปัญหตอ้ งต่อเนื0อา รู้เป้าหมายความเป็นไป ไดข้ องการแกป้ ัญหาและรู้วธิ ีการแกป้ ัญหา 3) วริ ยะ(ความพากเพียร)การลงมือทาํ หรือปฏิบตั ิการนCนั ตอ้ งเนน้ วา่ ตอ้ งทาํ ดว้ ยจิตใจท0ี เขม้ แขง็ แน่วแน่หมน0ั เพียร และที0สาํ คญั ตอ้ งต่อเนื0องดว้ ย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook